อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์. พระบรมศาสดา และเหล่าผู้พระสาวก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 ตุลาคม 2014.

  1. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092




    สติแก่กล้า จิตย่อมทนไม่ได้
    เมื่อทนไม่ได้ ก็สงบลง
    ครั้นสงบลงแล้ว
    มันก็ "รู้"


    โอวาทธรรมหลวงปู่ขาว อนาลโย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092




    โลก และ ธรรม ไปด้วยกัน

    แต่..........ผล ออกมาต่างกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092





    ม้างกาย-คือ การม้างกาย หรือแยกกาย นั่นเอง"....
    เมื่อเราสามารถเห็นตนเอง (กายทิพย์) ต้องเอา"กายทิพย์"มาพิจารณา"กายเนื้อ"ให้ละเอียด ตั้งแต่ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง-ตับ-ไต ไส้-ปอด (กายคตานุสสติกรรมฐาน) จนเห็นเป็นอสุภกรรมฐาน คือ สิ่งที่ไม่สวยงาม สักแต่เป็นธาตุขันธ์ที่ต้องแตกสลายไปจนจิตสลายตัวในการยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย โดยมีตัว"จิต หรือผู้รู้" เป็น"ผู้เห็น"นิมิตเหล่านั้น
    การเห็นเป็นสิ่งที่รับรอง เรียกว่าใช้ประโยชน์จากนิมิตเป็น ไม่หลงสวรรค์ ดั้นนรก ตามแต่จิตจะท่องเที่ยวไป...

    ......หลวงปู่หลุย จันทสาโร.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    พุทธะ บอกว่าให้เป็นอิสระจากความกลัว เมื่อไม่กลัวข้าก็จะไม่คิดถึงอนาคต ไม่คิดถึงตัวเอง ไม่คิดถึงใคร ไม่พึ่งใคร เมื่อเราเป็นอิสระจากความกลัวแล้ว เราจะเข้าสู่หนทางหลุดพ้น

    อัมลาปาลีกล่าวต่อพระเจ้าอชาติศัตรู
     
  6. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    อย่าคิดว่าเราดีกว่าหมา







    "อย่าคิดว่าเราดีกว่าหมา"


    ...แต่ความจริงพวกสัตว์ประเภทนี้นะ เวลาตายจริงๆ มันก็ได้เปรียบเราเหมือนกัน โยม! ถ้าเป็นสุนัขที่คนเลี้ยงแล้ว คนสงเคราะห์นี่ บาปเก่ามันเริ่มหมด พวกนี้ตายปุ๊บลงไปมี ๒ ทาง ถ้าไม่ไปเป็นเทวดาหรือพรหม ก็เป็นมนุษย์ มันไม่ลงล่าง ได้เปรียบมากกว่าเรา เรามาถึงขั้นเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไม่ดีตีตั๋วลงนรกใช่ไหม ใช่ไหม พวกนี้ชำระหนี้มาเพื่อหมด นี่เราเสียท่ามันอีกนะ ถ้าไม่ปฏิบัติดียิ่งเสียท่าหนัก หมาดันไปสวรรค์เป็นเทวดา เรากลับไปเป็นสัตว์นรกอีก แหม ..(หัวเราะ)
    อ้าวนี่พูดตามความเป็นจริงนะ คือว่า คนเหยียดหยามสุนัข บางทีก็รู้สึกสลดใจนะโยม คนนี่มันไม่แน่ ตายแล้วอาจจะลงนรกได้ พวกหมานี่ไม่ลงแน่ ถ้าเขาใช้หนี้กรรมของเขายังไม่หมด เกิดเป็นหมาชาตินี้ ชาติหน้าเป็นหมาใหม่ก็ได้ ใช่ไหม แต่ว่าหมาตัวไหนที่ชาวบ้านเลี้ยง เลี้ยงก็แบบเราเลี้ยงธรรมดานี่แหละ มีการให้กินข้าวใช่ไหมล่ะ ถ้าคนสงเคราะห์แสดงว่ากรรมเก่าเริ่มหมด ถ้าไอ้ตัวไหนยังต้องเดินอดเดินอยากอยู่ อันนี้ก็ต้องเกิดอีกต่อไปอีก
    เขาอยู่กับคนจนหรือคนรวยไม่สำคัญ คือว่าเจ้าของมีโอกาสให้ข้าวกิน นั่นแสดงว่า ทานบารมี เดิมกับ เมตตาบารมี เดิมของเขาเริ่มให้ผลใช่ไหม
    ฉันสังเกตุดูหลายตัว ถ้าหมาในวัดตายทีไร ไม่เป็นเทวดาก็พรหม เพราะมันชอบใจในพระ พระสงเคราะห์ พระให้อาหารหมา อาหารแค่ไหนไม่สำคัญ ให้มันผูกจิตใจกับพระ อย่าง โฆษกเทพบุตร ท่านไม่ได้ทำอะไรมาก ท่านรักพระปัจเจกพุทธเจ้า ตายแล้วก็เป็นเทวดา เป็น โฆษกเทพบุตร ตอนนั้นเป็นหมาใช่ไหม
    นี่หมาอยู่กับวัดได้เปรียบ แต่ว่าตัวไหนถ้าอยู่ที่บ้าน ชาวบ้านเขาสงเคราะห์ ก็สงเคราะห์อย่างเราให้กินน้ำข้าวบ้าง กินข้าวบ้าง อาหารเหลือบ้าง อันนี้น่ะ เมตตาบารมี กับ ทานบารมี เดิมของเขาเริ่มสนองแล้ว ทีนี้ถ้าตายแล้วไปสวรรค์หมด ถ้าไม่ไปสวรรค์ก็ไปเป็นคน ถามว่าไปสรรค์ชั้นไหน อันนี้ก็ต้องบอกแล้วแต่บุญเดิม บุญเดิมที่ทำไว้ของเขาทำอะไรไว้ใช่ไหม นั่นก็หมายความว่า ก่อนที่เขาตายจากความเป็นคน บาปทำให้เขาไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าที่ที่สุดแล้วชำระหนี้บาปหมด ก็เหลือแต่บุญ
    ซึ่งตรงข้ามกับคนคนสร้างบาปอกุศลไว้ในตอนต้น แล้วมาตอนหลังสร้างบุญบารมีดี ตายจากความเป็นคน เป็นเทวดาหรือพรหม ถ้าหมดบุญวาสนาบารมี พุ่งหลาวเลย ลงนรกไปเลย มันก็ต้องสนองกันแบบนี ไม่ใช่ว่าเราเกิดเป็นคนแล้วต้องเกิดเป็นคนตลอดไป มันหวังยากเหมือนกัน...

    คำสอนโดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


    ที่มา เพจ : พระศรีอาริยเมตไตรย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092



    ในสังคมของโลกที่ปรุงแต่งไปด้วยกิเลส
    มนุษย์ชอบตั้งกฏเกณฑ์ที่จะเอาชนะกัน
     
  10. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
  11. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092






    หลวงพ่อวิชัย เขมิโย กล่าวถึงหลวงพ่อฤาษี

    การแสดงพระธรรมเทศนา โดยหลวงพ่อวิชัย เขมิโย
    ช่วงตอบปัญหาธรรมะ ณ กลุ่มสมาธิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕


    หากมีข้อผิดพลาดประการใด กราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย พระเดชพระคุณหลวงพ่อวิชัย เขมิโย และพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    หากแม้มีส่วนของความดีเกิดขึ้น ขอยกความดีนั้นถวายบูชาแด่ดวงแก้วทั้งสามและพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งสองครับ

    ข้อความในวงเล็บ เป็นการอธิบายเพิ่มเติม ของผู้ถอดเทป เพื่อความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น


    " หลวงพ่อฯ(หลวงพ่อวิชัย)ชอบไปนั่งศาลาแก้วร้อยเมตร...(วิหารหารร้อยเมตร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )
    ครั้งสุดท้ายที่หลวงพ่อฤาษีฯจะมรณภาพ โยม คนเรานะโยมถ้าจะตายจริงๆ ภาษาเรานี่ หนึ่งถ้าเขาสลบไป ถ้าเยี่ยวออก แสดงว่าธาตุข้างในมันแตก ตายแน่นอน นี่ถ้าออกทั้งอาเจียนทั้งอุจจาระออกหมดนะ คุณอันนี้ก็เลยมาถามหลวงพ่อฯ(วิชัย)โทรมาถามหลวงพ่อว่า...

    'เห้ย คุณเข็ม ชื่อเล่นชื่อเข็ม หลวงพ่อไม่กล้าทำนายหรอกสำหรับหลวงพ่อ(ฤาษีลิงดำ) หลวงพ่อ(ฤาษีลิงดำ) ท่านเป็นอย่างนี้หลายครั้ง ท่านอยากไปก็ไปของท่าน ท่านจะกลับมาก็กลับมาของท่าน หลวงพ่อฯ(วิชัย)เป็นพระธรรมดาจะไปทำนายท่านได้ไง แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาคราวนี้เป็นครั้งสุดท้าย ไปแน่นอน เพราะว่าถ้าธาตุมันแตกคุณโยม มันจะออกข้างบน ออกข้างล่าง แน่นอน ถ้าเป็นคนธรรดาไม่นาน แต่สำหรับหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านมีอภินิหารของท่านเนาะ ท่านจะไปก็ไปท่านจะมาก็มาของท่าน อ่า เป็นอย่างนั้นนะ แต่ท่านก็ไปจริงๆโยม ไปตอนนั้น'

    พิธีกร : 'ไปนิพพานใช่ไหมครับ'
    ' ไปนิพพานของท่าน ไปไม่กลับ หลับ ไม่ตื่น ฟื้นไม่มี ไม่มาเลย หลวงพ่อฤาษีฯเป็นเรื่องอัศจรรย์หลายอย่าง ขออภัยนะ อย่าปรามาสท่านเด็ดขาด(ท่านขึ้นเสียงสูง พร้อมยกนิ้วชี้ขึ้น) หลวงพ่อฯ(วิชัย)เคยเห็นมากับตา กับตามาแล้วนะ เล่าเรื่องไม่ดีหลวงพ่อฤาษีฯนี่ หลวงพ่อนั่งรถไปพอดี หลวงพ่อ(วิชัย)ไปเทศน์
    ก้อนหินก้อนขนาดนี้โยม นั่งรถบัสไปนะ เขวี้ยงใสกระจกแตกตุ้บ พวกนั้นเลือดสาด คนหนึ่งเกือบตาย แอ้ก แอ้ก แอ้ก แอ้ก แอ้ก อยู่นั่น ใส่ตรงนี้ เขียว ห่อเลือด ลอดข้ามหลวงพ่อ(วิชัย)ไป… แต่ไม่เป็นไรนะ สุดท้ายได้ยินเสียง อืก อืก อืก ข้างหลัง เอ้าใคร มองไป ตาค้าง หลวงพ่อ(วิชัย)ใช้ตรงนี้แหละโยม(เส้นประสาท ใต้ข้อมือ) ถ้าลูกชักหรือใครชักก็แล้วแต่ เกิดอุบัติเหตุอะไร จับตรงนี้ (เส้นประสาท ใต้ข้อมือ) จากจิตสู่จิต พยายามให้หัวใจของเขาเต้นในระดับของเรา ฟื้นทันทีเลย อันนี้ก็เหมือนกัน พอหลวงพ่อจับตัวนี้ โห เตรียมอากาศไว้เป็นถัง โห ชื่อโยมรัก เอ้อ ผมไม่ตายแล้วหลวงพ่อ



    พูดเรื่องหลวงพ่อฤาษีฯ อย่านะ องค์นี้อย่าปรามาสนะโยม หลายเรื่องหลวงพ่อฤาษีฯ ไปปรามาสท่าน ขอเตือนไว้หน่อย เพราะท่านไม่ใช่ธรรมดา องค์อื่นเราไม่บอก เราไม่รู้ องค์นี้หลวงพ่อฯเห็นหลายครั้งที่คนปรามาสท่านนะ เรียบร้อยทั้งนั้นแหละ อ่า …….(ขอสงวนนาม)ใครเป็นพี่น้องขออภัยด้วยนะ เขียนหนังสือด่าท่าน สมัยก่อน หาว่าท่านโกหกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าพระอย่างนั้นอย่างนี้ เรียบร้อย ทุกรายแล้ว หลายราย หลวงพ่อเจอ เพราะฉะนั้น หลวงพ่อฤาษีฯนี่ เทิดทูน เทิดทูนจริงๆ ท่านสอนมโนมยิทธิ มันก็ไปได้จริงๆ ท่านจะมาโกหกให้เสียเวลาทำไม นี่ มีอีกองค์หนึ่งนะ (โยมคนหนึ่ง) อยู่ข้างหน้า หลวงพ่อ(วิชัย)ก็เปิดเทปหลวงพ่อฤาษีฯออกอากาศ (ที่วัดมีสถานีวิทยุ) ฟังได้ถึงประเทศพม่านะโยม (วัดหลวงพ่อวิชัย คือวัดถ้ำผาจมอ. แม่สาย จ.เชียงราย เป็นวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย ชายแดนไทย - พม่า ) ตกกลางคืนมาแกก็ฟังหลวงพ่อฤาษีฯเทศน์ กลางคืนมาก็เห็นหลวงพ่อ(หลวงพ่อฤาษีฯ)อยู่ฝั่งนี้ หลวงพ่อหนูอยากไปหาหลวงพ่อ(ฤาษีฯ) เห้ย มายังไม่ได้หรอกลูก เชือกผูกเอว ผูกแขน ผูกคอ เจ้าอยู่นั่น มายังไม่ได้ ผู้มาที่นี่มันต้องหมดห่วง ……ศรัทธาหลวงพ่อ(ฤาษีฯ)มาก นี่เรื่องจริงนะ มาเล่าให้โยมฟัง เรื่องจริงเลยทีนี้ … "


    บันทึกเทปโดย ไพรัชณ์ ตั้งจารุพงศ์สกุล ปี ๔ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ

    ถอดเทปโดย ณัฏฐกรณ์ นะวะสด ปี ๔ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
     
  12. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092




    พระธรรมคำสอนที่สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนไว้

    เมื่อยังมีชีวิตอยู่ จงอย่าทิ้งอานาปา อย่าทิ้งรูปฌานและอรูปฌาน แต่ไม่หลงติดอยู่ อาศัยเพียงแค่ใช้ระงับเวทนาของกาย และใช้เป็นกำลังช่วยให้จิตพิจารณาตัดกิเลสให้หมดไป เพื่อเข้าสู่พระนิพพานเท่านั้น หมดกายแล้วก็หมดความจำเป็นต้องใช้
    อานาปาขั้นสูง คือการกำหนดรู้ลมเข้า-ออกได้ตลอดเวลา แม้ขณะพูดอยู่ ขาดแต่คำภาวนาเท่านั้น เพราะท่านมีสติ-สัมปชัญญะสมบูรณ์ หมดการเพ้อเจ้อเหลวไหลไม่มีเหตุ-ไม่มีผล พระอรหันต์จึงเห็นอะไรที่เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นเรื่องธรรมดาหมด คำพูดของพระอรหันต์จึงควรจะสนใจให้มาก เพราะการพูดเล่น พูดไม่มีเหตุ-ไม่มีผลไม่มีในท่าน
    ทำอานาปากองเดียวก็ถึงพระอรหันต์ แต่จักต้องทรงอานาปาให้ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ตราบใดที่จิตนี้ยังตื่นอยู่ แม้กายหลับแต่จิตยังตื่นอยู่ หากผู้ใดทำได้ขณะหลับด้วยแล้วยกกายในขึ้นอยู่บนพระนิพพาน ด้วยการปลงมรณาและอุปสมา และกายคยาบวกอสุภะให้กายหายไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092






    กัณฑ์ที่ ๓๖
    โพชฌงค์ปริตร
    วันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๙๗
    ...............................................................




    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวีตา โวโรเปตา ฯ เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺพสฺส ฯ
    โพชฺฌงฺโค สติสงฺขาโต ธมฺมานํ วิจโย ตถา
    วิริยมฺปีติปสฺสทฺธิ โพชฺฌงฺคา จ ตถาปเร
    สมาธุเปกฺขโพชฺฌงฺคา สตฺเต เต สพฺพทสฺสินา
    มุนินา สมฺมทกฺขาตา ภาวิตา พหุลีกตา
    สํวตฺตนฺติ อภิญฺญาย นิพฺพานาย จ โพธิยา
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ
    เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานญฺจ กสฺสปํ
    คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ
    เต จ จํ อภินนฺทิตฺวา โรคา มุจฺจึสุ ตงฺขเณ
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ
    เอกทา ธมฺมราชาปิ เคลญฺเญนาภิปีฬิโต
    จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน สาทรํ
    สมฺโมทิตฺวา จ อาพาธา ตมฺหา วุฏฺฐาสิ ฐานโส
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ
    ปหีนา เต จ อาพาธา ติณฺณนฺนมฺปิ มเหสินํ
    มคฺคาหตกิเลสา ว ปตฺตานุปฺปตฺติธมฺมตํ
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทาติ ฯ


    -------------------------------------------


    ณ บัดนี้อาตมภาพจักได้แสดงความจริงความสัตย์ ซึ่งปรากฏชัดตามตำรับตำราอันมีมาในโพชฌงคปริตรจะแสดงตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอเป็นเครื่องปฏิการสนองประคองศรัทธา ประดับสติปัญญาคุณสมบัติของท่านผู้พุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์ บรรพชิตบรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า เริ่มต้นธรรมเทศนาว่า



    ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ เป็นอาทิ นี้เป็นคำของพระอังคุลิมาลเถระท่านแสดงไว้ ท่านเชิดความจริงความสัตย์ของท่าน ให้พุทธบริษัทจำไว้เป็นเนติแบบแผน

    เมื่อครั้งหนึ่งพระอังคุลิมาลเถระ ไปพบหญิงปวดครรภ์เต็มที่จะคลอดบุตร แต่มันคลอดไม่ออก มันจะถึงกับตายร้องไห้ พระอังคุลิมาลเถระช่วย พระอังคุลิมาลเถระจึงได้เปล่งวาจาช่วยหญิงคลอดบุตรนั้นว่า

    ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวีตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺพสฺส

    แปลเป็นสยามภาษาว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว โดยชาติเป็นอริยะ นาภิชานามิ ไม่มีใจแกล้งเลยที่จะปลงสัตว์ที่มีชีพและชีวิต ด้วยความสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่าน พอขาดคำเท่านี้ หญิงนั้นคลอดบุตรผลุดทีเดียว หายจากทุกข์ภัยกัน การคลอดบุตร

    เมื่อคลอดเสียแล้วมันก็หายทุกข์หายภัย หายลำบากแก่มารดาผู้คลอด เหมือนท้องผูกถ่ายอุจจาระไม่ออก มันก็เดือดร้อนแก่เจ้าของ แต่พอออกมาเสียแล้วก็หมดทุกข์กัน นี้ด้วยความสัตย์อันนี้แหละคลอดบุตรก็ ง่ายเต็มที นี่บทต้น

    บทที่สองรองลงไป นี่พระองค์ทรงรับสั่งเองว่า
    โพชฺฌงฺโค สติสงฺขาโต ธมฺมานํ วิจโย ตถา
    วิริยมฺปีติปสฺสทฺธิ โพชฺฌงฺคา จ ตถาปเร
    สมาธุเปกฺขโพชฺฌงฺคา สตฺเต เต สพฺพทสฺสินา
    มุนินา สมฺมทกฺขาตา ภาวิตา พหุลีกตา
    สํวตฺตนฺติ อภิญฺญาย นิพฺพานาย จ โพธิยา
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ


    แปลเป็นสยามภาษาว่า โพชฌงค์ ๗ ประการ คือ

    สติสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    วิริยสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    ปีติสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    ปัสสัทธิโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    สมาธิสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ประการหนึ่ง
    เหล่านี้ อันพระมุนีเจ้าผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงกล่าวไว้ชอบแล้ว

    ภาวิตา พหุลีกตา อันบุคคลเจริญธรรมให้มากแล้ว
    สํวตฺตนฺติ ย่อมเป็นไปพร้อม
    อภิญฺญาย เพื่อความรู้ยิ่ง
    นิพฺพานาย เพื่อนิพพาน
    โพธิยา เพื่อความตรัสรู้ ด้วยความสัตย์อันนี้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ นี่เป็นบทต้นของโพชฌงค์



    บทที่สองรองลงไป
    เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานญฺจ กสฺสปํ
    คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ
    เต จ จํ อภินนฺทิตฺวา โรคา มุจฺจึสุ ตงฺขเณ
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ
    เอกสฺมึ สมเย ในสมัยอันหนึ่ง
    นาโถ พระโลกนาถเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะและ พระกัสสปะอาพาธถึงซึ่งความเวทนาแล้ว ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการ ท่านทั้ง ๒ คือ พระโมคคัลลานะ กับพระกัสสปะ ยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า โรคก็หายไปในขณะนั้น ด้วยอำนาจความกล่าวสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านในกาลทุกเมื่อ



    บทที่สาม ต่อไป
    เอกทา ธมฺมราชาปิ เคลญฺเญนาภิปีฬิโต
    จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน สาทรํ
    สมฺโมทิตฺวา จ อาพาธา ตมฺหา วุฏฺฐาสิ ฐานโส
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา ฯ
    เอกทา ครั้งหนึ่ง ธมฺมราชาปิ แม้พระธรรมราชาคือพระพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของธรรม
    เคลญฺเญนาภิปีฬิโต ผู้อันอาพาธเบียดเบียนแล้ว
    จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน ทรงรับสั่งให้พระจุนทเถรแสดงซึ่งโพชฌงค์นั้นแหละ พระองค์ทรงสดับโพชฌงค์เช่นนั้นแล้วร่าเริงบันเทิงพระทัยอาพาธก็หายไปโดยฐานะอันนั้น
    เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ
    ปหีนา เต จ อาพาธา ติณฺณนฺนมฺปิ มเหสินํ
    มคฺคาหตกิเลสา ว ปตฺตานุปฺปตฺติธมฺมตํ
    เอเตน สจฺจวชฺเชน โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทาติ ฯ
    ปหีนา เต จ อาพาธา อาพาธทั้งหลายเหล่านั้น
    ติณฺณนฺนมฺปิ มเหสินํ มคฺคาหต กิเลสา ว ปตฺตา
    อันท่านผู้แสวงหาซึ่งคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ ท่าน ถึงซึ่งความดับหายไป ดุจกิเลส อันมรรคบำบัดแล้ว หรืออันมรรคกำจัดแล้ว ด้วยอำนาจสัจวาจานี้ ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านจงทุกเมื่อ

    นี่แปลมคธภาษาเป็นสยามภาษาฟังเพียงแค่นี้ ท่านผู้แปลบาลีฟังออกเข้าใจแล้ว แต่ว่าท่านผู้ไม่ได้เรียนอรรถแปลแก้ไขยังไม่เข้าใจ ต้องอรรถาธิบายลงไปอีกชั้นหนึ่ง



    ในบทต้นว่าพระอังคุลิมาลเถระเจ้า ท่านเป็นผู้กระทำบาปหยาบช้ามากนัก ก่อนบวชในพระธรรมวินัยของพระศาสดา ฆ่ามนุษย์เสีย ๙๙๙ ชั้นต้นก็ทำดีมา ได้เล่าเรียนศึกษาวิชา จวนจะสำเร็จแล้ว ถูกอาจารย์ลงโทษจะทำลายชีวิตเสีย เกิดต้องทำกรรมหยาบช้าลามก เศร้าโศกเสียใจเหมือนกัน ฆ่ามนุษย์เกือบพัน เก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน

    พระทศพลเสด็จไปทรมาน อังคุลิมาลโจรนั้นละพยศร้าย กลับกลายบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา
    ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน

    ชาวบ้านชาวช่องกลัวกันนัก ขึ้นชื่อว่าอังคุลิมาลโจรละก็ ซ่อนตัวซ่อนเนื้อทีเดียว กลัวจะทำลายชีวิตเสีย กลัวนักกลัวหนา กลัวยิ่งกว่าเสือยิ่งกว่าแรดไปอีก เพราะเหตุว่าอังคุลิมาลโจรผู้นี้เป็นคนร้ายสำคัญ ถ้าว่าจะฆ่าใครแล้วไม่กลัวใครทั้งนั้น ฆ่าแล้วตัดเอาองคุลีไปร้อย จะไปเรียนวิชาเป็นเจ้าโลก

    เมื่อจำนนฤทธิ์พระบรมศาสดา เข้ายอมบวชในพระธรรมวินัยของพระศาสดาแล้ว บวชแล้วไปบิณฑบาต หญิงท้องแก่ท้องอ่อนไม่เข้าใจ พอได้ยินข่าวว่าพระองคุลิมาลมาละก็ซ่อนเนื้อซ่อนตัว วิ่งซุกวิ่งซ่อนกัน ได้ข่าวว่าหญิงท้องแก่ลอดช่องรั้ว ลูกทะลักออกมาทีเดียว ด้วยกลัวพระองคุลิมาล




    คราวนี้ท่านไปในที่สมควร หญิงที่กำลังจะคลอดบุตรอยู่นั่นหนีไม่พ้น ไปไม่ได้ก็ร้องให้องคุลิมาลช่วย

    พระองคุลิมาลเป็นพระอรหันต์แล้ว สงสารหญิงที่กำลังคลอดบุตรนั้น ก็กล่าวคำสัตย์คำจริงขึ้นว่า

    ยโตหํ ภคินิ ว่าดูกรน้องหญิง กาลใดเมื่อได้เกิดแล้วโดยชาติเป็นอริยะ ไม่มีความแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตเลย ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่าน

    ขาดคำเท่านี้ หญิงนั้นคลอดบุตรผลุดทีเดียว นี่ยกข้อไหน?
    ให้จำไว้เป็นตำรับตำรา เป็นภิกษุก็ดี เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ดี ในพระธรรมวินัยของพระศาสดา ในศาสนาของพระพุทธเจ้า นี้เป็นคำของพระอรหันต์ พระองคุลิมาลท่านเป็นพระอรหันต์เสียแล้ว

    ท่านจะกล่าวถ้อยคำว่าตั้งแต่ท่านเกิดมาไม่ได้ฆ่าสัตว์เลยน่ะ ไม่ได้มีใจแกล้งฆ่าสัตว์เลยน่ะ ท่านกล่าวไม่ได้ ท่านเป็นคนร้ายมา พึ่งกลับมาเป็นคนดี เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อเกิดเป็นพระอรหันต์แล้ว

    ท่านจึงได้ชี้ชัดว่า จำเดิมแต่เราเกิดแล้วโดยชาติเป็นอริยะ ไม่มีความแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตเลย นี่ความจริงของท่าน ท่านยกเอาความจริงอันนี้แหละขึ้นเชิด ที่ท่านเป็นผู้ประเสริฐ เป็นอริยบุคคลในธรรมวินัยของพระศาสดา ขอความจริงอันนี้แหละจงบันดาลเถิด

    ท่านขอความจริงอันนี้ อธิษฐานด้วยความจริงอันนี้ พอขาดคำของท่านเท่านั้นลูกคลอดทันที นี่ความสัตย์ยกความจริงขึ้นพูด



    ไม่ใช่แต่พระองคุลิมาลเท่านั้นที่ยกความจริงขึ้นพูด หญิงแพศยาทำฤทธิ์ทำเดชได้ยกความจริงขึ้นพูดเหมือนกัน

    หญิงแพศยาคนหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินยกพยุหเสนาไปพักอยู่ที่แม่น้ำใหญ่ ว่ายข้ามก็จะไม่พ้น น้ำไหลเชี่ยวเป็นฟอง ไหลปราดทีเดียว เมื่อเขาตั้งพลับพลาให้พักอยู่ที่คันแม่น้ำใหญ่เช่นนั้น

    ท่านทรงดำริว่า แม่น้ำใหญ่ไหลเชี่ยวขนาดนี้จะมีใครผู้ใดผู้หนึ่งอาจสามารถจะทำให้น้ำไหลกลับได้บ้าง ทรงดำริดังนี้ รับสั่งแก่มหาดเล็กเด็กชายของพระองค์ มหาดเล็กเด็กชายของพระองค์ก็ไปเที่ยวป่าวร้องหาว่าผู้ใดใครผู้หนึ่งอาจสามารถทำให้น้ำในแม่น้ำนี้ไหลกลับขึ้นได้บ้าง

    หญิงแพศยาคนหนึ่งรับทีเดียว ว่าฉันเองจะทำให้น้ำไหลกลับได้ เพราะนางเป็นแพศยาก็จริงมั่นใจว่า ชายคนใดไม่ว่าชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ
    ให้เงินเพียงค่าบาทหนึ่งปฏิบัติเพียงเท่านี้
    ให้เงินค่าสองบาทปฏิบัติเพียงเท่านี้
    สามบาทปฏิบัติเพียงเท่านี้
    พอแก่ค่าของเงินเท่านั้น เหมือนกันไม่ได้ขาดตกบกพร่อง
    ไม่ว่าชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำไปตามหน้าที่ของตัว ความสัตย์มีอย่างนี้

    นางเมื่อราชบุรุษพาไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินทรงรับสั่งว่า เจ้าหรืออาจจะทำให้น้ำไหลกลับได้

    พะย่ะค่ะหม่อมฉันอาจสามารถจะทำให้น้ำไหลกลับได้
    เจ้าจะต้องการอะไร ธูปเทียนดอกไม้จะหาให้ ถ้าเจ้าทำน้ำให้ไหลกลับได้ตามคำกล่าวของเจ้าแล้ว เราจะรางวัลให้หนักมือทีเดียว ถ้าว่าเจ้าทำน้ำไหลกลับไม่ได้ เจ้าจะมีโทษหนักทีเดียว

    นางจุดธูปเทียนตั้งสัตยาธิษฐานหันหน้าไปทางด้านแม่น้ำ ยกเอาความสัตย์นั่นเอง อธิษฐานว่า

    เดชะบุญญาภินิหารความสัตย์ ความจริงของหม่อมฉัน ได้สั่งสมอบรมมาตั้งแต่เป็นหญิงแพศยา ได้ปฏิบัติชายผู้หนึ่งผู้ใดที่มาหาข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าปฏิบัติโดยค่าควรแก่บาทหนึ่ง ควรแก่สองบาท ควรแก่สามบาท ตามหน้าที่ความจริงทำอยู่ดังนี้ ไม่ได้เคลื่อนคลาดไปแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าว่าความสัตย์จริงอันนี้ของหม่อมฉันจริงดังหม่อมฉันอธิษฐานดังนี้แล้ว

    ขออำนาจความสัตย์นี้ จงบันดาลให้น้ำไหลกลับโดยฉับพลันเถิด พออธิษฐานขาดคำเท่านั้น น้ำไหลกลับอู้ ไหลลงเชี่ยวเท่าใด ก็ไหลขึ้นเชี่ยวเท่านั้นเหมือนกัน พอกันทีเดียว

    พระเจ้าแผ่นดินเห็นอัศจรรย์เช่นนั้น ก็ให้เครื่องรางวัลแก่หญิงแพศยานั่นอย่างพอใจ ให้เป็นนายหญิงแพศยาต่อไป

    แล้วก็ให้บ้านส่วยสำหรับพักพาอาศัยอยู่ ไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ ละ เป็นสุข สำราญ เบิกบานใจทีเดียว หญิงแพศยาผู้นั้น

    นี่ความสัตย์โดยความชั่วยังเอามาใช้ได้ ส่วนพระองคุลิมาลเถระเจ้านี้
    ท่านยกความสัตย์ที่ได้บรรลุพระอรหันต์ขึ้นอธิษฐาน หญิงคลอดบุตรไม่ออก พอขาดคำหญิงคลอดบุตรผลุดออกไป อัศจรรย์อย่างนี้


    นี่ใช้ความสัตย์อย่างนี้ ติดขัดเข้าแล้วอย่าเที่ยวใช้เรื่องเลอะๆ เหลวๆ บนผีบนเจ้า
    นั่นไม่ได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เลย พวกนั้นไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษเลย ความเห็นจึงได้เลอะเทอะเหลวไหลเช่นนั้น ไม่ถูกหลักถูกฐาน ถูกทางพุทธศาสนา
    ถ้าว่ารู้จักหลักทางพระพุทธศาสนาแล้ว ต้องยกขึ้นพูดความสัตย์ความจริงนั่นเป็นข้อสำคัญ





    ถ้าความบริสุทธิ์ของศีลมีอยู่ก็ต้องยกความบริสุทธิ์นั่นแหละขึ้นพูด
    หรือความบริสุทธิ์ของสมาธิมีอยู่ ก็ยกความบริสุทธิ์ของสมาธิขึ้นพูดขึ้นอธิษฐาน

    หรือแม้ว่าความจริงของปัญญามีอยู่ก็ยกความจริงของปัญญานั้นขึ้นอธิษฐาน
    หรือความสัตย์ความจริงความดีอันใดที่ทำไว้แน่นอนในใจของตัว ให้ยกเอาความดีอันนั้นแหละ ขึ้นอธิษฐานตั้งอกตั้งใจ บรรลุความติดขัดทุกสิ่งทุกประการ ให้รู้จักหลักฐานดังนี้



    นี่ในเรื่องพระองคุลิมาลเถระเจ้าเป็นสาวกของพระบรมศาสดา พระศาสดาทรงรับสั่งไว้ในโพชฌงค์กถา หรือโพชฺฌงฺคปริตตํ นั้น ปรากฏว่า โพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการ ตั้งแต่สติจนกระทั่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ทั้ง ๗ ประการเหล่านี้แหละ อันพระมุนีเจ้าผู้เห็นธรรมทั้งสิ้น ได้กล่าวไว้ชอบแล้ว

    ถ้าว่าบุคคลใดเจริญขึ้นกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อนิพพาน เพื่อความตรัสรู้ ความจริงอันนี้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้แหละขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ ข้อนี้เป็นข้อสำคัญ

    สติสัมโพชฌงค์ เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้บรรลุมรรคผลสมมาดปรารถนา
    ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์
    วิริยสัมโพชฌงค์
    ปีติสัมโพชฌงค์
    ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
    สมาธิสัมโพชฌงค์
    อุเบกขาสัมโพชฌงค์



    สติสัมโพชฌงค์ เราต้องเป็นคนไม่เผลอสติเลย เอาสตินิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่น ตั้งสติตรงนั้นทำใจให้หยุด ไม่หยุดก็ไม่ยอม ทำให้หยุดไม่เผลอทีเดียว ทำจนกระทั่งใจหยุดได้



    นี่เป็นตัวสติสัมโพชฌงค์แท้ๆ ไม่เผลอเลยทีเดียว ที่ตั้งที่หมาย หรือกลางดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ สะดือทะลุหลังขวา ทะลุซ้าย กลางกั๊กนั่นใจหยุดตรงนั้น

    เมื่อทำใจหยุดตรงนั้น ไม่เผลอสติทีเดียว ระวังใจหยุดนั้นไว้ นั่งก็ระวัง ใจหยุด นอนก็ระวังใจหยุด เดินก็ระวังใจหยุด ไม่เผลอเลย นี่แหละตัวสติ สัมโพชฌงค์แท้ๆ จะตรัสรู้ต่างๆ ได้เพราะมีสติสัมโพชฌงค์อยู่แล้ว

    ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เมื่อสติใจหยุดนิ่งอยู่ก็สอดส่องอยู่ ความดีความชั่วจะเล็ดลอดเข้ามาท่าไหน ความดีจะลอดเข้ามา หรือความชั่วจะลอดเข้ามา

    ความดีลอดเข้ามา ก็ทำใจให้หยุด
    ความชั่วลอดเข้ามา ก็ทำใจให้หยุด
    ดีชั่วไม่ผ่องแผ้วไม่เอาใจใส่ ไม่กังวล ไม่ห่วงใย ใจหยุดระวังไว้ ไม่ให้เผลอก็แล้วกัน นั่นเป็นตัวสติวินัย ที่สอดส่องอยู่นั่นเป็นธรรมวิจยสัมโพชฌงค์

    วิริยสัมโพชฌงค์ เพียรรักษาใจหยุดนั้นไว้ไม่ให้หาย ไม่ให้เคลื่อนทีเดียว ไม่เป็นไปกับความยินดียินร้ายทีเดียว

    ความยินดียินร้ายเป็น อภิชฌา โทมนัส เล็ดลอดเข้าไปก็ทำใจหยุดนั่นให้เสียพรรณไปให้เสียผิวไป ไม่ให้หยุดเสียให้เขยื้อนไปเสีย ให้ลอกแลกไปเสีย มัวไป ดีๆ ชั่วๆ อยู่เสียท่าเสียทาง

    เพราะฉะนั้นต้องมีความเพียรกลั่นกล้ารักษาไว้ให้หยุดท่าเดียว นี้ได้ชื่อว่าวิริยสัมโพชฌงค์ เป็นองค์ที่ ๓





    ปีติสัมโพชฌงค์ เมื่อใจหยุดละก็ชอบอกชอบใจ ดีอกดีใจ ร่าเริงบันเทิงใจ อ้ายนั่นปีติ ปีติที่ใจหยุดนั่น ปีติไม่เคลื่อนจากหยุดเลย หยุดนิ่งอยู่นั่น นั่นปีติสัมโพชฌงค์ นี้เป็นองค์ที่ ๔

    ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิ แปลว่า ระงับซ้ำ
    หยุดในหยุดๆๆ ไม่มีถอยกัน พอหยุดก็เข้ากลางของใจที่หยุดนั่น หยุดในหยุด หยุดในหยุด นั่นทีเดียว นั่นปัสสัทธิระงับซ้ำ เรื่อยลงไป ให้แน่นหนาลงไว้ ไม่คลาดเคลื่อน ปัสสัทธิ มั่นคงอยู่ที่ใจหยุดนั่น ไม่ได้เป็นสองไป เป็นหนึ่งทีเดียว นั่นเรียกว่า สมาธิทีเดียว นั่นแหละ


    พอสมาธิหนักเข้าๆ นิ่งเฉยไม่มีสองต่อไป นี่เรียกว่า อุเบกขา เข้าถึงนิ่งเฉยแล้ว อุเบกขาแล้ว


    นี่องค์คุณ ๗ ประการอยู่ทีเดียวนี่ อย่าให้เลอะเลือนไป
    ถ้าได้ขนาดนี้ ภาวิตา พหุลีกตา กระทำเป็นขึ้นแค่นี้ กระทำให้มากขึ้น
    สํวตฺตนฺติ ย่อมเป็นไปพร้อม
    อภิญฺญาย เพื่อรู้ยิ่ง
    นิพฺพานาย เพื่อสงบ ระงับ
    โพธิยา เพื่อความตรัสรู้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้แหละขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านในทุกกาลทุกเมื่อ



    ความจริงอันนี้ ถ้ามีจริงอยู่อย่างนี้ละ รักษาเป็นแล้ว รักษาโพชฌงค์เป็นแล้ว อธิษฐานใช้ได้ ทำอะไรใช้ได้ โรค ภัย ไข้เจ็บ แก้ได้ ไม่ต้องไปสงสัยละ



    ความจริงมีแล้ว โรคภัยไข้แก้ได้ แก้ได้อย่างไร?

    ท่านยกตัวอย่างขึ้นไว้
    เอกสฺมึ สมเย นาโถ โมคฺคลฺลานญฺจ กสฺสปํ
    คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสยิ
    เต จ จํ อภินนฺทิตฺวา โรคา มุจฺจึสุ ตงฺขเณ
    เอกสฺมึ สมเย ในสมัยหนึ่ง
    นาโถ พระโลกนาถเจ้าทรงทอดพระเนตร ทรงดูพระโมคคัลลานะ และพระกัสสปะอาพาธถึงซึ่งทุกขเวทนา อาพาธเกิดเป็นทุกขเวทนา ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง ๗ ดังกล่าวแล้ว

    ที่แสดงแล้วนี่ ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง ๗ ให้ทำใจหยุดลงไว้ให้นิ่งลงไว้ เมื่อพระองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ทั้ง ๗ แล้ว ท่านทั้งสอง พระโมคคัลลานะกับ พระกัสสปะ มีใจร่าเริงบันเทิงในภาษิตของพระองค์นั้น โรคหายในขณะนั้น

    นี่ความสัตย์อันนี้ ความจริงอันนี้โรคหายทีเดียว ได้ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ นี่ว่าอย่างพระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้า นี่ท่านผู้แสวงซึ่งคุณอันยิ่งใหญ่หนา

    ทั้ง ๓ ท่านเป็นผู้สำเร็จแล้ว ยังมีโรคเข้ามาเบียดเบียนได้ เบียดเบียนก็ใช้โพชฌงค์กำจัดเสีย ไม่ต้องไปกินหยูก กินยา ที่ไหนเลยสักอย่างหนึ่ง โพชฌงค์เท่านั้นแหละโรคหายไปหมด


    ดังวัดปากน้ำบัดนี้ ก็ใช้วิชชาบำบัดโรคเช่นนี้เหมือนกัน ใช้บำบัดโรคไม่ต้องใช้ยา ตรงกับทางพุทธศาสนาจริงๆ อย่างนี้ นี่ชั้นหนึ่ง


    นี่พระองค์เองพระองค์ทรงเอง คราวนี้โดนพระองค์เข้าบ้าง

    เอกทา ธมฺมราชาปิ เคลญฺเญนาภิปีฬิโต ครั้งหนึ่งพระธรรมราชา

    ธมฺมราชาปิ แม้พระธรรมราชา คือ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของพระธรรมเอง ปิ อันนั้นไม่แม้ แปลเป็นเองเสีย ครั้งหนึ่งพระธรรมราชาเอง อันอาพาธเข้าบีบคั้นแล้ว

    เคลญฺเญนาภิปีฬิโต จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว ภณาเปตฺวาน ทรงรับสั่งให้พระจุนทเถร แสดงโพชฌงค์ ๗ ประการนั้นด้วยความยินดี

    สมฺโมทิตฺวา จ อาพาธา ทรงบันเทิงพระทัยในโพชฌงค์ที่พระจุนทเถรทรงแสดงถวายนั้น อาพาธหายไปโดยฉับพลัน ด้วยฐานะอันสมควร ด้วยความสัตย์อันนี้ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่านทุกเมื่อ

    นี่พระองค์เองอาพาธ พระจุนทเถรแสดงสัมโพชฌงค์ระงับ ก็หายอีกเหมือนกัน ในท้ายพระสูตรนี้ ว่า


    ปหีนา เต จ อาพาธา อาพาธทั้งหลายเหล่านั้น
    ตมฺหาวุฏฺฐาสิ ฐานโส มคฺคาหตกิเลสา ว ปตฺตานุปฺปตฺติธมฺมตํ
    อาพาธทั้งหลายเหล่านั้นถึงซึ่งความดับไป ดุจกิเลสอันมรรคกำจัดไปดังนั้น ไม่เกิดขึ้นได้ นี่ด้วยความสัตย์จริงอันนี้ ด้วยความกล่าวสัตย์อันนี้ ขอความสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่านทุกเมื่อ นี่ความจริงเป็นดังนี้




    ถ้าเรารู้จักพุทธศาสนาดังนี้ เราจะต้องปฏิบัติให้ถูกหลักฐานความจริงของพระพุทธศาสนา อังคุลิมาลเถระเจ้า ท่านเป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา เป็นขีณาสพแล้ว ท่านใช้ความสัตย์จริงของท่านขึ้นอธิษฐาน บันดาลให้หญิงคลอดบุตรไม่ออกให้ออกได้ ตามความปรารถนา

    ส่วนโพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการ พระบรมศาสดาจารย์ทรงแสดงให้พระโมคคัลลานะ พระกัสสปะ กำลังอาพาธอยู่ก็หายโดยฉับพลัน แล้วส่วนพระองค์ท่านล่ะอาพาธขึ้น ทรงรับสั่งให้พระจุนทเถรแสดงโพชฌงค์นั้น อาพาธของพระองค์ก็หายโดยฐานะอันสมควรทีเดียว


    นี่หลักอันนี้โพชฌงค์เป็นตัวสำคัญ ประเสริฐเลิศกว่าโอสถใดๆ ในสากลโลกทั้งนั้น
    เหตุนี้ท่านผู้มีปัญญา เมื่อได้สดับมาในโพชฌงคปริตรนี้ จงมนสิการกำหนดไว้ในใจของตนทุกถ้วนหน้า
    ที่ได้ชี้แจงแสดงมาตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบายพอสมควรแก่เวลา
    เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติ ตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า

    อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้

    เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้






     
  14. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092





    ๑.ขณะใดจิตเหนื่อยใจ มีความอ่อนใจ
    ไร้กำลังต่อต้านกิเลส ขณะนั้นไม่สมควร
    ใช้อารมณ์คิด ให้กำหนดรู้ลมหายใจ
    เข้าออกเป็นกรณีสำคัญ จักช่วยให้
    หายเหนื่อยใจได้
    ๒.อย่าลืมอานาปานัสสติ นอกจากระงับ
    กายสังขาร คือ ระงับทุกขเวทนาแล้ว
    ก็ยังระงับอารมณ์ฟุ้งซ่าน นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ
    ก็สามารถระงับได้ชั่วคราว
    ๓.จงหมั่นเรียนรู้ประโยชน์ของอานาปานัสสติ
    ให้มาก และจงหมั่นทำหาความชำนาญใน
    อานาปานัสสติ ให้มาก เพราะจักทำให้จิตมีกำลัง
    เมื่อถอนออกมาจากฌานแล้ว จักใช้กำลังมาทำ
    วิปัสสนาญาณ จักมีปัญญาคมกล้ามาก



    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  15. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092





    วิชาเปิดโลกคืออะไร ฝึกกันอย่างไร

    ศิษย์ : แล้ว... วิชาเปิดโลก?

    หลวงตาม้า : ก็นี่แหล่ะ วิชาเปิดโลกล่ะ นี่แหล่ะ ถ้าใครผ่านหลวงปู่ไม่ได้ ก็เปิดโลกไม่ได้

    ศิษย์ : ทุกอย่างต้องผ่านหลวงปู่ก่อน?

    หลวงตาม้า : ใช่

    ศิษย์ : คือเราไม่ดูเอง?

    หลวงตาม้า : ไม่... อย่าเด็ดขาดเลย มีลูกศิษย์หลวงพ่อตั้งหลายคน ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ชักเพี้ยนแล้ว....... ท่านไม่ได้ควบคุมแล้วนะ ถือว่าเกินครูบาอาจารย์แล้ว

    ศิษย์ : อ้อ

    หลวงตาม้า : ยังไง ก็ต้องตั้งท่านทุกครั้ง

    ศิษย์ : บางครั้งถ้าตั้งแล้วไม่เห็น แสดงว่าท่านไม่ให้ดู ไม่ควรดูใช่มั้ยครับ?

    หลวงตาม้า : แสดงว่า ท่านผ่านให้ดู ถ้าเห็นนะ... ถ้าไม่ให้เห็น แสดงว่าท่านไม่ให้ดู มันไม่มีประโยชน์

    ศิษย์ : ก็คือต้องมีครูบาอาจารย์คุมตลอด?

    หลวงตาม้า : บางอย่างมันมีโทษ มันไม่มีโทษ บางอย่างมีประโยชน์ ท่านก็ให้ดู ความจริงสายหลวงปู่เนี่ย... เป็นสายเกี่ยวกับเรื่องของกรรม เรื่องของโลกวิญญาณ เรื่องของการทำบุญแบบไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ไม่ได้หวังอะไร อย่างเราเห็นคนเดินไปเดินมา เราสามารถจะช่วยเขาได้เราก็ช่วย ตามที่เราจะช่วยได้

    ศิษย์ : ช่วยด้วยใจ

    หลวงตาม้า : ใช่... อย่างเห็นเขามา เขามีปัญหาเรื่องวิญญาณแฝงอยู่ เราก็ส่งวิญญาณเลย โดยที่เขาไม่รู้ โดยไม่ได้หวังอะไร ไม่ให้เขารู้อะไร เราไม่หวังอะไร ถ้าทำได้อย่างนั้นล่ะ OK.

    ศิษย์ : ถ้าจะทำได้คือ ต้องทรงพรหมวิหาร.... ?

    หลวงตาม้า : ถูก... พรหมวิหาร ไม่หวังอะไร ไม่หวังอะไรตอบแทน

    ศิษย์ : แล้วอย่างเวลา... ถ้าเรากำหนดไป แล้วเหมือนเราขยับท่าไหน แล้วท่านขยับท่าเดียวกับเรา แบบนี้...?

    หลวงตาม้า : ได้... ท่านให้ในทางโลกและทางธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ความเป็นเลิศของ..อริยสาวก
    .
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าจักพรรดิเสวยราชสมบัติเป็นอิสราธิบดีในทวีปทั้ง ๔ สวรรคตแล้ว ย่อมเข้าพึงสุคติโลกสวรรค์..ได้เป็นสหายของพวกเทพชั้นดาวดึงส์....
    ท้าวเธอประกอบด้วยธรรม ๔ ประการก็จริง ถึงกระนั้น ท้าวเธอก็ยังไม่พ้นจากนรก จากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน จากปิตติวิสัย จากอบาย ทุคติ วินิบาต
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนอริยสาวก แม้จะเลี้ยงอัตตภาพด้วยคำข้าวที่หามาได้ด้วยลำแข้ง นุ่งห่มผ้าที่เศร้าหมอง
    เธอประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ถึงกระนั้น เธอก็พ้นจากนรก จากกำเนิดดิรัจฉาน จากปิตติวิสัย จากอบายทุคติ วินิบาต
    ธรรม ๔ ประการ คือ อะไร อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ประกอบด้วย
    ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า (๑)
    ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม (๑)
    ความเลื่อมใสอันไม่หวันไหวในพระสงฆ์ (๑)
    ประกอบด้วยศีลอันเป็นที่รักของพระอริยเจ้าไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่างพร้อย เป็นไท วิญญูชนสรรเสริญ ไม่มัวหมอง นำไปสู่สมาธิ
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย... การได้ทวีปทั้ง ๔ ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ ของการได้ธรรม ๔ ประการ....”

    .
    -ราชาสูตร มหา. สํ. (๑๔๑๑-๑๔๑๓ )



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ถาม..ทราบได้อย่างไร ว่าจิตได้ฐานแล้ว มีฐานแล้ว



    ตอบ....จิตไม่หวั่นไหวกับอารมณ์อกุศล มีความตั้งมั่นมากขึ้น

    ยิ่งตั้งมั่นในฐานได้มาก ยิ่งสามารถยิ้มและแผ่พรหมวิหารกลับไปได้ซะด้วยซ้ำไป
     
  19. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092



    คนที่มีบารมีมากไม่ทำต่อก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด คนที่มีบุญเก่าน้อยแต่ชาตินี้ทำบุญมาก ปฏิบัติมาก ก็ไปได้เหมือนกัน อย่ามัวนั่งรอบุญเก่าอยู่เลย รีบสะสมบุญในปัจจุบันให้มาก ทำให้มาก พิจารณาให้มาก ทุกลมหายใจเข้าออก จะเกิดประโยชน์กับตนเองแน่นอน
    ขอให้รีบทำเองปฏิบัติเอง ขอให้ตั้งใจทำเอาตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย
    ใจดวงเดิมของเราใสจริงๆ ที่มัวหมองอยู่นี้เป็นเพราะกิเลสบัง กิเลสทำให้ใจเศร้าหมอง ทาน ศีล สมาธิ ภาวนา ปัญญา เป็นสิ่งที่ชำระใจให้บริสุทธิ์ ทำเองเห็นเอง หายสงสัย


    ...หลวงปู่เนย สมจิตฺโต...


    วัดป่าโนนแสนคำ ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้