เกิดมาทำไม เพื่ออะไร....

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Kra-Tai, 19 กรกฎาคม 2011.

  1. Kra-Tai

    Kra-Tai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +7
    เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้...ถือว่าเป็นการแชร์ความคิด ก็แล้วกันนะคะ...เป็นเรื่องส่วนตัวของกระต่ายเองค่ะ...สาเหตุที่ตั้งกระทู้นี้มาเพราะมีคำถามว่า...เราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร...

    กระต่าย เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะพอกินพอใช้ ชีวิตที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ อายุ 30 ปีแล้วค่ะ ชีวิตค่อนข้างราบเรียบไม่มีสุขมาก ไม่มีทุกข์มาก ถ้าเป็นกราฟ ก็คงจะไม่ขึ้นลงสักเท่าไร เรื่องผิดศิลไม่ค่อยมี แม้แต่แม่ใช้ให้ทุบหัวปลาเพื่อทำกับข้าว ก็ร้องให้จะเป็นจะตาย ยอมโดนแม่ตีซะจะดีกว่า...โตขึ้นมาก็ได้ศึกษาพระธรรมมากขึ้น..เมื่อก่อนถ้ากลับบ้านนอก แม่ก็จะฆ่าไก่ที่เลี้ยงไว้ มาให้เรากิน ถ้าเราบังเอิญไปเห็นตอนที่แม่ฆ่า (เอาไก่มาแขวนคอ) มันคงทรมาณ สงสารมันมาก วันนั้นเราก็จะไม่อยากจะกิน แต่ก็ต้องกินเพราะจะเสียน้ำใจแม่ ช่วงหลังก็บอกกับแม่ว่าถ้าหนู..กลับบ้านแม่อย่าฆ่าไก่ให้หนูกินอีกนะคะ

    มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำผิด โดยไม่รู้ตัว พึ่งจะมาคิดได้ตอนนี้ล่ะค่ะ ตอนที่คิดว่ากรรมอันนี้ ได้จบลงแล้ว เมื่อตอนอายุ 19 เป็นช่วงที่เรียนอยู่ ก็ได้เสียกับผู้ชายคนหนึ่ง โดยไม่เคยรักกัน แต่หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ได้กันแบบสามีภรรยา เป็นช่วงที่ยังเรียนอยู่ พ่อแม่ ไม่รู้จนเรียนจบแล้วจึงบอกท่าน จากคนไม่เคยรักกัน พอได้เสียกัน อยู่ด้วยกัน ก็เริ่มรักกัน และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างราบเรียบ ไม่เคยมีงานแต่งงาน ไม่เคยมีพิธีขอขมา ผูกข้อมือ แต่ก็อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา ปัญหาครอบครัวกับพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มี อยู่กันมา 10 ปีไม่เคยมีลูกทั้งที่ตั้งใจให้มี และตอนนี้ก็เลิกกันแล้วและจากกันด้วยดี โดยที่ไม่ทั้งสองฝ่ายไม่มีเรื่องทะเลาะกัน และไม่มีใครมีคนใหม่ คนบอกเลิกคือกระต่าย สาเหตุเพราะอยากอยู่คนเดียว...ก่อนจะเลิกกัน เริ่มปฏิบัติธรรม และรู้สึกว่าอยากอยู่คนเดียว อยากมีอิสระ...และก็ตั้งใจว่าจะไม่มีแฟนอีก...ตอนนี้ก็เลิกกันได้ปีกว่าแล้ว

    กระต่ายคิดว่าชีวิตคู่ระหว่างเราอาจจะไม่ใช่คู่กันมาก่อน แอบได้เสียกันตอนอายุ 19 ไม่รู้ว่าจะผิดศิลข้อ 3 หรือเปล่า เพราะเรายังอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ ยังขอเงินท่านใช้ จึงต้องใช้กรรมที่ต้องอยู่ด้วยกันมา 10 ปี และกรรมนี้ได้จบลงแล้ว

    แล้วถามว่าชาตินี้เกิดมาทำไม เพราะชีวิตไม่ค่อยมีขึ้น มีลงอย่างคนอื่นมากมาย จริงๆแล้วเราอาจจะเกิดมาเพื่ออยู่คนเดียว หากไม่ทำผิดเสียก่อน เราอาจจะเกิดมาเพื่อขัดเกลากิเลส ปฏิบัติธรรม อยากปฏิบัติธรรม แต่ก็ขี้เกียจสวดมนต์ ขี้เกียจนั่งสมาธิ แต่ก็คอยรู้ตัว รู้ลมหายใจ ฝังเสียงธรรมบางเวลา อ่านหนังสือธรรมมะ แต่ขี้เกียจมากกว่า จะนอนเป็นส่วนใหญ่ แต่นอนก็พยายาม กำหนดลมหายใจตามจนหลับ

    หากเกิดมาเพื่อใช้กรรม แต่กรรมอันนั้นก็อาจจะยังมาไม่ถึงก็เป็นได้ กระต่ายมีลายมือ ไม่ค่อยเหมือนใครค่ะ ตั้งแต่เล็กจนโต ก็มีคนทักมาตลอดว่าลายมืออย่างนี้ต้องตายโหง แต่ก็ไม่เคยดูหมอค่ะ เพราะไม่ชอบดูหมอ

    หากกรรมเรายังมีอยู่ ก็อาจจะเกิดมาเพื่อรอเวลา ที่กรรมนั้นจะมาถึง
     
  2. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    สรรพสิ่งใดๆในโลกล้วนมีเส้นทางเป็นของตนเอง อุปมาดั่งกรรมที่จำแนกสรรพสัตว์ให้มีความให้มีความละเอียดอ่อน หยาบกระด้างต่างกันออกไป แต่ไม่มีบุคคลใดอยู่เหนือวัฏจักรแห่งกรรมไปพ้นเสียได้
     
  3. PraAraHun

    PraAraHun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +22
    สำหรับผมแล้ว ผมไม่ได้คิดว่าเกิดมาใช้กรรมหรอกครับ มนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อพอกพูนหนทางไปสู่พระนิพพาน แต่ก็แล้วแต่ว่าใครจะขวนขวายไปให้ถึงหรือเปล่าเท่านั้น ส่วนบางคนเกิดมาแล้วมีทุกข์ติดตัวมา เกิดมาจน หรือมีแต่ปัญหา ก็อาจจะเป็นเพราะกรรมแต่ชาติปางก่อน แต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ให้มันสิ้นสุดกันแต่เพียงชาตินี้ อย่าคิดว่าเป็นกรรมเลยครับ คิดดีๆไว้ เราเกิดมาเพื่อหาหนทางหรือพอกพูนหนทางไปสู่พระนิพพาน เราโชคดีที่เกิดมาก็มีแนวทางให้ปฏิบัติแล้ว อยู่กับพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่เหมือนกับศาสนาอื่นที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ไม่สามารถเข้ามาได้ ผมจะไปนิพพานชาตินี้เหมือนกันครับ ขอให้ผมโชคดีด้วยเทอญ..สาธุ
     
  4. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    อย่าคิดแบบนั้น จิตจะเศร้าหมองค่ะ^^

    ใช่ค่ะ อย่าคิดว่าเราเกิดมาใช้กรรมอย่างเดียวสิคะ ถ้ากลัวเจ้ากรรมนายเวรก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บ่อยๆสิคะ ตอนนี้เราเป็นมนุษย์เรามีโอกาสเลือกได้ว่าเราจะทำบุญหรือทำบาป ไม่เหมือนสัตว์ที่เกิดมาใช้เวรกรรม ทำตามสัณชาติญานไปวันๆ เรื่องตายมันก็ต้องตายกันทุกคน ทุกผู้ทุกนามแหล่ะค่ะ การนึกถึงความตายก็เป็นการเจริญมรณานุสติอย่างนึง ดีค่ะ ทำให้เราเห็นตามความเป็นจริงว่าชีวิตนี้ไม่เที่ยง ทำให้เราไม่ประมาท แต่ถ้าเราทำบุญ ให้ทาน รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ ภาวนา เจริญสติ เช่น ตามดูลมหายใจ พิจารณากายในกาย จิตในจิตฯลฯ เพื่อละความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา ตัวตน เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยอย่างไม่มีข้อสงสัย คิดไว้เสมอว่าถ้าเราตายเราขอไปนิพพานอย่างเดียว คุณก็จะเป็นพระโสดาบัน ปิดอบายภูมิ หมายถึงแดนนรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน ง่ายๆแค่นี้เอง ไม่ยากเลยใช่มั๊ยคะ ลองศึกษาดูนะคะ ชีวิตเรา เราต้องลิขิตเอง เราเลือกเองได้ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ไม่ใช่จะรอให้กรรมลิขิตอย่างเดียวนะคะ ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่าาา สาธุๆๆ^^
     
  5. Kra-Tai

    Kra-Tai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +7
    อนุโมทนา...สาธุ คำตอบของคุณโดนใจ มากเลยค่ะ เกิดมาเพื่อหาหนทางไปพระนิพพาน หากวันนี้ ยังมีกิเลสหยาบอยู่..ก็ต้องสู้ต่อไป..สู้ๆ นะเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายทุกคน...โชคดีแล้วที่เกิดมาเป็นมนุษย์..ไม่ได้เกิดเป็นสัตว์เดรัชฉาน ที่หาทางไปนิพพานยากเต็มที...สาธุ
     
  6. Kra-Tai

    Kra-Tai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +7
    หากว่าเราอยู่ในช่วงการปฏิธรรมแล้วตาย จิตเราไม่เศร้าหมองตายแล้วก็พ้นทุกข์ แต่ก็พ้นได้ไม่นานเพราะยังไม่พ้นวัฏสงสาร ต้องกลับมาหาทางแห่งพระนิพพานต่อไป หากพลาดหาทางพระนิพพานไม่พบก็ต้องลงอบายภูมิ ต่อไปฉะนั้นหากยังไม่ตาย ต้องอยู่ต่อเดินตามทางแห่งนิพพานให้มากที่สุด เพื่อสุดท้ายชาตินี้จะได้ไปนิพพาน พ้นจากการเวียนว่าย พ้นทุกข์

    คุณเมธาวี ที่เราทุกข์ เพราะเราทำตัวเองให้ทุกข์ จริงแล้วตัวเรานั้นไม่มี สังขารนี้ ตัวนี้ ไม่ใช่เรา หากปฏิบัติธรรม เราจะเห็นตัวนี้แสดงละครให้ดู มีทั้งสุข มีทั้งทุกข์ เราแค่เป็นตัวรู้ที่ไปรับรู้สิ่งเหล่านี้ เป็นคนดู ไม่ใช่คนแสดง หากคุณเป็นคนดูแล้วไซร์ จะยังทุกข์อีกหรือไม่.....
     
  7. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    เกิดมาเพื่อรู้จักตัวเองนี่แหละครับ มันก็เหมือนกับละครนั่นแหละต่างกันตรงเราไม่
    ได้กำลังแสดงแต่กำลังใช้ชีวิตจริงๆ เพราะที่ๆ เราจากมามันไม่มีความแตกต่าง
    อะไรเลย มันรู้จักตัวเองไม่ได้ เราไม่สามารถสร้างสิ่งอื่นจากสิ่งที่เหมือนกันได้
    มันเลยต้องอาศัยความแตกต่าง ตรงนี้ที่กฎแห่งกรรมเข้ามาในฐานะเครื่องมือ
    เพราะกรรมจำแนกสัตว์ให้ดีเลวประณีตแตกต่างกัน ถ้าไม่มีกรรมมันจะไม่มีความ
    แตกต่างอะไรเลยแล้วจะรู้จักตัวเองไม่ได้ แล้วอย่างที่สองคือที่ๆ เราจากมามีแต่
    ความรู้ รู้ทุกอย่างเรียกพุทธะก็ได้ แล้วมันก็มีปัญหาว่าถ้าเรารู้อยู่แล้วว่าเราเป็น
    ใครเราจะรู้จักตัวเองได้อย่างไร ดังนั้นเราต้องลืมก่อน มันจึงมีอีกอย่างหนึ่งคือสติ
    หรือการระลึกได้ขึ้นมา แต่พออยู่ไปนานๆ มันก็ลืมทางกลับบ้านเรียบร้อยจิตที่
    เคยส่องสว่างไปทั่วก็หมดแสง กรรมที่เคยเป็นเครื่องมือสุดวิเศษก็กลายเป็นนาย
    เราไปเลย ความหวังที่จะรู้จักตัวเองเริ่มริบหรี่ มันกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะทำ
    สำเร็จได้ในการเกิดภพชาติเดียว มันก็เลยมีการเวียนว่ายตายเกิดมานับครั้งไม่
    ถ้วน จนถึงวันหนึ่งที่เราจะรู้จักกับลักษณะของจิตพุทธะ 10 อย่างที่เราหวังไว้
    ลักษณะดังกล่าวก็คือบารมี 10 นั่นเอง
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    อุเบกขา คือ อะไร ในระดับสูง อุเบกขาที่ปราศจากอามิส ยิ่งกว่าปราศจากอามิส เป็นปัญญา รู้ว่า สุข และ ทุกข์ ต่างกันในแง่ใหน และ เหมือนกันในแง่ใหน คำว่าเบิกบาน ไม่ใช่สุขแบบโลกโลก เบิกบานคือสุขแบบชาวพุทธ ที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรเลย ใช้ สัมมาสติ และ กุศลกรรม กาย วาจา ใจ เป็น เบื้องต้น ลองดูนะครับ
     
  9. KBLS

    KBLS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +280
    บารมี 10
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    บารมี 10 หรือ ทศบารมี หรือ บารมี ๑๐ คือ กำลังใจที่ต้องทำให้เต็ม ไม่พร่อง มี ๑๐ อย่าง

    ทาน การให้โดยไม่หวังผล
    ศีล การรักษาศีลให้เป็นปกติ
    เนกขัมมะ การถือบวช
    ปัญญา ความรู้
    วิริยะ ความเพียร
    ขันติ ความอดทนอดกลั้น
    สัจจะ ความตั้งใจจริง เอาจริง จริงใจ
    อธิษฐาน ความตั้งใจมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง
    เมตตา ความรักด้วยความปรานี
    อุเบกขา ความวางเฉย
     
  10. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    เริ่ด[​IMG]
     
  11. Kra-Tai

    Kra-Tai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +7
    ขอบคุณค่ะ :cool:
    กำลังหาความหมายอยู่พอดี
     
  12. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    การเกิดเป็นทุกข์ แต่การเกิดก็เป็นสุขด้วย ถ้าทำเหตุ ปัจจัยที่เอื้อต่อทุกข์มันก็จะเป็นทุกข์ ถ้าทำเหตุ ปัจจัยที่เอื้อต่อสุขมันก็จะสุข เหตุแห่งสุขก็คือมรรคแปด ส่วนเหตุแห่งทุกข์ก็คือ สิ่งที่ตรงกันข้ามกับมรรคแปด พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนสอนเหมือนกัน ตรงที่ ให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้ผ่องใส(ก็คือการลดกิเลสตัณหาจนกระทั่งตัดขาดออกจากมัน เพราะจิตเดิมนั้นประภัสสรแต่ต้องเศร้าหมองเพราะกิเลสจรมา แล้วกิเลสมาจากไหนก็มาจากใจเรา จากการปรุงแต่งนั่นแหล่ะครับ เริ่มจากความอยากมี อยากได้ อยากเป็น ต่อด้วยความไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไปจนถึงความอยากให้มีตลอดไปหรือไม่อยากให้สิ่งที่มีอยู่หมดไป)
    คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้อารมณ์ทั้งหลายจนกระทั่งเข้าใจอย่างถ่องแท้สามารถวางอารมณ์เหล่านั้นลงได้ ไม่ติดใจในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น แต่เหตุที่เราต้องสนใจดูแลรักษารูปหรือร่างกายนั้น เพราะอารมณ์ทั้งหลายนั้นเนื่องมาจากรูป ผู้ปฏิบัติธรรมจึงต้องพิทักษ์รักษารูปไว้เพื่อให้เข้าถึงอารมณ์อันละเอียดอ่อนต่อไป ประมาณว่าต้องรูปนี้จึงจะอารมณ์นี้เป็นต้น แล้วก็ต่อด้วยว่าเพราะอารมณ์นี้จึงมีรูปแบบนี้ วนไปวนมา เข้าใจยากจังนะ แต่สุดท้ายพอถึงวาระสุดท้ายหรือตาย อารมณ์ก่อนตายนี้เองจะเป็นตัวส่งเราไปในภพภูมิทั้งหลาย และด้วยความเคยชินคนดีก็จะเลือกอารมณ์ที่ดี ถึงแม้จะไม่ใช่อารมณ์ที่ดีที่สุดของตนก็ยังไปเกิดยังสุคติ ส่วนคนชั่วด้วยความเคยชินกับความชั่วที่ตนเคยทำมาก็จะเลือกอารมณ์อันชั่วร้ายทำให้ตกลงไปในอบายภูมิเป็นส่วนมาก ยกเว้นจะมีคนดีหรือพระมาโปรด เช่น ก่อนตายหากรู้ตัว ญาติพี่น้องของเขาก็จะให้ดูพระพุทธรูป ให้ท่องพุทโธ หรือสัมมาอรหัง บ้างเพื่อยกจิตขึ้นสู่สุคตินั่นเอง
     
  13. chatbong

    chatbong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +120
    เกิดมา เพื่อหาทางไปนิพพาน ช้าเร็ว อยู่ที่เรา
    ไม่มีใครเกิดมาเพื่อใช้กรรมเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างมีเหตุ มีผล
    เคยสงสัยว่าทำไมทำดีไม่ได้ดี เจอเหตุการณแย่ๆมากมาย
    แต่สุดท้าย ทำดีได้ดี เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาได้อย่างไม่คาดฝัน
    เพราะตั้งใจ คิดดี พูดดี ทำดี แม้วันนี้จะยังทำไม่ถึงที่สุดอย่างที่ตั้งใจไว้
    แต่ยังมีความพยายามที่จะทำดีและจะเป็นคนดีต่อไป ตอนนี้ชีวิตเรานี้ไม่ค่อยมีความรุ้สึกว่าสุขมาก ทุกข์มาก
    เจอเหตุการณ์ดีๆ ก้อจะเฉยๆ ไม่ดีใจมากเหมือนแต่ก่อน
    เจอเหตุการณ์ที่ทุกข์มากก็เฉยๆ ไม่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนแต่ก่อน
    เพราะทุกอย่างเกิดเเล้วก็ดับเป็นธรรมดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...