อ่านใจตนเอง

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 24 มีนาคม 2008.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    อ่านใจตนเอง [ฉบับย่อ]
    ท่าน ก.เขาสวนหลวง


    ชัยชนะของผู้ไม่มีตัวตน


    จงหมั่นฝึกให้เป็นผู้มีการเสียสละปล่อยวาง รู้จักฝึกให้มีชัยชนะเหนือทุกข์ เหนือกิเลสอยู่รื่อยๆ ด้วยการไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวในตน เพราะถ้าไม่หมั่นกดหัวกู ตัวกูลงไปบ้างก็จะเดือดร้อนกันจริงๆ

    เพราะไม่ว่าใคร ก็มีตัวกูด้วยกันทั้งนี้น แต่ต้องรู้จักข่มขี่ทรมาน ละพยศร้ายของตัวกู

    การทำดีทำถูก ให้มันดีมันถูกไปตามธรรมชาติ ไม่ยึดว่าตัวเราดี ตัวเราถูก การยึดถือตัวเราดีนี้ ก่อให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมามากมาย ถ้าตัวดี ตัวเด่นยังตระหง่านอยู่ มันหาเรื่องเก่ง ถ้าไม่ข่มขี่ตัวนี้ลงไปก็ยังเดินไม่ถูกทาง

    ที่หลงยึดมั่นถือมั่นเป็นความโง่ ถ้ามีความรู้ถูกต้องขึ้นมา จะเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง

    เรื่องดีๆ ชั่วๆ ตัวเรา ตัวเขา ล้วนเป็นของหลอกๆ ถึงเราจะไปหมายอะไรข้างหน้า หรือหมายยึดมั่นในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว และมาจับปรุงในขณะปัจจุบัน ก็เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ เหมือนกัน ไม่มีอะไรเป็นตัวจริงเลย ทำไป พูดไป คิดไป ดับเรื่อยไป ไม่มีอะไรเหลือ ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นก็ทุกข์ไปเปล่าๆ

    การยกหูชูหาง การต้องการอะไรเพื่อตน ก็เรื่องของกิเลสทั้งนั้น วุ่นวายไปตามอำนาจของความยึดมั่นถือมั่น การทำด้วยความมีตัวตนเข้ามาเกี่ยวข้องมันทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ทั้งร้อน ทั้งวุ่น

    ถ้าทำด้วยจิตที่ว่างจากตัวตน จะได้ความเบา ได้ความสบาย ได้ความเย็น ได้ความสุขหลายอย่าง เป็นการใช้หนึ้ธรรมชาติไปในตัว และไม่ต้องการอะไรตอบแทน

    ถ้ารู้สึกตัวขึ้นมาได้ จิตใจจะเป็นอิสระ ว่างจากสิ่งรบกวนได้เรื่อยๆ แม้จะมีเครื่องกระทบ ก็ไม่เอาใจใส่ คงเฉยและปล่อยวางออกไปได้ ในที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะ


    ภัยของคนทุศีล

    การปฏิบัติขั้นต้น ต้องรู้จักบังคับตนเองในทางกายและวาจา ซึ่งเป็นขั้นศีล เพื่อให้มีความสงบสำรวมเป็นปกติไว้ก่อน จิตใจจะได้ไม่เป็นไปตามอำนาจกิเลสหยาบๆ

    ความรุนแรงซึ่งจะแสดงออกมาทางกายวาจา ระงับด้วยขันติไว้ก่อน พออดทนไปได้สักหน่อย ให้สติปัญญามีกำลังพอที่จะรู้จักบาปบุญคุณโทษขึ้นมา ก็จะเห็นคุณว่าขันตินี้ดีจริง แต่หากเราไม่อดทนไว้ก่อน หุนหันไปทำไปพูดสิ่งที่ทุศีล เป็นทุกข์โทษแก่คนอื่น ก็เป็นภัยเป็นเวรเพิ่มให้แก่ตัวเอง

    คนทุศีลจึงเป็นผู้มีทุกข์อยู่ภายในตลอดเวลา แม้จะอบรมข้อปฏิบัติที่สูงขึ้นไปก็ทำไม่ได้ จะต้องพร่ำสอนตัวเองให้รู้สึกสลดใจ ทิ้งสันดานเดิมไปให้ได้ ต้องอดทนต่อสู้เดินตามทางของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว


    คนจนอริยทรัพย์

    คนโลภมากและขี้ตะหนี่ ถึงจะมีเงินมาก พระพุทธเจ้าก็เรียกว่าเป็นคนจน คือ จนอริยทรัพย์

    อันทรัพย์ภายนอก แม้จะมีมาก แต่มื่อตายแล้วก็เป็นของคนอื่นไป เป็นของกลางไป เอาไปด้วยไม่ได้

    ส่วนทรัพย์ภายใน หากไม่เพียรละสละทรัพย์ภายนอกกันเสียบ้าง สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นคนจน คือ จนคุณงามความดี และจนธรรมะ


    คุณค่าอันสูงสุดนั้น อยู่ข้างใน

    เรื่องข้างนอกเป็นเรื่องหลอก เรื่องข้างในเป็นเรื่องจริง ดูเข้าไปให้มันรู้จริงๆ ให้ได้ ถ้ามองข้างในทะลุไปได้ จะรู้ได้เองว่าบรรดาสิ่งในโลก ไม่มีค่าสักนิดเดียว เพราะว่าค่าที่สูงสุดมันอยู่ข้างในอยู่ที่จิตมีความรู้แจ่มแจ้ง มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ

    ถึงแม้จะเป็นการเห็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ก็ยังนับว่าดี ไม่เสียที จะได้เป็นทางดำเนินต่อไป จนกว่าจะดับทุกข์ ดับกิเลสได้สิ้นเชื้อ


    โทษภัยของเรื่องเก่าที่นำมาเล่าใหม่

    บางทีเรื่องขัดใจที่ล่วงไปแล้วเป็นเวลาตั้งนาน ไปจำเอามาคิดมาพูดให้มันลุกกระพือขึ้นอีก จิตใจก็เร่าร้อนเศร้าหมองไปอีก ทำให้ซ้ำซากไม่รู้จักจบสิ้น แล้วก็ไม่รู้ตัวว่ากำลังมีความหลง มีความยึดถืออยู่ กลับไปตะกละตะกลาม อยากได้เหยื่อ ลาภสักการะ เสียงสรรเสริญเยินยอ เข้ามาเชือดเฉือนตนเองให้เป็นแผลอยู่ตลอดเวลา จึงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ไม่รู้จักจบสิ้น

    .................................................

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  2. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    ตรงใจจังเลยครับ หลายๆประโยคที่ท่าน ก.เขาสวนหลวง กล่าวไว้ก็เคยเกิดขึ้นมาในใจก่อนหน้านี้แล้ว

    "ความจริงกับความฝัน ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย เพราะความจริงและความฝันก็ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เหมือนกันทั้งสิ้น"
     
  3. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    จงหยุดอยู่นิ่งๆ

    วันนี้เป็นวันปรารภเรื่องการปฏิบัติธรรมตามเคยและเป็นสิ่งที่จะต้องปรึกษาหารือกันเพราะการเดินตามรอยของพระอรหันต์นี้จะต้องพินิจพิจารณาตัวเองให้รอบคอบจึงจะเกิดประโยชน์และมีผลอานิสงส์มากฉะนั้นจึงต้องมีการควบคุมทางอายตนผัสสะเมื่อตาเห็นรูปหูฟังเสียงอะไรเหล่านี้เป็นการสังวรระวังให้อยู่ในความปรกติเอาไว้เสมอเพราะทางที่จะออกไปสนุกสนานเพลิดเพลินกับผัสสะนี่มันมากมายตามธรรมดาก็ชอบกันอย่างนั้นส่วนทางที่จะเข้ามาหาความสงบระงับนี่มันน้อยคนนักเพราะการสนุกสนานทางหูทางตานั่นมีมากแล้วขั้นนี้ก็มีน้อยคนที่จะสมัครเดินกันทางโลกหรือทางที่รกดังป่าชัฏของกิเลสตัณหาอุปาทานนั้นมันนับไม่ถ้วนแต่ก็ชอบเดินกันส่วนคนที่จะเข้ามาหาความสงบแม้จะมีน้อยก็จริงแต่ก็มีประโยชน์มากมีผลมาก

    และทางที่จะเข้ามาสู่ความสงบมันต้องเป็นเรื่องของคนๆเดียวไม่ใช่เรื่องพวกมากเป็นทางๆเดียวต้องมองเข้ามาหาตัวคนเดียวนี่แหละถ้าเอาเพื่อนเอาฝูงมากๆแล้วไม่ได้มันจะเนิ่นช้าจึงต้องเอาเรื่องของคนๆเดียวดีกว่าเป็นการไปด้วยความสงบเดินไปในแนวทางของมัชฌิมาปฏิปทาโดยที่ไม่ต้องแวะเวียนชมนกชมไม้ที่ไหนเพราะว่ามันจะต้องรีบไปส่วนหนทางโลกที่มีเครื่องยั่วแหย่มากมายถ้ามองด้วยสายตาของสติปัญญาแล้วมันล้วนแต่น่าเบื่อไม่น่าจะไปหลงใหลเพลิดเพลินกับมันเลยแต่ก็เป็นเรื่องเฉพาะคนหนึ่งๆไม่ใช่หมายความทั่วไปเพราะทั่วไปนั้นมันเรื่องของคนโลภคนหลงที่จะเดินในทางมัชฌิมาปฏิปทานี้ต้องเป็นการปลดเปลื้องเรื่องราวที่เคยยึดมั่นถือมั่นมาแต่ก่อนทำให้มันน้อยลงไปหรือว่าเพิกถอนสิ่งที่รกรุงรังออกไปจากจิตใจเสียแล้วความกังวลทั้งหลายมันก็ไม่มารบกวนจิตใจได้การเดินทางอย่างนี้ก็จะเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยและเป็นผลดีอยู่ในชีวิตประจำวันที่มีจิตใจสงบสะอาดมันจึงเป็นเรื่องดับทุกข์ดับกิเลสของตัวเองเสร็จอยู่ในชีวิตประจำวัน

    ไม่ว่าจะอยู่กันแบบไหนถ้าอยู่ในแบบที่มีธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจแล้วมันสงบได้โดยไม่ต้องวิ่งสำหรับคนรู้คนฉลาดนี้ต้องนิ่งต้องเงียบต้องสงบและต้องอยู่ในแนวนี้ทั้งนั้นเลยเพราะขืนวิ่งแล้วมันเหนื่อยมันทุกข์จึงตรงกันข้ามอยู่อย่างนี้ฉะนั้นจึงต้องรู้ว่าทางสงบหรือทางหยุดทางว่างมันเป็นเรื่องของตัวเองด้วยกันทุกคนจะไปชวนใครให้มาเดินก็ไม่ได้หรือจะบังคับกันให้มาเดินก็ไม่ได้เหมือนกันมันแล้วแต่สติปัญญาของตัวเองที่จะต้องเลือกเอาทางดำเนินชีวิตตามแบบของพระอย่างไรจะไม่มีการโลเลเหลวไหลไปเชื่อยักษ์เชื่อมารที่มันคอยหลอกคอยล่ออยู่รอบข้าง

    ผู้ที่จะเดินในทางของพระหรือเดินไปสู่โลกุตตระต้องมีสติปัญญาเข้มแข็งจึงจะเอาชนะมายาหลอกลวงได้เรื่อยๆไปแล้วไม่มีการย่อท้อถอยหลังไม่ต้องเป็นห่วงหน้าห่วงหลังเอาแต่เรื่องทางๆเดียวเป็นเรื่องของคนๆเดียวจริงๆและเพื่อความเป็นอิสระแก่ตัวเองจริงๆฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่จะต้องรู้จักเลือกเอาเองถ้าไม่รู้จักเลือกเอาเองแล้วมันก็เถลไถลไปเพราะมันก็มีตัวอย่างอยู่แล้วการที่จะมาเชื่อพระนั้นมันน้อยแต่ไปเชื่อมายาของกิเลสตัณหามีมากคนไหนที่ทำเป็นตัวคนๆเดียวได้นั่นแหละจะเอาตัวรอดได้ถ้ายังเอาเพื่อนเอาฝูงจูงกันไปจูงกันมาแล้วไม่ได้มันทำให้ล่าช้า

    ฉะนั้นต้องเป็นอิสระแก่ตัวเองให้ได้เพราะเป็นเรื่องจริงของชีวิตที่จะต้องเดินออกไปจากทุกข์จากโลกด้วยความเป็นอิสระจริงๆจึงจะได้ไม่ว่าจะมีการยึดถือดีชั่วตัวตนหรือสุขทุกข์อะไรขึ้นมาต้องเลิกกับมันปล่อยวางมันเรื่อยไปถ้ายังลังเลไม่แน่ใจอะไรอยู่ก็ยังใช้ไม่ได้ต้องเป็นความเด็ดขาดของตัวเองทีเดียวว่าจะต้องมุ่งหน้าปฏิบัติไปอย่างนี้ไม่ฟังเสียงใครทั้งหมดถ้าเป็นความแน่ใจของตัวเองได้ก็เป็นอันว่าการปฏิบัติจะเป็นไปโดยตลอดชีวิตโดยไม่ต้องไปเชื่อตามใครไม่ต้องห่วงใยอะไรทั้งหมด

    ต้องเป็นความเด็ดขาดด้วยสติปัญญาของตนเองจริงๆนั่นแหละจึงจะเอาตัวรอดได้มิฉะนั้นแล้วมันโลเลเหลวไหลอ้างโน่นอ้างนี่คนชอบอ้างมันคนเหลวไหลเชื่อไม่ได้แต่คนที่มีจิตใจมั่นคงปลงตกปล่อยวางอะไรออกไปโดยเด็ดขาดไม่ต้องเชื่อตามใครเลยไม่ว่าจะเชื่อธรรมะก็ต้องเชื่อด้วยเหตุผลและสติปัญญาไม่ได้ไปเชื่อตามเขาว่าหรือเขาติดว่าผิดก็โลเลไปกับเขาเขาติว่าถูกก็โลเลไปอีกอย่างนี้ไม่ได้มันต้องให้เป็นอิสระแก่ตัวเองทีเดียวถ้าใครมีสติปัญญามั่นคงรู้จักเลือกหนทางปฏิบัติที่จะเอาตัวรอดกันแล้วต้องเป็นอิสระแก่ตัวเองเรื่อยไปทีเดียวไม่แวะเวียนอะไรทั้งหมดปล่อยวางเรื่อยไปดีชั่วตัวตนอะไรที่จะมารุมหน้าล้อมหลังก็ไม่เอากวาดทิ้งให้หมดเพราะว่ามันไม่มีอะไรเลยมันหลงไปเองมันเที่ยวยึดถือไปตามรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเหล่านี้มันก็หลงมามากแล้ว

    ฉะนั้นหยุดกันทีเลิกกันทีอย่าไปเอาเรื่องกับผัสสะทางนอกๆเลยมาดูเข้าข้างในดีกว่าดูเข้าไปในจิตในใจดีกว่าเพิกถอนทำลายมายาที่มันหลอกลวงอยู่ภายใจดีกว่าส่วนภายนอกนี่ยกเลิกหมดกวาดทิ้งหมดเพราะมันไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจังมันล้วนแต่ลมๆแล้งๆทั้งนั้นแล้วก็ว่างไปทั้งหมดถ้าเราพิจารณาให้เห็นจริงด้วยสติปัญญาของเราเองแล้วจิตใจมันจะเป็นอิสระได้มันจะว่างได้มันจะสงบได้โดยไม่ต้องมีอะไรมาล่อมาหลอกมาเชิญชวนให้ไปทางไหนก็หมดปัญหาไปเองถ้าเป็นความแน่ใจจริงในชีวิตประจำวันมันจะเดินไปด้วยความเป็นอิสระและก็ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอะไรให้มากนัก

    ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำไปตามสมควรด้วยสติปัญญาที่มองเห็นว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำก็เลือกเอาเองได้แล้วที่จะทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเราตัวเขาก็ขอให้ตัดรอนทอนกำลังเสียให้หมดอย่าไปเอาเรื่องนี้ให้มากนักเลยมันจะเป็นการล่าช้าเปล่าๆและวันเวลาของชีวิตมันก็หมดก็สิ้นไปแล้วจะต้องเดินไปสู่จุดหมายปลายทางคือความว่างจากตัวตนที่ไม่มีการเกิดไม่มีการตายดีกว่าฉะนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันเลยปล่อยวางมันเสียเถิดทำให้จิตเป็นอิสระเหนือสุขเหนือทุกข์ได้แล้วจะไปสู่ความสงบขั้นสูงสุดได้ด้วยกำลังของสติปัญญาที่หมั่นพิจารณาปล่อยวางแล้วก็ว่างจากตัวตนเรื่อยไปทีเดียวแล้วจิตใจมันจะได้เป็นอิสระมันจะได้ว่างมันจะได้สงบ

    มีเรื่องที่เป็นความจริงอยู่เท่านี้เองเป็นสิ่งๆเดียวเป็นทางๆเดียวไม่มีเรื่องอะไรมากมายมีแต่เรื่องที่จะทำให้จิตใจหลุดพ้นออกมาจากอำนาจของกิเลสและตัณหาที่เป็นอาหารของมารที่มันคอยยุยงส่งเสริมอยู่ข้างในต้องรู้เท่าต้องทำลายมันแล้วจิตมันจะไม่ตกไปเป็นทาสของตัณหาหรือมายาทั้งหลายทั้งปวงที่คิดนึกปรุงแต่งจำหมายอะไรล้วนแต่เป็นเหมือนผีหลอกมันหลอกได้แต่คนโง่ๆถ้าคนฉลาดแล้วเลิกหมดหยุดหมดปล่อยวางหมดไม่เอาไปเล่นกับมันไม่ไหวพวกมันมากเช่นความคิดความจำทั้งหลายเหล่านี้มันเอามาคิดมานึกให้ฟุ้งซ่านไปเปล่าๆ

    ต้องให้มันหยุดดูหยุดรู้จิตใจของตัวเองทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอนหยุดรู้จิตที่เป็นปรกติว่างไม่เกี่ยวเกาะกับอะไรไม่ยึดถืออะไรดีชั่วตัวตนที่จะเกิดขึ้นมาสอพลอก่อเรื่องก็ "หยุด"! เพราะถ้าจะห้ามอย่างอื่นมันไม่ฟังเสียงมันช้าไปสู้บอกว่า "หยุด!" ก็เป็นหยุดทีเดียวบอกว่าทิ้งก็เป็นทิ้งทีเดียวบอกว่าปล่อยก็ปล่อยกันทีเดียวมันง่ายดีถ้าจะไปยกเอาศัพท์แสงขั้นสูงขึ้นมาก็อาจจะไม่ได้ความชัดใจหรือแน่ใจของตัวเองเพราะมันสู้ภาษาของใจที่มีสติปัญญาบอกออกมาไม่ได้แล้วมันก็เป็นภาษาตรงๆอยู่อย่างนี้แต่ต้องให้มันเป็นความรู้สึกด้วยใจจริงแล้วนั่นแหละมันจะได้ความชัดแจ้ง

    ถ้ามันไม่ได้ความชัดแจ้งด้วยใจจริงการปฏิบัติมันจะไม่ดำเนินไปในทางที่ถูกได้เพราะประเดี๋ยวมันก็ไปเอาเรื่องรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสอะไรมาวิพากษ์วิจารณ์กันไปอีกแล้วประเดี๋ยวเรื่องของคนนั้นประเดี๋ยวเรื่องของคนนี้ไปเอามาพูดมาคิดให้มันเพ้อไปเปล่าๆ

    แต่เรื่องของในจิตใจใจนี่มันไม่เอาอะไรมันไม่เอาเรื่องคนเรื่องของไม่ว่าดีชั่วตัวตนอะไรมันไม่เอาเลิกกันถ้าเลิกได้หยุดได้แล้วข้อปฏิบัติก็ไม่ต้องไปถามใครมันพ้นทุกข์อยู่ในตัวเองมันดับทุกข์ดับกิเลสอยู่ในตัวเองเสร็จแล้วอย่างนี้มันน่าศึกษาน่าพิจารณาภายในตัวเองหรือไม่ไม่ต้องเอาเสียงข้างนอกเพราะเสียงข้างนอกมันหลายอย่างมันหลอกหลายอย่างเพราะตัวที่เข้าไปยึดถือนี่เองประเดี๋ยวมันว่าอย่างนั้นถูกอย่างนี้ผิดประเดี๋ยวนั่นไปทางโน้นโน่นมาทางนี้มันสับสนอลหม่านไปเอาเรื่องกับมันไม่ถูกป่วยการเสียเวลาเปล่าๆสู้ดูเข้าไปในจิตในใจปล่อยวางมันเรื่อยไปดีกว่ามันเป็นทางถูกอยู่ในตัวเองทั้งหมดที่ปล่อยวางได้ว่างจากตัวตนไปได้มันเรื่องเท่านี้ไม่ใช่เรื่องฟังมากหรือศึกษากันมากมันเรื่องเข้ามาดูเข้ามารู้ภายในจิตใจ

    แม้แต่เป็นคำพูดภาษาง่ายๆเช่นคำว่า "ลมๆแล้งๆ" ก็เหมือนกันอย่าเห็นว่าคำพูดอย่างนี้เป็นคำธรรมดาสามัญไปเลยเพราะเป็นภาษาของใจที่มันได้เห็นความไม่มีตัวตนพอมันถูกกระทบอะไรเข้าที่ยึดถือขึ้นมาแล้วมันก็บอกว่า "ลมๆแล้งๆพอบอกออกมาอย่างนี้มันก็ปล่อยวางไปไม่ยึดมั่นถือมั่นฉะนั้นภาษาของใจล้วนๆอย่าเพิ่งมองข้ามไปเสียอย่านึกว่าคำๆนี้ไม่ใช่เป็นภาษาธรรมะชั้นสูงแต่ว่าคำๆนี้เป็นภาษาในด้านจิตใจที่มันรู้แล้วก็ปล่อยวางไปได้มันว่างได้มันสงบได้ทันทีเพราะว่ามันไม่ไปยึดถือเป็นตัวเป็นตนเป็นเขาเป็นเราให้นุงถุงยุ่งยากพอบอกว่า "ลมๆแล้งๆ" มันก็กวาดเกลี้ยงไปเป็นภาษาง่ายๆแต่ว่ารู้ด้วยสติปัญญาแท้ไม่ใช่เป็นการพูดเล่นๆ
     
  4. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ฉะนั้นจะต้องฟังให้ดีในคำพูดที่เป็นธรรมดาสามัญโดยที่ไม่เอาศัพท์ธรรมะขั้นสูงมาพูด แต่ว่าพูดออกมาด้วยจิตใจที่เห็นจริงว่า ทุกสิ่งถ้าไปยึดถือแล้วมันทุกข์ แล้วทุกสิ่งนี่มันก็ไม่มีอะไร มัน ลมๆ แล้งๆ ถ้าพิจารณาให้เห็นความจริงอย่างนี้ได้ ทุกขณะที่เราเผลอไผลไปยึดถืออะไรพอมันรู้สึกขึ้นมาว่า ลมๆ แล้งๆ ไม่ใช่ตัวตนแล้วมันก็ปล่อยไป จิตใจก็เลยว่างไป หยุดไป สงบไป ภาษาของใจมันจึงเป็นภาษาป่าเถื่อนอย่างนี้แหละ ไม่ใช่เป็นภาษาที่ชวนฟัง ในขั้นเป็นธรรมะขั้นสูง ที่เขาต้องการจะฟังกันอย่างไพเราะเพราะพริ้ง ธรรมะของป่าๆ ที่กำลังพูดอยู่เดี๋ยวนี้มันเป็นภาษาง่ายๆ ถ้าใครฟังถูกก็ได้ประโยชน์ ถ้าฟังไม่ถูกก็เห็นเป็นคำพูดธรรมดาสามัญไป แล้วอาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไรก็ได้

    แต่ว่ามันเป็นความลึกซึ้งอยู่ในคำว่า ลมๆ แล้งๆ เพราะว่าถ้าเห็นจริงลงไปแล้วมันก็ว่างจากตัวตนเท่านั้นเอง แล้วจะไปยึดถือมันได้อย่างไร มันต้องตีความหมายของคำธรรมดาสามัญนี่ให้ถึงแก่น หรือว่าแก่นในนั้น มันว่างจากตัวตน ต้องฟังแล้วก็เข้าไปตรวจดูในใจ โดยที่ไม่ต้องใช้ศัพท์อะไรมาพูดเป็นการอวดภูมิรู้เปล่าๆ แต่นี่มันไม่มีภูมิรู้อะไรจะมาอวดหรอก บอกอยู่อย่างเดียว บอกให้หยุด บอกให้กวาดทิ้ง หรือบอกให้ปล่อยวาง เพราะบอกอยู่กับตัวเองอย่างนี้ แล้วความวุ่นวายส่ายแส่ของจิตที่ยึดมั่นถือมั่น มันก็เลิกไปหมดดับหายสลายตัวไปหมดเลย พอรู้อย่างนี้ขึ้นมาอย่างเดียวก็หมดเรื่อง

    ถ้าไม่รู้อย่างนี้แล้วมันชักใยพันตัวเองยุ่งเหยิงไปหมด ไปเที่ยวคิด เที่ยวจำ เพ่งเล็งดีชั่วสารพัดอย่าง ต้องสังเกตเอาเอง เพราะเป็นภาษาของจิตใจล้วนๆ ไม่ต้องไปเอาอะไรมากมาย รู้เข้ามาในตัวของตัวเองอย่างนี้ แล้วจะพิจารณาปล่อยวางได้ในลักษณะอย่างไร เอาเรื่องนี้เป็นความสำคัญ ไม่ใช่เอาเรื่องคำพูดอะไร ไม่ต้องไปเอามาให้มันรู้ภาษาความจริงภายในจิตใจดีกว่า แล้วจะหมดกังวลไป แม้แต่คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ในบทต่างๆ มากมายก็ขบให้แตกให้หมด ไม่ต้องไปเอาหัวข้ออะไรมากมาย ขบเอาเปลือกมันทิ้งเสีย เข้าถึงแก่นในกันดีกว่า เพราะว่าเรื่องหัวข้อมากมายที่ไปจำไปคิดไปเรียนกันมา ก็เอามาพูดกันเพ้อไป แล้วมันก็ยังดับทุกข์ดับกิเลสไม่ได้

    ฉะนั้น ภาษาของใจง่ายๆ บางทีมันดับทุกข์ดับกิเลสได้ฟรีไปด้วย แล้วมันเป็นความจริงใจของตัวเองขึ้นมาในขณะไหนก็ได้ มันหยุดได้ เช่น กับความโลภเกิดขึ้นจัดๆ แต่ปัญญามันบอกคำเดียวว่าให้ "หยุด!" ถ้ามันรู้สึกตัวได้จริง มันหยุดโลภ หยุดโกรธ หยุดหลงสารพัด หรือมีทิฏฐิมานะจัดขึ้นมาก็บอกให้หยุด พอหยุดก็เลิกกันเท่านั้นเอง มันปล่อยวางได้ มันเรื่องเท่านี้ เพราะทางของพระนั้นเป็นเรื่องสั้นๆ ไม่มีเรื่องยืดยาวอะไร แต่เราเที่ยวคลำกันงุ่มง่ามไปเอง อยู่นิ่งๆ ก็ไม่ค่อยจะชอบ เที่ยววุ่นวายไป เที่ยวส่ายแส่ไป แล้วจะไปโทษใครว่ามาทำทุกข์ให้ตัว ก็ตัวโง่นี่มันชอบหาเรื่องไปเองต่างหาก แต่ถ้าฉลาดแล้วมันก็หยุด พอมันหยุดมันก็เลิกหมด ไม่เอา ว่างจากตัวตนไปเลย เพราะขืนไปยึดถือแล้วมันวุ่นมันยุ่ง ก็สืบทราบได้ทุกขณะจิตไปหมด ลองพิจารณากันดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ว่า ถ้าขืนไปเอาเรื่องนั่นนี่ขึ้นมาแล้วมันวุ่น แต่นี่มันไม่เอาเรื่องอะไร ให้มันว่างเสียให้มันหยุดเสีย จึงเป็นภาษาธรรมะที่เข้าใจง่าย และจะตรวจดูเข้าไปในจิตในใจ ง่ายกว่าที่จะไปบอกอย่างอื่น ถ้าเป็นคนที่มีพื้นสติปัญญาอยู่แล้ว พอบอกคำนี้ ประโยคนี้ก็รู้แล้ว เพราะมันเคยหยุดมาแล้ว เคยเห็นความเป็นลมๆ แล้งๆ มาแล้วนั่นเอง ก็เลยพูดกันเข้าใจง่าย รู้ง่าย

    สำหรับธรรมะภาษาป่าๆ อย่างนี้ ทำให้เป็นความรู้สึกว่า คำพูดที่เป็นภาษาใจที่เป็นความรู้สึกด้วยสติปัญญาจริงแล้ว มันมีอำนาจชนิดหนึ่งที่จะเป็นเครื่องดับทุกข์ ดับกิเลสได้สารพัดอย่างเหมือนกัน เพราะเป็นความรู้สึกด้วยใจจริงคอยสังเกตดูเอาเองได้ว่า พอรู้สึกด้วยใจจริงขึ้นมาขณะไหน มันหยุดได้ไหม มันว่างได้ไหม จึงเป็นเครื่องสอบได้ในด้านจิตใจล้วนๆ ทีเดียวเหมือนกับเราจะเดินไป ถ้าไม่กวาดให้เตียนแล้วจะเดินไปได้อย่างไร การที่จะพิจารณาส่องทางกวาดให้มันเกลี้ยงออกไป มันเป็นทางๆ เดียวและเป็นทางที่จะต้องเดินคนเดียว ไม่ต้องเอาเพื่อนเอาฝูง ขอให้สืบทราบเอาไว้ให้ได้ ให้ความรู้สึกภายในจิตใจของตัวเองเป็นอิสระขึ้นมาให้ได้ โดยไม่ต้องไปฝากไว้ชาติหน้าชาติโน้นก็ได้ ให้เป็นความรู้สึกด้วยใจจริงทุกๆ ขณะทีเดียวว่า ถ้าไปยึดถืออะไรขึ้นมาแล้วมันเป็นทุกข์ ถ้าปล่อยวางแล้วจึงพ้นทุกข์ เอาอย่างนี้ก็ได้ ถ้าเป็นความรู้สึกด้วยใจจริงๆ ทุกๆ ขณะ หรือทุกๆ อิริยาบถก็ตาม ไม่ว่าจะประกอบกิจการงานอะไรทั้งหมด แล้วจะไม่มีเรื่องมากมายเลย การกระทบผัสสะทางหู ทางตา ก็หมดความหมายเรื่อยไป เพราะว่าไม่เอาใจใส่ เมื่อเห็นว่ามันลมๆ แล้งๆ ทั้งนั้น แล้วก็เลยว่างจากตัวตนว่างจากตัวตนเรื่อยไป

    ฉะนั้น ทางที่จะเดินไปโดยเรียบร้อยนั้น ย่อมมีอยู่ภายในตัวของตัวโดย เป็นปัจจัตตังแท้ แต่ว่าตัวโง่ตัวหลงนี่เอง มันจูงไปหาเรื่องให้ยึดมั่นถือมั่น เอาโน่นทำนี่วุ่นวายไป จงหยุดดู หยุดรู้ อยู่ทุกขณะจิตทีเดียวว่ามันว่าง ว่างจากตัวเรา ว่างจากของเรา เอาหลักนี้หลักเดียว อย่างเดียว เดินทางๆ เดียว ไม่ต้องไปแวะเวียนเอาอะไร อดีต อนาคตไม่เอาดับหมด แล้วจะตามรอยพระอรหันต์ได้วันหนึ่ง คืนหนึ่ง วันหนึ่งคืนหนึ่งเรื่อยไปอย่างนี้ เพราะเมื่อวานก็ล่วงไปแล้ว วันนี้ทำให้ถูกใหม่ ให้ดีใหม่ ให้สงบไปใหม่ วันหนึ่ง คืนหนึ่ง แก้ตัวกันอยู่อย่างนี้ แล้วมันจะง่าย แต่ถ้าไปเอาวันข้างหน้ามากมายออกไป เป็นเดือนเป็นปีแล้วมันจะยิ่งหลง ทีนี้เอามันอยู่อย่างนี้ ขอย้ำอยู่อย่างนี้ เพราะการที่จะตามรอยพระอรหันต์ก็ต้องเอาเฉพาะวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้ มีชีวิตที่เป็นอิสระอยู่ได้อย่างนี้ แล้วสอบได้ในตัวของตัวเองทุกวัน ทุกเวลาของชีวิต ไม่ว่าจอยู่ไหนไปไหน เอาเรื่องนี้เรื่องเดียว สอบสวนทบทวนอยู่กับการปฏิบัติประจำวันเท่านี้เอง แล้วเรื่องราวต่างๆ นานามันก็หมดไป มันจะดับไปถึงมันจะอามาปรุงมาคิดก็หยุดเลิก ปล่อยวาง ไม่เอา ถ้าทำแบบนี้อยู่ทุกเวลานาทีของชีวิตแล้ว จิตมันจะไม่วุ่น มันจะว่าง เพราะที่วุ่นๆ นั้นมันไม่รู้ มันไปยึดถือเข้ามา มันจึงวุ่น ที่ว่างนี่มันได้ปล่อย ได้วางออกไป จะดีชั่วถูกผิดอะไรก็สุดแท้ ปล่อยวางไป หยุด ไม่วิ่ง อยู่อย่างสงบ แล้วหมดเรื่อง จะเป็นเครื่องสอบสวนอยู่ในตัวของตัวเองได้ทุกขณะไป ที่ไม่ต้องรู้อะไรมากมาย รู้เข้ามาภายในจิตใจแบบนี้ แล้วมันกวาดเกลี้ยงไปแบบนี้ มันเป็นการดับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวัน ตามรอยของพระอรหันต์ทั้งหมดเลย มีอานิสงค์ใหญ่ไพศาลเสร็จอยู่ในตัวเอง

    ขอให้พยายามศึกษาและปฏิบัติให้ได้ความชัดเจนแจ่มแจ้งภายในจิตใจของตัวเองจนกระทั่งหมดความสงัยว่า จะต้องไปเอาธรรมะที่ไหนกัน จะต้องไปปฏิบัติที่ไหนกันนี่ให้มันอยู่กับเนื้อกับตัวเสีย ให้มันว่างเสีย ตาเห็นรูป หูฟังเสียง ก็ให้มันว่าง อย่าไปยึดถือดีชั่วขึ้นมาเลย แล้วก็อยู่อย่างสงบได้ ข้อสำคัญก็คืออย่าไปเชื่อมายายุแหย่ ที่มันจะแส่ส่ายออกไป คอยห้ามมันเอาไว้ ให้มันหยุดเสีย

    ส่วนภาษาธรรมะง่ายๆ ที่เป็นการหยุดก็ดี ที่เห็นลงไปว่าทุกๆ สิ่งมันว่างจากตัวตนก็ดี แล้วจะยึดถือให้เกิดทุกข์เกิดโทษขึ้นมาทำไม มันเป็นเครื่องซักฟอกจิตใจของตนเองได้ทุกๆ ขณะทีเดียว แล้วการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน จึงจะมีผลมากมีอานิสงส์ใหญ่ โดยที่ได้ดับทุกข์ดับกิเลสให้เบาบางเรื่อยไป ไม่ต้องไปเอาคำตัดสินของใคร หรือไม่ต้องไปตามอย่างใคร แต่เป็นการดำเนินตามรอยของพระอรหันต์อยู่ในใจเงียบๆ ก็แล้วกัน ใครจะว่าถูกว่าผิดว่าดีว่าชั่วก็ช่าง ไม่ต้องไปสนใจ สนใจแต่จะดับทุกข์ดับกิเลสหรือปล่อยวางไป ให้จิตใจมันว่างมันสงบอย่างเดียวเท่านั้น เป็นการปฏิบัติชนิดที่มีเหตุผลในการพิสูจน์ตัวเองได้ โดยไม่ต้องไปเชื่อตามใครเลย แล้วที่อ้างโน่นอ้างนี่มากๆ นั่นแหละ มันจะพาให้ไขว้เขวไป เพราะมันยังไม่แน่ใจในตัวของตัวเอง มันก็เที่ยวฟังเสียงคนโน้นคนนี้ไป แล้วมันจะพาให้ออกนอกลู่นอกทางไปได้

    สำหรับคนที่ยอมนิ่งดู นิ่งรู้อยู่ หยุดดู หยุดรู้เข้าไปในจิตในใจเป็นการดับทุกข์ ดับกิเลส ได้อย่างเงียบกริบ ก็จะมีการพ้นทุกข์ในชีวิตประจำวันไปเอง ไม่ต้องมีเพื่อนมีฝูงหรอก ป่วยการ ยิ่งไปเอาเพื่อนพูด เพื่อนคุย เพื่อนเที่ยวแล้ว มันจะพาออกนอนกลู่นอกทางไป ต้องเอาตัวสติปัญญามาเป็นเพื่อน มาเตือนอยู่ทุกขณะ มันจะไปไหนไปเอาอะไรก็บอกให้หยุด บอกอยู่อย่างนี้ให้มันหยุดให้ได้ ให้มันนิ่งให้ได้ ให้มันสงบให้ได้ มันจะดิ้นรนไปทางไหน ถามมันดู ถามตัวเองดู ถ้าเป็นการรู้ด้วยสติปัญญาจริงแล้ว เรื่องข้อปฏิบัติจะพ้นทุกข์ปัจจุบันทันตาเห็นทุกขณะไปทีเดียว โดยไม่ต้องลังเล ยิ่งดู ยิ่งรู้ ยิ่งปล่อย ยิ่งวาง ยิ่งว่างไปทั้งหมดเลย ไม่ต้องรู้มากมายอะไร การพูดเพ้อเจ้อก็หยุด หยุดหมด การคิดฟุ้งซ่านอะไรก็หยุด แล้วกิเลสตัณหามันจะหมดกำลังไปเอง มันจะมาปรุงมาแต่งมายุมาแหย่อะไรก็หยุด บอกหยุดคำเดียวเท่านั้น มันจะกวาดเกลี้ยงดีเหลือเกิน ถ้าเป็นความรู้ด้วยใจจริงแล้ว ทุกขณะมันจะไม่ไปอย่างอื่น มันจะว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตนเรื่อยไป และไม่มีปัญหาลำบากอะไรเลย ที่กวาดทิ้งนี่มันไม่ลำบาก ที่ไปเก็บเอาเข้ามา มันวุ่น มันลำบาก มันทุกข์ การกวาดทิ้งมันเบามันสบาย สอบดูเดี๋ยวนี้ก็ได้

    ฉะนั้น การสอบสวนข้อปฏิบัติภายในตัวเอง ที่มีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้ เป็นเครื่องพิจารณา เป็นเครื่องปล่อยวาง ไม่ต้องไปหาอาจารย์ที่ไหนมาสอบอารมณ์หรอก ป่วยการ ไปสอบหลอกๆ ถ้าไปโดนที่เขายกย่องว่าดี ว่าถูกก็เห่อไป กิเลสก็เผาเอาอีก ทีนี้ไม่ต้องไปหาใครมาสอบอารมณ์ ตัวเองจะต้องใช้สติปัญญาสอบอารมณ์ของกิเลสอยู่ทุกขณะไปหมด ถ้ากิเลสเกิดขึ้นขณะไหนก็วุ่น แล้วก็หยุดเสียกวาดมันทิ้งเสียสอบอยู่อย่างนี้ แล้วจิตว่างนั่นแหละมันเป็นผลทุกข์อยู่ในตัวที่จิตว่าง

    ฉะนั้นควรจะสรุปให้เป็นหัวข้อของการปฏิบัติ สำหรับตัวเฉพาะใจว่า ไม่เอาหลักเกณฑ์อะไร เพราะมันรู้มามากแล้ว มันฟังมามากแล้ว ทีนี้กวาดทิ้งหมด ให้เป็นความรู้สึกด้วยใจจริงว่า จิตที่ไม่เอาอะไรนี่มันจะดีไหม แล้วที่ยังกระหืดกระหอบไปเอาอะไรนั่นมันทุกข์หรือเปล่า มันวุ่นหรือเปล่า หนทางที่จะดับทุกข์ได้ พ้นทุกข์ได้มันอยู่ตรงหน้า แต่ว่าคลำไปเอง เที่ยวคลำไปยึดถือโน่นนี่มากมายไปเอง แล้วหยุดๆ ว่างๆ อยู่นี่ไม่ค่อยจะรู้กันได้ ทำไปทำมามันก็ต้องมาจนกับเจ้านี่เอง ที่มันเที่ยวจำไป คิดไป ยึดถือไปมันก็มาจนอยู่กับสิ่งนี้เอง ผลที่สุดมันก็ต้องหยุด แต่ว่ากว่ามันจะหยุดได้ก็จวนจะเน่าเข้าโลงไป หรือเน่าเข้าโลงไปเสียก่อนยังไม่รู้จักหยุด ก็แย่ไปเอง แล้วใครจะไปแก้ตัวให้ ที่ยังมีลมหายใจอยู่วันหนึ่ง คืนหนึ่งนี้ ก็แก้ตัวเองเสีย เป็นตัวคนเดียวเสีย ให้มันเป็นอิสระให้ได้ ทั้งๆ ที่ยังทำกิจการอะไรก็ทำไปตามหน้าที่ ไม่ว่าจะทำประโยชน์แก่คนอื่นก็เหมือนกันก็ทำไปเท่าที่จะทำได้ แล้วก็ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นอะไร ไม่ต้องเอาอะไรกับใคร นี่มันเป็นความรู้สึกในด้านจิตใจ ที่มันตรงกันข้ามกับความอยากเอา อยากมี อยากเป็นอะไรขึ้นมาให้วุ่นไปหมด ถ้าไม่มีพวกนี้เข้ามาแล้ว มันปล่อย มันวาง มันว่างได้ ไม่ใช่เรื่องมากมายเลย ถ้าใครรู้เมื่อไรก็พ้นทุกข์ได้เมื่อนั้น ดับทุกข์ได้เมื่อนั้น ขณะนี้เดี๋ยวนี้ที่พูดตามภาษาจิตใจเดี๋ยวนี้ ถ้ารู้เดี๋ยวนี้ก็รู้อย่างนี้เรื่อยไป

    ถ้ามันจะไปจำไปคิดอะไรให้วุ่นขึ้นมาก็ "หยุด" จำไว้ให้แม่น เพราะย้ำอยู่ในเรื่องหยุดนี่มามากแล้ว ให้มันว่าง ต้องอ่านจิตใจให้รู้จริงๆ แล้วก็สอบเอาเอง ถ้ารู้อย่างนี้แล้วมันพิเศษที่จะเดินออกไปจากทุกข์จากโลกได้ โดยความเป็นอิสระของตัวเอง ไม่ต้องลังเล ถ้ายังลังเลอยู่ก็ใช้ไม่ได้ยังไม่หมดความสงสัย ไม่แน่นอน ไม่แน่ใจ มันยังเสียดาย จะกวาดทิ้งที่เสียดาย กลัวจะไม่ได้ เพราะตัณหามันยังอยากเป็นเจ้าของอยู่ มันคอยมาสอพลออยู่มันจึงเป็นเสมือนเมล็ดพืชที่มียาง มันก็งอกขึ้นมาได้ มีการเกิด การตาย การเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร การที่จะปล่อยวางมันยังไม่เห็นด้วย มันยังขาดจังหวะของกามตัณหา ภวตัณหา เพราะมันยังอยากจะมีอยู่ในตัวของมันเอง มันยังเสียดายตัวเรา ขอเราอยู่ มันไม่ยอมปล่อยยอมวาง ฉะนั้นต้องซักฟอกให้มันกระจ่างแจ้ง ซักฟอกภายในภายในใจ ให้มันกระจ่างว่า มันเป็นตัวเราของเราอยู่ที่ตรงไหน ทั้งกาย ทั้งใจนี่ลองซักฟอกมันดู พิจารณามันดู ไม่ต้องไปเรียนรู้พระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ว่ากายนี้มันสักว่าธาตุจริงไหม แต่ที่จะพิจารณาให้รู้ความจริงมันไม่ได้พิจารณา มันไปรู้อย่างอื่น แล้วการที่จะพิจารณาตัวเองนี่กิเลสมันคอยห้าม มันคอยกีดคอยกันเอาไว้ จึงต้องเที่ยววิ่งพล่าน มันไม่ยอมหยุด ต่อไปนี้จะต้องหยุดดูให้เห็นจริงว่าทุกสิ่งมันไม่มีอะไร มันล้วนแต่เป็นสิ่งหลอกอยู่ชั่วขณะแล้วก็ดับไปเท่านั้น

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  5. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    การกำหนดรู้เวทนา
    สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๕ (กลางคืน)


    วันนี้ได้มีการปรารภเรื่องข้อปฏิบัติเพราะต่างก็มีความมุ่งหมายที่จะดับทุกข์รวมเป็นจุดเดียวกันทั้งนั้นแต่การที่จะฝึกให้มีสติ ให้มีการพิจารณาเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจจะต้องมีความพากเพียร และมีการประพฤติปฏิบัติด้วยความไม่ประมาทแล้วจิตใจนี่จะได้มีความสงบ ถ้าไปเอาเรื่องภายนอก หรือมีการคิดนึกจากการจำหมายแล้วมันจะทำให้จิตนี้ไม่สงบ แล้วก็ปรุงเรื่องดีชั่วตัวตนอะไรสารพัดเพราะฉะนั้นจะต้องมีความรอบรู้อยู่ที่จิตอย่าให้ก่อเรื่องวุ่นขึ้นมาไม่ว่าจะรับรู้ รับฟังอะไร จิตนี้ให้วางเฉยเสียอย่าไปยึดถือเป็นเป็นจริงเป็นจังเสียหมดไม่ว่าดีชั่วถูกผิดอะไรทั้งหมดก็ต้องวางเฉย การวางเฉยนี่ถ้าทำจนคุ้นเคยมากๆ เข้าก็หมดเรื่องการที่จะไปเพ่งเล็งคิดนึกปรุงแต่งอะไรนี่ก็จะหยุดหมด

    ทีนี้คำว่า
     
  6. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    การปล่อยวางตัวตน
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๒๐ พฤษภาคม๒๕๑๕

    วันนี้เป็นวันปรารภข้อปฏิบัติเพราะการศึกษาธรรมะที่เป็นเนื้อแท้ภายในตัวเองนี้ย่อมมีคุณมีประโยชน์มากมายถ้าหากมีความสนใจพิจารณาให้รู้ข้อเท็จจริงภายในตัวเองแล้วการดับทุกข์ดับโทษในชีวิตประจำวันก็จะเป็นไปอย่างถูกต้องยิ่งขึ้นเพราะตามธรรมดาแล้วไม่ใคร่จะมีใครสนใจ ที่จะศึกษาธรรมะให้รู้สึกภายในกันเลยจึงทำให้จิตใจไม่ได้รับความรู้ที่เป็นเรื่องของสติปัญญาจริงๆแม้ว่าจะเป็นการจำได้หรือคิดได้บ้างแต่แล้วมันก็ท่องเที่ยวไปตามอารมณ์เพราะเป็นความคุ้นเคยมาอย่างนั้น ทีนี้จะต้องศึกษาเข้ามาหาตัวเองมันจึงเป็นเรื่องเฉพาะคนๆ เดียว ถ้าคนไหนมีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้สึกตัวได้การศึกษาธรรมะก็จะไม่ออกไปนอกลู่นอกทาง เพราะว่ามันรู้สึกเห็นทุกข์เห็นโทษของการเพลิดเพลินไปตามอารมณ์ภายนอก

    ทีนี้จะต้องมาหยุดดูหยุดรู้ตัวเองให้มากที่สุดมากกว่าที่จะปล่อยให้จิตออกไปรับรู้อารมณ์ภายนอก และจะต้องหยุดเสียทีหยุดบังคับจิตใจอย่าให้มันออกไปหาเรื่อง จำเรื่องคิดภายนอกนั่นแหละข้อปฏิบัติจึงจะมีการก้าวหน้าภายในตัวเองได้และการที่จะปล่อยให้จิตใจท่องเที่ยวไปตามอารมณ์นั้นเดี๋ยวนี้มันเห็นทุกข์เห็นโทษมีการเอือมระอามากขึ้นทุกทีและยิ่งได้เห็นเพื่อร่วมทุกข์ทั้งหลาย ที่ยังตกระกำลำบากอยู่ในด้านโลกๆหรือว่ายังมีความต้องการอะไรกันอย่างชุลมุนวุ่นว่ายไปทั้งโลกแล้วความรู้สึกภายในจิตใจมันนึกสงสารว่า ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับแสงสว่างของธรรมะเลยไม่ว่าจะเป็นบุคคลชั้นสูงหรือชั้นต่ำก็ล้วนแต่มีการท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในทุกข์ในโทษทั้งนั้นฉะนั้นเราจึงต้องมีความพากเพียรปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นของตัวเองและมีจิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลายด้วยตามแต่สติกำลังของเราที่จะช่วยเหลือได้ จึงต้องเป็นไปตามทำนองนี้ตลอดไปเพราะว่าเรื่องทุกข์ในโลกนี้มีมากมายเหลือประมาณ เช่นอามิสคือเหยื่อของโลกมันมีรสชาติ ที่ทำให้สัตว์มัวเมาลุ่มหลงส่วนผู้ที่มีสติปัญญามองเห็นเหยื่อโลกทุกๆ ชนิดแล้วมันเบื่อหน่ายไม่น่าไปหลงเพลิดเพลินยินดีกับอะไรทั้งนั้นจึงทำให้มีการสลัดทิ้งออกไปได้ ส่วนคนโง่เขลาก็เที่ยววุ่นวายยึดถืออยู่มันก็เป็นทุกข์ไป แต่ว่าไม่รู้สึกตัวเท่านั้นเองถ้ามีการพิจารณาให้รู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาได้แล้วในชีวิตนี้ไม่น่าเอาอะไรเลยแม้เครื่องอาศัยเช่นจตุปัจจัยสี่ คือจีวรบิณฑบาต ที่อยู่อาศัยหรือยารักษาโรคเหล่านี้ ควรมีพอประมาณ ไม่ต้องการอะไรมาก เพราะถ้าต้องการมากแล้วนั่นแหละมันมีความทุกข์เพิ่มขึ้นมาก็จะทำให้จิตใจไม่ว่างไม่สงบเพราะว่ามันอยากจะเอาอยู่เรื่อยแม้จะเห็นทุกข์บ้างก็นิดๆ หน่อยๆแต่ส่วนมากยังตกอยู่ในกองทุกข์เพราะมีความต้องการอะไรชุลมุนวุ่นวายมันจึงเห็นโทษยาก

    โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติที่มีสติปัญญาพิจารณาเห็นทุกข์จึงเบื่อหน่ายออกไปได้ และเรื่องเบื่อหน่ายนี้ก็ไม่ใช่ของที่จะรู้สึกด้วยใจจริงได้ง่ายๆ นักเพราะว่าเหยื่อที่ถูกปากคอหรือว่ามีรสชวนให้อยากได้แล้วสันดานของสัตว์ที่ยังมีอวิชชาโมหะหรือตัณหา มันก็ต้องมีความยินดีอยากได้อยู่เรื่อยยอมเอาชีวิตเข้าไปแลกกับวัตถุต่างๆ ได้ทั่วไปเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดนั้นคืออะไร แล้วก็ไม่รู้เรื่องเพราะมันจะเอาแต่เรื่องวัตถุเป็นใหญ่แม้ว่าจะได้มามากน้อยเท่าไรมันก็ชั่วอาศัยไปไม่กี่สิบปี ก็ต้องทอดทิ้งไปหมดส่วนวัตถุธาตุนี้มันก็มีอยู่ในโลก สำหรับให้ทำให้ใช้ ไปตามความต้องการของตัณหาครั้นแล้วก็ไม่ได้อะไร ได้แต่ทุกข์ทั้งนั้น ที่สุดก็ต้องทิ้งไว้เป็นวัตถุของโลกต่อๆกันไป และก็ทำอย่างนี้เรื่อยมาเป็นการเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ทั้งหมดผลที่สุดก็ไม่รู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไรเลย

    ส่วนคำสอนของพระพุทธเจ้ามีเอาไว้ให้ปฏิบัติเพื่อจะดับทุกข์ดับโทษ หรือว่าให้พ้นทุกข์พ้นโทษโดยลำดับไปก็ตามแต่ส่วนมากไม่รู้หรือไม่ต้องการที่จะรู้ก็เลยเอร็ดอร่อยอยู่กับยาพิษหรืออามิสในโลกมากมายแล้วก็ยังให้เป็นมรดกตกทอดกันไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่าเป็นห่วงปากห่วงท้องห่วงแค่เนื้อหนังนี้ช่างเป็นห่วงกันนักฉะนั้นจึงต้องเอาชีวิตเข้าแลกกับวัตถุเรื่อยไปแต่เฉพาะในสายตาของพุทธบริษัทแล้วมันมองทะลุได้ แล้วก็รู้สึกว่าสัตว์ที่โง่ๆ ต้องตกหล่นจมไฟจมน้ำตายอยู่นับไม่ถ้วนและสัตว์โง่ๆ นี่ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน ก็คือตัวเองนี่แหละมันตกน้ำจมไฟมามากแล้ว พอมารู้เรื่องเข้าหยุดวิ่งไม่เอาอะไรหรือถ้ายังหลงอยู่อีกก็จะต้องวิ่งต่อไป แต่ก็ชักจะรู้แล้วว่าการวิ่งวนเวียนอยู่ในโลกนี่มันทุกข์เต็มที ต่อไปนี้จะหาทางออก ทางหยุดเสียบ้างจะได้หายใจได้ มิฉะนั้นแล้วมันวนเวียนวุ่นวาย นี่จะต้องการกันไปถึงไหนก็ไม่รู้แล้วมันก็ตายไปตามๆ กัน ขณะที่มีลมหายใจนี้ไม่ใคร่จะยอมหยุดได้ง่ายๆ เลยจะเอาเป็นตัวเราของเราอยู่ร่ำไป มันก็ทุกข์แล้วทุกข์อีกเพิ่มเข้ามามากมายก็ยังไม่ยอมหยุด แล้วก็ฉุดกันไปอีก เพราะว่าหลงๆ ด้วยกันมันว่าดีว่าถูกไปตามๆ กันเป็นคนใจดี ใจดีเพราะความหลงแล้วใจดีอย่างนี้นี่ซิมันรู้ยากเห็นยาก ทีนี้เพื่อนก็เข้ามาชักจูงอีกว่าทำดีแล้วทำถูกแล้ว อดทนทำต่อไปเถอะ มันคอยหลอกคอยลวงอยู่รอบข้างไปหมดฉะนั้นต้องคอยระวังให้ดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีชีวิตเป็นอิสระแท้ๆ แล้วอย่าได้เชื่อฟังพวกหลงๆ นี่เลยเป็นอันขาดไม่ว่าบุคคลชั้นไหนถ้าพูดออกมาด้วยความหลงแล้วก็อย่าทีเดียว อย่าไปเชื่อเลยให้หยุดให้นิ่งเสีย ให้มันวิเศษเท่าไรก็ต้องทิ้ง เพราะมีแต่เพียงแค่อาศัยก็พอแล้วไม่กี่วันมันก็ต้องเน่าเข้าโลงหมด

    เพราะฉะนั้นเรื่องการปฏิบัติธรรมมันได้ความเป็นอิสระภายในจิตใจสูงขึ้นมาแล้วมันก็คายเหยื่อทิ้งไปเรื่อยๆแม้ว่าจะต้องอาศัยเหยื่อนี้บ้าง ก็อาศัยเพื่อจะทำประโยชน์ตามสมควรแต่ในที่สุดแล้วต้องทิ้งต้องปล่อยวางหมด ไม่เอาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของจะทำอะไรก็ไม่ทำเป็นเจ้าของ ทำทิ้ง ทำปล่อย ทำวาง จากตัวเราของเราเรื่อยไปถ้าอย่างนี้ได้ ทุกข์มันก็น้อยลง ถ้าไปยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์มันเป็นโรคร้ายอยู่ในสันดานอย่างนี้ ฉะนั้นคนที่เห็นทุกข์เห็นโทษมันเป็นของยากเพราะตัณหามันคอยบังคับ คอยควบขับให้วิ่งไปเอาอะไรต่ออะไรสับสนอลหม่านโดยที่ต้องยื้อแย่งแข่งขันกันไปในเรื่องวัตถุทั้งนั้นฉะนั้นธรรมะนี้ก็เลยถูกทอดทิ้ง พากันวิ่งหาแต่วัตถุ แล้วก็ทอดทิ้งธรรมะเสียหมดมันก็เลยอดโซเป็นเปรตชนิดที่คอหอยแห้งไม่ได้กินน้ำ แม้อยู่ใกล้สระน้ำก็ไม่ได้กินน้ำทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ธรรมะก็ไม่ได้ดื่มรสของธรรมะด้วยใจจริงฉะนั้นจึงยิ่งกว่าเปรตที่อดน้ำตั้งกี่กัปกี่กัลป์หรือเปล่าแล้วก็คิดดูซิว่าความหลงใหลนี้ มันไม่ใช่เป็นเรื่องร้อยเรือนพันเรือนหมื่นเรือนแสนแต่มันนับไม่ถ้วน ต่างคนต่างหลง แล้วก็จูงกันไป ชวนกันไปจึงทำให้สังสารวัฏในโลกนี้หมุนเป็นไฟจัดขึ้นทุกที แล้วโลภโกรธหลงนี่ก็จัดขึ้นทุกทีไหม้จิตใจป่นปี้กันทุกวี่ทุกวันทั้งนี้จะไม่น่าศึกษาไม่น่าปฏิบัติกันอย่างไรได้

    เรื่องธรรมะจึงเป็นเครื่องดับไฟดับทุกข์ แต่คนโง่ๆไม่เอาธรรมะเป็นเครื่องดับ มันก็กลับยิ่งทุกข์มากขึ้นทุกทีส่วนผู้ที่ฉลาดต้องสนใจธรรมะให้มากๆแล้วก็ปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ให้ถูกต้องยิ่งขึ้นโดยเฉพาะวันคืนของชีวิตนี้มันก็ล่วงไปหมดไปเหมือนกับต้นไม้ใกล้ฝั่งที่มันจะพังลงไปเมื่อไรก็ไม่รู้แล้วทุกอายุทุกวัยก็เหมือนกันไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไรถ้าไม่รีบพยายามปฏิบัติ ให้มีหลักของสติปัญญา เพื่อเป็นเครื่องดับทุกข์ดับโทษหรือเป็นเครื่องทำจิตใจให้เป็นอิสระขึ้นมาได้แล้วก็ไม่มีทางอื่นที่จะดับทุกข์ได้เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความพากเพียรพยายาม ให้เต็มสติกำลังทุกวันทุกเวลาที่เหลืออยู่แต่ก็ไม่ได้เหลือไว้เอาอะไร ที่เหลืออยู่นี่เพื่อจะได้แก้ตัวเพราะตัวเองเคยโง่ดักดานมามากๆ นั่นแหละมันจะได้แก้เสียใหม่จะได้มีความเฉลียวฉลาดขึ้นมาจะได้ดับทุกข์ดับโทษดับกิเลสภายในตัวเองให้ถูกต้องยิ่งขึ้นมันต้องชำระชะล้างจิตใจให้สะอาดจากความสกปรกโสมมเสียและต้องมีความสนใจที่จะขัดเกลาบรรเทาทุกข์ของตัวเองด้วยใจจริงว่าต่อไปนี้จะต้องมีการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์แท้จริงของตัวเองทั้งจะไม่ยอมปล่อยให้วันเวลาล่วงไปกับความโง่เขลางมงาย แล้วก็เที่ยววุ่นวายไปมันจะต้องยอมหยุดเสียที โดยไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพราะว่าต่างก็มาคนเดียวไปคนเดียวด้วยกันทั้งนั้น ไม่ได้มาเป็นอะไรกันจริงๆ จังๆ เลย ที่มีความเป็นอยู่นี่ก็ชั่วเฉพาะเวลาที่ยังมีลมหายใจเท่านั้นแล้วก็เพียงแต่สมมุติกันไปว่าเป็นพวกพ้องพี่น้องลูกหลานกันเท่านั้นเองแต่พอหมดลมหายใจแล้ว ก็โน่นแหละต้องไปนอนอยู่ที่ป่าช้าคนเดียวแล้วก็มีญาติพี่น้องที่ไหน? คิดดูซิว่าการอยู่ทุกวันนี้อยู่ทำไม อยู่เพื่ออะไรแล้วมีวันหนึ่งวันใดก็ต้องทิ้งหมด ไม่มีอะไรเป็นตัวเราเป็นของของเราเลยก่อนที่จะเจ็บจะตายต้องทิ้งมันเสียก่อน ต้องพิจารณาปล่อยวางเสียก่อนมิฉะนั้นแล้วมันจะว้าเหว่เหหัน ถ้าเวลาเจ็บเวลาตายใกล้เข้ามาแล้วมันก็ไม่มีกำลังใจที่จะไปพิจารณาปล่อยวางได้ จึงต้องอบรมบ่มสติปัญญาให้แก่กล้าขึ้นมาให้ได้ เพราะวันเวลาของชีวิตที่เหลืออยู่นี้ก็เพื่อจะอบรมให้มีธรรมะไว้ในใจให้มาก ให้มีความเป็นอิสระให้มากขึ้นโดยไม่ต้องเป็นกังวลห่วงใยกับอะไรทั้งหมด โดยเฉพาะที่อยู่ด้วยกันทุกวันนี้ก็เพื่อจะทำประโยชน์ให้แก่กันและกันเท่านั้นเองไม่ได้เป็นการเอาจริงเอาจังกับอะไรนักเพราะต้องพิจารณาเห็นจริง ถ้าไม่เห็นจริงแล้วมันยากเหมือนกับคนที่เจ็บหนักมักกลัวตาย เพราะยังห่วงหน้าห่วงหลังหลายๆ อย่างฉะนั้นจะต้องปฏิบัติเพื่อตัดรอนถอนอุปาทาน ไม่ให้ยึดถือเป็นตัวเราของเราเป็นการซักฟอกเรื่องนี้ให้จางคลายออกให้หมด และไม่ต้องไปเกี่ยวกับอะไรแต่ถ้าตัวการมันยังอยู่ คือตัวกูหรือตัวเรานี้ถ้ามันยังชูตระหง่านอยู่ละก็นั่นแหละตัวหาเรื่องเก่งจะต้องจัดการกับตัวกูหรือตัวเราให้หมดพยศร้ายเสีย จนกระทั่งมันว่างไปเมื่อตัวตนมันผอมเล็กลงไปแล้ว ของของเรานี่ก็เลยลดปริมาณลงได้มันไม่มีของเราจริงจังที่ไหนอีกเลย

    เมื่อพิจารณาซักฟอกอยู่ในตัวของตัวเองให้ชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ภายในแล้วนั่นแหละจึงจะทำลายกิเลสตัณหาที่มันคอยปรุงจิตให้ท่องเที่ยวไปในทุกข์ในโลก ทีนี้ถ้าไม่มีสติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา เป็นเครื่องรู้ เป็นเครื่องละแล้วมันเป็นของยาก เพราะว่ามันคอยยุแหย่ให้แส่ส่าย ไม่ยอมหยุด ไม่ยอมสงบได้แล้วมันก็บอกว่ารู้แล้ว เป็นการโกหกซึ่งหน้าเสียด้วย แล้วที่รู้ๆนี่มันรู้ผิดทั้งนั้นเชื่อไม่ได้ ถ้ารู้ได้ต้องหยุดได้ สงบได้ก็นี่มันรู้แบบไหนถึงได้วุ่นวายนัก มันเที่ยวมองออกเก่งยังเที่ยวยึดนั่นถือนี่ไปทั้งนั้น แล้วจะรู้ได้อย่างไรส่วนคนอื่นเขาโกหกก็ยังรู้ง่าย ทีนี้ตัวเองมันโกหกตัวเองอยู่เท่าไรมันหลอกลวงตัวเองอยู่เท่าไร มันหลอกว่ารู้แล้ว ตัวกูก็เลยชูหัวใหญ่ถ้าไปหลงเชื่อตัวนี้แล้ว สำคัญที่สุด รู้ตัวยากที่สุด เพราะว่าตัวนี้มันตัวมีพิษมันจะพาให้ท่องเที่ยวต่อไปอีก เพราะมันรู้ผิดแต่ไม่รู้ตัวนึกว่ารู้ถูกมันจึงได้รู้ยากนัก

    เพราะเหตุนี้จึงต้องอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาสอบกับตัวเองมันจึงจะรู้สึกได้ มันจะรู้ว่าอ้อตัวกูมันเคยชูหัวอวดหยิ่งว่ารู้ที่แท้มันก็โง่หลงอยู่นั่นเอง ถึงจะปล่อยจะวางอะไรบ้าง ก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยแต่ว่าส่วนใหญ่นี่ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่เพราะฉะนั้นจะต้องจับศัตรูงูพิษคือตัวกูนี้เอามาฆ่าเสียอย่าไปเลี้ยงเอาไว้ ถ้าฆ่าศัตรูงูพิษคือตัวทิฏฐิมานะภายในนี้ได้นั่นแหละมันถึงจะมีการก้าวหน้าไปได้ ถ้าไม่กำจดตัวนี้แล้วตัวนี้แหละมันจะพาวิ่งพาวุ่นพาอวดดีอวดหยิ่งสารพัด แล้วลูกน้องของมันก็มากมายเพราะพวกหลงๆ ด้วยกันมีอยู่มาก ฉะนั้นต้องระวังให้ดีเพราะอารมณ์ทั้งหลายล้วนแต่เป็นของหลอกลวงทั้งนั้น จะไปยึดถือดีชั่วอะไรไม่ได้ต้องกวาดทิ้งปล่อยวางไป เหมือนกับความฝันที่อยู่ชั่วขณะเดียว แล้วมันก็ดับเปลี่ยนเรื่องราวที่เรียกว่าไม่เที่ยง หรือว่ามายาทั้งหมด มองความจำความคิดหรือว่าความรู้สึกที่เป็นความสุขทุกข์อะไรมันเป็นมายาทั้งนั้นจะไปเอาจริงเอาจังกับมันไม่ได้เลยแต่ว่าในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี้ก็ต้องทำไปตามสมควรแต่อย่าไปหลงมันอีกไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าหลงในตัวเองนี่มันยิ่งร้ายหลงข้างนอกมันก็เรื่องข้างนอก ทีนี้หลงอยู่ในตัวรู้เองนี่ซิมันหลงมากหรือว่าอาจจะหลงยึดถือภายนอกต่อไปอีกก็ได้เพราะตัวหลงนี่มันตัวสำคัญและจะต้องรอบรู้อย่างไรมันจึงจะจับได้ว่า เพราะความรู้ชนิดที่มันหลอกว่าตัวรู้ๆ นี้มันเป็นความรู้ผิด ถ้าไม่ตรวจจับเพ่งกลับเข้ามาดับมันหรือมารู้มันแล้วมันพาวิ่งวุ่นใหญ่ทีเดียว แล้วก็ไม่ยอมหยุดมันก็วิ่งอยู่ในวงกลมของสังสารวัฏนั่นเอง ทั้งนี้ก็ลองพิจารณากันดูซิว่าในสังสารวัฏนี่มันมีดีอย่างไร มันมีสุขที่ตรงไหน ลองพิจารณาทบทวนดูมิฉะนั้นแล้วมันยังติดอกติดใจนัก เมื่อพิจารณาให้ได้รายละเอียดอย่างนี้ได้นั่นแหละการปฏิบัติจึงจะตรงแน่วไปสู่จุดหมายปลายทางคือการที่จะออกไปจากเกลียวหมุนนี้อย่างเดียว โดยจะต้องให้พ้นไปจากเกลียวหมุนคือวัฏสงสารให้ได้ จึงต้องพิจารณาในเรื่องนี้ให้ซ้ำซากอยู่เสมอๆและให้มองเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ประจักษ์ชัดอยู่ทั้งภายในภายนอกจึงจะเป็นการดับกิเลสตัณหาอุปาทานได้เรื่อยไปโดยไม่ให้มันก่อรูปก่อเรื่องขึ้นมาเผาลนจิตใจ ให้เศร้าหมองขุ่นมัวต่อไปฉะนั้นจะต้องมีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้ เป็นเครื่องละอยู่รอบด้านข้อปฏิบัติจึงจะไม่ถอยหลังมีแต่จะก้าวหน้าเรื่อยไปถ้าก้าวหน้าไปไม่ได้ก็ล้วนแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย เพราะมันทนไม่ไหว แต่ถึงอย่าไรๆก็ต้องหัดปล่อยวางและต้องสลัดทิ้งไปให้ได้ แม้จะทุกข์กายทุกข์ใจจนน้ำตาหองหน้าก็ตามมันจะต้องปล่อยวาง มันไม่เอาเพราะมันเข็ดมันกลัวเสียแล้วถ้าไม่มีความรู้สึกด้วยสติปัญญาอย่างนี้มันก็ยังนอนใจ คือยังมีความประมาทเพลิดเพลินแม้จะเป็นเครื่องรู้อะไรของตัวเองในบางสิ่งบางอย่างแต่มันก็ยังถูกหลอกลวงโดยอารมณ์อยู่นั่นเองฉะนั้นจะต้องเพียรเพ่งพิจารณาอยู่เนืองนิจว่า จิตใจนี่มันเปลี่ยนแปลงไปกับอะไรเป็นฝ่ายอกุศลหรือฝ่ายกุศล ถ้าฝ่ายกุศลแล้วมันต้องรู้ ถ้ามันตกไปฝ่ายอกุศลแล้วนั่นแหละมันอยู่ในทุกข์โทษทั้งนั้นเพราะว่าทุกข์โทษที่จะมาท่วมทับจิตใจนี่ก็มาจากความไม่รู้แล้วก็มีการยึดถือขึ้นมาทำให้พัวพันชนิดที่จะหาทางปล่อยวางไม่ได้เพราะมันเข้ไปยึดมั่นถือมั่นเสียอีกแล้ว

    เพราะฉะนั้นจะต้องมีการพิจารณาให้รู้ลักษณะของจิตที่มันยังมีความพัวพันอยู่กับรูปนามอย่างไรที่มันยังไม่ได้เพียรเพ่งพิจารณาให้เห็นจริง แล้วจะต้องมีความรู้สึกได้ว่าเพราะยังไม่ได้มีการเพ่งพิจารณานี่เอง มันจึงทำให้พัวพันยึดถืออยู่ซ้ำๆ ซากๆฉะนั้นจะต้องเพียรเพ่งให้เห็นแจ้งให้จงได้ในความที่ว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตน ทุกๆขณะไปทีเดียว แล้วนั่นแหละมันถึงจะเป็นการหยุดได้สงบได้ว่างได้ตามปรากฏการณ์ของธรรมชาติภายใน ซึ่งเป็นความว่างความสงบแท้จริง ทุกๆ ขณะทีเดียว

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  7. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    จงเอาชนะความอยาก
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๑๕

    วันนี้เป็นวันประชุมตามเคย เรื่องการอบรมข้อปฏิบัติที่ได้มีการดำเนินมาก็เป็นเครื่องรู้ได้เองว่าทุกข์โทษของกิเลสมันเบาบางไปอย่างไร หรือว่าทิฏฐิมานะที่เป็นการถือตัวถือตนมันเบาบางไปบ้างหรือไม่? ต้องคอยสอบของตัวเองดูให้ดีๆ เพราะว่าการอบรมข้อปฏิบัติ จะต้องตัดรอนทอนกำลังพวกกิเลสตัณหาอุปาทานให้ลดน้อยลงไป จึงเป็นการปฏิบัติให้ก้าวหน้าของตัวเอง ชนิดที่ไม่ต้องไปพูดกับใครเลยสักคำเดียว เพราะว่าเป็นทุกข์โทษของความยึดมั่นถือมั่น ย่อมเป็นการรู้สึกได้ว่ามันมีทุกข์ท่วมทับเท่าไร? และจะจัดการทำลายถ่ายถอนมันด้วยวิธีใด? ล้วนแต่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าใคร จะรู้มากรู้น้อย หรือจะเรียนมาเท่าไรก็ตาม มันอยู่ในเรื่องนี้ทั้งหมด ถ้ามีการรู้สึกได้ด้วยใจจริงแล้ว ทุกข์โทษทั้งหลายมันจะได้ลดน้อยลงไปเป็นลำดับ ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นอะไรขึ้นมา มันก็ทุกข์อยู่ในตัวเอง แล้วจะไปเอาเรื่องราวเอาดีเอาชั่ว เอาผิดเอาถูกกับใครที่ไหน มันต้องสอบสวนอยู่ทุกเวลานาทีของชีวิตที่จะต้องรู้ได้ด้วยจิตใจของตนเองว่าเดี๋ยวนี้มันมีสัมมาทิฏฐิ หรือยังมีมิจฉาทิฏฐิอยู่ ถ้ามันยังมีความเห็นเป็นตัวเป็นตน และถือตัวถือตนอยู่ก็เรียกว่าเป็น
     
  8. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    จิตที่เป็นอิสระ เพราะปล่อยวางได้
    สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๒๑ เมษายน ๒๕๑๕

    วันนี้จะได้มีการปรารภข้อปฏิบัติที่ได้ดำเนินมาเป็นลำดับ เพราะความรู้หรือสติปัญญาที่ควบคุมจิตอยู่เป็นประจำจะเป็นเครื่องอ่านออกทั้งภายนอกภายใน ที่จะมีอะไรเกิดขึ้นมาอย่างไรไม่ว่าเรื่องจำเรื่องคิด ที่ประกอบไปด้วยทุกข์โทษก็จะต้องรู้สึกได้และพินิจพิจารณาปล่อยวางออกไป แล้วจิตนี่จะได้ไม่วุ่นวาย หรือเป็นกลางวางเฉยอยู่ได้ตามปรกติ เมื่อเกิดยึดถืออะไรขึ้นมา จะได้เป็นการอ่านออกว่ามันวุ่นวายเดือดร้อนเท่าไร

    ฉะนั้นเรื่องการควบคุมจิตใจด้วยสติปัญญาจึงมีคุณมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง แม้จะเผลอไปเล็กๆ น้อยๆ ก็เห็นทุกข์เห็นโทษแล้วที่เผลอไผลไปยึดมั่นถือมั่นมากมายก็ยิ่งเป็นทุกข์เป็นโทษใหญ่การมีสติควบคุมเอาไว้ได้เป็นปรกตินี้ ทำให้ดับทุกข์ ดับกิเลสได้ในชีวิตประจำวันไม่มีเรื่องปรุงแต่งทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ เป็นการอยู่อย่างสงบแม้จะกระทำกิจการอะไร ก็ทำด้วยความสงบของจิตที่ไม่แส่ส่ายการประพฤติปฏิบัติประจำวันเช่นนี้ จึงเป็นการดับทุกข์ดับโทษภายในตัวเองได้แต่ก็ต้องพินิจพิจารณาสอบเข้าข้างในอีก เพราะการเป็นปรกติภายนอกนี่มันขั้นหนึ่งแล้วก็ต้องมองเข้าไปข้างในให้รู้ว่าจิตใจยังมืดมิดอยู่กับอะไรจึงยังไม่รู้แจ้งชัดเจนภายในนี่ก็ต้องรู้สึกได้ว่าลักษณะของโมหะที่ห่อหุ้มอยู่อย่างไรแล้วเราจะพินิจพิจารณาเข้าไปได้อย่างไรล้วนแต่เป็นข้อคิดของตัวเองที่จะต้องมองดูให้ทั่วถึงและรู้จักลักษณะของอารมณ์ที่ปรุงแต่งดีชั่วเหล่านี้ แม้ว่าส่วนหยาบๆ มันไม่ปรุงแต่ก็เป็นการจำการคิดขึ้นมา เป็นบางครั้งบางคราว ถ้าเราไม่รู้เท่ามันก็ขยายตัวหยาบฉะนั้นเรื่องการควบคุมจิตด้วยการมีสติ จะต้องพินิจพิจารณาประกอบให้แยบคายอยู่เสมอไม่ให้ไปหยิบฉวยอะไรขึ้นมา รู้แล้วก็ปล่อยวาง รู้แล้วก็ปล่อยวางไปจิตจะได้อยู่ในลักษณะเป็นกลางวางเฉยได้แล้วก็พิจารณาควบคุมเอาไว้ประกอบกับการเพ่งดู

    เพราะการเพ่งดูเข้าข้างใจเป็นของสำคัญ ที่เพิ่งเข้าไปแล้วมักจะไม่ได้เรื่องเพราะมันมองเข้าไปไม่ได้ ความวางเฉยมีมากเกินไป คือไปเฉยๆ เมยๆเป็นการไม่รู้อะไรเป็นอะไร จึงต้องพินิจพิจารณาประกอบให้รู้แยกคายให้ได้ทั้งปรากฏการณ์ของความรู้สึกนึกคิดที่มันเกิดๆ ดับๆหรือความรู้สึกที่เป็นความสุขทุกข์ก็ดี ถ้าเราไม่ไปสนใจกับมันๆ ก็ดับไปตามธรรมชาติทีนี้การที่จะควบคุมสติให้ติดต่อทุกอิริยาบถจำเป็นจะต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกแล้วมันไม่รู้การฝึกสติสัมปชัญญะให้มีการทรงตัวของจิต ที่มีความปรกติเป็นพื้นอยู่แล้วก็จะพิจารณาได้ในการเคลื่อนไหวของความรู้สึก หรือเพ่งพินิจพิจารณามิฉะนั้นแล้วไม่รู้ ถ้าไม่รู้เรื่องของกาย ของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่รู้สึกเกิดดับอยู่นี่ มันเป็นของดูไม่ง่ายนักแต่ก็ต้องพิจารณาดูให้เห็นว่ากายที่เป็นเครื่องอาศัยของเรือนร่างที่มันเสื่อมและชำรุดทรุดโทรมอยู่อย่างไรต้องกินต้องถ่ายอยู่อย่างไรนี่ต้องพิจารณาอยู่เสมอ

    การพิจารณาให้เห็นความเป็นธาตุของร่างกายทั้งหมดจึงต้องทำในใจให้มาก แม้ขณะที่ร่างกายเป็นปรกติ คือยังไม่เจ็บไข้ได้ป่วยแต่มันก็ยังเพลินๆ อยู่ ทีนี้เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาก็มีความทุกข์เกิดขึ้นแล้วมันจะมีการดิ้นรนกระวนกระวาย และคิดแก้ไขไปตามอาการของโรคที่เกิดขึ้นข้อนี้ต้องพินิจพิจารณาประกอบเอาไว้ด้วย ทั้งๆที่จะต้องแก้ไขเยียวยามันไปตามหน้าที่ แต่ให้เห็นความเป็นธรรมชาติของมันว่ารูปนามหรือร่างกายทั้งหมด มีความเปลี่ยนแปลงเป็นทุกข์ไปตามเรื่องของมันฉะนั้นจึงต้องพิจารณาให้รู้จริง จะได้คลายจากความกอดรัดยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของของเรา ที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่นักหนา

    ถ้าเราไม่หมั่นพิจารณาให้รู้แล้วมันยากเหมือนกันเพราะมันยังยึดมั่นถือมั่นอยู่เรื่อยถ้าเราหมั่นพิจารณาและปล่อยวางออกไปได้จะมีความรู้สึกว่าภายในจิตมีความว่างความสงบได้ตามสมควร แม้จะมีทุกข์กายทุกข์ใจจนน้ำตานองหน้าก็ตามแต่ความรู้สึกของจิตที่มองเห็นชัดลงไปว่า นี่มันเป็นการแสดงออกของธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงและเป็นทุกข์อยู่ในตัวของมันเองมิวันหนึ่งวันใดก็แตกแยกทำลายกลายเป็นธาตุไปทั้งหมดก่อนที่มันจะแตกแยกต้องพิจารณาให้รู้เรื่องว่าร่างกายทั้งหมดนี้มันไม่คงทนถาวรแล้วก็ไม่ใช่ตัวเราจริงจัง เป็นแต่เรือนร่างที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้นแล้วพิจารณาให้เห็นทุกข์โทษที่เกิดขึ้นภายในร่างกายนี้มันมากมายนัก ทั้งๆที่อยู่ดีกินดี แต่มันก็ยังมีทุกข์ที่เนื่องกับกายหรือเนื่องกับจิตเพราะความยึดมั่นถือมั่น แล้วร่างกายที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่นี้ ก็ต้องกินต้องถ่ายยืน เดิน นั่ง นอน เปลี่ยนอิริยาบถอยู่เป็นประจำทุกวันทุกเวลาจะต้องพิจารณาดูให้ดีว่า นี่มันเรื่องอะไรกันแน่มันเรื่องของทุกข์ทั้งนั้นใช่หรือเปล่าแต่นี่เพราะมีความประมาทเพลิดเพลินไปจนกระทั่งไม่รู้สึกว่าเรือนไฟไหม้มันลุกโพลงๆ ด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นการอยู่ชนิดที่งมงายหรือยึดมั่นถือมั่นจึงเป็นการอยู่ของคนโง่ต้องพิจารณาให้รู้ขึ้นมาให้ได้แล้วจะได้มองเห็นความเป็นธรรมชาติคือรูปก็เป็นสักแต่ว่าธาตุ จะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเราของเราเหนียวแน่นเกินไป มันจะไม่เกิดทุกข์ซ้อนทุกข์ขึ้นมาอีกเมื่อพิจารณาอยู่เป็นประจำแล้วจิตก็จะเป็นอิสระขึ้นมาได้เหมือนกับอาศัยอยู่ในเรือนร่างที่จะต้องอาศัยไปตามหน้าที่แต่จิตนี่มันไม่หลงยึดมั่นถือมั่นเป็นจริงเป็นจัง มันคลายออกไปแล้วเพราะได้พิจารณาเห็นความจริงอยู่ทุกขณะแล้วความเป็นอิสระของจิตก็เรียกว่ามันไม่มีทุกข์แต่ขณะไหนที่มันไปยึดถืออะไรขึ้นมาก็เป็นทุกข์ขึ้นในขณะนั้นขอให้สังเกตดูว่าขณะที่จิตเป็นปรกติว่าง วางเฉยอยู่นี่ ยังไม่มีทุกข์มีโทษอะไรแต่ถ้าเผลอสติไปยึดมั่นถือมั่นเข้าเมื่อไร มันก็มีทุกข์มีโทษขึ้นมาทันทีจึงต้องมีการสังเกตและพิจารณาว่าชีวิตที่มีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกต้องมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่มองเห็นธรรมชาติเป็นการอ่านตัวเองว่าลักษณะความทุกข์ของรูปนาม มันก็อยู่ตามเรื่องตามราวของมันแต่จิตที่เป็นอิสระได้ ว่างได้ สงบได้ ต้องสนใจกันที่นี่

    ถ้าไม่มองให้เห็นความจริงอย่างนี้แล้ว จะต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกมากมายแล้วมันจะออกไปยึดถือข้างนอกแผ่กว้างออกไปทุกที ทีนี้ให้มันหยุดมารู้ตัวเองดับความปรุงแต่งที่เคยปรุงมาสลับซับซ้อนเดี๋ยวนี้มันเลิก มันหยุด แล้วก็ไม่เอาอะไรเรียกว่าเป็นการอยู่นิ่งๆ คือว่าไม่ต้องทำอะไรมาก ไม่ต้องคิดอะไรมากแม้จะต้องใช้ความคิดในการทำประโยชน์อะไรบ้าง ก็ใช้มันไปตามหน้าที่แต่ความยึดมั่นภายในมันคลายออกไปมากทีเดียว ถ้ามีการพิจารณาประกอบอยู่แล้วล้วนแต่จะคืนคายถ่ายถอนออกไปทุกที เหมือนกับเรามีโรค เมื่อเรากินยาเข้าไปก็ไปดับไปทำลายโรคให้เบาบางได้ แต่โรคกิเลสตัณหาภายในจิตใจมันเป็นของลึกของละเอียดจะต้องพินิจพิจารณาให้รู้แยบคาย และปล่อยวางออกไปจิตนี้จะเป็นอิสระได้ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องยึดถืออะไร

    ทั้งนี้จะเป็นข้อสังเกตของตัวเองว่าการมีชีวิตเป็นอิสระไม่ต้องวุ่นวายกับอะไรเป็นชีวิตที่ตามรอยของพระอรหันต์ขอให้สังเกตเอาไว้ให้ดีๆ แล้วความทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจต่างๆ นานามันลดหายไปแม้จะเผลอสติยึดถืออะไรขึ้นมาเป็นการชอบไม่ชอบเล็กๆ น้อยๆ ก็ปัดทิ้งได้เร็วคือว่ามีสติทันท่วงที เพราะปัญญาที่พิจารณาอยู่มีความรู้เท่าทันมากขึ้นจนกระทั่งมีความเผลอความเพลินน้อยลงนี่เป็นข้อสังเกตในการปฏิบัติที่ได้ดำเนินมาแล้วที่จะไม่ให้เผลอเพลินนั้นมันยังไม่ได้ เพราะยังมีอาสวะอยู่

    แต่ขอให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ แล้วความเผลอเพลินก็จะลดน้อยลงไปเมื่อมีสติเป็นเครื่องประกอบอยู่ทุกอิริยาบถได้ติดต่อมากขึ้นไม่ว่าจะทำกิจการอะไรก็ต้องมีสติควบคุมอยู่เสมอจึงจะรู้ได้ว่าทุกข์โทษที่เกิดขึ้นมันน้อยลงไปเรื่อยถ้าควบคุมจิตให้เป็นปรกติวางเฉยได้มากๆ แล้วจะมีชีวิตตามแนวของพระโดยไม่ต้องไปเรียนรู้อะไรให้มากมายเรียนรู้เข้าข้างในแล้วก็ดับทุกข์ดับโทษได้ แม้จะมีสัมผัสทาตาเห็นรูปหูฟังเสียเหล่านี้ ก็จะเป็นการดับทุกข์ดับโทษได้อยู่ในตัวเองฉะนั้นการปฏิบัติประจำวันจะได้ผลพ้นทุกข์ทันตาเห็น คือไม่ต้องไปรอเอาอะไรข้างหน้าเพราะการทำอะไรก็จะมุ่งเอาข้างหน้ากันทั้งนั้นส่วนผลที่จะอ่านเข้ามาในจิตในใจขณะนี้มันต้องรู้เสียก่อนว่าจิตที่อยู่ในลักษณะไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เพ่งเล็งในอะไรมันเป็นการพ้นทุกข์ในขณะปัจจุบันนี้ แล้วก็พิจารณาให้ซึ้งเข้าไปให้เห็นความจริงว่า

    สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ปรากฏการณ์มาทางอายตนะผัสสะก็ตามมันเป็นเหมือนเงาลวงเงาหลอกชั่วขณะแล้วก็ดับไปหมด จิตมันเป็นอิสระว่างวางเฉยอยู่ได้ต้องเอาผลที่ตรงจิตเป็นกลางวางเฉยไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ยืนหลักนี้เอาไว้ถ้ามันเกิดไปยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา มันจะรู้และกวาดทิ้งได้เร็ว ถ้าไม่ยืนหลักนี้ไว้การกระทบผัสสะ มันไหวตัวง่ายเหลือเกิน

    เฉพาะการควบคุมภาวะของจิต ต้องควบคุมให้เป็นปรกติสม่ำเสมอความทุกข์จึงจะไม่เกิดขึ้นในขณะที่จิตเป็นปรกติเพราะว่ามันรู้จักปล่อยรู้จักวางอยู่ในตัวเอง การกระทบผัสสะก็เลยไม่ออกไปหมายเช่นหูได้ยินเสียงมันจะดังกึกก้องเท่าไหร่ถ้าเราไม่ไปสนใจกับมันจิตก็เป็นปรกติได้ถึงจะไปรู้เสียงนั้นบ้างบางขณะที่เผลอสติไปรับรู้ แล้วมันก็ทิ้งก็ ปล่อย ก็วางกลับมารู้จิตในลักษณะปรกติ เป็นความว่างของจิตได้ติดต่อ ไม่ไปปรุงไปแต่งแต่ถ้าไม่ควบคุมอย่างนี้แล้ว เมื่อกระทบผัสสะมันจะปรุงเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นดีเป็นชั่ว ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทั้งหมดทีนี้ให้มันหยุดปรุงเสียงที่กระทบก็สักแต่ว่ากระทบแล้วก็ดับไปหรือตาที่กระทบรูปก็เหมือนกัน ทุกทวารก็เช่นกัน ที่พอถูกกระทบแล้วก็ดับไปที่จำเป็นต้องใช้ก็ใช้ไปตามสมควร แต่แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นแต่เรื่องการควบคุมจิตด้วยการมีสติ จะต้องพินิจพิจารณาประกอบอยู่ด้วยทุกขณะไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอนทั้งหมด เป็นลักษณะของจิตที่มีสติคุ้มครองอยู่ได้แล้วความเผลอเพลินก็น้อยไปเอง เพราะหลักของสติตั้งมั่นได้มันจึงเป็นหลักประกันอยู่ในตัวว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องรู้มากเป็นเรื่องที่รู้เข้ามาหาจิตเท่านั้นเอง แล้วก็ปล่อยวางสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษเหมือนกับกวาดอะไรทิ้งออกไปเหลือแต่จิตสงบ จิตว่างหรือจิตเป็นปรกติในลักษณะอย่างเดียวกันแล้วก็ดูให้ทั่วถึงดูมันรู้มันอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ไม่ต้องไปดูอะไรมากถ้าดูมากหลายอย่างแล้วมันจะวุ่น ดูไปรู้ไปแล้วมันจะปล่อยวางออกไปได้ไม่ว่าจะเป็นการอ่านการฟังข้อความอะไรก็เหมือนกัน จะรู้จักคัดรู้จักเลือกรู้จักเปลือก รู้จักกระพี้ รู้จักแก่น ที่สอบเข้ามาในด้านจิตใจการสอบตัวเองด้วยการมีสติปัญญาเป็นเครื่องสอบมันมีความอัศจรรย์เป็นพิเศษว่าคนเราที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ถ้าไม่มีการสอบตัวเองแล้ว มันก็ตกทุกข์ได้ยากอยู่ในชีวิตประจำวันได้อะไรมาก็ดีใจไม่ได้ก็เสียใจล้วนแล้วแต่ความโง่เขลาที่มันไปยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา

    ทีนี้เมื่อรู้ได้ตามหลักการตามรอยของพระก็จะดับทุกข์โทษได้ประจำวันทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องไปเอาผลข้างหน้าเอาผลทุกขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่ที่จิตมีความว่างความสงบไม่มีความกังวลสนใจกับอะไร อยู่ตามแบบพระอย่างง่ายๆมันจะน่าศึกษาน่าปฏิบัติอย่างไรก็เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าถ้าไม่ไปจำไปคิดอะไรวุ่นวายแล้วจิตนี้มันสงบได้เป็นพิเศษอยู่ในตัวของมันเองเมื่อรู้จักอ่านจิตใจของตนเองเป็นประจำแล้วเป็นการตามรอยของพระอรหันต์ได้ไม่ถอยหลัง เพราะยิ่งตามรอยของพระได้เท่าไรจิตก็ยิ่งบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมาได้ไม่ต้องมีทุกข์แต่ถ้าเราไม่ตามรอยของพระกลับไปตามรอยของกิเลสหรือพระยามารมันก็รู้กันได้ทุกขณะว่าพอเผลอสติทีไรก็ยึดถือขึ้นมา มันก็ทุกข์ทุกทีสอบดูทุกขณะเดี๋ยวนี้ก็ได้ถ้าเราสอบกันตรงไปตรงมาอย่างนี้

    การปฏิบัติก็มีศีลได้ในตัวเอง มีสมาธิมีปัญญาได้ในตัวทั้งหมด ไม่ต้องไปจาระไนตามหลักตามเกณฑ์ มันอยู่ที่จิตทั้งนั้นถ้าจิตสงบแล้วก็เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาอยู่ในตัว คือไม่มีกิเลสแต่พอมีกิเลสขึ้นมามันก็รู้ เหมือนกับไฟที่เกิดขึ้นมันก็ต้องร้อนทีนี้มันดับมันทำลาย ศีลมีหน้าที่ละกิเลสอย่างหยาบ แล้วสมาธิก็ละกิเลสอย่างกลางปัญญาละกิเลสอย่างละเอียด เครื่องมือมีพร้อมอยู่ในตัว แต่เราต้องรู้ ต้องพิจารณาการประพฤติปฏิบัติมันก็ถูกต้องอยู่ในตัวเองทั้งหมดแล้วจิตนับวันแต่จะอยู่อย่างสงบเรื่อยไปเพราะที่มันเคยวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในวงกลมของวัฏฏสงสาร เมื่อมันรู้ตัวทีนี้มันจะหยุดหยุดวิ่งหยุดปรุง หรือที่จะอยากเอาอะไรเพื่อความเอร็ดอร่อยก็หยุดเพราะรู้ได้ว่าที่วิ่งมานั้นมันเหนื่อย มันวุ่น ทีนี้ "หยุด"คำว่าหยุดคำเดียวก็พอแล้ว ต่อไปนี้พอบอกให้หยุดคำเดียวมันก็หยุดและเป็นการหยุดได้สบาย

    ขอให้ผู้ปฏิบัติสอบตัวเองให้รู้ลักษณะของจิตที่มีความหยุดรู้ตัวเองแล้วมันสลัดทิ้งสิ่งภายนอกออกไปที่เคยหลงใหลยึดถือเดี๋ยวนี้มันสลัดทิ้งไปหมดแล้วให้มีการหยุดดูหยุดรู้จิตทุกขณะปัจจุบัน เรียกว่าได้เดินตามรอยของพระอย่างถูกต้องแล้วก็ดับทุกข์ดับโทษอยู่ในตัวเองทั้งหมดฉะนั้นขอให้ภาวะของจิตที่มีสติปัญญารู้อยู่เห็นอยู่แล้วก็ปล่อยวางไป จิตก็เป็นอิสระเป็นความว่างความสงบอยู่ทุกๆ ขณะเถิด

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  9. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ที่เที่ยวของสติ
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๕

    วันนี้เป็นวันประชุมตามเคย ก็อยากจะพูดถึงเรื่องการท่องเที่ยว เพราะว่าตามธรรมดาของสัตว์ทั่วๆ ไป มีการท่องเที่ยวไปตามอารมณ์คือ ทางผัสสะ เช่นตาก็เที่ยวไปดู หูก็เที่ยวไปฟัง จมูกนี่ก็เที่ยวหาเรื่องดม ลิ้นก็อยากจะหารส กายก็อยากจะได้สัมผัสที่อ่อนนิ่ม แล้วใจนี่ก็เลยเที่ยวเตลิดไปตามอารมณ์ เอารูปเป็นอารมณ์บ้าง เอาเสียงเป็นอารมณ์บ้าง ตลอดทวารทั้งห้านี้ เป็นอารมณ์อยู่ภายในจิตอย่างเดียว แล้วก็มีการปรุงการคิดสับสนวุ่นวาย และเรื่องอย่างนี้มันก็ไม่มีอะไรนอกจากเกิดๆ ดับๆ แม้ว่าจะไปรู้ไปเห็นอะไรมามันก็สนุกสนานชั่วขณะ ที่หลงไปยึดมั่นถือมั่นในรูปในเสียง ทำให้เกิดความพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง เป็นอันว่าที่เที่ยวของสัตว์ที่โง่ๆ นี้ มันรวมอยู่ในเรื่องอารมณ์ทั้งหกประการ ซึ่งเป็นที่เที่ยวของสัตว์ที่ติดอยู่ในกามคุณเป็นจุดเด่น และก็มีกามราคะเข้ามาย้อมฉาบทาจิตให้ติดแน่น หรือมีความเอร็ดอร่อยอยู่ในกามคุณทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องระทมทุกข์อยู่ทุกขณะก็ว่าได้ เพราะมันยังมีความกระหายที่จะได้เห็นรูปฟังเสียงเหล่านี้ เป็นการชุลมุนวุ่นวายไปตามประสาของสัตว์ ที่ยังมีอวิชชาโมหะครอบงำอยู่ในสันดาน พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้เรื่องนี้ดีถูกต้องทั้งหมดจึงได้ตรัสเปิดเผยว่า ให้หยุดท่องเที่ยวไปในรูป เสียง กลิ่น รส เสีย มาเที่ยวดูในกาย เที่ยวดูในเวทนา เที่ยวดูในจิต เที่ยวดูในธรรม นี่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ให้กลับมาเที่ยวดูข้างใน แต่ว่าสัตว์ที่โง่ๆ นี่ยังชอบเที่ยวดูข้างนอกกันนัก

    พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงสอนว่า ที่เที่ยวของสตินั้นมีอยู่สี่ประการ ในหลักสี่ประการนี้ ก็มีการเรียนรู้เพ้อกันไปทั้งนั้น แต่ว่าไม่มีใครที่จะหยุดมารู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม ว่ามันเป็นของหยุดได้ สงบได้หรือไม่ จะต้องรู้เรื่องของกายว่ามันมีอะไรบ้าง มีเป็นตัวเป็นตน เป็นคนที่สัตว์อยู่ที่ตรงไหน ถ้ามีการดูหายหรือว่าพิจารณาอยู่ในกาย เห็นความเป็นธาตุปราศจากตัวตนด้วยประการทั้งปวงนั่นแหละถึงจะเป็นการทำตามพระพุทธเจ้าถูกต้อง แล้วก็เที่ยวดูของจริงจนกระทั่งรู้แจ้งชัดใจจริงๆ และก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า กายนี้เป็นของสวยงาม เป็นหญิงเป็นชาย หรือเป็นตัวเป็นตนอะไรทั้งหมดนี้มันก็ยกเลิกไป

    ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของเวทนาก็เป็นเรื่องสำคัญอีกที่จะต้องตามดูเวทนา เพราะว่าจะไปเที่ยวดูอื่นๆ นั้นมันเป็นความหลง ถ้าเที่ยวดูเวทนาภายในเวทนา หรือว่าเวทนาที่เกิดจากผัสสะที่กระทบทางตา ทางหู ฯลฯ ก็ตาม ก็ให้ดูเฉพาะว่าเวทนานี้ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข และไม่สุขไม่ทุกข์ มีการเปลี่ยนแปลง คือว่าเกิดดับ ไม่มีอะไรคงที่สักสิ่งหนึ่ง ถ้าหยุดดู หรือพิจารณาดูเวทนา อยู่ตลอดทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว จิตนี้จะไม่ไปอย่างอื่น ไม่เที่ยวไปอย่างอื่น มันจะไม่เอาอะไรเลย เพราะว่ามันได้ดูของจริง ได้รู้ของจริงที่มีอยู่ในตัวเองนี้

    แล้วข้อที่สามาก็คือให้ดูจิตไม่ให้เที่ยวดูสิ่งอื่นอีก ให้เที่ยวดูจิตของตัวเองทุกขณะ ไม่ว่าจะยืนเดินนั่งนอน ให้ตามดูตามรู้ว่าจิตนี้ มันประกอบด้วย ราคะ โทสะ โมหะอย่างไร? หรือว่ามันว่างไปจากราคะโทสะโมหะอย่างไร? ต้องตามดูจิตอยู่เนืองนิตย์และทุกลมหายใจเข้าออก

    ข้อที่สี่ให้ดูธรรมะ เพราะว่าดูธรรมะนี้เป็นการดูของจริง ดูให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ หรือไม่ใช่ตัวตนอะไรก็ดูได้ ดูภายในตัวเองนี้ทั้งนั้น นี่พระพุทธเจ้าทรงบอกไว้อย่างนี้ ทีนี้การเรียนรู้กันมากมาย แต่ไม่ได้เอามาประพฤติปฏิบัติตามคำสอนแล้วมันก็ไม่รู้จริงเห็นแจ้งอะไรขึ้นมา มีแต่อยากจะฟังอยากจะอ่านสารพัดที่จะอยากไป เพราะวาของจริงที่มันมีอยู่ในเนื้อในตัวนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงชี้ไว้หมด สำหรับท่านผู้รู้ทั้งหลาย ท่านก็ได้นำเอาหลักคำสอนมาประพฤติปฏิบัติ แล้วก็เอามาจาระไนอย่างเดียวกันอีก

    แต่คนโง่นี่ มันไม่ยอมหยุดดู หยุดรู้เลย เพราะว่ายิ่งรู้มากมันก็ยิ่งวุ่นมาก มันเป็นอย่างนี้เสียหมด ฉะนั้นจึงเหมือนกับคนตาบอดคลำช้าง ซึ่งช้างนี่มันก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ ทีนี้คนหนึ่งไปคลำถูกขาก็บอกว่าช้างนี่เหมือนเสา ถ้าคนที่สองไปคลำถูกหางก็ว่าช้างเหมือนไม้กวาด ถ้าคนที่สามคลำไปถูกตัวก็ว่าช้างนี่มันใหญ่เท่าพ้อม คนที่สี่ไปคลำถูกหู ก็ว่าช้างเหมือนพัด คนที่ห้าไปคลำถูกงา ก็ว่าช้างเหมือนหอก คนที่หกไปคลำถูกงวงก็ว่าช้างเหมือนกระออมน้ำ ตกลงว่าตาบอดคลำช้างทั้งหกคนนี้ต่างมีความเห็นกันไปคนละอย่าง แล้วก็มีเรื่องถกเถียงทะเลาะวิวาทกัน จนไม่มีทางที่จะรู้เรื่องของช้างตัวเดียวได้ เพราะว่าต่างคนต่างยืนยันกัน คนนั้นก็ยืนยันว่าข้าเห็นของข้าอย่างนี้ คนนี้ก็ยืนยันว่าเห็นอย่างโน้น เป็นอันว่าสับสนอลหม่านไปหมด โดยไม่รู้ว่าเป็นช้างตัวเดียวกัน เพราะว่ามันตาบอดจึงเห็นไม่ทั่ว เหมือนกับคนเที่ยวยึดถือไปว่า ส่วนนั้นดีส่วนนี้ชั่ว ถูกผิดอะไรก็สุดแท้ สารพัดที่จะเอามาวิพากษ์วิจารณ์กันไปตามประสาคนตาบอด

    แต่สำหรับคนตาดีแล้ว ไม่ต้องไปเถียงกับใครเลย สบายอกสบายใจไปทีเดียว พอไปเห็นคนตาบอดเถียงกันคัดค้านกัน คนตาดีก็นั่งเฉยไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องไปดูอะไร เพราะว่ามันได้ท่องเที่ยว ดูในกาย ดูในเวทนา ดูในจิต ดูในธรรม พอแล้ว ทำตามพระพุทธเจ้า ให้มีสติท่องเที่ยวอยู่ในสี่อย่างนี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเอาคำสอนของใคร มันแน่นอนเหลือเกิน แม้ว่าม่านผู้รู้ทั้งหลายจะอธิบายขยายความออกไปมากมายเท่าไรก็ตาม แต่มันรวมจุดเป็นช้างตัวเดียวกันหมด จึงไม่มีการตื่นเต้นไปตามเรื่องของคนตาบอดนั่น มีการหยุดดู หยุดรู้ อยู่ในตัวทุกสิ่งที่จะจำแนกออกไปเป็นการรู้ความจริงขึ้นมาในตัวเอง แล้วมันก็เลยหยุดได้ สงบได้ ว่างได้ แต่ถ้าคนตาบอดคนไหนยังมองไม่ทั่วถึงแล้ว ก็เที่ยวชุลมุนวุ่นวายไป หาเรื่องวุ่นไปเอง ทั้งนี้เพราะตามันบอดจึงมองไม่เห็น มันก็เที่ยวดูเที่ยวฟังไปว่านั่นดี นี่ชั่ว นั่นถูก นี่ผิด คนนี้พูดดี คนนั้นพูดไม่ดี นั่นมันล้วนแต่พวกตาบอดทั้งนั้นเลย แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา เพราะว่าตัวของมันเองนี้มันยังมองไม่เห็น เพราะมันตาบอดอย่างนี้ จึงได้เที่ยวออกไปดู ไปฟังข้างนอกเก่ง

    ถ้าเกิดรู้สึกด้วยใจจริง ที่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า มาเป็นเวลานาพอสมควรแล้ว ก็ควรจะรู้ได้แล้ว แต่นี่มันยังไม่รู้ มันจึงได้เที่ยวกระวนกระวายกระหืดกระหอบไป แล้วอย่างนี้จะไปโทษใคร เพราะพวกตาบอดนี้ไม่ใช่เรือนร้อยเรือนพันหรือเรือนหมื่นเรือนแสน มันนับไม่ถ้วน เป็นเรื่องอย่างนี้ มันจึงชุลมุนวุ่นวายกันไปทั้งหมด มันหยุดไม่ได้ มันสงบไม่ได้จึงเที่ยวหาเรื่องคิด หาเรื่องจำ หาเรื่องพูดเพ้อกันไปสารพัดอย่าง ที่จะทำตามคำสอนของพระศาสดาแท้จริงนั้นหายาก มีแต่คนชอบพูดชอบอวด ชอบยกหูหางอยู่เรื่อย มันจึงเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะไปพึ่งอะไรที่ไหน เพราะฉะนั้นคำสอนของพระศาสดา ที่ส่องแสงสว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีปนั้น พวกหูหนวกตาบอดนี่มองไม่เห็น พากันเที่ยวคลำไป เมื่อคลำไปคลำมาก็ไปตกเหวตกน้ำบ้าง ตกไฟบ้าง มันเป็นอย่างนี้
     
  10. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    สำหรับเรื่องการปฏิบัติธรรมนี้ ถ้าคนไหนได้ปิดประตูดูข้างในแล้ว ให้รู้เองเห็นเองเสียให้ได้ โดยไม่ต้องไปเชื่อคำของผู้อื่น ตาในกาลามสูตรทั้ง ๑๐ ข้อนั้น เอาเฉพาะสองข้อที่สำคัญคือว่า

    . ไม่เชื่อผู้พูดว่าสมควรจะเชื่อ

    . ไม่ยึดถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา นี่พระพุทธเจ้าเองก็ทรงยืนยันอย่างนี้ แม้แต่พระองค์เองก็ไม่ให้เชื่อว่าพระองค์เป็นสมณะที่ควรเชื่อถือ นี่มันน่าเคารพนับถือสักขนาดไหน ว่าเพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโดยธรรมแท้ ไม่มีอคติใดเจืออยู่เลย พระองค์มีพระกรุณาบริสุทธิ์ผุดผ่องเพื่อไม่ให้สัตว์ข้องติด อยู่ในอะไรทั้งหมด ให้ปลดเปลื้องตัวเองออกไปสู่โลกุตตรสุญญาตา คือว่างจากตัวตนนั่นเอง เพราะฉะนั้นคำสอนทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็นคำย่อหรือพิสดารอย่างไร มันน่าสนใจยิ่งกว่าคำสอนของคนอื่น แต่สำหรับคนที่มีสติปัญญาลึกซึ้งแล้ว เขามุ่งเอาคำสอนของพระศาสดาเสียเลยโดยที่ไม่ต้องไปเอาคำของใครมา เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นความเด็ดขาดกว่า การถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่าการเป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันอยู่ตรงที่อ่านข้อเท็จจริงภายในตัวของตัวเอง ให้มันทะลุเข้าไปทีเดียว จนมีความซาบซึ้งเข้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ภายในโดยเด็ดขาด ไม่มีการเชื่อตามผู้อื่นต่อไป แม้ว่าในสมัยพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมกับบรรดาสาวกทั้งหลาย ที่บรรลุพระอรหันต์แล้วก็ตามและท่านที่เป็นอริยสาวกหรือว่าเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ตาม ก็ได้ทรงแสดงธรรมโดยความตรงไปตรงมาไม่มีการที่จะให้ติดอยู่ในอะไรสิ่งอะไร จนกระทั่งพระสาวกทั้งหลายมีการเคารพนบนอบบูชาว่า
     
  11. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เขื่อนกั้นพรหมจรรย์
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๑๒ พฤษภาคม๒๕๑๕

    วันนี้จะได้ปรารภข้อปฏิบัติที่จะต้องให้มีการสำรวมอินทรีย์ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจถ้าไม่ได้ควบคุมให้ละเอียดแล้ว ศีลก็จะบริสุทธิ์ไปไม่ได้เพราะมันเปิดรับเชื้อโรคอยู่ทั้งนั้น การที่จะอบรมพิเศษจึงจะต้องมีถ้าได้ฝึกหัดอบรมปิดกั้นอายตนะเอาไว้ได้แล้ว จิตนี้ก็จะมีความสงบได้ไม่ซ่านไปกับอารมณ์ทั้งหลาย ฉะนั้นตึงต้องให้มีการอยู่อินทรียสังวรพิเศษ ในระยะ ๗วัน ๑๕ วันหรือ ๑ เดือนก็สุดแท้ เพราะจะได้รู้เรื่องว่าการสำรวมระวังอายตนะเอาไว้ได้นั้น มีคุณประโยชน์อย่างไร แล้วการที่จะปล่อยปละละเลยไม่สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้มันเสียหายเท่าไร นี่จะต้องรู้สึกตัวให้ดีๆในเรื่องนี้ เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยทีเดียว

    แม้ในการปล่อยสติไปกับ ตาเห็นรูป หูฟังเสียงเหล่านี้โดยที่ไม่มีสติเป็นเครื่องคุ้มครองแล้ว ศีลก็ขาดแล้วขาดอีก หรือว่าด่างพร้อยไปไม่มีความบริสุทธิ์ขึ้นมาได้ ฉะนั้นจึงต้องปิดกั้นทวารทั้งหก ด้วยการมีสติในการมองในการฟัง ในการได้กลิ่น ลิ้นรู้รส หรือสัมผัสกาย และธรรมารมณ์ซึ่งจะต้องฝึกหัดอบรมเป็นพิเศษ และไม่ให้อยู่อย่างคลุกคลีกันนั่นแหหละจึงจะเป็นการสำรวมอินทรีย์ไว้ได้ เพราะว่าการอยู่อย่าคลุกคลีนี้มันมีโทษแม้แต่พระที่ท่านสิ้นอาสวะแล้วก็ยังรังเกียจ มันขยะแขยงต่อการอยู่อย่างคลุกคลีเลยส่วนเรามันยังมีอาสวะกิเลสอยู่ ถ้าจะมาคลุกคลีกันโดยที่ไม่ได้ฝึกหักสำรวมอินทรีย์ให้เป็นพิเศษเสียบ้างแล้ว มันก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

    ฉะนั้นเรื่องข้อปฏิบัติเมื่อได้สำรวมระวังให้ดีแล้วทุกข์โทษทั้งหลายก็จะได้เบาบางไป เพราะฉะนั้นการสำรวมนี้จึงมีคุณประโยชน์มากมายนักทำให้เกิดความรู้แจ้งตามความเป็นจริงขึ้นมาได้ ขณะที่มีสติควบคุมอยู่และอาจจะเกิดธรรมจักษุขึ้นมาในขณะนั้นก็ได้ โดยมองเห็นความจริงภายในเป็นการกระจ่างแจ้งขึ้นมา แต่ก็ต้องรักษาหลักให้ติดต่อเอาไว้ให้ได้ถ้าไม่สำรวมระวังรักษาเอาไว้แล้ว แม้ว่าจะมีความรู้ขึ้นมาเป็นพิเศษบ้างก็ตามมันก็จะเสียหลักไปในขณะที่กระทบผัสสะนั่นเอง ซึ่งจะต้องรู้ของตัวเองได้ว่าการกระทบผัสสะขณะไหน มันทำให้จิตใจไหวตัวอย่างไรบ้าง? เกิดความพอใจไม่พอใจอย่างไรบ้าง? แล้วมันจะน่าคุ้มครองทวารทั้งหกนี้ไว้ในลักษณะอย่างไร? จึงจะได้ประโยชน์เต็มที่เพราะการรักษาอินทรียสังวรศีลนี้ เป็นศีลของพระอริยเจ้าที่เป็นขั้นละเอียดถ้ามีอยู่ครบถ้วนพร้อมกับสังวรให้บริสุทธิ์ทุกทวารแล้ว ก็เป็นการมีศีล มีสมาธิแล้วก็มีปัญญาพร้อมเสร็จอยู่ในการสำรวมอินทรีย์นั่นเองแม้ว่ามันจะยากลำบากแก่ผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยอยู่บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะว่ายังไม่รู้ว่าวิธีที่จะสำรวมระวังอย่างไรและกิริยามารยาทที่ยังไม่เคยได้ฝึกให้มีสติทุกอิริยาบถมาก่อนแต่ก็เป็นสิ่งที่จะต้องฝืนใจทำ เพราะความคุ้นเคยมันก็อยากจะมอง มันก็อยากจะฟังทีนี้ถ้าคุ้มครองเอาไว้แม้ในขณะที่ยืน เดิน นั่ง นอนก็ตาม จะต้องหัดให้มีสติรู้อยู่ควบคุมอยู่ทุกอิริยาบถให้ได้ตลอดเวลา

    โดยเฉพาะเรื่องตานี้ จะต้องสำรวมให้มากกว่าทวารอื่นๆสักหน่อย อย่ามองออกไปให้ไกลนัก เพราะว่าในระยะแรกนี้จะต้องมองในระยะใกล้เป็นการดีแม้ว่าจะอยู่ในที่ไม่มีผัสสะกระทบก็ต้องหัดเอาไว้ให้มีการมองเฉพาะหน้าเท่าที่เท้าจะก้าวไปและการสำรวมสติในการยืน เดิน นั่ง นอนซึ่งเป็นมารยาทของพระอริยเจ้า เราก็ควรจะฝึกหัดให้ได้รายละเอียดด้วยนั่นแหละจึงจะมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ ถ้าไม่ได้ทำไม่ได้ฝึกแล้วเที่ยวลุกลี้ลุกลนไปก็จะไม่รู้อะไร เพราะว่าการฝึกสติในขั้นต้นๆมันก็ยังตั้งหลีกไม่ใคร่จะได้ มันเที่ยวแส่เที่ยวส่ายไปแล้วสติปัญญาที่จะรู้รายละเอียดมันก็รู้ไม่ได้ เพราะว่ามันมองออกข้างนอกมันรู้ออกข้างนอกหมด ตัณหาก็เข้ามาปรุงแต่งให้จิตใจดิ้นรนกระวนกระวายไปไม่ยอมอยู่กับเนื้อกับตัว มันจึงเที่ยวซุกซนไปถ้าไม่หัดดัดสันดานตัวเองแล้วใครเขาจะมาหัดให้ได้เพราะว่านิสัยของปุถุชนที่หลุกหลิกซุกซนนี่มันสำคัญนัก ถ้าไม่ฝึกให้จริงจังเสียบ้างมันก็จะคุ้นเคยไปทุกที มันเคยตัว เคยใจไปทั้งนั้นฉะนั้นการทำข้อปฏิบัติชนิดที่ไม่ได้มีการอดทนต่อสู้ หรือไม่มีการข่มขี่ทรมานตัวแล้วให้บวชไปจนตาย อยู่วัดไปจนตาย มันก็อยู่ไปแบบนั้นเองไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาได้เลยแต่ที่จะได้ประโยชน์นี่จะต้องฝึกหัดต้องทดลองทรมานตัวเองทุกๆ อย่าง ในการที่จะต้องอยู่คนเดียวจริงๆไม่ให้มีเพื่อนพูดเพื่อนคุย ต้องฝึกหัดเป็นพิเศษเพราะว่าจะมาทำตามเรื่องตามใจตามพวกตามหมู่อย่างนี้ ใจมันก็จะเป็นลิงไปถ้าไม่ฝึกไม่หัดไม่ลงไม้เรียวแล้วมันจะยิ่งเอาใหญ่ ศีลจะยิ่งขาดทำลายไปแล้วก็คิดดูเอาเองว่ามันฉิบหายกับใครก็ลองคิดดูความฉิบหายนี่มันฉิบหายอยู่กับจิตกับใจกับเนื้อกับตัวทั้งนั้นแต่ว่ายังมองไม่เห็นทุกข์โทษเท่านั้นเอง จึงได้ปล่อยไปตามสันดานเดิมอยู่เรื่อยแล้วก็ไม่มีการฝึกหัดอดทนต่อสู้จริง ถึงจะทำบ้างก็ชั่วครั้งชั่วคราวประเดี๋ยวก็หาเรื่องไปอีกแล้ว

    การฝึกหัดทรมานตัวเองนี้ไม่ใช่ของที่จะทำได้ง่ายๆจะต้องมีการบังคับตัวเองให้มันอยู่ในอำนาจของไม้เรียวคือใช้สติปัญญาเป็นเครื่องขู่บังคับให้ทำข้อปฏิบัติถ้าไม่บังคับอย่างนั้นก็ปฏิเสธข้อปฏิบัติว่ามันรู้แล้วเพราะว่ามันต้องการทำตามใจกิเลสมากกว่าฉะนั้นจึงเป็นความเสียหายอยู่ในตัวเองทั้งหมด เมื่อมีการพิจารณาสอบสวนเข้ามาแล้วมันน่าจะปฏิบัติด้วยความไม่ประมาท ไม่น่าจะมีความเพลิดเพลินไปเลยเพราะวันเวลาของชีวิต ที่ได้มีการปฏิบัติมาในระยะต้นจนถึงระยะนี้ควรจะต้องก้าวหน้าให้ดีขึ้นให้สูงขึ้นให้ได้ อย่าให้มันถอยหลังไปเลยเพราะข้อปฏิบัติที่ไม่ก้าวหน้า มันก็ต้องถอยหลังเป็นธรรมดาอยู่เองฉะนั้นจะต้องแก่สติปัญญาเพื่อความก้าวหน้ายิ่งขึ้นควรพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษแล้วก็สำรวมระวังให้มากความผิดพลาดพลั้งเผลอก็จะได้ลดน้อยลงไป แล้วต้องคุ้มครองทวารทั้งหกเอาไว้ให้ได้ส่วนที่จะเสียหายไปเพราะไม่สำรวมนั้นก็เพียงเล็กน้อย ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้วนั่นแหละจะได้ชื่อว่าเป็นการเดินตามรอยของพระอรหันต์เรื่อยไปทีเดียวอย่าให้มีการย่อหย่อนอ่อนแอเลยเพราะว่ายิ่งพยายามที่จะพิจารณาให้รู้ข้อเท็จจริงภายในตัวเองแล้วยิ่งจะทำให้เห็นผลของการที่ได้พิจารณาปล่อยวางอะไรออกไปได้ แล้วก็ทำตามรอยของพระได้มันจึงเป็นการรู้สึกด้วยใจจริงโดยเห็นคุณประโยชน์ของการดับทุกข์ดับกิเลสของตัวเองได้ อย่าได้มีการท้อถอยเลยควรจะพยายามแล้วพยายามอีก ไปจนตลอดชีวิตทีเดียวแต่ถ้าไม่มีความมุ่งหมายอย่างนี้แล้วที่แก่วันแก่คืนขึ้นมานี้มันจะแก่กิเลสหนักเข้าแล้วก็จะตกทุกข์ได้ยากอยู่ในวัฏฏสงสาร หรือว่าอยู่ในอำนาจของพญามารคือกิเลสตัณหานั่นเอง เพราะมันคอยบังคับข่มขี่ให้ตกไปเป็นทาสของมันอย่างซ้ำซากก็เป็นที่รู้ด้วยกันอยู่แล้ว ส่วนการที่จะเอาชนะกิเลสตัณหาหรือจะเพียรเผากิเลสก็มีหนทางที่จะทำได้ แต่ต้องเป็นการทำจริง ไม่ใช่เล่นๆหรือไม่ใช่ทำเพื่อเข้าหมู่กันให้เป็นการสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างนั้นไม่ได้ต้องทำเป็นพิเศษ ไม่ใช่ทำชนิดที่งมงายแต่เป็นการทำด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแล้วก็คุ้มครองทวารเอาไว้ จึงจะมีความรู้สึกพิเศษขึ้นมาได้แล้วความรู้พิเศษนี้ก็อาจจะติดต่อได้ทุกอิริยาบถตามสมควรแก่การฝึก

    สำหรับการควบคุม การพิจารณา การประคับประคองนี่ต้องเป็นข้อสังเกตของตัวเอง แม้ว่าจะเสียหลักของสติไปในอะไร ก็จะต้องรู้เหตุผลแล้วก็กระทำให้เหมาะสมต่อไปใหม่ ถึงจะผิดพลาดพลั้งเผลอไปบ้างก็ต้องรู้สึกได้ว่าทำอย่างนี้มันเป็นการเสียหายไม่ดี ทั้งนี้ต้องรู้จักปรับปรุงตัวเองเพื่อให้มีชัยชนะต่อกิเลสทุกแง่ทุกมุม การปฏิบัติมีแต่จะก้าวหน้าไปโดยที่ไม่มีการถอยหลังไม่ต้องสงสัยว่ามันจะถูกทางหรือไม่ถูกทางตัวเองจะต้องค้นคว้าหาเหตุผลเรื่อยไปแม้ว่าจะถูกทางแล้วก็ยังเชื่อมันไม่ได้ เพราะความรู้ไม่รู้หรือรู้ผิดเห็นผิดนี้มันยังมีอยู่ ประเดี๋ยวมันก็ชี้ไปทางโน้นเดี๋ยวมันจะปรุงมาทางนี้อีกแล้วเพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นแนวทางที่ถูกก็ยังไว้ใจไม่ได้จะต้องควบคุมโดยมีการพิจารณาประกอบเอาไว้ เพราะสันดานปุถุชนยังมีอาสวะ อวิชชา โมหะหรือกิเลสตัณหาอะไรอยู่มากมายมันก็ล้วนแต่จะคอยปรุงจิตให้ร้อนเร่าเศร้าหมองไปอย่างเดียวกันจึงต้องรอบคอบหรือรอบรู้อยู่ในตัวเอง ตลอดจนใช้กายวาจาอะไรออกมาจะต้องมีสติควบคุมมิฉะนั้นแล้วก็เหมือนกับคนธรรมดาที่ไม่ได้ปฏิบัตินึกจะพูดจะทำอะไรก็ทำไปตามเรื่องตามราวของตัวแล้วก็ไม่รู้ว่า นี่ควรทำหรือไม่ควรทำนี่ควรพูดหรือไม่ควรพูดก็ไม่รู้สึกตัว

    ฉะนั้นต้องมีสติเป็นเครื่องรู้เป็นเครื่องคุ้มครองเป็นเครื่องอ่านตัวเองแม้จะมีการผิดพลาดพลั้งเผลอไปในอะไรบ้างก็จะรู้สึกตัวได้และมีความละอายมีความกลัวแล้วการประพฤติปฏิบัติเช่นนี้จึงจะเอาตัวรอดได้แน่เพราะว่าไม่มีความประมาทเพลิดเพลินไปตามอารมณ์นั่นเอง

    โดยมีสติเป็นเครื่องกั้น มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาทำลายถ่ายถอนหรือตัดรอนกำลังของกิเลสตัณหาอุปาทานที่มันเกิดขึ้นมาในลักษณะอย่างไร แล้วตัวเองจะมีอาวุธอะไรไปทำลายมันหรือว่าได้มีการลับมันให้คมเฉียบอยู่หรือเปล่าอย่างนี้ต้องเป็นการรู้เรื่องของตัวเองให้ถูกต้อง พิจารณาให้รู้เรื่องจริงๆไม่ใช่ทำชนิดที่รู้บ้างไม่รู้บ้างแล้วก็เรื่อยเปื่อยไปสำหรับผู้ที่มีความมุ่งหวังต่อความพ้นทุกข์จริงๆจะต้องมีการควบคุมทวารให้ละเอียดยิ่งขึ้น ไม่ควรดูก็อย่าไปดู ไม่ควรฟังก็อย่าไปฟังต้องคอยมีเครื่องห้ามเครื่องกันเอาไว้ทั้งหมด

    โดยเฉพาะศีลก็เป็นเครื่องห้ามเครื่องกั้นอยู่แล้วเมื่อไม่มีการสำรวมมันก็ขาดทะลุไปได้ง่ายๆยิ่งเข้าพวกเข้าหมู่กันด้วยแล้วก็ยิ่งเพ้อเจ้อกันไปใหญ่มีแต่จูงกันออกไปหาทุกข์โทษทั้งนั้นที่จะคอยสกัดกั้นให้เป็นอิสระแก่ตัวเองเป็นของยาก ฉะนั้นมันจึงชวนกันไปในทางหลงๆด้วยกัน ที่จะรู้สึกตัวก็มีเป็นส่วนน้อยถ้าได้อบรมข้อปฏิบัติเป็นลำดับมาแล้วก็จะต้องมีความกล้าหาญ ในการที่จะรักษาอินทรียสังวรให้เข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้นอย่าให้มันย่อหย่อนอ่อนแอไปแล้วมันจะไม่รู้เรื่องของตัวเองโดยละเอียดถ้ามีการรู้จริงเห็นแจ้งประจักษ์ชัดเข้าภายในความรู้ของสติปัญญาจะมีความสว่างไสวขึ้นมาได้แล้วทำให้รู้คุณค่าของธรรมะว่าธรรมะนี้เมื่อได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วแสงสว่างที่เป็นความรู้จริงเห็นแจ้งภายใน ก็จะต้องเกิดขึ้นมาได้ฉะนั้นการอบรมนี้นับว่าเป็นของสำคัญถ้าไม่ควบคุมทำจริงหรือไม่มีการอดทนต่อสู้ต่อผัสสะทุกๆ ชนิดแล้วเป็นของยากเพราะว่าจิตใจนี่มันอยู่สงบไม่ได้ มันก็เที่ยวไปตามอารมณ์

    ตามที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบอายตนะทั้ง ๖นี้เหมือนกับสัตว์หกชนิด แล้วสัตว์แต่ละชนิดล้วนแต่มีความคุ้นเคยไปตามนิสัยของมันท่านจึงเปรียบเหมือนการจับงูมาผูกไว้เงื่อนหนึ่ง แล้วผูกจระเข้ไว้เงื่อนหนึ่งผูกนกไว้เงื่อนหนึ่ง ผูกสุนัขจิ้งจอก ผูกสุนักบ้าน ผูกลิงเอาไว้เงื่อนหนึ่งแล้วก็รวมปลายเชือกที่ผูกสัตว์หกชนิดนี้เอาไปผูกไว้กับเสาเขื่อนสัตว์ทั้งหลายนี้ที่มันจะไปตามนิสัยของมัน งูมันก็จะเลื้อยเข้าจอมปลวกจระเข้มันก็จะลงน้ำ นกมันก็จะบินขึ้นไปสู่อากาศสุนักจิ้งจอกมันก็จะไปกินผีที่ป่าช้า แล้วสุนัขบ้านมันก็จะวิ่งเข้าบ้านลิงมันก็วิ่งไปป่า ในที่สุดสัตว์เหล่านี้มันก็ยื้อแย่งกันใหญ่ถ้าสัตว์ตัวไหนที่มีกำลังมากมันก็ดึงเอาไปทางนั้น เช่นตามันดึงไปหารูปแล้วพวกห้าอย่างนี้ก็ต้องอ่อนกำลังไป ไม่ว่าทวารหนึ่งทวารใดที่มีความรู้สึกรุนแรงมันก็จะดึงไปทางนั้น ลองสังเกตดูซิว่าถ้าตามันดึงไปหารูปแล้วมันเป็นอย่างไรบ้างเมื่อไปชอบรูปที่พอใจก็มีความกำหนัดรักใคร่ ถ้าไปพบรูปที่ไม่พอใจก็ขยะแขยงไม่ชอบใจส่วนเสียงก็เหมือนกันมันก็อยู่ในตัวเองนี่ทั้งหมด ถ้าไม่ได้สำรวจตรวจตราดูมันก็ดึงกันเรื่อยไปเป็นประจำวัน ประเดี๋ยวตาเห็นรูป ประเดี๋ยวหูได้ยินเสียงและจมูกได้กลิ่นมันก็มีความสับสน อลหม่านอยู่กับทวารทั้งหกทุกขณะก็ว่าได้มันจะแว่วอะไรขึ้นมาเป็นไม่ได้ แล้วก็ไม่สำรวมระวังเอาไว้มีแต่จะคอยเปิดประตูรับแขกเสียเรื่อย อย่างนี้ศีลจะอยู่ได้อย่างไรมันก็ขาดทะลุด่างพร้อยไป เป็นคนทุศีลไปเท่าไรก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว

    เพราะไม่ได้มีการสังวรอินทรีย์ให้เป็นพิเศษนั่นเองดังนั้นควรควบคุมให้มีสติในการมอง ในการฟัง ในการรู้สึกที่จะต้องปิดประตูดูข้างในจึงจะรู้เรื่อง มันไม่ใช่มาสังวรนิดๆ หน่อยๆเท่านั้นแล้วจะไปรู้เรื่องอะไรกัน มันต้องสังวรจริงจึงจะได้และต้องอยู่ที่เงียบสงัด ที่ไม่มีผัสสะอะไรเป็นเครื่องรบกวนแล้วก็มีสติควบคุมอยู่ทุกอิริยาบถ มีการตรวจสอบว่าในวันหนึ่งมีความเผลอเพลินไปกับอะไร แล้ววันที่สองควรจะเผลอเพลินน้อยกว่าวันแรก วันที่ ๓ ที่๔ ที่ ๕ จะต้องมีการสังวรมีข้อสังเกตได้ว่าความเผลอเพลินจะลดน้อยทุกวันทีเดียวจนกระทั่งจิตนี่มันมีความสงบอยู่ในตัวเองได้มั่นคง แล้วก็ไม่สนใจต่อผัสสะทางภายนอกถ้าติดต่อจนกระทั่งจิตนี่ไม่ออกไปรับอารมณ์ภายนอกแล้วจึงรู้ว่าเจ้าลิงนี่อยู่กับหลักไม่ดิ้นรนไปป่าเพราะฝึกเอาไว้ด้วยการควบคุมแล้วก็ลงไม้เรียวหัดจนกระทั่งมันยอมอยู่ในอำนาจของไม้เรียวคือสติปัญญาได้แล้วมันก็นั่งเจ่า นอนเจ่า เฝ้าอยู่กับหลักคือสตินั่นเองจะไปไหนก็ไม่ได้เหมือนกับเขาฝึกลิงให้รำละครเพราะมันอยู่กับหลักมั่นคงแล้วก็ฝึกมันได้ มันพิจารณาได้มันรับรู้และเชื่อฟังแล้วถ้าไม่มีการฝึก ไม่มีการควบคุมอายตนะทั้งหกนี้แล้วก็จะทุรนทุรายไปตามนิสัยตามความชินเคยของมัน แล้วก็จะไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะมันถูกดึงไปหมด ถูกดึงไปรอบด้าน อย่างนี้มันจะน่าพยายามที่จะต้องมีการอบรมเพื่อเป็นการทดลองฝึกหัดให้เป็นพิเศษถ้าไม่ทำให้รู้เรื่องจริงของตัวเอง มันเสียเวลามาก แต่ก็กถาที่จะทำด้วยก็เลยทำวันเวลาของชีวิตให้สูญเสียไปเปล่าๆ ทั้งไม่ได้ในสิ่งที่ควรจะได้ด้วยและไม่รู้ในสิ่งควรจะรู้อีกตามที่ตนเคยอบรมมาเพื่อจะนำมาพิจารณาให้รู้จริงทั้งนี้เพราะไม่ได้อบรมมันก็ไม่อาจจะรู้ขึ้นได้

    ถ้าหากมีความเพียรพยายามในการที่จะฝึกหัดอบรมให้เต็มสติกำลังแล้วนั่นแหละมันจึงจะได้ประโยชน์ ประโยชน์อะไรก็สู้ไม่ได้และประโยชน์อย่างนี้แม้ว่ามันจะฝืนอำนาจของกิเลสบ้างก็ตาม แต่ว่าถ้าอดทนสู้สักหน่อยพอมันสงบได้ก็เห็นผล เห็นผลจริงๆว่าการฝึกหัดอบรมข้อปฏิบัติที่มีสติปัญญาเป็นเครื่องควบคุม จิตนี้จะอยู่ในอำนาจได้ที่มันเคยตกไปตามอำนาจของกิเลสตัณหานั้นมันจะได้หยุดเสียทีมันจะได้ยอมอยู่ในอำนาจของสติปัญญาเสียบ้าง อย่าให้มันเที่ยวเตลิดเปิดเปิงไปนักเลยเพราะว่ามันมีทุกข์มีโทษมากมายมาแล้ว ทีนี้ต้องเอากับมันให้จริงๆต้องฝึกกับมันให้จริงๆ อย่าทำเล่นๆ หลอกๆ ไปนักเลย มันจะไม่พ้นทุกข์ของตัวเองทุกข์โทษทั้งหลายแหล่มันก็สุมเผาอยู่ที่จิตใจมันก็ฉิบหายแล้วฉิบหายอีกอยู่ในจิตใจนั่นแหละแล้วอย่างนี้มันจะน่าปฏิบัติให้รัดกุมเข้ามาหรือไม่ ควรจะมีการตัดรอนทอนกำลังพวกสอพลอก่อกวนให้วุ่นวายไม่สงบ ประเดี๋ยวจะเอานั่นประเดี๋ยวจะเอานี่ประเดี๋ยวจะพูดอย่างโน้นอย่างนี้ นี่ถ้าไม่รู้สึกตัวเองแล้วมันตายเปล่า ทั้งๆที่ได้เข้ามาประพฤติปฏิบัติในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแต่ว่าไม่ทำจริงกลับไปทำตามกิเลสเสียมันก็เลยเป็นตัวอย่างให้เหลวไหลและเสียหายไปด้วยกันแทนที่จะช่วยกันชักจูงให้มีการรู้สึกตัวมันก็เลยเป็นของยาก

    บางทีเมื่อเข้าใกล้เพศตรงกันข้ามก็เข้าไปวุ่นวายและทำประจบประแจง ทั้งที่ตัวของมันก็มีเสน่ห์มารอยู่ในตัวของมันเองและมีการแสดงออกของเรื่องรสอร่อยในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสกายฉะนั้นเมื่อจะเข้าที่ไหนจึงต้องสำรวมระวังให้ดีแม้แต่เพศเดียวกันก็ต้องระวังเหมือนกันเพราะว่ามันมีความสับปรับกลับกลอกมีมายาสาไถยในกิริยาวาจาทั้งหมด ซึ่งไม่น่าดูฉะนั้นคนที่ต้องการอะไรหลายๆ อย่างนั้นแหละมันกระวนกระวาย เพราะว่ามันชูรสชูชาติแม้จะเกี่ยวกับธรรมะธรรมโมบ้างก็เป็นของแสลง ชนิดที่คนๆนั้นก็ไม่รู้ว่ามันเป็นของแสลง ก็เลยอยากได้ อยากเข้าไปใกล้ มันจึงน่ากลัวมากสำหรับฉันเองกลัวมานานแล้ว กลัวมาตั้งแต่เด็กๆ ทีเดียวจนกระทั่งเข้าวัดเข้าวาเมื่ออายุ 20 ปีกว่า ก็ไม่กล้ามองหน้าพระที่ท่านเทศน์เพราะมีความกลัว มีความละอายต่อเพศตรงข้ามมาอย่างนี้ มันจึงเอาตัวรอดมาได้ฉะนั้นก็อยากจะพูดเสียให้รู้สึกตัวกันว่า ให้เจียมเนื้อเจียมตัวกันสักหน่อยอย่าเข้าไปวุ่นวายกับเพศตรงกันข้ามนักเลยถ้าไปดูธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วมันยิ่งเจียมตัวหนักเข้าไม่กล้าเข้าไปทำความคุ้นเคยกับเพศตรงกันข้าม จึงต้องพูดให้รู้สึกตัวเสียบ้างมิฉะนั้นแล้วจะทำลายพรหมจรรย์ให้มัวหมองไป ถ้ารู้จักกลัวก็จะเอาตัวรอดได้คนไหนที่ไม่มีความละอายแก่ใจ มันจะพากันฉิบหาย มันไม่ได้ฉิบหายแต่ตัวเท่านั้นยังพาเพศตรงกันข้ามให้ฉิบหายไปด้วย เพราะมันอยากอยู่อย่างนั้นมันไม่ชอบเป็นอิสระมันอยากจะเขาไปเป็นลูกศิษย์ของพญามาร

    เพราะฉะนั้นธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าล้วนแต่เป็นเครื่องฟอก เป็นเครื่องทำจิตใจให้เป็นอิสระ เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์แท้ให้ประพฤติห่างไกลจากกามคุณจริงๆ แม้แต่ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจจะต้องสังวรอินทรีย์หมดทีเดียว พระที่ท่านเมตตาอาสวะเป็นพระอรหันต์แล้วท่านยังต้องสำรวมอินทรีย์เลยนับประสาอะไรกับพวกสกปรกโสมมปุถุชนนี้มันพวกมายาสาไถยทั้งนั้น จึงพูดให้รู้ให้รับฟังเอาไว้ส่วนใครจะสมัครอย่างไรก็สุดแท้ เพราะว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาสรรเสริญเยินยอกันมันเรื่องพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา เพราะไม่ได้ไปเอาอะไรที่ไหนมาพูดแต่มีความเชื่อมั่นอยู่ในคำสอนของพระศาสดาและต้องน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติอยู่ทุกเวลานาทีของชีวิตทีเดียวไม่ต้องตื่นเต้นตามใคร เพราะว่ามันไม่ใช่กระต่ายตื่นตูมมันต้องเป็นการคิดค้นด้วยสติปัญญาแท้จึงจะเป็นอิสระได้

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  12. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    จงรักษาจิตให้สงบ
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๑๕ ตุลาคม๒๕๑๕

    วันนี้เป็นวันปรารภเรื่องข้อปฏิบัติที่จะต้องมีการแนะนำกันในเรื่องทุกข์เรื่องกิเลสนี้เป็นสิ่งสำคัญแล้วก็เป็นของเฉพาะตัวด้วยกันทั้งหมด สำหรับกิเลสหยาบๆ เราก็พอจะรู้กันได้ทีนี้ถ้ากิเลสในขั้นกลางหรือขั้นละเอียดก็เป็นของรู้ยากแต่ก็ต้องอาศัยหลักคำขนาบที่พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ทุกข์ชี้โทษเอาไว้มากมายซึ่งล้วนแต่มีคุณประโยชน์เป็นอย่างยิ่งเพราะตามลำพังของสามัญชนที่มีกิเลสหนาปัญญาหยาบแล้ว จะไม่รู้สึกทุกข์โทษของกิเลสแม้ในขั้นหยาบก็ยังรู้ยากเลย ทีนี้ในขั้นกลางหรือขั้นละเอียดก็ยิ่งเป็นของยากมากฉะนั้นจึงต้องอาศัยคำขนาบของพระพุทธเจ้า เอามาเป็นเครื่องตรวจสอบตัวเองถ้าเป็นเชื้อโรคที่มันรู้ง่ายๆ เราก็ผ่านไปเสียทีนี้ในขั้นที่มันเน่าในเปียกแฉะนี้มันเป็นของรู้ยาก

    เพราะว่าเรื่องเน่าในนี้มันเป็นเรื่องของจิตที่มีการเศร้าหมองไปเพราะความรัก ความชัง หรือความชอบไม่ชอบอะไรเหล่านี้ เฉพาะคำว่า
     
  13. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ที่เตรียมพร้อมอยู่นี้ก็คือมีสติควบคุมอยู่เสมอรอบรู้จิตใจของตัวเองอยู่เรื่อยๆ โดยพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน ทำให้คลายจากความยึดมั่นถือมั่นอยู่เป็นประจำ เรื่องผิดถูก ดีชั่วตัวเรา ตัวเขา นี่ก็จะได้ผอมลงเรื่อยไป คือมันไม่ก่อรูป ก่อเรื่องมาปรุงแต่งให้จิตใจเร่าร้อนหรือเศร้าหมองไป เพราะความยึดมั่นถือมั่นแต่ประการใดถ้ามีความรู้สึกตัวได้อย่างนี้แล้ว ตลอดเวลาที่มีการอบรมมาในพรรษานี้ก็จะต้องมีการก้าวหน้าต่อไปอีก เพราะการควบคุมจิตใจนี่มันเป็นของสำคัญที่สุดเราจะต้องพยายามให้เต็มความสามารถอยู่เสมอแล้วก็จะเดินไปในแนวทางที่ถูกต้องได้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่จึงจะเป็นการปฏิบัติตามรอยของพระอรหันต์ถูกต้องเรื่อยไป ถ้าทำอย่างนี้ตลอดไปได้ก็เป็นอันว่าทุกข์โทษนานัปการมันจะลดน้อยถอยกำลังไปจิตใจนี้จะมีความเป็นอิสระสูงขึ้นมาได้ตามลำดับแล้วก็ควรพยายามอยู่ในเรื่องนี้เรื่องเดียวเรื่องอื่นๆ มันไม่สำคัญถ้าหากว่าเราไม่ไปสนใจกับเรื่องภายนอกแล้วความรู้ภายในนี่มันจะเป็นอิสระได้เรื่อยไปทีเดียวถึงแม้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาในลักษณะอย่างไรก็กวาดทิ้งไป ปล่อยวางมันเสียอย่าไปยึดมั่นถือมั่น แล้วทุกข์โทษทั้งหลายมันก็ดับสลายตัวไปหมดเพราะการปฏิบัติธรรมมันได้ดับทุกข์ดับโทษในชีวิตประจำวันได้อย่างงดงามทีเดียวนับว่ากินข้าวไม่เสียข้าวสุกแน่ เพราะว่ามันได้ความบริสุทธิ์ผุดผ่องทางกาย วาจาและจิตใจขึ้นมาแทน ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงเป็นของสำคัญยิ่งของชีวิตถ้าไม่มีการปฏิบัติธรรมแล้วทุกข์โทษทั้งหลายจะท่วมทับจิตใจสักขนาดไหนก็เป็นที่รู้กันอยู่ ตามที่ได้ผ่านมาแล้วแต่หนหลัง

    เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่จะก้าวหน้าไปสู่จุดหมายปลายทางคือความดับทุกข์นั้นมันเป็นของเฉพาะตัวด้วยกันทุกคนแล้วก็จะต้องพยายามให้เต็มสติกำลังทีเดียว ในขณะที่ยังมีโอกาสอยู่อย่าทำลายวันเวลาอันมีค่าของชีวิต ให้หมดเปลืองไปกับเรื่องไม่เป็นสาระเลยเพราะว่าเราต้องการจะทำให้วันเวลาของชีวิตนี้มีความสว่างรุ่งเรืองด้วยสติปัญญาซึ่งเป็นเครื่องดับทุกข์ดับกิเลสได้ตามสมควรแล้วก็ชักชวนหรือส่งเสริมกันให้ก้าวหน้าไปอย่างนี้ เรื่องอื่นๆ อย่าไปเกี่ยวข้องอย่าไปสนใจเลย เพราะเรื่องข้างนอกล้วนแต่เป็นเรื่องหลอกทั้งนั้นมันเป็นมายาทั้งหมดทั้งดีทั้งชั่วทั้งผิดทั้งถูก ถ้าไปเอาใจใส่เข้าแล้วมันจะยิ่งเน่าในเปียกแฉะมากขึ้นอีกก็ได้ เหมือนกับดินพอกหางหมูต้องระวังให้ดีทีนี้เราคอยขัดคอยชะล้างมันอยู่ ทำให้จิตใจนี้มีความสะอาดขึ้นมาได้ความเศร้าหมองขุ่นมัวอะไรมันก็ดับสลายตัวไปหมดแล้วเหลือแต่จิตที่มีความสงบหรือมีความว่างอยู่เดี๋ยวนี้แล้วก็รักษาสมรรถภาพของจิตอย่างนี้ ให้ติดต่อเอาไว้ทุกอิริยาบถทีเดียวถ้ามีการปรุงแต่งยึดถืออะไรขึ้นมาก็รีบปล่อยวางหรือกวาดทิ้งไปเสียอย่าไปเก็บเอามาไว้ให้มันรกอกรกใจถ้าหากว่าเราหมั่นกวาดหมั่นชะหมั่นล้างอยู่เสมอแล้ว สิ่งสกปรกนานัปการเหล่านั้นมันก็ดับสลายหายตัวไปหมดเหลือแต่สภาวะของจิตที่มีความสงบว่างอยู่เดี๋ยวนี้ได้ทุกๆขณะเหตุนี้การปฏิบัติธรรมมันมีผลพ้นทุกข์ได้ต่อหน้าต่อตาทุกขณะทีเดียว ทั้งๆที่เราจะต้องผจญกับกิเลสนานาชนิดที่มันเกิดขึ้น ในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง ก็ตามแต่ว่าถ้ารู้จักมองรู้จักพิจารณาให้เห็นในแง่ของความเป็นของว่าง ในรูป เสียง กลิ่นรส สัมผัส ทั้งหมดนี้ มันก็หมดเรื่อง เพราะว่าภาพของมายาทั้งหลายนี้ มันปรากฏเกิดๆดับๆ ไปตามเรื่องตามราวของมัน แต่เราอย่าไปยึดถือเท่านั้นมันก็หมดเรื่องเพราะฉะนั้นเรื่องราวอะไรทั้งหลาย ไม่ว่าเรื่องอดีต อนาคต มันจะสลายตัวไปทุกๆ ขณะไม่มีอะไรเป็นจริงเลย

    เฉพาะปรากฏการณ์ที่เป็นธรรมชาติของจิต ที่มีความว่างมีความสงบนี้ มันรู้ได้ เห็นได้ แล้วสภาวะอย่างนี้ก็ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาด้วยที่จะเห็นได้โดยปัจจัตตังเพราะฉะนั้นเราต้องเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งที่เป็นธรรมชาติภายในให้เป็นการรู้แจ่มแจ้งเอาไว้ให้ได้ส่วนมายาภายนอกมันก็เกิดๆ ดับๆ ไปตามสภาพของมันเท่านั้นแต่ภาวะที่เป็นความบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้นมันมีอยู่ข้างในเหมือนกับเรามีพระขัดเงาอยู่องค์หนึ่งถ้าหมั่นขัดไม่ให้มันเกิดสนิมแล้ว พระขัดเงาองค์นี้ก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสเพราะไม่มีสนิมเข้าจับ เมื่อหมั่นขัดให้ดีแล้วเราจะมีพระขัดเงาที่น่าไหว้น่ากราบอยู่ภายในจิตใจของเรานี่เองเพราะการที่ไปไหว้ไปกราบพระข้างนอกนั้น มันหลงไหว้หลงกราบันมามากมายแล้วทั้งนั้นสำหรับพระที่ขัดเงางดงามอยู่ในจิตใจนี้ยังไม่เคยรู้จักก็ควรรู้จักเสีย คือหมั่นขัดเงากิเลสออกไปแล้วจะพบเอง เพราะมันว่างมันสงบ มันบริสุทธิ์ได้นี่เองไม่ว่าจะเป็นขณะเล็กขณะน้อยก็ให้พบพระในใจเสียก่อนความที่ไปยึดถือพระข้างนอกนั้น มันจะได้หมดเรื่องไปเสีย ทั้งนี้เป็นปัจจัตตังถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะไปหลงพระข้างนอกนั่นมากกว่าและเที่ยวไปหาพระข้างนอกันหรือจะต้องสร้างพระกันใหญ่โตรโหฐานนั่นเอาไว้สำหรับหลอกคนโง่ที่แห่กันไปบูชา ไปกราบไปไหว้ พระที่สร้างด้วยอิฐด้วยปูนหรือด้วยทองเหลืองทองแดงอะไรก็สุดแท้ทีนี้โดยเฉพาะพระในใจนี้ไม่ต้องไปสร้างด้วยอะไรทั้งหมดแต่ขอให้เอากิเลสออกไปเสียก็พอ แล้วก็จะพบพระในใจถ้าใครต้องการจะพบพระในใจก็ต้องเพียรเผากิเลสและต้องคอยชำระชะล้างสิ่งสกปรกโสมมออกไปให้หมด อย่าไปยึดมั่นถือมั่นแล้วพระในหรือพระจิตนี้จะได้บริสุทธิ์ผุดผ่องโดยไม่มีการเร่าร้อนเศร้าหมองแต่ประการใดเลยฉะนั้นขอให้พยายามเข้าถึงพระที่สมมุติเรียกคือ พระใจหรือพระจิตนี่ดีกว่าอย่าไปหลงพระเปลือกนอกเลย เข้าถึงพระรัตนตรัยที่แท้จริงก็คือภายในนี่เองให้ชำระจิตให้หมดจดบริสุทธิ์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแม้ว่าจะมาตรัสรู้กี่พระองค์ก็ตาม ท่านก็มีความเจาะจงอยู่อย่างเดียวกันทั้งหมดคือไม่ให้ทำบาป ทำกุศลให้เข้าถึงพร้อม แล้วก็ชำระจิตของตนให้ขาวรอบผ่องแผ้วทั้งสามข้อนี้เท่านั้นเป็นคำสอนโดยเฉพาะของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวงที่ทรงสอนอย่างเดียวกันทั้งหมดแล้วเราก็ได้มาปฏิบัติจนกระทั่งมีการชำระจิตของตนให้หมดจดบริสุทธิ์ได้ตามสมควรแก่สติปัญญาแล้วเราก็พบเข้ากับพระในใจนี่เอง พระข้างนอกก็เลยยกเลิกไปหมดถึงจะกราบไหว้ก็กราบไปตามระเบียบเท่านั้นเองแต่ว่าไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องพระข้างนอกเมื่อได้รู้จักพระข้างในทั่วถึงแล้ว มันก็หมดเรื่องหลอกกันเสียทีถ้าไม่พบแล้วมันถูกหลอกเรื่อยไปต่างคนต่างหลอกกันแล้วก็ต่างคนต่างยึดมั่นถือมั่นเอาแต่เรื่องข้างนอกทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้นจึงต้องปฏิบัติเพื่อให้พบพระข้างในเสียดีกว่าหมั่นชะล้างจิตใจให้ขาวให้สะอาดขึ้นมาให้ได้และคอยรักษาจิตในขาวรอบอยู่ทุกอิริยาบถทีเดียวแล้วก็จะรู้สึกได้ด้วยใจจริงไม่ว่าขณะไหน ควรเอาเฉพาะอย่างเดียวเท่านั้นถ้าหลายอย่างแล้วมันจะพาเชือนแชไปทั้งนี้ต้องคอยพิจารณาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เช้าไปจนกระทั่งกลางคืนเพราะว่ามันเป็นโอกาสที่ฝึกได้ตลอดเวลา นอกจากจะนอนหลับไปเท่านั้นฉะนั้นเราจะต้องมีการควบคุมรักษาจิตไว้ให้ดีที่สุด ที่จะทำได้เมื่อรักษาไว้ได้ก็ย่อมมีความสะอาดหมดจดภายในจิตใจของเราเองทั้งนั้นถ้าเราไม่ควบคุมไว้ให้ดีแล้ว พวกกิเลสนี่มันเหมือนกับโจรผู้ร้ายมันจะเข้ามาปล้นเอาไปเสียหมด เพราะเหตุนี้การรักษาศีลก็ไม่ใช่อะไรก็คือการรักษาจิตให้มันบริสุทธิ์ครบถ้วนทั้ง กาย วาจา นั่นแหละ

    ถึงแม้ว่าการทำสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องอื่นเหมือนกันก็เป็นการทำให้จิตนี้มีความสงบมีความตั้งมั่นเพื่อไม่ให้กิเลสมันเข้ามาเผามาปรุงเอาแล้วการมีสติปัญญาก็ไม่ใช่เรื่องอื่นอีกเช่นกันก็คือเครื่องพิจารณาทำลายทุกข์โทษของกิเลสตัณหานานัปการที่มันจะเกิดขึ้นเพราะเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ก็ล้วนแต่เป็นเครื่องมือสำหรับที่จะทำลายกิเลสทั้งหมดตั้งแต่ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียดเรื่อยไป ไม่ใช่เป็นไปเรื่องอื่นเลยทั้งนี้มันเป็นการปฏิบัติที่ตรงไปตรงมาอยู่ในตัวเองเท่านั้นแต่ว่าต้องมีความรอบรู้หลายๆ อย่างเพราะเรื่องกิเลสนี่มันมีหลายอย่างหลายลักษณะเด้วยกันแล้วมันก็มีมายาที่หลอกลวงหลายอย่างเหมือนกันด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้สติปัญญาเป็นพี่เลี้ยงของจิตหรือเอาสติปัญญานี้มาเป็นกัลยาณมิตรของจิตเอาไว้ให้มากเป็นพิเศษนอกจากนั้นก็เอามันเป็นคนใช้ก็ได้แต่ในฐานะที่ยังต้องพึ่งสติปัญญานี่จะต้องทำให้เจริญขึ้น โดยจะต้องมีการเพียรเพ่งพิจารณารู้จักดับทุกข์โทษของกิเลสที่มันเกิดขึ้นไม่ว่าขณะไหนแล้วตัวเองนี่จะได้รู้ว่าเป็นฝ่ายแพ้ หรือเป็นฝ่ายชนะทั้งนี้จะต้องสอบสวนอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเรื่องการปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี้ที่เราได้ฝึกกันมาเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีก็สุดแท้ต้องรู้สึกได้ว่าการปฏิบัติมันได้ทำลายทุกข์โทษของกิเลสตัณหาอุปาทานให้ลดน้อยลงไปได้หรือไม่แล้วควรจะพยายามก้าวหน้ากันต่อไปอย่างไร ตลอดเวลาทั้งกลางคืนกลางวันโดยเฉพาะการอยู่คนเดียวนี้นับว่ามีประโยชน์มากกว่าการอยู่สองคนเพราะมันทำให้รู้เรื่องภายในละเอียดดีแต่สำหรับการอยู่คลุกคลีแล้วมีอันตรายมากที่สุดถ้าไม่ฉลาดแล้วมันจะตกหล่มจมเหวจมไฟไปด้วยกันทั้งนั้นเลยเพราะว่าการคลุกคลีนี้แม้แต่พระอริยเจ้าที่ท่านสิ้นอาสวะแล้วก็มีความรักเกียจนักหนาทีเดียว

    ฉะนั้นเราต้องอยู่ในฐานะผู้ประพฤติพรหมจรรย์ให้สมแก่เป็นผู้ประพฤติธรรมควรอยู่ในลักษณะที่มีความเป็นอิสระของตัวเองให้มากอย่าได้มีเรื่องดีชั่วตัวตนอะไรเข้ามาพูดเข้ามาเสนอเลยเพราะเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องสัพเพเหระซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่สมควรจะเอามาพูดจะเอามาคุยกันต้องปิดประตูดูข้างในได้เป็นการดีที่สุดจึงเป็นการเหมาะสมสำหรับผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ดับกิเลสของตนเองโดยเฉพาะแล้วก็จะมีความก้าวหน้าไปได้อย่างเรียบร้อยและพ้นจากอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม

    โดยเฉพาะเพื่อนที่เลวที่สุดนั้นคืออะไรเราจะต้องรู้จักมันเสียให้ดีต้องรู้ว่าปาปมิตรนั่นคือกิเลส และปาปมิตร ก็คือ คนพูดชั่ว ทำชั่วเหล่านี้ถ้าเราห่างไกลจากคนชั่วหรือจากสิ่งที่แวดล้อมด้วยกิเลสนานาชนิดแล้วเราก็เป็นผู้เดินตามรอยของพระอริยเจ้าถูกทางยิ่งขึ้นเนื่องจากว่ารู้จักหลีกพ้นทางของยักษ์ของมารและของปีศาจสารพัดอย่างนี่แหละเราเลือกเดินแต่ทางที่จะทำลายทุกข์โทษของกิเลสตัณหานานัปการให้หมดแล้วก็เดินตามแนวทางของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงชี้ไว้ให้เดิน

    คือให้มีความเห็นชอบ หรือดำริชอบ วาจาชอบ ทำการงานชอบเลี้ยงชีพชอบ มีความเพียรชอบ มีสติชอบ มีความตั้งใจไว้ชอบอย่างนี้เป็นแนวทางที่เดินกันได้แล้วก็เป็นไปเพื่อความเรียบร้อยราบรื่นไปทั้งนั้นไม่ต้องมีเรื่องอะไรรบกวน เมื่อมีเรื่องราวรกรุงรังเราก็ต้องพยายามกวาดทิ้งเรื่อยไป จึงจะทำให้ชีวิตนี้หลุดรอดออกมาเป็นอิสระได้ว่างได้ สงบได้ เท่านี้ก็ยังนับว่าวันเวลาของชีวิตนั้นไม่เป็นหมันเพราะทำให้สว่างไสวขึ้นมาได้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วมันจะตกหล่มจมเหวจมไฟอยู่ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ ไม่สมเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเลยมีแต่การทุศีลตลอดเวลา จะพูดจะจาอะไรก็ไม่มีมารยาทของคนประพฤติปฏิบัติเพราะมันเป็นการทำตัวของตัวเองนี้ให้ตกหล่มจมเหวจมไฟอยู่แล้วก็เข้าใจเอาเองว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม หรือตัวเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์อย่างนี้มันเป็นความหลงของตัวเองเพราะเป็นความบ้าหลังของตัวเองที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองนี้ยังตกหล่มจมปลักอยู่ในอะไรแล้วก็ไม่ได้แก้ไขให้ดีขึ้นมีแต่เลวลงอย่างนี้นี่มันก็เป็นเครื่องแสดงอยู่ในตัวแล้ว มันเป็นเรื่องตกหล่มจมปลักอยู่ในตัวทีเดียวถึงจะสวมเครื่องแบบไปจนตายมันก็อยู่อย่างนี้เอง ไม่มีอะไรดีขึ้นแต่ทางที่จะดีขึ้นนั้นมันต้องรู้สึกตัวด้วยสติปัญญาต้องเปลี่ยนแปลงกลับนิสัยใจคอเดิมได้เรื่อยไปทีเดียวแล้วก็รู้จักรังเกียจทุกข์โทษนานัปการ ทั้งที่ตัวเองแต่ก่อนไม่เคยเห็นทุกข์โทษพอได้มีการพิจารณาตัวเองเข้า มันก็เห็นทุกข์โทษละเอียดเข้าทุกทีแล้วก็ได้ชะล้างให้จางคลายออกไปเรื่อยๆถ้าใครเป็นผู้มีความประพฤติอย่างนี้นั่นแหละจึงจะเป็นกัลยาณมิตรของกันและกันได้ แต่ถ้าตรงกันข้ามก็เรียกว่าเป็นคนทุศีลหากใครเข้าใกล้สมาคมกับคนทุศีลแล้ว คนๆ นั้นก็จะกลายเป็นทุศีลไปด้วยถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประพฤติตามก็ยังได้ชื่อว่าคนๆ นั้นมีเพื่อนชั่ว มีเกลอลามกเรื่องนี้พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะต้องระวังให้ดีว่าการมีเพื่อนชั่วหรือมีมิตรลามกสกปรก นั่นแหละเป็นเครื่องหมายของคนทุศีลทั้งนั้นต้องกลัวให้มาก ต้องละอายให้มากที่สุด

    เพราะการทำตนเป็นคนทุศีลนี้มันชั่วช้านักมันไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ก็เข้าใจเอาเองว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์มันเน่าในเปียกแฉะดุจบ่อเทขยะมูลฝอยก็กลับมาเข้าใจว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์อย่างนี้มันผิดหมดทั้งนั้นเพราะฉะนั้นมันต้องตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบแล้วสอบอีกเฉพาะสันดานของตัวเองนี้ไม่ใช่เป็นของรู้ได้ง่ายนักแต่ได้อาศัยคำขนาบของพระพุทธเจ้าต้องเอามาขนาบตัวเองซึ่งจะต้องขนาบแล้วขนาบอีกเพื่อให้มันลดจำนวนทิฏฐิมานะ หรือกิเลสหยาบๆที่มันเป็นความรุนแรงขึ้นมาในลักษณะต่างๆ แล้วก็ให้รู้สึกกลัวและให้ละอายที่สุดถ้าไม่มีความกลัวหรือว่าไม่มีความละอายแล้ว ก็จะกลายเป็นคนดื้อด้านที่สุดเมื่อไม่กลัวทุกข์โทษสารพัดอย่างแล้ว ก็จะทำได้ จะพูดได้ จะคิดได้ตามนิสัยของคนชั่วนั่นเองเพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมะถ้าเข้าถึงจิตใจของใครแล้วจะคุ้มครองไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่วได้ แต่ถ้าไม่มีธรรมะแล้วมันสกปรกโสมมจมโคลนอยู่ตลอดเวลากินข้าวก็เสียข้าวสุกเพราะว่าไม่ได้ทำคุณงามความดีให้คุ้มค่าของข้าวสุกการที่ได้กินเข้าไปนี้ก็เพราะผลความประพฤติดี ประพฤติชอบแล้วก็เป็นผลกำไรของชีวิตประจำวันด้วย ทำให้ไม่มีหนี้สินที่จะติดตัวไปอีกจึงเป็นการใช้หนี้เสร็จไปในตัว

    เพราะว่าการประพฤติให้มีศีลบริสุทธิ์เป็นขั้นต้นแล้วก็มีความควบคุมจิตใจให้มีความสงบ ไม่ให้แส่ส่ายไปในลักษณะต่างๆ ได้นี่ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสำหรับที่จะพ้นทุกข์ของตัวเองทั้งนั้นเราจึงต้องสนใจให้มากเป็นพิเศษในเรื่องข้อปฏิบัตินี้ไม่ใช่ทำอย่างสะเพร่าประเดี๋ยวก็รู้ดีรู้ถูกประเดี๋ยวก็ไปหาเรื่องยึดถืออะไรต่ออะไรขึ้นมาวุ่นวานส่ายแส่ไปต่างๆ นานานั่นมันเป็นลักษณะของคนบ้า ถ้าเป็นคนดีมีสติแล้วทุกข์โทษนี้จะน้อยลงไปแม้ว่าจะผิดบ้างก็ยังพอรู้ตัวได้ ยังแก้ไขตัวเองถูกแล้วก็พยายามอยู่เสมอที่จะรักษาจิตใจให้มีความสงบและรู้จักระมัดระวังกิริยามารยาทให้สมแก่เป็นผู้ปฏิบัติจึงจะทำวันเวลาของชีวิตให้มีความสว่างไสวขึ้นมาได้ สิ่งไหนที่เป็นทุกข์เป็นโทษก็ตรวจดูทุกขณะที่จะเกิดขึ้นแก่จิตใจตัวเอง แล้วก็พยายามที่จะสะสางปัญหาชีวิตนี้ให้มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งขึ้นเสมอถ้าทำได้อย่างนี้ก็สมแก่ชีวิตที่มีการปฏิบัติธรรมแท้แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกตัวเองอย่างนี้ มันทำทุกข์โทษให้แก่ตัวเองมากมายเหลือประมาณย่อมจะทำให้ชีวิตของตัวเองตกต่ำเรื่อยไปแล้วยิ่งจะทำให้วันเวลาของชีวิตนี้สะสมเชื้อโรคจัดเข้าทุกทีแทนที่จะเป็นวันคืนของความสว่างมันกลับมืดมิดไปแล้วก็คิดดูเอาเองก็แล้วกัน

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  14. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ธรรมโอสถ
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๓๐ กันยายน ๒๕๑๕

    วันนี้จะพูดถึงเรื่องการไหว้พระ เพราะว่าเป็นประเพณีมาแต่โบราณกาล ซึ่งถือว่าเป็นกิจวัตรสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นการกระทำพอเป็นพิธีแต่ประการใดเลย แต่คนส่วนมากมักจะมองข้ามกันไปเสีย ไม่ได้เอาใจใส่ที่จะศึกษาให้รู้เรื่องจริงอันเป็นเนื้อแท้ของธรรมะที่มีอยู่ภายในบทสวดมนต์นั้นเลย ทั้งยังมีคนไม่เข้าใจก็มากมาย แม้แต่เด็กๆ อายุ ๓ ขวบก็ว่านะโมได้ แต่ว่าสำหรับคนแก่อายุตั้งแปดสิบที่ไม่เคยสนใจกับการสวดมนต์มาก่อน ก็ยังไม่รู้เรื่อง
     
  15. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ปรารภกับแขก
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕

    วันนี้เป็นวันที่เจ้าภาพได้มาบริจาคทาน การบริจาคทานเป็นการเสียสละ ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติธรรม สำหรับท่านเองก็มีจิตใจเป็นธรรมะอยู่แล้ว แล้วการเสียสละเพื่อธรรมะก็อย่างเดียวกันอีก ฉะนั้นเรื่องธรรมะจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งของทุกรูปทุกนาม ถ้าไม่มีธรรมะเป็นเครื่องปกครองจิตใจแล้ว จะหาความสุขไม่ได้แน่นอนทีเดียว จึงต้องสนใจที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมะกัน ให้เป็นเครื่องรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมะนี่เป็นเครื่องดับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวัน และทำให้เกิดพลังทางกาย หรือทางจิต สามารถที่จะดับทุกข์ ดับกิเลส ได้ตามลำดับ เพราะความรู้สึกของสติปัญญา มันมีอำนาจมาก สำหรับที่จะพิจารณาตัวเอง ทุกแง่ ทุกมุม ไม่ว่าจะเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งอะไรจะต้องพิจารณาปลงตกปล่อยวาง ไม่มีการยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปแล้ว ความสงบของจิตก็มีได้เอง แต่ถ้าเราไม่พิจารณา หรือปล่อยวาง จิตใจนี่จะวุ่นมากกว่าว่าง

    โดยเฉพาะผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในกิจการงานอะไรทั้งหมด ก็ทำเพื่อธรรมะเท่านั้นเอง เพราะว่าเรื่องของธรรมะนี่กระจายทั่วไป ในบรรดาเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย ก็จะต้องรู้คุณค่าของธรรมะด้วยใจจริง เพราะเป็นเครื่องรู้ได้ว่า จิตใจของเรามีความสงบ มีความว่าง ไม่ว่าขณะไหน เรียกว่ามีธรรมะทุกขณะไปหมด ถ้าเรารู้จักรักษาจิตใจของเรา ให้ดำรงอยู่ในความสงบหรือความว่างตามสมควรแล้ว การได้อะไรก็ไม่ประเสริฐเท่า เพราะสิ่งที่ได้มาจากภายนอกนั้น ก็เป็นแต่เพียงอุปกรณ์ของการปฏิบัติเท่านั้นเอง ส่วนเนื้อแท้ของการปฏิบัติต้องอยู่ที่จิตใจทั้งหมด ฉะนั้นจิตที่มีสติปัญญา พิจารณาให้เห็นโลกตามความเป็นจริงแล้ว ก็เรียกว่าอยู่ในโลก โดยความสงบไม่หลงโลก ไม่ติดโลก แต่เป็นการใช้ชีวิตจิตใจให้เป็นประโยชน์ ทั้งตนเองและทั้งคนอื่นได้ แล้วความเจริญของอายุ คือผู้ที่มีธรรมะต้องเจริญอายุบรรลุธรรมเรื่อยไป ทุกวัน ทุกเวลา จะเดินตามรอยของพระอรหันต์ ชนิดที่เราจะต้องคุ้มครองจิตใจของเรา ให้อยู่ในความสงบ วันหนึ่งคือหนึ่งเรื่อยไป เป็นการตามรอยของพระอรหันต์ได้ โดยเฉพาะ กาย วาจา จิต ก็จะมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องได้จริงๆ แล้วผลอันประเสริฐมันอยู่ที่นี่แท้ๆ ทีเดียว เพราะว่าเราไม่ได้มุ่งเอาผลภายนอก แต่มุ่งที่จะดับทุกข์ ดับกิเลสภายในจิตใจของเราเอง ให้ได้ผลดีขึ้นทุกวี่ทุกวันทุกเวลาไป และผลอย่างนี้เรามีเงินก็ซื้อใครไม่ได้ มันเป็นผลประเสริฐสุดอยู่ที่จิตใจ

    เรื่องทุกข์ เรื่องกิเลสนี่เราก็รู้ฤทธิ์ รู้เดชด้วยกันทุกคน เราจึงต้องปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ดับกิเลส ให้รวมจุดหมายอย่างเดียวกันทั้งหมด เพราะเป็นความรู้สึกด้วยใจจริงที่ได้มองเห็นคุณค่าของธรรมะในด้านจิตใจ มันมีรัศมีที่จะแผ่ออกไปได้ หรืออาจจะเรียกร้องให้คนอื่นมาดูได้ ว่าธรรมวินัยของพระศาสดามีความรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีปจริงๆ เพราะความสว่างด้วยสติปัญญาภายในจิตใจของเราเองเป็นเครื่องรู้ได้ และได้เห็นข้อเท็จจริงของอารมณ์ทั้งหลาย ที่เป็นเหยื่อโลกทุกๆ ชนิด จะรู้ได้ว่านี่มันไม่น่าหลงไม่น่าเพลิดเพลินเลย เรามีสติปัญญาจึงได้มองเห็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดกว่าสิ่งใดๆ ในโลก สิ่งนั้นก็คือสภาวะจิตที่ว่างจากกิเลสนั่นเอง หรือว่าเป็นความสะอาด ความสงบ ก็อย่างเดียวกัน ฉะนั้นเราจึงกำลังเผชิญหน้าอยู่กับธรรมะ แม้ว่าจะเป็นขั้นธรรมดาที่ยังทำกิจการงานประจำวัน ส่วนการปฏิบัติธรรมะในด้านจิตใจจะต้องมีได้ถึงกันหมด จึงจะทำให้ชีวิตประจำวันมีคามเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ก็เพราะธรรมะทั้งนั้น นอกจากนั้นก็ถือว่าเป็นเครื่องอาศัยเท่านั้น แต่สิ่งที่เราต้องการก็คือ ต้องการเนื้อแท้ของธรรมะอย่างเดียว เพราะสิ่งที่เป็นของหลอก ของลวง ของปลอม เรารู้แล้ว เราก็ไม่หลง แม้เรากำลังใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ เราก็ใช้ในฐานะเป็นเครื่องอาศัย เพราะว่าสติปัญญาของเรามีพอที่จะคุ้มครองจิตใจให้เป็นอิสระได้ ให้มันว่างจากกิเลสให้ได้ เพราะยิ่งพิจารณามองดูโลก ที่กำลังลุกโพลงๆ อยู่ด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือว่าลุกโพลงๆ อยู่ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่กำลังร้อนระอุอยู่ทั้งหมดก็ตาม แต่เราอยู่ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะว่าเรามีธรรมะนั่นเอง

    ถ้าเราอยู่ในความว่างเปล่าหรือความสงบได้ ก็เรียกว่าเป็นการอยู่ในโลกด้วยความเป็นอิสระ แล้วก็เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ เสร็จอยู่ในตัวเอง แม้จะไม่มีการอยากได้ อยากปรารถนา แต่สิ่งเหล่านี้มีขึ้นมาตามธรรมชาติของมัน เพราะสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย มันไม่มีฤทธิ์อำนาจอะไร ที่จะจูงใจให้ไปหลง ไปติด มันก็เลยเป็นทาสสำหรับให้เราใช้ จิตใจก็เป็นอิสระได้ด้วยเหตุนี้ ฉะนั้นการมีชีวิตอยู่ในโลก จะต้องอยู่อย่างมีอิสรเสรีให้มากที่สุดที่จะมากได้ โดยไม่ต้องไปหลงเหยื่อโลกทุกๆ ชนิด สำหรับผู้มีสติปัญญาแล้วจะต้องอ่านโลกออก เมื่ออ่านโลกออกแล้วก็ไม่ถูกหลอกนั่นเอง ไม่ว่าใคร ถ้ายังอ่านโลกไม่ออก ยังเห็นว่าเที่ยง สุขตัวตนแล้ว ก็จะถูกดึงไปสู่ความทุกข์นั่นเอง ถ้าอยู่ในโลก โดยไม่ติดโลก ไม่หลงโลก จะเป็นชีวิตที่มีอิสระได้ด้วยอาการอย่างนี้

    ฉะนั้น ตามบรรดาท่านผู้รู้ทั้งหลายไม่ว่าใคร จะต้องอยู่ในโลกโดยความเป็นอิสระด้วยกันทั้งหมด ไม่เลือกว่าเป็นเพศไหน หรือแต่งเครื่องแบบอะไร เพราะสัมมาทิฏฐิมีความเห็นชอบตามทำนองครองธรรมแล้ว พวกมิจฉาทิฏฐิมันจะลบเลือนหายไปมีแต่ความเห็นชอบประกอบไปด้วยเหตุผล แล้วอะไรมันจะมาจูงไปได้ ที่จูงไปนี่ก็เพราะมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด เราก็สอบตัวเองได้ว่า ในขณะไหนที่มีความเห็นผิดไปยึดมั่น ถือมั่น อะไรขึ้นมา มันเป็นการรู้สึกได้ทันที แล้วก็มีสัมมาทิฏฐิ มองเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็ไม่ยึดมั่น ถือมั่น อย่างนี้จะกลับตรงกันข้ามอยู่เรื่อยไป ถ้าเรามองดูโลกด้วยสติปัญญาแล้ว มีแต่ความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดออกไปเรื่อยทีเดียว ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องวัตถุ ที่มันมีอย่างวิจิตรพิสดารอะไร มันล้วนแต่ไม่เที่ยงทั้งนั้นเลย ไม่ต้องการอะไรมาก แล้วจิตใจของเรานั้นว่างมากกว่าวุ่น มันเย็นมันไม่ร้อนเร่าเศร้าหมอง เพราะธรรมะที่มีในจิตใจของท่านผู้ใดแล้วเป็นยาหอมชูกำลังขนาดเอกทีเดียว ที่ได้พิจารณาปล่อยไปวางไป จิตก็ว่าง ก็สงบได้ตามสมควร

    ฉะนั้นการพบปะและได้ปรารภธรรมะกันนี้ นับว่ามีคุณค่าของการสนทนากันเพราะเราไม่ต้องการอย่างอื่น มีแต่จิตใจตรงกันในเรื่องของธรรมะ แล้วเห็นคุณเห็นประโยชน์ของธรรมะด้วยใจจริง เราจึงปรารภธรรมะสู่กันฟัง ถ้าแม้จะอยู่ไกล แต่ว่าใจที่มีธรรมะ ก็เหมือนอยู่ใกล้ๆ กัน โดยเฉพาะมีจิตใจร่วมกันในการกุศล ถึงจะมีความทุกข์อะไรเกิดขึ้น เราก็รู้จักพิจารณาปล่อยวางทุกข์ แล้วเราก็พ้นทุกข์ได้ มันพ้นทุกข์ได้ทันตาเห็น เพราะสติปัญญาของผู้มีธรรมะนี่ช่วยเหลือได้รอบข้าง ไม่เลือกกาลเลือกเวลาทั้งหมด ความอัศจรรย์จริงของธรรมจึงเป็นยอดเยี่ยม ไม่มีอะไรจะเทียมเท่าเลย เป็นการทำให้จิตใจเปลี่ยนสภาพไป จากความเร่าร้อนมาเป็นเยือกเย็น จากความวุ่นมามีความว่าง แล้วก็มีความสงบ มีความสะอาด เป็นความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ภายใน เหมือนกับเรามีพระขัดเงาอยู่องค์หนึ่ง เราหมั่นขัดอยู่เสมอ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน รอบรู้จิตใจของเราอยู่เป็นประจำ ทำให้เรามีพระขัดเงาที่น่าไหว้น่ากราบ ก็คือจิตใจของเราเอง

    ฉะนั้นเรื่องพระนี่ต้องอยู่ข้างใน อยู่ภายในจิตใจแล้วจะคุ้มครองได้ทุกขณะไปหมด ไม่ว่าจะมีความทุกข์มา ในลักษณะอย่างไร พระในใจก็จะสงบได้ ว่างได้ เย็นได้ ถ้าเรามีพระในใจได้ทุกคนแล้ว ชีวิตของเราเกิดมาในเที่ยวนี้จะต้องประสบเข้ากับความพ้นทุกข์ และกว่ามันจะเด็ดขาดไปได้ เพราะเวลานี้เราจะต้องอดทนต่อสู้ไปก่อน ปล่อยวางเรื่อยๆ ไป แล้วหนทางที่จะข้ามฟากไปฝั่งข้างโน้น มันก็ใกล้จุดหมายปลายทางไปเอง เพราะมันต้องอดทนต่อสู้ทั้งนั้น ไม่ว่าอารมณ์ภายนอกภายในอะไรทั้งหมด เราต้องพยายามแล้วพยายามอีก ที่จะพิจารณาปล่อยวางมันให้ได้ เพื่อความเป็นอิสระภายในจิตใจของตนเอง เพราะว่าเราไม่ต้องการสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง เราเชื่อแน่แก่ใจของเราเองโดยที่ไม่ต้องเชื่อตามใครเลย เพราะสติปัญญาที่ได้พิจารณาเห็นความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน นี่มองทะลุไปหมด มองทะลุโลกโดยความเป็นของว่างไปเลย แม้จะต้องเผชิญหน้าอยู่กับอารมณ์ ที่เป็นเครื่องยั่วยวนกวนใจสักเท่าไรก็ต้องพยายามมองทะลุมันให้ได้ ปล่อยวางมันให้ได้ มันไม่มีอะไร ทุกๆ ขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง มันก็สักแต่ฟัง แต่ในที่สุดแล้วมันไม่มีอะไร มันดับไปหมดจริงๆ ที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็คือจิตว่าง จิตสงบ ที่เผชิญหน้าอยู่นี่ ถ้าเรารู้จักจิตใจของเราเอง ในลักษณะมีความว่าง ความสงบ อยู่ในตัวเองแล้ว เราจะเดินตามรอยของพระอรหันต์ถูกต้องอยู่ในตัวของเราทั้งหมดเลย ฉะนั้นเราพยายามกันอย่างนี้ดีกว่าว่าเราจะไปเดินตามใครไม่ได้ เพราะคนก็ยังมีกิเลสอยู่ทั้งนั้น ควรเดินตามพระอรหันต์ที่ท่านหมดกิเลสดีกว่า เราก็จะมีการดับทุกข์ดับกิเลสได้ เดินตามรอยของพระอรหันต์อย่างเดียวกัน มีธรรมะเป็นสรณะเป็นที่พึ่งอย่างเดียวกัน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องข้างนอกเลย มันเรื่องข้างในแท้ๆ ทีเดียว เพราะฉะนั้นบรรดาพี่น้องในธรรม ที่ได้มีความรู้ความเห็นตรงกันในเรื่องของธรรมะ มีการปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระศาสดาร่วมกัน การมีชีวิตอยู่ในโลกต้องรู้สึกได้ด้วยตนเองว่า จิตใจที่มันเหนือทุกข์ได้นั้นมันไม่หมกมุ่นวุ่นวายไปกับทุกข์ก็จะต้องรู้แล้วว่า นี่เป็นการถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยตนเองจริงๆ เพราะว่าไม่ต้องการเอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย มีที่พึ่ง มีเกาะ มีฝั่งอยู่ ภายในจิตใจเสร็จไปเลย

    ฉะนั้น เรื่องเปลือกๆ นี่เราก็อาศัยมันไปชั่วคราวเท่านั้นเอง แล้วในที่สุดก็ทิ้งหมดไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์กับมันอีกแล้ว ข้อสำคัญก็คือต้องซักฟอกจิตให้มันขาวให้ได้ ถึงแม้มันจะสกปรกอยู่กับสิ่งอะไร เราหมั่นซักฟอกมันก็สะอาด แล้วมันก็บริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่เรื่องจะไปต้องการอะไรที่ไหน การที่จะมองย้อนเข้ามาหาจิตใจของเราเองทุกๆ ขณะนั้น ให้มองรู้จักลักษณะของจิต ที่มันมีความว่าง ความสงบภายในตัวเองได้ แล้วก็ต้องรู้ได้ด้วยตนเองว่า การมองสิ่งอื่นๆ มันไม่มีประโยชน์อะไร สมมุติว่าเขาจะสร้างโลกภายนอกให้วิจิตรพิสดารไปเท่าไรๆ มันไม่มีคุณค่าอะไรที่จะไปมองวัตถุภายนอก ทีนี้ถ้าเรามองทะลุเข้ามาภัยในจิตใจของเรา ว่ามีลักษณะว่างอย่างนี้เอง สงบอยู่อย่างนี้เอง ถ้ารู้ด้วยสติปัญญาของเราแล้ว ก็ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภายในจิตใจของเราเองทั้งหมด แล้วก็มีการคุ้มครองตัวเองให้เป็นอิสระได้แล้วอย่างนี่จะไปหาที่พึ่งที่ไหน เพราะผู้ถึงที่พึ่งข้างในแล้ว มันหมดที่พึ่งภายนอกไปเอง ถายังไม่ถึงที่พึ่งภายใน ก็ต้องแสวงหาที่พึ่งภายนอก ฉะนั้นมันจึงเป็นของหลอกๆ อยู่ แต่ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสาระอะไร ต้องทิ้งหมด ต้องปล่อยหมด ต้องวางหมด เราก็มีที่พึ่งขึ้นมาเอง โดยที่ไม่ต้องไปยึดถือ มันเป็นปัจจัตตังอย่างนี้ เพราะพระธรรมนี้ต้องรู้ได้ด้วยตนเองไม่ว่าใคร แต่มันต้องรู้ได้ด้วยสติปัญญาเท่านั้น

    การรู้จักการศึกษาตามตำรานั้นอย่างหนึ่ง แล้วก็นำมาประพฤติปฏิบัติ จนเห็นผลประจักษ์ด้วยใจจริงนี้เป็นขั้นที่ทำให้ดับทุกข์ดับโทษได้ แล้วมีแต่จะก้าวหน้าไปฝั่งโน้นเรื่อยไป เพราะว่าฝั่งนี้มันทุกข์นักทุกข์หนา ร้อนแล้วร้อนอีกวุ่นวายกันมากนัก ฉะนั้นเราจึงต้องพากเพียรพยายามที่จะว่ายข้างฟากไป แม้มันจะต้องทวนกระแสคลื่นลมอะไรบ้าง ก็ต้องใช้กำลังทั้งหมดว่ายข้ามกระแส เพื่อตามรอยของพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านต้องฝ่าคลื่นลมไปเพื่อให้ทะลุถึงฝั่งโน้น ทีนี้เราก็ต้องตามรอยของท่าน เพราะถ้าเราไม่ได้ตามรอยของพระอรหันต์แล้ว เราจะต้องจมอยู่ในฝั่งนี้ และต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุดได้

    ฉะนั้นในชาติปัจจุบันนี้ เราต้องพยายามพิจารณาปล่อยวางเรื่อยไป โดยที่ไม่ต้องไปรอเอาข้างหน้า ข้างโน้น เอาแต่เรื่องปล่อยวาง มันจะได้เป็นการใกล้ฝั่งโน้นเข้าไปจะได้ออกห่างจากโลกีย์ข้ามไปสู่โลกุตตระ แม้ว่าเราจะไม่เอาชื่อมาเรียก แต่ว่าจิตใจของเรานี้ เบื่อหน่ายคลายกำหนัดออกไปเรื่อยๆ แล้วนั่นแหละเป็นรัศมีของการมองเห็นฝั่งข้างโน้นขึ้นมาแล้ว เพราะทุกครั้งทุกคราวที่เบื่อหน่ายคลายกำหนัดออกไปนั้น นี่มันได้ฟอกออกไปแล้ว มันคลายจากเครื่องย้อมไปแล้ว แม้ว่ายังไม่หมดจดสิ้นเชิง แต่ว่ามันคลายออกๆ เรื่อยไปทีเดียว ซักฟอกจิตใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่องเรื่อยไป แล้วนี่มันเป็นทางๆ เดียวจริงๆ ไม่มีทางอื่นใดที่จะพ้นไปได้เลยจากสังสารวัฏนี้ จะต้องซักฟอกตัวเอง ใช้สติปัญญาของตัวเอง น้อมนำเอาธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า มาพินิจพิจารณาเรื่อยไป ทำตั้งแต่ขึ้นต้นจนถึงขึ้นสุด ก็ล้วนแต่พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็ปล่อยวางไป ปล่อยวางไปเรื่อยๆ ทีนี้เมื่อเราเดินถูกทางมันเป็นไปเอง เราจะไม่ตั้งใจไป มันก็ไปได้เอง เพราะว่าที่ปล่อยวางเรื่อยๆ นี่เอง มันจึงก้าวหน้าไปเองได้ เป็นความอัศจรรย์ของธรรมะอย่างนี้เสียด้วย เพราะว่าเรื่องการพิจารณาให้รู้ความจริงแล้วปล่อยวางได้ เราจะสืบทราบได้ว่าจิตใจนี่มันไม่มีความโลภ คือ มันไม่ได้คับอกคับใจอะไรเลย มันเปิดโล่ง มันโล่ง มันโล่งอกโล่งใจ ถ้าเราพบเข้ากับภาวะของจิตที่มันว่าง มันโปร่ง มันโล่ง แล้วก็นั่นแหละจะต้องก้าวไปเอง เพราะความชุลมุนวุ่นวายนี่มันทนไม่ไหวเสียแล้ว

    ฉะนั้นต้องปล่อยวางให้มันโล่ง ให้มันว่างไปให้ได้ แล้วก็เป็นทางๆ เดียวด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าใคร ถ้ามีการสอบเข้ามาด้านในแล้ว จะต้องรู้จักจิตใจด้วยกันทุกคน เพราะจิตใจที่มีกิเลส ตัณหา อุปาทาน แผดเผา หรือหุ้มห่อนี่ มันทุกข์นัก มันร้อนนัก ทีนี้จะต้องดับ ต้องพิจารณาดับมัน ปล่อยมัน วางมัน แล้วข้อปฏิบัติอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ของเหลือวิสัยอะไรเลย แต่ว่าเราต้องสนใจพิจารณาปล่อยวางให้ยิ่งอยู่เสมอ แล้วไม่ต้องเอาอะไรมาก ให้อยู่ในขบวนนี้ทั้งหมด เป็นยาอายุวัฒนะอยู่ในตัวเสร็จ เพราะว่าการคุ้มครองจิตใจให้เป็นอิสรเสรีนั้น มันมีอยู่ได้อย่างนี้จริงๆ แต่ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้แล้ว มันก็มีแต่พ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหา พญามาร ทุกอารมณ์ทุกชนิดหมด ที่มันจะมาล่อมาหลอก ทีนี้มันหลอกได้แต่คนโง่ๆ หลงๆ ส่วนคนที่ฉลาดมีสติปัญญานั้น มารมันมาหลอกไม่ได้ ถึงมันจะมาหลอกก็รู้ เพราะรู้นี่เองจึงได้ทำการสละปล่อยวางออกไป แล้วทำให้จิตมีความสะอาดสว่างไสว หรือแจ่มใสขึ้นมาได้ทุกขณะหมด

    ถ้าเราหมั่นพิจารณา หมั่นสอดส่องมองเข้าในให้อยู่ในภาวะที่สงบนิ่ง อยู่นิ่งๆ เมื่ออารมณ์อะไรที่มันเกิดดับผ่านไป ผ่านมานั้น เป็นไปตามเรื่องของเขา จิตนี้อยู่ในลักษณะนิ่งๆ อย่าให้มันวิ่ง อย่าให้มันวุ่นไป อย่างนี้แล้ว จะพบพระได้ในตัวของตัวเองอยู่ที่นิ่งๆ ที่สงบๆ ที่ว่างๆ เป็นการหยุดหมด หยุดอยู่ในตัวเอง รู้ตัวเอง จนกระทั่งมีการแทงตลอดอยู่ในตัวของตัวเอง ว่าตัวเองนี้ไม่มี มีแต่ธรรมเท่านั้น นี่ยิ่งมองเข้าไปดูในภาวะ ความหยุด ความสงบ ความนิ่งแล้ว มันไม่มีเป็นตัวเป็นตนเลย เป็นแต่ธรรมชาติ ทีนี้ข้อสำคัญว่าเรายังมองเข้าไปไม่ถึง หรือมองเข้าไปไม่ชัดเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นต้องหัดมอง มองมันอยู่เรื่อยๆ ถ้าเผลอสติออกไปมองข้างนอก พอมีสติก็กลับมามองที่จิต อยู่ในลักษณะอย่างนี้ เราจะสืบทราบได้ที่จิตของเราเอง ทั้งที่เราจะต้องรอบรู้กิเลส ตัณหา ทั้งปวงที่จะเข้ามาปรุงแต่งจิตอยู่ในลักษณะอย่างไร ต้องพิจารณามัน ดับมันให้ได้ ปล่อยมันให้ได้ วางมันให้ได้ แล้วนี่เราจะมีชัยชนะประจำวันเรื่อยไป เป็นการสร้างบารมีประจำวัน เพราะมันไม่ต้องไปสร้างบารมีเพื่อตายแล้วเกิดอีก แล้วใครจะไปจำได้

    ทีนี้การสร้างบารมีอยู่ทุกอิริยาบถทุกขณะนี้ ถ้าเผลอสติไปก็กลับมารู้ใหม่ เผลอไปกลับมารู้ใหม่ เผลอไปยึดถืออะไรขึ้นมา พอรู้ก็ปล่อยวาง ทำกันอยู่อย่างนี้ ย้ำกันอยู่อย่างนี้ แล้วบารมีจะเป็นไปเอง จะมีสติปัญญาพอที่จะทำลายกิเลส ตัณหา อุปาทานให้อ่อนกำลังไปทุกวี่ทุกวัน ทุกขณะไปทีเดียว แล้วเราก็อบรมอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เป็นการเหลือวิสัยเลย ไม่ว่ากายนี้จะทำการงานหรืออะไรก็ทำไปตามหน้าที่ แล้วจิตก็รู้จิตอยู่เรื่อย อยู่ในลักษณะเป็นอิสระอยู่ในตัว ไม่ให้อารมณ์มันมาดึงดูดเอาไปเป็นการรู้เท่าทันต่ออารมณ์ทุกๆ ขณะ แล้วนี่ธรรมะก็คุ้มครองอยู่ในใจ หรือว่าใจก็เป็นธรรมะเสียเอง มันว่างเอง มันสงบเองก็ได้ แต่ว่าต้องกวาดพวกนี้ทิ้ง อย่าให้มันไปยึดถือเอามา อย่าให้มันไปเก็บเอามา คอยกวาดทิ้งเอาไว้ แล้วใจมันก็โล่ง มันก็ว่างเรื่อยไป อย่างนี้เราจะไม่น่ารู้จักจิตใจของเราเองอย่างไรได้ เพราะว่ามันรู้ได้จริงๆ ไม่ว่าใคร สืบทราบได้เดี๋ยวนี้ และเดี๋ยวนี้ยังไม่มีกิเลส ใจยังว่าง ยังสงบอยู่ เพราะว่าธรรมะนี้ไม่ใช่ของเหลือวิสัยที่จะรู้ไม่ได้ ถ้ารู้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงประกาศสัจธรรม เพราะเป็นความจริงที่เราจะรู้กันได้ ถ้ามองเข้าข้างในแล้วก็ต้องเห็นได้ ทั้งรู้ทั้งเห็น ไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างไรดูมัน ปล่อยมัน วางมัน แล้วจิตมันจะว่าง จะสงบได้ มันจะเป็นอิสระได้อย่างแท้จริงทีเดียว

    ที่สุดนี้ฉันโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งทีเดียว ถึงแม้จะไม่มีข้าวมีของมาเลย ก็ยินดีมากที่พวกท่านสนใจธรรมะกัน ขอให้ใจนี้มีธรรมะ และขอให้ธรรมะนี้จงคุ้มครองจิตใจของคุณให้ได้ตลอดไป
    ฉะนั้น ขอให้ท่านที่เป็นญาติมิตรในทางธรรม ที่มีความตั้งอกตั้งใจมาก็เพื่อธรรมะ ขอให้ธรรมะที่มีอยู่ในจิตในใจของท่านแล้วนั้น เป็นการเจริญอายุบรรลุธรรมตลอดไปทีเดียว และทุกๆ ขณะท่านจะต้องมีธรรมะเป็นเครื่องเจริญอายุบรรลุธรรมถึงความสะอาด สว่าง สงบ ทุกๆ ขณะเทอญ

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  16. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ปิดประตูดูข้างใน
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๒๒ กันยายน ๒๕๑๕

    วันนี้เป็นวันประชุมตามเคย ในเรื่องปรารภข้อปฏิบัติที่จะต้องปรึกษาหารือกัน เพราะว่าในชีวิตประจำวันต่างคนต่างก็ต้องการความสงบ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรรบกวน จิตนี้มันจะมีความทรงตัวได้ เมื่อมีความทรงตัวได้โดยปกติมากๆ ทีนี้ถ้าจะมีการพิจารณาอะไรมันก็รู้เรื่องได้ง่าย เพราะมีสติควบคุมจิตไว้ให้ปกติอยู่เสมอ จึงทำให้จิตไม่แส่ส่ายไปปรุงไปคิดนอกเรื่องนอกราวอะไร มันจะหยุดหรือสงบได้ด้วยตนเอง ฉะนั้นเรื่องการทำสติให้ติดต่อนี้เป็นของสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีการปรุงการคิดอะไรวุ่นวายแล้วทุกข์โทษมันก็ไม่เกิด ดังนั้นจะต้องมีการควบคุมเอาไว้ให้ได้ แล้วก็คอยดูว่าทุกข์โทษอะไร มันจะเกิดขึ้นมาในระยะแรกอย่างไร ก็เป็นการดับได้ง่าย เพราะว่ามันไม่ไปยึดถือจับเป็นเรื่องเป็นราว หรือเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา พอเกิดอะไรขึ้นมาเมื่อรู้แล้วมันก็ดับ มันก็หายไป ดังนั้นจะต้องพิจารณาให้รู้แยบคายเข้าไปอีก เพราะความเป็นปกติในเรื่องที่จะดับทุกข์โทษที่มันไม่ก่อเรื่องก่อราวให้เร่าร้อนนี่ มันก็อยู่ขั้นหนึ่ง ทีนี้ขั้นที่จะต้องมองเข้าไปให้ซึ้งนี้ มันเป็นของสำคัญที่สุด แม้ว่าจิตนี้จะมีการทรงตัวได้ปกติเป็นพื้นอยู่แล้วก็ตาม แต่ในส่วนลึกของจิตนี้มันยังมีโมหะครอบงำอยู่ คือว่ามันยังไม่รู้จริงเห็นแจ้งอะไรขึ้นมา เป็นแต่ทรงตัวได้เท่านั้นเอง

    ฉะนั้นจะต้องมีการพินิจพิจารณาให้รู้แยบคายเข้าไป ในขณะที่มันรู้สึกต่ออารมณ์อะไรทั้งภายนอกภายใน และจะต้องคอยพินิจพิจารณาดูให้ดีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีการเกิด-ดับ เกิด-ดับตามธรรมชาติของมัน แล้วก็อย่าไปหมายเป็นดีเป็นชั่วเป็นตัวเป็นตนอะไรขึ้นมา มันก็ไม่มีเรื่องอะไร แต่ให้ดูความจริงไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพียงเท่านี้ก็ยังดับทุกข์ดับโทษได้มากมายเหมือนกัน ทั้งนี้จะต้องพยายามพินิจพิจารณาเข้าไปอีก รู้เข้าไปอีก ค้นเข้าไปอีก เพราะว่าความรู้สึกที่มันอยู่ภายในนี่มันซ่อนเร้นอยู่มาก เมื่อกระทบผัสสะอะไรถ้าไม่เกี่ยวข้องกับตัวมัน มันก็ยังสงบเฉยได้ แต่ถ้ามีเรื่องเกี่ยวข้องกับตัวมันขึ้นมาแล้วนั่นแหละมันจะไหวตัวออกมา มันจะมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาที่เป็นการปรุงแต่ง แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาได้โดยง่ายเหมือนกัน ฉะนั้นจะต้องมีการควบคุมและสังวรระวังเอาไว้ ไม่ใช่ปล่อยไปเฉยๆ เท่านั้น

    เพราะว่าเรื่องจิตนี้มันมีมายามาก แม้ว่ามันจะสงบจากเรื่องราวภายนอกแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นของชั่วคราว มันยังมีเรื่องที่จะยึดมั่นถือมั่นอยู่ในตัวของมันเองอีก แล้วยังมีเรื่องที่จะออกไปยึดมั่นถือมั่นในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง ก็มี ฉะนั้นยังไว้ใจมันไม่ได้ จะต้องพยายามควบคุมและพิจารณาอยู่เรื่อยทีเดียว เผลอไม่ได้เหมือนกัน อย่าไปนึกว่าเฉยๆ ว่างๆ อย่างนี้ เพียงเท่านี้จะเป็นการพ้นทุกข์ได้แล้วหรือ นี่มันยังมีการอมเชื้ออมโรคอยู่ จะต้องรอบรู้อย่างไร? และมันยังเพลินยังเผลออยู่ในลักษณะอย่างไร? หรือมันจับเอาเรื่องราวอะไรในอดีตอนาคต มาคิดนึกปรุงแต่งไปกับเรื่องอะไร? สิ่งอะไรบ้าง? นี่ล้วนแต่เป็นเครื่องรู้ได้ว่าจิตนี้ยังมีอาสวกิเลสอยู่ จะต้องพิจารณาให้รู้แยบคาย เพื่อให้เป็นการถ่ายถอนเรื่องไปทีเดียว ถ้ามันจะมีการรู้จริงเห็นแจ้งอะไรขึ้นมาในลักษณะหนึ่งลักษณะใดก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เพราะว่ามันยังมีการเปลี่ยนแปลงต่อไปอีก ควรจะต้องรอบรู้ดูไปอีก

    เรื่องการควบคุมจิต หรือการรอบรู้อยู่ในจิตใจ เป็นงานละเอียด เพราะถ้ามันไม่ออกไปหยิบฉวยเรื่องงานภายนอกแล้ว มันก็ดูได้ซึ้ง แต่ถ้ามันไปเอาเรื่องราวภายนอกเข้ามาแล้ว มันก็ดูอะไรไม่ลึกซึ้งนั่นเอง เพราะภายในตัวของมันเองนี้ มันก็ยังมีเรื่องจำเรื่องคิดอะไรที่จะเกิดขึ้นในขณะไหนก็ได้ ถ้าไม่มีความรอบรู้แล้ว มันจะมีเรื่องปรุงแต่ง ในทำนองที่มันเคยรู้เคยเห็นมา ถ้ามันยังมีการเผลอเพลินไปหยิบฉวยเอาอารมณ์อะไรขึ้นมาอีก เพราะความมีมายาสาไถยของจิตนี้มากมายหลายชนิดนัก จะต้องควบคุมพิจารณาให้รอบคอบอยู่เสมอ เนื่องจากมันคอยหาเรื่องที่จะยึดมั่นถือมั่นอยู่ทั้งนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดทุกข์เกิดโทษเร่าร้อนอย่างรุนแรงก็ตาม แต่มันก็มีลักษณะที่เน่าในเปียกแฉะ เน่าในเปียกแฉะอยู่ภายใน เพราะอำนาจของอวิชชาตัณหา ที่เป็นอนุสัยสำคัญในด้านลึกนี้ ถ้าตรวจมันไม่ละเอียดแล้ว ก็เท่ากับไปกลบเกลื่อนเอาไว้ แล้วก็เชือนแชแก้ไขไปต่างๆ นานา ซึ่งก็นึกว่าดีแล้ว พ้นแล้ว ที่แท้มันก็ยังเน่าในเปียกแฉะโดยที่ไม่รู้สึกตัว เพราะเหตุนั้นความกลัวต่อทุกข์โทษของกิเลสมันกลัวแต่เรื่องหยาบ ส่วนเน่าในเปียกแฉะนี้มันยังไม่รู้สึกกลัว เพราะว่ามันยังเพลินอยู่แล้วก็นึกว่ามันดีหรือบริสุทธิ์แล้วพ้นแล้ว นี่มันหลอกตัวเอง

    เฉพาะเรื่องหลอกตัวเองนี่สำคัญที่สุด เพราะมันหลอกซึ่งหน้า ในขณะที่มันรู้ดี รู้ถูกนี่เอง มันก็ถูกกิเลสนั่นแหละมาตบมาตีเอา ชนิดที่ไม่เร่าร้อน แต่มันก็เศร้าหมองขุ่นมัวไป บางทีมันก็ไม่รู้อะไรเป็นอะไรทุกขณะก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นเรื่องอาสวกิเลสนี่มันเป็นของละเอียดลึกซึ้งนัก คนสติปัญญาหยาบก็จะไม่รู้เรื่อง ก็จะนึกว่าตัวดีแล้วถูกแล้ว ราวกับจะเป็นพระอรหันต์เอาเสียเอง ฉะนั้นเรื่องการมองการพิจารณากรควบคุมจิตใจนี่ ควรต้องใช้สติปัญญาให้สุขุมลุ่มลึกเพื่อให้รู้แยบคาย แล้วก็จะต้องพิจารณาสอดส่องเข้าไปในส่วนลึก เพื่อจับความเป็นมายาของตัวตนให้ได้ โดยต้องจับความเป็นมายาของความรู้ ซึ่งมีอยู่หลายแง่หลายมุมภายในตัวเองนี้ ที่มันยังมีการสับปลับกลับกลอกหลอกหลอนอยู่กี่ชั้น ซึ่งจะต้องตรวจดูให้รู้ เพราะว่ารู้ รู้อย่างนี้ แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงเกิดดับไป ส่วนปรากฏการณ์ของความทุกข์ชนิดที่ไม่ได้ถูกอะไรมาตบมาตี ที่เป็นเรื่องของผัสสะภายนอก แต่ว่ามันทุกข์อยู่ในตัวของมันเอง โดยทุกข์อยู่ตามธรรมชาติ ทีนี้เมื่อมันมีการยึดถือขึ้นมาในลักษณะอย่างไร จะต้องอ่านให้รู้ว่า นี่เป็นทุกข์ของธรรมชาติไม่ใช่เป็นทุกข์ของเรา ไม่ใช่เป็นตัวของเรา แต่การมองอย่างนี้ก็เป็นของละเอียด เพราะว่ามันจะเอื้อมเอาเป็นความรู้สึกที่เป็นความยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของของเราอยู่เรื่อยไป ไม่ว่าจะมีปรากฏการณ์ในทางสัมผัสภายนอกก็ตาม หรือความรู้สึกในด้านจิตใจล้วนๆ ก็ตาม ความเอื้อมเอาภายในตัวของมันเองนี้ มันจะต้องเกิดขึ้น ถ้าว่ารู้เท่าทันมันก็ดับได้ ระงับได้ เฉยได้ แต่ถ้าไม่รู้เท่าทันมัน ก็ชักใยพันตัวเองให้ยุ่งเหยิงไปต่างๆ แม้ว่าจะแก้ไขอย่างไรมันก็ต้องจนปัญญา เพราะฉะนั้นจะต้องมีความรอบรู้ให้ถูกต้องว่าอาสวกิเลสภายในสันดานนี้ ไม่ใช่จะรู้เห็นได้ง่ายๆ เลย ส่วนหยาบก็รู้ได้ง่าย แต่ว่าส่วนกลางนี้รู้ยาก เพราะมันคอยแต่ละเมอเพ้อไปตามอารมณ์ ตามผัสสะ แม้จะมีการควบคุมก็ควบคุมอยู่ขั้นนอกๆ แล้วขั้นนอกนี้ก็ยังปิดไม่อยู่ มันก็ยังเปิดประตูรับแขกอยู่ทุกขณะ

    ดังนั้นเรื่องปิดประตูดูข้างในมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะมันดิ้นรนกระวนกระวาย และอยากจะรู้อยากจะฟังเสียงที่เป็นของแสลง ซึ่งมันก็ชอบ ส่วนเสียงที่มาสัมผัสเพื่อให้เกิดความรู้สึกด้วยสติปัญญานั้น มันไม่ค่อยจะรู้แยบคายอะไร เพราะฉะนั้นเรื่องการฟังก็ดี การอ่านก็ดี มันไม่ค่อยจะรู้เรื่องก็เพราะเหตุนี้เอง เพราะว่ามันไม่ได้เอาเรื่องจริงมาคิดพิจารณา มันชอบไปเอาเรื่องหลอกๆ ลวงๆ เรื่องหลงๆ บ้าๆ บอๆ ที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวนั่นแหละ กลับไปจำเอามาคิดเก่งนัก แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นไปทีเดียว เหตุนี้มันจึงทุกข์แล้วทุกข์อีกโดยที่ไม่รู้สึกตัว แล้วก็ไม่รู้สึกกลัวทุกข์โทษที่กำลังเกิดอยู่ภายในด้วย มันกลับไปกลัวแต่เรื่องข้างนอก แล้วก็ถูกหลอกถูกลวงอยู่ในตัวเองนี้สลับซับซ้อนนัก เพราะเหตุนี้การที่จะมุ่งมองเข้าไปในส่วนลึกของสันดานนี้ มันมองเข้าไปไม่ถึง มันรู้เข้าไปไม่ซึ้ง เพราะว่าพวกนี้มันคอยกั้นเสียหมด เพราะอารมณ์ทั้งหลายมันคอยหลอกคอยกั้น มันคอยจำคอยคิด คอยปิดคอยบังอยู่เรื่อย ถ้าไม่มีความพยายามจริงๆ แล้ว ชีวิตของการที่จะหลุดรอดออกไปจากสังสารวัฏหรือจากทุกข์นี่ ไม่ใช่เป็นของง่ายเลย

    เพราะว่ามันถูกกิเลสตัณหา มาคอยยั่วคอยแหย่คอยส่ายไปทั้งนั้น ถ้าไม่ค่อยพินิจพิจารณาปรับปรุงให้รู้เรื่องของภายในแล้ว เป็นของยากมาก แม้จะมีการอ่านการฟังก็ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ว่าสติปัญญาของตัวเองนี้ มันยังไม่รู้ว่าจะต้องเจาะแทงเข้าไปอย่างไร ต้องรอบรู้เข้าไปอย่างไร ฉะนั้นจึงต้องพูดหรือปรับปรุงกัน ก็เพราะมีความประสงค์ที่จะให้มีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้แยบคาย ซึ่งเป็นการถ่ายถอนตัวเองให้ได้แง่ โดยให้รู้เรื่องจริงของตัวเองขึ้นมาให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันมาเพลินๆ เผลอๆ ไปทั้งนั้น แต่ก็ตกหล่มจมเหวอยู่นี่เอง แล้วก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาได้ง่ายๆ เลย

    แม้แต่เวลาอ่านหรือฟังก็ตาม ที่จะเกิดสติปัญญาอะไรเป็นเครื่องรู้เครื่องเห็น มันก็ยังไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะว่าได้ปล่อยสติให้เพลิดเพลินไป โดยไม่รับรู้หรือว่ามันนิ่งเฉยเสีย โดยไม่รู้ว่าความลึกซึ้งของความรู้สึกที่เป็นสติปัญญานั้น มันจะต้องทำหน้าที่รู้แจ้งแทงตลอดอย่างไร นี่เป็นของสำคัญ เพราะว่าการปล่อยให้ผ่านไปๆ นี้ มันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร มันก็เกิดดับ เกิดดับ เรื่อยไป ส่วนการที่จะรู้แจ้งแทงตลอดนี้มันยังไม่คม มันยังไม่รู้ว่าจะรู้แจ้งแทงตลอดอย่างไร เรื่องนี้จะต้องรอบรู้ของตัวเองให้ได้ เพราะผัสสะทุกชนิดมันเป็นเครื่องให้สอบ เป็นเครื่องให้รู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทีปรากฏอยู่ทุกขณะนี้มันเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ มันมีตัวหรือไม่มีตัวกันแน่ แล้วที่มันหลงยึดถือเป็นตัวเป็นตน เป็นดีเป็นชั่วอยู่นี่ มันหลอกหลอนอยู่ต่อหน้าต่อตา โดยที่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นมายาหลอกลวง ทั้งในเวลาหลับหรือเวลาตื่นก็ตาม มันถูกอารมณ์ของความจำความคิดหลอกอยู่เรื่อย ประเดี๋ยวก็จำดีประเดี๋ยวก็จำชั่ว แล้วก็มายั่วมาแหย่ให้หลงเพลิดเพลินออกไป และการที่จะรอบรู้เท่าทันอย่างนี้มันก็ยังมีน้อย

    อนึ่งหลักของสติ ที่จะต้องตั้งเป็นนายประตูอยู่นั้น มันยังไม่ได้อารักขาทวารทั้งหมดไว้ มันยังมีการเผลอเพลินอยู่ ดังนั้นการที่จะปิดประตูดูข้างในนี้ มันจึงเป็นของไม่ใช่ง่ายเลย แต่ก็ต้องพยายามอยู่นั่นเอง ถ้าไม่พยายามแล้วมันมีทุกข์โทษนานัปการทีเดียว หากว่าไม่ใช่อย่างหยาบก็ต้องอย่างกลางหรืออย่างละเอียดที่จะต้องมีอยู่ภายในสันดานทั้งนั้น แต่จะรู้สึกตัวหรือไม่เท่านั้น ถ้ารู้มันก็ยังจะเจาะแทงทำลายเข้าไปได้ค้นคว้าเข้าไปได้ ถ้ายังไม่รู้แล้วมันก็มาเล่นอยู่กับข้างนอกนี่เอง มันเล่นอยู่กับความปรุงความคิดอะไร ที่เป็นของเกิดๆ ดับๆ แล้วก็จับยากระงับยากด้วย เพราะมันคอยแต่จะจำ จะปรุงจะคิดอยู่เรื่อย

    การที่จะหยุดดู หยุดรู้ให้มันได้ความจริงนั้น มันจึงจำเป็นที่จะต้องฝึกสติให้มากๆ ให้มีความรู้สึกอยู่ทุกอิริยาบถ ส่วนการที่จะรอบรู้อยู่ในตัวของตัวเองนี้ แม้ว่าเราจะไม่มีเรื่องมีราวอะไรไปจัดไปทำภายนอกก็ตาม แต่ว่าเรื่องที่จะรู้เข้าไปในตัวของตัวเองนี้ มันช่างตันเสียจริงๆ เพราะว่ามันยังมองเข้าไปไม่ถึง มันมาติดอยู่ข้างหน้านี่เอง ถึงข้างหน้านี่มันจะหยุดปรุงหยุดคิดอะไรไปบ้าง แต่มันก็ยังเพลินอยู่ จึงตองพยายามเพียรพิจารณารอบรู้อยู่เสมอทีเดียว อย่าให้ขาดระยะได้อย่าให้เพลินไปทางผัสสะหรือเวทนาได้ แล้วมันจะเป็นการตัดกระแสของความหลั่งไหลไปสู่อารมณ์ได้ เรื่องการดำรงสติให้เป็นของมั่นคงอยู่ทุกอิริยาบถนี้ จำเป็นจะต้องให้เวลาฝึกกันนานๆ แล้วก็ต้องพยายามอยู่เรื่อย ถ้ามิฉะนั้นแล้วมันก็จะมีการเผลอเพลินอยู่ในทวารต่างๆ คือ ทางตา ทางหู เหล่านี้มันก็ยังไวอยู่ มันยังอยากมองอยากฟังเรื่อยราวข้างนอกอยู่ทั้งนั้น ฉะนั้นจะต้องมีการพิจารณากวาดทิ้งปล่อยวางมันเรื่อยไม่ต้องไปเอาเรื่อง ไม่ว่าเรื่องร้ายเรื่องดีหรือชั่วทั้งหมดนี้ เพราะว่ามันไม่เที่ยง จะไปยึดถืออะไรขึ้นมาก็ไม่ได้ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี่มันก็แสดงให้เห็นอยู่ชัดเจนแล้ว ด้วยความโง่ที่มันไม่รู้เรื่องนี่เอง มันจึงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นเสียหมด ถ้ามันรู้ด้วยสติปัญญาแล้ว มันไม่น่าเอาน่าเป็นกับอะไรเลยสักอย่างเดียว ถึงแม้ว่ามันจะเอาไปให้ใคร มันจะเป็นไปได้ถึงไหน แล้วนี่มันก็มีเรื่องที่จะรู้อยู่ในตัวของตัวเองแล้วว่ามันไม่เที่ยง ที่มันเป็นตัวเราของเราเต้นๆ รำๆ อยู่นี่ มันยังยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นเอง แล้วนี่มันหลงบ้าๆ บอๆ อยู่เท่าไร

    ทีนี้มันเรื่องให้หยุด หยุดเต้น หยุดรำ หยุดเอา หยุดอยาก หยุดอะไรสารพัดอย่าง เพราะถ้ามัน รวมจุดมาหยุดดูหยุดรู้ได้แล้ว มันก็ ไม่บ้าไม่หลง มันเป็นการสงบได้ ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรขึ้นมามันก็รู้จักปล่อยวางว่างไป คือว่าไม่เอาเรื่อง ขืนเอาก็ไม่ไหวแล้ว เพราะวันเวลาที่ล่วงไปๆ รูปนามนี่มันจะแตกดับไปเมื่อไรก็ไม่รู้แล้วจะมาเพ่งเล็งเอาอะไร จะมายึดถืออยู่ทำไม นี่มันต้องซักฟอกตัวเอง ไม่ใช่อยู่เพลินๆ หรือว่าเอาสบายขั้นนั้นขั้นนี้อะไรเลย มันต้องรู้อยู่ว่ามันทุกข์มันไม่เที่ยง แล้วมันก็ไม่มีตัวมีตนอยู่ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นจะต้องพินิจพิจารณาให้รอบคอบรอบรู้อยู่ในตัวทั้งหมด จนกระทั่งมันเห็นความจริงว่าว่างไปทั้งหมด และไม่มีการเพลิน ไม่มีการยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของของเรา ให้มันเป็นความรู้สึกด้วยสติปัญญาแท้ จึงจะเป็นการดับทุกข์ดับโทษภายในได้เรื่อยไป แม้จะก่อเรื่องก่อราวอะไรขึ้นมามันก็ปล่อยวางได้ โดยไม่ไปยึดมั่นถือมั่นให้เกิดทุกข์เดือดร้อนเหมือนแต่ก่อน มันผ่อนหนักให้เป็นเบาไปเรื่อยๆ ว่างไปเรื่อยๆ ดังนั้นหนทางของการปฏิบัติธรรมมันต้องไม่เอาเรื่องอื่น แต่ในชีวิตที่ได้ผ่านด้านการปฏิบัติธรรมนี้ มันก็เหมือนกับการขึ้นบันไดที่จะต้องก้าวขึ้นไปทีละขั้น จนกระทั่งถึงที่สุด ส่วนจิตนี้เมื่อยังมีอาสวกิเลสอยู่ แต่ว่ามันได้มีโอกาสที่จะซักฟอกให้เบาบางจางคลายไปได้เหมือนกัน ทั้งนี้มันก็เป็นความรู้สึกของตัวเอง ชนิดที่อย่าเข้ากับตัวเองก็แล้วกัน ถึงแม้มันจะว่างมันจะเบาเท่าไร ก็ต้องมองให้มันซึ้งเข้าไปอีก เพราะว่ามันยังมีเชื้ออาสวกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นต้องดูมันให้เห็นให้รู้บัดแจ้ขึ้นมาให้ได้ เพื่อเป็นการซักฟอกสันดานหรือจิตใจของเราเอง เพราะว่าคนอื่นเขามาฟอกให้ไม่ได้เขามารู้ให้ไม่ได้ มันเป็นของปัจจัตตังอย่างนี้ จึงต้องใช้สติปัญญาให้ละเอียด อย่าไปกรองเพียงแต่ขั้นหยาบๆ เลย มันจะไม่พ้นทุกข์ ถ้าได้พยายามตรึกตรองโดยความละเอียดรอบคอบ ให้เป็นการรู้เห็นแจ้งแทงตลอดเข้าไปในสันดานแล้ว มันก็กวาดล้างอะไรออกไปได้ แม้จะเป็นบางขณะก็ยังดีกว่าไม่รู้เสียเลย เพราะว่ายังถูกอวิชชาโมหะปกคลุมครอบงำอยู่ในสันดาน มันไม่ใช่จะแหวกช่องไปได้ง่ายๆ นัก ถ้ามันมีความรู้แจ้งอะไรขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็เหมือนกับจอกแหนที่มันปิดน้ำอยู่ในสระ เราเอามือไปแกว่งเลิกแหนออกก็เห็นน้ำใสๆ แต่พอยกมือขึ้นจอกหรือแหนมันก็ปิดน้ำใสหมด

    เพราะฉะนั้นความรู้แจ้งเห็นจริงที่มันเกิดขึ้นได้ในขณะจิต แต่ว่ามันชั่วขณะเท่านั้น นั่นเรียกว่าเป็นตทังควิมุติ แต่ครั้นแล้วโมหะนี่มันก็เข้ามาคลุม ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรไปอีก เพราะฉะนั้นพื้นลึกของสันดานที่มองยังไม่เห็นก็เพราะเหตุนี้ แต่ก็ต้องพยายามมองเข้าไป รู้เข้าไปให้ได้ เป็นการทำลายเข้าไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยก็ยังนับว่ามีประโยชน์ และไม่เพลินไม่เผลออยู่ในขั้นนอกๆ มันต้องรู้เข้าไปข้างในอีก มันได้ตรวจเชื้อโรคที่ละเอียดเข้าไปอีก เพราะถ้าตัวเองไม่ได้ใช้สติปัญญาให้ละเอียดแล้ว ใครจะมาตรวจให้ได้ ใครมาชำระโทษให้ได้ ก็ตัวเองนี่แหละจะต้องรู้ ถ้าไม่รู้แล้วมันก็ปกปิดเอาไว้ แล้วก็เข้าใจเอาเองว่าเป็นผู้รู้แล้ว ทำให้มีความประมาทไป แม้แต่ขั้นของพระอรหันต์ที่ท่านหมดอาสวกิเลสแล้ว ก็ยังจะต้องรับคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย แล้วก็นับประสาอะไรกับพวกสามัญชนอย่างนี้ มันจะมีสติปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่ได้รับคำสอน

    เพราะฉะนั้นเรื่องการเข้าใจเอาเอง จึงเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง มันหลายชั้นหลายชนิดนัก แม้แต่เพียงการรับฟัง มันก็ยังไม่ค่อยจะรับรู้ได้ง่ายๆ เลย และที่มันจะไปรู้ตัวของมันเองได้ก็จะต้องเป็นคนที่มีสติปัญญาแหลมคมจริงๆ จึงจะเข้าใจเจาะแทงเข้าไปได้ ถ้าอยู่อย่างธรรมดาแล้วมันเฉยเมยอยู่นั่นเอง มันเพลิน แล้วก็นึกว่ามันพ้นทุกข์แล้ว มันไม่มีทุกข์แล้ว นี่เป็นความหลอกลวงของความรู้สึกนึกคิด ชนิดที่มันยังมีโมหะอวิชชาปกปิดสันดานอยู่ มันเป็นของรู้ยาก ฉะนั้นอย่าได้มีความประมาทเพลิดเพลินเลย ต้องพยายามมองให้ซึ้งเข้าไปให้ได้ จะได้เจาะแทงทำลายโมหะคือ ความมืดที่มันปิดบังอยู่ข้างใน แล้วจะต้องพยายามมองด้วยสายตาของสติปัญญา จะไม่ให้มันมีการเผลอเพลินไปกับอารมณ์ภายนอกได้ หรือว่าภายในที่มันจะเป็นความรู้สึกนึกคิดอะไรขึ้นมาก็จะต้องรู้ว่านี่มันเป็นมายา ทั้งขณะที่นอนแล้วฝันก็เป็นมายา และขณะที่ลืมตาอยู่เดี๋ยวนี้ก็เป็นมายา นี่ต้องดูมันหลายๆ ชั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันถูกหลอกแย่อยู่นี่เอง แล้วก็ไม่รู้เรื่อง ก็ยังอวดดีว่ารู้แล้วรู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้สารพัดที่จะรู้ไป เฉพาะคนโง่ๆ นี่มันนึกว่าตัวรู้ตัวฉลาด แต่สำหรับคนรู้คนฉลาดจริงๆ นะ ท่านบอกว่ายัง เพราะมันยังไม่ได้รู้จริงเห็นแจ้งแทงตลอดเข้าไป แล้วอาสวกิเลสมันกิเลสมันก็มาเผาเอาโครมๆ มันก็ว่ามันดีแล้วมันรู้แล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเท่าไรๆ มันอ่านหมดแล้ว นี่มันโง่ดักดาน ฉะนั้นระวังให้ดี การอ่านการฟังก็ดีควรจะต้องเอามาสอบสอนอยู่ในจิตในใจเสมอทีเดียว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่รู้เรื่อง เพราะการที่จะรู้ด้วยสติปัญญาของตัวเองมันรู้ยาก เพราะเครื่องปกปิดมันมาก ทีนี้จะต้องอาศัยคำสอนที่เป็นเครื่องเตือนที่ทำให้ความรู้มีการไหวตัวขึ้นมา แล้วจะสลัดทิ้งสิ่งทั้งปวงออกไป มันจึงได้ประโยชน์อย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้ว ตลอดชีวิตทีเดียวมันจะไม่เห็นแจ้งแทงตลอดปลอดโปร่งเข้าไปได้ มันจะมาติดมาตันแล้วก็เพลินๆ อยู่ พอมีความทุกข์แสบเผ็ดอะไรเข้ามา มันก็จะวุ่นวายไป ถ้าไม่มีมันก็เฉยๆ เมยๆ อยู่ พอมีความทุกข์แสบเผ็ดอะไรเข้ามา มันก็จะวุ่นวายไป ถ้าไม่มีมันก็เฉยๆ เมยๆ อยู่นั่นเอง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่มันถูกปกปิดโดยความมืด แล้วก็ไม่รู้ตัวว่าถูกอวิชชาตัณหากำบังห่อหุ้มอยู่ภายในเท่าไร แล้วก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ ก็เลยตกหล่มจมเหวอยู่นี่เอง

    เพราะฉะนั้นจะต้องพยายามมองแล้วมองอีกส่องดูแล้วส่องดูอีก ตรวจแล้วตรวจอีกว่านี้มันมีอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมมันถึงได้มืดมนอยู่ยังไม่รู้อะไร แล้วจะดูมันให้ทั่วถึงได้อย่างไร นี่ล้วนแต่เป็นปัญหาสำคัญของตัวเองด้วยกันทุกคน เพราะถ้าไม่ค้นคว้าให้ทั่วถึงแล้ว ยังหลับหูหลับตาปี๋อยู่นี่เอง แล้วก็ว่ารู้แล้วๆ ความจริงมันยังไม่รู้ ยังหลับหูหลับตาอยู่เป็นส่วนมาก ฉะนั้นจะต้องปลุกให้มีการลืมตาขึ้น ตื่นอยู่ให้ได้ อย่าให้มันหลับ อย่าให้มันเพลิดเพลิน ให้มันเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม ตามแต่จะเป็นการฝึกของตัวเองขึ้นมา อย่าให้มันง่วง อย่าให้มันหดหู่ อย่าให้มันฟุ้งซ่าน แล้วก็พยายามอยู่อย่างนี้ โดยการปลุกให้จิตใจตื่นขึ้นมาพิจารณา ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมเอาไว้ ปล่อยวางเอาไว้ให้ได้ เพราะว่าการรู้ด้วยสติปัญญาแท้นี้มันมีคุณมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับไฟฟ้าถูกเพิ่มแรงเทียน ถ้ามันเพิ่มขึ้นมาทีละแรงเทียน แล้วมันจะมีความสว่างขึ้นมาได้ มีความรู้แล้วก็มีการปล่อยวางออกไปได้ ไม่ว่าเรื่องราวอะไรทั้งหมด ดีชั่วถูกผิดหรือสุขทุกข์อะไรก็แล้วแต่ พอมันรู้ว่านี่เป็นเรื่องไม่แน่นอน มันเป็นเรื่องไม่ใช่เป็นตัวเรา ไม่ใช่ของของเรา แล้วมันก็เลยปล่อยวางไป เพราะขืนยึดถือขึ้นมามันก็วุ่น มันต้องเลือกเอาข้างว่าง

    เพราะฉะนั้นการเลือกเอาข้างว่างนี่เอง มันเป็นการรู้ด้วยสติปัญญาแท้ทีเดียว ถ้ามีเรื่องราววุ่นวายส่ายแส่เกิดขึ้นเมื่อไร ก็กวาดมันทิ้งเรื่อยไปไม่เอา อย่าให้มันเกิดขึ้น ต้องปล่อยต้องวางต้องกวาดทิ้งไป ถ้ารู้จักกวาดแล้วไม่มีเรื่องอะไรมาก แต่ถ้าไม่รู้จักกวาดแล้วมันจะเก็บเอามารกอกรกใจง่ายทีเดียว เผลอไม่ได้มันชอบเก็บ เพราะมันเป็นคนโลภมากยังเป็นคนตระหนี่ ความตระหนี่นี่ซิมันชอบ ชอบยึดมั่นถือมั่น มันยังเสียดายนักจะทิ้งไปก็ยังเสียดาย มันจึงได้มีการยึดมั่นถือมั่นอยู่ทั้งนั้น ทีนี้คนที่จะทำลายความตระหนี่ความไม่โลภมากอยากได้ นี่มันกวาดทิ้งได้เรื่อยไป มันจะดีจะชั่วเท่าไรก็ไม่เอา กวาดทิ้งมันดีกว่า เพราะจะได้ตระหนี่จะไปหวงแหนเอาไว้ให้ใคร ใครจะมาเป็นคนรับมรดก ก็พวกนรกนั่นเอง พวกสัตว์นรกนั่นแหละมันจะรับมรดกเอาไป โดยเฉพาะพวกฉลาดนี่ก็กวาดทิ้งหมด ถ่ายทิ้งเสียไม่เอามันไม่ได้ไม่ดีอะไรเลย มันรกอกรกใจเปล่าๆ สู้กวาดทิ้งไม่ได้ กวาดมันเรื่อยไป แล้วมันก็เตียนเรื่อยไปเอง เรื่องกวาดทิ้งนี่สำคัญที่สุด และไม้กวาดนี่ต้องถือไว้เลย ถือเอาไว้เพื่อกวาดทิ้ง ถือติดตัวไว้ก่อน ถ้าไม่ถือเอาไว้ไม่ได้ เหมือนกับความว่าง วางเฉยประเดี๋ยวเถอะไปเอามาแล้ว ไปสอพลอขึ้นมาอีกแล้ว ฉะนั้นจึงต้องคอยกวาดทิ้งเอาไว้เรื่อย

    เรื่องกวาดทิ้งนี้เป็นการเจริญวิปัสสนา การเจริญวิปัสสนาแบบนี้ ไม่ต้องไปนั่งหลับหูหลับตาที่ไหนหรอก ลืมตาทุกอิริยาบถนี่แหละ กวาดทิ้งอยู่ข้างในเรื่อยทีเดียว ทางตา ทางหู รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นี่นะ พิจารณาปล่อยวางอยู่เรื่อยทีเดียว นี่มันพิเศษอย่างนี้ด้ายนะ การเจริญวิปัสสนาชนิดมีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมทุกอิริยาบถ ทั้งที่ตาก็เห็นรูป หูก็ฟังเสียง แต่มันคอยกวาดทิ้งอยู่เรื่อยไม่เอาเรื่อง เพราะไม่เอาเรื่องนี่เองมันก็เลยว่าง ถ้าไปเอาเรื่องแล้วมันวุ่น มันก็สอบได้อยู่ในตัวเองทุกขณะไปทั้งหมดทีเดียว ว่าตาเห็นรูปก็ให้มันว่างเสีย หูฟังเสียงก็ให้มันว่างเสีย หูฟังเสียงก็ให้มันว่างเสีย อย่าไปยึดถือขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน เป็นเขาเป็นเรา เป็นสุขเป็นทุกข์อะไรสารพัดอย่างพิจารณาปล่อยวางมันเรื่อยไปทีเดียว เรื่องการมีสติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาคุ้มครองจิตใจของตัวเองนี้ มันต้องทำอยู่ทุกอิริยาบถไปหมด เนื่องจากว่ามันจำเป็นที่จะต้องทำถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วก็เป็นที่รู้ได้เองว่า มันรกอกรกใจเท่าไร ร้อนอกร้อนใจเท่าไร เป็นเครื่องสอบได้ในตัวเองทั้งหมด ฉะนั้นจะต้องมีการปิดประตูดูข้างใน ให้มันเห็นแจ้งเห็นจริงขึ้นมาให้ได้ แล้วไม่มีอะไรมาก ในชีวิตประจำวันนี้สิ่งไหนที่ควรทำก็ทำไปด้วยจิตไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ปล่อยไปวางไป ว่างเรื่อยไปได้

    การที่ได้มีชีวิตฝึกข้อปฏิบัติธรรมประจำวันนี้ มันดับทุกข์ดับโทษได้ทุกขณะไปทีเดียว เพราะว่าได้มีสติปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครองประจำอยู่ทุกอิริยาบถนี้ มันมีคุณมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง จึงต้องมีการอบรมทำให้มากในเรื่องนี้ อย่าได้ประมาทเพลิดเพลินไปเลย แล้วหลักของสติปัญญานี้มันจะได้นำหน้าที่คุ้มครองจิตนี้ มีความเป็นอิสระได้ ว่างได้ สงบได้ ทุกๆ ขณะทีเดียว

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  17. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    พิจารณาเวทนาให้รู้จริง
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๒๕ มิถุนายน ๒๕๑๕

    วันนี้เป็นวันประชุม เพื่อจะปรึกษาในเรื่องข้อปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติเมื่อมีสติเป็นเครื่องควบคุมจิตอยู่เป็นประจำแล้ว ทุกข์โทษก็จะเบาบางไปในขณะที่มีผัสสะกระทบ เมื่อมีสติรู้เท่าทัน แล้วก็ไม่มีพิษสงอะไร ในขณะที่มีความเป็นปรกติเป็นการวางเฉย เราจะสังเกตได้ในระยะของจิตที่เป็นกลางวางเฉยนั้น ยังไม่มีการคิดดีหรือคิดชั่ว มันเป็นปรกติอยู่ วางเฉยได้ ทั้งนี้จะสอบได้ว่าในขณะที่มันมีการคิด แต่การคิดนี้โดยมากคิดไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา ถ้าเรื่องคิดดีก็หมายถึงมีสติปัญญาเป็นเครื่องรู้ ถ้าคิดผิดหรือจำผิดอะไรขึ้นมา ก็เป็นเครื่องอ่านตัวเองออก แล้วก็เป็นการหยุดไม่ให้คิดนึกไปในทางผิดๆ อย่างนั้น แล้วก็น้อมนึกเข้ามาเพื่อให้เกิดสติปัญญาซึ่งเป็นเครื่องเจริญสตินี่เอง

    ทีนี้ การเจริญสติที่ยังไม่มีทุกข์โทษอะไรเกิดขึ้นนี้ ควรจะต้องพินิจพิจารณาควบคุมเอาไว้ เพราะว่าขณะที่มีการกระทบเกิดขึ้น ความรู้สึกไหวตัวของจิตมันก็จะเพ่งออก คือเป็นความชอบไม่ชอบอะไร อย่างนี้ก็จะสังเกตได้ง่าย เพราะว่าได้อาศัยผัสสะเป็นเครื่องรู้ได้ว่า ขณะที่มีสติ แม้กระทบผัสสะก็ไม่มีความรุนแรงแต่ขณะไหนเมื่อเผลอสติออกไปแล้ว การกระทบผัสสะนั้น จะมีทุกข์มีโทษเกิดขึ้น ฉะนั้นก็จะต้องระมัดระวัง การสำรวมตา สำรวมหู จมูก ลิ้น กายใจ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเครื่องที่จะต้องควบคุมอายตนะทั้งภายในภายนอก ที่มีความรู้สึกกระทบกัน เช่นตากระทบรูป หูกระทบเสียงเป็นต้น ถ้าการกระทบเป็นความรู้สึกทางอายตนะ โดยมีการสัมผัสกันขึ้นมาล้วนๆ และสตินี้ยังคุ้มครองอยู่ แล้วทุกข์โทษทั้งหลายก็จะไม่เกิดขึ้น และการกระทบนั้นก็จะเป็นกลางไป อารมณ์ที่มากระทบก็เป็นกลาง ความรู้สึกที่วางเฉยก็เป็นกลาง ในระยะนี้ก็ไม่มีทุกข์โทษอะไรจึงเป็นอันรู้ได้ว่า เมื่อจิตใจเป็นปรกติเป็นกลางแล้ว มันก็ไม่มีความทุกข์ แต่ถ้าเผลอสติไปยึดถืออะไรขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นแหละมันมีความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว แม้จะเกิดขึ้นในขั้นเล็กน้อยก็อย่าได้มีความประมาท ควรจะต้องรีบดับเสียแต่ต้นมือ อย่าให้มีการปรุงการคิดยืดยาวออกไป เพราะมันจะทำให้ฟุ้งซ่านใหญ่ ฉะนั้นต้องคอยพิจารณาดูจิตในขณะที่เป็นปรกติต้องควบคุมเอาไว้ให้อยู่ แต่ก็ต้องระวังทางผัสสะ ถ้าไม่ควรมองก็อย่าไปมอง ไม่ควรฟังก็อย่าไปฟัง

    เพราะฉะนั้น ต้องปิดกั้นอายตนะทั้ง ๖ ไว้ เรียกว่ามีอินทรีย์สังวรให้ครบถ้วนขึ้นมาให้ได้ ถ้าหากมีการเปิดประตูรับอยู่อย่างนี้แล้ว จิตใจนี้มันจะสงบไม่ได้ เพราะจะหวั่นไหวไปตามผัสสะ ไม่ว่าผัสสะชนิดไหน ถ้าไม่เกี่ยวกับตัวมันก็พอจะเฉยได้ แต่ถ้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับตัวมันแล้วก็เฉยไม่ได้ ทีนี้ความไม่รู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่น ก็ก่อทุกข์ก่อโทษขึ้นมาให้แก่ตัวเองเท่าไร แม้ว่าจะมีความจำความคิดอะไรเกิดขึ้น แต่ในขณะที่เป็นกลางอยู่ก็ต้องระวังอีก เรื่องจำนี้ก็เรื่องสำคัญเหมือนกัน เพราะมันเที่ยวจำผิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าเรื่องราวอะไรที่เป็นอดีต ที่ดับไปแล้วพ้นไปแล้ว มันก็เก็บเอามาจำเอามาคิดอีก เมื่อมีการจำผิด แล้วคิดก็คิดผิดด้วย และความเห็นมันก็ผิดตามกันไปหมด เพราะฉะนั้นจึงต้องมีสติเป็นนายประตูสำหรับตรวจตราดู แล้วจะรู้สึกว่าทางจิตใจหรือทางกาย วาจานี่ มันจะได้เป็นปรกติเรียบร้อยขึ้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันก็เที่ยวไปหาเรื่องวุ่น ก็เป็นการสอบได้ในตัวเองด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าในขณะไหนเมื่อเกิดความรู้ที่เป็นสติปัญญาขึ้นมาแล้ว ย่อมมีการพิจารณารู้จริงเห็นแจ้งขึ้นมาอย่างนี้ ก็จะทำให้ทุกข์โทษของพวกกิเลสตัณหาดับสลายไปได้ แต่ถ้าขณะไหนที่กิเลสนี้เกิดขึ้นมาแล้ว นั่นแหละเป็นไฟประลัยกัลป์ไปทีเดียว แม้จะค่อยๆ ลุกขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยก็ตาม ถ้าไม่คอยดับเสียแต่ระยะต้นๆ แล้วก็เป็นไฟลามทุ่ง คือยิ่งคิดไปแล้วก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ทำให้ร้อนอกร้อนใจเรื่อยไปทีเดียว

    ฉะนั้น ทุกข์โทษสารพัดอย่าง ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่ยังมีอาสวะอยู่ จึงต้องให้สำรวจระวังโดยมีสติเป็นเครื่องปิดกั้น หรือมีการพิจารณาประกอบเอาไว้ เพราะว่าจิตใจนี่อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ ย่อมมีการแส่ส่ายไปตามความชินเคยของมัน และจะคอยสังเกตตรวจจับดูความเคลื่อนไหวของจิต โดยมีสติเป็นนายประตูคอยดู คอยรู้อยู่ ว่ามันจะมีการปรุง การคิด การจำขึ้นมาอย่างไร แล้วจะได้เป็นเครื่องดับเครื่องทำลาย เครื่องปล่อยเครื่องวางอะไรกับมันได้ อย่าให้มันเที่ยวซุกซนไปสำหรับการควบคุมนี้ก็เป็นของสำคัญมากทีเดียว ถ้าหากว่ามีการควบคุมทางอายตนะแล้ว ผัสสะนี่ก็ไม่มีทุกข์มีโทษอะไรมากมายนักแต่ต้องมีการเพ่งพิจารณาอยู่เป็นประจำจึงจะได้

    ทีนี้ เรื่องของการเผลอเพลินไปตามผัสสะหรือตามเวทนานี้ มักจะมีอยู่เป็นประจำ ซึ่งเป็นลักษณะของโมหะที่เป็นตัวความหลงใหลโดยหลงไปกับเวทนาที่เป็นสุขเป็นทุกข์ ทั้งไม่สุขไม่ทุกข์เหล่านี้ ถ้ามันไปหลงต่อเวทนาเป็นการยึดถือเวทนา ซึ่งมีสำคัญว่าเวทนานี้เป็นเวทนาของเรา และตัณหานี้มันจะเกิดขึ้นมาก็จะมีการดิ้นรนหรือแก้ไขไปต่างๆ นานา เพราะว่าลักษณะของทุกขเวทนาทางกายหรือจะเป็นทุกขเวทนาของจิตก็ตาม มันทำให้เกิดตัณหาง่ายๆ มันอยากจะผลักไสหรือมีการดิ้นรนอะไรเกิดขึ้นมา แต่ว่าในขณะไหนที่เป็นอุเบกขาเวทนามันก็เฉยๆ ได้หรือว่าสุขเวทนาเหล่านี้มันก็เฉยได้เหมือนกัน แต่สำหรับทุกข์นี่มันเฉยไม่ได้ จะต้องดิ้นรนกระวนกระวายขึ้นมาทีเดียว ฉะนั้นเราต้องสังเกตดูให้ใกล้ชิดว่า สุขเวทนาที่ไม่ดิ้นรน เป็นความเฉยๆ ในตัวของความรู้สึกของจิต มันมีความพอใจในความสุข หรือว่าพอใจในความเป็นอุเบกขาเวทนาอยู่ ที่มันก็ทำให้รู้สึกต่อความทุกข์นี่อย่างรุนแรงไม่กระจ่างนี่เอง จึงจำเป็นต้องพยายามทำข้อปฏิบัติ เพื่อพิจารณาเวทนานี้ให้เกิดความรู้ให้ได้ เพราะมันมีรสมีชาติมาก ทั้งสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาอะไร ในขณะที่เป็นปรกติเป็นกลาง หรือว่ามีการกระทบผัสสะก็ยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาทีเดียว และทุกข์นี้ก็ทำให้ร้อนอกร้อนใจขึ้นมาอีก เพราะว่าทุกข์กายหรือทุกข์ใจก็ตาม ที่ถูกกิเลสปรุงขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ก็ล้วนแต่เป็นโรคร้ายกาจอยู่ภายในตัวเองทั้งนั้น

    แต่ว่าขณะไหนที่ไม่ได้กำหนดไม่ได้พิจารณาแล้ว ก็วุ่นวายไปตามทุกข์ที่มันเกิดนั่นแหละ ถ้าทุกข์มากก็ยิ่งกระวนกระวายมาก ถ้าทุกข์น้อยก็ลดความกระวนกระวายลงหน่อย เพราะฉะนั้นทุกข์นี่แหละจะเป็นบทเรียน ทั้งทุกข์กายทุกข์ใจนี้ ต้องเรียนรู้กับมันให้ดีๆ และเรื่องความสุขนั้นก็อย่าไปเพลินเลย ส่วนเรื่องทุกข์นี้ก็เป็นของจริง ซึ่งจะต้องพิจารณาให้รู้เสีย ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว มันก็ไปเพลินๆ กับสุขบ้าง อุเบกขา เวทนาบ้าง เรื่องทุกข์นี้ก็มีประจำตลอดทุกอิริยาบถ มันก็เรื่องเปลี่ยนที่จะให้ได้ความสุขแต่ทั้งนี้เป็นความชินเคยมากเกินไป จนกระทั่งไม่รู้สึกว่า การเปลี่ยนนี้ต้องการเปลี่ยนเอาความสุข ถ้าเราจะดูมันให้ดีๆ ว่าทุกข์อย่างเดียวที่มันเกิดขึ้น ทุกข์อย่างเดียวที่มันดับ แล้วก็สุขเพราะเปลี่ยนใหม่ แต่ว่าสุขนิดๆ หน่อยๆ อย่าไปเอามันดีกว่า กำหนดรู้ทุกข์ให้ติดต่อเอาไว้จนกระทั่งจิตมีความเห็นชัดว่า นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเกิด และนอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรดับ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป ต้องตามเห็นความทุกข์ให้เป็นทุกข์ของขันธ์ล้วนๆ อย่าไปยึดถือว่าเป็นทุกข์ของเราเลย เฉพาะเรื่องทุกข์หรือเวทนานี้มันเป็นของละเอียด ในขั้นที่มีทุกขเวทนาทางกาย เป็นขั้นหยาบๆ นั่นมันก็ขั้นหนึ่ง ที่นี้ขั้นที่มันละเอียดๆ อีกขั้นหนึ่ง แล้วจิตใจที่มันกระวนกระวาย เพราะต้องการสุขเวทนาก็มากมายนัก เพราะเหตุนี้เวลาที่มีผัสสะอะไรมากระทบมันจึงเป็นผัสสะที่ว่องไว ไม่โสมนัสก็โทมนัส ชอบใจกับไม่ชอบใจขึ้นหน้าอยู่เรื่อย ทีนี้จิตที่ปรกติ เป็นกลาง วางเฉย มันจะได้รู้จักตรวจว่า ความไหวตัวที่ไปยึดถือว่าเป็นเวทนา แล้วมันก็เกิดตัณหา ทำให้ดิ้นรนกระวนกระวายอะไรขึ้นมา ถ้าจะกำหนดดูทุกข์ ก็กำหนดไม่ค่อยจะได้ เพราะตัณหามันเร่ง มันจะให้แก้ไข เช่นเรานั่งนานๆ แล้วก็ลองสังเกตดูซิ ถ้าว่ามีทุกขเวทนาอะไรเกิดขึ้น มันเร่งแล้ว มันจะได้แก้ไข จะให้เปลี่ยนโดยจะเอาความสุข ทีนี้ก็เปลี่ยนกันเรื่อยไปอย่างนี้ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ถ้าเกิดทุกข์แสบเผ็ดขึ้นมามากๆ เหมือนกับคนป่วยที่นอนแซ่วอยู่แล้วพลิกเองก็ไม่ได้ ลุกนั่งอะไรก็ไม่ได้ทั้งหมด ถ้าตัณหามันเร่งขึ้นมาจะทำอย่างไร มันน่าจะทำอย่างไร มันน่าจะพิจารณาเสียในขณะที่ยังมีเวลายังไม่ล้มหมอนนอนเสื่อเสียก่อน ถ้าจะกำหนดดูทุกขเวทนา ขณะที่ตัณหามันเร่งแล้ว จะปล่อยทุกขเวทนาได้ง่ายๆ เมื่อไร ถ้าไม่หัดไว้ก่อน เพราะเวลาดีๆ มันผ่อนตามหมดเสียแล้ว

    ในเรื่องอิริยาบถ ถ้าจะเปลี่ยนให้ได้คล่องไปทั้งหมดแล้ว ก็ไม่รู้สึกว่าเมื่อทุกขเวทนานี้เกิดขึ้นมาแล้ว ตัณหามันเร่งอย่างไร มันดิ้นรนขึ้นมาอย่างไร ถ้าไม่หัดก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเวทนานี้สำคัญมาก เนื่องจากมันมีปรากฏให้รู้ ให้เห็นอยู่ทุกขณะเดี๋ยวนี้ที่เป็นปรกติอยู่เดี๋ยวนี้ และทีนี้ถ้ามันเกิดราคะหรือปฏิฆะอะไร ที่มันเป็นความรุนแรงขึ้นมา จิตนี้มันถูกไฟไหม้ร้อนรนกระวนกระวายขึ้นมาจำทำอย่างไร? จะดับมันได้อย่างไร? มันต้องเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของตัวเองที่จะพิจารณาเวทนาให้รู้เรื่องจริงให้ได้ ถ้าไม่รู้แล้วมันยากในขณะเวทนาที่มันเป็นความไม่ชอบหรือไม่พอใจเกิดขึ้น จิตมันจะดิ้นรนกระวนกระวายใหญ่ มันจะเดือดร้อนใหญ่ แล้วจะดับมันอย่างไร ฉะนั้นจะต้องคิดค้นหรือพิจารณาให้ละเอียดแต่ก็ไม่ใช่ของง่ายถึงกระนั้นก็ต้องพยายามอยู่ดี เพราะว่าเรื่องเวทนานี้สำคัญที่สุดที่มันจะทำให้จิตใจวุ่นวายส่ายแส่ไปต่างๆ นานา

    บางทีแม้ไม่มีผัสสะมากระทบ แต่มันเกิดขึ้นมาภายในที่เป็นความรู้สึกของทุกข์ขึ้นมาเรียกว่าทุกข์ของขันธ์ แต่ว่าทุกข์ในลักษณะที่มันเกิดขึ้นมาของมันเองเราก็ไม่รู้ มันก็เข้าไปยึดถือว่านี่เราทุกข์ขึ้นมาแล้ว มันไปยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาอย่าไร แล้วให้คอยสังเกตดูว่า จิตใจที่มันยังไม่รู้เรื่องของเวทนา มันก็ยังไม่รู้เรื่องของตัณหา ที่มันเกิดซับซ้อนขึ้นมาอย่างไร ปรุงคิดขึ้นมาอย่างไร ดิ้นรนกระวนกระวายขึ้นมาอย่างไร ถ้าไม่สังเกตหรือไม่พิจารณาอดทนต่อสู้ต่อตัณหาอย่างนี้แล้ว มันจะวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ทั้งนั้น แล้วก็ไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะไปดับเวทนาได้

    เพราะว่าเวทนากับตัณหาควบคู่กันอยู่ ถ้ามีเวทนาก็ต้องมีตัณหา ถ้าลองแยกเวทนาดูแล้วดับตัณหาได้ เพราะเวทนานี่เป็นเวทนาล้วนๆ ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา แล้วตัณหามันก็สงบไปได้

    แต่ว่าความสงบของตัณหาชั่วคราวนี้ ก็ควบคู่กันต่อไปอีกเหมือนกัน มันสงบไปในลักษณะอย่างนี้ ประเดี๋ยวมันไปเกิดในลักษณะอย่างโน้นอีกมันจะดิ้นรนแก้ไข หรือจะมีความเพลิดเพลินไปในความสุข อย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาใหม่อีก เพราะฉะนั้นจะต้องคอยตามดูตามรู้ หรือต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อจะให้ทดลองเข้ากับทุกขเวทนาให้ได้เรื่อได้ราวขึ้นมาเสียก่อน เพราะว่าในโอกาสที่ยังดีๆ อยู่ก็พอจะทดลองได้ฝึกได้ เรียกว่าเป็นการซ้อมรบก็แล้วกัน ถ้าว่าไม่ทำในขณะที่ยังมีโอกาสที่จะรู้จะละในเรื่องของเวทนาแล้ว เมื่อมีเวทนาจัดเวลาป่วยไขขึ้นมา หรือว่ากิเลสที่มันปรุงขึ้นมาจัดๆ ก็ทุกข์ใหญ่ทีเดียว ทุกข์จนน้ำตานองหน้าแล้วกจะรู้วิธีดับอย่างไร? ถ้าเป็นเวทนาที่ประกอบไปด้วยกิเลส มันก็จะเผาให้จิตใจร้อนรุ่มกันใหญ่และความรู้สึกนึกคิดก็ล้วนแต่เป็นความรู้สึกที่ยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น มันก็ถูกรุมสุมเผาให้เร่าร้อนจนน้ำตานองหน้า แล้วจะเอาอะไรไปดับมัน ฉะนั้นต้องเตรียมพร้อมอยู่เรื่อยไม่ว่าทุกข์เล็กทุกข์น้อยอะไร ต้องพิจารณาปล่อยวางเอาไว้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะแย่ก็จะไปเพลินกับสุขนั่นแหละ อะไรนิดก็จะเอาสุข ที่ว่างๆ ไปชั่วประเดี๋ยวประด๋าวถ้ามัวไปหลงเพลินอยู่กับสุขอย่างนี้แล้ว มันจะโง่ตายหลงตายอยู่นี่เอง ถ้ามีอะไรที่ไม่ชอบขัดเคืองขึ้นมา กิเลสมันก็เกิดง่ายอีก เพราะว่ามันอยากจะได้ความสงบความว่าง ถ้าไม่สมอยากแล้ว มันก็จะลุกกระพือขึ้นมาอีกเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้น สองอารมณ์นี้เป็นของสำคัญ มันเป็นของหลอกลวงอยู่ทุกขณะก็ว่าได้ ทั้งสุขทั้งทุกข์ แล้วความพอใจในความสุขที่มันชุ่มแช่อยู่ เขาเรียกว่าไฟเย็น แล้วนี่มันก็ติดอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ติดอยู่กับความสุขสงบ ที่มันสงบเย็นเป็นความว่างอะไรขึ้นมา

    ทีนี้จะรู้ไหมว่านี่เป็นลักษณะของไฟเย็น ถ้าว่าไปหลงติดมันแล้วก็หลงเวียนอยู่นี่ อยู่ในสังสารวัฏ ถ้าไม่ได้พิจารณาให้เห็นความว่างหรือความสงบที่มันไปหมายในลักษณะของสุข หรือในลักษณะของอุเบกขา เวทนา ก็จะต้องไม่ไปหลงรสอร่อยของมัน ถ้าว่าไม่คืนคายได้แล้ว ต้องหลงรสอร่อยของเวทนาทั้งนั้น แล้วก็จะไปหลงติดอยู่ในขึ้น สมาธิ สมาบัติ ยังไม่มีการเห็นแจ้งแทงตลอดออกไปได้ ในที่สุดก็ต้องการอยู่แค่นี้ แล้วมันก็ไม่หลุดพ้นออกไป ที่จะหลุดพ้นได้นี้ ต้องเพ่งเวทนาทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหมด ไม่ติดรสอร่อยของเวทนา จึงต้องพิจารณาปล่อยวางเวทนาให้ได้ เป็นการดับตัณหาไปในตัว จิตจึงจะเป็นอิสระเหนือเวทนาได้ตามสมควร

    ท่าน ก.เขาสวนหลวง
     
  18. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    พิจารณาให้เห็นแจ้ง
    สำนักปฏิบัติธรรม เขาสวนหลวง ราชบุรี
    ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๕


    วันนี้จะได้ปรารภข้อปฏิบัติ เพราะว่าจวนใกล้เข้าพรรษาแล้ว ควรจะต้องมีการเตรียมตัวตัดกังวลอะไรให้น้อยลง เพราะว่าเรื่องข้อปฏิบัติ เป็นการจำกัดอยู่ในตัว ที่เราได้ปฏิบัติกันมาหลายปีแล้ว การเข้าพรรษาปีหนึ่งก็มาประชุมกัน เพื่อจะได้ทำการปฏิบัติให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นก็ต้องเตรียมปลดเรื่องกังวลทั้งหมดให้น้อยที่สุด แล้วจิตใจจะได้ไม่วุ่นวายส่ายแส่ออกไป จึงทำให้การอบรมข้อปฏิบัติมาแล้วนั้น เป็นเครื่องรู้ของตัวเองได้

    โดยเฉพาะการที่จะควบคุมจิตใจ หรือว่าทวารทั้งหกนี้จะต้องมีการสังวรระวังอย่างไร จึงจะทำให้เรื่องราวที่ผ่านทางหูทางตา จะได้ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น เฉพาะการปฏิบัติที่ได้มีการอบรมมา ก็เป็นที่รู้ได้ในเรื่องทุกข์โทษของกิเลส ไม่ว่าจะเป็นขั้นไหนแล้ว ก็ทำให้เตือนตนเอง สอนตัวเอง ได้มากมาย หลายอย่าง เพราะว่าการปฏิบัติธรรมนี้ไม่ใช่เรื่องอื่น มันเรื่องสอนตัวเองสอบตัวเอง เป็นเรื่องที่จะต้องข่มขี่ทิฏฐิมานะของตัวเอง ซึ่งล้วนแต่จะต้องใช้ เครื่องมือ คือสติปัญญาหมั่นอบรมเพื่อจะให้มันคมขึ้น แล้วจะได้ตัดหรือทำลายกิเลสได้ จึงเป็นกิจกรรมที่สำคัญยิ่งของชีวิตทุกรูปทุกนาม เพราะว่า การประพฤติปฏิบัตินี้ก็เพื่อทำลายกิเลสตัณหาอุปาทานให้ถอยกำลังเบาบางไป แล้วก็มีความสงบ และมีความบริสุทธิ์กายวาจาใจ ก็เป็นที่รู้ได้ว่า มีผลพ้นทุกข์อยู่อย่างไร? หรือว่ามีการเจริญขึ้นมาได้อย่างไร? แล้วจะต้องมีการประพฤติปฏิบัติให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างไร? ล้วนแต่เป็นปัญหา เฉพาะหน้าของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น เพราะเรื่องการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์นี้ เป็นเรื่องสำคัญในขณะที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ โดยที่ยังมีโอกาส ที่จะพิจารณาตัวเองได้มากมายหลายอย่าง ด้วยการพิจารณาให้รู้ทุกข์โทษของ กิเลส ตัณหา อุปาทานได้รายละเอียดแล้ว ก็เป็นการชำระล้างให้จิตใจ นี้มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมาได้แล้วก็อย่าปล่อยให้มันสกปรกเศร้าหมองไปเสีย

    เรื่องนี้ต้องมีความพยายามจริงๆ คือว่าจะทำเล่นไม่ได้ เพราะเรื่องกิเลสมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันคอยหาเรื่องที่จะคิดนึก ปรุงแต่งจิตใจ ให้มีการร้อนเร่า เศร้าหมองไปในลักษณะต่างๆ นานา ก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่ว่าจะต้องมีความพยายามอบรมข้อปฏิบัติ โดยมีการพินิจพิจารณาตัวเอง อยู่เป็นประจำ และเดี๋ยวนี้มันมีความรู้รายละเอียดขึ้นมาได้อย่างไรบ้าง? จะต้องเป็นการซักฟอกตัวเองอยู่ทุกวันทุกเวลาและทุกอิริยาบถ แล้วก็ทุกขณะทีเดียว เพราะว่าเรื่องของการปฏิบัติเป็นเรื่องละเอียดไม่ใช่เรื่องหยาบๆ ที่ว่ามีศีลอยู่เท่านี้ก็พอแล้ว หรือว่าใจสงบบ้างไม่สงบบ้าง ก็พอแล้วมันไม่ได้ เพราะว่าสิ่งแวดล้อมที่ทำให้มีประโยชน์ในด้านจิตใจก็คือ ไม่มีเรื่องกังวล และไม่มีกิจกรรมอะไรที่ทำให้มีการเผลอเพลินออกไป ทีนี้จะต้องรวบรัดตัดเรื่องราวให้สั้นลงไปอยู่ทุกวันทุกเวลา จิตนี้จะได้ไม่กล้าออกไปคิดนึกปรุงแต่ง หรือไปยึดถืออะไรเข้ามา มันก็อยู่อย่างสงบได้ แต่ว่ากรที่สงบอยู่เฉยๆ นั้น แม้ว่าจะไม่มีเรื่องราวอะไรเดือดเนื้อร้อนใจนัก แต่ก็อย่าไปเพลินเสีย เพราะว่าการอยู่ด้วยโมหะนี่มันเฉยๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว มันเป็นของสำคัญอยู่ ฉะนั้นจะต้องมีการเพ่งพินิจพิจารณาให้เป็นการรู้จริงแจ่มแจ้งจึงจะได้ ถ้าไม่พิจารณาให้รู้จริงแล้ว การอยู่เพลินๆ นี่มันก็ตกอยู่ในโมหะนั่นเอง แล้วก็ถึงคราวที่มีทุกข์อะไรแสบเผ็ดขึ้นมามันก็จะวุ่นวายไปอีก แต่ถ้าว่ามีสุขมันก็เพลิน มีทุกข์มันก็จะผลักไส ทั้งสองลักษณะนี้เป็นของสำคัญ เช่นในขณะที่วางเฉยก็เหมือนกัน ถ้าวางเฉยอยู่ด้วยความไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็ต้องเพียรเพ่งพิจารณาให้มันรู้เสีย จะได้กำจัดอวิชชาหรือดมหะที่ห่อหุ้มสันดานอยู่ และต้องแก้ปัญหาของตัวเองให้ทะลุออกไปให้ได้ เพราะว่ามันยังอยู่ในอำนาจของโมหะจึงทำให้มืดมัว ต่อจากนี้จะมีการเพียรเพ่งพิจารณาอย่างไร จึงจะเป็นการหยุดสงบ และเห็นแจ้งแทงตลอดได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน? หรือในอิริยาบถอย่างไร? ก็ต้องมีการ เพียรเพ่งอยู่เนืองนิตย์ มันจึงจะรู้เรื่องจริงขึ้นมาได้ โดยเห็นความเป็นมายาของตัวตนว่ายังต้องการอะไรอยู่? มันอยากได้อะไร อยู่ในลักษณะอย่างไร? ต้องมองย้อนกลับจังมันให้เหมือนกับเขาจับผู้ร้ายได้คาไม้คามือ จนไม่ให้มันออกไปเอาอะไร ไม่ให้มีเรื่องราวยุ่งยากเกิดขึ้น แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่างเดียวจึงจะทำให้ทุกข์เหล่านั้นดับไปได้

    ทีนี้ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันเราย่อมรู้ว่า การไม่ยึดมั่นถือมั่นนี่ มันเป็นการพ้นทุกข์เรื่องไปทีเดียว แต่ว่าตราบใดที่ยังไม่รู้จริงเห็นแจ้ง ในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของรูปนามขันธ์ห้าแล้ว มันก็ยังยึดตัวตนอยู่นั่นเอง แม้ว่าจะไม่ไปยึดภายนอก แต่ก็ยังยึดถืออยู่ในตัวมันเอง แล้วจะทำอย่างไรดีในเรื่องนี้ ฉะนั้นจะต้องแก้ปัญหาของตัวเองเสียก่อน ถ้ามันยัดยึดถืออยู่อย่างนี้แล้ว ก็ยังอยู่ในทุกข์อยู่ในโลกนั่นเอง ถึงจะไม่ได้ไป ทำหยาบช้าอะไร เหมือนที่เขาทำกันเป็นคนทุศีล และมันก็อยู่อย่างงมงายอยู่นั่นเอง ยังไม่รู้ว่าเรือนไฟไหม้นี้จะแตกสลายพังไปมิวันใดก็วันหนึ่ง ถ้าว่ายังมีความเพลิดเพลินมัวเมาประมาทอยู่แล้ว ตายแล้วเกิดอีก ดีบ้างชั่วบ้าง บุญหรือบาปอะไรก็ยังทำอยู่อย่างนี้มันก็อยู่ในทุกข์ในโลกนี้ร่ำไป ถ้าหากว่ามีปัญญาโดยเห็นว่าการอยู่ในโลกนี้มันซ้ำซากมามากแล้ว และทำอย่างไรจึงจะออกไปให้พ้นโลก คือว่าจะไม่ต้องมีทุกข์หรือมีกิเลสต่อไปอีก เพราะว่าข้อปฏิบัติที่ทำอยู่ทุกวันนี้ มันยังไม่เห็นแจ้งแทงตลอดออกไปได้นั่นเอง ฉะนั้นจะมานิ่งนอนใจไม่ได้ ควรจะต้องคิดนึกศึกษาพิจารณาอย่างไร? เพื่อหาหนทางที่จะเห็นแจ้งแทงตลอดออกไปให้ได้ ไม่ใช่มัวเมาเพลิดเพลินอยู่ เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องเตือนตัวเองอยู่หลายอย่าง ในเมื่อเห็นทุกข์โทษ ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของความมีกิเลสตัณหาอุปาทานแล้วก็จะต้องพยายาม เพื่อเดินตามรอยของพระอริยเจ้า ที่ท่านเดินไปข้างหน้าแต่เรานี้ยังล้าหลังอยู่ ฉะนั้นต้องเตือนตัวเองทุกวันทุกเวลานาทีของชีวิตนี้ อย่าได้อยู่ด้วยความประมาท มัวเมาเพลิดเพลิน เป็นอันขาด เพราะว่ามันยังมีโอกาสที่จะพิจารณาให้รู้แจ้งแทงตลอดออกไปให้ได้จึงจะสมกับความมุ่งหวังว่า เราได้มีการปฏิบัติตามรอย ของพระอรหันต์ เพราะว่าได้เห็นทุกข์เห็นโทษของการอยู่ในสังสารวัฏนี้มากพอสมควร และก็น่าเบื่อหน่ายไปทุกทีแล้ว
     
  19. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    เพราะฉะนั้นจะต้องมีการพิจารณาปล่อยวางอยู่เรื่อยๆไม่ให้มีการยึดมั่นถือมั่นในตัวของมันเองแม้ว่าจะไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งภายนอกแล้วก็ตามแต่ว่าตัวของมันเองนี้ยังเป็นตัวมันเองอยู่นี่ เป็นตัวไปตัวมาในที่สุดก็ตัวโง่นี่แหละ แล้วก็จะจัดการกับมันอย่างไรดี? ตัวที่อยู่นี่มันตัวโง่ใช่ไหม? มันอยากจะอยู่เอาอะไร? อยากจะไปไหน? หรือมันอยากจะมา? ซึ่งล้วนแต่จะต้องพิจารณาให้ทั่วถึงแล้วจะได้เห็นว่าตัวนี้มันตัวหลอก ไม่ใช่ตัวจริงตัวจังอะไรเลยเพราะว่าตัวเรานี้เกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตาย ล้วนแต่เป็นตัวหลอกเป็นตัวที่ทำให้ลุ่มหลงเพลิดเพลินไปกับมันทั้งนั้น

    หรือว่าตัวนี้ก็เป็นตัวตัณหาที่เป็นภวตัณหาคือความอยากมีอยากเป็นนั่นเองเพราะฉะนั้นจะต้องมองให้รู้แจ้งแทงตลอดตัวภวตัณหานี้ที่มันอยากมี อยากเป็นนักและก็อยากได้รสอร่อยทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่เป็นกามตัณหาขึ้นมาอีก ฉะนั้นจะต้องมีการพิจารณาเข้าไปจับศัตรูงูพิษข้างในอย่างไร ควรพิจารณาให้ละเอียด ถ้าจะพิจารณากันหยาบๆ แล้วก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่นั่นเอง จะต้องให้เห็นแจ้งแทงตลอดเข้าไปให้ได้แม้แต่ในขั้น ที่จะต้องอบรมจิตโดยให้ทำกัมมัฏฐานภาวนา ก็ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นเมื่อทำกัมมัฏฐานแล้ว มันหยุด มันสงบไม่ฟุ้งซ่าน ก็จะได้มองดูข้างใน มองเข้าไปให้พอสภาวะของจิต ขณะที่ยังไม่มีการคิดนึกปรุงแต่งอะไรแต่ว่ายังหลงยึดถือตัวมันอยู่ มันจะต้องรู้แจ้งแทงตลอดเข้าไปว่า ตัวของมันไม่มีมีแต่ความรู้สึก เพราะความโง่ที่ไปหลงยึดถือตัวเองอยู่แม้ว่าชีวิตนี้ก็ไม่ใช่เป็นของตัวเองแต่ก็ยังยึดถือว่าเป็นของตัวอยู่นั่นแหละ

    นี่มันจะต้องมองเข้ามาจับความมีมายาของตัวตนในการที่มีชีวิตให้ได้ความกระจ่างแจ้งว่า มันเป็นแต่เพียงรูปธาตุนามธาตุเท่านั้นแต่เมื่อยังมีความโง่เขลาอยู่ก็ยึดมั่นถือมั่นเอารูปธาตุนามธาตุมาเป็นตัวตนเสียหมดเพราะฉะนั้นจะต้องมองย้อนเข้าไปดับตัวรูปธาตุ นามธาตุ นี้ว่ามันไม่ใช่เป็นตัวเราเป็นของของเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะให้เห็นแจ้งแทงตลอดเข้าไปสู่สุญญตา คือ
     
  20. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ทีนี้ก็ไปเผชิญหน้าอยู่กับความว่างต้องมองให้เห็นชัดอย่างนี้ว่าความรู้ที่มันกลับกลอกหลอกหลอนสลับซับซ้อนอยู่หลายแง่นี้ในที่สุดก็ ดับหมดเหลืออยู่แต่ความว่าง ไม่มีอะไร แล้วรู้นี่มันหลอกหลายชั้นมันเป็นเงาลวงของความคิดก็ได้ หรือเป็นความรู้สึกของวิญญาณก็ได้ แต่ว่ามันไม่มี มันดับ เราจับความเป็นมายาของมันได้ก็คือว่ามัน ดับไม่มีอะไรเหลือส่วนตรงที่มันดับไปไม่มีอะไรเหลือ ก็ไม่มีความยึดถืออะไร ก็เลยเผชิญหน้าอยู่กับสุญญตา คือ ความว่าง
     

แชร์หน้านี้

Loading...