ถาม: หลวงพ่อครับ อยากให้หลวงพ่อสอนอานาปานสติครับ
เวลาทำอานาปานสติ ให้นั่งดูร่างกายนี้หายใจไป ใจของเราเป็นคนดูอยู่ต่างหาก
อย่าให้ใจถลำลงไปเกาะอยู่ที่ลมนะ
ใจต้องตั้งมั่นเป็นคนดูเห็นร่างกายหายใจอย่างนี้ดี
แต่ถ้าหายใจไปแล้วใจไปอยู่กับลม
นี่หลวงพ่อทำเก่งนะ เพราะหลวงพ่อติดอยู่ ๒๒ ปี ถ้าใจถลำลงไปอยู่ที่ลม ใช้ไม่ได้
ถ้าใจสักว่ารู้สักว่าเห็น เห็นร่างกายหายใจไป ใช้ได้
ถ้าเราหายใจอยู่แล้วเราเห็นร่างกายหายใจ
นี่คือการเจริญอานาปานสติ ในกายานุปัสสนา สติปัฏฐาน
หายใจไปเห็นร่างกายมันหายใจ หายใจไปเรื่อย
เพราะฉะนั้นสังเกตไหม ในกายานุปัสสนา สติปัฏฐานนี
พอพูดถึงอานาปานสตินะ ยังไม่ข้ามไปสู่เวทนา
ไม่เหมือนอานาปานสติสูตร
อานาปานสติสูตรนี้ ท่านรวมเอาสติปัฏฐาน ๔ นี้มาแจกแจงลงในการทำอานาปานสติ
แต่ไม่ว่าจะเป็นอานาปานสติในสติปัฏฐานหรือในอานาปานสติสูตร
ก็ต้องมีจิตเป็นคนรู้การหายใจนั้น
ต้องแยกรูปกับนามนะ ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัตินี้แทนที่จะแยกรูปแยกนาม
เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ชอบไปเพ่งใส่ลมหายใจ
พอไปเพ่งใส่ลมหายใจ จิตนิ่งๆ ได้แต่สมถะนะ
แล้วพอกพูนอัตตา พอจิตนิ่งแล้วรู้สึกกูเก่งๆ
ทำไมมันพอกพูนอัตตา เพราะมันเริ่มเบี่ยงเบนตั้งแต่คิดจะปฏิบัติแล้ว
พอเราปฏิบัติเราจงใจจะไปรู้ลมอย่างเดียว ไม่ให้จิตไปรู้อันอื่น นี่เริ่มบังคับมันแล้ว
ไม่ให้จิตหนีไปที่อื่น ได้แต่สมถะนะ แล้วก็กูเก่งๆ
แต่ถ้าอยากเจริญอานาปานสติให้มันเป็นวิปัสสนา
เห็นร่างกายนี้หายใจไป ใจเป็นคนดู อย่างนี้นะ หายใจไป ใจเป็นคนดู
แล้วถ้าอะไรแปลกปลอมขึ้นในกายมีสติรู้ เห็นเลย
กายที่กำลังหายใจอยู่นี้หรือกายมีสิ่งแปลกปลอม
เช่น มันเกิดกระตุก เกิดคัน เกิดอะไรขึ้นมานะ เราเห็นเลยมันไม่ใช่ตัวเรา
เวลาเราหายใจอยู่ถ้าใจเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูนะ เราจะเห็นเลย
ร่างกายที่หายใจอยู่นี้ไม่ใช่ตัวเรานะ เริ่มละความเห็นผิด เริ่มละอัตตาแล้ว
ละความเห็นผิดว่ามีอัตตา หรือเราหายใจอยู่
จิตใจของเราเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดไหววอบแวบๆ ขึ้นมา
เราเห็นเลย มันทำงานของมันเอง มันเป็นของมันเอง มันไม่ใช่ตัวเรา
นี่ฝึกอย่างนี้นะ ถึงจะละกิเลสได้จริงๆ
แต่ถ้าฝึกแล้วก็เพ่งให้จิตไปเกาะลมนะ มันเพิ่มอัตตานะ
เพิ่มความรู้สึกมีตัวมีตน กูเก่งกูบังคับได้
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะขึ้นถึงวิปัสสนานี้
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการแยกรูปกับนามออกจากกัน
ร่างกายหายใจนี่ตัวรูปนะ
นามคือคนที่ไปรู้ว่าหายใจ นี่พูดแบบอภิธรรมนะ บอกแยกรูปนาม
ถ้าพูดแบบครูบาอาจารย์วัดป่าก็คือเราต้องมีจิตที่เป็นผู้รู้
จิตผู้รู้นี้เห็นร่างกายนี้หายใจไป
เพราะฉะนั้นถ้าเราภาวนาไม่มีจิตผู้รู้แล้วไปดูกาย จะไปเพ่งกาย
แล้วก็เพิ่มอัตตาขึ้นมา สูงที่สุดคือได้สมถะ
เพราะฉะนั้นเวลาหายใจ อย่าให้ใจไหลไปอยู่ที่ลมนะ
รู้ลงปัจจุบันไปเรื่อยๆ แยกรูปแยกนามนะ
เห็นร่างกายนั่ง ร่างกายยืน ร่างกายเดิน ร่างกายนอน
ร่างกายหายใจเข้า ร่างกายหายใจออก อะไรอย่างนี้
ดูไป ดูมันเหมือนดูคนอื่น ใจอยู่ต่างหาก
ต่อไปพอใจมันมีความรู้สึกขึ้นมา มันสุขมันทุกข์ มันเกิดกุศลอกุศล
ดูไปอีก แยกนามต่อไปอีก
ความสุข ความทุกข์ กุศล อกุศล โลภ โกรธ หลง อะไรอย่างนี้
ล้วนถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่เราอีกแล้ว
เห็นไหม ร่างกายก็ของถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเรานะ
ความสุข ความทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ของถูกรู้ถูกดู
ไม่ใช่ตัวเรา ความโกรธไม่ใช่ตัวเรา ดูออกแล้วหรือยัง
เห็นไหม ความสุขไม่ใช่ตัวเรา ดูออกแล้วหรือยัง
เห็นไหม ฝึกอย่างหลวงพ่อนะ มันถึงจะเห็นขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวเรา
ส่วนที่ไปฝึกหายใจลูกเดียวจะไปเห็นอะไร
มันเพิ่มอัตตานะ กูเก่งๆ นะ ใครสอนไม่เหมือนตัว โมโหซะอีก
เราปฏิบัติเพื่อละความเห็นผิดว่ามีอัตตาตัวตน
เพราะฉะนั้นเราต้องแยกมันไปเรื่อย ร่างกายส่วนนึง จิตใจส่วนนึง
เห็นร่างกายหายใจไป ใจเป็นคนดู
ไม่ใช่หายใจแล้วไปเพ่งนิ่งอยู่ที่ลมหายใจ หรือดูท้องพองยุบนะ
เอาจิตไปเกาะนิ่งอยู่ที่ท้อง มันจะมีสติมีปัญญาอะไรขึ้นมา
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
สวนสันติธรรม
อานาปานสติ เพื่อความพ้นทุกข์
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บัวใต้น้ำ, 9 กันยายน 2008.
-
ร่างกายเป็นนักมวย.....จิตเป็นพี่เลี้ยงดูอยู่นอกเวที....นักมวยโดนกิเลสเตะ.....เพี๊ยะ.....นักมวยเจ็บพี่เลี้ยงไม่เจ็บ....เจริญในธรรมครับ
-
ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...
-
junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี
ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?
หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ
ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า
"สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ
แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"
ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ
ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด