อานุภาพพระภูมิวัดบางนมโค

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 15 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]

    พระภูมิวัดบางนมโค

    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2516 เรื่องที่จะคุยต่อไปนี้ ก็เห็นจะเป็นเรื่องสั้นๆ เพราะว่าไม่ค่อยจะทราบต้นประวัตินัก เรียกว่าเอาสิ่งละอันพันละน้อย มาเล่าสู่กันฟังในฐานะที่เคยพบมา วันนี้ก็จะนำเรื่องที่ชาวบ้านไม่ค่อยจะเชื่อ มาเล่าให้ฟังอีกสักเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องของพระภูมิ
    สำหรับพระภูมิในปัจจุบัน ก็มีหลายท่านด้วยกันที่โจมตีพระภูมิ หาว่าการตั้งศาลพระภูมิไม่เป็นเรื่องเป็นราว แต่ก็มีอนุศาสนาจารย์ของกองทัพบกท่านหนึ่ง เวลานี้มียศเป็นพันโท จะไม่ประกาศให้ทราบว่าชื่ออะไร ท่านเคยออกอากาศเมื่อสมัยที่เป็นร้อยตรี เคยโจมตีพระภูมิเหมือนกัน แล้วต่อมาเห็นคุณค่าของพระภูมิ เวลานี้เลยเป็นหมอตั้งศาลพระภูมิไป อันนี้ ผลอย่างนี้จะปรากฏขึ้นเพียงใด ก็เป็นเรื่องของท่านผู้อ่าน หรือท่านผู้ฟังให้ค่อยๆ พิจารณากันไปเอง
    สำหรับพระภูมินี้ อาตมาเองผู้พูด แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ค่อยจะเชื่อเหมือนกัน แล้วก็เป็นเอามากๆ ด้วย ทีนี้พระภูมิก็มาประสบเข้ากับตนเอง คือสมัยเมื่อปี พ.ศ. 2492 ไปนั้น ไปรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโค อำเภอเสนอ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วทางคณะสงฆ์มอบงานให้ด้วย ทำงานอะไรบ้างไม่บอกให้ทราบ เพราะเป็นความลับของคณะสงฆ์ในเวลานั้น ขณะที่ไปอยู่ใหม่ๆ ความจริงวัดนี้ก็เป็นวัดเดิมที่อยู่มาก่อน แล้วก็ลงมาอยู่กรุงเทพฯ เรียนบาลี ต่อมาวัดทรุดโทรมลงไปมาก ภาวการณ์ของวัดอยู่ในสภาพแย่ งานประจำปีชาวบ้านช่วยทุกอย่าง ค่าปีพาทย์ ค่าลิเก ค่าอาหาร แต่ก็มีกำไรสุทธิเพียงปีละ 200 บาท ค้นบัญชีดู ไปดูคนแล้วงานวัดมีคนไม่กี่คน เขาก็เลยมาตามไป เรียกว่าความจำเป็นบีบต้องกลับไป กลับไปก็ต้องไปฟื้นฟูใหม่ เพียงปีแรก จัดงานขึ้นได้กำไรสุทธิ 9,000 บาท ปีที่ 2 ได้ 12,000 บาท ปีที่ 3 เป็นต้นไปได้ตั้งแต่สามหมื่น สี่หมื่น ห้าหมื่น หกหมื่น ถึงแปดหมื่นบาท นี่เป็นกำไรสุทธิ ทั้งนี้เพราะอะไร ที่ได้ขึ้นมามากน่ะไม่ใช่อะไร ไปไหว้หลวงพ่อปาน ก็มีความเคารพในหลวงพ่อปาน และมีความเคารพในพระบรมสารีริกธาตุ จะเล่าให้ฟังตอนหลัง ตอนนี้มาเล่าถึงเรื่องพระภูมิก่อน
    ในตอนต้นที่อาตมาไปถึง กุฏิของหลวงพ่อปานไม่มีพระอยู่ ก็ไปเรียนถามหลวงพ่อเล็กอาจารย์ฉัตร ในสมัยนั้นที่เป็นพระอาวุโส และทรงพระกรรมฐานอย่างเลิศ คำว่าเลิศนี่เลิศในคณะ ไม่ใช่เลิศสำหรับคนอื่น ในกลุ่มนั้นท่านเลิศ ถามว่าทำไมไม่อยู่กุฏิของหลวงพ่อปาน นิมนต์ท่านไปอยู่ ท่านบอกว่าท่านไม่รับรอง ท่านไม่ยอมไปอยู่ ถ้าหากว่าท่านไปอยู่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นใครจะช่วยเหลือท่าน เมื่อหาพระไปอยู่ไม่ได้ อาตมาเคยเป็นลูกศิษย์มา ก็เลยบอกว่าถ้ายังงั้น ถ้าไม่มีคนอยู่ผมจะอยู่เอง ตอนเย็นก็หอบเสื่อหอบหมอนเข้าไป ไม่มีอะไรมาก แบบเจ๊กมาจากเมืองจีน มีหมอนลูก เสื่อผืน มุ้งหลังพอ อีตอนที่จะเข้าไปหลวงพ่อเล็กเห็นเข้าบอกว่า ทำไมไม่บวงสรวงขออนุญาตเสียก่อน ก็เลยบอกว่า สมัยก่อนผมนอน ผมไม่ได้บวงสรวงผมก็นอนได้ มาอีกตอนนี้ผมไปนอนอีกจะต้องบวงสรวงก็เห็นจะไม่เป็นเรื่องละ ไม่ยอมบวงสรวงมันจะเป็นไร ก็อยากจะรู้กันสักที วัดนี้เข้ามีความสำคัญมากแค่ไหน ผมไม่เคยรู้ รู้บ้างก็ไม่หนักนัก เป็นเพียงแต่เพียงผีหลอก ถือกันสมัยก่อนก็ไม่เห็นเป็นเรื่องหนัก
    หลวงพ่อเล็ก ท่านก็ไม่ว่าอะไร ไอ้คนมันบ้าๆ บอๆ เสียแล้วนี่ จะไปว่าอะไรกันได้ ท่านก็นิ่ง เมื่อท่านนิ่งก็เลยเดินเข้าไป ทำความสะอาดพอสมควร มันก็ไม่สะอาดนัก แหวกๆ ที่นอนเอา จัดที่นอนภายในห้องใน กุฏินั้นเป็นกุฏิฝาเฟี้ยมปิดตลอด แต่มีกั้นในอยู่ 1 ห้อง คือห้องที่หลวงพ่อปานเคยจำวัด เดินเข้าไปจัดสถานที่เรียบร้อยแล้ว ประมาณ 2 ทุ่มก็ออกมาบูชาพระที่หน้าพระ ก็อยู่ภายในประตูปิดเหมือนกัน ขณะที่บูชาพระตั้ง นะโม ปรากฏว่ากุฏิห้องที่นอนอยู่นั่นแหละ ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร มีลูกกรงเหล็กเข้าไม่ได้ เสียงประตูเปิดอ๊าด ดังสนั่น แล้วก็มีคนเดินขย่ม ไม้หนามากนะ ความจริงคนเดินยังไม่ค่อยจะยุบตัวเลย คนเดินไม้สะเทือนกุฏิหวั่น แสดงว่ามีน้ำหนักมาก ขณะนั้นกำลังตั้งใจจะบูชาพระ หลับตาอยู่ เห็นคนนุ่งขาวห่มขาวมือสีแดง มือขวามีสีแดงจัด ยืนอยู่ข้างหน้า ก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร ลืมตาขึ้นมา ทั้งๆ ที่เทียนจุดสว่างอยู่หลายเล่มก็เห็นเป็นคน หลับตาก็เห็น ก็นึกในใจว่าเอ๊ะ มันคนอะไรของมัน ไอ้คนธรรมตาลืมตาเห็นได้ หลับตาไม่เห็น แต่อีตาคนนี้ลืมตาก็เห็นหลับตาก็เห็น ก็เลยถามว่าแกเป็นใคร เขาก็เลยรายงานบอกว่าผมคือภูมิเทวดา หรือพระภูมิรักษาพื้นที่ของวัดนี้ ถามว่ามาทำไม แกบอกว่าจะมาเตือนท่าน ท่านเป็นเจ้าอาวาส ทำไมจึงไม่ตั้งศาล ศาลพระภูมิ ก็เลยบอกแกว่าศาลหน้าวัด ข้างศาลาน่ะเยอะแยะ ใครเขาเป็นเจ้าอาวาสเขาก็ตั้งศาลกัน ที่วัดนี้โดยมากเจ้าอาวาสมีชีวิตไม่ยาว หลายองค์มาแล้ว เป็น 2 - 3 ปีก็ตาย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร หลวงพ่อปานเองท่านไมได้เป็นเจ้าอาวาส ตอนหลังท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาส 2 ปีก็มรณภาพ ก็ถามว่าทำไมไม่อยู่ล่ะ ศาลน่ะเยอะแยะไป เลือกเอาตามใจชอบ แกบอกว่าไม่ได้หรอก ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านต้องตั้งใหม่ ถามว่าศาลเก่าน่ะอยู่ไม่ได้เรอะ แกก็เลยบอกว่าได้เรื่องตั้งศาลนี่ไม่ใช่ให้เป็นที่อยู่นะ ภูมิเทวดาเขามีวิมานเป็นที่อยู่ การตั้งศาลนี่น่ะ เป็นการแสดงว่ายอมรับนับถือซึ่งกันและกันเท่านั้นนะ หมายความว่าเป็นที่สักการะเป็นที่บูชา เมื่อแกบอกอย่างงั้นก็เลยนึกในใจว่าแปลก เลยบอกกับแกว่า เอายังงี้ก็แล้วกัน ยังไม่ตั้งหรอก ถ้าไม่ตั้งศาลจะมีอะไรเกิดขึ้น แกบอกว่าหลวงพ่อปานน่ะเป็นอาจารย์ท่านนะ ยังเคารพในผม แล้วท่านทำไมไม่เคารพล่ะ เราเกรงใจกันนะ ผมไม่ใช่บังคับให้ท่านมาเคารพในผมหรอก แต่ว่าเกรงใจกัน อาศัยซึ่งกันและกัน ก็เลยบอกแกว่ายัง ยังไม่เกรงใจหลอก เพราะว่ายังไม่เห็นฤทธิ์เห็นเดชนี่ ไม่เก่งจริงก็เกรงใจไม่ได้ คนที่จะเกรงใจต้องเป็นคนเก่ง แสดงคุณค่าอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฏ แกก็เลยบอก ได้ถ้าต้องการอย่างนั้นละก็ได้ เอายังงี้ก็แล้วกันนะ วันพรุ่งนี้เวลา 5 โมงเย็น หากว่าท่านยังไม่ตัดสินใจจะตั้งศาล จมูกข้างซ้ายจะหายใจไม่ออก วันมะรืนนี้ห้าโมงเย็น หากว่าท่านยังไม่ตัดสินใจที่จะตั้งศาล จมูกข้างขวาจะหายใจไม่ออกอีกข้างหนึ่ง ต่อไปก็ต้องหายใจทางปาก พอต่อไปวันมะเรื่อง ถ้าหากว่าท่านยังไม่คิดตั้งศาล หลอดลมจะใช้ไม่ได้ ลมจะไม่มีออกได้เลย ก็เลยบอกว่าตกลง ให้ความจริงปรากฏเสียก่อน ถ้ามีความจริงปรากฏจะยกศาล เรื่องเล็ก แต่ว่าถ้ายังไม่จริง ไม่ทำ พอวันรุ่งขึ้นเวลาฉันข้าวเช้าหลวงพ่อเล็กก็ถามว่า เมื่อคืนนี้พระภูมิเขาไปหาใช่ไหม แหมท่านรู้เสียด้วย แบบหลวงพ่อปาน ก็บอกว่าใช่ ตกลงกับเขาว่ายังไงก็เลยเล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกว่า เขาเอาจริงนะ หลวงพ่อปานก็เกรงใจเขา ฉันเองก็เกรงใจเขา เขามีอานุภาพมาก มือขวาเขาแดงจัด ก็เลยกราบเรียนถามว่าพระภูมิมีมือแดงทุกองค์ ท่านตอบว่ามี แต่ว่าองค์ไหนมีมือแดงจัดองค์นั้นมีอานุภาพมาก มีสีแดงน้อยมีอานุภาพน้อย ก็เลยบอกว่าลองก่อน ผมอยากจะลองดีเขา ถ้าเขามีดีจริงก็เคารพ พอเวลา 5 โมงเย็น ท่านผู้ฟัง หายใจไม่ออกจริงๆ ตามธรรมดาเป็นหวัด ถ้าเราปิดข้างหนึ่ง ดันลมอีกข้างหนึ่งมันออกง่าย แต่อันนี้ไม่ยอมออกทั้งหมดแน่นจริงๆ พอรุ่งขึ้นวันที่ 2 ข้างขวาล่อเข้าอีก ตอนนี้เป็นยังไงกลายเป็นหนุมานไปเลย อ้าปากหวอ หายใจทางปาก ยอมแพ้ เลยใช้ให้เด็กไปบอกตาโต๊ะเขา บอกแล้วนี่ว่าคนยกศาลต้องตาโต๊ะคนเดียว คนอื่นยกไม่ได้ เขาไม่ยอมรับนับถือ เพราะกินเหล้าเมายา ก็จดหมายไปบอกให้ตาโต๊ะยกศาล ไปยกศาล แต่พอเด็กไปเรียกตาโต๊ะ แกอยู่บ้านไกลประมาณสักกิโล ไปเรียกบอกว่าท่านมหาให้เอาจดหมายมาให้ แกก็ร้องบอกมาไม่ต้องหรอกรู้แล้ว จะตั้งศาลรึ รู้แล้ว ไปบอกท่านมหาเถอะว่าศาลนี้กำลังทำ พรุ่งนี้จะเอาไป ให้ไปรับรองเขาเมื่อจะตั้งก็แล้วกัน เมื่อคืนนี้มีคนเขามาบอกแล้วว่าแพ้เขาน่ะ เป็นอันว่ารู้เรื่องกัน พรุ่งนี้เช้าโยมโต๊ะก็มาตั้งศาลให้ตามพิธีกรรมที่หลวงพ่อปานสอน เรื่องก็เป็นอันว่าเสร็จกันไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...