อาการ ๓๒ เป็นปริยัติ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 27 มิถุนายน 2012.

  1. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๗
    อาการ ๓๒ เป็นปริยัติ

    ปีนี้แปลกนะฝนปีนี้ ปีนี้ตกแบบนี้ ไม่ทำรุนแรงแต่ตกไม่หยุด ตกเบาๆ แบบพ่นสีก็มี ตกเรื่อย แปลกอยู่ มีปีนี้ผิดปรกติ น้ำไม่ค่อยมากไม่ค่อยท่วม ท่วมไร่ท่วมนาไม่ค่อยท่วมปีนี้ นอกจากที่มันตกมาจากที่ไกลๆ มันไหลมายังแม่น้ำโขง แม่น้ำโขงเวลามากมันดันเข้ามา คลองต่างๆ ที่ไหลลงไปสู่แม่น้ำโขง ถูกน้ำแม่น้ำโขงมากๆ ดันเข้ามาท่วม เช่นอย่างแถวอำเภอศรีสงคราม อากาศอำนวย เหล่านี้มีแต่น้ำโขงทั้งนั้นนะดันเข้ามาๆ ท่วมหมดเลย ฝนตกอยู่ไกลๆ มันไหลมา แต่ในท้องถิ่นเหล่านี้น้ำไม่ค่อยท่วม ตกเบาๆ ตลอด
    (ลูกศิษย์กราบเรียนเรื่องไปวัดถ้ำบูชา) เราไปนานแล้วถ้ำบูชา มีพระถึง ๒๐ กว่า อย่างนั้นละในป่าในเขาท่านมีแทรกอยู่ เช่นอย่างวัดถ้ำบูชานี้เราไม่นึกว่าจะมีพระขนาดนั้น ตามธรรมดาเพียงสามองค์สี่องค์ นี่มีตั้ง ๒๐ แถวเหล่านี้สงัดทั้งนั้น คือเราไปหมดแล้วไปเที่ยวดู วัดถ้ำบูชามีพระน้อยมาตลอด แต่นี้ตั้ง ๒๐ สงัดมากถ้ำบูชา ตั้ง ๒๐ กว่าปีไม่ได้เข้าถ้ำนี้ ไปคราวนั้นแล้วจากนั้นมาไม่ได้ไปอีกเลย มีพระสามสี่องค์ นี่ตั้ง ๒๐ ท่านไปหาบิณฑบาตที่ไหนล่ะ(ของหลวงตาละครับ) เอาไปจากภูวัว นั่นละที่ว่า พระท่านอยู่ในที่ต่างๆ สององค์บ้าง สามองค์บ้าง หนึ่งองค์บ้าง อยู่ตามแถวนั้น ก็ได้พูดกับท่านอุทัย เราไม่ได้นึกว่าจะมีมากขนาดนี้นะ ตั้ง ๒๐ วัดถ้ำบูชา มันควรจะได้เพิ่มอะไรๆ เข้าไปอีกนะ เพราะพระแถวนั้นท่านมาวัดภูวัว คือท่านเดินเข้ามา เดินตัดไม่ได้นานนะถึงเลยๆ ไปทางรถมันอ้อม เวลาเท่ากันรถยนต์ฟาดไปห้าทวีป รถส่วนตัว(เดินเท้า) ปั๊บเข้าไปเลย เดินตัดๆ ถ้าไปรถทางต้องอ้อมโน้นอ้อมนี้ ถ้าไปด้วยเท้าเดินตัดปั๊บไปเลยๆ ใกล้นิดเดียว
    เมื่อวานนี้ก็ได้พูดถึงวัดถ้ำภูวัวว่าเป็นที่สงัดวิเวกดี นั่นละพระท่านอยู่ในป่าในเขาไม่ใช่น้อยๆ นะ ท่านอยู่อย่างเงียบๆ อย่างนั้น ปฏิบัติรักษาศีลรักษาธรรมภายในใจเงียบๆ อยู่ตลอดอย่างนั้น เช่นอย่างวัดถ้ำบูชา เราไม่นึกว่าจะมีพระถึง ๒๐ ปรกติจะมีสององค์สามองค์สี่องค์ แถวนั้นมีแต่อย่างนั้นส่วนมากนะ สององค์ สามองค์ สี่องค์ มีอยู่ทั่วๆ ไปในเขา นี้ตั้ง ๒๐ จึงพูดได้เต็มปากเลย ออกจากธรรมของพระพุทธเจ้า สถานที่เหล่านี้และท่านเหล่านี้แลจะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลตามทางของศาสดาที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว และพาดำเนินมาแล้ว
    พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญอยู่ในป่า ตั้งแต่เริ่มแรกเสด็จออกก็เข้าป่าเลย จนกระทั่งปรินิพพานอยู่ในป่าทั้งนั้น และประทานพระโอวาทไว้อย่างแน่นหนามั่นคงที่ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นี้เป็นพระโอวาทที่เน้นหนักมาก หนักแน่นมาก ท่านสอนเรียกว่าอนุศาสน์ ธรรมเครื่องพร่ำสอนพระที่บวช พอบวชเสร็จพระโอวาทนี้จะมาทันที นี้เป็นความจำเป็นสำหรับพระ พอบวชเสร็จแล้วก็ รุกขฺมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้ว ท่านทั้งหลายให้ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ซึ่งเป็นสถานที่สงบสงัด สะดวกในการประกอบความพากเพียรเพื่อชำระกิเลส ไม่พลุกพล่านวุ่นวาย จงอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด
    นี่ละพระโอวาทที่หนักแน่นมาก เน้นหนักมากอยู่จุดนี้ เวลาอุปัชฌาย์บวชกุลบุตรก็เหมือนกัน อย่างทุกวันนี้เวลาจะบวช จะเป็นอุปัชฌาย์ก็ต้องไปฝึกซ้อมเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาเป็นอุปัชฌาย์ บวชกุลบุตรให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์พระโอวาทที่สอนไว้แล้วก็เป็นอุปัชฌาย์ ไม่ใช่จะเป็นอุปัชฌาย์สุ่มสี่สุ่มห้า พอบวชแล้วก็สอนตรงนี้ จากนั้นก็ ปิณฺฑิยาโลปโภชนํฯ บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกำลังปลีแข้งของตน แน่ะฟังซิ แล้วก็บังสุกุลผ้าที่เขาทิ้งอยู่ตามที่ต่างๆ ไปเที่ยวหาเก็บมาปะติดปะต่อเย็บร้อยเป็นผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ แล้วก็ยาแก้ไข้ มี ๔ ประเภทท่านเรียกว่า นิสสัย ๔ เครื่องอาศัย ๔ อย่าง คือให้อยู่ป่าหนึ่ง บิณฑบาตด้วยกำลังปลีแข้งของตนอย่าขี้เกียจขี้คร้านหนึ่ง นำมาเย็บปะติดปะต่อแล้วใช้สอยเป็นสบง จีวร สังฆาฏิผืนใดก็ได้ จากนั้นก็ยาแก้ไข้ เพียงอาศัยนิดหน่อยยาแก้ไข้
    นี่แหละเรียกว่านิสสัย ๔ เป็นพระโอวาทที่แสดงอย่างเน้นหนักตลอดมา ที่เด่นชัดก็คือว่ารุกขมูล คือท่านให้อยู่ในป่าในเขาเหมาะที่สุดเลย ส่วนยาแก้ไข้นั้นในครั้งพุทธกาลกับสมัยทุกวันนี้ มันพลิกไปคนละโลกแล้วแหละ ยาแก้ไข้ทุกวันนี้เกลื่อนทีเดียว ในครั้งพุทธกาลสำหรับพระไม่ได้มีมากมายอะไร ทุกวันนี้ยามันมาก ผิดกันมาก หรือจะพูดว่าน้อยลงๆ ทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องของศาสนาก็ไม่น่าจะผิดไป เช่นสอนให้อยู่ในป่าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนเองให้อยู่ในป่า แล้วพระที่อยู่ในป่าก็มีจำนวนน้อยมาก แน่ะ มิหนำซ้ำยังถูกตำหนิติเตียนว่าพระที่อยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต ดูซิ หัวโล้นๆ นะมันพูด พระพุทธเจ้าอุปัชฌาย์เป่าหัวมันว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ ปัดหัวมันเข้าไปอยู่ในป่า มันยังหันหน้ามาว่า อยู่ในป่าเป็นวิกลจริตไปอีกเห็นไหม? มันน่าทุเรศไหม
    นี่แหละเหยียบหัวพระพุทธเจ้าต่อหน้าต่อตา บิณฑบาตก็ ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ เป็นข้อที่ ๒ ให้ไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกำลังปลีแข้งของตนมาฉันวันหนึ่งๆ ไม่ได้ไปด้วยความโลภ ไปด้วยความจำเป็นกับธาตุขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งความมั่นคงของธรรมเป็นลำดับไป ฉันเพียงยังอัตภาพให้เป็นไป ส่วนใหญ่มุ่งอยู่กับธรรมล้วนๆ อย่างนั้นแหละพระพุทธเจ้าสอนตรงไหน โอ๋ย ถึงใจนะ สอนตรงไหนๆ ถึงใจๆ ถึงใจให้ถึงด้วยภาคปฏิบัติอย่าสักแต่ว่าเรียนมาๆ ไม่สนใจปฏิบัติ กลายเป็นหนอนแทะกระดาษ แล้วก็มาแทะตับแทะปอดแทะหัวใจคน ด้วยคำพูดที่เป็นข้าศึกของธรรมนั่นแหละ เรียนมาแล้วมันเป็นอย่างนั้นไม่สนใจในธรรม
    เรียนธรรมเรียนโลกมันก็เหมือนกัน แล้วแต่จะหมุนไปทางไหน แม้แต่เรียนทางโลกหมุนมาทางธรรมเป็นประโยชน์สำหรับธรรมก็ได้ เรียนทางธรรมให้เป็นพิษเป็นภัยต่อโลกก็ได้ มันเป็นอยู่ที่หัวใจของผู้ไปศึกษาเล่าเรียนมา มีธรรมหรือไม่มีธรรม นั่น เรียนจำๆ ได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนไว้ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ธรรมทั้ง ๓ ประเภทนี้กลมกลืนเป็นอันเดียวกัน จึงเรียกว่าศาสนาที่สมบูรณ์แบบ ถ้าขาด เช่น ปริยัติมีแต่เรียนเฉยๆ ไม่มีปฏิบัตินี่เรียกว่าขาดบาทขาดตาเต็ง ไปเอาปริยัติความจำมาเป็นมรรคผลนิพพาน ข้ามหัวพระพุทธเจ้าที่ทรงปฏิบัติมาจนถึงขั้นสลบไสลไปอย่างไม่รู้สึกตัวเลย
    พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติจนถึงขั้นสลบไสล สาวกทั้งหลายผ่านด้านปฏิบัติทั้งนั้นแหละ ไม่ได้เรียนแล้วก็มาประกาศกังวานไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า เหยียบพระสงฆ์สาวกมาโดยลำดับ ว่าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต ฟังซิน่ะมันขวางขนาดไหน เหยียบหัวพระพุทธเจ้าละมา ทรงสอนให้อยู่ในป่า รุกฺขมูลเสนาสนํ ใครเป็นคนสอน แล้วเหยียบเข้าไปตรงนั้น นี่ละถ้ามีแต่การเรียนเฉยๆ ไม่ได้เป็นผลเป็นประโยชน์อะไร นอกจากนั้นยังเอาการศึกษาเล่าเรียนมาเป็นข้าศึกทำลายศาสนาเข้าไปอีกด้วย
    ถ้ามีภาคปฏิบัติอยู่ในใจ เรียนก็เป็นประโยชน์ ทั้งเรียนไป ศึกษาพินิจพิจารณาไป สะดุดใจตรงไหนๆ ไปเรื่อยๆ นั่นแหละถ้าเรียนเป็นธรรมนะ โอ๋ ท่านว่าอย่างนั้นๆ เรียนเป็นนกขุนทองไม่ได้เรื่องอะไร ไม่เกิดประโยชน์ ปริยัติแล้วก็ปฏิบัติ พอได้ศึกษาเล่าเรียนแล้วให้ออกเป็นภาคปฏิบัติ เป็นอย่างนั้น อย่างพระพุทธเจ้าสอนเบื้องต้นว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่ภาคปริยัติ สอนตั้งแต่วันบวช นี่คือปริยัติ ศึกษาจากพระพุทธเจ้า แล้วก็เอาอันนี้ไปคลี่คลาย นั่นละภาคปฏิบัติ เกสาเป็นยังไง โลมา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นยังไง นี่พูดถึงพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระสงฆ์ที่มุ่งต่อมรรคผลนิพพานโดยแท้ๆ เต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านสอนอย่างนั้น ให้เอาไปคลี่คลายดูสิ่งเหล่านี้เป็นยังไง ฟาดเข้าไปถึงหนัง
    หนังนี่ตัวใหญ่โตมากทีเดียว สัตว์โลกหลงหนังบางๆ ไม่ได้หนาเท่ากระดาษเลยนะ เขาเรียกว่าหนังกำพร้าหรืออะไรห่ออยู่นั้น เป็นบ้ากันทั้งโลก ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคลถ้าเอาหนังออกแล้วดูได้เมื่อไร จากนั้นก็ดูเข้าไปข้างในอีก อาการ ๓๒ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเป็นปริยัติ ทีนี้นำออกไปคลี่คลายดูเป็นภาคปฏิบัติก็รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมา ปล่อยวางอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดต่างๆ อุปาทานถอนออกมากเท่าไร ทุกข์ที่อยู่กับอุปาทานก็ถอนตัวออกมาพร้อมกันๆ นั่นท่านสอน นี่ละภาคปฏิบัติ นี่เอาย่อๆ มา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้เป็นภาคปริยัติ สอนไว้ตั้งแต่วันบวชออกมา เอานี้ไปคลี่คลายดู เมื่อคลี่คลายดูแล้วจะกระจ่างแจ้งขึ้นมา ก็เป็นปฏิเวธคือรู้แจ้งเห็นจริงจากภาคปฏิบัติ อ๋อ ผมเป็นอย่างนี้ ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอย่างนี้ และอวัยวะทุกส่วนเป็นอย่างนี้ๆ ด้วยภาคปฏิบัติพินิจพิจารณา ถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นออกมาโดยลำดับ กองทุกข์ก็ถอนออกมาด้วยกันๆ จากนั้นก็ถอนเข้าไปละเอียดลออ อันนี้เรื่องรูป
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถอนเข้าไปโดยลำดับ จนกระทั่งรากเหง้าคืออวิชชาถอนพรวดมาหมดแล้วโล่งหมดโลกธาตุ นี่ละปริยัติมาหาปฏิบัติ เป็นปฏิเวธขึ้นมาตั้งแต่พื้นๆ จนกระทั่งวิมุตติพระนิพพาน นี่เรียกว่าปฏิเวธ สามประการนี้เกี่ยวโยงกัน
    ถ้ามีแต่ปริยัติไม่เกิดประโยชน์อะไร ต้องมีภาคปฏิบัติ แล้วปฏิเวธคือผลของงานจะรู้แจ้งในผลของตัวเองได้มากน้อยเพียงไร จิตสงบร่มเย็นได้มากน้อยเพียงไร เพราะภาคปฏิบัติคือจิตตภาวนา ให้พินิจพิจารณาคลี่คลายดูแล้วเห็นผลขึ้นมาๆ จนกระทั่งกระจ่างแจ้งถึงมรรคผลนิพพาน เกี่ยวโยงกันไปทั้งสามประเภทนี้ธรรมะ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ พระท่านอยู่ในป่าท่านเรียนวิธีปฏิบัติอย่างนี้แหละอยู่ในป่าในเขา ท่านอยู่อย่างนี้ คลี่คลายดู อยู่ในภูเขาไม่ได้พิจารณาภูเขา พิจารณาภูเราคือตัวของเราเอง มันหนาแน่นยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก พิจารณาตัวนี้ ตัวนี้แตกกระจายแล้วอะไรก็แตกหมด
    ดังที่จิตท่านหลุดพ้นไปแล้ว แตกหมด ว่างไปหมดโลกธาตุ ไม่มีอะไรมาติดใจเลย เพราะเป็นสมมุติทั้งมวล ขาดสะบั้นไปหมด เหลือแต่วิมุตติธรรมล้วนๆ จ้าไปหมดครอบโลกธาตุ นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร เรามาแบกคัมภีร์อวดกันอยู่เฉยๆ ให้กิเลสเหยียบหัวไปทั้งๆ ที่แบกคัมภีร์อยู่นั้นเกิดประโยชน์อะไร พิจารณาซิ พุทธศาสนาเลิศเลอสุดยอดแล้ว เราได้พิจารณาเต็มกำลังจึงพูดได้เต็มปาก ไม่ใช่มาพูดเฉยๆ แบบนกขุนทอง นี่เรียนจริงๆ และปฏิบัติจริงๆ ก็รู้อย่างนั้นจริงๆ ตลอดจนหายสงสัย ทุกวันนี้ทั้งสามแดนโลกธาตุเราหายสงสัยหมดแล้ว จากหายสงสัยในจิตดวงเดียวที่เป็นตัวสำคัญ หายสงสัยในจิตนี้ออกหมด กระจายไปหมด ไม่มีอะไรสงสัยในสามแดนโลกธาตุ
    เพราะฉะนั้นจึงสอนโลกเต็มภูมิของเรา ถึงจะเป็นตัวเท่าหนูก็เต็มภูมิของหนู แล้วพูดออกมาเต็มปากหนูนั่นแหละ ไม่เคยมีสะทกสะท้านกับสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุ ตั้งแต่จิตดวงนี้ได้เปิดออกมา กิเลสตัวจอมปลอมถูกเปิดเผยทำลายไปหมดแล้ว จิตดวงนี้จ้าไปหมดเลย ใครจะว่าบ้าก็ว่าไปซิ เราไม่ใช่บ้านี่ เอาออกมาจากการประพฤติปฏิบัติตามธรรมของศาสดาโดยแท้ ซึ่งเป็นศาสดาองค์เอกหาที่ไหนเสมอเหมือนพระพุทธเจ้าไม่มี ธรรมะก็เหมือนกันเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกอย่างไม่ผิดเพี้ยน ถ้าปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้าแล้วสดๆ ร้อนๆ เหมือนตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา
    ใครมีธรรมในใจเหมือนตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีธรรมในใจแล้วแบกพระพุทธรูปก็หลังหักเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์นะ ถ้าได้เอาธรรมเอาวินัย เอาสติไปเป็นคู่เคียงกับธรรมกับวินัย วินัยข้อบังคับ พระท่านว่าพระวินัย คือศีลนั่นละเป็นข้อบังคับตัวเอง แล้วก็เป็นผลขึ้นมาโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าเป็นผู้มีศาสดาติดตัว เดินจงกรมอยู่ก็มีศาสดาติดตัว ธรรมและวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว ฟังซิ ธรรมวินัยกฎข้อบังคับกิเลสตัณหาที่มันรุมล้อมอยู่ในหัวใจเรา กำจัดสิ่งที่เป็นภัยออก ธรรมะก็งอกเงยขึ้นมา บำเพ็ญขึ้นมา บำรุงขึ้นมา ด้วยสติธรรม ปัญญาธรรม พินิจพิจารณาดูหัวใจที่มันดีดมันดิ้นนี่ซิ
    ไม่มีอะไรดีดดิ้นยิ่งกว่าหัวใจ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนลงที่หัวใจ เป็นศาสนาชั้นเอก พระพุทธเจ้าสอนลงที่จิตใจ นอกนั้นเราไม่พูดถึง ส่วนพระพุทธเจ้าสอนลงที่มหาเหตุ ตัวก่อมหาภัยอยู่ที่นั่น พอจ่อลงไปแล้วจะเจอทั้งกิเลสเจอทั้งธรรม และจะเห็นทั้งคุณทั้งโทษไปโดยลำดับ แล้วเปิดจ้าออกมาเลย โทษไม่มี กำจัดหมดแล้ว เริ่มต้นมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าสอนอนุศาสน์ ให้อยู่ในป่าในที่สงบสงัด เป็นที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญธรรม ไม่มีสิ่งรบกวนยุ่งเหยิงวุ่นวายอะไร การบำเพ็ญก็สะดวก หน้าที่การงานก็ราบรื่นดีงาม ผลเป็นที่พอใจเป็นลำดับลำดาไป ตั้งแต่สมถธรรมคือความสงบใจ จากนั้นก็สมาธิธรรม แน่นหนามั่นคงในใจขึ้นเป็นลำดับ แล้วก้าวเข้าสู่ปัญญา ความแยบคายของใจที่แสดงออก พินิจพิจารณา
    เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เราจะใช้เป็นคำบริกรรมก็ได้ในเวลาจิตเราตั้งพื้นฐานใหม่ๆ เราเอา เกสา โลมาฯ มาเป็นคำบริกรรมติดอยู่กับนั้น เรียกว่าเป็นอารมณ์ของสมถะก็ได้ ทีนี้พอจิตใจมีกำลังวังชาแล้วคลี่คลายนี้ออกเป็นด้านปัญญา คลี่คลายดูผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก กระจายเข้าไปหมด นี่เป็นเรื่องปัญญา เอาอันนี้แหละมาเป็นอารมณ์ ทั้งสมถะและวิปัสสนากระจายไปหมดเลย อยู่ในนี้หมด มันก็รู้แจ้งขึ้นมาๆ
    ศาสนาพระพุทธเจ้าและธรรมพระพุทธเจ้าคือ ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ ขอให้พากันปฏิบัติ เช่นเดียวกับกิเลสสดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลาในหัวใจโลกที่ต่างคนต่างส่งเสริมมันตลอดไปทั่วโลกดินแดน ไม่มีใครส่งเสริมธรรม มีแต่ส่งเสริมกิเลสเพื่อทำลายจิตใจตัวเองและโลกให้ว้าวุ่นขุ่นมัวเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันไปหมด ไปฟังซิข่าวที่ไหน มีแต่เรื่องสกปรกรกรุงรังเผาไหม้กันทั้งนั้นด้วยอำนาจของกิเลส ถ้าธรรมเข้าที่ไหนจะเป็นน้ำดับไฟๆ สงบเย็นไปเรื่อยๆๆ แต่โลกมันไม่สนใจในธรรมนั่นซี สนใจตั้งแต่กับกิเลส ก็เท่ากับสนใจในฟืนในไฟเผาไหม้กันตลอดไป ตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เผาไหม้อยู่อย่างนี้ ถ้าทางกิเลสจะเผาไหม้ไปตลอด ถ้าก้าวทางธรรมจะสงบร่มเย็นไปตลอดจนกระทั่งถึงทุกข์ดับหมด เพราะกิเลสตัวเป็นภัยดับในหัวใจ ฟังซิน่ะ
    ธรรมเหล่านี้มีตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าหรือ พวกเรามันมีแต่มูตรแต่คูถนั้นหรือ เอามาคุ้ยเขี่ยขุดค้นดูซิ ตามธรรมที่ทรงสอนไว้แล้วนี้ จิตใจจะเป็นไฟมาก็ตาม จะสงบได้ถ้ามีธรรมเข้าไปบังคับบัญชาบำรุงส่งเสริมรักษาจิตดวงนี้ที่เป็นมหาภัย ก่อแต่เหตุร้ายขึ้นมาเผาตัวเอง เมื่อน้ำดับไฟคือสติธรรม ปัญญาธรรมจ่อลงดูจิต มันดิ้นไปไหนนักหนา ดูความดิ้นของมันด้วยสติปัญญา มันจะสงบลง พอสงบลงแล้วความสว่างไสวของจิตไม่ต้องบอก ก็รอสว่างอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่ามีเครื่องปิดบังเท่านั้นเอง
    พอจิตใจสว่าง สิ่งใดที่รู้ที่เห็นที่มีมาดั้งเดิม อันนี้ก็สดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ แต่เราไม่เห็นเราตาบอดก็เหมือนสิ่งเหล่านี้ไม่มี แล้วเหยียบเอาโดนเอาหัวแตกไปอย่างนั้นละ พวกขวากพวกหนามพวกเหวพวกบ่อตกไปเรื่อยๆ เพราะความหูหนวกตาบอดของตัวเองไม่สนใจ ถ้าสังเกตสังกาการก้าวเดินไปมา ก้าวหน้าถอยหลัง เราจะเห็นทั้งสิ่งเป็นพิษเป็นภัย สถานที่ปลอดภัย เดินไปสะดวกสบายได้ ถ้าไม่พินิจพิจารณาโดนทั้งนั้นแหละ กองทุกข์มีอยู่กับกิเลส กิเลสทำโลกให้ประมาทนอนใจ ถ้าเอาธรรมจับเข้าไปแล้วระมัดระวัง แล้วก็เป็นธรรมขึ้นมาแคล้วคลาดปลอดภัย ให้พากันยึดไปเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไม่อย่างนั้นจะจมไปหมดแหละศาสนา มีอยู่มันก็เป็นคัมภีร์ใบลานเฉยๆ มันไม่มีในหัวใจของคน
    ครั้นเรียนเข้าไปในหัวใจ ก็ไปเป็นฟืนเป็นไฟกับใจด้วยอำนาจของกิเลสเป็นเจ้าของของธรรมที่เรียนมานั้นไปเสีย มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร จำให้ดีนะทุกคน เอาละพอเท่านั้น วันนี้พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมให้เย็นอกเย็นใจเสียหน่อยเถอะ วันไหนพูดแต่เรื่องสกปรก เรื่องฟืนเรื่องไฟเผาไหม้ เอาละนะ
    นี่ก็ได้เคยพูดแล้วว่า วัดภูวัว ท่านอุทัยคงตั้งจุดศูนย์กลางไว้ที่ ๓๐ คือมีสูงบ้างต่ำบ้าง คือกว่า ๓๐ บ้างลด ๓๐ บ้าง ท่านคงตั้งจุดศูนย์กลางไว้ที่ ๓๐ ท่านจะรับเท่าไรเราไม่ว่าเพราะเราเปิดแล้ว มาเท่าไรมาถ้าพระตั้งใจปฏิบัติดีผมจะรับเลี้ยงบอกเลย หากว่ากำลังไม่พอผมจะบอกว่าอย่างนั้นเลยนะ เอาอย่างนั้นแหละ รับเลี้ยงตลอดมา แล้วก็ในขณะเดียวกันก็เด็ดอีกด้วย ถ้าพระโกโรโกโสให้ไล่ลงภูเขาให้หมด มันเสียศักดิ์ศรีหนักภูเขาลูกนี้เราว่า ถ้าพระดีเอ้ามา คือมาเท่าไรเรารับหมดเมื่อเปิดแล้ว เอ้า ให้มารับทั้งนั้น ไม่มีคำว่ามือเขียนตีนลบนะ มือเขียนมีลบ เอ้ามาว่าอย่างนั้นเลย
    ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจริงๆ เราจะบอกเองว่าไม่สามารถ นี่ไม่เคยมี มาเท่าไรก็ส่งให้ตลอดเผื่อไว้ นี่แหละที่ว่าไปวัดนั้นวัดนี้คือเราเผื่อไว้แล้วเผื่อไว้ตลอดเลย เผื่อวัดเหล่านั้นจะได้มาอาศัย วัดนี้เป็นจุดศูนย์กลาง รถเข้าไปนี้ไม่ได้ซอกแซกได้นี่ แล้วก็พระตั้ง ๓๐ เพราะฉะนั้นเราจึงทำด้วยความพอใจให้สมใจ เอ้า หมดเป็นหมดเราไม่คำนึงคำนวณสิ่งของที่จะนำไปแต่ละครั้งๆ นี่ฟาดไปนี่ขนลงนี้กองเท่าภูเขา ของเล่นเมื่อไร ให้พระท่านสะดวกสบาย แล้วการนำของไปนี้เราผ่านมาแล้วทั้งนั้น ความทุกข์จนข้นแค้นเราเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาแล้ว เพราะฉะนั้นการกะสิ่งเหล่านี้เพื่อพระทั้งหลายจึงไม่ผิดว่าอย่างนั้นเถอะ เผื่อไว้ๆ ตลอด เอ้าให้พร
    ไปทำทานทุกวัน เมื่อวานก็ไปผาแดงฟาดเสียเต็มรถ เยี่ยมมันบอกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่หนักมากที่สุด ถ้าไปไกลกว่านี้ไปไม่ได้ คือเอาขนาดนั้นแหละ ครั้งนี้เป็นครั้งที่หนักมากที่สุด ก็จากนี้ไปหนองวัวซอเข้าผาแดงมันไม่ได้ไกล เอ้าฟาดมันลงไป เอาเสียจนกระทั่งรถมันจะไปไม่ไหวจริงๆ มันบอกว่าหนักมากที่สุดคราวนี้ ถ้าไปไกลกว่านี้ไม่ได้ว่างั้น โอ๋ยใกล้ๆ แค่นี้ผาแดง เอ้าขนเข้ามา ขนเข้ามาเต็มจริงๆ เมื่อวาน รถค่อยๆ ไปๆ ก็เทลงปั๊วะเลย อย่างนั้นแหละ เอาให้มันเต็มเหนี่ยวให้มันสมใจ
    ที่ทำนี้ให้ท่านทั้งหลายทราบนะ นี่แหละเหตุที่ทำนี้ผลจะมาแบบเดียวกัน มาแบบสมใจๆ อย่างเดียวกัน อย่างที่พระสีวลีไปที่ไหน(ลาภสักการะ)ไหลมา เวลาฟังท่านแสดงเรื่องเหตุของท่านบำเพ็ญก็แบบเดียวกันนั่นแหละ ไปไหนมันจึงไหลมาเทมา เป็นอย่างนั้น
    เวลาบอกให้เขาเอาของไปก็เหมือนกัน บอกให้เอาให้เต็มเหนี่ยว บอกอย่างนั้นเลยเชียว ให้เขาเอาของไปส่งแต่ละครั้งๆ เอาให้เต็มที่ๆ มันจุใจ ถ้าทำแล้วมันสบายใจ เย็นสบายไปหมดเลย เช่นอย่างวันหนึ่งๆ ไม่ได้ไปให้ทานนี้รู้สึกมันแป้วๆ ใจนะ จนถึงขนาดได้พูด ถ้าวันไหนไม่ได้ให้ทานทางนั้นทางนี้ รู้สึกแป้วๆ ใจ มันก็แปลกอยู่นะ เอาละพอ

    คัดลอกมาจาก Luangta.Com -
     
  2. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐
    [๒๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ แต่พื้น
    เท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของ ไม่สะอาดมีประการต่างๆ
    ว่า มีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ
    ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ
    มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไถ้มี
    ปากสองข้าง เต็มด้วยธัญชาติต่างชนิดคือ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ข้าว
    สาร บุรุษผู้มีนัยน์ตาดีแก้ไถ้นั้นแล้ว พึงเห็นได้ว่า นี้ข้าวสาลี นี้ข้าว เปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่ว
    เหลือง นี้งา นี้ข้าวสาร ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือน กัน ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ แต่
    พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ
    ว่ามีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ
    ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด
    เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ดังพรรณนามา ฉะนี้ ภิกษุย่อม
    พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกาย
    ในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ
    ความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็น ธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่
    อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึก
    เท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
     
  3. มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ตรงประเดนเลยครับสามสิบสองประการของมหาบุรุษ
    ยากเข้าใจครับ
    เรื่องโลกนี้
    ตั้งแต่เหยียบงูเล็กจนอนาคา
    แล้วเป็นครุฑ
    บนครุฑมีพระนารายณ์ถือปี่
    เรื่องรามเกียรติ์ครับ
    มียศถาบรรดาศักดิ์

    แต่รอยพระบาทเรียบครับ
    รามเกียรติ์มีแต่เขี้ยว
    ท่านเล่าเรื่องโลกไว้หรือไม่
    เพราะแม้แต่ลิงบนบ่ายังมียศเลยครับ

    แล้วรอยพระบาทที่ต้องเรียบไม่มีเขี้ยว
    คืออะไร

    ลิ้นแลบยาวถึงตัก
    แขนยาวเท่าเข่า

    มึนไหมครับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งครับ
     
  4. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อย่าไปสงสัยลักษณะของมหาบุรุษเลยครับ รู้ได้ตามตำราไม่มีวันได้เห็นครับ พิจารณาอาการ ๓๒ ของกายเรา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ฯลฯ น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร กายนี้เต็มไปด้วยของไม่สะอาด รักษาใจให้สะอาด เท่ากับรักษากาย วาจาครับ
     
  5. มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หากไม่รู้จะลุได้อย่างไรขอรับ
    แล้วจะละด้วยวิธีใด
    อย่าถามว่าผมรู้หรือไม่นะครับ
    มองคนละมุมคงยากท่านว่าปัจจยตา
    ปัจจัยของตาที่เห็น
    วันไหนสมดุลย์เข้าที่เข้าทางจะนำเอามาเล่าไหมครับ
    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่ง
     
  6. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อาการ ๓๒ มันก็เป็นของมันเป็นเช่นนั้นเอง ธรรมชาติมีให้เห็น มีให้ดู แต่ไม่ดู หลงกับธรรมชาติ งมงายกับสิ่งที่มองไม่เห็น ดินย่อมเป็นดิน น้ำย่อมเป็นน้ำ ลมย่อมเป็นลม ไฟย่อมเป็นไฟ ธรรมชาติมันก็มีของมันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักดู ไม่รู้จักถอนตัวตนออกจากธรรมชาติ หลงไปกับมัน ยึดมั่นมันเป็นเรา เมื่อไม่ถอนตัวออกมาเป็นผู้ดู เป็นผู้รู้ ไหนเลยรู้ เมื่อไม่รู้ ก็ลุกันไปครับ
     
  7. มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    แสดงว่าจิตเดิมเขามีของเขาอยู่แล้ว
    คือการหันกลับมาดูตัวเอง
    พอเข้าใจตัวเองแล้วรู้ธรรม
    แล้วเอาไปสื่อสอนให้ผู้อื่นรู้ได้
    ทะลุไปวิมุติคือละสมมุติหรือสร้างสมมุติอย่างไร
    แล้วจิตเขาละสมมุติอย่างไรครับ
    เมื่อเขาละแล้วเขารู้ได้อย่างไร

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งครับ
     
  8. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ไม่ต้องไปถามหาวิมุติ ถามไปก็ไม่เจอ เรียนรู้สมมติ วางสิ่งสมมติ วิมุติก็มาเอง คนเรากลัวตายเพราะอะไร เพราะคิดว่า "เรากำลังจะตาย" ถ้ารู้สัจธรรม ท่านจะเห็นว่า ไม่มีใครตาย มีแต่ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ที่ตาย
     
  9. มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ถูกแล้วครับ
    ความเป็นจริงอยู่หลังความตาย
    หากท่านตายแล้วคือวิญญานออกจากร่าง
    หากไม่เจอใครสักคนที่มารอผมว่ายังไม่ใช่อีกเช่นกันครับ

    การที่เราจะวิมุติได้สิ่งแรกคือพยายามละสิ่งที่มีอยู่
    ทำไมเราต้องบำเพ็ญตะบะครับ
    ตะบะนี่คือตาบอดไหมหลับตาหรือไม่
    เพราะขณะลืมตานี่ก็เจอแล้วครับ
    ปัจจัยตา อิทธิปัจ เหตุ อารัมมณา
    แล้วจะไปเอางบน้ำอ้อยที่ไหนไปถวายพระพุทธองค์ท่าน
    แล้วไปอกแตกตายละครับ

    อย่างที่สองอย่าไปกำหนด
    แฮรี่สปอรต์เตอร์ไหมครับ
    เครื่องถ่ายเอกสารใช้จุดครับ
    ตัวหนังสือก็จุด
    จิตก็จุติ
    เพราะเขาไปทำจุดขึ้นมากำหนดจุดขึ้นมาแล้วทีนี้ก็ต้องเดินทาง
    ไม่ลายมังกรก็ใส้เดือนนี่แหละครับ

    ลายไทยนี้เริ่มมาจากอะไรครับ
    นกคาบ อย่าบอกนะว่าไม่ใช่.......นะ
    เพื่อต่อไปโมเมนาโถ
    ใครรู้ช่วยทำลายหน่อยครับ
    ผมอยากรู้ตรงนี้แหละ
    ว่าศาสนาพุทธนี้แปรเป็นไทยหรือจิง ต้นตอเอามาจากไหน
    เจอแต่เมฆถลาครับ ยังไม่เที่ยง

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งครับ
     

แชร์หน้านี้