เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย jjustdream, 20 มิถุนายน 2012.

  1. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ผมเองก็ขอเล่ามั่ง อิๆๆๆๆ
    ทุกวันนี้ทำงานค่อนข้างยุ่งวุ่นวายพอสมควร ดูแลเครื่องจักร เข้าประชุม มั่วไปหมด แต่แปลกมากที่เวลาทำงานนั้น จะรู้สึกตัวเหมือนว่าตัวเองนั้นไม่ได้อยู่ในที่เดียวกันกับเพื่อนๆเขา แต่ก็สามารถคุยกันได้เข้าใจ หรือจะเรียกว่ากายทางนี้ก็ทำงานทางนี้ไป ส่วนอีกกายก็นั่งอยู่ในที่ที่สบายๆ ไม่เดือนร้อนอะไร จนเพื่อนๆบางคนบอกงานยุ่งขนาดนี้ทำไมดูไม่ทุกข์ร้อนใจเลย นั่งยิ้มแย้มทั้งวัน แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายให้ใครฟังยังไง
    ส่วนเรื่องที่คุณจิตวิญญาณถามเรื่องการถอดจิต ผมทำได้โดยบังเอิญน่ะครับ ตอนนี้ยังนึกอารมณ์ตรงนั้นไม่ออก ว่าอีกกายมันลุกไปได้ยังไำง ตอนแรกก็ติดใจเนื่องจากมันโล่ง โปร่ง สบายมากเลยครับ แต่พอคิดจะออก แล้วออกไม่ได้ตอนแรกก็มีอยากจะออก ตอนนี้เฉยๆแล้วครับ เพราะคิดว่าถ้ามันเคยออกแล้ว เดี๋ยวมันก้ต้องมีอีก ถ้าทำได้แล้วจะมาโม้ให้ฟังอีกนะครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ของคุณ จิตวิญญาณ

    พูดถึงภพภูมิ อยากจะเล่าให้ฟังต่อนิดหน่อยน่ะค่ะ คือเมื่อหลายเดือนก่อนที่จะเข้ามาโพสท์ในกระทู้นี้ ดิฉันเคยคิดน่ะค่ะว่าอยากย้ายไปอยู่ที่อื่น ที่ไหนก็ได้ที่เป็นอะไรที่เป็นธรรมชาติ อยู่ห่างไกลผู้คนใจบาป พอตกกลางคืนนอนหลับก็ฝันเลยค่ะ ฝันว่าได้อยู่ที่แห่งหนึ่ง เป็นที่สูงมาก สามารถมองลงไปเห็นวิวภูเขาที่สวยสดงดงาม มองเห็นแม่น้ำกว้างใหญ่ที่สวยงามตะกาลตามากค่ะ ดูไปดูมาก็คล้ายๆท้องทะเล มองดูรอบๆบริเวณจะมีอะไรสวยงามคล้ายๆทะเลหมอกน่ะค่ะ ที่ๆดิฉันยืนอยู่จะเป็นที่ราบแต่สูงชันมาก มีแสงสีสว่างสดใสส่องจากด้านบนลงมาเป็นทางยาว เป็นอะไรที่ดูแล้วรู้สึกมีความสุขมากน่ะค่ะ แต่สังเกตบริเวณนั้นไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย ในฝันก็คิดนะคะว่า ที่นี่แหล่ะใช่เลย แถวนี้มันที่ไหน อยากซื้อปลูกบ้านพักสักหลัง พอตื่นขึ้นมาก็ยังจำภาพและความรู้สึกในฝันได้น่ะค่ะ ทุกวันนี้แค่นั่งหลับตานึกถึงสถานที่ในฝันนั้นแล้วสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆยาวๆ ก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆเลยน่ะค่ะ ... ตรงนี้ก็เป็นอีกภพภูมิหนึ่งใช่หรือเปล่าคะ?

    +++ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ครับ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่เห็นมักมีความสัมพันธ์กับสถานที่แห่งนั้น และมักจะไปเจอสถานที่นั้นด้วยตนเองในอนาคต ซึ่งต้องคอยสังเกตุกันต่อไป ส่วนเรื่องต้นไม้หรือภูมิปัจจุบันที่ดูคล้ายแล้งหรือไม่สดนั้น สาเหตุเกิดจากเราเคยเห็นภูมิที่สูงกว่ามาแล้วนั้นเอง และพอเอามาเปรียบเทียบกับภูมิในปัจจุบันขณะ ก็จะรู้สึกอย่างนั้นแหละครับ ต่อไปเมื่อคุณฝึกในฐานของ จิตและธรรมารมณ์ คุณจะได้ทราบถึงเรื่อง จิตกำหนดภูมิและสร้างภูมิได้เองนะครับ
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------
    ของคุณ watjojoj

    ทุกวันนี้ทำงานค่อนข้างยุ่งวุ่นวายพอสมควร ดูแลเครื่องจักร เข้าประชุม มั่วไปหมด แต่แปลกมากที่เวลาทำงานนั้น จะรู้สึกตัวเหมือนว่าตัวเองนั้นไม่ได้อยู่ในที่เดียวกันกับเพื่อนๆเขา แต่ก็สามารถคุยกันได้เข้าใจ หรือจะเรียกว่ากายทางนี้ก็ทำงานทางนี้ไป ส่วนอีกกายก็นั่งอยู่ในที่ที่สบายๆ ไม่เดือนร้อนอะไร จนเพื่อนๆบางคนบอกงานยุ่งขนาดนี้ทำไมดูไม่ทุกข์ร้อนใจเลย นั่งยิ้มแย้มทั้งวัน แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายให้ใครฟังยังไง

    +++ นั่นคืออาการของผู้ที่อยู่ใน ฐานแห่งมหาสติ ถึงแม้ว่ากายจะอยู่ในโลก แต่ เรา อยู่ในสภาวะธรรม ดังนั้นจึงไม่เดือดร้อนหรือตกอยู่ในกระแสโลกไปกับเขาด้วย และนั่นคือ แยกกันอยู่ ในปัจจุบันขณะ นั่นเอง

    ส่วนเรื่องที่คุณจิตวิญญาณถามเรื่องการถอดจิต ผมทำได้โดยบังเอิญน่ะครับ ตอนนี้ยังนึกอารมณ์ตรงนั้นไม่ออก ว่าอีกกายมันลุกไปได้ยังไำง ตอนแรกก็ติดใจเนื่องจากมันโล่ง โปร่ง สบายมากเลยครับ แต่พอคิดจะออก แล้วออกไม่ได้ตอนแรกก็มีอยากจะออก ตอนนี้เฉยๆแล้วครับ เพราะคิดว่าถ้ามันเคยออกแล้ว เดี๋ยวมันก้ต้องมีอีก ถ้าทำได้แล้วจะมาโม้ให้ฟังอีกนะครับ

    +++ การถอดจิต เป็นผลลัพธ์มาจากการกำหนดจิตที่ถูกต้อง หากเหตุถูกผลย่อมถูกแน่นอน ดังนั้นให้รวบรวมเหตุอีกครั้งแล้วลองดูใหม่นะครับ
     
  3. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    คุณwatjojoj..ผมเองก็ขอเล่ามั่ง อิๆๆๆๆ
    ทุกวันนี้ทำงานค่อนข้างยุ่งวุ่นวายพอสมควร ดูแลเครื่องจักร เข้าประชุม มั่วไปหมด แต่แปลกมากที่เวลาทำงานนั้น จะรู้สึกตัวเหมือนว่าตัวเองนั้นไม่ได้อยู่ในที่เดียวกันกับเพื่อนๆเขา แต่ก็สามารถคุยกันได้เข้าใจ หรือจะเรียกว่ากายทางนี้ก็ทำงานทางนี้ไป ส่วนอีกกายก็นั่งอยู่ในที่ที่สบายๆ ไม่เดือนร้อนอะไร จนเพื่อนๆบางคนบอกงานยุ่งขนาดนี้ทำไมดูไม่ทุกข์ร้อนใจเลย นั่งยิ้มแย้มทั้งวัน แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายให้ใครฟังยังไง

    อนุโมทนาสาธุ ด้วยค่ะ.. อย่างนี้ก็นับว่าฝึกไปได้รวดเร็วเหมือนกัน ถ้าไม่รู้จะอธิบายให้ใครฟังยังไง ก็เข้ามาอธิบายในที่นี่ก็ได้ค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังฝึกอยู่น่ะค่ะ


    ..ส่วนเรื่องที่คุณจิตวิญญาณถามเรื่องการถอดจิต ผมทำได้โดยบังเอิญน่ะครับ ตอนนี้ยังนึกอารมณ์ตรงนั้นไม่ออก ว่าอีกกายมันลุกไปได้ยังไง ตอนแรกก็ติดใจเนื่องจากมันโล่ง โปร่ง สบายมากเลยครับ แต่พอคิดจะออก แล้วออกไม่ได้ตอนแรกก็มีอยากจะออก ตอนนี้เฉยๆแล้วครับ เพราะคิดว่าถ้ามันเคยออกแล้ว เดี๋ยวมันก้ต้องมีอีก ถ้าทำได้แล้วจะมาโม้ให้ฟังอีกนะครับ

    ลุ้นให้คุณถอดจิตหรือถอดกายทิพย์ให้ได้นะคะ เห็นท่านไหนทำได้ จะรู้สึกยินดีด้วย แต่พอหันมาลุ้นกับตัวเอง คำตอบคือส่ายหน้า สงสัยจะเบื่อมังคะ บางทีไม่มีอะไรทำ เห็นขนำหลังบ้านเขาเผาขยะเผายางพลาสติกแล้วลมพัดโซยมาทางบ้านเรา ดิฉันก็จะออกไปยืนจ้องเพ่งกลุ่มควัน ไม่ได้ทำอะไรนะคะ กลุ่มควันมันก็หันทิศไปทางอื่น ตอนหลังมาพอเขาเผาขยะทีไรก็ออกไปยืนเพ่งดักไว้ก่อน กลุ่มควันจะตีตลบกลับไปขนำเขาทุกครั้งเลยค่ะ น่าจะบังเอิญแต่ก็ไม่น่าบังเอิญทุกครั้งนะคะ อิอิ
     
  4. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ขอเล่าบ้างคะ เมื่อวานนั่งรถไฟฟ้า ระหว่างนั่งก็กำหนดเข้าฐาน 80% ไปด้วย สักพักหนังตาหนัก ต้องปิดลง แต่ไม่ได้หลับยังได้ยินเสียงภายนอกที่เขาคุยกันยังชัดเจน พอใกล้ถึงสถานีที่จะลงถึงลืมตาขึ้นมาได้
     
  5. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    เรื่องควันเนี่ยผมก็คล้ายๆกัน ต่างกันตรงที่ว่าจะหนีไปทางไหน ควันมันก็ลอยตามมานี่แหละครับ แหะๆๆๆๆ
     
  6. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ตอนเด็กๆเคยทำน่ะค่ะ ยายจะสอนให้พูด 2 ประโยค ประโยคหนึ่งไล่ไปทางโน้น อีกประโยคหนึ่งบอกมาทางนี้ ตอนก่อฟืน ควันไฟมักจะลอยมาทิศทางที่เรานั่งอยู่ พอเราย้ายไปนั่งอีกทาง ควันมันก็ย้ายตาม พอยายให้พูด 2 ประโยคพร้อมทำมือด้วย ท่องประมาณ 2-3 ครั้งก็ได้ผลแล้วน่ะค่ะ สนุกดีแต่ไม่ได้คิดอะไรค่ะ
     
  7. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    สวัสดีค่ะ

    มีคืนนึงนั่งสมาธิแล้วใจเกิดคิอว่ากลัวอยากรู้ว่าข้างนอกเค้าปิดไฟนอนหรือยังเลยแอบลืมตาดูในขณะนั่งว่าข้างนอกพอจะมีแสงไฟไหม แต่จริงๆแล้วนั่งต่ำกว่าหน้าต่างมองไม่เห็นหรอกค่ะพอรู้ตัวว่าไม่ควรหลุดจึงหลับตาต่อ แล้วไม่รู้ตัวรู้สึกว่าตัวเองคลานเข่าไปนั่งเกาะขอบหน้าต่างดูข้างนอกเห็นบ้านข้างๆปิดไฟแล้วชัดเจนพอเห็นสมใจแล้วก็รู้สึกตัวอีกทีว่าตัวเองนั่งอยู่ไม่ใช่เหรอแล้วลุกไปตอนไหนเหมือนจริงมากเหมือนตนเองลุกไปแล้วซึ่งนิสัยจริงๆจะไม่ยอมลุกแบบนี้เด็ดขาด จึงทบทวนอยู่ในสมาธิ ก็ชัดเจนว่าไม่ได้ลุกเองแน่นอน

    อาการแบบนี้คืออะไรคะ?
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    มีคืนนึงนั่งสมาธิแล้วใจเกิดคิอว่ากลัวอยากรู้ว่าข้างนอกเค้าปิดไฟนอนหรือยังเลยแอบลืมตาดูในขณะนั่งว่าข้างนอกพอจะมีแสงไฟไหม แต่จริงๆแล้วนั่งต่ำกว่าหน้าต่างมองไม่เห็นหรอกค่ะ

    +++ หากตอนนั้นอยู่ในฐานที่รู้สึกได้ทั้งตัว แต่พอ ฐาน จางคลายออกโดยไม่ทันสังเกตุ ความอยากรู้ จึงเกิดขึ้นได้ ความอยากรู้ในขณะนั้น อยู่ในชั้นเดียวกันกับการ อฐิษฐานจิต เปรียบได้กับ การเข้าสมาบัติแล้ว ถอยฌานออกมาอฐิษฐาน นั่นเอง

    พอรู้ตัวว่าไม่ควรหลุดจึงหลับตาต่อ

    +++ จากนั้นจึงเข้า ฐาน ใหม่ เรียกว่า กลับเข้าสู่สมาบัติอีกครั้ง

    แล้วไม่รู้ตัว รู้สึกว่าตัวเองคลานเข่าไปนั่งเกาะขอบหน้าต่างดูข้างนอกเห็นบ้านข้างๆปิดไฟแล้วชัดเจนพอเห็นสมใจแล้ว

    +++ นี่คืออาการ ถอดจิต ด้วยแรงอฐิษฐาน พอสมใจแล้วก็นับได้ว่า จบวงจรของคำอฐิษฐานแล้ว

    ก็รู้สึกตัวอีกทีว่าตัวเองนั่งอยู่ไม่ใช่เหรอแล้วลุกไปตอนไหน

    +++ จึงกลับเข้าร่าง และในปัจจุบัณขณะที่อยู่ในร่าง ก็รู้ว่าอยู่ในร่าง ไม่ได้ไปไหน

    เหมือนจริงมากเหมือนตนเองลุกไปแล้วซึ่งนิสัยจริงๆจะไม่ยอมลุกแบบนี้เด็ดขาด จึงทบทวนอยู่ในสมาธิ ก็ชัดเจนว่าไม่ได้ลุกเองแน่นอน

    +++ การทบทวนขณะอยู่ในร่าง แม้ว่าจะอยู่ในสมาธิก็ตาม แต่ปัจจุบันขณะที่อยู่ในร่าง ก็คืออยู่ในร่าง ส่วนการเกิดขึ้นของการคลาน การตั้งอยู่จนถึงการเกาะขอบหน้าต่าง จนกระทั่งการดับไปเพราะจบสิ้นวงจรแล้วกลับเข้าร่าง นั้น กลายเป็นวงจรของอดีต

    อาการแบบนี้คืออะไรคะ?

    +++ นี่เป็นอาการของ การถอดกาย เพียงแต่ว่า ความละเอียดและความต่อเนื่องของสติยังไม่เพียงพอ หากความต่อเนื่องมีอยู่อย่างเพียงพอแล้วก็จะรู้ตลอดในขณะที่ ตัวเองคลานเข่าออกมาจากตัวเอง จนมาเกาะขอบหน้าต่าง จนกระทั่ง กลับเข้าร่างทุกประการ

    +++ สิ่งที่ควรฝึกฝนต่อคือการ เข้า ออก เพิ่ม ลด ตรึง อยู่ กับความรู้สึกตัวให้ชำนาญจนเป็นนิสัย หรือ เรียกได้ว่า "เล่น" กับมันจนชำนาญ แล้วทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นเอง นะครับ
     
  9. cola-boys

    cola-boys Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +51
    ผมฝึกเเนวทางหลวงพ่อจรัญครับมาได้สามปีละครับ วันนี้ครับ ก็ทำเหมือนเดิมยืน 1 ช.ม.กำลังจะเดินนาฬิกาปลุก นั่ง 1 ชม
    วันนี้มีอาการเเปลๆมาในระหว่างที่ตามดูจิตอยู่นั้นก็ลองภาวนาบอกว่าลึกขึ้นๆไปเรื่อยๆ
    ซักเเปปนึงก็รู้สึกว่าอารมณ์มันเเนบเเน่นมากเเบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จนกระทั่งสติมาเตือนว่าเริ่มเเน่นนะหายใจไม่่ค่อยสบาย ละผมก็ค่อยๆผ่านออก เเล้วลองใหม่คราวนี้ยิ่งเเน่นกว่าเดิมสติผมก็บอกให้ผ่อนเเต่ ผมบอกกับตัวเองตายเป็นตายตายก็ไปนิพพานเลยต่อมาปิติเกิดเเล้วก็กลับมาดูจิตได้ตามปกติเเต่อารมณ์เเนบเเน่นเเละลึกมาก จนกระทั้งต่อมาร่างกายครึ่งส่วนขวาวูปดับทั้งหมดไม่มีความรู้สึกใดรวมถึงอายตนะทั้งหลาย เเต่ร่างกายด้านซ้ายรู้ได้ตามปกติครับวันนี้เท่าที่เจอเเค่นั้นครับ เป็นอาการของอะไรครับคุณพี่ ธรรม-ชาติ
     
  10. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    ขอบคุณคุรธรรม-ชาติค่ะ
    " เข้า ออก เพิ่ม ลด ตรึง"

    ต้องรบกวนให้อธิบายเสียแล้วค่ะ

    สิ่งที่เกิด บังเอิญทุกที จึงไม่ทราบว่าจะเริ่มอย่างไร ตอนไหน
     
  11. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    นั่งสมาธิกำหนดความรูสึกไปทั่วทั้งตัว จากหัวไปปลายเท้ากลับไปกลับมาหลายรอบ ให้มีสติอยู่กับการตัว ขณะที่กำหนดความรู้สึกอยู่ก็มีความรู้สึกเหมือนมีเปลือกรึอะไรสักอย่างห่อหุ้มร่างกายขึ้นมามันค่อยๆไล่ตามความรู้สึกที่เรากำหนดรู้อยู่ขึ้นมา จากคอมาปาก จากปากมาตาเปลือกนั้นมันก็ค่อยๆห่อตามมา แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด แค่สงสัยน่ะค่ะ พอกำหนดความรู้สึกไปถึงปลายศรีษะ เปลือกที่ตามมาก็ไปจรดปิดกันพอดึ แล้วมันก็มีเสียงวี้ๆในหูแล้วทุกอย่างก็ดับ นิ่ง เหมือนสุญญากาศค่ะคือเหมือนร่างกายเหมือนจิตเราไม่มีน้ำหนัก เบา บาง ไม่มีลม ไม่มีการพัด กระเพื่อมใดๆ แม้แต่อากาศยังอยู่นิ่งๆ เฉยๆ สักพัก แล้วเราก็กำหนดถอนสมาธิ ลืมตาแล้วจึงแผ่เมตตา ขณะที่แผ่เมตตาก็มีความรู้สึกขนลุกทั้งต้วอย่างแรง แล้วมีบางอย่างแผ่กระจายออกจากตัวไปทุกทิศทาง เหมือนโยนหินลงน้ำแล้วน้ำกระเพื่อมเป็นวงกระจายออกไปอย่างนัั้นเลยค่ะ
     
  12. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    สงสัยคุณธรรมชาติจะไม่ว่าง ว่าจะตอบแทนก็กลัวข้อความไม่ครบถ้วน รอท่านมาตอบดีกว่าเนาะ
    แล้วจะเขียนทำไม๊หว้าเรา
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ของคุณ cola-boys

    ผมฝึกเเนวทางหลวงพ่อจรัญครับมาได้สามปีละครับ วันนี้ครับ ก็ทำเหมือนเดิมยืน 1 ช.ม.กำลังจะเดินนาฬิกาปลุก นั่ง 1 ชม
    วันนี้มีอาการเเปลๆมาในระหว่างที่ตามดูจิตอยู่นั้นก็ลองภาวนาบอกว่าลึกขึ้นๆไปเรื่อยๆ
    ซักเเปปนึงก็รู้สึกว่าอารมณ์มันเเนบเเน่นมากเเบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จนกระทั่งสติมาเตือนว่าเริ่มเเน่นนะหายใจไม่่ค่อยสบาย ละผมก็ค่อยๆผ่านออก เเล้วลองใหม่คราวนี้ยิ่งเเน่นกว่าเดิมสติผมก็บอกให้ผ่อนเเต่ ผมบอกกับตัวเองตายเป็นตายตายก็ไปนิพพานเลยต่อมาปิติเกิดเเล้วก็กลับมาดูจิตได้ตามปกติเเต่อารมณ์เเนบเเน่นเเละลึกมาก จนกระทั้งต่อมาร่างกายครึ่งส่วนขวาวูปดับทั้งหมดไม่มีความรู้สึกใดรวมถึงอายตนะทั้งหลาย เเต่ร่างกายด้านซ้ายรู้ได้ตามปกติครับวันนี้เท่าที่เจอเเค่นั้นครับ เป็นอาการของอะไรครับคุณพี่ ธรรม-ชาติ

    +++ อาการหายไปครึ่งตัวแล้วเหลืออยู่ซีกเดียวนี้ โดยปกติมักจะเกิดกับ การที่ร่างกายหรือจิตใจรับสิ่งตกกระทบจากอะไรบางอย่างทางซีกด้านหนึ่ง เกิดอาการรับรู้แล้วแต่ไม่ได้ใส่ใจ จำได้แต่ไม่ได้ใส่ใจจำ แล้วกำหนดจิตฝึกต่อไปเลย พอจิตเข้าสู่อาการละเอียดแล้ว "ความจำตัวนั้น (สัญญา)" มันกลับเข้ามา เลยทำให้อาการแบ่งครึ่งซ้ายขวาเกิดขึ้นได้ อย่าลืมว่า สัญญา นั้นมีอยู่ได้ในความละเอียดระดับกสิณ

    +++ อาการแบ่งครึ่งเกิดได้ 2 กรณีคือ จากสัญญาดังที่กล่าวมาแล้ว กับ การตั้งใจกำหนดแบ่งครึ่งซีก อย่างหนึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยภายนอก อีกอย่างหนึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยภายใน
    =====================================================
    ของคุณ photocycling

    " เข้า ออก เพิ่ม ลด ตรึง"
    ต้องรบกวนให้อธิบายเสียแล้วค่ะ
    สิ่งที่เกิด บังเอิญทุกที จึงไม่ทราบว่าจะเริ่มอย่างไร ตอนไหน

    +++ ให้ลองศึกษาและตรวจสอบกับโพสท์ของผมอันนี้ดูนะครับ จะเข้าใจได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

    [URL="http://palungjit.org/posts/6880777
    [/URL]
    แล้วเราก็กำหนดถอนสมาธิ ลืมตาแล้วจึงแผ่เมตตา ขณะที่แผ่เมตตาก็มีความรู้สึกขนลุกทั้งต้วอย่างแรง แล้วมีบางอย่างแผ่กระจายออกจากตัวไปทุกทิศทาง เหมือนโยนหินลงน้ำแล้วน้ำกระเพื่อมเป็นวงกระจายออกไปอย่างนัั้นเลยค่ะ

    +++ ยินดีด้วยนะครับ ในที่สุดคุณก็ "แผ่พลังสติ" ได้แล้ว แต่คุณ "ต้อง" ย้อนกลับไปดู หน้าที่ 3 ในโพสท์ที่ 52 หน้าที่ 4 ในโพสท์ที่ 71 และหน้าที่ 7 โพสท์ที่ 128 ด้วยนะครับ ว่าจริง ๆ แล้วคุณกำลัง "แผ่อะไร" อยู่ (deejai)

    +++ การแผ่เมตตาที่แท้จริงนั้น ต้องเข้าความรู้สึกที่ สบาย ปิติ ยินดี อิ่มอกอิ่มใจ แล้วจึงแผ่ออกไปนะครับ :VO
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2015
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ของคุณ jjustdream

    นั่งสมาธิกำหนดความรูสึกไปทั่วทั้งตัว จากหัวไปปลายเท้ากลับไปกลับมาหลายรอบ

    +++ เป็นลักษณะคล้าย ๆ กับการ scan ไปมาใช่ไหมครับ

    ให้มีสติอยู่กับการตัว ขณะที่กำหนดความรู้สึกอยู่ก็มีความรู้สึกเหมือนมีเปลือกรึอะไรสักอย่างห่อหุ้มร่างกายขึ้นมามันค่อยๆไล่ตามความรู้สึกที่เรากำหนดรู้อยู่ขึ้นมา จากคอมาปาก จากปากมาตาเปลือกนั้นมันก็ค่อยๆห่อตามมา แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด แค่สงสัยน่ะค่ะ พอกำหนดความรู้สึกไปถึงปลายศรีษะ เปลือกที่ตามมาก็ไปจรดปิดกันพอดึ

    +++ ความรู้สึกเหมือน "เปลือกห่อหุ้มภายนอก" ก็คือผิวหนังร่างกาย (กายมนุษย์) นั่นเอง ส่วนตัวคุณในขณะนั้น "เป็นกายแห่งความรู้สึก (กายในกาย หรือ กายเวทนา)" นั่นเอง

    +++ คุณได้ กายเวทนา แบบเต็มฐาน ในขณะนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ในอิริยาบทนั่ง

    +++ ในขณะนั้นคุณได้ มหาสติ แห่งความรู้สึกตัว แบบทั้งตัว คุณ รู้ สภาวะแห่งตนเองชัดเจน

    แล้วมันก็มีเสียงวี้ๆในหูแล้วทุกอย่างก็ดับ นิ่ง เหมือนสุญญากาศค่ะคือเหมือนร่างกายเหมือนจิตเราไม่มีน้ำหนัก เบา บาง ไม่มีลม ไม่มีการพัด กระเพื่อมใดๆ แม้แต่อากาศยังอยู่นิ่งๆ เฉยๆ สักพัก

    +++ เสียงวี้ๆ นั้น ความจริงแล้ว มันเป็นเสียง คลื่นความถี่สูง ที่มีอยู่แล้ว เป็นอยู่แล้ว ตามธรรมชาติของมันเอง ยามใดที่มีสติดี รู้ตัว หรือ รู้สึกตัว ก็จะรับเสียงคลื่นความถี่สูงนี้ได้เอง และใช้เป็นอุปกรณ์ในการวัดระดับความต่อเนื่องของ สติ ได้

    +++ ทุกอย่างก็ดับ นิ่ง เหมือนสุญญากาศ เหมือนจิตเราไม่มีน้ำหนัก เบา บาง (เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ) ในขณะนั้นเป็นสภาวะที่เรียกว่า รู้อยู่ (เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ) ว่างอยู่ (เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ) หากสามารถกลับมาอยู่กับ เฉยอยู่ ได้และ แช่อยู่ ในอาการนี้ได้สักพัก ก็จะเริ่มเข้าสู่อาการ ตื่นอยู่ จนกระทั่งไปถึงชั้น จิตเปล่งรังสี ได้ไม่ยากนัก

    +++ การไล่อารมณ์ ฌาน ในสมาบัติจนถึง "จิตเดิมแท้เปล่งประกายประภัสสร" นั้นอยู่ที่นี่

    palungjit.org/f4/ทำสมาธิแล้วไม่รู้จะไปต่อยังไง-366180.html#post6880777

    แล้วเราก็กำหนดถอนสมาธิ ลืมตาแล้วจึงแผ่เมตตา ขณะที่แผ่เมตตาก็มีความรู้สึกขนลุกทั้งต้วอย่างแรง แล้วมีบางอย่างแผ่กระจายออกจากตัวไปทุกทิศทาง เหมือนโยนหินลงน้ำแล้วน้ำกระเพื่อมเป็นวงกระจายออกไปอย่างนัั้นเลยค่ะ

    +++ ยินดีด้วยนะครับ ในที่สุดคุณก็ "แผ่พลังสติ" ได้แล้ว แต่คุณ "ต้อง" ย้อนกลับไปดู หน้าที่ 3 ในโพสท์ที่ 52 หน้าที่ 4 ในโพสท์ที่ 71 และหน้าที่ 7 โพสท์ที่ 128 ด้วยนะครับ ว่าจริง ๆ แล้วคุณกำลัง "แผ่อะไร" อยู่ (deejai)

    +++ การแผ่เมตตาที่แท้จริงนั้น ต้องเข้าความรู้สึกที่ สบาย ปิติ ยินดี อิ่มอกอิ่มใจ แล้วจึงแผ่ออกไปนะครับ :VO
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2014
  15. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    ตอนแผ่เมตตาก็แผ่ให้บุคคลรึสิ่งนั้นๆโดยเจาะจง แล้วจบด้วย"ขออุทิศบุญนี้ให้ถึงสัตว์นรกทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้ที่ทุกข์ยากทั้งหลายให้ท่านทั้งหลายพ้นทุกข์พบกับความสุข"ค่ะ คืออารมณ์นั้น ไม่ได้มีเจตตนาทำร้ายใคร แค่รูสึกว่าเราได้อะไรจากการนั่งสมาธิมา เราก็ปรารถนาให้บุคคลนั้นที่เราเจาะจงได้รับด้วย โดยเผื่อแผ่ให้ผู้ที่ทุกข์ยากทั้งหลายได้รับด้วยเจตนาดีค่ะ พอแผ่เมตตาเสร็จรู้สึกภูมิใจน่ะค่ะ รูสึกดี ไม่ได้คิดว่าการแผ่เมตตาจะมีผลกระทบต่อใคร จึงแผ่แบบหว่านเลยค่ะ มันเลยทำให้เห็นสิ่งที่เหมือนโยนหินลงน้ำหรอคะ แค่อยากแบ่งสิ่งที่เรามีเพราะตอนที่เรานั่งสมาธิเสร็จแล้วรู้สึกว่าร่างกายมันเต็มๆฟูๆพองๆอย่างไรไม่ทราบ บอกไม่ถูก รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ได้หลังจากนั่งสมาธิเลยแผ่เมตตาค่ะ

    ~อีกเรื่องค่ะ ระยะหลังพอเริ่มหลับตานั่งสมาธิก็จะเห็นภาพรึนิมิตรจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ เป็นผีบ้าง มาหลอกมาแกล้งบ้างค่อยๆเข้ามาใกล้บ้าง เห็นเป็นหัวกระโหลกบ้างเป็นโครงกระดูกบ้างรึบางทีก็เห็นตัวเองนี่แหล่ะเหลือแต่โครงกระดูกที่มีเส้นเอ็นพันไปทั่วตัวบ้าง อย่างนี้เป็นเพราะเราสร้างภาพพวกนั้นมาหลอกตัวเองรึป่าว เพราะวิญญาณเค้าคงไม่รบกวนผู้ที่นั่งสมาธิหรอกมั้งคะ รึว่ามากวนกันจิงๆ แต่บางทีก็เห็นเป็นพระสงฆ์ เป็นเทพก็แล้วแต่ อันนี้ไม่กลัว แต่อันแรกกลัวค่ะ 2-3วันแรกที่เห็นนั่งไม่ได้เลยกลัวค่ะ พอเห็นก็ลืมตาเลย เลิก ไม่นั่งแล้วมาอีกวันเอาใหม่ก็เห็นอีกแล้วก็เลิกอีก ไม่นั่ง มาอีกวันก่อนจะนั่งก็คิดว่าวันนี้จะสู้กับมันจะไม่หนีไม่งั้นก็ไม่ต้องนั่งสมาธิอีกตลอดไป พอหลับตาก็มาเลยค่ะ เยอะเลยทีนี้มาติดๆกันเลยเป็นภาพแนวๆเดียวกันแต่เปลี่ยนไปเรื่อย เราก็บอกตัวเองว่าอย่ากลัวสิ่งที่เห็นเพราะวันนึงเราก็จะผ่านการเป็นมนุษย์ไปเป็นแบบนั้นเหมือนกันเฟื่อให้ตัวเองเลิกกลัว แล้วบอกตัวเองว่าเราจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องอยู่ในสภาพแย่ๆแบบนั้นเด็ดขาด ก็ดีขึ้นค่ะภาพพวกนั้นก็หายไปเป็นภาพพระแทน ถ้าเป็นการที่เราสร้างภาพหลอกตัวเองจะต้องทำไงดีคะถึงจะหายไป เพราะเมื่อก่อนไม่เป็นน่ะค่ะ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ตอนแผ่เมตตาก็แผ่ให้บุคคลรึสิ่งนั้นๆโดยเจาะจง แล้วจบด้วย"ขออุทิศบุญนี้ให้ถึงสัตว์นรกทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้ที่ทุกข์ยากทั้งหลายให้ท่านทั้งหลายพ้นทุกข์พบกับความสุข"ค่ะ คืออารมณ์นั้น ไม่ได้มีเจตตนาทำร้ายใคร

    +++ เป็น "ความคิด" ที่ถูกต้องครับ แต่ "อารมณ์ความรู้สึก" ในปัจจุบันขณะนั้น ๆ ต้องถูกต้องไปด้วย เทียบได้กับ การที่คนเราคิดได้ถูกต้อง แต่พอลงมือทำกลับกลายเป็นไม่ถูกต้องนั่นแหละครับ อารมณ์ที่ถูกต้องนั้น คืออารมณ์ตรงนี้นะครับ "พอแผ่เมตตาเสร็จรู้สึกภูมิใจน่ะค่ะ รูสึกดี" ตรงนี้แหละครับที่พอแผ่ออกไปแล้ว ผู้ที่รับได้จะอนุโมทนากันอย่างมีความสุข แทนที่จะเผ่นกันป่าราบไปเลย เพราะ จิตกลัวสติ แต่ชื่นชอบและมีความสุขกับอารมณ์ที่ดี นะครับ

    แค่รูสึกว่าเราได้อะไรจากการนั่งสมาธิมา เราก็ปรารถนาให้บุคคลนั้นที่เราเจาะจงได้รับด้วย โดยเผื่อแผ่ให้ผู้ที่ทุกข์ยากทั้งหลายได้รับด้วยเจตนาดีค่ะ พอแผ่เมตตาเสร็จรู้สึกภูมิใจน่ะค่ะ รูสึกดี ไม่ได้คิดว่าการแผ่เมตตาจะมีผลกระทบต่อใคร จึงแผ่แบบหว่านเลยค่ะ

    +++ ตรงนี้ มันส์ ไปเลยครับถ้าเป็นพลังสติ แต่ถ้าเป็น รู้สึกภูมิใจ (ปิติ) รูสึกดี (สุข) จิตรอบด้านก็จะได้รับความสุขและอนุโมทนาไปด้วย

    มันเลยทำให้เห็นสิ่งที่เหมือนโยนหินลงน้ำหรอคะ

    +++ ใช่ครับ มันเป็น รู้ ที่กลายเป็น เห็น หรือตามภาษาพระป่าที่ท่านเรียกมันว่า ตาสติดาปัญญา นั่นแหละ มันเป็นลักษณะแบบเดียวกันกับคลื่น shock wave ที่มีเราเป็นศูนย์กลางแห่งการ อัดกระแทก ออกไปโดยรอบด้านนั่นแหละครับ หากเป็นอารมณ์ที่เป็น ปิติ สุข ก็จะเป็น shock wave แห่ง ปิติ สุข แผ่ออกไป แต่หากเป็น พลังสติ มันก็เป็น พลังสติที่ อัดกระแทก ออกไปเช่นกัน ดังนั้นทั้งหมดขึ้นกับ สภาวะแห่งตนในปัจจุบันขณะ ก่อนแผ่ นะครับ

    แค่อยากแบ่งสิ่งที่เรามีเพราะตอนที่เรานั่งสมาธิเสร็จแล้วรู้สึกว่าร่างกายมันเต็มๆฟูๆพองๆอย่างไรไม่ทราบ บอกไม่ถูก รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ได้หลังจากนั่งสมาธิเลยแผ่เมตตาค่ะ

    +++ อาการที่ร่างกาย เต็มๆฟูๆพองๆ นั้นเป็นผลลัพธ์จากการที่ แผ่ ออกไปแล้วถอนจิตกลับมาสู่ปกติ การทำงานทางจิตนั้นทุกประการเหมือนกับคำถามของคุณในหน้า 4 โพสท์ที่ 65 และคำตอบของผมที่ 67 หน้าเดียวกัน เพียงแต่พลังงานแห่งอารมณ์และความรุนแรงต่างกันมาก เพราะออกมานุ่มนวลกว่า

    +++ จุดสังเกตุและการเรียนรู้เพื่อความชำนาญสำหรับคุณ ให้สังเกตุตรวจสอบและประเมินผลจาก 1. การกำหนดจิตเพื่อเข้าสู่อารมณ์ความรู้สึกที่ต่างกัน 2. การแผ่และรัศมีของการแผ่ออกรอบตัว 3. ถอนจิตออกสู่ปกติ 4. สังเกตุผลลัพธ์หลังจากถอนจิตออกแล้ว

    +++ คุณจะทราบได้ว่า ทุกอย่างมีผลเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกันทั้งสิ้น ความรู้สึกต่างกัน การแผ่ที่รุนแรงหรือแผ่วเบาที่ต่างกัน ความรวดเร็วในการแผ่ shock wave ที่ต่างกัน ล้วนให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้อาจเป็นบันทัดฐานในการเรียนรู้เรื่องของ การกำหนดจิตและผลลัพธ์ของมัน ตลอดจนถึงการเรียนรู้พื้นฐานของ กฏแห่งกรรม ตามความเป็นจริงของสัจจธรรมทางจิตได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัย ความเชื่อ อีกต่อไป

    ~อีกเรื่องค่ะ ระยะหลังพอเริ่มหลับตานั่งสมาธิก็จะเห็นภาพรึนิมิตรจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ เป็นผีบ้าง มาหลอกมาแกล้งบ้างค่อยๆเข้ามาใกล้บ้าง เห็นเป็นหัวกระโหลกบ้างเป็นโครงกระดูกบ้างรึบางทีก็เห็นตัวเองนี่แหล่ะเหลือแต่โครงกระดูกที่มีเส้นเอ็นพันไปทั่วตัวบ้าง อย่างนี้เป็นเพราะเราสร้างภาพพวกนั้นมาหลอกตัวเองรึป่าว

    +++ ใช่ครับ ส่วนใหญ่เป็นเราหลอนตัวเองเกือบทั้งสิ้น ดังนั้น พอเริ่มนั่งสมาธิเมื่อไร ก็ให้ เข้า และ "อยู่" กับความรู้สึกตัวทันที เพื่อป้องกันการ "เสียเวลา" ไปกับสิ่งเหล่านี้ หรือ ถ้าจะให้ดี ก็ให้ทำความรู้สึกตัวก่อนนั่งก็ได้ พอนั่งแล้วก็ "เพิ่ม" ความรู้สึกตัวไปเลย

    เพราะวิญญาณเค้าคงไม่รบกวนผู้ที่นั่งสมาธิหรอกมั้งคะ รึว่ามากวนกันจิงๆ แต่บางทีก็เห็นเป็นพระสงฆ์ เป็นเทพก็แล้วแต่ อันนี้ไม่กลัว แต่อันแรกกลัวค่ะ 2-3วันแรกที่เห็นนั่งไม่ได้เลยกลัวค่ะ พอเห็นก็ลืมตาเลย เลิก ไม่นั่งแล้วมาอีกวันเอาใหม่ก็เห็นอีกแล้วก็เลิกอีก ไม่นั่ง มาอีกวันก่อนจะนั่งก็คิดว่าวันนี้จะสู้กับมันจะไม่หนีไม่งั้นก็ไม่ต้องนั่งสมาธิอีกตลอดไป พอหลับตาก็มาเลยค่ะ เยอะเลยทีนี้มาติดๆกันเลยเป็นภาพแนวๆเดียวกันแต่เปลี่ยนไปเรื่อย เราก็บอกตัวเองว่าอย่ากลัวสิ่งที่เห็นเพราะวันนึงเราก็จะผ่านการเป็นมนุษย์ไปเป็นแบบนั้นเหมือนกันเฟื่อให้ตัวเองเลิกกลัว แล้วบอกตัวเองว่าเราจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องอยู่ในสภาพแย่ๆแบบนั้นเด็ดขาด ก็ดีขึ้นค่ะภาพพวกนั้นก็หายไปเป็นภาพพระแทน ถ้าเป็นการที่เราสร้างภาพหลอกตัวเองจะต้องทำไงดีคะถึงจะหายไป เพราะเมื่อก่อนไม่เป็นน่ะค่ะ

    +++ การหลอนตนเองนี้ มีได้ในหลาย ๆ คน มีแต่ความรู้สึกตัวกับ "การอยู่กับความรู้สึกตัว" เท่านั้นที่จะต่อต้าน การหลอน ได้ครับ ยามใดที่สามารถ "อยู่" กับความรู้สึกตัวจนเป็นนิสัยแล้ว การหลอนตนเองก็จะหายไปเป็นธรรมดา นะครับ
     
  17. Ohchan

    Ohchan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +47
    ดิฉันก็เคยรู้สึกแบบนี้ค่ะ เมื่อ 4 ปีก่อนโดยดิฉันเพิ่งจะหัดนั่งสมาธิโดยการกําหนดลมหายใจพุธโธและก็เป็นการฝึกด้วยตัวเองค่ะ เริ่มจากพบหลวงปู่โลกเทพอุดรในสมาธิ หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็เกิดภาวะหูดับไร้ซึ่งร่างกายและไร้ลมหายใจ ดูเหมือนดิฉันหลุดเข้าไปในที่เป็นเหมือนสุญญากาศคล้ายจักรวาล บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ มันคล้ายท้องฟ้ากว้างใหญ่มีสีสันแวววาวสุกใสไปหมด คําภาวนาพุธโธก็หายไป ดิฉันเองหลังจากนิ่งแบบนั้นสักพัก สติก็บอกว่าเรานั่งสมาธิอยู่แล้วลมหายใจกะร่างกายฉันไปไหน แล้วฉันจะจับอะไรต่อดี ก็เริ่มจะภาวนาต่อ แต่ไม่ทันไรเวลาที่หยุดนิ่งนั้นกลับมามีชีวิตดังเดิม ตั้งแต่นั้นดิฉันก็ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นอีกแต่อย่างน้อยก็ทําให้รู้ว่าการไม่มีสังขารและการละกิเสลทุกอย่างโดยเหลือแต่จิต มันสบายและเป็นสุขกว่าอื่นใดทีเราจับต้องได้ในโลกมนุษย์ และมันมีอยู่จริง สามารถทําได้ขณะที่เรายังมีสังขารอยู่ ช่วงปีที่ดิฉันนั่งปฎิบัติธรรมนั้น ทําให้พบเจอเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสิ่งศักดิสิทธิ์ การได้ไปเที่ยวที่แปลกๆ การได้พบกับเทพ เทวดา ถ้าเขียนหนังสือได้คงเป็นเล่มเลยค่ะ ทําให้ยอมรับคติข้อหนึ่ง คือ ผู้รู้พึ่งรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น ถ้าไม่ได้เห็นและสัมผัสเองก็ยากที่จะเชื่อ แรกๆก็รู้สึกเหมือนอยากจะรู้ อยากจะถามว่าทั้งหมดคืออะไร แต่ตอนนี้รู้สึกอิ่มตัวกับเรื่องเหล่านี้ และไม่สงสัยหรือใคร่รู้อะไรอีก ดิฉันก็ปฎิบัติต่อไปเรื่อยๆมากบ้างน้อยบ้างตามแต่กาลเวลา
    ดิฉันขออนุโมธนาบุญผู้ปฎิบัติธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  18. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    มีข้อสงสัยค่ะ คืออ่านเจอบทความหนึ่งมีใจความประมาณว่าการปฎิบัตินั่งสมาธิจำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะให้คำสอน หากไม่มีหรือปฎิบัติเองเข้าใจเองนานเข้าอาจเป็นวิปลาสได้ วิปลาสนี่หมายถึงบ้า ฟั่นเฟือนใช่ไหมคะ แล้วมันมีโอกาสเป็นจริงตามข้อความข้างต้นจริงรึป่าว พออ่านมาแล้วก็รู้สึกกังวลเพราะตัวเองไม่เป็นศิษย์มีครู นั่งเอง ปฎิบัติเองน่ะค่ะ ( ต้องขออภัยหากดิฉันเข้าใจเจ้าของข้อความผิดไป แต่ดิฉันอ่านแล้วตามความเข้าใจของดิฉันมันคืออย่างที่บอกมาค่ะ)
     
  19. Ohchan

    Ohchan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +47
    ถ้าครูที่เจ้าของกระทู้หมายถึงคนที่สองเรานั่งสมาธิและเป็นผู้ชี้แนะและเป็นแบบอย่างนะหรือค่ะสําหรับตัวดิฉันนั้นถือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอาจารย์และเป็นแบบอย่างค่ะ ก่อนนั่งสมาธิทุกครั้งก็จะสวดมนต์อาราธนาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อนเสมอ อย่างที่ว่าช่วงตอนนั่งสมาธิใหม่ๆเกิดจากมีคนทักบอกว่า ถึงเวลาที่ดิฉันต้องปฎิบัตีได้แล้ว ตอนแรกดิฉันก็ไม่เชื่ออยากรู้ว่าสมาธิและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงไหมก็เลยลองทําดู โดยพี่เค้าเน้นง่ายๆคือพุทโธ พอได้คําแนะนําแค่นั้นก็พบเห็นเรื่องราวมากมาย และครูที่ว่านั้นไม่จําเป็นต้องเป็นมนุษย์เสมอ พูดอย่างนี้ก็ไม่อยากให้เจ้าของกระทู้ไขว้เขว ครูบาอาจารย์ขึ้นอยู่กับวาสนาที่ผูกพันกัน ดิฉันบอกตามตรงเลยว่าผู้ที่มาสอนดิฉันจนถึงสภาวะกายและจิตแยกกันนั้น ท่านเป็นเทพที่มาเมตตาสอนให้ รวมทั้งบอกให้ดิฉันถือเอาหลวงปู่ใหญ่เป็นครูและบอกว่าถ้าท่านมาโปรดอีกก็ให้เข้าไปกราบแต่นับจนวันนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้มีวาสนาได้พบท่านอีก เรื่องต่างๆที่ดิฉันเล่านี้ไม่ใด้ต้องการจะอวดอ้างอะไรเพียงแค่อยากให้เจ้าของกระทู้เข้าใจว่าบ้างครั้งหนังสือก็เป็นเพียงสถิติแต่มันมีหลายๆอย่างที่อยู่นอกเหนือจากหนังสือ ดิฉันไม่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับสมาธิพวกนี้เลย และไม่เคยรู้ว่าแต่ละภาวะจิตเรียกอะไร แล้วต้องรู้สึกอย่างไร เพียงแต่ดิฉันต้องการให้จิตเกิดการพัฒนาด้วยตัวโดยไม่ต้องไปจดจําจากในหนังสือ นั้นแหละเราจะรู้ว่าจิตเราพัฒนาไปได้อย่างไร เรื่องเหล่านี้ละเอียดอ่อนมากเกินกว่าจะอธิบายได้ถ้าไม่ได้พบด้วยตนเอง ตอนนี้เจ้าของกระทู้ยังมีเรื่องใคร่รู้และยังเพิ่มเริ่มต้นฝึกเท่านั้น ยังมีเรื่องราวปาฎิหารย์ทีเจ้าของกระทู้จะได้พบเจอทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัญญาเดิมว่าจะดึงออกมาได้ไหมเพื่อจะได้บําเพ็ญบารมีต่อ และเมื่อใดเกิดตัวรู้ขึ้นภายในตัวเองก็จะเข้าใจสิ่งที่ดิฉันพูดไว้ เอาไว้แค่นี้ก่อนนะค่ะ ถ้าสนใจอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม ดิฉันยินดีให้คําแนะนําและตอบข้อสงสัยค่ะ
     
  20. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ตามความเข้าใจของดิฉันนะคะ ... วิปลาสนี่น่าจะเป็นความหลงผิดที่เกิดจากกิเลสเป็นตัวชักนำพาไป หากเราฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความรู้สึกตัว อยู่กับเป็นจริง ความหลงก็จะไม่เกิด บางท่านปฏิบัติได้เห็นโน่นเห็นนี่แล้วหลง หลงว่าตัวเองสำเร็จก็มีไม่น้อย เคยเห็นเพื่อนรุ่นน้อง นั่งสมาธิบางครั้งนั่งถึง 7-8 ชั่วโมง พอออกจากสมาธิก็มาเล่าให้ฟังว่าเห็นโน่นเห็นนี่ เห็นแล้วจินตนาการเป็นจริงเป็นจัง คือจิตมันปรุงแต่งก็หลงไปกับมัน ใครจะตักเตือนด้วยความห่วงใยจะไม่รับ จะเชื่อเฉพาะครูบาอาจารย์ที่สอนเธอเท่านั้น คนอื่นไม่เก่งเหมือนครูบาอาจารย์เธอ ไม่เก่งเหมือนเธอ อย่ามาสอนเธอ อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ จิตวิปลาสนี่คิดว่าคงไม่ได้เกิดจากมีครูบาอาจารย์หรือไม่มีครูบาอาจารย์คอยสอน แต่เชื่อว่าเกิดจากตัวบุคคลนั้นๆมากกว่าค่ะ บางคนไม่มีครูบาอาจารย์สอน แต่ฝึกสติ มีปัญญา รู้เท่าทันกิเลส ก็ไม่เกิดวิปลาส บางคนมีครูบาอาจารย์ดีสอน แต่กำลังของสติปัญญาไม่มีพอให้รู้เท่าทันกิเลส คนนั้นก็เกิดจิตวิปลาสได้เหมือนกันค่ะ

    ปล. สนทนาธรรมกันไปก่อนนะคะ คงต้องรอคุณธรรม-ชาติ มาตอบ สงสัยคุณธรรม-ชาติ ท่านกำลังฝึกเข้มให้กับลูกศิษย์อยู่ ใครปฏิบัติแล้วมีอะไรสงสัยก็โพสท์ๆลงไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวท่านคงเข้ามาตอบให้ความกระจ่างในเร็วๆนี้ค่ะ อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...