เกิดมาทำไม พระอาจารย์เหรียญ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Kenny17, 14 กรกฎาคม 2011.

  1. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    คนเราไม่ใช่เกิดมาเล่น ไม่ใช่เกิดมาเพื่อความรักความใคร่ ในรูป ในเสียง ในกลิ่นในรส ในเครื่องสัมผัสต่างๆแต่เพียงเท่านี้ ถ้าบุคคลใดเกิดมาเพื่อผูกพันกับสิ่งเหล่านี้โดยส่วนเดียวแล้ว ชีวิตของผู้นั้นก็เป็นหมัน ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะว่าใครๆ ก็ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า กามคุณทั้ง๕ นั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน แม้ว่าใครจะผูกพันกับสิ่งเหล่านั้นเท่าไร มันก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นแก่นเป็นสาร ก็บรรดารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั้งหลายมันก็มีอยู่ในตัวนี้หมดแล้ว ไม่ใช่มีแต่ภายนอกเท่านั้น รูปก็ได้แก่รูปร่างกายทุกส่วนนี้ เสียงเนี่ย เสียงคำพูดคำจาต่างๆนี้ มันก็มีอยู่ในนี่นิ กลิ่นอย่างนี้นะมันก็มีอยู่ในนี้ในกายนี้ รสก็มีอยู่นี้ สัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็มีอยู่ในนี้ ลองคิดดูว่าจะมีอยู่ที่ไหนล่ะ มันมีอยู่ในนี้แล้ว ที่นี้เมื่อเรามาเพ่งดูในนี้เห็นว่ามันไม่เที่ยงไม่สดสวยงดงามอะไรเลยอย่างนี้ เมื่อมันเห็นรูปอันนี้มันไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่สวยไม่งามแล้ว รูปอื่นมันก็ไม่สวยไม่งามเหมือนกันนั่นแหละ เหมือนกัน เสียง กลิ่น รสก็ดี สัมผัสทั้งหลายก็เหมือนกันน่ะ เมื่อเห็นในนี้มันไม่เที่ยงยั่งยืนอะไรแล้ว ภายนอกโน่นมันก็ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนเหมือนกัน เมื่อเห็นในนี้ว่าไม่น่าเป็นสิ่งที่ปรารถนาไม่น่าพอใจอะไร อย่างนี้มันก็ต้องเห็นสิ่งภายนอกไม่น่าปรารถนาไม่น่าพอใจเหมือนกันน่ะ แต่ว่าทำอย่างไรได้ ไหนๆมันก็ได้เกิดมาแล้ว ได้มาอาศัยอยู่ขันธ์ ๕นี้แล้ว จะฆ่าตัวตายเสียอย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้องก็เป็นกรรมเป็นเวร เมื่อบุคคลมารู้อย่างนี้แล้วก็ต้องพิจารณาให้เห็นว่า การที่เราได้ขันธ์ ๕ อันเป็นรูปร่างของมนุษย์มานี่นะ บุญกรรมตกแต่งให้มาเพื่อให้เราได้สร้างบุญบารมีเพิ่มเติมของเก่า ให้มันมากขึ้นไปโดยลำดับจนกว่ามันจะเต็มบริบูรณ์ คนเราเนี่ยถ้าบุญถ้าสั่งสมบุญไม่เต็มบริบูรณ์ตราบใดแล้ว ก็จะไม่ยุติลงได้เลยจากการท่องเที่ยวเกิด แก่ เจ็บ ตายในโลกนี่นะ ก็จะท่องเทียวเกิด แก่ เจ็บ ตายในโลกนี้ร่ำไปอยู่อย่างนั้นแหละ เรียกว่าเราท่องเที่ยวเกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมีเพื่อให้มันเต็ม แต่ว่าบางคนก็ลืมตัวอย่างนี่น่ะ ตนเกิดมานึกไม่ได้ว่าตนเกิดมาสร้างบุญบารมี นึกไม่ได้ก็เลยเมาอยู่กับโลกนี้ไปเลยส่วนเดียว ดังที่เราเห็นกันอยู่น่ะบางคนน่ะ ไม่ได้สนใจเลยในการบุญการกุศลอะไรเลย ไม่สนใจในการที่จะละความชั่วทำความดีอะไร ก็อยู่ไปกินไปตามยถากรรมอย่างนั้นมีอยู่ถมไป เนี่ยเรียกว่าคนเรามันลืมตัวนะ มันลืมเหตุปัจจัยของชีวิต มืดแปดด้านเอาจริงๆนะไม่รู้ตนเกิดมาเพื่ออะไร ไม่รู้จุดประสงค์เลยนั่นแหละ ทีนี้ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะเคยมีศรัทธามั่นในบุญในกุศลมาแต่ชาติก่อนโน้น พอเกิดมาชาตินี้บุญเก่านั่นแหละมันมาเตือนใจให้ระลึกได้ ให้ระลึกว่าเออนี่เราเกิดมานี่ เราเกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมี บุญบารมีที่เราทำมานั้นมันยังไม่เต็ม มันยังน้อยอยู่ จำเป็นที่เราจะต้องพยายามสร้างบุญบารมีให้มากที่สุดในชีวิตของเรา แล้วก็ในขณะเดียวกัน สิ่งใดเป็นบาปเป็นโทษ เราจะพยายามละเว้นให้มันหมดไปเลย จะไม่สะสมมันไว้ ขึ้นชื่อว่าบาปเพราะมันก่อให้เกิดทุกข์ อันผู้ใดมาระลึกถึงตัวเองได้อย่างนี้นับว่าโชคดีเหลือเกินนะ นับว่าเป็นคนมีมงคลอยู่ในตนมากมายทีเดียวแหละ เพราะว่าผู้นั้นจะได้พยายามสั่งสมบุญกุศลให้มากขึ้นในตนของตนในเวลาที่มีชีวิตเป็นอยู่เนี่ย เพราะว่าชีวิตของคนเราในยุคนี้สมัยนี้มันน้อยเหลือเกินนะ ถ้าใครไม่รีบเร่งทำความดีไม่รีบเร่งละความชั่วแล้ว ก็จะไม่ได้ทำเลยพอจะอ้างโน่นอ้างนี่อยู่อย่างนี้ละก็ไปไปหน่อยนึงความตายมาถึงแล้วก็แล้วเลย ไม่ได้สั่งสมบุญกุศลแล้วไม่ได้ละความชั่ว ความชั่วมีอยู่ในใจอย่างไรมันก็ติดสอยห้อยตามก่อทุกข์ให้ไปในชาติหน้าต่อไปอีกน่ะ อย่างนี้แหละมันจึงน่าเสียดายนะคนเราถ้าหากว่าเป็นอย่างว่านี้นะ ผู้ใดรู้ตัวได้แล้วอย่างนี้มาสำรวจตรวจดูตนของตน เมื่อไปเห็นว่าความชั่วอันใดมีอยู่ในจิตสันดานของตนอย่างนี่แล้ว ก็เพียรพยายามละให้มันหมดไปสิ้นไปจากจิตใจให้ได้ นี่นับว่าเป็นวาสนาของผู้นั้นเลย ผู้นั้นเกิดมาเพื่อชำระล้างตัวเองที่สกปรกมัวหมองมาแต่ชาติก่อนโน้น ให้เป็นคนสะอาดสะอ้าน นั่นแหละเราเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นน้ำสำหรับล้างกิเลสอันมันทำให้ตัวเองมัวหมองมานั่นนะ เช่นอย่างเอาทาน การให้ การบริจาคนี้เป็นน้ำสำหรับล้างความโลภ ความตระหนี่หวงแหนต่างๆออกไปจากจิตใจ เอาศีลหรือเมตตากรุณาธรรม นี่เป็นน้ำสำหรับล้างความโกรธความพยาบาทต่างๆให้ออกไปจากจิตใจนี้

    ข้อความข้างบนนี้ถอดมาจากไฟล์ที่โหลดมานานแล้วจนจำไม่ได้ว่ามาจากที่ใดและก็ไม่แน่ใจว่าพระสงฆ์ที่แสดงธรรมนี้อยู่ที่วัดใด ต้องขออภัยผู้ที่นำมาโพสให้โหลดด้วย เพียงแต่รู้ว่าท่านชื่ออาจารย์เหรียญ คือว่าหลังที่ที่ได้ฟังแล้วรู้สึกว่าดีมีประโยชน์ ก็เลยนำมาให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณากันดู<O:p</O:p
     
  2. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    เจอแล้วครับท่านคือหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ​
     
  3. จันทิพา

    จันทิพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +460
    อนุโมทนาบุญ..ขอขอบคุณที่อุตส่าห์นำธรรมทานดีๆ มาให้อ่านค่ะ
     
  4. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ มีประโยชน์มาก ขออนุโมทนาด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    ต่อจากข้างบนนะครับ

    ความโกรธความพยาบาทต่างๆนี้ บุคคลจะไปเอาสิ่งอื่นมาล้างน่ะมันไม่ได้นะ มันไม่ออกนะ มันไม่ยอมออกจากจิตใจเลยถ้าไปเอาสิ่งอื่น จะไปเอามนต์ กล คาถาอันวิเศษใดๆในโลกนี้ก็ตาม มาสาธยาย มาบริกรรมเท่าไรความโกรธนี่มันหาได้เบาบางไม่ เพราะว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน อย่างนั้นก็ควรพากันเข้าใจในเนื้อหาแห่งความโกรธให้ได้

    ความโกรธนี่มันหมายความว่าอย่างไร เนื้อในใจความน่ะ ความโกรธนี่ก็คือจิตใจที่ปราศจากเมตตานั่นเอง ปราศจากความรักใคร่เอ็นดูนั่นแหละ ความโกรธนี้ก็หมายเอาความที่จิตใจหวังก่อความพินาศให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือว่าสัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง นั่นแหละเรียกว่าความโกรธ เนื้อในใจความแห่งความโกรธน่ะมันเป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตใจมันมีความมุ่งหมายอยู่อย่างนี้ เราจะไปเอาคาถาอาคมอื่นมาสาธยายกำจัดนี้มันจะไปได้อย่างไร นั่นแหละมันก็ต้องเอาความเอ็นดูกรุณาเนี่ยมาลบล้างกัน มาน้อมจิตใจลงเพื่อความเอ็นดูสงสารในฐานที่เกิดมาแล้วเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เรียกว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันนะ ไม่ใช่ว่าเป็นผู้วิเศษมีชีวิตยั่งยืนอะไรน่ะ เราเกิดมาแล้ว แก่ เจ็บ ตายฉันใดคนอื่นก็แก่ เจ็บ ตายเหมือนกันนะ ไม่มีใครจะยั่งยืนอยู่บนโลกนี้ได้ตลอดไป เพราะฉะนั้นถึงได้ว่าเราจะไปเบียดเบียนเขา จะไปทำลายล้างชีวิตเขาหรือไม่ก็ตามน่ะ รูปร่างอันนี้มันก็ถึงเวลามันแตกดับ มันก็แตกดับไปเองนั่นเลย เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ต้องดำริที่จะไปทำลายล้างผลาญรูปร่างของใครต่อใครในโลกนี้เลย ไม่จำเป็นนะ เพราะว่ามันจะแตกจะดับของมันอยู่แล้วนะไม่จำเป็นต้องไปทำลายล้างมันเลย เพราะถ้าผู้ใดไปคิดทำลายล้างอย่างว่านี้มันก็เป็นกรรมเป็นเวร ตามสนองให้เป็นทุกข์ไม่รู้จบรู้สิ้น นี่มันต้องพิจารณาให้เห็นอย่างนี้มันถึงบรรเทาความโกรธความพยาบาทลงได้คนเราน่ะ

    อันนี้แหละนับว่าเป็นน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเลย น้ำเมตตาน้ำกรุณานี่อันนี้เป็นน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ทีเดียวในพระพุทธศาสนานี้นะ ดังนั้นทุกคนต้องดื่ม ต้องพยายามดื่มน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ในใจ ไม่ใช่ดื่มไว้ในร่างกายนะดื่มไว้ในใจนั่นแหละ น้อมเข้าไปสู่จิตใจให้ได้ ไม่ใช่ว่าเพียงแต่จำเอาแต่ตัวหนังสือไว้ได้เท่านั้นแล้ว นึกว่าตนมีเมตตาธรรมอยู่ในใจแล้ว ไม่ใช่ เพียงแค่นั้นไม่มีความหมายอะไรเท่าไรนัก ต่อเมื่อเราน้อมนำเอาคำว่าเมตตาธรรมอันนี้เข้าไปถึงจิตใจจริงๆในใจของตนนั่นแหละ คิดมุ่งหวังว่าที่จะพยายามทำตนให้เป็นสุขและจะช่วยให้ผู้อื่นเป็นสุขเหมือนกันเท่าที่จะช่วยได้ ในใจนั้นไม่คิดที่จะทำลายล้างผลาญใครให้เป็นทุกข์เดือดร้อนเลย แม้ใครจะแสดงตนเป็นศัตรูต่อตนก็ช่าง นี่ความเป็นผู้ตั้งใจไว้อย่างนี้เสมอเสมอไปน่ะ อย่างนี้แหละความโกรธความพยาบาทมันถึงเบาบางลงไปจากจิตใจได้ใจก็จึงสงบแน่วแน่ ถ้าหากว่าใครยังสะสมกิเลสเหล่านี้ไว้ในใจก็ ใจนั้นสงบไม่ได้เลยมันจะต้องฟุ้งซ่านเลื่อนลอยอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะกิเลสนี่มันไม่ยอมให้ใจสงบนะ ลักษณะของกิเลสมีแต่มันปั่นใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไปอยู่อย่างนั้น อันนี้เป็นลักษณะของกิเลส อีกลักษณะหนึ่งกระทำใจให้เศร้าหมองขุ่นมัวนั่นแหละ คนเรานี้ถ้าหากว่าจิตใจเศร้าหมองขุ่นมัวแล้วไม่มีความสุขเลย จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัวแล้วหน้าตาก็หม่นหมองไม่ผ่องใสไม่เบิกบาน เป็นอย่างนั้น เพราะว่ากายกับจิตมันเนื่องกัน เมื่อจิตมันหมุนไปอย่างไร มันมีลักษณะอาการอย่างไรมันก็ทำให้ร่างกายนี้เปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของจิตนั้นได้ เพราะว่าจิตนั้นมันมีอำนาจเหนือร่างกายนี้ มันเป็นอย่างนั้น

    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...