อานิสงส์การทำบุญ, นางวิสาขา เบญจกัลยาณี มหาอุบาสิกา ผู้เลิศที่สุดในการถวายทาน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 29 มกราคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม : ................(อานิสงส์การทำบุญ)............
    ตอบ : บางคนเขาไม่เชื่อว่าเป็นไปได้อย่างไร การส่งผลของบุญหรือบาปนี่ พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า กรรมวิบาก คือ กรรมเป็นที่กุศลคือ ส่วนที่เป็นบุญ กรรมที่เป็นอกุศลคือส่วนที่เป็นบาป ท่านบอกว่ามันพิลึกพิลั่นเกินกว่าที่ทุกคนจะเข้าใจได้ ใครคิดพึงมีส่วนของควาเมป็นบ้า เสียเวลาคิด ได้ก็คือได้ เป็นก็คือเป็น หมดเรื่อง ถ้ามัวแต่ไปคิดว่าทำไม เขาถึงได้มีเยอะขนาดนั้น เอาแค่ใครล่ะ

    ... อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซื้อสวนจากเจ้าเชตกุมาร เจ้าเชตบอกว่าขายให้ก็ได้ เอาเงินมาถมให้เต็มสวนซิ พื้นที่มันไม่เรียบ เป็นป่า เรียกว่าอุทยาน เอาเงินมาเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน แล้วจะขายให้ อนาถบิณฑิกเศรษฐี สั่งให้เปิดคลังเลย มาถึงก็เทเลย ให้คนงานเกลี่ยไล่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงปากประตู เจ้าเชตคงประเภทที่ว่า แค่นี้ก็เหลือเฟือที่จะรับแล้ว ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ตรงนี้ขอว่าร่วมบุญด้วยก็แล้ว กัน เงินที่เหลือที่จะถมที่ตรงหน้าประตูเป็นจำนวนเท่าไร ขอร่วมสร้างวัดด้วย อนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านก็สุดยอดเลยจริง ๆ เขาสละทรัพย์แค่นั้นะ แต่ว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐีตั้งให้ชื่อว่า วัดเชตวัน ป่าของเจ้าเชต เชตะ คือเจ้าเชต วันนะคือป่า กลายเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าอยู่จำพรรษามากที่สุด คือ พรรษาที่ ๒๑ ถึง พรรษาที่ ๔๔ พระพุทธเจ้าประจำอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร เดินทางอยู่ระหว่างสองเมือง คือ เมืองสาวัตถี กับเมืองสาเกต เมืองสาวัตถีกับเมืองสาเกตเป็นเมืองแฝด เหมือนเชียงใหม่กับลำพูน หรือไม่ก็กรุงเทพกับธนบุรีอย่างนี้

    คือว่า ตอนพระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านเห็นว่าแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสารนี้มีเศรษฐีเยอะมาก เศรษฐกิจทั้งหมดอยู่ในมือของเศรษฐีเขา เพราะว่าเศรษฐีสมัยก่อนได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาด้วย จะมีการมอบฉัตรให้ยศด้วย ถึงจะเรียกว่าเศรษฐี ต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระราชาถึงจะเรียกว่าเศรษฐีได้ ผู้ใดจะเป็นเศรษฐีได้ต้องมีทรัพย์อย่างน้อย ๘๐ โกฏิ หลวงพ่อท่านบอกว่าประมาณ ๘,๐๐๐ ล้าน แต่ว่าตามบาลีเขาเทียบว่า ๑๐ ล้านเป็น ๑ โกฏิ เพราะฉะนั้น ๘๐ โกฏิต้องมีอย่างน้อย ๘๐๐ ล้านขึ้นไปถึงจะเรียกว่าเป็นเศรษฐีได้

    พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านเป็นพี่เมียของพระเจ้าพิมพิสาร เพราะว่าพระนางโกศลเทวี เป็น้องสาวของพระเจ้าปเสนทิโกศล ไปแต่งกับพระเจ้าพิมพิสาร แคว้นมคธโน้น ท่านก็เลยทำราชสาส์นถึงพี่เขย ขอตระกูลเศรษฐีมาช่วยงานในแคว้นโกศลบ้าง

    ตอนนั้นแคว้นโกศลก็เป็นประเทศใหญ่ประเทศหนึ่ง แคว้นมคธก็เป็นประเทศใหญ่ประเทศหนึ่ง แล้วยังมีแคว้นอื่น ๆ อีก ๑๔ แคว้นด้วยกัน รวมแล้ว ๑๖ แคว้น ต่างคนต่างเป็นประเทศ ต่างคนต่างเป็นราชามีพระมหากษัตริย์ปกครองอยู่ แคว้นใหญ่เรียกมหาราชา แคว้นเล็กเรียกราชาบ้าง กษัตริย์บ้าง อย่างของแคว้นวัชชี เขาก็เรียกมัลละกษัตริย์ ถ้าหากว่าของพระเจ้าปเสนทิโกศลเขาเรียกว่า มหาราชา เพราะว่าเป็นแคว้นใหญ่ พลเมืองเยอะ พื้นที่กว้าง

    ทางด้านพระเจ้าพิมพิสารก็ส่งธนัญชัยเศรษฐีที่เป็นพ่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาไป ส่งให้ไปอยู่แคว้นโกศล ธนัญชัยเศรษฐีพาบริวารไปไม่มากหรอก ๒๐๐,๐๐๐ คน ลูกน้องแก พอพาไปถึง ก่อนเข้าเขตเมืองสาวัตถี มันมีป่าใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ก็ถามว่าตรงนี้เป็นสมบัติของใคร ? พระเจ้าปเสนทิโกศลก็บอกว่ายังไม่มีใครจับจอง ยังเป็นสมบัติของท่านอยู่ ธนัญชัยเศรษฐีก็เลยบอกขอที่ตรงนี้ เพราะบริวารของท่านมาก เข้าไปในเมืองแล้ว ก็จะไปสร้างความลำบากให้กับผู้อื่นเขา ต้องไปแบ่งที่แบ่งทางคนอื่นเขา ท่านเองก็ทุ่มเททรัพย์สินเงินทองสร้างเป็นเมืองสาเกตขึ้นมา ก็กลายเป็นว่าเมืองสาเกตกับเมืองสาวัตถีเป็นเมืองแฝดติดกันอยู่

    พระพุทธเจ้าท่านก็จะเสด็จอยู่ระหว่างบุพพาราม คือวัดที่นางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างกับ เชตวันมหาวิหารที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้าง อนาถบิณฑิกเศรษฐีเอาเงินไปถมที่ ๑๘ โกฏิ ก็ตีเสียว่า ๑,๘๐๐ ล้าน สมัยนี้ก็แล้วกันนะ แล้วก็จัดสร้างวัดเชตวันมหาวิหาร หมดไปอีก ๑๘ โกฏิ หมดไปอีก ๑,๘๐๐ ล้าน แล้วจัดงานฉลองเสีย ๓ เดือน หมดไปอีก ๑๘ โกฏิ ชื่นใจมาก รวม ๆ แล้วหมดไป ๕๔ โกฏิ วัดเดียว กลายเป็นวัดที่คุ้มค่ามากที่สุดในพระศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าอยู่จำพรรษาตั้งแต่พรรษาที่ ๒๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กันยายน 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...