เก็บรวบรวม!!องค์กรลับและทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด!!

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย foleman, 27 กรกฎาคม 2012.

  1. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    บันทึกลับรายงานจานบิน

    มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า ในช่วงต้นๆ ของการสำรวจวัตถุบินลึกลับ ซีไอเอ ได้ทำรายงานการสำรวจปลอมขึ้น
    เพื่อปกปิดปฏิบัติการลับของพวกเขาต่อสาธารณชน หรือว่าวัตถุบินลึกลับที่ชาวบ้านเห็นบินอยู่บนท้องฟ้า
    ในช่วงทศวรรษที่ 1950 แท้ที่จริงแล้วก็คือ เครื่องบินล่องหนลำแรกของโลก U2 ?





    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบสิ้นลงราวปลายทศวรรษที่ 1950 หลายประเทศทั่วโลกก็ตกอยู่ในสภาวการณ์
    "สงครามเย็น" (Cold War) ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐหลายคนเชื่อกันว่า
    ปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับ (UFO phenomenon) ที่พบเห็นบ่อยครั้งในช่วงนี้ เกิดจากการข่มขู่ของพวกมนุษย์ต่างดาว


    พบจานบินครั้งแรก

    รายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1947 เมื่อเคนเนท อาร์โนลด์ (Kenneth A. Arnold)

    นักธุรกิจและนักบินเครื่องบินส่วนตัวกำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาเรนเนียร์ (Mount Rainier)




    รัฐวอชิงตัน

    ขณะนั้นเขากำลังบินอยู่ที่ระดับความสูง 9,000 ฟุต เมื่อเขามองต่ำลงมาก็พบว่า
    มีวัตถุลึกลับคล้ายจานจำนวน 9 ลำ บินอยู่เบื้องล่าง

    จากนั้นมาก็เริ่มมีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับทั้งจากนักบินกองทัพอากาศ นักบินพาณิชย์
    และเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการบินทั่วสหรัฐ พลอากาศเอก นาธาน ทวินิง (General Nathan F. Twining)

    หัวหน้าศูนย์บริการเทคนิคการบินจึงได้เริ่ม "โครงการจานบิน" (Project Saucer) ขึ้นในปี ค.ศ. 1948
    โครงการนี้มีหน้าที่ในการรวบรวม ตรวจสอบ วัดผล และสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับ
    เพื่อใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่ายานอวกาศจากนอกพิภพอาจเป็นเรื่องจริง และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
    ซึ่งในเวลาต่อมา นาธาน ได้เปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "โครงการสัญลักษณ์" (Project Sign)

    หน่วยงานที่รับผิดชอบในโครงการสัญลักษณ์ก็คือ แผนกเทคนิคสืบราชการลับ ของศูนย์ยุทโธปกรณ์การบิน
    ที่ฐานทัพไรท์ (Wright field) ซึ่งปัจจุบันก็คือฐานทัพอากาศไรท์-แพทเทอร์สัน (Wright-Patterson Air Force Base)




    ที่ตั้งอยู่ที่เมืองเดทัน รัฐโอไฮโอ




    โครงการสัญลักษณ์ได้เริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 มกราคม 1948 ในตอนแรกนั้นบรรดานักวิจัย
    ต่างเชื่อว่า วัตถุบินลึกลับ เหล่านั้นเป็นอาวุธของรัสเซีย แต่ต่อมาเมื่อมีการสืบสวนลึกลงไปก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่
    พวกเขาคาดไว้ พวกเขาจึงสรุปว่าวัตถุบินลึกลับที่พบเห็นกันอาจจะเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ก็ได้

    ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ข้อสรุปใหม่ว่าปรากฏการณ์ที่ได้รับแจ้งส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่เกิดจากผู้แจ้งข่าว
    เพ้อเจ้อไปเองบ้าง ข่าวเท็จบ้าง สำคัญผิดบ้าง และบางครั้งก็เกิดจากผู้อยู่ในเหตุการณ์เป็นโรคประสาท
    แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงสืบสวนเรื่องปรากฏการณ์ประหลาดเหล่านี้อยู่ต่อไปเพราะพวกเขาก็ยังคงคิดว่า
    มีหลายเหตุการณ์ที่อาจเป็นเรื่องจริง

    บิดเบือนข้อมูล

    ท่ามกลางข่าวลือเรื่องวัตถุบินลึกลับที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ กองทัพอากาศก็ยังคงพยายามที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ
    ปรากฏการณ์นี้เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน ในปลายทศวรรษที่ 1940 กองทัพอากาศได้เริ่มโครงการใหม่ชื่อว่า
    "โครงการกรูดจ์" (Project Grudge)

    โครงการนี้มีหน้าที่ในการสร้างข่าวออกสู่สาธารณชน เพื่อให้ประชาชนคลายความวิตกกังวลเรื่องมนุษย์ต่างดาวจะบุกโลก
    โดยการออกข่าวชักจูงให้ประชาชนมีความเห็นคล้อยตามว่าวัตถุบินลึกลับที่เห็นนั้นเป็นเรื่องอธิบายได้ง่ายๆ
    หาใช่จานบินของมนุษย์ต่างดาว เช่น ลูกบอลลูน เครื่องบิน ดาวเคราะห์ ดาวตก ฝนลูกเห็บ หรือแสงสะท้อน

    จากการสืบสวนอยู่นานนับปี ก็ไม่พบหลักฐานว่าปรากฏการณ์วัตถุบินลึกลับจะเกิดจากการบุกรุกจากพวกมนุษย์ต่างดาว
    หรือแม้แต่เป็นอาวุธลับของประเทศที่เป็นศัตรูของสหรัฐ ในทางตรงกันข้าม การที่รัฐบาลตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมา
    สืบสวนเรื่องนี้กลับทำให้ประชาชนต่างยิ่งหวาดผวาว่าเรื่องที่พวกเขากลัวจะเป็นความจริง ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ล้มเลิก
    โครงการนี้ลงเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1949

    เลิกไม่ได้

    วันที่ 19-20 กรกฏาคม 1952 เรดาร์ของสนามบินนานาชาติใน กรุงวอชิงตัน และ ฐานทัพอากาศแอนดรูว์
    จับภาพวัตถุบินลึกลับได้ แล้วจู่ๆ มันก็หายไปจากจอเรดาร์ วันที่ 27 กรกฏาคม มันก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกและหายไปเฉยๆ
    เหมือนครั้งก่อน กองทัพอากาศก็รีบออกมาให้ข่าวว่ามันเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงกระทันหันจึงทำให้
    สัญญานเรดาร์สะท้อนกลับ

    วันที่ 29 กรกฏาคม ว่าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับสายวิทยาศาสตร์ของ ซีไอเอ
    (CIA's Acting Assistant Director for Scientific Intelligence) ได้ทำบันทึกรายงานถึง
    ว่าที่ผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับว่า "สืบเนื่องจากการที่มีผู้พบเห็นวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติทั้งชนิด
    เห็นได้ด้วยตราเปล่าและปรากฏบนจอเรดาร์เป็นจำนวนมาก จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษขึ้น
    เพื่อหาข้อเท็จจริง"

    งานชิ้นแรกที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษกระทำก็คือ การสืบค้นข่าวจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารของรัสเซียเพื่อหาดูว่า
    ทางค่ายคอมมิวนิสต์นั้นมีการสร้างอาวุธลับอะไรหรือเปล่า เพราะพวกเขาเกรงว่าวัตถุบินไม่ปรากฏสัญชาติเหล่านั้น
    อาจมาจากรัสเซีย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจะมีข้อมูลใดสามารถนำมาผูกโยงกับเรื่องนี้ได้

    เป็นภัยต่อความมั่นคง

    วันที่ 1 สิงหาคม เอ็ดเวิร์ด เทาส์ (Edward Tauss) หัวหน้าฝ่ายสรรพาวุธของ ซีไอเอ ได้รายงานข่าวว่า
    จากการที่เขาได้ตรวจสอบข่าววัตถุบินลึกลับกว่า 1,000 ข่าวที่ถูกส่งมายังฝ่ายเทคนิคการบิน
    (Air Technical Intelligence Center - ATIC) นั้นมีอยู่ราว 100 ข่าวที่ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ว่าเกิดจากอะไร

    แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาหาเหตุผลมาอธิบายปรากฏการณ์นั้นไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะว่าข้อมูลข่าว
    ที่ได้รับแจ้งนั้นมีน้อยเกินไป และตราบใดที่เขายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันคืออะไร รัฐบาลควรที่จะต้องปกปิด
    เรื่องเหล่านั้นไว้เป็นความลับ

    เอ็ดเวิร์ด ยังได้แนะนำอีกด้วยว่าประชาชนไม่ควรจะรู้ด้วยซ้ำว่ารัฐบาลกำลังทำการสืบสวนเรื่องวัตถุบินลึกลับนี้อยู่
    หาไม่แล้วประชาชนจะต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้นต่อสาธารณชน ซึ่งรัฐบาลเองก็ยังไม่มีคำตอบ

    ปัญหาที่น่าห่วงที่สุดก็คือ ถ้าหากมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ กองทัพจะรู้ได้อย่างไรว่าภาพที่เห็นบนจอเรดาร์นั้น
    เกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดของเรดาร์ หรือเป็นยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว หรือร้ายที่สุดก็คือเป็นขีปนาวุธของรัสเซีย

    มีต่อ
     
  2. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ค้นหาความจริง

    รัฐบาลสหรัฐเกรงว่ารัสเซียอาจจะฉวยโอกาสนี้ยิงขีปนาวุธเข้าโจมตีสหรัฐ โดยที่ทางสหรัฐไม่ทันได้ตั้งตัว
    เหล่านักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกระทิและผู้เชี่ยวชาญทางการบินระดับสูงกลุ่มหนึ่งจึงได้รวมตัวกันก่อตั้งองค์กรลับๆ ขึ้น
    ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1953 เพื่อสืบสาวราวเรื่องหาข้อมูลเกี่ยวกับการบุกเข้าโจมตีจากมนุษย์ต่างดาว
    พวกเขาตั้งชื่อองค์กรนี้ว่า คณะกรรมการโรเบิร์ทสัน (Robertson Panel)
    (ความเห็นส่วนตัวว่า ในกรณีขององค์กรนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าเอา IO มาใช้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อเบี่ยงประเด็นความสนใจ
    ของสาธารณชนและปกปิดข้อมูลที่ไม่รู้หรือรู้แต่ไม่ต้องการเปิดเผย ถ้าเทียบกับสถานการณ์การเมืองของไทยก็คือ
    กรณีที่รัฐบาลสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ เพื่อเบี่ยงประเด็นความสนใจของประชาชนให้กระจัดกระจายรวมตัวกันไม่ได้
    ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดกันเองระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ, หรือในการแสดงความคิดเห็นบนเวปบอร์ดเอง
    ก็มีกลุ่มจัดตั้งเพื่อคอยเบี่ยงเบนประเด็นให้มีการทะเลาะกันเองอยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อทำให้ไม่ไว้ใจกันเองระหว่างกลุ่มที่ต่อต้าน
    รัฐบาลโดยอ้างความชอบธรรมในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง)


    ระหว่างวันที่ 14-17 มกราคม 1953 บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เวลาราว 12 ชั่วโมงทำการศึกษาและหาคำอธิบาย
    ให้กับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ทางกองทัพอากาศได้รวบรวมหลักฐานมา และสรุปว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดนั้น
    เป็นเหตุการณ์ธรรมชาติธรรมดาๆ อย่างเช่น ฟิล์มภาพยนตร์ที่จับภาพวัตถุบินลึกลับเหนือเมืองทรีมอนตัน รัฐยูธาท์
    เมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม 1952 เป็นเพียงแค่สภาพแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่ไปกระทบฝูงนางนวล หรือ
    ภาพถ่ายวัตถุบินเหนือน้ำตกในมอนทานา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 1950 เป็นเพียงแสงสะท้อนจากเครื่องบิน 2 ลำ

    คณะกรรมการได้สรุปโดยมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่มีการบุกรุกเพื่อเข้าโจมตีจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือแม้แต่หลักฐานที่เพียงพอ
    ที่จะยืนยันได้ว่าวัตถุบินลึกลับที่เห็นนั้นเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ด้วยเหตุผลเดียวกับที่คณะกรรมการชุดก่อนได้สรุปเอาไว้ว่า
    ปรากฏการณ์นี้อาจเป็นภัยต่อระบบรักษาความปลอดภัยของประเทศ จึงควรปกปิดเรื่องวัตถุบินลึกลับนี้ไม่ให้สาธารณชนทราบ
    http://www.larryhatch.net/MAPSMENU.html

    "สงครามเย็น" (Cold War)

    ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 รัสเซีย กลายเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามของสหรัฐ เนื่องจากรัสเซียได้ทำการศึกษาและวิจัย
    อาวุธนิวเคลียร์และจรวดนำวิถี และเมื่อถึงฤดูร้อนของปี 1949 รัสเซีย ก็เริ่มผลิตระเบิดปรมาณูและก็ทำการทดลอง
    เป็นผลสำเร็จเช่นกัน

    วุฒิสมาชิกของสหรัฐ ริชาร์ด รัสเซลล์ และผู้ติดตามได้ไปเยือนรัสเซียเมื่อเดือนตุลาคม 1955 ขณะที่พวกเขานั่งอยู่บนรถไฟ
    ในรัสเซีย ทุกคนต่างเห็นวัตถุบินรูปร่างประหลาดคล้ายจานบินอยู่บนท้องฟ้า แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ ซีไอเอ เข้ามาสอบสวนเรื่องนี้
    พวกเขาก็สรุปว่าสิ่งที่วุฒิสมาชิกและคณะเห็นนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องบินเจทที่กำลังไต่เพดานบินเท่านั้น

    วัตถุบินลึกลับตัวจริง

    เดือนพฤศจิกายน 1954 ซีไอเอ ได้เปิดตัวเครื่องบินสอดแนมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เครื่องบินลำนี้พัฒนาขึ้นมา
    โดยฝ่ายพัฒนาขั้นสูงของ บริษัท ลอคฮีด ในเมืองเบอร์แบง รัฐแคลิฟอร์เนีย
    หรือที่รู้จักกันในนามของ สกังเวิร์ค (Skunk works)





    ถูกแล้วครับ ผมกำลังพูดถึงเครื่องบินล่องหนลำแรกของโลก U2 เจ้าเครื่องบินลำนี้ได้ถูกทดสอบบินเป็นครั้งแรก
    เมื่อเดือนสิงหาคม 1955 โดยนักบินที่มีชื่อเสียง เคลลีย์ จอห์นสัน (Kelly Johnson)


    เครื่องบิน U2 นี้ใพดานบินสูงถึง 60,000 ฟุต ซึ่งในช่วงทศวรรที่ 1950 นั้นเครื่องบินส่วนใหญ่จะมีเพดานบิน
    อยู่แค่ 10,000 ฟุต หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 20,000 ฟุต และด้วยเหตุที่เครื่องบิน U2 เป็นอาวุธลับที่ไม่สามารถ
    เปิดเผยให้สาธารณชนทราบได้ จึงทำให้มีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับถี่ขึ้นในช่วงนี้

    บิดเบือนเพราะจำเป็น

    เครื่อง U2 รุ่นแรกๆ นั้นเป็นสีเงิน ทำให้มันสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ดี เมื่อมองจากที่ต่ำกว่าจะทำให้ดูเหมือนเป็น
    วัตถุที่โชติช่วง ดังนั้นเมื่อมีรายงานพบวัตถุบินลึกลับที่ส่องสว่างเป็นประกาย รัฐบาลก็พอจะทราบอยู่ว่าเจ้าสิ่งนั้น
    ก็คือเครื่องบิน U2 นั่นเอง แต่เป็นเพราะว่ามันเป็นความลับ รัฐบาลจึงต้องบิดเบือนว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นปรากฏการณ์
    ธรรมชาติ เช่น ผลึกน้ำแข็งบนท้องฟ้า หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโดยกระทันหัน

    ท้ายที่สุด รัฐบาลก็กลับเป็นต้นเหตุที่ทำให้ประชาชนเกิดความแตกตื่นในเรื่องวัตถุลึกลับเสียเอง แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐ
    จะประสบความสำเร็จในการปกปิดเรื่องเครื่องบินล่องหน U2 แต่มันก็นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ที่พวกเขาพยายามแก้ไข
    มาหลายสิบปี นั่นก็คือการลดความแตกตื่นของประชาชนในเรื่องยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว

    และอย่างที่เราทราบกันดีแล้วว่าเครื่องบิน U2 ไม่ใช่โครงการลับโครงการเดียวของรัฐบาลสหรัฐ
    แต่ยังมีโครงการลับอื่นอีกนับสิบโครงการที่รัฐบาลสหรัฐปฏิเสธว่ามันไม่มีจริง ก็ลองคิดดูแล้วกันว่า
    จะมีประชาชนชาวอเมริกันได้พบเห็นวัตถุบินลึกลับบนท้องฟ้ามากมายและบ่อยขนาดไหน

    มีเรื่องราวที่เป็นปริศนามากมายที่รัฐบาลสหรัฐรูดซิบปากเงียบในตอนแรก และมาเปิดเผยความ(ไม่)จริง
    หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปเนิ่นนานหลายปี หรือเป็นเพราะว่าพวกเขารอสร้างหลักฐานให้ดูสมจริงสมจังเสียก่อน
    จึงค่อยนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน

    มีต่อ
     
  3. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    โครงการลับออโรร่า

    จนถึงปัจจุบันนี้ พื้นที่ 51 (Area51) ยังคงความเป็นเขตลึกลับที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
    แต่ถึงกระนั้นก็มีคนจำนวนมากพยายามที่จะเสาะแสวงหาข้อมูลออกมาตีแผ่ต่อสาธารณชนว่า รัฐบาลสหรัฐ
    กำลังปกปิดอะไรไว้เบื้องหลังดินแดนต้องห้าม และหนึ่งในโครงการลับของรัฐบาลสหรัฐที่ทำการทดลอง
    ณ ที่แห่งนี้คือ "โครงการออโรร่า" (AURORA)

    ออโรร่าคืออะไร?
    ออโรร่า (AURORA) เป็นโครงการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเครื่องบินรบล่องหนของกองทัพอากาศสหรัฐ ชื่อ
    "โครงการออโรร่า" เป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี ค.ศ. 1986 เมื่อกองทัพสหรัฐได้ยื่นเอกสารต่อสำนักงบประมาณ
    เพื่อขออนุมัติเงินจำนวน 80 ล้านดอลลาร์มาใช้เริ่มต้นโครงการป้องกันภัยทางอากาศที่ใช้ชื่อว่า ออโรร่า และ
    โครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่องที่ต้องใช้งบประมาณผูกพันไปถึงปี ค.ศ. 1987 เป็นเงินอีกราวสองพันล้านดอลลาร์

    เป็นที่เชื่อกันว่ากองทัพอากาศสหรัฐได้เปลี่ยนชื่อโครงการนี้เป็นชื่ออื่นแล้วหลังจากที่มีข่าวรั่วไหลออกสู่สาธารณชน
    หากแต่ว่าไม่มีใครทราบว่าชื่อใหม่ของโครงการนี้คืออะไรแน่ แต่ก็เดาว่าน่าจะชื่อ ซีเนียร์ ซิติเซน (SENIOR CITIZEN)
    แต่กระนั้นทุกคนก็ยังคงใช้ชื่อ ออโรร่า เรียกขานโครงการลึกลับนี้อยู่




    จริงอยู่ที่ในช่วงเวลานั้นกองทัพอากาศสหรัฐได้ผลิตเครื่องบินรบล่องหนที่มีความเร็วสูงอย่างเช่น
    เอสอาร์ 71 (SR-71 Blackbird)





    เพื่อปฏิบัติภารกิจในด้านการทำจารกรรม แต่โครงการนี้ได้ถูกยกเลิกไปในต้นปี ค.ศ. 1990 โดยทางกองทัพ
    ให้เหตุผลว่าได้นำดาวเทียมจารกรรมมาทำหน้าที่แทน เอสอาร์ 71 แล้ว ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก

    และงบประมาณจากโครงการผลิตเครื่อง เอสอาร์ 71 ได้ถูกถ่ายโอนมายังโครงการออโรร่า ซึ่งก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี
    ถ้าจะกล่าวว่าโครงการออโรร่า ก็คือการก้าวขั้นต่อไปของโครงการค้นคว้า วิจัยเครื่องบินรบล่องหน เนื่องจากว่า
    ชื่อรหัสที่ใช้ในโครงการผลิตเครื่องเอสอาร์ 71 คือ อ๊อกซ์คาร์ท (A-12 OXCART)


    อ๊อกซ์คาร์ท นั้นมีความหมายว่า เชื่องช้า ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป กองทัพอากาศเลือกใช้ชื่อนี้เพราะมันตรงกันข้ามกับ
    สมรรถนะที่แท้จริงของเครื่องบิน เอสอาร์ 71 เพื่อทำให้พวกลูกคุณช่างสงสัยที่ชอบคุ้ย แคะ แกะ เกา เกิดไขว้เขว
    เวลาที่สืบหาความเป็นไปของโครงการลับนี้

    ในขณะที่โครงการออโรร่า นั้นก็มีชื่อรหัสเรียกว่า ซีเนียร์ ซิติเซน (SENIOR CITIZEN) หรือผู้สูงอายุ ซึ่งมีความหมาย
    ไม่ต่างไปจากโครงการอ๊อกซ์คาร์ท ดังนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการยกเลิกโครงการผลิตเครื่องบิน เอสอาร์ 71
    ก็น่าจะเป็นเพราะพวกเขาก้าวมาอีกขั้นของการผลิตเครื่องบินความเร็วสูงที่เรียกกันว่า ไฮเปอร์โซนิค

    อะไรคือ "ไฮเปอร์โซนิค"
    ไฮเปอร์โซนิค (Hypersonic)





    คือ ระดับความเร็วที่เร็วกว่าความเร็วเสียงเกิน 5 เท่า หรือที่ระดับความเร็วเกินกว่ามัค 5 (Mach 5) หรือ
    มากกว่า 3,300 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งความเร็วเสียงนั้นมีความเร็วในการเดินทางเท่ากับ 670 ไมล์ต่อชั่วโมง
    ส่วนเครื่องบินเอสอาร์ 71 บินด้วยความเร็วมัค 3.2 หรือประมาณ 2,100 ไมล์ต่อชั่วโมง

    ทำไมกองทัพอากาศสหรัฐต้องสร้างเครื่องบินที่มีความเร็วสูงระดับไฮเปอร์โซนิค? เหตุผลก็คือในราวปี ค.ศ. 1980
    รัสเซียได้พัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลจากพื้นดินสู่อากาศ (Surface-to-air missile) หรือที่นิยมเรียกว่า แซม (SAM)
    มันเป็นขีปนาวุธรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า เอสเอ10 กรัมเบิ้ล (SA-10 Grumble)

    และ เอสเอ12 กลาดิเอเตอร์ (SA-12 Gladiator)




    เจ้าขีปนาวุธทั้ง 2 แบบนี้สามารถยิงเป้าที่บินอยู่บนท้องฟ้าที่ระดับความสูง 100,000 ฟุตได้อย่างสบายๆ ซึ่งแน่นอนว่า
    มันไม่ปลอดภัยต่อเครื่องบินเอสอาร์ 71 ซึ่งมีเพดานบินอยุ่ที่ 85,000 ฟุต นักบินคนหนึ่งกล่าวว่าเจ้าเอสอาร์ 71 นี้
    ที่จริงสามารถไต่เพดานบินได้สูงถึง 125,000 ฟุตแต่มันจะ "สั่นสะเทือน" นิดหน่อย ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่พ้นรัศมีการยิง
    ของขีปนาวุธรุ่นใหม่ของรัสเซียอยู่ดี

    และข้ออ้างที่ว่า กองทัพอากาศสหรัฐได้นำดาวเทียมจารกรรมมาปฏิบัติภารกิจแทนเครื่องบินเอสอาร์ 71
    เพื่อลดค่าใช้จ่ายนั้นก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องบินเอสอาร์ 71 นั้น
    ตกราว 200-300 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการยิงดาวเทียมจารกรรมนั้นสูงถึง 4,000 ล้านดอลลลาร์!

    ในขณะที่การใช้เครื่องบินเอสอาร์ 71 ทำการจารกรรมมีความคล่องตัวกว่าการใช้ดาวเทียมเป็นอย่างมาก
    เพราะดาวเทียมนั้นลอยคงที่อยู่บนวงโคจรของโลก ซึ่งทุกคนทราบตำแหน่งของมัน เพราะฉนั้นการจะหลบเลี่ยง
    การตรวจจับของมันจึงสามารถทำได้ (ความเห็นส่วนตัวว่า ในกรณีของทักษินขายดาวเทียมให้สิงคโปร์ก็เป็นการหลีกเลี่ยง
    การตรวจจับของสหรัฐจากจีนอีกวิธีหนึ่ง โดยอ้างว่าเป็นดาวเทียมเพื่อการพาณิชย์ของสิงคโปร์(เบื้องหลังคือสหรัฐ)
    เพราะตอนยิงดาวเทียมเราไม่รู้หรอกว่าดาวเทียมนั้นเป็นดาวเทียมจารกรรมหรือไม่? แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้จีนก็น่าจะรู้ดี)

    ผิดกับการใช้เครื่องบินที่บินด้วยความเร็วสูง บุกเข้าไปในเขตแดนที่ต้องการทำจารกรรมโดยที่ศัตรูไม่ทันได้ตั้งตัว
    และไม่ทันได้เก็บซ่อนสิ่งที่พวกเขาต้องการปกปิดอีกทั้งกองทัพอากาศสหรัฐเคยกล่าวไว้ว่าพวกเขาเชื่อถือการปฏิบัติการ
    ที่มีนุษย์เป็นผู้ควบคุมมากกว่าการปฏิบัติการที่ใช้อุปกรณ์ที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยมนุษย์ เช่น ดาวเทียม
    (ความเห็นส่วนตัวว่า ให้สังเกตุจากหนังฮอลลีวู้ดที่แสดงการนำดาวเทียมมาใช้ตรวจจับผู้ก่อการร้ายหรือในภาพยนตร์สายลับ
    เหมือนกับให้ความเชื่อถือในดาวเทียมสูงมาก ก็คือการใช้ประโยชน์จากผู้สร้างภาพยนตร์โดยที่คนสร้างอาจไม่รู้ตัว
    เป็นเครื่องมือในการใช้ IO เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปให้ความสำคัญกับดาวเทียมจนลืมเรื่องการจารกรรมโดยวิธีอื่นๆ)

    และที่สำคัญไปกว่านั้น กองทัพอากาศสหรัฐสามารถสั่งให้เครื่องบินตรงไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ

    อีกเหตุผลหนึ่งที่กองทัพอากาศสหรัฐไม่น่าจะใช้ดาวเทียมจารกรรมแทนการปฏิบัติการของเครื่องบินเอสอาร์ 71 ก็คือ
    ดาวเทียมจารกรรมนั้นไม่สามารถถ่ายภาพได้ทุกสภาพอากาศ ดาวเทียมจารกรรมส่วนใหญ่นั้นติดตั้งกล้องถ่ายภาพ
    ประเภทใช้แสงปรกติ หรืออย่างมากก็เพียงแค่กล้องที่กินแสงน้อยเท่านั้น ต่างกับการใช้เครื่องบินเอสอาร์ 71 ที่สามารถ
    บรรทุกกล้องถ่ายภาพทุกสภาพอากาศได้

    มีต่อ
     
  4. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ระเบิดกำแพงเสียง

    เช้าตรู่ของวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1992 ประชาชนที่อาศัยอยู่ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อพวกเขา
    ได้ยินเสียง "ระเบิดของกำแพงเสียง" (Sonic boom)




    เจ้าเสียงระเบิดนั้นก็ไม่ธรรมดาเพราะว่ามันดังขนาดเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหวสามารถตรวจจับได้

    สำนักงานธรณีวิทยาของสหรัฐจึงได้ทำการตรวจสอบที่มาของเสียงก็พบว่ามันเกิดจากยานพาหนะไม่ปรากฏสัญชาติ
    ที่บินด้วยความเร็วระหว่างมัค 3 ถึงมัค 4 และแหล่งที่มาของเสียงนั้นอยู่บริเวณเหนือเมืองลอสแองเจลิสกับ
    ทะเลทรายโมจาวี

    และมุ่งหน้าตรงไปยัง ฐานทัพอากาศเนลลิส ในรัฐเนวาดา บริเวณทะเลสาบกรูมหรือพื้นที่ 51 นั่นเอง






    ในที่สุดก็มีคนถ่ายภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เรียกว่า "โดนัทบนเส้นเชือก" (Donuts-on-a-rope) ไว้ได้





    เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1992 ที่บริเวณเหนือ อมาริลโล ในรัฐเท็กซัส เจ้า "โดนัทบนเส้นเชือก" นี้คือ
    ภาพที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเป็นกลุ่มควันที่ลากยาวเป็นสายคล้ายเส้นเชือก และมีกลุ่มควันขมวดเป็นวงกลม
    ล้อมรอบเป็นช่วงๆ สาเหตุเกิดจากการบินด้วยเครื่องบินที่มีความเร็วสูงมากๆ

    แต่นั่นก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีพยานรู้เห็นเครื่องบินประหลาดที่เรียกกันว่า ออโรร่า เพราะเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1989
    ขณะที่ คริส กิบสัน (Chris Gibson) วิศวกรสำรวจน้ำมันชาวสก็อต กำลังทำงานอยู่บนท่อส่งน้ำมัน เกลฟสตันคีย์
    ในทะเลเหนือ เขาได้เหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นเครื่องบินรูปสามเหลี่ยมที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน กำลังเติมน้ำมัน
    กลางอากาศโดยเครื่องบิน เคซี 135 และมีเครื่องบิน เอฟ 111 เอส 2 ลำบินคุ้มกันอยู่ข้างๆ



    ดูเหมือนว่าเครื่องบินลำนั้นจะเป็นเครื่องบินต้นแบบของเครื่องบินรุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่เครื่องบินเอสอาร์ 71
    ซึ่งมาทำการทดสอบสมรรถนะ การที่ คริส สามารถระบุชื่อเครื่องบินต่างๆ ได้อย่างแม่นยำก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
    เพราะ คริส เป็นสมาชิกของ องค์กรนักสังเกตการณ์แห่งสหราชอาณาจักร (British Royal Observer Corps)
    ซึ่งเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องบอกชื่อเครื่องบินที่เขาเห็นได้อยู่แล้ว แต่เจ้าเครื่องบินอีกลำที่มีลักษณะเป็น
    รูปสามเหลี่ยมนั้นเขาไม่รู้ว่ามันเป็นเครื่องบินรุ่นไหน


    ใครสร้างเครื่องบินออโรร่า

    ถ้าหากออโรร่า เป็นเครื่องบินที่สร้างขึ้นมาแทนเครื่องบินรุ่นเอสอาร์ 71 จริงมันก็น่าจะสร้างโดยบริษัทล็อกฮีด สกังเวิร์ค
    (Lockheed's Skunk Works) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องเอสอาร์ 71 แต่จากการสัมภาษณ์ บี บูเชล (B. Buschel)
    เจ้าหน้าที่ระดับสูงของล็อคฮีด เขากลับปฏิเสธว่ามันไม่ใช่เครื่องบินของล้อคฮีด

    บูเชล ให้ความเห็นว่าจากลักษณะของมันและดูข้อมูลอื่นๆ ประกอบ ออโรร่า น่าจะเป็นเครื่องบิน บี2 รุ่นใหม่
    ที่มีชื่อว่า บี2เอ (B2A) ซึ่งผลิตโดย บริษัท นอร์ทรอพ กรัมแมน (Northrop Grumman) ต่างกันก็ตรงที่
    เครื่องบินลำนี้สร้างขึ้นสำหรับทำจารกรรมโดยเฉพาะ ดังนั้นมันจึงไม่มีการติดตั้งอาวุธบนเครื่อง และเน้นเครื่องยนต์
    ที่มีความเร็วสูง

    ความเร็วสูงที่ว่าก็คือ ความเร็วที่ระดับไฮเปอร์โซนิค หรือที่ระดับมัค 5 ขึ้นไป ซึ่งเมื่อมันบินได้เร็วขนาดนั้นมันก็ไม่จำเป็น
    ต้องใช้เทคโนโลยีล่องหนอีกต่อไป เพราะคงไม่มีขีปนาวุธแบบไหนที่สามารถยิงมันได้ นอกเสียจากว่าพวกเขาไม่ต้องการ
    ให้มีใครรู้ว่ามีเครื่องบินล่วงล้ำน่านฟ้าเข้ามา

    ออโรร่าสามารถบินได้ที่ความเร็วระดับมัค 5 ถึง มัค 8 และมีเพดานบินสูงถึง 150,000 ฟุต มันเป็นเครื่องบินล่องหนรุ่นที่ 5
    ของโครงการแอสตร้า (ASTRA) ซึ่งย่อมาจาก Advanced Stealth Technology หรือเทคโนโลยีล่องหนขั้นสูง


    เทคโนโลยีล่องหนขั้นสูง

    บูเชลเชื่อว่า โครงการแอสตร้า นั้นเป็นชื่อที่แท้จริงของโครงการ ออโรร่า และออโรร่าก็ไม่ใช่ชื่อเครื่องบิน แต่เป็นชื่อของ
    โครงการพัฒนาเครื่องบินล่องหนซึ่งเป็นโครงการลับที่กองทัพอากาศสหรัฐได้เริ่มทำขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 โดยมี
    เครื่องเอสอาร์ 71 เป็นเครื่องบินล่องหนรุ่นแรก และตามด้วยเครื่อง เอฟ 117

    ส่วนเครื่อง บี2 นั้นเป็นรุ่นที่ 3

    สำหรับเครื่องบินล่องหนรุ่นที่ 4 ก็คือเครื่อง เอฟ 22

    และปัจจุบันเครื่องบิน บี2เอ เป็นเครื่องบินล่องหนที่กำลังทดสอบอยู่

    ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่าเครื่องเอสอาร์ 71 นั้นถูกแขวนปีกไปแล้วเมื่อปี ค.ศ. 1990 ส่วนเครื่อง เอฟ 117 นั้น
    เป็นเครื่องบินขับไล่(ทิ้งระเบิด)ล่องหน (Stealth Fighter) แบบที่นั่งเดียว ได้รับการอนุมัติให้สร้างในปี ค.ศ. 1978
    และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1982 โดยล็อกฮีด ใช้งบประมาณในการสร้างราว 45 ล้านดอลลาร์

    เครื่อง บี2 นั้นเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน (stealth bomber) ที่สงสัยกันว่ามีการติดตั้งเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงของโลก
    จึงทำให้มันมีราคาสูงกว่าสองพันล้านดอลลาร์ต่อลำ ส่วนเครื่อง เอฟ 22 นั้นสร้างโดยล็อกฮีด เป็นเครื่องบินขับไล่
    ติดอาวุธหนักที่ทำความเร็วได้ราวมัค 1.8

    แม้ว่าทุกคนจะเชื่อว่าโครงการออโรร่านั้นมีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีใครสามารถระบุได้แน่ชัดว่ามันเป็นชื่อเครื่องบินล่องหนรุ่นใหม่
    หรือเป็นชื่อโครงการวิจัยพัฒนาเครื่องบินล่องหนทั้งโครงการ แต่ที่แน่ๆ ก็มีหลักฐานพอที่จะเชื่อได้ว่ากองทัพอากาศสหรัฐ
    กำลังพัฒนาเครื่องบินล่องหนที่มีความเร็วระดับมัค 6 ปัญหาที่เป็นที่สงสัยก็คือพวกเขาใช้เครื่องยนต์แบบไหนในการขับเคลื่อน

    เครื่องยนต์จุดระเบิดเป็นจังหวะ

    จากการที่เครื่องบินที่บินเร็วระดับไฮเปอร์โซนิค ได้ทิ้งร่องรอยการบินเป็นทางยาวบนท้องฟ้าที่เรียกว่า "โดนัทบนเส้นเชือก"
    ทำให้พอจะคาดเดาได้ว่ามันน่าจะใช้เครื่องยนต์ชนิดจุดระเบิดเป็นจังหวะ (Pulse Detonation Wave Engine) หรือเรียกสั้นๆ
    ว่า พีดีวี (PDWE) ซึ่งถ้าจะว่ากันตามทฤษฏีแล้ว เครื่องยนต์ชนิดนี้สามารถทำความเร็วได้สูงถึงมัค 10 ทีเดียว

    พีดีวี ใช้มีเธนเหลว (Liquid Methane) หรือไม่ก็ไฮโดรเจนเหลว (Liquid Hydrogen) เป็นเชื้อเพลิง
    ซึ่งมันถูกจุดระเบิดในห้องเครื่องที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ และเมื่อเครื่องบิน บินด้วยความเร็วที่เหนือเสียง
    ส่วนหัวของเครื่องบินจะดันอณูของอากาศออกไปด้านข้างรอบๆ ส่วนหัวของเครื่องบินทำให้เกิดปรากฏการณ์
    ที่เราเรียกว่า "ระเบิดของกำแพงเสียง"

    ทันทีที่เครื่องยนต์ พีดีวี ทำงาน เครื่องบินก็จะดันดำแพงเสียงไปข้างหน้า และการทำงานของเครื่องยนต์ พีดีวี
    เป็นระยะๆ นี้เองที่ทำให้เกิดหางลากเป็นทางยาว เมื่อมองจากพื้นดินก็จะดูเหมือน "โดนัทบนเส้นเชือก" แต่ดูเหมือนว่า
    เราจะมีข้อมูลเรื่องการทำงานของเครื่องยนต์ พีดีวี ค่อนข้างที่จะน้อย ผู้ที่อ้างว่าได้เห็นเครื่องบินรูปร่างประหลาด
    มักจะระบุตรงกันว่า เสียงเครื่องยนต์ของมันก็ดังไม่เหมือนใครเช่นกัน เพราะมันมีเสียงที่ต่ำมาก

    ออโรร่ามีปัญหา

    จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถบันทึกภาพเครื่องบินปริศนา ออโรร่า แบบเจ๋งๆ ได้สักคน ภาพเครื่องบินออโรร่า
    ที่เราได้เห็นกันก็มีแต่ภาพวาดตามจินตนาการของศิลปิน กับภาพถ่ายขาวดำที่มองไม่เห็นรายละเอียดของมัน
    ยิ่งมีข่าวลือว่าโครงการออโรร่าต้องพบกับอุปสรรคบางอย่างจนทำให้ต้องระงับโครงการชั่วคราว ยิ่งทำให้การที่จะ
    ได้เห็นการปรากฏตัวของมันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ข่าวลือที่ว่านั้นฟังดูมีนำหนักเนื่องจากว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1996
    รัฐบาลสหรัฐได้อนุมัติงบประมาณขั้นต้นจำนวน 30 ล้านดอลลาร์ เพื่อปลุกผีเครื่องบินล่องหนเอสอาร์ 71 ขึ้นมาใหม่
    แต่อะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้โครงการออโรร่าถูกระงับไปนั้นคงต้องรอให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ไม่สุขไปคุ้ยกันมาก่อน

    มีต่อ
     
  5. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ฐานทัพ UFO

    รัฐบาลสหรัฐเคยปฏิเสธการมีตัวตนของพื้นที่ 51 พวกเขาพยายามที่จะปิดบังอะไรไว้ หรือว่ามันคือ
    ฐานทัพของมนุษย์ต่างดาว


    ถ้าหากมีคนถามว่าพื้นที่บริเวณใดในสหรัฐเป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุด เราคงจะได้รับคำตอบว่ามันคือ พื้นที่ 51 หรือ Area 51

    นั่นก็อาจเป็นเพราะมีคนจำนวนมากอ้างว่าได้พบเห็นวัตถุบินลึกลับหรือ ยูโฟ (UFO - Unidentified flying object)

    บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้งจนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 น่าจะเป็นฐานทัพหรือ
    กองบัญชาการของวัตถุบินลึกลับ

    เช้าวันทำงาน

    ทุกๆ เช้าของวันทำงานจะมีคนอย่างน้อย 500 คนผ่านเข้าไปยังประตูทางขึ้นเครื่องบินที่มีการรักษาความปลอดภัย
    อย่างเข้มงวดซึ่งอยู่ทางปีกด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส

    เจ้าของพื้นที่ที่เป็นเขตหวงห้ามส่วนนี้ก็คือ บริษัท อีจีแอนด์จี (EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier, Inc.)

    ผู้คนเหล่านั้นต้องบอกรหัสผ่าน "เจเน็ท" (JANET) ตามด้วยเลขประจำตัว 3 หลักก่อนที่จะผ่านเข้าไปขึ้นเครื่อง
    โบอิ้ง 737 ที่ไม่มีเครื่องหมายใดๆ ระบุว่าเป็นเครื่องบินของใคร

    สายการบินนี้จะออกบินทุกๆ ครึ่งชั่วโมงโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ทะเลสาบกรูม (Groom Lake)
    สถานที่ลึกลับที่หน่วยงานราชการของสหรัฐปฏิเสธการมีตัวตนของมันเมื่อหลายปีก่อน

    เขตทดลองเครื่องบินลับ

    พื้นที่ 51 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลสาบกรูม นั้นอยู่ห่างจากลาสเวกัสไปทางตอนเหนือราว 90 ไมล์
    อันที่จริงแล้วพื้นที่ 51 เคยเป็นที่ตั้งของฐานทัพทหารแห่งหนึ่งของสหรัฐที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1955
    โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2

    นับตั้งแต่นั้นมาก็มีการใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานที่ทดสอบเครื่องบินจารกรรม เช่น เจ้าวิหคทมิฬ Blackbird (SR71)
    เครื่องบินขับไล่ล่องหน F117 Stealth Fighter, เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B2 Stealth Bomber
    อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสถานที่วิจัยโครงการลับออโรร่า (Aurora Project)

    เคร่องบินรบเหล่านี้จะถูกทำการทดสอบสมรรถนะที่บริเวณทะเลสาบกรูม เมื่อพวกเขาทดสอบเครื่องบินรบ
    จนเป็นที่พอใจแล้วจึงค่อยประกาศต่อสาธารณชนให้ทราบว่าบัดนี้กองทัพได้สร้างเขี้ยวเล็บอันใหม่ขึ้นมา

    ประวัติพื้นที่ 51





    เดือนมีนาคม ค.ศ. 1955 เคลลี่ จอห์นสัน (Kelly Johnson) ผู้ออกแบบเครื่องบินจารกรรม U2 ได้รับมอบหมายจาก
    ซีไอเอ ให้ออกแบบเครื่องบิน U2 นอกจากนี้แล้วเขายังได้รับมอบหมายให้หาสถานที่เพื่อใช้ทดสอบเจ้า U2 นี้ด้วย

    เคลลี่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ โทนี เลอวิเอร์ (Tony Levier) นักบินที่จะทำการบินทดสอบเครื่องบิน U2 กับ
    ดอร์ซี่ เคมเมเรอร์ (Dorsey Kammerer) ไปสำรวจพื้นที่ร้างกลางทะเลทรายตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย, เนวาดา
    และ อริโซนา 2 สัปดาห์ต่อมาโทนีก็กลับมาส่งรายงาน เคลลี่ดูรายงานเปรียบเทียบสถานที่ทั้ง 3 แห่งแล้วก็
    ตัดสินใจเลือกพื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ในรัฐเนวาดา

    ทะเลสาบกรูม มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกมากมายนับตั้งแต่มีการก่อสร้างฐานทัพขึ้น เคลลี่เรียกมันว่า พาราไดซ์แรนช์
    (Paradise Ranch - ทุ่งหญ้าสวรรค์) แต่หลังจากมีการทดสอบเครื่องบินจารกรรม U2 ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1955
    มันกลับถูกเรียกสั้นๆ ว่า แรนช์ (The Ranch - ทุ่งหญ้า) ในความเป็นจริงแล้วฐานทัพ(ลับ) แห่งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็น
    ทางการว่า วอร์เตอร์ทาวน์ สตริป (Watertown Strip) ตามชื่อเมืองหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค
    ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ แอลเลน ดูลเลส (Allen Dulles) ผู้อำนวยการ ซีไอเอ ในสมัยนั้น

    มีต่อ
     
  6. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ที่มาของชื่อพื้นที่ 51

    เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1958 คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู United States Atomic Energy Commission (AEC)
    ได้เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณทะเลสาบกรูม ร่วมกับกองทัพสหรัฐ เพื่อทำการทดลองโครงการลับๆ บางอย่าง
    พวกเขาเรียกสถานีทดลองนี้ว่า สถานีทดลองเนวาดา (Nevada Test Site)

    คณะกรรมาธิการฯ ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ แล้วกำหนดหมายเลขให้แต่ละส่วน บริเวณส่วนที่เป็นฐานทัพนั้น
    ได้หมายเลข 51

    นับตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่ฮอลลีวู้ดสร้างภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลับของรัฐบาลจึงมักจะอ้างถึงทะเลสาบกรูม
    แต่พวกเขาจะเรียกมันสั้นๆ ว่า พื้นที่ 51 ตามที่คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูใช้เรียก ถึงแม้ว่าการทดลองลับของ AEC
    จะเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 แล้วก็ตาม

    ในปี ค.ศ. 1970 กองทัพอากาศสหรัฐได้เข้ามายึดพื้นที่นี้อย่างถาวรเพื่อใช้เป็นสถานที่ทดลองเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ
    ตลอดไปจนถึงการทดลองเครื่องบิน มิก 21

    และอาวุธทันสมัยอื่นๆ ของรัสเซีย ที่ทางสหรัฐยึดมาได้เมื่อปี ค.ศ. 1967

    ปี ค.ศ. 1975 พื้นที่ 51 ได้ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในเขตจำลองการรบทางอากาศ ภายใต้ชื่อรหัสว่า
    "ธงแดง" (RED FLAG exercise)

    คราวนี้พื้นที่ 51 จึงถูกเรียกสั้นๆ ในชื่อใหม่ว่า "จตุรัสแดง" (Red Square) แต่ชื่อกึ่งเป็นทางการนั้นชื่อ
    "ดรีมแลนด์" (Dreamland - แดนในฝัน) และในช่วงทศวรรษ 1970 ก็ได้มีการทดลองโครงการด้านอวกาศ
    และการทดลองเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดคือ "แทคอิทบลู" (Tacit Blue)


    ขยายอาณาเขต

    ฐานทัพทะเลสาบกรูม ถูกขยายอาณาเขตออกไปอีกในช่วงทศวรรษ 1980 มีการสร้างสนามบินเพิ่มเติม
    อาคารเก็บเครื่องบินถูกสร้างบนลานบินเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บซ่อนจากสายตาของดาวเทียมจารกรรมที่มีอยู่มากมาย
    อุปกรณ์สื่อสาร เรดาร์ และจานดาวเทียมได้รับการติดตั้ง ตึกราม อาคาร โกดังหลายแห่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่
    บนทะเลสาบกรูม คาดว่ามันถูกใช้เป็นกองบัญชาการของศูนย์ทดลองเครื่องบินรบของกองทัพที่ถูกเรียกว่า
    ดีแทชเมนท์ 3 (Detachment 3)

    แม้ว่าจะมีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยแต่ก็ยังไม่วายถูกแอบลักลอบถ่ายภาพเนื่องจากพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบกรูมเป็นภูเขา
    ในปี ค.ศ. 1984 กองทัพสหรัฐจึงต้องขยายเขตหวงห้ามออกไปอีกโดยหวังว่าจะเป็นการกันไม่ให้มีใครสามารถมองเข้าไปยัง
    ในบริเวณฐานทัพได้ แต่ก็ยังมีจุดที่สามารถใช้เป็นที่สอดแนมได้อีก 2 แห่งห่างจากทะเลสาบกรูมไปทางตอนใต้ราว 12 ไมล์
    คือที่บริเวณไวท์ไซด์พีค (White Side Peak) กับ ฟรีดอม ริดจ์ (Freedom ridge) เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอาศัยสถานที่ทั้งสอง
    เป็นที่สอดแนมได้อีก ในปี ค.ศ. 1995 กองทัพจึงได้ประกาศให้เขตดังกล่าวเป็นเขตหวงห้ามด้วย

    แต่เขตหวงห้ามนั้นได้แต่เพียงแค่ติดป้ายเตือนเท่านั้นไม่มีการล้อมรั้วแต่อย่างใดเพราะพื้นที่เขตหวงห้ามนั้นกินอาณาเขต
    กว้างใหญ่เกินกว่าที่จะล้อมรั้วได้





    แต่ก็มีการจัดเวรยามโดยใช้หน่วยรักษาความปลอดภัยนิรนามที่พกอาวุธสุดจะทันสมัย อีกทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องมือ
    ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะมันสามารถแยกแยะได้ว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาเป็นมนุษย์หรือสัตว์
    หน่วยลาดตระเวณนิรนามนี้เรียกว่า แคโม ดูดส์ (Camo dudes) ซึ่งจะมีหน่วยสนับสนุนทางอากาศที่ใช้
    เฮลิคอปเตอร์ Sikorsky HH-60G Pave Hawk คอยให้การสนับสนุนทางอากาศ


    โครงการลับต่างๆ ที่ใช้พื้นที่ 51 เป็นสถานีทดลองนั้นค่อยๆ ทยอยจบลง เช่น การทดลองเครื่องบินจารกรรมแทคอิทบลู
    เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ. 1985 การทดลองเครื่องบินขีปนาวุธแอดวานซ์ครูซ (Advanced Cruise Missile) ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1992

    การทดลองขีปนาวุธ สแตนด์ออฟแอทแทค (Stand-off Attack Missile) ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 1994
    แต่ถึงกระนั้นกองทัพอากาศสหรัฐก็ยังคงตั้งศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่นั่น


    ความลับในพื้นที่ 51


    เป็นไปได้ว่ากองทัพอากาศยังคงมีภารกิจอื่นๆ ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยในปี ค.ศ. 1989 สถานีโทรทัศน์ลาสเวกัส
    ได้ถ่ายทอดการให้สัมภาษณ์ โรเบิร์ท ลาซาร์ (Robert Scott Lazar) ผู้ที่อ้างว่าเขาเคยทำงานในพื้นที่ 51



    http://www.boblazar.com
    โรเบิร์ท กล่าวว่าเขาได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษาวิศวกรรมยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ในพื้นที่ 51
    มียานอวกาศรูปทรงกลมคล้ายจานจำนวน 9 ลำบินขึ้น-ลงในเขตหวงห้ามบริเวณที่ชื่อ S4 หรือที่มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า
    บริเวณทะเลสาบปาปูส (Papoose Lake) ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลสาบกรูม ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 10 ไมล์

    เรื่องราวของโรเบิร์ทเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก มันทำให้เรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ผู้คนสงสัย
    เริ่มปะติดปะต่อขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง ยานบินรูปทรงกลมอาจเป็นการทดลองระบบต้านแรงโน้มถ่วงโลกแน่นอน
    เทคโนโลยีน่าทึ่งเช่นนี้ต้องถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด

    นอกจากนี้ยังมีการทดลองเครื่องบินจารกรรมที่มีความเร็วมากกว่าเสียง 5 เท่า โดยใช้พลังขับเคลื่อนชนิดใหม่
    เช่น พัลส์ เดโทเนชั่น เวฟเอนจิน (Pulse Detonation Wave Engine) และเครื่องบินความเร็วสูง
    ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจน

    การทดลองเครื่องบินที่มีความเร็วมากกว่าเสียงหลายเท่าหรือที่เรียกว่ายานไฮมัค (High-Mach Vehicle) โดยสร้างเครื่องบิน
    ที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างเครื่องบิน A12 และ D21 หรือที่เรียกกันว่า ซูเปอร์วอลคารี (Super Valkarie)
    ซึ่งมีคนจำนวนมากที่เคยไปด้อมๆ มองๆ แถวพื้นที่ 51 เคยเห็นมันถูกบินทดสอบ


    มีต่อ
     
  7. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ยานอวกาศจากต่างดาว

    จากคำกล่าวอ้างของโรเบิร์ท S4 เป็นสถานที่ใช้สำหรับศึกษา วิจัยวัตถุบินลึกลับภายใต้ชื่อโครงการ มูนดัสท์ (Moondust)

    บรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหลายถูกอำพรางอยู่ใต้พิ้นทรายเพื่อหลบเลี่ยงดาวเทียมจารกรรมของรัสเซีย

    โรเบิร์ททำงานในห้องทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งชื่อ แบร์รี่ คาสติลลิโอ (Barry Castillio) นักวิจัยแต่ละกลุ่ม
    จะถูกแยกทำงานในส่วนต่างๆ พวกเขาถูกจำกัดให้มีเพื่อนร่วมงานเพียงแค่ไม่กี่คน แบร์รี่ เป็นเพื่อนร่วมงานเพียงคนเดียว
    ที่ช่วยโรเบิร์ท ศึกษาค้นคว้าเรื่องการขับเคลื่อนของยานอวกาศ

    วันแรกที่โรเบิร์ท เดินทางถึง S4 เขาถูกนำตัวไปที่ห้องพยาบาลเพื่อทำการตรวจผิวหนัง เขาถูกทาด้วยสารหลายชนิด
    ตามจุดต่างๆ บนแขน วันต่อมาก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจเช็คดูว่าผิวหนังเขาเกิดการพุพองหรือมีอาการแพ้หรือไม่

    ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถูกสั่งให้ดื่มสารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายของเขามีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น สารนี้ช่วยป้องกันเขา
    จากสิ่งแปลกปลอมที่อาจได้รับจากการสัมผัสวัตถุที่มาจากต่างดาว

    สารที่โรเบิร์ท ดื่มนั้นมีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นต้นสน และในคืนนั้นหลังจากที่เขาได้ดื่มสารสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไป
    เขาก็เกิดอาการเป็นตะคริวที่ท้องน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นผลข้างเคียงมาจากสารสร้างภูมินั้น ต่อมาโรเบิร์ท
    ถูกแนะนำให้รู้จักกับเรเน่ (Rene) ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเรเน่ เป็นใครและมีหน้าที่อะไรใน S4 เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานอยู่ในส่วน
    ของ S4 นั้นมีอยู่แค่เพียง 22 คนเท่านั้น หัวหน้าของโรเบิร์ท ชื่อ เดนนิส มาริอานี (Dennis Mariani)

    เขารู้จักเดนนิส ตอนที่ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัท อีจีแอนด์จี (EG&G) ซึ่งตอนนั้นยังมีสำนักงานอยู่ที่
    สนามบินแมคคาร์เรน ในลาสเวกัส แต่ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่ที่ฐานทัพอากาศ เนลลิส (Nellis Air Force Base)

    ศึกษาข้อมูล

    ในวันแรกๆ มีเจ้าหน้าที่พาโรเบิร์ทไปที่ห้องเล็กๆ ที่มีเพียงแค่โต๊ะและเก้าอี้กับแฟ้มเอกสารกว่า 100 แฟ้ม ข้อความในแฟ้ม
    ล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวและเทคโนโลยีมนุษย์ต่างดาว เขาใช้เวลาวันละครึ่งชั่วโมงในการศึกษาข้อมูล
    ในแฟ้มเหล่านั้น

    ข้อมูลในแฟ้มเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นบทสรุปให้กับเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มาทำงานใน S4 ว่างานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย
    ให้ทำนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตต่างพิภพ โรเบิร์ท ได้เห็นการทดสอบบินของยานบินรูปทรงประหลาดและยิ่งตกใจมากขึ้นอีก
    เมื่อเห็นรายงานเขียนว่า มีการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานกว่าหมื่นปีแล้ว!

    โครงการที่โรเบิร์ท ทำอยู่นั้นเป็นส่วนย่อยของโครงการใหญ่ เขารับผิดชอบเรื่องการค้นคว้าการขับเคลื่อน
    ของยานอวกาศต่างดาวและบทบาทของแรงโน้มถ่วงเพื่อใช้เป็นสื่อในการขับเคลื่อนภายใต้ชื่อ

    โครงการกาลิเลโอ (Project Galileo)

    โดยปรกติเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนจะไม่ได้รับอนุญาติให้มีการติดต่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ แต่ในกรณีของโรเบิร์ทนั้น
    เขาต้องอาศัยความรู้ในแขนงอื่นด้วยจึงทำให้เขาได้รับอนุญาติเป็นกรณีพิเศษให้ทำการทดลองร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มอื่น

    หลากหลายโครงการ

    โครงการไซด์คิก (Project Sidekick) เป็นหนึ่งในสองโครงการที่โรเบิร์ท ได้รับอนุญาติให้รู้ข้อมูลได้บางส่วน
    มันเป็นการศึกษาค้นคว้าเรื่องอาวุธลำแสง (Beam Weapon) ที่จะถูกติดตั้งบนเครื่องบินรบ อาวุธลำแสงนี้
    ต้องอาศัยความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงและการรวมแสงให้เป็นลำ อาวุธชนิดนี้มีอำนาจการทำลายล้างที่สูงมาก

    โครงการลุคกิ้งกลาส (Project Looking Glass) เป็นการศึกษาเรื่องกฏกายภาพของการมองเห็นและผลกระทบ
    ต่อเวลาและอวกาศ ในการสร้างแรงโน้มถ่วงจำลอง และเช่นกันว่าโครงการนี้ต้องอาศัยความรู้ทางด้านแรงโน้มถ่วง
    และการควบคุมมัน

    การทดลองในโครงการกาลิเลโอ ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โรเบิร์ทได้เห็นรายงานและหลักฐานต่างๆ
    ที่พิสูจน์ถึงความถูกต้องของมัน ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าโครงการอื่นๆ ที่ทำใน S4 นั้นก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน
    แต่โรเบิร์ท ก็ปฏิเสธที่จะถือเอากรรมสิทธิ์เหนือความสำเร็จนั้น เขากล่าวว่ารายงานการวิจัยที่เขาทำขึ้นเป็นเพียงแค่
    ตัวอักษรและรูปภาพบนแผ่นกระดาษเท่านั้น

    ไม่ว่าการทดลองที่พื้นที่ 51 จะเป็นอะไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเป็นจำนวนมากได้พยายามสอดแนมเข้าไปใกล้
    เพื่อบันทึกภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้ดีว่ามีการทดลองเครื่องบินหรือวัตถุบินได้บางชนิดที่พวกเขา
    ไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน

    มีต่อ
     
  8. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    EG&G

    อีจีแอนด์จี เป็นใคร?

    อีจีแอนด์จี ย่อมาจาก เอดเจอร์ทัน เจอร์เมสเฮาเซน และ เกรียร์ (EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier)
    ซึ่งเป็นชื่อสกุลของผู้ก่อตั้งบริษัท 3 คนคือ ฮาโรลด์ เอดเจอร์ทัน (Harold Edgerton),
    เคนเนท เจอร์เมสเฮาเซน (Kenneth Germeshausen) และ เฮอร์เบิร์ท เกรียร์ (Herbert Grier)

    ในปี ค.ศ. 1931 ขณะที่ฮาโรลด์ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสทส์
    (Massachusetts Institute of Technology) เขาได้ประดิษฐ์หลอดไฟแฟลชขึ้น เขาได้เสนอขายลิขสิทธิ์ให้กับ
    บริษัท เจเนอราลอิเลคทริค (General Electric - GE) แต่ผู้บริหารของจีอี ไม่สนใจในหลอดไฟแปลกประหลาดอันนั้น
    ซึ่งผมคิดว่าเมื่อเขารู้ภายหลังว่ามันมีประโยชน์ต่อการถ่ายภาพอย่างมหาศาล ผมว่าเขาคงนั่งเขกกะโหลกตัวเองเป็นแน่!


    ฮาโรลด์ ก็เลยชวน เคนเนท เจอร์เมสเฮาเซน ลูกศิษย์คนหนึ่งมาเปิดบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์
    การทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม วิธีการของเขาก็คือปล่อยให้เครื่องจักรทำงานไปตามปรกติ
    ระหว่างนั้นพวกเขาก็จะถ่ายภาพด้วยความเร็วสูงโดยอาศัยไฟแฟลชที่ฮาโรลด์เป็นผู้ประดิษฐ์ เมื่อได้ภาพนิ่ง
    การทำงานของเครื่องจักรนั้น พวกเขาก็จะมาวิเคราะห์ดูว่าการทำงานของมันมีประสิทธิภาพแค่ไหน

    เอ...ชักเริ่มคุ้นๆ แล้วใช่ไหมครับว่าเคยได้ยินเรื่องคล้ายๆ แบบนี้ที่ไหน บอกให้ก็ได้ครับก็ภาพลูกปืนวิ่งทะลุผลแอปเปิ้ลยังไงละ





    ใช่แล้วครับภาพที่มีชื่อเสียงนั้นถ่ายโดยฮาโรลด์ และรวมถึงภาพมงกุฏหยดนม (Milk-drop Coronet) ก็ฝีมือเขาเหมือนกัน





    ในปี ค.ศ. 1934 ฮาโรลด์ ก็ได้เฮอร์เบิร์ท เกรียร์ ลูกศิษย์อีกคนมาร่วมทำธุรกิจ ภาพถ่ายของฮาโรลด์ได้รับเกียรติ
    ให้แสดงในพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะหลายแห่ง นับว่าเขาประสบความสำเร็จในด้านงานศิลปะ แต่ในเชิงพาณิชย์แล้ว
    เขากลับล้มเหลวเพราะเขาไม่สามารถขายอุปกรณ์ไฟแฟลชให้กับบริษัทผลิตกล้องถ่ายภาพได้แม้แต่บริษัทเดียว!

    เปลี่ยนเป้าหมาย

    ดังนั้น ฮาโรลด์ จึงเปลี่ยนเข็มไปยังกลุ่มช่างภาพข่าวกีฬา โดยเสนอที่จะถ่ายภาพการแข่งขันที่มีการเคลื่อนไหว
    อย่างรวดเร็วให้ ภาพที่ ฮาโรลด์ ถ่ายนั้นเป็นที่แน่นอนว่าน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีใครเคยเห็นภาพ
    นักกีฬาขณะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก่อน และตั้งแต่นั้นมาไฟแฟลชก็เริ่มเป็นที่นิยมใช้ในการถ่ายภาพข่าวกีฬา
    อย่างแพร่หลายและนั่นก็เป็นที่มาของการทำให้กองทัพอากาศเริ่มสนใจในสิ่งประดิษฐ์ของฮาโรลด์ ในปี ค.ศ. 1939
    กองทัพอากาศได้ว่าจ้างให้ ฮาโรลด์ ออกแบบไฟแฟลชที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะให้ความสว่างในการถ่ายภาพจาก
    เครื่องบินยามค่ำคืน และนี่ก็คือก้าวแรกที่ทำให้ ฮาโรลด์ เข้ามาเกี่ยวพันกับกองทัพอากาศอย่างลึกซึ้งต่อมาในภายหลัง

    เข้าสู่วงการ

    ด้วยไฟแฟลชของ ฮาโรลด์ ทำให้กองทัพสหรัฐสามารถเก็บข้อมูลพื้นที่ในเขตของศัตรูได้เป็นอย่างมากและ
    มันก็ได้ถูกใช้ในคืนก่อนวันดีเดย์ (D-Day) เพื่อสำรวจพื้นที่ก่อนที่จะส่งทหารเข้าไปในนอร์มังดี (Normandy)
    เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 และด้วยไฟแฟลชตัวนี้ทำให้ ฮาโรลด์ ก็ได้รับเหรียญอิสริยาภรณ์เสรีภาพ
    จากกระทรวงสงครามเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณที่สิ่งประดิษฐ์ของเขาเป็นประโยชน์ต่อกองทัพเป็นอย่างมาก

    จากนั้นมา ฮาโรลด์ ก็ได้รับคำร้องขอจากคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู ให้ช่วยสร้างกล้องถ่ายภาพการทดลอง
    ระเบิดปรมาณู ฮาโรลด์ ก้ได้สร้างกล้องพิเศษขึ้นมาเพื่อใช้ในการจับภาพการทดลองครั้งนั้นโดยเขาตั้งกล้องอยู่ห่างจาก
    จุดทดลองถึง 7 ไมล์ ฮาโรลด์เรียกกล้องพิเศษของเขาว่า "ราพาโทรนิค" (Rapatronic camera)


    กำเนิด อีจีแอนด์จี

    ในปีเดียวกันนี้เอง ฮาโรลด์ แลหุ้นส่วนทั้ง 2 ของเขาก็ได้ก่อตั้งบริษัท เอดเจอร์ทัน เจอร์เมสเฮาเซน และ เกรียร์ อิงค์
    (EG&G- Edgerton, Germeshausen, and Grier, Inc.) ขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 และได้จดทะเบียนเป็น
    บริษัทมหาชน เมื่อปี ค.ศ. 1959 หลังจากที่ปล่อยให้ชาวบ้านต้องลิ้นพันกันนัวเนียอยู่หลายปีเพราอ่านชื่อบริษัทของเขา
    ในที่สุดเขาก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น อีจีแอนด์จี อิงค์ ในปี ค.ศ. 1966

    ในช่วงทศวรรษที่ 1960 นี้เองที่ อีจีแอนด์จี ได้เริ่มแตกหน่อการให้การบริการไปอีกหลายสาขา และได้เริ่มรับงานมากมาย
    จากกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู และนั่นก็รวมถึงโครงการลับสุดยอดของกองทัพอากาศ
    ฐานทัพที่ทะเลสาบกรูม หรือพื้นที่ 51 นั่นเอง

    มีต่อ
     
  9. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    มาเจสติก12 หน่วยสืบสวนจานบิน

    ใครที่สนใจติดตามเรื่องราวลึกลับของมนุษย์ต่างดาวและยานอวกาศจากนอกพิภพ คงจะเคยได้ยินชื่อ "มาเจสติก 12"
    ซึ่งเป็นหน่วยงานลับหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐที่มีหน้าที่ติดตามสืบสวนเรื่องราวลึกลับเหล่านั้น
    วันนี้เราจะทำความรู้จักกันว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน

    กำเนิดมาเจสติก 12

    จากรายงานพบเห็นวัตถุบินลึกลับเป็นจำนวนมากในสหรัฐช่วงทศวรรษที่ 1950 ทำให้รัฐบาลสหรัฐวิตกกังวลว่า
    มนุษย์ต่างดาวอาจจะแอบมาสอดแนม และบุกเข้ายึดครองโลกวันใดวันหนึ่ง เพื่อเป็นความไม่ประมาท
    ประธานาธิบดี แฮร์รี่ ทรูแมน จึงได้จัดตั้งหน่วยงานลับหน่วยงานหนึ่งขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1947
    และตั้งชื่อหน่วยงานนี้ว่า "มาเจสติก 12" (Majestic 12)

    หลายคนอาจเคยรู้จักหรือได้ยินชื่อหน่วยงานนี้ในชื่ออื่นๆ เช่น เอ็มเจ12 (MJ-12), เมจิ12 (Maji 12),
    เมจิก12 (Majic 12), หรือ เมจิคอม12 (Majicom 12) ก็ขอให้รับทราบว่าเรากำลังพูดถึงหน่วยงานเดียวกันอยู่

    หน้าที่หลักของหน่วยงานนี้ก็คือ การนำข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ได้มาจากกองทัพ
    หน่วยสืบราชการลับ และหน่วยงานอื่นของรัฐมาศึกษาเพื่อหาข้อเท็จจริง

    คำนี้มีความหมาย

    เมจิก (Majic) เป็นคำที่ย่อมาจากคำว่า Majority Agency for Joint Intelligence Control หรือ
    หน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางของหน่วยสืบราชการลับหน่วยต่างๆ ของสหรัฐ ส่วนมาเจสติก (Majestic)
    นั้นน่าจะหมายถึง ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งคณะกรรมการในเมจิก 12 มีหน้าที่รายงานผลการสืบสวน
    ให้กับประธานาธิบดีทราบเป็นระยะๆ

    ปฏิบัติการเมเจอริตี้ (Majority Operation) เป็นปฏิบัติการที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง
    กับมนุษย์ต่างดาว คณะกรรมการที่อยู่ในหน่วยเมจิก12 นั้นจะถูกเรียกแทนด้วยโค้ด เช่น MJ1, MJ2 เรื่อยไป
    จนถึง MJ12 พวกเขาจะประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ เช่น หน่วยป้องกันราชอาณาจักร (NSA)

    ซีไอเอ เอฟบีไอ และหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐบาล

    จะว่ากันไปแล้ว เมจิก12 ถือกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์(อ้างว่ามี)จานบินมนุษย์ต่างดาวตกที่ รอสเวลล์


    เมื่อต้นเดือนกรกฏาคม 1947 ทำให้รัฐบาลสหรัฐแต่งตั้งคณะบุคคลขึ้นสืบสวนเหตุการณ์ในครั้งนั้น
    มีข่าวลือว่า เมจิก12 ได้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวเกรย์ส (Greys)

    โดยมีข้อตกลงกันว่ามนุษย์ต่างดาวจะให้ความรู้ทางเทคโนโลยีแลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐ
    จะให้พื้นที่ในการสร้างฐานทัพแก่มนุษย์ต่างดาวพร้อมกับมอบมนุษย์ให้เพื่อใช้ในการศึกษา
    (ความเห็นส่วนตัวว่า น่าจะเป็นการใช้ IO อีกแบบหนึ่งในการสร้างข่าวลือของหน่วยงานรัฐ)

    เมจิก12 ไมได้เพียงแค่มีหน้าที่ในการศึกษาเรื่องวัตถุบินลึกลับหรือสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเท่านั้น พวกเขายังมีหน้าที่
    ปกปิดเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ไม่ให้แพร่งพรายออกไปสู่สาธารณชน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องปกปิด
    การมีอยู่ของหน่วยงานนี้

    เมื่อมีรายงานว่ามีผู้พบเห็นวัตถุบินลึกลับ เจ้าหน้าที่ของเมจิก12 ก็จะรุดไปสอบสวน และถ้าหากพยานคนนั้น
    รู้เห็นมากเกินไป เขาก็จะถูก "แนะ" และ "เตือน" ให้ระมัดระวังการพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นต่อสื่อมวลชน
    ดังที่ วิลเลี่ยม "แมค" บราเซล (William "Mac" Brazel)

    ผู้พบชิ้นส่วนยานอวกาศตกที่ รอสเวลล์ และได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุท้องถิ่น แต่ภายหลังก็กลับคำให้สัมภาษณ์

    วิธีการที่หน่วยงานนี้ใช้ในการ "กลบข่าว" นั้นดูจะโหดอยู่สักหน่อยถึงแม้จะไม่มีหลักฐานว่ามีพยานคนใดถูกฆาตกรรม
    แต่พยานหลายคนก็หายสาบสูญไปเฉยๆ ! ส่วนเรื่องข่าวที่หลุดออกไปสู่สายตาสาธารณชนนั้น ใช่ว่ารัฐบาลจะเพียง
    ออกมาแก้ข่าวให้ประชาชนหายตื่นตระหนกต่อข่าวนั้น แต่พวกเขากลับสร้างหลักฐานออกมาค้านมากมายจนทำให้
    ดูเหมือนกับว่าผู้ให้ข่าวเป็นตัวตลกที่เพ้อเจ้อไปเอง
    (ความเห็นส่วนตัวว่า ในเมืองไทยก็ทำคล้ายกันเพียงแต่ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่จนตัวเองกลายเป็นตัวตลกเสียเอง)

    ใครเป็นใครใน "เมจิก 12"

    MJ1 พลเรือตรี รอสโค ฮิลเลนโคเอทเตอร์ (Rear Adm. Roscoe H. Hillenkoetter)

    ผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1947-1950) ถูกสงสัยว่าเป็นหัวหน้าทีมเมจิก12 อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล
    และกองทัพสหรัฐเคยกล่าวยืนยันว่า มีกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว และในปี ค.ศ. 1960
    ตัวนายพล รอสโค เองก็เคยยอมรับว่ามีการศึกษาเรื่องวัตถุบินลึกลับอย่างลับๆ

    MJ2 ดร. แวนเนวาร์ บุช (Dr. Vannevar Bush)

    ประธานคณะกรรมการร่วมสภาวิจัยและพัฒนา (1945-1949) เป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดี ผู้คิดค้นเครื่องคอมพิวเตอร์
    ในยุคแรกๆ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมสร้างระเบิดปรมาณู วิลเบิร์ท สมิธ (Wilbert Smith)

    วิศวกรโครงการป้องกันภัยของรัฐบาลแคนาดา ได้เขียนบันทึกไว้ในปี ค.ศ. 1950 ว่า
    "ยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวมีจริง แต่ยังไม่มีใครรู้ว่ามันทำงานอย่างไร ขณะนี้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง
    ที่นำทีมโดย ดร. แวนเนวาร์ บุช กำลังศึกษาเรื่องนี้อย่างขมักเขม้น"

    MJ3 เจมส์ ฟอร์เรสตอล (James Forrestal)

    รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (1947-1949) เขาเกิดอาการโรคประสาทและทำอัตวินิบาตกรรมในปี ค.ศ. 1949
    ผู้ที่ได้รับเลือกเข้ามาแทนที่คือ พลเอก วอลเตอร์ บีเดลล์ สมิทธ์ (General Walter Bedell "Beetle" Smith)

    เอกอัครราชทูตประจำรัสเซีย (1946-1949) และผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1950-1953) ในปี ค.ศ. 1991
    พันเอกพิเศษ อาร์เธอร์ เอ็กซอน (General Arthur Exon) อดีตผู้บัญชาการฐานทัพอากาศ ไรท์-แพทเทอร์สัน
    กล่าวว่าเขาไม่รู้จัก "เมจิก12" แต่ทราบว่ามีหน่วยงานลับชื่อ "13 ผู้ฝ่าฝืน(พระเจ้า)" (Unholy Thirteen)
    กำลังศึกษาเรื่องวัตถุบินลึกลับ 13 ผู้ฝ่าฝืนที่เขากล่าวถึงอาจเป็นเมจิก12 กับประธานาธิบดีสหรัฐ

    MJ4 พลอากาศเอก นาธาน ทวินิง (General Nathan F. Twining)

    ผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการยุทธปัจจัยทางอากาศแห่งฐานทัพไรท์ ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของ
    เสนาธิการทหาร ซึ่งเป็นตำแหน่งทางทหารที่สูงที่สุดของกองทัพสหรัฐ ดร. เอริค วอลเกอร์ (Eric Walker)
    อดีตประธานสถาบันวิเคราะห์การป้องกันภัย อ้างว่าเขาเคยร่วมสัมมนาเกี่ยวกับการค้นพบยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว
    ที่ฐานทัพไรท์-แพทเทอร์สัน เขายังกล่าวอีกด้วยว่าเขารู้จัก "เมจิก12" ทุกคนมานานกว่า 40 ปีแล้ว!

    MJ5 พลเอก ฮอยท์ แวนเดนเบิร์จ (General Hoyt Sanford Vandenberg)

    หัวหน้าหน่วยข่าวกรองกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1946-1947)

    MJ6 ดร. เดท์เลฟ บรอง (Dr. Detlev Bronk)

    นักชีวฟิสิกส์ หัวหน้าสมาคมนักวิทยาศาสตร์ และประธานที่ปรึกษาทางการแพทย์ของคณะกรรมการพลังงานปรมาณู

    MJ7 ดร. เจอโรม ฮันเซเกอร์ (Dr. Jerome Hunsaker)

    นักออกแบบเครื่องบินผู้มีชื่อเสียง และประธานคณะกรรมการให้คำปรึกษาวิชาการบิน

    MJ8 พลเรือตรี ซิดนีย์ โซเออร์ (Rear Admiral Sidney Souers)

    ผู้อำนวยการ ซีไอเอ (1946) และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการบริหารของสภาความมั่นคงแห่งชาติในปี ค.ศ. 1947
    ดอน เบอร์ลิงเจอร์ (Don Berlinger) นักเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์และนักสืบสวนเรื่องวัตถุบินลึกลับได้รับฟิล์มถ่ายรูปเอกสาร
    "คู่มือปฏิบัติการพิเศษมาเจสติก 12" (Majestic - 12 Group Special Operations) ลงวันที่เดือน เมษายน 1954
    จำนวน 23 หน้า จากผู้ไม่ประสงค์ออกนามเมื่อปี 1994


    MJ9 กอร์ดอน เกรย์ (Gordon Gray)

    ผู้ช่วยเลขานุการกองทัพ ต่อมาเป็นที่ปรึกษาสภาความมั่นคงและผู้อำนวยการฝ่ายยุทธจิตศาสตร์ของ ซีไอเอ

    MJ10 ดร. โดนัลด์ เมนเซล (Dr. Donald Howard Menzel)

    ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และนักพิสูจน์ (ว่าไม่จริง) วัตถุบินลึกลับ
    ได้รับหน้าที่กี่ยวกับโครงการลับสุดยอดหลายโครงการและยังเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีหลายสมัย

    MJ11 พลตรี โรเบิร์ท มอนตากู (Maj. Gen. Robert Montague)

    หัวหน้าโครงการอาวุธพิเศษของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู

    MJ12 ดร. ลอยด์ เบอร์เคเนอร์ (Dr. Lloyd Berkner)

    เลขานุการบริหารของคณะกรรมการร่วมสภาวิจัยและพัฒนา
    และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการกองทุนวิจัยวัตถุบินลึกลับของ ซีไอเอ ในปี ค.ศ. 1950

    มีต่อ
     
  10. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ภายใต้โครงการเมจิก (Majic Projects) ยังมีการแบ่งงานกันทำออกเป็นโครงการย่อยๆ อีกมากมายคือ

    ซิกม่า (Sigma)

    ทำหน้าที่ในด้านทำการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว

    พลาโต้ (Plato)

    สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับมนุษย์ต่างดาว

    อควาริอัส (Aquarius)

    ศึกษาเปรียบเทียบประวัติศาสตร์โลกและเผ่าพันธ์มนุษย์ กับการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาว

    การ์เน็ท (Garnet)

    ควบคุมข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว

    พลูโต (Pluto)

    ประเมินข้อมูลที่ได้จากวัตถุบินลึกลับเพื่อนำมาใช้ในเทคโนโลยีทางอวกาศ

    พันซ์ (Pounce)

    กู้ยานอวกาศที่ตกหรือลงจอด และยังทำหน้าที่สร้างเรื่องเพื่อปกปิดความจริงไม่ให้ออกสู่สายตาสาธารณชน
    โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงและปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่

    เอ็นอาร์โอ (NRO)

    องค์กรลาดตระเวณแห่งชาติ (National Recon Organization) มีสำนักงานอยู่ที่ป้อมคาร์สัน รัฐโคโลราโด
    รับผิดชอบทางด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดจากมนุษย์ต่างดาว

    เดลต้า (Delta)

    เป็นกองกำลังให้กับเอ็นอาร์โอ มีรหัสเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ชายชุดดำ" (Men In Black)

    (ความเห็นส่วนตัว เป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง Men In Black)

    บลูทีม (Blue Team)

    เดิมทีคือ โครงการศูนย์บัญชาการยุทโธปกรณ์การบิน รับผิดชอบเหตุการณ์ยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวตก
    หรือร่อนลงจอด และ/หรือการปรากฏตัวของมนุษย์ต่างดาว

    ไซน์ (Sign)

    หรือที่ผมเคยเรียกว่าโครงการสัญลักษณ์ทำหน้าที่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อดูว่ามนุษย์ต่างดาวที่พบนั้นมาดีหรือร้าย

    เรดไลท์ (Red Light)

    ทำการทดสอบยานอวกาศมนุษย์ต่างดาวที่ยึดมาได้ โครงการนี้ทดลองกันในพื้นที่ 51 แต่หลังจากที่ล้มเหลวจากการทดสอบ
    และมีนักบินหลายคนเสียชีวิต โครงการนี้ถูกยกเลิกไปช่วงหนึ่งแต่ก็กลับมารื้อฟื้นอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1972
    การทดลองประสบความสำเร็จขั้นหนึ่งและปัจจุบันโครงการนี้ยังดำเนินอยู่

    สโนวเบิร์ด (SnowBird)

    เป็นโครงการที่สร้างขึ้นมาเป็นฉากบังหน้าโครงการเรดไลท์ เป็นการสร้างเครื่องบินที่มีรูปร่างเหมือน
    จานบินของมนุษย์ต่างดาวแต่ใช้เทคโนโลยีของเครื่องบินธรรมดา เพื่อสร้างข่าวส่งไปยังสื่อมวลชน
    ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า จานบินที่ตนเห็นนั้นแท้จริงแล้วก็คือ เครื่องบินรุ่นใหม่ที่กองทัพอากาศสหรัฐ
    กำลังศึกษาและทดลองอยู่ แต่โครงการนี้จะทำเป็นช่วงๆ เฉพาะตอนที่รัฐบาลต้องการสงบข่าวเวลาที่มี
    คนร่ำลือกันว่าเห็นยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว



    บลูบุ้ค (Blue Book)





    โครงการนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1947 และถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1969 เป็นโครงการที่เก็บรวบรวมข้อมูล
    เกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับและมนุษย์ต่างดาว โครงการอควาริอัส มารับหน้าที่ต่อจากโครงการนี้

    มีต่อ
     
  11. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    การเดินทางข้ามเวลา

    การเดินทางข้ามเวลา เป็นเรื่องที่เรามักจะอ่านพบในนิยายวิทยาศาสตร์หลายๆ เรื่อง อันที่จริงแล้วการเดินทางข้ามเวลา
    ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝันในนิยายเท่านั้น หากแต่ในความเป็นจริงแล้วได้มีการเดินทางข้ามเวลาเกิดขึ้นจริงๆ!

    เพียงแต่ว่าการเดินทางข้ามเวลาที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเหตุบังเอิญที่เกิดจากการทดลองโครงการลับที่ใช้ในทางทหาร
    สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

    โครงการ "เรนโบว์"
    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเรือสหรัฐ ได้ทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางการทหาร เพื่อนำไปใช้ในการสงคราม
    หนึ่งในการทดลองนั้นคือ การพยายามทำให้เรือพิฆาตไม่ปรากฏบนจอเรดาร์ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า
    เป็นการทดลองเทคโนโลยีล่องหนครั้งแรกของโลก


    โครงการ "เรนโบว์" (Project Rainbow) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment)
    ได้ทำการทดลองขึ้นที่ฐานทัพเรือสหรัฐในฟิลาเดเฟีย ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1943 โดยการใช้เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็ก
    ขนาดใหญ่ติดตั้งบนเรือรบ

    สนามแม่เหล็กที่ถูกสร้างขึ้นจะทำการเบี่ยงเบนคลื่นเรดาร์ ทำให้คลื่นเรดาร์ไม่กระทบลำเรือและสะท้อนกลับไปยังตัวรับสัญญาณ
    ข้าศึกจึงไม่สามารถใช้เรดาร์ในการตรวจจับเรือรบดังกล่าวได้ ไม่เพียงแต่เท่านั้นสนามแม่เหล็กยังได้หักเหการเดินทางของแสง
    ทำให้เรามองไม่เห็นมันอีกด้วย ซึ่งหลักการดังกล่าวเหมือนกับการที่เราเห็นภาพลวงตาบนท้องถนนในวันที่แดดแรง (Mirage)



    เปิดตำนาน

    เช้าวันที่ 22 กรกฏาคม ค.ศ. 1943 เวลา 9:00 น. การทดลองที่นำไปสู่การเดินทางข้ามเวลาได้เริ่มขึ้น
    บนเรือพิฆาต เอลดริจ หรือ ดีอี173 (USS Eldridge - DE-173)

    เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กเริ่มทำงานมันสร้างหมอกควันสีเขียวขึ้นทีละน้อยรอบๆ ลำเรือ และเมื่อหมอกควันสีเขียว
    เริ่มจางลง เรือเอลดริจ ก็หายไปจากจอเรดาร์ และจากสายตาผู้คนที่เฝ้าดูการทดลองครั้งนั้น

    ประมาณ 15 นาทีต่อมา ก็มีคำสั่งให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก หมอกควันสีเขียวเริ่มก่อตัวอีกครั้งหนึ่ง
    แต่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์!

    บรรดาลูกเรือทั้งหมดที่อยู่บนกราบเรือ มีอาการคลื่นเหียน อาเจียน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ กองทัพเรือมีคำสั่ง
    ให้เปลี่ยนลูกเรือชุดใหม่ เพื่อทำการทดลองต่อไป แต่ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน (Dr. John von Neumann)

    นักวิทยาศาสตร์ผู้รับผิดชอบการทดลองครั้งนี้ ได้คัดค้านขอให้ยุติการทดลองไว้ชั่วคราว เพื่อขอเวลาในการตรวจหา
    สาเหตุและทำการแก้ไขเสียก่อน

    กองทัพเรือขีดเส้นตายให้กับ ดร. จอห์น ไว้แค่วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 หรือเพียงไม่ถึง 3 สัปดาห์เท่านั้น
    โดยไม่ได้ให้เหตุผลเลยว่าทำไมการทดลองจึงต้องมีขึ้นภายในวันที่ 12 สิงหาคม นอกเสียจากบอกกับ ดร. จอห์น ว่า
    พวกเขายังไม่ต้องการให้เรือรบหายไปจริงๆ จากสายตา พวกเขาต้องการเพียงแค่ให้เรือรบไม่ปรากฏบนจอเรดาร์เท่านั้น

    การทดลองครั้งประวัติศาสตร์
    หลังจากที่ ดร.จอห์น ได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว การทดลองเรือรบล่องหน ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในวันเส้นตายที่กองทัพเรือ
    กำหนดไว้ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 ลูกเรือชุดใหม่ได้ขึ้นประจำการบน เรือพิฆาตเอลดริจ เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กเริ่มทำงาน
    เวลาผ่านไปราว 60 วินาที ทุกอย่างดูไปได้สวย เรือพิฆาตเอลดริจ เริ่มหายไปจากจอเรดาร์ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเป็นรูป
    โครงเรือลางๆ ได้ด้วยตา แต่ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างสีฟ้าวาบขึ้น!


    เรือพิฆาตเอลดริจ ได้หายไปจากน่านน้ำ!
    ดร. จอห์น เริ่มมีอาการระส่ำระสาย เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว
    แต่ทำไมเหตุการณ์เดิมยังเกิดขึ้น พวกเขาพยายามส่งวิทยุติดต่อกับเรือพิฆาตเอลดริจ แต่ก็ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด

    ราว 4 ชั่วโมงต่อมา เรือพิฆาตเอลดริจก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่เดิม เสาอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้ รับ-ส่งคลื่นวิทยุหักโค่นลง
    เหล่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่างก็รีบรุดไปที่เรือพิฆาตเอลดริจทันที เมื่อไปถึงเรือพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่พบ

    ร่างของลูกเรือ 2 คน ถูกดูดจนตัวติดกับพื้นเรือ เหมือนประหนึ่งว่าร่างกายของเขาเป็นโลหะชิ้นหนึ่ง เช่นเดียวกับ
    ลูกเรืออีก 2 คน ที่ถูกผนังเรือดูดเข้าไปจนติดเป็นส่วนหนึ่งของผนัง ส่วนลูกเรือคนที่ 5 นับว่าโชคดีหน่อยที่เพียงแค่
    แขนข้างหนึ่งของเขาเท่านั้นที่ติดอยู่กับผนังเรือ เขายังมีชีวิตอยู่เพียงแต่ว่าต้องตัดแขนเขาเพื่อแยกตัวเขาออกจากผนังเรือ

    ลูกเรือหลายคนถูกไฟไหม้ตามร่างกาย และทุกคนมีอาการสติแตก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จะมีก็แต่ลูกเรือที่ประจำการ
    อยู่ในห้องด้านล่างของตัวเรือเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย และหนึ่งในนั้นก็คือ อัลเฟรด เบเลก (Alfred Bielek)

    ผู้ที่เปิดเผยเรื่องราวการทดลองครั้งนี้

    ใครคือ "อัลเฟรด เบเลก"
    อัลเฟรด เบเลก เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1916 ที่รัฐนิวยอร์ก เดิมทีนั้นเขาชื่อ
    เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน (Edward A. Cameron)

    เป็นบุตรชายของ อเล็กซานเดอร์ ดันแคน คาเมรอน ซีเนียร์ (Alexander Duncan Cameron, Sr) จบการศึกษา
    ระดับปริญญาเอก สาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก ประเทศสก็อตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1939

    ไม่เพียงแต่เท่านั้น อัลเฟรด ยังจบปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยพรินสตัน และกำลังจะศึกษาต่อปริญญาเอก
    ที่ฮาร์วาร์ด อาจเป็นเพราะบิดาของเขาเคยรับราชการในราชนาวีสหรัฐ จึงทำให้ อัลเฟรด และน้องชายของเขา
    เข้ารับราชการในราชนาวีสหรัฐ เช่นกัน

    4 ชั่วโมงที่หายไป
    เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงานเต็มที่ เหล่าลูกเรือก็พบว่าเรือพิฆาตเอลดริจ ได้ปรากฏตัวบนฝั่งแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงได้
    ลงจากเรือเพื่อมาสำรวจพื้นที่ พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และสุนัขตรวจตราลาดตระเวณอยู่เต็มไปทั่วบริเวณ
    เมื่อมองไปบนท้องฟ้าพวกเขาก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ ฉายไฟสปอตไลท์มาที่พวกเขา แต่ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้จักเฮลิคอปเตอร์

    ครู่เดียวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็กรูกันมาที่พวกเขาแล้วพาพวกเขาลงไปยังห้องใต้ดิน
    พวกเขาพบกับชายสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งได้แนะนำตัวเองว่าเขาคือ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน

    มีต่อ
     
  12. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    อัลเฟรดถึงกับช็อค เพราะเขาเพิ่งจะจากกับ ดร.จอห์น เมื่อสักครู่นี้เอง และเขาก็หนุ่มกว่านี้มาก ดร.จอห์น อธิบายให้ฟังว่าสถานที่นี้คือ
    สถานที่ทดลอง โครงการฟินิกส์ (Phoenix Project) ตั้งอยู่ที่มอนทอก เมืองลองไอส์แลนด์ (Montauk, Long Island)

    วันนี้คือวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1983
    (ความเห็นส่วนตัวว่า น่าจะเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง Back To The Future, The Final Countdown และอื่นๆ)

    ดร. จอห์น เล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ "การทดลองฟิลาเดเฟีย" ในปี ค.ศ. 1943 จากนั้นก็สั่งให้
    ทุกคนกลับไปที่เรือ และให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กโดยเร็ว การทดลองฟิลาเดเฟีย ในปี ค.ศ. 1943
    และการทดลองฟินิกส์ ในปี ค.ศ. 1983 ได้ก่อให้เกิด "ช่องว่าง" ของเวลาและได้ดูดเอาเรือพิฆาตเอลดริจ
    จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งซึ่งมีเวลาห่างกัน 40 ปี

    ดร. จอห์น สั่งให้ทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ที่จะหยุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก
    ไม่เช่นนั้นสนามแม่เหล็กจะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อโลก

    เมื่อพวกเขากลับไปที่เรือ ก็ช่วยกันหยิบขวานขึ้นมาทุบไปบนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แผงควบคุม และอุปกรณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง
    จนในที่สุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กก็หยุดทำงาน และเรือพิฆาตเอลดริจ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เดิม ในปี ค.ศ. 1943 อีกครั้ง

    ลูกเรือทุกคนที่รอดชีวิตกลับมาได้จากการทดลองครั้งนั้น ได้ถูกรัฐบาลจัดการล้างสมอง ลบความจำจนหมดสิ้น
    และได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ พร้อมทั้งสร้างข้อมูลชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา และนี่คือเหตุผลที่
    เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน ได้หายไปจากโลก และมี อัลเฟรด เบเลก ขึ้นมาแทน

    ฟื้นความทรงจำ

    อย่างที่กล่าวไว้แหละครับ เดิมที อัลเฟรด ได้ถูกรัฐบาล จับไปล้างสมองและลบความทรงจำไปจนหมดสิ้นแล้ว
    เขาใช้ชีวิตในชื่อของ อัลเฟรด เบเลก ตลอดมาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1983 บริษัทสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ
    อี เอ็ม ไอ ตรอน คอร์เปอเรชั่น (EMI Thron Corp.) ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง การทดลองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia Experiment)


    ภาพยนตร์เรื่องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทดลองที่ อัลเฟรด ได้ประสบมา อีเอ็มไอ ได้กำหนดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้
    ในประเทศสหรัฐช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1984 แต่เมื่อก่อนจะถึงกำหนดฉายเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น
    ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายจากรัฐบาลสหรัฐ มีข้อความว่าพวกเขาไม่ประสงค์ให้มีการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้
    ในประเทศสหรัฐ

    อีเอ็มไอ ได้ลงทุนทำการประชาสัมพันธ์และออกกำหนดการ การฉายภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว อีกทั้งเขาก็เพิ่งจะได้รับ
    จดหมายห้ามจากสหรัฐเพียงแค่ 3 วันก่อนวันฉาย อีเอ็มไอ จึงได้ตัดสินใจฉายภาพยนตร์ในสหรัฐ ตามกำหนดการเดิม
    โดยเสแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่ได้รับจดหมายห้ามจากรัฐบาลสหรัฐ

    ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในรัฐต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐ เมื่อภาพยนตร์เริ่มฉาย ทาง อีเอ็มไอ ก็ได้รับจดหมายเตือนฉบับที่ 2
    จากสหรัฐอีก แต่คราวนี้ อีเอ็มไอ ไม่สามารถแกล้งโง่ได้อีก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมหยุดฉายภาพยนตร์ทันทีทันใด
    แถมยังได้ส่งจดหมายกลับไปว่า อีเอ็มไอ จะหยุดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งห้ามเป็นคำพิพากษาจากศาลเท่านั้น

    แน่นอนว่าเรื่องจ้อยๆ แค่นี้ ทำได้ไม่ยากหรอกครับ เพียงแค่ 2 สัปดาห์ต่อมาก็มีคำสั่งจากศาล ให้หยุดการฉายภาพยนตร์
    เรื่องนี้ในประเทศสหรัฐ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็หายไปจากประเทศสหรัฐถึง 2 ปีเต็มๆ ในระหว่างนั้น อีเอ็มไอ ได้พยายาม
    หาหนทางที่จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเข้าไปในประเทศสหรัฐ จนกระทั่ง 2 ปีผ่านไปพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ
    โดยผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาในรูปแบบของวิดิโอเทป และส่งเข้าไปขายในสหรัฐ

    เมื่อ อัลเฟรด ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ความจำของเขาก็เริ่มกลับมา อัลเฟรด กล่าวว่าในช่วงต้นเรื่องภาพยนตร์สร้างออกมา
    ได้ใกล้เคียงความจริงมาก ส่วนช่วงหลังของภาพยนตร์นั้นมีการเสริมแต่งเรื่องเพื่อให้ภาพยนตร์เป็นที่ประทับใจ

    อัลเฟรด ได้พยายามสืบหาผู้ที่รอดชีวิตจากการทดลองครั้งนั้น ในที่สุดเขาก็พบกับ นาวาตรี อลัน แบชเลอร์
    (Lt. Commander Alan Batchelor) ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าลูกเรือในการทดลองฟิลาเดเฟีย อลันจำ อัลเฟรดได้ว่า
    เขาเป็นหนึ่งในลูกเรือเอลดริจ และยังบอกกับเขาด้วยว่า เขาไม่ได้ชื่อ อัลเฟรด เบเลก

    อลัน ได้สูญเสียความจำบางส่วนไป แต่อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่า อัลเฟรด ประจำการอยู่บนเรือร่วมกับน้องชาย
    และยังพอจะจำเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นได้

    มาถึงตอนนี้คุณอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของอัลเฟรดเขาหายไปไหน? ผมขอย้อนกลับไปที่เหตุการณ์บนเรือเอลดริจ
    ตอนที่หลุดเข้าไปในประตูมิติเวลา ระหว่างที่เหล่าลูกเรือกำลังช่วยกันทำลายเครื่องสร้างสนามพลังอยู่นั้น น้องชายของ อัลเฟรด
    ได้ตัดสินใจกระโดดลงจากเรือ ครับเขาอยู่ในปี ค.ศ. 1983 ในขณะที่ลูกเรือคนอื่นกลับมาในปี ค.ศ. 1943

    การทดลองครั้งสุดท้าย

    หลังจากที่เกิดการผิดพลาดในการทดลองเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ราชนาวีสหรัฐ ได้สั่งให้สร้างเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมาใหม่
    และกำหนดให้มีการทดลองอีกครั้ง แต่คราวนี้จะไม่ลูกเรือ

    ราวปลายเดือนตุลาคม เวลาประมาณ 22:00 น. การทดลองได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พวกเขาได้ใช้สายเคเบิลยาวประมาณ 1,000 ฟุต
    ผูกติดกับคันบังคับปิด-เปิด เครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก เพื่อใช้เป็นรีโมท (ไม่รู้ว่าจะถือว่าเป็นต้นกำเนิดรีโมทคอนโทรลได้หรือเปล่า?)

    เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงาน เรือเอลดริจก็ได้หายไปจากน่านน้ำในฟิลาเดเฟีย มีพยานจำนวนมาก
    เห็นมันไปปรากฏตัวที่ท่าเรือใน นอร์ฟอล์ก รัฐเวอร์จิเนีย นานเป็นเวลาประมาณ 15 นาที แล้วจู่ๆ มันก็หายตัวไป

    เรือเอลดริจ กลับมาปรากฏตัวที่ฟิลาเดเฟียอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครปิดเครื่อง แต่เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กได้หยุดทำงานด้วยตัวมันเอง
    http://maps.google.com/maps?ie=UTF8&ll=36.885747,-76.2599&spn=9.275619,17.446289&om=1

    เมื่อเจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนเรือ พวกเขาพบว่าอุปกรณ์จำนวนมากกว่าครึ่งหายไป ห้องควบคุมมีกลุ่มควันเต็มไปหมด
    พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรือเอลดริจ รู้ก็แต่เพียงว่าต้องมีอะไรผิดปรกติอย่างแน่นอน ในที่สุดราชนาวีสหรัฐ
    ก็ตัดสินใจระงับโครงการเรนโบว์นี้

    เรือเอลดริจ ได้ถูกนำมาประกอบอุปกรณ์มาตรฐานของเรือพิฆาตอีกครั้ง เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ใข้ในการทดลองฟิลาเดเฟีย
    ถูกยกออก และส่งมันกลับเข้าประจำการตามปรกติ จนกระทั่งปลดประจำการณ์ในปี ค.ศ. 1950

    สหรัฐได้บริจาคเรือลำนี้ให้กับประเทศกรีซ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเรือไลออน โดยที่กฏหมายการเดินเรือสากลนั้น
    ปูมเรือจะต้องติดไปกับเรือด้วยทุกครั้ง ใช่ครับ ปูมเรือเอลดริจก็ติดไปกับเรือด้วย เพียงแต่ว่ามันเริ่ม
    วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1944 ไม่มีใครทราบว่าปูมเรือก่อนหน้านั้นหายไปไหน

    มีต่อ
     
  13. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    อาวุธเคมี

    มีการทดลองลับๆ มากมาย ที่หน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ
    "ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้ หนึ่งในเรื่องราวการทดลองอันน่าตกใจของ ซีไอเอ คือ
    "การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" หรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า



    "โครงการ เอ็มเคอัลทรา" (Project MKULTRA)








    โครงการเอ็มเคอัลทราเป็นการศึกษาและทดลอง การใช้สารเคมีและสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงคราม
    ที่เรียกว่า อาวุธเคมี (Chemical Weapons)

    และอาวุธชีวภาพ (Biological Weapons)

    แรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ขึ้นมาหรอกครับ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐ
    จะใช้อาวุธเคมีและชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขได้ทัน
    ถ้าหากมีการใช้อาวุธเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ

    ทดลองไปทดลองมา ซีไอเอ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขาน่าจะนำมันมาใช้เองจะดีกว่า การทดลองเพื่อป้องกันและแก้ไข
    ก็เลยกลายเป็นวัตถุประสงค์รองไป ส่วนวัตถุประสงค์หลักกลับกลายมาเป็นเพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์

    อันที่จริงแล้วได้มีการวิจัยและพัฒนาสารต่างๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1940
    จนถึงต้นทศวรรษที่ 1950 การทดลองในตอนนั้นเป็นการทดลองใช้สารเสพติดกับกลุ่มทดลองที่สมัครใจ
    แต่ต่อมาได้มีการลอบทดลองกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่อาสาสมัครและไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกให้สารเสพติด

    มีการพบรายงานฉบับเดือนตุลาคม ค.ศ. 1975 ของจเรสหรัฐ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ รายงานผลการสืบสวน
    การเสียชีวิตของ ฮาโรลด์ เบลาเออร์ (Harold Blauer) อาสาสมัครคนหนึ่งที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1953

    New evidence in Army scientist's death
    Evidence builds in CIA-related death
    Meet Sidney Gottlieb -- CIA dirty trickster

    ยืนยันว่านาย ฮาโรลด์ เสียชีวิตเพราะระบบการทำงานของหัวใจล้มเหลว และสาเหตุที่ทำให้ระบบการทำงานของหัวใจหยุดเต้น
    ก็เพราะว่าเขาถูกฉีดสารเสพติดประเภท เมสคาลีน (Mescaline)





    ซึ่งเป็นการทดลองอันหนึ่งของ สถาบันโรคจิตแห่งนิวยอร์ก (New York State Psychiatric Institute)
    ที่ทำขึ้นภายใต้การบงการของ หน่วยเคมีกองทัพสหรัฐ (U.S. Army Chemical Corps.)


    ยุคแรกของการทดลอง


    การทดลองนี้ได้เริ่มทำกันเป็นเรื่องเป็นราวก็เมื่อได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1953
    แต่ก็อย่างว่าแหละครับ บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิสมาชิกต่างก็พากันปฏิเสธกันให้พัลวันว่าไม่มีการทดลอง
    ที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว เอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองนี้ได้ถูกทำลายลงในราวต้นปี ค.ศ. 1973


    หน่วยงานที่ทำการทดลองนี้ไม่ใช่เฉพาะ ซีไอเอ เท่านั้นแต่ยังมีหน่วยข่าวกรองของกองทัพและหน่วยข่าวกรองของ
    สำนักงานอื่นๆ ของรัฐบาลด้วย พวกเขาจะคอยแลกข้อมูลที่ได้จากการทดลองกัน ซึ่งการทดลองนี้ถือเป็นการทดลองลับสุดยอด
    ขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ ยังไม่ทราบเลยว่ามีการทดลองนี้ในหน่วยงานของเขา ผู้ที่ทราบเรื่องก็จะมีแต่นายแพทย์และ
    นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมการทดลองเท่านั้น


    การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation Center) ซึ่งปัจจุบันก็คือ
    สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักโทษอาสาสมัครคดียาเสพติด
    นักโทษเหล่านี้จะต้องเซ็นชื่อยินยอม อนุญาติให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสารเสพติด
    ชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด


    หนึ่งในสารเสพติดที่ใช้ในการทดลองคือ แอลเอสดี (Lysergic acid diethylamide)


    ซึ่งสารนี้ต่อมาได้ถูกนำมาใช้ทดสอบกับบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่อาสาสมัครโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวซึ่ง ซีไอเอ กล่าวว่า
    บุคคลที่ถูกทดลองนั้นเป็นอาชญากร ซึ่งมีหลายระดับชนชั้นตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจนถึงระดับไฮโซ
    มีทั้งคนอเมริกันและคนต่างชาติ

    ในการทดลองของหน่วยข่าวกรองกองทัพสหรัฐ ได้แบ่งการทดลองออกเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ เช่นกันคือ

    http://www.mindcontrolforums.com/appendixa.htm
    http://www.envirosagainstwar.org/know/read.php?itemid=335
    http://www.totse.com/en/conspiracy/mind_control/lsd-army.html

    ขั้นตอนแรกทำการทดลองให้สารแอลเอสดีกับทหารอาสาสมัครจำนวนกว่า 1,000 นาย
    เรียกว่าการทดลองอาวุธเคมี (Chemical Warfare Experiment)

    ขั้นตอนที่สองเป็นการทดลองเพื่อหาความเป็นไปได้ในการนำสารแอลเอสดีมาใช้เป็นอาวุธ โดยการให้สารแอลเอสดีกับ
    อาสาสมัครจำนวน 95 คน เรียกขั้นตอนนี้ว่า โครงการทดสอบปัจจัย อีเอ1729 (Material Testing Program EA 1729)

    ส่วนขั้นตอนสุดท้ายเป็นการนำสารแอลเอสดี มาใช้จริงกับ "เป้าหมาย" ที่ไม่ใช่อาสาสมัครและไม่รู้ตัวมาก่อนว่าถูกลอบให้
    สารแอลเอสดี จำนวน 16 คน แล้วเฝ้าดูพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของ "เป้าหมาย" หลังจากที่ได้รับสารแอลเอสดีไปแล้วเรียก
    ขั้นตอนนี้ว่า โครงการทางเลือกที่สาม (Project THIRD CHANCE) และโครงการหมวกสักหลาด (Project DERBY HAT)

    ถึงแม้ว่า ซีไอเอ จะรู้ดีถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากข้อมูลการทดลองของโครงการเอ็มเคอัลทรา รั่วไหลออกไปสู่
    บุคคลภายนอก แต่พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าทำการทดลองต่อไป เนื่องจากว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้น สหรัฐจะตกเป็นเบี้ยล่าง
    ของประเทศกลุ่มคอมมิวนิสต์ ในการทำสงครามเคมี

    ทดลองกันเอง

    เรื่องน่าเศร้าที่สุดที่เกิดขึ้นจากการทดลองก็คือ การเสียชีวิตของ ดร. แฟรงค์ ออลสัน (Dr. Frank Olson)


    ลูกจ้างฝ่ายพลเรือนของกองทัพสหรัฐ เมื่อเขาดื่มเหล้าที่มีสารแอลเอสดี ปริมาณราว 70 ไมโครกรัมผสมอยู่โดยที่เขาไม่รู้ตัว


    (ความเห็นส่วนตัว ข้อความภาษาอังกฤษข้างล่างนี้มีบุคคล 2 คน ที่รู้เรื่องโครงการนี้และมีบทบาทสูง
    ในรัฐบาลบุชขณะนี้ ซึ่งตามความเห็นส่วนตัวว่าการระบาดของยาบ้าในเมืองไทยขณะนี้และที่ผ่านมาไม่แน่อาจจะเป็น
    กลยุทธ์ของ ซีไอเอ ก็เป็นได้เพราะส่วนมากจะมีที่มาจากชาวเขาโดยที่จะทำผ่านคนที่ไปเผยแพร่ศาสนาให้ชาวเขา
    ซึ่งอาจเป็น ซีไอเอ แต่ไม่ได้หมายถึงคนที่เผยแพร่ศาสนาทุกคน, รวมถึงเจ้าหน้าที่ของไทยบางกลุ่มเองด้วย
    และสถานการณ์จะคล้ายกับตอนที่จีนทำสงครามฝิ่นกับนักล่าอาณานิคมสมัยก่อน
    รวมถึงอีกอย่างหนึ่งที่อยากตั้งข้อสังเกตุคือ กองกำลังที่พิทักษ์ รักษาการผู้นำของไทย ใช้อยู่เป็นใครมาจากไหนหว่า?




    His family had no idea of the details of the accident until the Rockefeller Commission
    started uncovering some of the CIA's MKULTRA activities. In 1975, the government admitted
    that Olson had been unwittingly dosed with LSD. White House staffers Donald Rumsfeld and Dick Cheney
    arranged for President Gerald Ford to meet with the Olson family and personally apologize on behalf of
    the United States government. The government offered them an out of court settlement,
    which they accepted.)


    มีต่อ
     
  14. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ดร. แฟรงค์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฟุ้งกระจายในอากาศของสารชีวภาพ (Aerobiology)
    เขาได้รับมอบหมายให้มาทำงานในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Special Operations Division - SOD) ของกองทัพสหรัฐ
    ที่ แคมป์เดทริก รัฐแมรี่แลนด์ ซึ่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษนี้เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ร่วมวิจัยในโครการเอ็มเคอัลทรา
    http://www.sfgate.com/cgi-bin/article.cgi?file=/c/a/2004/09/12/MNG468MM8N1.DTL

    วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 นักวิทยาศาสตร์จำนวน 10 คน ได้เข้าร่วมประชุมประจำครึ่งปี
    ที่ทะเลสาบดีพครีก รัฐแมรี่แลนด์ นักวิทยาศาสตร์ 3 คนมาจาก หน่วยบริการด้านเทคนิคของ ซีไอเอ
    ส่วนที่เหลือมาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพสหรัฐ


    วันพฤหัสฯที่ 19 พฤศจิกายน ขณะที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำกันอยู่
    ดร. โรเบิร์ท แลชบรูก (Robert Lashbrook) เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ ซีไอเอ ได้แอบนำสารแอลเอสดีใส่ลงใน
    ขวดเหล้าคอนทรัว (Cointreau) สุรารสกาแฟที่นิยมดื่มหลังอาหารค่ำ ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เอ็มเคอัลทรา
    ที่จะทำการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ใช่อาสาสมัครโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว

    สุราดังกล่าวได้ถูกเสิร์ฟให้กับนักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่มาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
    ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ 2 คน เนื่องจากคนหนึ่งไม่ดื่มสุรา และอีกคนหนึ่งเป็นโรคหัวใจ

    หลังจากที่ทุกคนได้ดื่มสุราผสมสารแอลเอสดีไปได้ราว 20 นาที ดร. ซิดนีย์ กอทเทลบ (D r. Sidney Gottlieb)

    หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ของ ซีไอเอ ก็แจ้งให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษทราบว่า
    พวกเขาได้รับสารแอลเอสดี ซึ่งตอนนั้นพวกเขาอยู่ในอาการปรกติดีทุกคน

    แต่พอสารแอลเอสดีออกฤทธิ์เท่านั้นก็ได้เรื่อง บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ถูกวางยาต่างก็เอะอะส่งเสียงดัง
    เอาแต่หัวเราะจนกระทั่งไม่เป็นอันประชุม จนต้องยุติการประชุมในเวลาตีหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้น ดร. ซิดนีย์
    ได้ติดตามสังเกตุอาการของ ดร.แฟรงค์ เขาก็ไม่พบอะไรที่ผิดปรกตินอกเสียจากอาการอ่อนเพลีย
    และมือสั่นซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรง

    เช้าวันจันทร์ที่ 23 เวลา 7:30 น. ดร.แฟรงค์ ได้มาดักรอพบ พันตรี วินเซนท์ ริวเวท (Colonel Vincent Ruwet)
    เพื่อนของเขาที่ ที่ทำงาน ดร. แฟรงค์ มีอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า รุ่งขึ้นในเช้าวันอังคาร ดร. แฟรงค์
    ก็มาขอพบ ผู้พันวินเซนท์ อีกครั้ง คราวนี้หลังจากที่ผู้พันวินเซนท์ได้พูดคุยกับ ดร. แฟรงค์ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
    เขาก็รู้สึกถึงพฤติกรรมที่ผิดปรกติของ ดร. แฟรงค์

    ผู้พันวินเซนท์ จึงได้รีบโทรไปแจ้ง ดร. โรเบิร์ท โดยบอกว่า ดร. แฟรงค์ กำลังมีปัญหาที่ร้ายแรงและต้องส่งตัว
    ไปให้ผู้เชี่ยวชาญบำบัดรักษา ดร. โรเบิร์ท จึงขอให้ ผู้พันวินเซนท์ นำตัว ดร. แฟรงค์ ไปพบเขาที่กรุงวอชิงตันดีซี
    หลังจากนั้น ดร. โรเบิร์ท ก็ได้โทรศัพท์ไปนัดหมายกับ ดร. ฮาโรลด์ แอบแรมซัน (Dr. Harold Abramson)
    ในมหานครนิวยอร์ก

    ดร. ฮาโรลด์ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่จิตแพทย์ แต่เขาก็มีส่วนร่วม
    วิจัยทางอ้อมกับโครงการเอ็มเคอัลทรา เนื่องจาก ดร.ฮาโรลด์ เป็นนายแพทย์ที่ศึกษาวิจัยเรื่องสารแอลเอสดี
    อีกทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่ของ ซีไอเอ และเป็นนายแพทย์ที่อยู่ใกล้กรุงวอชิงตันมากที่สุด เท่าที่ ดร. โรเบิร์ทรู้จัก
    เขาจึงได้พาตัว ดร.แฟรงค์ มาให้ ดร. ฮาโรลด์ ทำการวินิจฉัย

    เกิดโศกนาฏกรรม

    ทั้ง 3 คนได้พักอยู่ที่นิวยอร์กเป็นเวลา 2 วัน จนถึงวันพฤหัสฯที่ 26 พฤศจิการยน ซึ่งตรงกับวันขอบคุณพระเจ้า
    (Thanksgiving Day) พวกเขาก็บินกลับกรุงวอชิงตัน เพราะต้องการให้ ดร. แฟรงค์ ได้อยู่กับครอบครัว
    ในช่วงเทศกาลที่สำคัญ ในระหว่างที่เดินทางกลับ ดร. แฟรงค์ ก็บอกกับ ผู้พันวินเซนท์ ว่าเขากลัว
    ที่จะต้องกลับไปพบกับครอบครัวของเขา หลังจากที่พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ดร. โรเบิร์ท ก็ตัดสินใจนำตัว
    ดร. แฟรงค์ บินกลับนิวยอร์กทันที ส่วน ผู้พันวินเซนท์ มีหน้าที่นำข่าวไปแจ้งให้กับภรรยาของ ดร. แฟรงค์

    เช้าวันศุกร์ทั้งคู่ก็ได้มาพบ ดร.ฮาโรลด์ ที่สำนักงานของเขาอีกครั้ง คราวนี้ ดร. ฮาโรลด์ แนะนำให้พาตัว
    ดร. แฟรงค์ ไปรักษากับจิตแพทย์โดยตรง ที่สถาบันที่อยู่ใกล้กับบ้านของ ดร. แฟรงค์ แต่เนื่องจากวันนั้น
    เป็นวันศุกร์ทำให้เที่ยวบินทุกเที่ยวที่จะมากรุงวอชิงตันเต็มหมด ดร. โรเบิร์ท และ ดร. แฟรงค์ จึงต้อง
    เช่าห้องพักที่โรงแรมแสตทเลอร์ เพื่อรอเที่ยวบินวันเสาร์

    หลังจากที่ได้ห้องพักแล้วทั้งคู่ก็ลงมารับประทานอาหารค่ำร่วมกันและดื่มเหล้ามาร์ตินี่ที่บาร์คนละ 2 แก้ว
    ดร. โรเบิร์ท กล่าวว่าคืนนั้น ดร. แฟรงค์ ดูร่าเริงผิดหูผิดตาเหมือนกับว่าสิ่งผิดปรกติในตัวเขาได้หายไป
    จนหมดสิ้น ต่อจากนั้นทั้งคู่ก็กลับมาดูโทรทัศน์ที่ห้องพักจนกระทั่งถึงเวลา 5 ทุ่ม ทั้งคู่ก็หลับไป

    เวลาตีสองครึ่ง ดร. โรเบิร์ท ก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงกระจกแตก เมื่อลุกขึ้นมาดูเขาก็พบว่า
    ดร. แฟรงค์ ได้พุ่งทะลุผ่านหน้าต่างกระจกที่มีมู่ลี่ปิดอยู่จากห้องพักที่พวกเขาพัก
    บนชั้น 10 ของโรงแรม ตกลงไปยังพื้นถนนข้างล่าง



    การเสียชีวิตของ ดร. แฟรงค์ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องระมัดระวังการทดลองการใช้สารแอลเอสดี
    กับมนุษย์มากขึ้น และยิ่งทำให้พวกเขาพยายามที่จะปกปิดข้อมูลการทดลอง และนี่อาจเป็นสาเหตุให้
    ซีไอเอ ต้องทำลายเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการเอ็มเคอัลทรา เมื่อมีการสอบสวนเรื่องนี้หนักขึ้น
    ซีไอเอ ก็ประกาศล้มเลิกโครงการเอ็มเคอัลทรา ในปีค.ศ. 1963

    มีต่อ
     
  15. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    เลิกไม่จริง

    Democratic Underground
    History-of-abuse
    http://www.mindcontrolforums.com/pro-freedom.co.uk/skeletons_1.html

    [ame="http://youtube.com/watch?v=Nx00vjrM68Q"]>>>ดูวิดิโอ เกี่ยวกับการวิเคราะห์โครงการนี้ คลิ๊กที่ข้อความนี้<<<[/ame]

    โครงการทดสอบปัจจัย อีเอ 1729 เป็นการทดลองของกองทัพสหรัฐที่ถอดแบบมาจากโครงการเอ็มเคอัลทรา
    การทดลองนี้ได้กระทำขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1955-1958 โดยหน่วยเคมีกองทัพ (Army Chemical Corps.)
    เพื่อจะหาความเป็นไปได้ในการนำสารแอลเอสดีมาใช้เป็นอาวุธ การทดลองนี้มีขึ้นที่ ค่ายทหารแบรกจ์ (Fort Bragg)
    ภายใต้การควบคุมของสถานีทดลองอาวุธเคมีกองทัพสหรัฐ (Army Chemical Warfare Laboratories)






    ที่เมืองเอดจ์วูด รัฐแมรี่แลนด์ หลังจากที่ทดลองกับทหารอาสาสมัครมาได้ระยะหนึ่ง กองทัพก็อนุมัติให้
    นำมาทดลองใช้ในภาคสนามในปี ค.ศ. 1960

    หน่วยจุดประสงค์พิเศษของกองทัพ (Army Special Purpose Team) ได้รับอนุญาติให้ใช้สารแอลเอสดี
    ในการปฏิบัติการในยุโรประหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง สิงหาคม ค.ศ. 1961 ภายใต้รหัสโครงการทางเลือกที่ 3
    (Project THIRD CHANCE) "เป้าหมาย" จำนวน 10 คนถูกเลือกโดยไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นเป็นทหารสหรัฐ
    ที่ถูกระบุว่าเป็นสายลับของต่างชาติที่ลอบโขมยเอกสารลับไปจากกองทัพสหรัฐ และดูเหมือนว่าจะเป็น
    กรณีเดียวเท่านั้นที่กองทัพประสบความสำเร็จในการนำสารแอลเอสดีมาใช้ในการสืบสวนสอบสวน

    จากนั้นต่อมาอีกหนึ่งปีหน่วยพิเศษของกองทัพ ก็ได้รับอนุญาติให้ใช้สารแอลเอสดีอีกครั้งในการปฏิบัติการ
    แถบตะวันออกไกล ระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง พฤศจิกายน ค.ศ. 1962 ภายใต้รหัสโครงการหมวกสักหลาด
    (Project DERBY HAT) คราวนี้ "เป้าหมาย" จำนวน 7 คนที่ถูกระบุว่าเป็นจารชนได้รับเกียรติคัดเลือกโดยไม่รู้ตัว
    การทดลองครั้งนี้มีจุดประสงค์ที่จะเปรียบเทียบความแตกต่างว่า "ชาวเอเชีย" มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารแอลเอสดี
    ต่างจากชาวยุโรปหรือไม่

    "เป้าหมาย" ได้รับสารแอลเอสดี ในปริมาณ 6 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หลังจากที่ได้รับสารแอลเอสดีไป
    เพียงแค่ 28 นาที "เป้าหมาย" ก็ตกอยู่ในสภาพที่เกือบจะหมดสติ นั่งไม่ได้ แสดงอาการเจ็บปวดและร้องครวญคราง
    การกระตุ้นด้วยวิธีต่างๆ เพื่อช่วยเหลือให้ "เป้าหมาย" มีสติพอที่จะตอบคำถามได้ดูจะไม่เป็นผล

    6 ชั่วโมงต่อมา "เป้าหมาย" เริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำถาม จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำ "เป้าหมาย" มาที่เครื่องจับเท็จ
    การสืบสวนกินเวลาทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง 30 นาที นับตั้งแต่ "เป้าหมาย" ได้รับสารแอลเอสดี

    การทดลองใช้สารเสพติดนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเป็นอย่างมาก
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของกฏหมายและศีลธรรม แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่จากบันทึกช่วยจำ
    ของกองทัพฉบับหนึ่งลงวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1963 ระบุว่ามีการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ
    พวกเขามีมติที่จะล้มเลิกโครงการนี้ชั่วคราว


    จากบทความนี้พวกเราคงเห็นแล้วว่าแท้ที่จริงแล้วสารเสพติดก็คือ อาวุธสงครามเราดีๆ นี่เอง
    ดังนั้นถ้าหากใครคิดที่จะเสพสารเสพติด ขอโปรดให้พึงระลึกว่าคุณกำลังเอาปืนจ่อหัวตัวเองอยู่
    และแย่ยิ่งกว่าก็ตรงที่คุณตายทั้งเป็น





    (ความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติม คนที่คิดยาเสพติดขึ้นมาก็คือชาติมหาอำนาจ เพราะฉนั้นถ้าคนที่คิดมันขึ้นมา
    แล้วจะให้เขาปราบปรามอย่างจริงจังเป็นไปได้หรือ! มันเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการควบคุมคน!

    จึงอาจเป็นยุทธวิธีของมหาอำนาจ(แต่ไม่ได้หมายถึงประชาชนในประเทศมหาอำนาจทั้งหมด)
    โดยอาศัยความร่วมมือของผู้ที่มีอำนาจในประเทศนั้นๆ เอง เพื่อที่จะทำให้ประชาชนในประเทศนั้นๆ อ่อนแอ
    และมัวแต่สนใจหลงไหลในสิ่งบันเทิงโดยใช้ยาเสพติดช่วย ไม่ได้สนใจว่าผู้ที่มีอำนาจจะโกงกินและ
    ยกทรัพย์สินของชาติให้ต่างชาติอย่างไร! โดยเห็นได้จากปัจจุบันที่ สังคมเมืองไทยมีแต่เรื่องบันเทิง, ยาเสพติด
    และปัญหาของวัยรุ่น ตามสื่อต่างๆ ตลอดเวลา แล้วทำไมปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด?)


    มีต่อ
     
  16. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    สงครามจิตวิทยา

    ในการทำสงครามนั้น ใช่ว่าจะมีแต่การใช้กำลังและอาวุธเข้าห้ำหั่นให้แหลกกันไปข้าง
    แต่ยังมีการนำเอาการโฆษณาชวนเชื่อ ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา และเรื่องราวลึกลับที่อยู่เหนือเหตุผล
    มาใช้เป็นอาวุธเรียกวิธีการเหล่านี้ว่า "ปฏิบัติการจิตวิทยา"

    ความกลัวสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้เช่นเดียวกับปืนและรถถัง ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะ "ข่มขวัญ"
    ศัตรูได้มากพอ เราก็อาจเอาชนะศัตรูได้โดยที่ไม่ต้องสู้รบปรบมือกันให้เสียเลือดเนื้อ เช่นเดียวกับที่
    กองทัพสหรัฐทดลองนำมาใช้ในการปฏิบัติการลับในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกที่เรียกว่า
    การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)

    http://www.globalissues.org/HumanRights/Media/Military.asp

    การโฆษณาชวนเชื่อที่ได้ผลที่สุดวิธีหนึ่งคือ การกล่าวอ้างถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเรื่องราวเหนือธรรมชาติ
    มาผูกโยงเข้ากับเรื่องราวที่ต้องการเป็นวิธีการหนึ่งในการทำ สงครามจิตวิทยา (PSYWAR) ในช่วงทศวรรษที่ 1950
    สหรัฐได้นำ ปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological operations) มาใช้ในระหว่างการทำสงครามที่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม
    ภายใต้การนำของ นาวาอากาศเอกพิเศษ เอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล (Edward Lansdale)



    ปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological operations)

    http://utangente.free.fr/2003/PSYWAR.pdf

    เอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล ได้ชื่อว่าเป็น นักรบจิตวิทยา (Psywarrior) คนแรกๆ ของโลก เขามีความเชื่อว่า
    ประเด็นสำคัญที่จะทำให้ปฏิบัติการจิตวิทยา หรือที่เรียกกันสั้นๆ ในกองทัพสหรัฐว่า ไซออบ (PSYOP)
    เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า การโฆษณาชวนเชื่อ นั้นประสบผลสำเร็จ ก็คือ การที่นักรบจิตวิทยาจะต้อง
    "เข้าถึง" ความเชื่อในเรื่องต่างๆ ของเป้าหมาย

    http://www.psywarrior.com/links.html
    วิดิโอ Dark Secrets of the CIA
    [ame="http://youtube.com/watch?v=KJ0ZDzfXR7c"]Dark Secrets of the CIA Pt.1[/ame]
    [ame="http://youtube.com/watch?v=no6KwMcmsu8"]Dark Secrets of the CIA Pt.2[/ame]
    [ame="http://youtube.com/watch?v=cNIxiSS6afI"]Dark Secrets of the CIA Pt.3[/ame]
    [ame="http://youtube.com/watch?v=xo6x0SC69vg"]Dark Secrets of the CIA Pt.4[/ame]
    [ame="http://youtube.com/watch?v=71u1Xa6w60Q"]Dark Secrets of the CIA Pt.5[/ame]
    [ame="http://youtube.com/watch?v=Frdel-_IWn8"]Dark Secrets of the CIA Pt.6[/ame]

    ตำนานและความเชื่อต่างๆ จะต้องถูกนำมาใช้เพื่อชักจูงให้คนในท้องถิ่นนั้นๆ เกิดความคล้อยตาม
    ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 สมัยที่ เอ็ดเวิร์ด ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษของ ซีไอเอ
    เขาได้ใช้กลยุทธ์นี้สร้างความโกลาหลในหมู่พวกกองโจรแบ่งแยกดินแดนในฟิลิปปินส์

    สร้างตำนาน

    พวกกองโจรแบ่งแยกดินแดนได้ยึดที่มั่นแห่งหนึ่งบนเนินเขาไว้ได้ เอ็ดเวิร์ด ได้รับมอบหมายให้ขับไล่พวกกองโจร
    เหล่านั้นออกจากพื้นที่ เขาก็เริ่มปฏิบัติการจิตวิทยาทันที โดยปล่อยข่าวไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงว่า พื้นที่บริเวณที่
    พวกกองโจรยึดไว้นั้นเป็นแดนอาถรรพ์ มันเป็นที่อยู่ของพวกภูติผีปีศาจ และโดยเฉพาะพวกผีดูดเลือดอาศัยอยู่ที่นั่น

    หลังจากที่ปล่อยข่าวไปได้ 2 วัน เอ็ดเวิร์ด กะว่า "ข่าวลือ" นั้นน่าจะกระจายขึ้นไปถึงยังพวกกองโจรแล้ว
    เขาก็เริ่มแผนการขั้นที่ 2 โดยส่งหน่วยลอบสังหารขึ้นไปยังบริเวณที่มั่นของพวกกองโจร และหลบซ่อนตัว
    อยู่บริเวณที่พวกกองโจรใช้ลาดตระเวณตรวจพื้นที่ รอจนกระทั่งความมืดเข้ามาปกคลุมก็เริ่มทำข่าวลือให้เป็นจริง

    เมื่อหน่วยลาดตระเวณของพวกกองโจรมาถึง หน่วยลอบสังหารรอจังหวะให้หน่วยลาดตระเวณเดินผ่านพวกเขาไป
    แล้วค่อยๆ ย่องเข้าไป "เก็บ" คนที่เดินรั้งท้ายอย่างเงียบๆ แล้วลากไปทำพิธีแต่งศพโดยเจาะรูเล็กๆ 2 รูบนคอ
    จากนั้นก็จับศพแขวนห้อยหัวลงเพื่อให้เลือดไหลออกมาที่แผลจนกระทั่งหมดตัว

    เมื่อพิธีการแต่งศพเสร็จสิ้นพวกเขาก็นำศพที่ซีดเผือดนั้นกลับไปวางไว้ที่บริเวณทางลาดตระเวณของกองโจร
    เมื่อกองโจรกลับมาเพื่อค้นหาสมาชิกที่หายไปก็จะพบศพเพื่อนของเขาที่ดูเหมือนจะถูก "อะไรบางอย่าง"
    สูบเลือดออกจนหมดตัว พวกกองโจรต่างเชื่อว่า "อะไรบางอย่าง" ที่ว่านั้นก็คือ ผีดูดเลือด ด้วยความกลัว
    ว่าขืนอาศัยอยูบนเนินเขาแห่งนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องนำชีวิตมาสังเวยเจ้าปีศาจร้ายตนนี้ทั้งหมดเป็นแน่แท้
    ดังนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้นพวกกองโจรต่างก็อพยพหลบหนีไปที่อื่น

    มีต่อ
     
  17. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    การข่มขวัญ

    ปฏิบัติการจิตวิทยาที่เอ็ดเวิร์ดใช้อีกวิธีหนึ่งคือ "เทคนิคดวงตาของพระเจ้า" (Eye of God Technique)
    เมื่อหน่วยข่าวกรองของรัฐบาลได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นพวกก่อกบฏหรือเกี่ยวพันกับพวกก่อกบฏมาให้
    เอ็ดเวิร์ด ก็จะนำรายชื่อของพวกก่อกบฏอ่านออกยังเครื่องกระจายเสียง ประกาศว่าพวกเขาจะถูกจับตาย
    ถ้าหากพวกเขาไม่ยอมมอบตัว

    ส่วนบรรดาชาวบ้านที่ต้องสงสัยว่า ให้การสนับสนุนพวกก่อกบฏนั้น เอ็ดเวิร์ด จะส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปยังหมู่บ้าน
    ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในตอนกลางคืน ขณะที่ชาวบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว หน่วยสอดแนมก็จะทำการวาดรูปดวงตา
    ดวงใหญ่บนกำแพงตรงข้ามกับบ้านของผู้ที่ต้องสงสัย ดวงตาดวงนั้นจ้องเขม็งไปยังบ้านของผู้ต้องสงสัย
    เป็นสัญลักษณ์แทนว่า เรากำลังจับตาดูแกอยู่ มันทำให้ผู้ต้องสงสัยไม่กล้าให้การช่วยเหลือต่อผู้ก่อกบฏ
    เอ็ดเวิร์ดกล่าวว่าพอพวกชาวบ้านตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและเห็นดวงตาอยู่ตรงข้ามบ้านเข้าเท่านั้นก็ไม่กล้าทำอะไร
    ที่เป็นการช่วยเหลือผู้ก่อกบฏอีก
    (ความเห็นส่วนตัวว่า เปรียบเทียบกับไทยในปัจจุบันก็คือ เมื่อมีข่าวภาคธุรกิจออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านทางฝ่ายรัฐ
    ก็จะเริ่มทำการตรวจสอบเรื่องการเสียภาษีของธุรกิจนั้นเป็นการเตือนว่ากำลังถูกจับตาดูอยู่ซึ่งคือการใช้เทคนิคที่ว่านี้)


    คำทำนาย

    หลังจากที่เอ็ดเวิร์ด ได้รับชัยชนะจากพวกกองโจรที่ต่อต้านรัฐบาลในฟิลิปปินส์ เขาได้ถูกส่งตัวไปปฏิบัติภารกิจลับ
    อีกครั้งในสงครามเวียดนาม โดยใช้ชื่อปฏิบัติการนี้ว่า "ปฏิบัติการกองทัพในไซ่ง่อน" (Saigon Military Mission - SMM)
    ปี ค.ศ. 1954 เอ็ดเวิร์ด และสายลับจำนวนหนึ่งได้เริ่มวางแผนการทำสงครามจิตวิทยา ปีต่อมาพวกเขาได้จ้าง
    นักโหราศาสตร์ชาวเวียดนามเหนือจำนวนหนึ่งให้เขียนคำทำนายในอนาคตที่ระบุถึงการล่มสลายของ
    ผู้นำเวียดนามเหนือและการผนวกประเทศเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเวียดนามใต้

    จากความสำเร็จของ เอ็ดเวิร์ด ในปฏิบัติการที่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม (ซึ่งตอนนั้นสงครามเวียดนามยังไม่ยุติ)
    ส่งผลให้ เอ็ดเวิร์ด ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญทางด้านยุติการต่อต้านของนักปฏิวัติ และต่อมาในปี
    ค.ศ. 1962 เขาก็ได้รับมอบหมายภารกิจลับจาก ประธานาธิบดีเคนเนดี้ ให้เข้าไปขัดขวางการก่อปฏิวัติในคิวบา

    อิงศาสนา

    แผนการลับนี้มีรหัสเรียกว่า "ปฏิบัติการมองกูส" (Operation Mongoose)



    เอ็ดเวิร์ดมีหน้าที่เข้าขัดขวางไม่ให้ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)

    ทำการปฏิวัติสำเร็จ ในตอนแรกของสงครามจิตวิทยา เอ็ดเวิร์ด ได้ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทดสอบและพิสูจน์"
    (Tried and True) ในปฏิบัติการครั้งนี้

    ตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธทดสอบและพิสูจน์ที่เอ็ดเวิร์ดใช้คือ "การกำจัดโดยดวงประทีป" (Elimination by Illumination)
    เขาได้ปล่อยข่าวว่า ฟิเดล คาสโตร นั้นเป็นพวกนอกศาสนา เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ จากนั้นก็สร้างความเชื่อถือ
    ต่อข่าวลือให้เกิดขึ้นโดยการ "สร้างภาพ" เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อว่าพระเยซู ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อกำจัดคนนอกศาสนา
    ซึ่งวิธีการของเขาก็คือ ยิงฟอสฟอรัสขึ้นไปบนท้องฟ้าในตอนกลางคืน เพื่อเลียนแบบเหตุการณ์ปาฏิหาริย์
    ตามความเชื่อของคนท้องถิ่น
    (ความเห็นส่วนตัวว่า กรณีที่มีคนออกมาชูป้ายตามสี่แยกใน กทม. เกี่ยวกับพระเยซู ถามว่าคนเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?
    แล้วรู้สึกว่าจะไปสอดคล้องกับช่วงที่มีข่าวเสื่อมเสียเกี่ยวกับศาสนาพุทธมากๆ และมุสลิมก็ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
    น่าจะมีอะไรที่เกี่ยวกับ การปฏิบัติการจิตวิทยา รวมถึงมีการทุ่มโฆษณาชักชวนทางทีวีและสื่อต่างๆของหนังสือดังเล่มหนึ่ง
    คิดว่าคนที่ออกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ไม่เกี่ยว แต่ถามว่าใครอยู่เบื้องหลังล่ะ?)


    คัมภีร์ปฏิบัติการจิตวิทยา

    กองทัพสหรัฐได้พิมพ์สมุดคู่มือการปฏิบัติการที่พิลึกพิลั่นที่สุดในประวัติศาสตร์การทำสงครามนอกรูปแบบ
    ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1964 ชื่อยาว 3 กิโลกับ 4 หุนว่า
    "เวทมนตร์ พ่อมด อำนาจลึกลับ และปรากฏการณ์ทางจิตเหนือธรรมชาติอื่นๆ และความหมายโดยนัย
    ของสิ่งเหล่านั้นจากปฏิบัติการของกองทัพและกองกำลังชาวบ้านในคองโก"
    (Witchcraft, Sorcery, Magic, and Other Psychological Phenomena,
    and Their Implications on Military and Paramilitary Operations in the Congo)

    คู่มือเล่มนี้เป็นตำราสำหรับใช้ศึกษาวิธีการยับยั้งการก่อปฏิวัติของพวกก่อการร้ายที่มีพวกพ่อมดหมอผีคอยหนุนหลัง
    ซึ่งแต่งโดย เจมส์ อาร์ ไพร์ซ (James R. Price) กับ พอล จูไรดินี (Paul Jureidini) 2 นักวิเคราะห์จาก
    สถาบันวิจัยปฏิบัติการพิเศษ (Special Operations Research Office - SORO) แห่งมหาวิทยาลัยอเมริกา
    ในกรุงวอชิงตันดีซี

    สถาบันดังกล่าวทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูลการวิจัยเกี่ยวกับปฏิกิริยาของมนุษย์กับนโยบายทางการเมืองและการทหาร
    ให้กับกองทัพสหรัฐ สถาบันนี้ยังได้ดำเนินโครงการที่น่าอับอายโครงการหนึ่งที่พวกเขาตั้งชื่อมันว่า
    "โครงการคาเมล็อท" (Project Camelot)
    http://www.cia-on-campus.org/social/camelot.html

    มีต่อ
     
  18. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    หาหนูตะเภา

    โครงการนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์ที่จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ประเมินผลกระทบทางด้านสังคม
    ในประเทศด้อยพัฒนาที่ถูกเข้าแทรกแซงความมั่นคงของประเทศทั้งก่อให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพและมีเสถียรภาพ

    แต่ข่าวการดำเนินโครงการนี้ได้รั่วไหลออกสู่สาธารณชนโดยเฉพาะในประเทศที่ถูกหมายหัวไว้เป็นตัวถูกทดลอง
    ก่อให้เกิดการเดินขบวนประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วโลก ทำให้สถาบันวิจัยปฏิบัติการพิเศษ ต้องล้มเลิกโครงการนี้

    ในรายงานที่เกี่ยวกับประเทศคองโกนั้นเป็นการศึกษาทดลองหาความเป็นไปได้ที่จะนำเอาวัฒนธรรม ความเชื่อ
    ในเรื่องต่างๆ ของคนในท้องถิ่นมาใช้เป็นอาวุธ พวกนักเล่นไสยศาสตร์ถูกกล่าวว่าเป็นผู้ต่อต้านทหารของรัฐบาล
    ที่มีประสิทธิภาพ พวกเขามีความเชื่อว่าพวกเขานั้นอยู่ยงคงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า
    (ความเห็นส่วนตัวว่า เหตุการณ์ มัสยิดกรือเซะ เราเป็นหนูตะเภาให้ใครหรือเปล่า?)

    การที่พวกนักรบหมอผีเหล่านี้เชื่อว่าพวกเขาหนังเหนียว ทำให้พวกเขาไม่กลัวการที่เข้าปะทะกับกองกำลัง
    ของรัฐบาลในทุกรูปแบบ ในทางตรงกันข้ามพวกทหารของรัฐบาลเสียเองกลับกลัวการที่จะต้องเข้าเผชิญหน้า
    กับพวกนักรบเดนตายเหล่านี้

    ในเมื่อ "ความเชื่อ" มีอานุภาพมากมายขนาดนั้น จึงทำให้แทนที่กองทัพสหรัฐจะพยายามทำลายความเชื่อผิดๆ
    เหล่านั้นให้หมดสิ้นไป พวกเขากลับศึกษาและค้นคว้าถึงสิ่งที่คนในท้องถิ่นต่างๆ เชื่อถือ ตำนานพื้นบ้านและ
    เรื่องลึกลับที่เล่าขานสืบต่อกันมากลายเป็นเรื่องที่หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาให้ความสนใจเป็นพิเศษ

    เหตุผลนะหรือครับ? ก็เพราะเขาจะได้สร้างเรื่องให้พวกชาวบ้านหลงเชื่อได้ง่าย เมื่อเวลาที่พวกเขาต้องการ
    ชักจูงให้ชาวบ้านทำอะไรบางอย่างที่พวกเขาต้องการ! แต่อย่างไรก็ตามในตำราชื่อยาว ได้เตือนเอาไว้ว่า
    การกระทำดังกล่าวเป็นการสนับสนุนให้คนเกิดความงมงายในสิ่งผิดๆ

    (ความเห็นส่วนตัว เมืองไทยตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจที่เมื่อก่อนเรียกว่า คอมมิวนิสต์ ก็ใช้กลยุทธ์ที่ไม่ต่างจาก
    ซีไอเอ เลยอยากตั้งคำถามว่าเรื่องคอมมิวนิสต์ในเมืองไทยมีจริงหรือไม่? หรือเบื้องหลังคือ มหาอำนาจ ชักใยอยู่
    ที่คนไทยฆ่ากันเองเมื่อก่อนก็มีความเป็นไปได้ว่า มหาอำนาจโลกเสรีเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง)


    ในที่สุดแล้วผลของการใช้ความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์และเรื่องลี้ลับนี้อาจจะแปรเปลี่ยนไปจนกระทั่งไม่สามารถที่จะควบคุมได้
    ซึ่งมันอาจจะสร้างปัญหาที่ใหญ่หลวงได้ในอนาคต ในตอนท้ายของตำราได้แนะนำว่าการแก้ปัญหาที่ถูกวิธีคือ
    การฝึกฝนกำลังทหารให้มีประสิทธิภาพและมีผู้นำกองทัพที่เข้มแข็งและหนักแน่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสามารถเอาชนะ
    นักรบหมอผีได้อย่างเด็ดขาด

    มัจจุราชมาเยือน

    หลังจากนั้นไม่กี่ปีในช่วงท้ายๆ ของสงครามเวียดนาม หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาได้ใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะเอาชนะ
    พวกเวียดกง ทั้งกายและใจ พวกเขาได้ใช้สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นใบปลิว เครื่องกระจายเสียงและวิทยุในการประโคมข่าว
    ข้อความบ่งบอกถึงผลเสียของการต่อต้านกองทัพสหรัฐและรัฐบาลเวียดนามใต้ ผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือจะต้องพบกับ
    จุดจบที่น่าสยดสยอง!

    ตัวอย่างเช่น ในใบปลิวแผนหนึ่ง มีภาพศพของทหารเวียดกงกับภาพวาดหัวกะโหลกและเครื่องหมายโพดำ
    (ดูภาพจากลิงค์วิดิโอนี้ [ame="http://youtube.com/watch?v=no6KwMcmsu8"]Dark Secrets of the CIA Pt.2[/ame])
    ซึ่งพวกเขาได้ความคิดนี้มาจากการที่มีทหารสหรัฐคนหนึ่งได้ทิ้งไพ่รูปเอโพดำไว้บนศพของพวกเวียดกงเพื่อ
    สื่อความหมายว่าเป็นลางร้ายแห่งความตาย ใต้ภาพมีข้อความภาษาเวียดนามเขียนว่า "เวียดกง! นี่คือสัญลักษณ์แห่งความตาย"
    หรือ "จงดิ้นรนหาทางที่จะต่อต้านรัฐบาลต่อไป แล้วก็จะได้พบกับความตายที่น่าสมเพชเช่นนี้"

    ราวต้นทศวรรษที่ 1980 หรือ 10 ปีถัดมาหลังจากที่สหรัฐได้ถอนกำลังออกจากเวียดนาม พวกเขาก็ได้นำ
    ปฏิบัติการจิตวิทยามาใช้อีกครั้งในการต่อต้านรัฐบาลซานดินิสต้าในนิคารากัว ที่มีคิวบาหนุนหลังอยู่
    คราวนี้เขาได้สร้างภาพให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลที่ใช้ชื่อว่า คอนทราส์ (Contras) ซึ่งหมายถึง
    ผู้ต่อต้านการเป็นนักรบของชาวคริสเตียน เอ็ดการ์ ชาโมร์โร (Edgar Chamorro) ชาวนิคารากัวผู้ซึ่งทำงานเป็นสายลับ
    ให้กับ ซีไอเอ และเป็นผู้วางกลยุทธ์ในปฏิบัติการจิตวิทยาครั้งนี้ ได้ตีพิมพ์แผ่นปลิวที่นำเอาสัญลักษณ์ต่างๆ
    ของศาสนาคริสต์ มาเป็นตัวชูโรงเช่น "สันตะปะปาอยู่ข้างเรา" ใบปลิวบางใบจะมีรูปสันตะปาปาประกอบพร้อมกับ
    ข้อความ "ต้ดสินใจดู! โบสถ์หรือคอมมิวนิสต์ซานดินิสตา" หรือ "พระคริสต์เป็นผู้ปลดปล่อย"

    ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของปฏิบัติการจิตวิทยาที่สหรัฐนำมาใช้ในการทำสงครามกับประเทศต่างๆ
    เป็นที่ร่ำลือกันมาก ว่าปฏิบัติการมองกูส ที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ ได้เซ็นคำสั่งอนุมัตินั้น อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่าน
    ถูกลอบสังหารในเวลาต่อมา

    มีต่อ
     
  19. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกร

    การส่งกำลังทหารสหรัฐเข้าไปในคิวบาเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ฟิเดล คาสโตร เมื่อปี ค.ศ. 1961 ที่ใช้ชื่อ
    ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกร (Bay of Pigs Invasion)

    เป็นสาเหตุหนึ่งที่ถูกสันนิษฐานว่า ทำให้ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ถูกลอบสังหาร
    ในปลายปี ค.ศ. 1963 ปฏิบัติการครั้งนั้นกองทัพสหรัฐต้องพ่ายแพ้ต่อกองกำลังของคาสโตรอย่างยับเยิน
    เหตุการณ์เป็นมาอย่างไรเราจะมาดูกัน

    ยึดเสียให้หมด

    วันขึ้นปีใหม่ในปี ค.ศ. 1959 ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)

    ได้นำกองกำลังเข้าโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการ ฟูลเกนซิโอ บาทิสต้า (Fulgencio Batista) ของคิวบา

    การกระทำครั้งนั้นส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับคิวบาอย่างแรง เนื่องจากเมื่อคาสโตร
    เข้าปกครองประเทศได้เข้ายึดทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นของบริษัทต่างๆ ที่มีเชื้อสายอเมริกันไม่ว่าจะเป็น
    ตัวโรงงานอุตสาหกรรมหรือที่ดินที่พวกเขาครอบครอง นายพล ดไวท์ ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower)



    ประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะนั้นเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากและได้ใส่ชื่อ คิวบา ลงในสุมุดบัญชีดำ
    ในฐานะศัตรูที่ต้องจัดการกำจัดโดยเร่งด่วน

    หนึ่งปีผ่านไป หลังจากประธานาธิดีไอเซนฮาวร์ได้ประชุมกับบรรดาที่ปรึกษาทางด้านต่างประเทศก็ได้ข้อสรุปว่า
    รัฐบาลของคาสโตรจะต้องถูกกำจัดโดยทันทีอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น วันที่ 17 มีนาคม 1960 ไอเซนฮาวร์
    ได้ลงนามอนุมัติให้ ซีไอเอ ปฏิบัติการ
    "แผนการลับต่อต้านการปกครองของคาสโตร" (A Program of Covert Action Against Castro Regime)

    เนื้อหาในแผนการนี้เขียนจุดประสงค์ไว้ว่า "เพื่อหาผู้ปกครองคนใหม่ที่มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อประชาชน
    ชาวคิวบาและ เป็นที่ยอมรับของรัฐบาลสหรัฐ ทั้งนี้จะต้องหลีกเลี่ยงการเปิดเผยว่า
    สหรัฐเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเข้าแทรกแซงครั้งนี้"
    (ความเห็นส่วนตัวว่า ดูเหมือนปัจจุบันเมืองไทยก็ถูกแทรกแซงด้วยแผนนี้ผ่านตัวแทนคือ
    รัฐบาลขายชาติทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งสิงคโปร์)

    ทางด้าน ซีไอเอ เองก็เพิ่งจะประสบความสำเร็จมาจากการโค่นล้มรัฐบาลฝ่ายซ้ายที่กัวเตมาลา เมื่อปี ค.ศ. 1954
    ทำให้พวกเขาดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษต่อภารกิจใหม่ครั้งนี้ พวกเขาตกลงที่จะจำลองการปฏิบัติการในกัวเตมาลา
    มาใช้กับคิวบา

    ต้นแบบการปฏิบัติการ

    วิธีที่ใช้ในปฏิบัติการครั้งนั้นก็คือ ทำให้ดูเหมือนว่าผู้ที่เข้าต่อสู้กับรัฐบาลฝ่ายซ้ายของประธานาธิบดี
    จาโคโบ อาร์เบนซ์ (Jacobo Arbenz) นั้น

    เป็นกองทัพพลัดถิ่นที่นำโดย คาร์ลอส คาสติลโล อาร์มาส (Carlos Castillo Armas)


    ซีไอเอ ได้ให้การช่วยเหลือต่ออาร์มาสทั้งด้านการเงิน การฝึกอาวุธ และการสร้างกองกำลังขนาดย่อม
    อีกทั้ง ซีไอเอ ยังได้ช่วยเหลือในด้านการทำสงครามจิตวิทยาโดยการออกอากาศโฆษณาชวนเชื่อทางคลื่นวิทยุ
    และส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเข้าไปถล่มเมืองกัวเตมาลา จนกระทั่งประธานาธิบดี อาร์เบนซ์ ต้องหนีออกจากทำเนียบ
    จึงได้ฉวยโอกาสในตอนนั้นส่ง อาร์มาส เข้ามาเสียบตำแหน่งประธานาธิบดี โดยมีเอกอัครราชทูตสหรัฐ
    ประจำกัวเตมาลาเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ

    ซีไอเอ ได้เสนอแผนการที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างการเข้าแทรกแซง การก่อวินาศกรรม
    และการทำสงครามจิตวิทยา เพื่อโค่นล้มอำนาจของคาสโตร พวกเขาเริ่มต้นโดยการฝึกกองกำลังพลัดถิ่น
    และการออกอากาศรายการวิทยุต่อต้านรัฐบาลคาสโตร ผ่านทางสถานีวิทยุหลายแห่งในแถบคาริบเบียน
    Brigade 2506 Association First Officers
    Cuban Support Group Ireland - The Bay Of Pigs

    เคนเนดี้สานต่อ

    ปี ค.ศ. 1961 ได้สิ้นสุดสมัยของประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ได้รับเลือกขึ้นมารับหน้าที่
    บริหารงานประเทศแทน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แผนการบุกคิวบาโดยกองทัพพลัดถิ่นใกล้จะเป็นความจริง
    ซีไอเอ ซ่องสุมทหารกองกำลังพลัดถิ่นได้ราว 1,400 คนไว้ในกัวเตมาลา และได้เริ่มแทรกซึมเข้าไปข้างใน
    เพื่อก่อวินาศกรรมในคิวบา

    เคนเนดี้ รู้สึกทึ่งในแผนการโค่นล้มรัฐบาลคิวบาของอดีตประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ และซีไอเอเป็นอย่างมาก
    เขาจึงเริ่มศึกษาแผนการนั้นอย่างถี่ถ้วน เขาพบว่าการปฏิบัติการครั้งนี้ต้องใช้กำลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย
    จึงยากต่อการปฏิเสธว่าสหรัฐไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ว่าเคนเนดี้จะเชื่อในฝีมือของ ซีไอเอ เป็นอย่างมากก็ตาม

    ไม่เพียงแต่ประธานาธิบดีเคนเนดี้เท่านั้นที่เป็นห่วงในเรื่องการปกปิดความลับที่สหรัฐอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการบุกคิวบา
    ที่กำลังจะเริ่มขึ้น เหล่าเสนาฯ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีก็มีความหนักใจไม่แพ้กัน หนึ่งสัปดาห์ก่อนปฏิบัติการจะเริ่มขึ้น
    อาร์เธอร์ เชล์ซิงเกอร์ จูเนียร์ (Arthur Schlesinger Jr.) ที่ปรึกษาคนหนึ่งได้เขียนบันทึกเตือนถึงเคนเนดี้ว่า
    "เมื่อจำเป็นต้องโกหกต่อสาธารณชน ควรให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคนทำ
    ประธานาธิบดีไม่ควรมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการลับ"

    ในที่สุดเมื่อกลางเดือนเมษายน ค.ศ. 1961 เคนเนดี้ก็ตัดสินใจให้ปฏิบัติการนี้เดินหน้าต่อไปอย่างลับๆ
    ตามแผนการที่ว่าผู้ที่เข้าต่อต้านรัฐบาลคาสโตร ไม่ได้รับการว่าจ้างหรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับรัฐบาลสหรัฐ

    กรุยทางด้วยจิตวิทยา

    เมื่อเคนเนดี้เปิดไฟเขียวให้บุกคิวบา ซีไอเอ ก็ส่งผู้เชี่ยวชาญทางด้านโฆษณาชวนเชื่อไปสร้างข่าว
    ต่อชาวคิวบาและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกให้สนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาลคาสโตร หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นคือ
    อี ฮาร์เวิร์ด ฮันท์ (E. Howard Hunt)

    ผู้ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นหนึ่งในสายลับเชี่ยวชาญทางปฏิบัติการนอกรูปแบบของประธานาธิบดี
    ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon)


    ผู้ที่มีบทบาทมากในปฏิบัติการครั้งนี้อีกคนหนึ่งก็คือ เดวิท แอทลี ฟิลิปส์ (David Atlee Phillips)
    ผู้ที่ซึ่งเคยทำงานร่วมกับสายลับฮันท์ในการลอบออกอากาศต่อต้านรัฐบาลกัวเตมาลาเมื่อปี ค.ศ. 1954

    ทั้งสองคนได้เขียนข่าวโฆษณาชวนเชื่อในนามของ "สภาปฏิวัติคิวบา" (Cuban Revolutionary Council)
    ซึ่งเป็นสถาบันที่ ซีไอเอ สร้างขึ้นมาเพื่อใช้บังหน้าและข่าวต่างๆ ได้ถูกส่งมายังบริษัท เลมโจนส์แอสโซซิเอทอิงค์
    (Lem Jones Associates, Inc.) ในนิวยอร์ก ที่ซีไอเอ ได้ว่าจ้างให้ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ข่าวที่ตนต้องการ
    ให้ปรากฏออกสู่สาธารณะ

    และเพื่อปกปิดว่าสหรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งฝูงบินเข้าโจมตีคิวบา ฟิลลิปส์ ได้สร้างเรื่องขึ้นมาว่า
    มีนักบินชาวคิวบาได้แปรพักตร์เอาใจออกห่างจากรัฐบาลคาสโตร เขาทำโดยการทาสีเครื่องบินของซีไอเอ
    เป็นแบบเดียวกับกองทัพอากาศคิวบา จากนั้นก็ให้คนของซีไอเอ ขับมาลงที่สนามบินฟลอริดา (อยู่บนชายฝั่ง
    ตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐซึ่งใกล้กับหมู่เกาะคาริบเบียน)

    จากนั้นนักบินก็จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอ้างว่าพวกเขาเป็นทหารอากาศของคิวบาที่ไม่พอใจการปกครอง
    ของฟิเดล คาสโตร และพวกเขาก็ได้ทำการทิ้งระเบิดถล่มคิวบาก่อนที่จะหลบหนีมาลี้ภัยที่สหรัฐ แผนการนี้
    น่าจะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม


    มีต่อ
     
  20. foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    พพพ. พังเพราะพื่อน!

    วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1961 แอดไล สตีเวนสัน (Adlai Stevenson)

    เอกอัครราชทูตประจำยูเอ็น ได้แถลงการณ์ในที่ประชุมต่อสมาชิกสหประชาชาติ ปฏิเสธข้อหล่าวหาว่า
    สหรัฐอยู่เบื้องหลังการโจมตีทางอากาศที่คิวบา เขากล่าวว่าเครื่องบินที่เข้าโจมตีคิวบานั้นเป็นเครื่องบิน
    ของคิวบาเอง อีกทั้งนักบินที่ขับเครื่องบินลำนั้นก็เป็นทหารชาวคิวบา เพื่อให้คำพูดฟังน่าเชื่อถือ สตีเวนสัน
    ได้นำภาพถ่ายของเครื่องบินที่ติดเครื่องหมายคิวบา มาแสดงประกอบการแถลงการณ์

    เมื่อฟิลิปส์ ได้ฟังแถลงการณ์ของสตีเวนสัน เขาถึงกับช็อกไปหลายวันเลยละครับ เอ๋...แต่มันก็ฟังดูว่า
    เป็นไปตามแผนที่ฟิลิปส์ ได้วางเอาไว้ แต่ทำไมเขาต้องเดือดดาลแทบจะฆ่าสตีเวนสัน เลยทีเดียว
    เหตุผลมีนิดเดียวเองครับ แผนการนี้จะเริ่มกระทำในวันที่ 17 เมษายน!! แต่เดอะโชว์มัสท์โกออน
    ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกรก็ดำเนินต่อไปแม้ว่าแผนการปกปิดว่า สหรัฐอยู่เบื้องหลังจะถูกเปิดโปงออกมา
    โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐเองก็ตาม

    ยกพลขึ้นบก

    เมื่อกองกำลังพลัดถิ่นที่จัดตั้งโดยซีไอเอ ได้ยกพลขึ้นบกที่อ่าวสุกร ฟิเดล คาสโตร
    ได้ลงทุนมาบัญชาการรบด้วยตัวเอง เขาได้รวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์เพียงน้อยนิดเท่าที่กองทัพเขามีอยู่
    เขาทำการบุกเข้าโจมตีผู้รุกรานอย่างรวดเร็ว

    รวดเร็วขนาดที่ว่าเครื่องบินรบของเขาสามารถเข้าโจมตีเรือบรรทุกกระสุนและอุปกรณ์สื่อสาร
    ที่ยังไม่ทันจะแล่นเข้ามาถึงชายฝั่งอ่าวสุกร เพื่อส่งมอบอุปกรณ์เหล่านั้นให้กับกองกำลังทหารพลัดถิ่น
    ที่ยกพลขึ้นบกล่วงหน้าไปแล้ว

    อย่างนี้ก็จะเหลืออะไรละครับ ไม่มีทั้งเครื่องมือสื่อสาร กระสุนก็มีเพียงแค่ที่นำติดตัวมา บรรดาทหารพลัดถิ่น
    เหล่านั้นต้านทานกองกำลังของ ฟิเดล คาสโตร ที่บุกเข้ามาอย่างสายฟ้าแลบได้เพียงไม่กี่วันก็พ่ายแพ้ชนิดหมดรูป
    ทหาร 114 นาย ถูกสังหาร และที่เหลือ 1,189 นาย ถูกจับเป็นเชลย

    กองทัพคิวบา ที่นำโดย ฟิเดล คาสโตร ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการขัดขวางการรุกรานของกองทัพ ซีไอเอ
    ก่อนที่พวกเขาจะพ้นจากชายหาดอ่าวสุกรซะอีก บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ ต่างก็ต้องช็อกเป็นคำรบที่สอง
    แผนการที่วางมานานนับปีกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่กี่วันต่อมาประธานาธิบดีเคนเนดี้ ได้ออกแถลงการณ์แก้เกี้ยวว่า
    ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกรนั้นถูกระงับ และการกระทำการใดๆ ในอนาคตที่เป็นการต่อต้าน ฟิเดล คาสโตร จะต้องได้รับ
    การพิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้น

    ความสัมพันธ์ขาดสะบั้น

    ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกรส่งผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐเป็นอย่างมาก ปฏิบัติการครั้งนั้นได้ถูกบันทึก
    ลงในประวัติศาสตร์ของสหรัฐว่าเป็น "ความล้มเหลวที่สมบูรณ์แบบ" (Perfect Failure) เหตุการณ์ครั้งนั้นถือว่า
    เป็นเรื่องน่าอับอายที่สุดในสมัยการปกครองของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้

    อีกทั้งมันยังส่งผลให้กลายเป็นเรื่องที่ชาวคิวบา ต่างนำมาล้อเลียนกระทบกระเทียบสหรัฐ และทำให้คะแนนนิยม
    ที่ชาวคิวบามีต่อ ฟิเดล คาสโตร มีมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดก็คือ นับเป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้วที่ผลกระทบของ
    ปฏิบัติการยังมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับคิวบา

    เคนเนดี้ ได้ตั้งคณะกรรมาธิการลับขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อทำการประเมินสาเหตุที่ทำให้ปฏิบัติการครั้งนี้ล้มเหลว
    ผลสรุปก็คือ สาเหตุหนึ่งมาจากการที่กองกำลังทหารพลัดถิ่น (ที่จัดขึ้นโดย ซีไอเอ) นั้นมีขนาดใหญ่เกินไป
    ทำให้ไม่สามารถที่จะเตรียมการ และควบคุมการปฏิบัติการได้ และปฏิบัติการบุกอ่าวสุกรก็เป็นรอยด่าง
    อีกรอยหนึ่งที่ติดอยู่บนผืนธงชาติสหรัฐ


    (ความเห็นส่วนตัวว่า เป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลบุชจูเนียร์ ออกมาดีใจเมื่อเห็นคาสโตรเข้าโรงพยาบาล
    เมื่อไม่นานมานี้เพราะทำให้อเมริกาเสียหน้า และจอร์จ บุช พ่อของ บุชจูเนียร์ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
    ก็มีส่วนเกี่ยวข้องในปฏิบัติการครั้งนี้ รวมทั้งอาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเคนเนดี้ด้วย)
     

แชร์หน้านี้