“เราไม่เห็นวัตถุใดๆ ที่เราจะหามาถวายได้ เราได้เห็นผลพุทราที่สุกแล้วเพียงอย่างเดียว แล้วได้ระลึกถึง พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เรายินดี ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี แล้วได้ถวายผลพุทราสุกแด่พระองค์ผู้เป็นเนื้อนาบุญ เป็นนักปราชญ์ด้วยใจอันผ่องใส ในกัปนี้เอง เพราะเราได้ถวายผลพุทราสุกใด ในกาลนั้น ด้วยการถวายผลพุทราสุกนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลพุทรา เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว”
ผลของการกระทำความดีอาจจะผลิดอกออกผลช้าบ้างในบางครั้ง ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ เมื่อเรารดนํ้าพรวนดินที่โคนต้น ดอกและผลย่อมปรากฏที่ปลาย แต่กว่าจะเห็นผลเช่นนั้น ไม่ใช่อาศัยเวลาเพียงแค่วันสองวัน ต้นไม้บางชนิดต้องรอเวลาเป็นปี สองสามปี หรือมากกว่านั้น ผลของการทำบุญก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าเป็นบุญใหญ่ที่ทำถูกเนื้อนาบุญแล้ว ผลของบุญนั้นก็ย่อมที่จะบันดาลผลได้อย่างรวดเร็ว และเป็นบุญศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถอำนวยความสุขความสำเร็จทั้งปวงให้เกิดขึ้นในปัจจุบันชาติและชาติต่อๆ ไปได้ จนกระทั่งปราบมารประหารกิเลสให้หมดสิ้นไป เข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุด เหมือนตัวอย่างของหลายๆ ท่านที่เคยมีมาแล้วในอดีต
อย่างเช่นพระคยากัสสปะเถระที่ท่านได้บำเพ็ญกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มาแล้ว และได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพชาติที่ท่านได้เวียนว่ายตายเกิด ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ไป ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี ท่านได้บังเกิดในตระกูลเศรษฐี พอบรรลุนิติภาวะแล้ว เนื่องจากท่านมีอัธยาศัยปรารถนาอยากจะออกจากทุกข์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงสละเพศฆราวาสที่แสนจะคับแคบออกบวชเป็นดาบส สร้างอาศรมอยู่ในป่า มีผลไม้ในป่าเป็นอาหาร
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปตามลำพัง พระองค์ได้เสด็จไปใกล้ๆ อาศรมของดาบส พอดาบสนั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็มีความศรัทธาเต็มเปี่ยม ด้วยใจที่เลื่อมใส จึงเข้าไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านได้ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ สถานที่อันสมควร คอยดูเวลาอันเหมาะสมอยู่ จากนั้นก็น้อมผลพุทราอันโอชารสเข้าไปถวายแด่พระบรมศาสดา ด้วยบุญกรรมอันนั้น ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ท่านได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลกเท่านั้น ไม่เคยพลัดตกไปสู่อบายภูมิเลย
ในพุทธุปบาทกาลนี้ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ ครั้นเจริญวัยแล้ว ก็มีอัธยาศัยที่จะออกจากทุกข์เหมือนอย่างภพชาติก่อนๆ ท่านจึงออกบวชเป็นดาบสอยู่ร่วมกับหมู่ดาบสอีก ๒๐๐ องค์ ท่านได้สร้างสถานที่พักใกล้แม่นํ้าคยา เพราะเหตุที่อยู่ใกล้แม่นํ้าคยา และด้วยอำนาจนามสกุลอันเป็นของตระกูลที่ว่ากัสสปะ จึงทำให้ท่านมีสมญานามว่า คยากัสสปะ ต่อมาเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามาโปรด และได้ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดท่านและเหล่าดาบสทั้งหลาย ซึ่งมีเนื้อความโดยย่อว่า สิ่งทั้งหลายเป็นของร้อน ร้อนด้วยไฟคือราคะ โทสะ โมหะ ถ้าดับไฟเหล่านี้ได้จะเป็นผู้สงบเย็น
หลังจากที่ท่านฟังโอวาทอันเป็นดุจนํ้าอมฤตธรรมชโลมใจ ซึ่งสมบูรณ์ไปด้วยอรรถและพยัญชนะเช่นนั้นแล้ว และด้วยกุศลผลบุญที่ท่านเคยบำเพ็ญมาในอดีตบวกกับบุญในปัจจุบัน จึงทำให้ท่านสามารถทำใจหยุดใจนิ่ง ได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ในที่สุด จากนั้นก็ได้ระลึกชาติหนหลังย้อนไปดูคุณงามความดีที่ท่านได้สร้างเอาไว้อันเป็นเหตุที่ทำให้ได้บรรลุธรรม เมื่อดูแล้วก็เกิดความปีติโสมนัสใจเป็นอย่างมาก จึงได้ประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาในกาลก่อนว่า
"เมื่อครั้งที่เราเป็นดาบสครองหนังเสือเหลืองมีเครื่องหาบ ได้เที่ยวหาผลไม้ ได้นำเอาผลพุทราสุกมายังอาศรม ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเพียงพระองค์เดียว ทรงแผ่พระรัศมีตลอดกาลทั้งสิ้น เสด็จมาโปรดยังอาศรมของเรา เราได้ยังจิตของตนให้เลื่อมใสแล้ว ได้ถวายบังคมพระพุทธองค์ ผู้มีวัตรอันงมงาม ประคองอัญชลีประณมด้วยมือทั้งสอง ถวายผลพุทราแด่พระพุทธเจ้า ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดไว้ ในคราวแต่นั้นมา เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายทานเพียงเล็กน้อย เราได้เผากิเลสทั้งหลายให้หมดสิ้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ อยู่อย่างผู้ที่สงบเย็นเป็นอิสระ เราเป็นผู้มาดีแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้กระทำเสร็จแล้ว ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ จรณะ ๑๕ เป็นต้น และคำสอนของพระพุทธองค์ เราได้รู้ทั่วถึงแล้ว กิจอย่างอื่นที่จะทำให้ยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว"
เราจะเห็นว่า ผลของการกระทำของวันนี้จะกลายไปเป็นอดีตของวันข้างหน้า การกระทำในชาตินี้ก็จะเป็นอดีตของชาติต่อๆ ไปเช่นเดียวกัน ชีวิตของเราเปรียบเสมือนอุปกรณ์ที่ให้บุญและบาปทำงาน เราอยากให้ตัวเราเป็นอย่างไร ก็ต้องเลือกปฏิบัติบนเส้นทางของชีวิต เพราะเส้นทางนั้นมีอยู่เพียงแค่สองทางเท่านั้น คือดีและชั่ว บุญและบาปเป็นต้น เราในฐานะตัวแทนของฝ่ายบุญ ถ้ามีบุญกุศลอันใดที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้งต่อตัวเราและคนทั้งโลกแล้ว บุญกุศลอันนั้นสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำให้มาก เพราะอย่างน้อยตัวก็เป็นผู้ได้รับก่อนเป็นอันดับแรก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้ เราจะหาพระอรหันต์ได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าหมดหนทางของการสร้างบุญบารมี เราต้องเป็นเหมือนบัณฑิตที่ฉลาดในการสร้างบุญ บุญไหนที่เราคิดตริตรองดูแล้วว่าเป็นบุญใหญ่ เนื้อนาบุญที่มารับทานของเรานั้นก็เป็นผู้ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ถูกต้องร่องรอยพระพุทธศาสนา ดำเนินตามรอยบาทของพระบรมศาสดาแล้ว ผู้นั้นแหละคือเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ที่ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า
อย่างท่านพระคยากัสสปะเถระ เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร แต่เพราะท่านเป็นบัณฑิต คิดจะเอาบุญกับผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ จึงได้ทำใจให้เลื่อมใส แล้วน้อมผลพุทราไปถวายแด่พระพุทธองค์ ด้วยผลแห่งทานบารมีที่ท่านได้ทำในครั้งนั้น จึงมีผลานิสงส์ยิ่งใหญ่ ส่งผลให้ท่านได้บรรลุกรณียกิจอันสูงสุดในพระพุทธศาสนา อันเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ฉะนั้นสิ่งที่บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อนได้ทำไปเช่นไร เราก็ควรศึกษาและดำเนินตามแบบอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของการทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิ ภาวนา ควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องหมั่นทำกันให้มากๆ และทำกันให้สมํ่าเสมอ แล้วผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่ก็จะบังเกิดกับเรา
อายิสงค์ถวายผลพุทรา
ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย วงบุญพิเศษ, 3 สิงหาคม 2011.
-
-
กราบอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างสูงขอรับ -
ถึงพร้อมด้วยศีลจริยาวัตร ประกอบด้วยสัมมาทิฎฐิ วางใจได้ถูกต้อง จะถวายอาหารหรือสิ่งของอะไรก็มีอานิสงค์มากมายมหาศาล สำคัญคือต้องให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังหวังบุญอยู่ดี หวังจะไปเกิดในสวรรค์บ้าง หวังให้เกิดมาสวยบ้าง เกิดมารวยบ้าง ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่าทำบุญจะได้ไปสวรรค์ เกิดมาสวย เกิดมารวย เราต้องทำบุญเพราะเห็นว่าถูกต้อง สละออกด้วยความรัก ความเมตตา เหมือนความรู้สึกของพ่อเวลาให้วิชาความรู้ต่อลูกหรือแม่เวลาให้นมลูก คงไม่มีพ่อ แม่คนไหนคิดว่าเราจะขึ้นสวรรค์เพราะกรรมเหล่านี้หรอกนะครับ สิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วนี้ก็คืออารมณ์นั่นเอง รูป นาม ก็คืออารมณ์ รูปดี นามดี อารมณ์ก็จะดีไปด้วย ใครเล่าจะไร้อารมณ์
-
อนุโมทนาสาธุครับ บางเรื่องยังไม่เคยได้ยินเลยน่ะครับ
-
อนุโมทนาบุญด้วยคะ
สาธุ สาธุ สาธุ
ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปคะ