อุปสมานุสติ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย paang, 10 มีนาคม 2007.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG]




    อุปสมานุสติคือให้ระลึกถึงความสงบได้แก่พระนิพพาน บางคนอาจจะคิดว่าสูงเหลือเกินถึงพระนิพพานโน่นความสงบของท่านไม่ได้แสดงไว้จึงไม่ทราบว่าสงบละเอียดแค่ไหนจึงถึงพระนิพพาน แต่ท่านบอกว่าให้ระลึกถึงความสงบได้แก่พระนิพพาน ดังนี้

    เราทั้งหลายพากันทำความสงบก็รู้สึกว่ามันวางจากสิ่งทั้งปวง ถ้าท่านหมายเอาตอนนี้เราก็ถึงซึ่งพระนิพพานแล้วล่ะ อย่างไรก็ดีจะถึงหรือไม่ถึงก็แล้วแต่ขอให้ระลึกถึงความสงบพอระลึกถึงความสงบใจมันก็แน่วแน่แล้ว นั่นแหละท่านให้ระลึกถึงความสงบเช่นนั้นแหละ ถ้าระลึกถึงไม่สงบมันก็วุ่นวาย

    เมื่อเราสงบแล้วแต่ไม่สงบมากถึงของท่านเราได้สัมผัสพระนิพพานของท่านสักนิดเดียวก็พอใจแล้วเอาเท่านั้นก่อนเพียงแต่สงบจากอารมณ์สงบจากนิวรณ์๕ได้ชั่วครั้งชั่วคราวการสงบจากนิวรณ์มันยังมีความโลภ ความโกรธความหลงอีก

    อนุสัยมันมีเยอะแยะเหลือเกินที่เราสงบนั้นเราไม่ทราบว่าเราสงบได้เพียงแค่ไหนแต่ก็ยังดีท่านยังยกให้เรียกว่า สงบ

    ระลึกเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ท่านว่าอย่างนั้น พระนิพพานคงจะสงบอย่างนี้กระมังคือม่มีความโลภ ความโกรธความหลงใหลขณะนั้นไม่ใช่ขณะอื่นในขณะที่สงบจากโลภโกรธหลงจึงมีความสงบเยือกเย็นไปเสียทุกอย่างท่านคงจะหมายเอาความสงบนั้นว่าเป็นพระนิพพาน ท่านจึงให้ระลึกเอาความสงบเป็นอารมณ์

    พระนิพพานนั้นยากจะตัดสินว่าอะไรเป็นอะไรแต่เราก็เชื่อความสงบของเราว่าเราทำความสงบได้เพียงแค่นี้ แม้จะไม่ถึงความสงบของท่านเราก็คงได้เฉียดๆพระนิพพานหากสงบอยู่ได้นานก็ได้พระนิพพานนานสงบประเดี๋ยวเดียวก็ได้พระนิพพานประเดี๋ยวเดียว พระนิพพานของท่านสงบเยือกเย็นเอาจริงๆจังๆจะคิดนึกก็เป็นเรื่องพระนิพพานท่านไม่คิดนึกส่งส่ายไปเพื่อกิเลสหากคิดนึกเป็นไปเพื่อความสงบสุขเท่านั้น

    ธรรมดาจิตมันย่อมคิดนึกอยู่เสมอแต่สติคอยควบคุมจิตใจให้เห็นจิตอยู่ทุกขณะจิตก็ไม่ออกไปนอกขอบเขตอยู่ในบังคับของท่าน มันไม่เป็นเหตุให้เกิดกิเลสบาปกรรมเป็นแต่กิริยาคิดเฉยๆพวกเราควรให้เป็นอย่างท่านบ้างถึงแม้พวกเราเพียงแต่เกิดความสงบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เอาเสียก่อน และจงรักษาความสงบนั้นไว้ให้มั่งคงถาวร แล้วเราจะเห็นของเราเอง

    ถ้าเราสงบได้นานก็ได้ความสงบสุขมากคือได้พระนิพพานมากนั่นเองถ้าสงบได้ชั่วครู่ก็ได้พระนิพพานครู่หนึ่ง ถ้าไม่สงบเลย อันนั้นเป็นรกแล้วนรกกับพระนิพพานมันตรงกันข้ามกัน มันเป็นเรื่องต่อสู้กันอยู่อย่างนั้น
    แต่ไหนแต่ไรมา คนเราเกิดมาแล้วมีแต่วุ่นวายสารพัดอย่าง ปรุงแต่งต่าง ๆ นานานับไม่ถ้วน เมื่อเรามาทำความสงบแม้ประเดี๋ยวเดียว ก็รู้สึกว่าเย็นใจสบายใจเราก็ควรรักษาความเย็นอันนั้น ความสบายอันนั้นไว้ให้มั่นคงถาวรสืบไป จึงจะเป็นไปเพื่อความสุข

    ความสุขย่อมเป็นความปรารถนาของคนทั่วไปเมื่อได้ความสุขนั่นมาแล้วก็จงรักษาความสุขนั้นไว้ของหาได้ง่ายแต่รักษาได้ยาก ความสุขนั้นถ้าผู้จะได้ทำประเดี่ยวประด๋าวก็ได้ถ้าผู้ไม่ได้ก็ไม่ได้เหมือนกันแหละครั้นทำได้แล้วที่จะรักษาไว้ให้ได้นานนั้นยากที่สุด เพราะอะไร เพราะกิริยาอาการทุกอย่างของเรามันกระทบกระเทือนอยู่ตลอดเวลาเป็นต้นว่า ยืน เดิน นั่ง นอนการพูดการคุยการกินสารพัดทุกอย่างเป็นเรื่องกระทบอายตนะทุกสิ่งทุกประการจิตมันก็ส่งไปตามอายตนะ จึงว่ารักษาได้ยาก

    ถ้าหากผู้ทำได้ชำนิชำนาญคล่องแคล่วเสียแล้วท่านรู้เท่ารู้เรื่องท่านตามรู้ตามเห็นทุกสิ่งทุกประการมันจะมาแบบไหนก็ตามรู้เรื่องของมัน จิตส่งไปก็เป็นธรรมะจะคิดนึกก็เป็นธรรมะ มันปรุงมันแต่งก็เป็นธรรมะ

    ถ้ารู้เท่ารู้เรื่องมันเป็นธรรมะทั้งหมดผู้ปฏิบัติจะเห็นความดีความชั่วของตนตรงนั้นแหละมันเป็นธรรมหรือมันเป็นโลกก็เห็นมันตรงนั้นแหละ ถ้าคิดเรื่องโลกมันก็เป็นเรื่องโลกทั้งหมดไม่มีสติควบคุมดูแลรักษาถ้าหากมันเป็นเรื่องธรรมะแล้วตามรู้เหตุรู้ผลมันตลอดเวลา จะให้อยู่มันก็อยู่ถึงคิดมันก็ไม่เกินขอบเขตจะดึงเอามาให้นิ่งสงบเวลาใดก็ได้เปรียบเหมือนกับวัวความที่เขาเลี้ยงนั่นแหละ เขาเลี้ยงไว้ในทุ่งกว้างๆก็ตามเถิด

    ผู้เลี้ยงเขาขึ้นต้นไม้มองดูอยู่ทุกตัวตัวไหนมันจะไปไหนก็เห็นอยู่ตอนเย็นก็ต้อนมาเข้าคอกแล้วก็ปิดประตูคอก เจ้าของนอนสบายไม่ต้องรักษา

    นี่แหละอุปสมานุสติให้ระลึกถึงความสงบได้แก่พระนิพพานเป็นอารมณ์อารมณ์ของท่านนั้นเป็นอย่างไรก็ตามเถิด ของเราเอาเพียงแค่นี้เสียก่อนถ้าหากว่าเป็นถึงของท่านแล้วมันจะทราบได้เองจะไปบอกกันสอนกันก็ไม่ได้ จะไปตกต่างก็ไม่ได้ใครเห็นใครรู้ด้วยตนเองจะไปคิดนึกตามปริยัติตามตำรามันไม่ตรงกับความเป็นจริงหรอก เมื่อปฏิบัติเป็นไปแล้ว ไปเทียบไปวัดกับปริยัติมันจึงถูกต้องไม่ผิดสักนิดเดียว

    คนปฏิบัติทั้งหลายอยากได้ขั้นอยากได้ภูมิหนักหนาอยากได้โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีหลับตาสักประเดี๋ยวเดียวก็แลเห็นแล้ว ครั้นออกจากสมาธินั้นมากิเลสยังท่วมตัวอยู่ อะไร ๆ ทั้งหมดยังมีอยู่เท่าเดิมส่วนของท่านนั้นเมื่อเห็นแล้ว ท่านไม่เกี่ยวข้องกับกิเลสทั้งหลาย กิเลสทั้งหลายก็หมดไป

    ท่านกล่าวไว้ว่าโสดาบันคือผู้ตกกระแสพระนิพพานพอมองเห็นริบหรี่แต่ไม่ถึงพระนิพพานสกิทาคามีก็เห็นแจ้งเข้าไปเห็นใกล้เข้าไปอนาคามีก็เห็นใกล้เข้าไปอีกเห็นแจ้งชัดไปมากกว่านั้นต่อเมื่อถึงพระอรหันต์จึงเห็นแจ้งชัดขึ้นมาตามธรรมดาความเป็นจริงว่า ธรรมะที่ทำให้เป็นพระอรหันต์อย่างนี้โดยไม่ต้องเชื่อคนอื่นและคำบอกเล่าของใครๆทั้งหมดแต่ว่าไปตรงกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการ

    คนโดยส่วนมากอยากได้พระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีและพระอรหันต์โดยนึกคิดเอาว่าถ้าละกิเลสอย่างนั้นๆเป็นพระโสดาบันละอย่างนี้ๆเป็นพระสกิทาคามีเป็นพระอรหันต์อยากได้อย่างท่านแต่เราไม่ละกิเลสอย่างท่าน เอากิเลสมาอมไว้แล้วกล่าวถึงท่านมันจะถึงท่านได้อย่าไรแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ละความอยากสมกับโบราณท่านว่าไว้ ผู้อยากย่อมไม่ได้กิน ผู้กินอยู่ย่อมไม่อยาก
     
  2. Onemind

    Onemind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +197
    "คนโดยส่วนมากอยากได้พระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีและพระอรหันต์โดยนึกคิดเอาว่าถ้าละกิเลสอย่างนั้นๆเป็นพระโสดาบันละอย่างนี้ๆเป็นพระสกิทาคามีเป็นพระอรหันต์อยากได้อย่างท่านแต่เราไม่ละกิเลสอย่างท่าน เอากิเลสมาอมไว้แล้วกล่าวถึงท่านมันจะถึงท่านได้อย่าไรแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ละความอยากสมกับโบราณท่านว่าไว้ ผู้อยากย่อมไม่ได้กิน ผู้กินอยู่ย่อมไม่อยาก "

    ประโยคนี้โดนใจมากครับ อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...