-
โดย เอกชัย จุละจาริตต์
ประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นเมืองพุทธ เพราะมีศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ภาษา วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ววิถีชีวิตที่สืบเนื่องมาจากพระพุทธศาสนา และคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน
ถึงแม้จะเป็นเมืองพุทธ แต่ก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ขณะนี้ ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะของวิกฤตทางคุณธรรมอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง.<O:p></O:p>
วิกฤตทางคุณธรรมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น สืบเนื่องมาจากการแตกแยกทางความคิด จนถึงขั้นคิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดีกับตนเองและหรือผู้อื่นอย่างรุนแรง จึงเป็นเหตุให้แตกแยก ไม่มีความรักและสามัคคีกัน ทั้งในครอบครัว องค์กร สังคม และประเทศชาติ ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติอย่างมากมาย จนขาดคุณสมบัติของความเป็นเมืองพุทธและชาวพุทธแท้ไปโดยปริยาย.<O:p></O:p>
นอกจากปัญหาทางการเมืองแล้ว ยังมีปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดจากการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นในรูปแบบต่าง ๆ อย่างรุนแรง จนเรือนจำไม่เพียงพอสำหรับนักโทษที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วจากการทำผิดกฎหมายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด รีดไถ ปล้นจี้ เล่นการพนัน หลอกลวง ปั่นหุ้น ต้มตุ๋น โกงภาษี คอร์รับชั่น ฉ้อโกง ข่มขู่ ปิดถนน อุบัติเหตุ ข่มขืน ค้าประเวณี ทำร้ายหรือฆ่าตนเองและหรือผู้อื่น เป็นต้น. ซึ่งล้วนเป็นปัญหาที่เกิดจากความตกต่ำทางคุณธรรมอย่างมากมาย เพราะปัจจุบัน คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ได้เป็นชาวพุทธแท้.<O:p></O:p>
ถ้าสอบถามผู้ที่สร้างปัญหาต่าง ๆ ดังที่กล่าวแล้วว่า เป็นคนที่นับถือศาสนาใด ? ส่วนใหญ่ก็คงจะตอบได้ทันทีว่า นับถือศาสนาพุทธ.<O:p></O:p>
โดยหลักการแล้ว คนที่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นอย่างรุนแรง ไม่ใช่ชาวพุทธแท้ เพราะชาวพุทธแท้จะต้องพยายามมีสติปฏิบัติตนตามโอวาทปาฏิโมกข์ คือ ละความชั่ว มุ่งทำแต่ความดี และทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นผู้ที่มีสติคิดดี พูดดี ทำดี และรู้รักสามัคคีตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.<O:p></O:p>
ประเทศไทยจะเป็นเมืองพุทธแท้ได้ ก็เพราะคนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธแท้ และเมื่อคนส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธแท้ วิกฤตทางคุณธรรมก็จะลดลง ความรุนแรงก็จะลดลงหรือหมดไปได้.<O:p></O:p>
เนื่องจากพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ถูกปลูกฝังอยู่ในจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่มาตั้งแต่เกิด. ดังนั้น การจะฟื้นฟูและเพิ่มพูนความรู้และความสามารถทางธรรมอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงให้กับคนไทย จึงน่าจะเป็นช่องทางแรกที่จะทำให้คุณธรรมในจิตใจกลับฟื้นคืนมาหรือเพิ่มพูนมากขึ้น.<O:p></O:p>
จากการศึกษาพุทธประวัติ จะพบว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าตรัสสอนอริยสัจ ๔ เป็นหลัก ผู้ที่ได้ฟังธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ จากพระพุทธเจ้าโดยตรง และฟังด้วยความเข้าใจ รวมทั้งสามารถจดจำไว้ได้ตามสมควร ย่อมรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงในเรื่องอริยสัจ ๔ ในเบื้องต้น.<O:p></O:p>
โดยหลักการแล้ว ชาวพุทธแท้ต้องมีความรู้และความสามารถขั้นพื้นฐานหรือเบื้องต้นตามหลักธรรมที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ รวมทั้งสามารถประเมินผลของการศึกษาและปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันของตนเองอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ก็จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมและเริ่มเข้าสู่กระแสของความดับทุกข์หรือนิพพานนั่นเอง.<O:p></O:p>
ผู้เขียนสนใจศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เด็ก กว่าจะเข้าใจเรื่องอริยสัจ ๔ ก็เมื่ออายุ ๕๘ ปี. ครั้นเข้าใจได้บ้างแล้ว ก็พยายามทำประโยชน์ให้กับสังคม โดยการนำเสนอมุมมองหรือแนวคิดอย่างง่าย ๆ จากประสบการณ์ตรง เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้ข้อมูลธรรมเบื้องต้น ซึ่งอาจเป็นผลให้บางท่านสามารถเข้าถึงแก่นธรรมได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลามากมายเช่นผู้เขียน.<O:p></O:p>
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ จะแทรกวิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิต ประจำวันอย่างง่าย ๆ ตั้งแต่บทแรก ๆ. ดังนั้น จึงขอได้โปรดฝึกปฏิบัติธรรมตั้งแต่แรกไปด้วย ไม่ใช่อ่านจบแล้วจึงฝึก. ทั้งนี้ ก็เพื่อที่ท่านจะได้ตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงไปพร้อม ๆ กัน รวมทั้งได้รับผลจากการฝึกปฏิบัติธรรมไปด้วย.<O:p></O:p>
ขอให้กำลังใจว่า ทุกวินาทีที่ท่านฝึกปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้อง ท่านก็จะสามารถเข้าถึงภาวะของจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส และพ้นจากความทุกข์ทางจิตใจได้ทันที ซึ่งเป็นเรื่องง่ายและใกล้ตัว.<O:p></O:p>
ชาวพุทธทุกคนควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะจะช่วยให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า ความเป็นชาวพุทธแท้ควรมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ? และทำอย่างไรจึงจะมีคุณสมบัติของความเป็นชาวพุทธแท้ ? เพื่อจะได้สามารถดำเนินชีวิตตามรูปแบบของชาวพุทธแท้ได้อย่างถูกต้อง.<O:p></O:p>
ในการอ่านหนังสือเล่มนี้ ขอให้พิจารณาอย่างละเอียด พร้อมทั้งตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงโดยไม่หลงเชื่อ จึงจะทำให้เกิดความรู้หรือปัญญาทางธรรมอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง.<O:p></O:p>
เมื่อท่านได้รับประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้บ้างแล้ว ก็ขอได้โปรดพิจารณาเผยแพร่ต่อไปตามเหตุปัจจัย และถ้าหากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขอได้โปรดให้อภัยแก่ผู้เขียนด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง.<O:p></O:p>
นายเอกชัย จุละจาริตต์ กรกฎาคม 2551<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
สารบัญ<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
คำนำ ๓<O:p></O:p>
บทที่ ๑ บทนำ: อ๋อ! พุทธแท้เป็นเช่นนี้เอง ๙<O:p></O:p>
ภาคปฏิบัติ: วิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ตอนที่ ๑ ๑๙<O:p></O:p>
บทที่ ๒ ทุกข์ ๒๐<O:p></O:p>
บทที่ ๓ สมุทัย ๒๗<O:p></O:p>
ภาคปฏิบัติ: วิธีฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ตอนที่ ๒ ๕๐<O:p></O:p>
บทที่ ๔ นิโรธ ๕๑บทที่ ๕ มรรค ตอน: วิธีฝึกเจริญสติ ๗๑<O:p></O:p>
บทที่ ๖ มรรค ตอน: วิธีฝึกเจริญสมาธิ ๑๒๑<O:p></O:p>
บทที่ ๗ มรรค ตอน: มรรคมีองค์ ๘ ๑๔๖<O:p></O:p>
บทที่ ๘ สรุป ๑๖๔<O:p></O:p>
บันทึกท้ายเล่ม ๑๖๗<O:p></O:p>
รายการบรรยายธรรมสำหรับประชาขน ๑๗๑<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
<O:p> </O:p>
คำบูชาพระรัตนตรัย<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา,<O:p></O:p>
พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง, ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง;<O:p></O:p>
พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ.<O:p></O:p>
ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน.<O:p></O:p>
(กราบ)<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,<O:p></O:p>
พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว;<O:p></O:p>
ธัมมัง นะมัสสามิ.<O:p></O:p>
ข้าพเจ้ามนัสการพระธรรม.<O:p></O:p>
(กราบ)<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,<O:p></O:p>
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, ปฏิบัติดีแล้ว;<O:p></O:p>
สังฆัง นะมามิ.<O:p></O:p>
ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์.<O:p></O:p>
(กราบ)<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
อ๋อ! พุทธแท้<O:p></O:p>
เป็นเช่นนี้เอง<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
บทที่ ๑<O:p></O:p>
บทนำ<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
อริยสัจ ๔ เป็นหลักธรรมทางด้านจิตใจของมนุษย์ที่ง่ายแก่การเรียนรู้ เข้าใจ และเมื่อนำไปปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ย่อมจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง คือ ทำให้สามารถละความชั่วทั้งปวง มุ่งทำแต่ความดี และทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส เป็นบุคคลที่ประเสริฐ ปราศจากความทุกข์ที่เกิดจากความชั่วทั้งปวง พร้อมทั้งสามารถมีสติในการทำกิจต่าง ๆ และดำเนินชีวิตได้อย่างดีงาม มีประสิทธิภาพ มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม ก่อให้เกิดความเจริญ ความมั่นคง และความผาสุกอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นผลดีต่อตนเอง ผู้อื่น ครอบครัว องค์กร สังคม สัตว์ สิ่งแววดล้อม ธรรมชาติ และประเทศชาติ.<O:p></O:p>
ผู้ที่มีความรู้และความสามารถในการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมในอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้อง ตามความเป็นจริง และมีครบถ้วนตามสมควร หรือมีอย่างเพียงพอ ครั้นลงมือปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ก็จะได้รับประโยชน์ดังกล่าวแล้วในทันที โดยไม่ต้องรอที่ชาติหน้า ซึ่งเป็นคุณสมบัติของชาวพุทธแท้.<O:p></O:p>
ชาวพุทธที่ยังไม่มีความรู้และความสามารถในการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมในอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง หรือยังมีไม่ครบถ้วน หรือยังมีไม่เพียงพอ จึงยังไม่เป็นชาวพุทธแท้.<O:p></O:p>
<O:p></O:p>
วิชาอริยสัจ ๔ เกิดจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า <O:p></O:p>
พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลาในการค้นคว้าวิจัย(ธัมมวิจัย)ด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นเวลานานถึง ๖ ปี.<O:p></O:p>
ในที่สุด พระองค์ทรงค้นพบความจริงหรือสัจธรรมทางด้านจิตใจของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการละชั่ว มุ่งทำแต่ความดี และทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งเป็นผลให้จิตใจมีความประเสริฐ มีความสุขสงบ รวมทั้งพ้นจากความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิดจากความชั่วทั้งปวง.<O:p></O:p>
การตรัสรู้สัจธรรมของพระพุทธเจ้าในด้านจิตใจของมนุษย์ดังกล่าวแล้ว คือ การตรัสรู้เรื่องอริยสัจ ๔ นั่นเอง. ดังนั้น อริยสัจ ๔ จึงเป็นแก่นธรรมของวิชาพุทธศาสตร์หรือของพระพุทธศาสนา.<O:p></O:p>
หลังจากการตรัสรู้เรื่องอริยสัจ ๔ แล้ว พระองค์ทรงเผยแพร่โดยการเสด็จไปแสดงธรรม ณ สถานที่ต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ตามที่ทรงตรัสรู้เป็นหลัก.<O:p></O:p>
ผู้ที่ได้เรียนรู้เรื่องอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามความเป็นจริง ด้วยการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า หรือจากพระอรหันต์โดยตรง หรือผู้ที่รู้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีความรู้หรือมีปัญญาเห็นธรรมหรือมีดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และตรัสสอนนั่นเอง.<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
อริยสัจ ๔ เป็นเรื่องง่ายและใกล้ตัว<O:p></O:p>
ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการหรืออริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และตรัสสอนนั้น เป็นเรื่องที่ง่าย เปิดเผย แจ้งชัด ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ ซึ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนและถูกจารึกไว้ในพระไตรปิฎกว่า
-