จากหนังสือกฏแห่งกรรมเล่มที่ ๗ภาคธรรมบรรยาย-ธรรมปฏิบัติ เรื่อง คติกรรมฐาน หน้า ๓๐๓ -๓๐๔
<O:p</O:p
๑. มีวินัยในตัวเอง 3 ประการคือ<O:p</O:p
·๑ รู้จักระวังตัว<O:p</O:p
·๒ รู้จักควบคุมตัวได้<O:p</O:p
·๓ รู้จักเชื่อฟังผู้ใหญ่ถ้าเป็นเด็กจะไม่เถียงผู้ใหญ่<O:p</O:p
๒. มีกิจนิสัย ๔ประการ<O:p</O:p
·๑ ขยันไม่จับจด รักงานสู้งาน<O:p</O:p
·๒ ประหยัดรู้จักใช้ชีวิตและทรพย์สินอย่างถูกต้องและคุ้มค่า <O:p</O:p
·๓ พัฒนา รู้จักพัฒนาตัวเองและอาชีพให้ดีขึ้น<O:p</O:p
·๔ สามัคคี รักครอบครัว รักหมู่คณะและรักประเทศชาติ<O:p</O:p
๓. มีลักษณะนิสัย ๔ประการ<O:p</O:p
·๑ มีสัมมาคารวะ <O:p</O:p
·๒ อุตสาหะพยายาม <O:p</O:p
·๓ ปฏิบัติตามระเบียบวินัย <O:p</O:p
·๔ รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่วางตัวได้เหมาะสม
<O:p</O:p
๔.มีความรู้คู่กับคุณธรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ๔ ประการได้ <O:p</O:p
·๑ รู้จักคิด <O:p</O:p
·๒ รู้จักปรับตัว<O:p</O:p
·๓ รู้จักแก้ปัญหา <O:p</O:p
·๔มีทักษะในการทำงานและค่านิยมที่ดีงามในอนาคต เจ้านายทิ้งลูกน้องไม่ได้ลูกน้องทิ้งเจ้านายไม่ได้ เข้าหลักที่ว่า ผู้ใหญ่ดึง ผู้น้อยดันคนเสมอกันจะได้อุปถัมภ์ค้ำจุนต่อไป
<O:p</O:p
๕.อานิสงส์ในการเดินจงกรม<O:p</O:p
·๑. อดทนต่อการเดินทางไกล<O:p</O:p
·๒. อดทนต่อความเพียร<O:p</O:p
·๓. มีอาพาธน้อย <O:p</O:p
·๔. ย่อยอาหารได้ดี
<O:p</O:p
·๕. สมาธิที่ได้ขณะเดินตั้งอยู่ได้นาน
(ในปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย เล่ม ๓๒)<O:p
ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นศีลก็มีอยู่แล้วในโลกนี้ ทานก็มีอยู่สมาบัติเหาะเหินเดินอากาศก็มีอยู่ก่อนแล้วมีผู้ที่เขาทำกันอยู่แล้ว พระพุทธเจ้ายังมาสร้างบารมีอยู่กับเขาสิ่งที่ยังไม่มีเวลานั้นก็คือ สติปัฏฐาน 4 มรรค 8 ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็คือธรรมะอย่างเดียวนั่นเองวิสุทธิ 7 ไม่มีสติปัฏฐานไม่มีมรรค 8 ไม่มีวิปัสสนาไม่มี ( ถ้าทำถูกต้องแล้วธรรมเหล่านี้จะเข้าหมดเลย )ธรรมเหล่านี้ยังไม่มีจนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วคนทั้งหลายในสมัยนั้นไม่มีโอกาสเลยสัตว์โลกทั้งหลายไม่มีโอกาสที่จะได้สร้างกุศลอย่างนี้เลย
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงได้ประกาศกุศลอย่างนี้ (ทางไปนิพพานจึงได้ปรากฏขึ้นในโลกพุทธศาสนาสิ้นแล้วหนทางนี้ก็สิ้นด้วย )
ท่านจึงได้กล่าวว่าผู้ใดมาเกิดพบพระพุทธศาสนาแล้วเป็นลาภอันประเสริฐมีอานิสงส์มากเหลือเกินเป็นลาภอย่างไรเป็นลาภก็เพราะว่าจะได้สร้างกุศลอย่างนี้เพื่อเป็นปัจจัยที่จะพ้นจากสังสารทุกข์กุศลอย่างอื่นไม่มีพ้นได้เลยจึงได้กล่าวว่าเป็นลาภอันประเสริฐ
เราทั้งหลายก็ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแต่ว่าเราไม่เคยรู้จักเลยกุศลอย่างนี้ไม่เคยได้สร้างเลยเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วการพบพระพุทธศาสนาก็เป็นหมันหาประโยชน์ไม่ได้เราก็มัวแต่จะมาสร้างทานสร้างศีลอะไรต่ออะไรซึ่งนอกพระพุทธศาสนาก็ได้เพราะว่าเขาก็มีมาก่อนแล้วประจำโลกอันนี้นะซีไม่มีที่กล่าวว่าเป็นลาภอันประเสริฐนั้นก็คือได้มีโอกาสสร้างกุศลอย่างนี้ถือว่าเป็นอานิสงส์มากนัก
เพราะฉะนั้นเราควรสร้างเราจะได้หรือไม่ได้ก็ช่างแต่กุศลวิปัสสนานี้เราต้องสร้าง เพราะว่าเรามีโอกาสแล้วที่จะสร้างได้เราก็ต้องสร้าง เพื่อให้เป็นปัจจัยต่อไปเพราะว่าถ้าตายแล้วสูญเราก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมดแต่นี่เราเชื่อแล้วว่า ตายแล้วไม่สูญสังสารวัฏมีอยู่เพราะฉะนั้นเราก็สร้างไว้ให้เป็นปัจจัยอันนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เคยเทศนาแก่พระอานนท์ว่าตถาคตคงยังอยู่ก็ตาม หรือจะล่วงลับไปแล้วก็ตามจะเป็นอุบาสก อุบาสิกาภิกษุภิกษุณี คนใดคนหนึ่งก็ตามถ้าตั้งอยู่ในธรรมอันนี้แล้วตถาคตก็ยกย่องว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ประเสริฐ
อะไรตั้งอยู่จิตตั้งอยู่ในธรรมอันนี้คือพิจารณากายเวทนาเป็นต้นได้แก่สติปัฏฐานพระองค์ก็ทรงยกย่องว่าผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐแล้วยังได้ทรงตรัสว่าอานนท์จงมีตนเป็นที่พึ่งของตนอย่าเอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งจงเอาตนเป็นที่พึ่งและเอาธรรมเป็นที่พึ่งด้วยเอาตนเป็นที่พึ่งนั้นอย่างไร ?
ผู้เชื่อว่า มีตนเป็นที่พึ่งของตนคือ ผู้ที่พิจารณากายพิจารณาเวทนาพิจารณาจิตพิจารณาธรรมสติปัฏฐานอันใดอันหนึ่งผู้ที่นำจิตของตนไปตั้งอยู่ในสติปัฏฐานได้ชื่อว่าผู้นั้นมี ตนเป็นที่พึ่งและมี ธรรม เป็นที่พึ่งด้วยและผู้ที่จะนำจิตมาตั้งอยู่ในสติปัฏฐานได้ชื่อว่าผู้นั้นมีตนเป็นที่พึ่งและมี ธรรม เป็นที่พึ่งด้วยและผู้ที่จะนำจิตมาตั้งอยู่ในสติปัฏฐานได้ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับกิเลสจริงๆ แล้วคือผู้ที่ไม่มีตนเป็นที่พึ่งแล้วมาไม่ได้มาไม่ได้หรือมีอุปสรรคอย่างนู้นอย่างนี้
คนที่จะเอาจิตมาตั้งอยู่ในสติปัฏฐานได้จะต้องเป็นคนที่ชนะกิเลสได้ชนะกิเลสมาแล้วก็มีปัจจัยของกุศลที่จะให้โอกาสให้จิตมาตั้งอยู่ได้จึงจะมาได้จะต้องชนะกิเลสมาชั้นหนึ่งแล้วมิฉะนั้นมันไม่ยอมกิเลสมันจะลากไปทีเดียวนรกน่ะไม่มีกุศลลากไปเลย มีแต่กิเลสลากไปทั้งนั้นถ้าไปสวรรค์ก็ต้องกุศลนั่นแหละเป็นผู้ลาก
ถ้าคนที่ชนะกิเลสไม่ได้ก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ในธรรมอันนี้ได้เพราะฉะนั้นคนที่ตั้งอยู่ได้ชื่อว่ามีตนเป็นที่พึ่งมีอำนาจสามารถจะทำตนให้เป็นที่พึ่งได้สามารถจะได้ธรรมเป็นที่พึ่งอีกประการหนึ่งในมหาปรินิพพานสูตรพระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพานแล้วขณะนั้นเทวดาทั้งหลายก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าประชวรมากวันนี้ บอกว่าเวลานั้นทีเดียวจะเข้าสู่ปรินิพพานแล้วก็พากันบอกกล่าวว่าเราจะพากันไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียในวันนี้เถอะต่อไปจะไม่ได้บูชาอีกแล้ว
ดังนั้นต่างก็พากันโปรยดอกมณฑารพอันเป็นดอกไม้ทิพย์ที่เหล่าเทวดวพากันบูชาพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็ตรัสแก่พระอานนท์ว่าอานนท์เทวดาเหล่านั้นบูชาตถาคตด้วยดอกไม้อันเป็นทิพย์มากมายเหลือเกินเต็มไปหมดทั้งป่าแต่ถึงเช่นนั้นก็ยังไม่ชื่อว่าตถาคตรับบูชาของพวกเทวดาเหล่านั้นถ้าเราเอาของไปให้ใครแล้วเขาไม่รับจะชื่อว่าให้เขาไหม ? ก็ไม่ชื่อว่าให้ถูกไหม ?
การที่เราบูชาก็เหมือนกันถ้าพระองค์ไม่รับ ก็ไม่ชื่อว่าบูชา ต่อเมื่อใดผู้ใดผู้หนึ่งก็ตามมาเห็นภัยในวัฏฏะแล้วก็ทำความเพียรเพื่อออกจากสังสารวัฏนั่นแหละการกระทำของบุคคลเช่นนั้นชื่อว่าตถาคตรับบูชาเห็นไหมที่เรามาปฏิบัตินี้เป็นหารบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ใดมาพิจารณาเพื่อตัวจะได้พ้นทุกข์ คือ สังสารทุกข์นี่แหละชื่อว่า ตถาคตรับบูชาเราน่ะเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาด้วยกันทั้งนั้นทำไมเราจะบูชาพระตถาคตสักเจ็ดวัน
อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม
ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โสภา จาเรือน, 23 กรกฎาคม 2008.
-
โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี
-
อนุโมทนา สาาาาาธุ ครับ
ขอบคุณเจ้าของกระทู้มี่นําบทความที่ดีนี้มาเผยแผ่ครับ สาธุ -
อนุโมทนาสาธุครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
"จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลา เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครไหนมาช่วยเจ้า"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ร่วมสร้าง " อุโบสถเงิน" วิหารทานที่ในครั้งนึงในชีวิตไม่ควรพลาดครับ
--> http://palungjit.org/showthread.php?t=140433
พระคุณพ่อ
--> http://palungjit.org/showthread.php?p=1326572#post1326572
มาเที่ยว วัดเกตการาม จ.เชียงใหม่ วัดประจำปีจอกัน
--> http://palungjit.org/showthread.php?t=136821
พุทโธหาย....?
--> http://palungjit.org/showthread.php?p=1329341#post1329341
ปรัชญาพุทธกับคนรัก(ที่ไม่รักเรา) เอ๊า!!ใครอกหักยกมือขึ้น
--> http://palungjit.org/showthread.php?p=1338677#post1338677 -
เห็นด้วยกับคุณ Kacher คับ
-----------------------------------------------------------------------
สวดมนต์เป็นยาทาภาวนาเป็นยากิน <หลวงพ่อจรัญ>
-----------------------------------------------------------------------
ขออนุโมทนา คับ -
อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ
สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
<O:p</O:p
<O:p</O:p
_____________________________<O:p</O:p
เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p -
junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี
ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?
หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ
ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า
"สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ
แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"
ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ
ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
<!-- / message -->
<!-- / message -->