เชิญร่วมบุญผ้ายันต์ครอบจักรวาลรุ่นพิเศษเพื่อแจกจ่ายผู้ปฎิบัติงานใน 3 จังหวัดภาคใต้

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sira, 26 พฤษภาคม 2007.

  1. sira

    sira เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +1,331
    สำหรับผ้ายันต์ที่จะนำไปแจกทหารชายแดนภาคใต้
    ในครั้งแรกพระอาจารย์นิลท่านได้นำไปขอความเมตตาจากหลวงปู่สุภา กันตสีโล จ.ภูเก็ต ให้ท่านอธิษฐานจิตให้ เมื่อวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2550 ผมได้รับรูปภาพจากพระอาจารย์นิลมาให้ชมกันครับ เพื่อจะได้ร่วมโมทนาบุญกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PIC_0207.JPG
      PIC_0207.JPG
      ขนาดไฟล์:
      998.4 KB
      เปิดดู:
      204
    • PIC_0208.JPG
      PIC_0208.JPG
      ขนาดไฟล์:
      981.3 KB
      เปิดดู:
      168
    • PIC_0180.JPG
      PIC_0180.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1,001.6 KB
      เปิดดู:
      135
    • PIC_0196.JPG
      PIC_0196.JPG
      ขนาดไฟล์:
      986.3 KB
      เปิดดู:
      164
    • PIC_0197.JPG
      PIC_0197.JPG
      ขนาดไฟล์:
      992.8 KB
      เปิดดู:
      140
  2. sira

    sira เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +1,331
    update รูปเพิ่มเติมครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1-2.JPG
      1-2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      132
    • PIC_0199.JPG
      PIC_0199.JPG
      ขนาดไฟล์:
      993.6 KB
      เปิดดู:
      183
    • PIC_0202.JPG
      PIC_0202.JPG
      ขนาดไฟล์:
      914.4 KB
      เปิดดู:
      135
    • PIC_0204.JPG
      PIC_0204.JPG
      ขนาดไฟล์:
      919.6 KB
      เปิดดู:
      124
    • PIC_0205.JPG
      PIC_0205.JPG
      ขนาดไฟล์:
      960.7 KB
      เปิดดู:
      141
    • PIC_0206.JPG
      PIC_0206.JPG
      ขนาดไฟล์:
      936.7 KB
      เปิดดู:
      155
  3. sira

    sira เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +1,331
  4. sira

    sira เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +1,331
    update รูปใหม่ครับ เมื่อกี้รูปไม่ไปครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PIC_0203.JPG
      PIC_0203.JPG
      ขนาดไฟล์:
      866.9 KB
      เปิดดู:
      163
    • PIC_0189.JPG
      PIC_0189.JPG
      ขนาดไฟล์:
      971.9 KB
      เปิดดู:
      136
    • PIC_0190.JPG
      PIC_0190.JPG
      ขนาดไฟล์:
      984.1 KB
      เปิดดู:
      121
    • PIC_0191.JPG
      PIC_0191.JPG
      ขนาดไฟล์:
      973 KB
      เปิดดู:
      124
    • PIC_0194.JPG
      PIC_0194.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1,013.3 KB
      เปิดดู:
      107
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    จากกระทู้

    <TABLE class=tborder id=post621284 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 01:42 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #6024 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_621284", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 10:15 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 876 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 8,498 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 7,794 ครั้ง ใน 884 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 876 [​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_621284 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->โมทนาสาธุครับคุณหนุ่ม รายการวัตถุมงคลทั้งหมดนำบรรจุที่พระธาตุเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งครับ ผู้มอบวัตถุมงคลคือคุณwoottipon ก็ได้รับอานิสงค์กัน 2 ต่อด้วยครับ...

    ผมก็ไม่ทราบจะอธิบายยังไงนะครับ เอาเป็นว่าขอบันทึกไว้เป็นเหตุการณ์ซึ่งในวันหนึ่งข้างหน้าอาจได้ประโยชน์จากข้อมูลนี้ก็ได้ครับ ผมหมายถึงว่าอีกเป็น พันปี หากกรุพระธาตุเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งแตกขึ้นมาในอนาคต วัตถุมงคลเหล่านี้ก็จะได้นำมาบูรณะพระธาตุเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งได้ทัน จึงขอบันทึกเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการประมูลในครั้งนี้ซึ่งไม่มีบุคคลใดในคณะปรารถนาจะครอบครองวัตถุมงคล และพระธาตุทั้งหลายเหล่านี้เป็นของส่วนตัว ต่างตั้งจิตถวายบรรจุไว้ในพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    ในรายละเอียดของการสร้างผ้ายันต์ และงานพิธี ขอให้คุณหนุ่มที่ทราบข้อมูลดีมาช่วยผมเสริมในรายละเอียดด้วย เพื่อให้ข้อมูลมีความชัดเจน และถูกต้องนะครับ...

    คุณหนุ่ม copy ข้อมูลผม แล้วกรอกรายละเอียดที่เว้นไว้ด้วย

    วันอังคารที่ 7 ก.ค. 2550 ทางคณะศิษย์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร คณะศิษย์หลวงปู่สุภา และคณะศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้ร่วมกันจัดสร้างผ้ายันต์รุ่นครอบจักรวาล เพื่อมอบให้ทหารหาญ ตำรวจ และคนไทยที่อยู่ในพื้นที่ความเสี่ยงทาง 3 จังหวัดชายแดนทางภาคใต้ ผ้ายันต์นี้มุมซ้ายบนเป็นรูปหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ทางขวาบนเป็นภาพหลวงปู่สุภา ภาพกลางบนได้อัญเชิญภาพยันต์เกราะเพชรมาประทับไว้ (ภาพอื่นจากนี้คุณหนุ่มช่วยต่อให้หน่อย ผมจำได้เท่านี้..)พระอาจารย์นิล และคณะศิษย์ได้นำผ้ายันต์จำนวนไม่น้อยกว่า 170,000 ผืน และวัตถุมงคลอื่นๆมาเข้าพิธีจำนวน(ขอสงวนสิทธิ์ไม่แจ้งนะครับ)พิธีโดยพิธีสุดท้ายคือวันอังคารที่ 7 ก.ค. 2550 ได้ทำพิธีพุทธาภิเษกที่บ้านอาจารย์ปู่ประถม จ.ชลบุรี พระอาจารย์นิลได้นำสวดมนต์ และปฏิบัติกรรมฐาน และสมาธิประมาณ 1 ชม ระหว่างนั้นพี่ใหญ่ของคณะศิษย์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรได้สวดคาถาบารมี 30 ทัศ เป่าไปที่วัตถุมงคลทั้งหลาย และผ้ายันต์ (ซึ่งท่านไม่ทราบว่ามีวัตุมงคลอะไรบ้างในพิธีพุทธาภิเษกนี้) ทันใดนั้นก็ปรากฎภาพยันต์เกราะเพชรสีทองลอยขึ้นมาในพิธี ซึ่งท่านก็สอบถามอาจารย์ปู่ประถมในภายหลังว่า การสวดบารมี 30 ทัศ เป็นผลเสีย หรือผลดีกับพิธีนี้ อาจารย์ปู่ประถมได้แต่ยิ้มๆ และชี้แจงว่า เป็ยการเสริมกันให้ดียิ่งขึ้น เพราะต่างมี 56 ห้องเท่ากัน กลายเป็นว่าบารมี 30 ทัศเข้าไปเสริมยันต์เกราะเพชร หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษีฯได้เสด็จมาร่วมในพิธีพุทธาภิเษกนี้ด้วยสืบเนื่องจากว่าการมอบผ้ายันต์ทั้งหมดไม่น้อยกว่า 170,000 ผืนนี้เป็นงานสาธารณประโยชน์ที่ช่วยเหลือประเทศชาติ พระท่านจึงมาสงเคราะห์ลูกหลาน ปัจจัยที่ 2 ที่ท่านมาสงเคราะห์ในงานครั้งนี้ก็สืบเนื่องจากว่าท่านทราบด้วยอนาคตังสญาณว่าคณะศิษย์ทั้งหลายมีความศรัทธาในการสร้างพระธาตุเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง และจะขอนำวัตถุมงคลของท่านบรรจุเพื่อสืบพระศาสนาให้ครบ 5,000 ปี ท่านจึงมาโมทนา และสงเคราะห์เสกพระยันต์เกราะเพชรให้ ผู้ได้มโนมยิทธิแจ่มใสก็ได้เห็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 4 พระองค์โดยเว้นหลวงปู่หน้าปาน 1 พระองค์ เนื่องจากไม่เคยเห็นหลวงปู่ทั้ง 5 พระองค์มาก่อน แต่ดูจากรูปแล้วชี้ว่าเห็นพระองค์ไหน สมเด็จโตพรหมรังสีก็เสด็จมาร่วมในงานพิธีครั้งนี้ เพียงแต่ไม่ได้มาเสก พุทธาภิเษกครั้งนี้มีนกสาริกา 1 คู่มาเกาะที่หลังคาบ้าน 1 คู่ ต่างจากพิธีวันเสาร์ 5 ที่มาเกาะกันเต็มหลังคาบ้านส่งเสียงเจี๊ยวจ้าว...

    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->ส่วนยันต์ตรงกลางนั้น เป็นยันต์ของหลวงปู่สุภาทั้งหมด สรรพวิชาของหลวงปู่สุภาท่านได้นำมาลงในผ้ายันต์นี้ ปกติผ้ายันต์ที่ผมรับทราบมา ถ้าจะไปเช่าที่วัด ผืนละ 1,000 หรือ 2,000 บาท(ไม่แน่ใจว่าผืนละเท่าไร แต่พี่แอ๊วได้แจ้งมาว่าผืนละ 1,000บาท) และยันต์นี้คณะลูกศิษย์ได้นำไปจดลิขสิทธิ์แล้วครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    หมายเหตุ อักษรสีน้ำตาล เป็นสิ่งที่ผมเพิ่มเติมในข้อความของคุณเพชรครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <TABLE class=tborder id=post621473 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 09:04 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #6029 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>พันวฤทธิ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_621473", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:09 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 145 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 131 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 1,326 ครั้ง ใน 140 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 160 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_621473 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    โมทนาสาธุครับคุณหนุ่ม รายการวัตถุมงคลทั้งหมดนำบรรจุที่พระธาตุเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งครับ ผู้มอบวัตถุมงคลคือคุณwoottipon ก็ได้รับอานิสงค์กัน 2 ต่อด้วยครับ...

    ผมก็ไม่ทราบจะอธิบายยังไงนะครับ เอาเป็นว่าขอบันทึกไว้เป็นเหตุการณ์ซึ่งในวันหนึ่งข้างหน้าอาจได้ประโยชน์จากข้อมูลนี้ก็ได้ครับ ผมหมายถึงว่าอีกเป็น พันปี หากกรุพระธาตุเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งแตกขึ้นมาในอนาคต วัตถุมงคลเหล่านี้ก็จะได้นำมาบูรณะพระธาตุเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งได้ทัน จึงขอบันทึกเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการประมูลในครั้งนี้ซึ่งไม่มีบุคคลใดในคณะปรารถนาจะครอบครองวัตถุมงคล และพระธาตุทั้งหลายเหล่านี้เป็นของส่วนตัว ต่างตั้งจิตถวายบรรจุไว้ในพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    ในรายละเอียดของการสร้างผ้ายันต์ และงานพิธี ขอให้คุณหนุ่มที่ทราบข้อมูลดีมาช่วยผมเสริมในรายละเอียดด้วย เพื่อให้ข้อมูลมีความชัดเจน และถูกต้องนะครับ...

    คุณหนุ่ม copy ข้อมูลผม แล้วกรอกรายละเอียดที่เว้นไว้ด้วย

    วันอังคารที่ 7 ก.ค. 2550 ทางคณะศิษย์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร คณะศิษย์หลวงปู่สุภา และคณะศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้ร่วมกันจัดสร้างผ้ายันต์รุ่น.....................เพื่อมอบให้ทหารหาญ ตำรวจ และคนไทยที่อยู่ในพื้นที่ความเสี่ยงทาง 3 จังหวัดชายแดนทางภาคใต้ ผ้ายันต์นี้มุมซ้ายบนเป็นรูปหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ทางขวาบนเป็นภาพหลวงปู่สุภา ภาพกลางบนได้อัญเชิญภาพยันต์เกราะเพชรมาประทับไว้ (ภาพอื่นจากนี้คุณหนุ่มช่วยต่อให้หน่อย ผมจำได้เท่านี้..)พระอาจารย์นิล และคณะศิษย์ได้นำผ้ายันต์จำนวน............ผืน และวัตถุมงคลอื่นๆมาเข้าพิธีจำนวน......พิธีโดยพิธีสุดท้ายคือวันอังคารที่ 7 ก.ค. 2550 ได้ทำพิธีพุทธาภิเษกที่บ้านอาจารย์ปู่ประถม จ.ชลบุรี พระอาจารย์นิลได้นำสวดมนต์ และปฏิบัติกรรมฐาน และสมาธิประมาณ 1 ชม ระหว่างนั้นพี่ใหญ่ของคณะศิษย์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรได้สวดคาถาบารมี 30 ทัศ เป่าไปที่วัตถุมงคลทั้งหลาย และผ้ายันต์ (ซึ่งท่านไม่ทราบว่ามีวัตุมงคลอะไรบ้างในพิธีพุทธาภิเษกนี้) ทันใดนั้นก็ปรากฎภาพยันต์เกราะเพชรสีทองลอยขึ้นมาในพิธี ซึ่งท่านก็สอบถามอาจารย์ปู่ประถมในภายหลังว่า การสวดบารมี 30 ทัศ เป็นผลเสีย หรือผลดีกับพิธีนี้ อาจารย์ปู่ประถมได้แต่ยิ้มๆ และชี้แจงว่า เป็ยการเสริมกันให้ดียิ่งขึ้น เพราะต่างมี 56 ห้องเท่ากัน กลายเป็นว่าบารมี 30 ทัศเข้าไปเสริมยันต์เกราะเพชร หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษีฯได้เสด็จมาร่วมในพิธีพุทธาภิเษกนี้ด้วยสืบเนื่องจากว่าการมอบผ้ายันต์ทั้งหมด........ผืนนี้เป็นงานสาธารณประโยชน์ที่ช่วยเหลือประเทศชาติ พระท่านจึงมาสงเคราะห์ลูกหลาน ปัจจัยที่ 2 ที่ท่านมาสงเคราะห์ในงานครั้งนี้ก็สืบเนื่องจากว่าท่านทราบด้วยอนาคตังสญาณว่าคณะศิษย์ทั้งหลายมีความศรัทธาในการสร้างพระธาตุเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง และจะขอนำวัตถุมงคลของท่านบรรจุเพื่อสืบพระศาสนาให้ครบ 5,000 ปี ท่านจึงมาโมทนา และสงเคราะห์เสกพระยันต์เกราะเพชรให้ ผู้ได้มโนมยิทธิแจ่มใสก็ได้เห็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 4 พระองค์โดยเว้นหลวงปู่หน้าปาน 1 พระองค์ เนื่องจากไม่เคยเห็นหลวงปู่ทั้ง 5 พระองค์มาก่อน แต่ดูจากรูปแล้วชี้ว่าเห็นพระองค์ไหน สมเด็จโตพรหมรังสีก็เสด็จมาร่วมในงานพิธีครั้งนี้ เพียงแต่ไม่ได้มาเสก พุทธาภิเษกครั้งนี้มีนกสาริกา 1 คู่มาเกาะที่หลังคาบ้าน 1 คู่ ต่างจากพิธีวันเสาร์ 5 ที่มาเกาะกันเต็มหลังคาบ้านส่งเสียงเจี๊ยวจ้าว...

    <!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ฝากบันทึกไว้อีกนิดนึง

    เนื่องจากผ้ายันต์ดังกล่าวนี้มีวัตถุประสงค์ทางด้านการคุ้มครองเป็นทีสุด และมีรูปของหลวงปู่สุภาอยู่ด้วย ผลก็คือ
    1. ตกกลางคืนพี่ใหญ่ส่งจิตไปขอขมาหลวงปู่สุภาที่อยู่ภูเก็ตเพราะเป็นการไม่ประมาทในครูบาอาจารย์ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เนื่องจากก่อนการอธิษฐานจิตขอบารมีครูอาจารย์มาช่วยนั้น ไม่เคยเห็นแผ่นผ้ายันต์มาก่อน พอก้มกราบขอขมาหลวงปู่สุภาเอามือมาลูบหลังพี่ใหญ่พร้อมบอกว่า ไม่เป็นไร มาช่วยกันเสกก็ดีอยู่แล้ว
    2. เดิมทีพี่ใหญ่มิได้ตั้งใจจะอธิษฐานจิตขอบารมีสำหรับผ้ายันต์ในชุดนี้ให้เนื่องจากเกรงใจ อ.ประถม แต่พอพระอาจารย์นิลจุดธูปเชิญหลวงปู่เทพฯ พี่ใหญ่เห็นท่านเดินมานั่งยังอาสนะทั้ง 4 ท่าน พี่ใหญ่บอกว่าแปลกใจมาก (องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามพระกกุกสันโธไม่ลง ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไม่ลง เพราะท่านคงคิดว่างานนี้น่าจะเป็นเรื่องของการสืบทอดศาสนาด้วย คงให้ท่านผู้มีหน้าที่ปกปักรัษาพระศาสนาให้ครบ 5000 ปีลงมือเอง (ผู้เขียนสันนิษฐานเอง) แต่ท่านทั้ง 2 ที่ไม่ลง พี่ใหญ่แจ้งให้ผมทราบตั้งแต่แรกเมื่อก่อนที่จะมีพิธีแล้ว) แต่เมื่อถึงเวลาอธิษฐานจิต พี่ใหญ่บอกว่าตัวพี่เองกลับเสกเป่าไปที่ผ้ายันต์โดยมิรู้ตัว พอเป่าไปที่ผ้ายันต์ พี่ใหญ่สังเกตุเห็นแสงสีทองอร่ามเรืองรองลอยขึ้นมาจากผ้ายันต์ พี่ใหญ่จึงคิดว่าเอ๊ะ! ผ้ายันต์นี้มีอะไรหนอจึงได้ถาม อ.ประถม คำตอบก็คือมียันต์เกราะเพชรอยู่ในผ้ายันต์นี้ แล้วคำถามก็เกิดขึ้นอีกว่า เอ๊ะแล้วแสงเรืองรองนี้มาจากอะไร คำตอบจากหลวงปู่ใหญ่ก็คือเมื่อพี่ใหญ่ส่งจิตกระตุ้นเข้าไปที่ยันต์ กระแสพลังจากยันต์จึงเกิดขึ้นมาตามคุณวิเศษของยันต์และผู้กระตุ้นนั่นเอง
    3. ผมจึงเรียนถามพี่ใหญ่ว่า งั้นคงต้องขอแผ่นยันต์นี้มาเก็บไว้บ้างแล้วกระมั้ง พี่ใหญ่บอกว่า เอ็งจะเอาไปรบกับใครว๊ะ เขาสำหรับเอาไว้แจกทหาร ติดรถหุ้มเกราะ ติดศาลา โว๊ย เป็นงั้นไป แสดงว่าแผ่นยันต์นี้น่าจะออกผลทางคุ้มครองตามที่ท่านอาจารย์นิลได้อธิษฐานขอไว้นั่นเอง
    4. ในพิธีวันนั้นเสร็จแล้ว แต่พี่ใหญ่บอกว่าผ้ายันต์ทั้งหมดอย่าเพิ่งขนกลับให้ทิ้งไว้ที่บ้าน อ.ประถม 3 วันค่อยมารับกลับ เดี๋ยวเจ้าของยันต์และผู้ที่รักษายันต์เขาจะลงมาทำของของเขาให้อีก ใครคือเจ้าของยันต์ ใครคือผู้ที่รักษายันต์ที่จะลงมาทำให้? เป็นปริศนาที่รอคำตอบ และยังไม่เฉลยจนบัดนี้ ไว้รอฤกษ์งามยามดี ก็คงจะเป็นที่เปิดเผย โดยผมจะได้มาแจ้งให้ทราบอีกครั้งในก๊วนนี้เช่นเคย แต่อย่าเคย ผ้ายันต์มหาวิเศษนี้คงต้องเก็บไว้เช่นเคยเก็บไว้ให้เป็นสมบัติของลูกหลาน ส่วนชื่อรุ่น ถ้ายังไม่ได้เดี๋ยวถามพี่ใหญ่ให้ หากไม่ติดขัดอะไร เดี๋ยวได้เอง วันนี้ขอจบก่อน

    ของฝากจากพี่ใหญ่ สวดมนต์แผ่เมตตาเสร็จ คงให้แต่เจ้ากรรมนายเวรเรา ให้พ่อแม่เรา และฯลฯ แต่เจ้ากรรมนายเวรและเทวดาที่รักษาพ่อแม่เราเล่า เคยให้กันบ้างหรือเปล่า เอ้า แผ่ให้ท่านด้วย ท่านจะได้ปกปักรักษาพ่อแม่เราด้วยจ้า..
    <!-- / message --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    http://www.luangpoosupa.com/resume.html

    ประวัติหลวงปู่สุภา

    <!-- </hs:element8> --><!-- <hs:element9> -->หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีวอก พุทธศักราช 2439(ตรงกับวันที่ 17 กันยายน พุทธศักราช 2439) ที่ บ้านคำบ่อ ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิจังหวัด สกลนคร

    โยมบิดา คือ ขุนพลภักดี ผู้ใหญ่บ้าน คำบ่อ ชื่อเดิม คือ นายพล วงศ์ภาคำ

    โยมมารดา ชื่อ นางสอ วงศ์ภาคำ มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน คือ

    1. นางสี วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)

    2. นายเสน วงศ์ภาคำ (บวชเป็นพระภิกษุ - มรณภาพ)

    3. นางผม วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)

    4. นางเกตุ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)

    5. นายจันทร์เพ็ง วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)

    6. หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล

    7. นางมาลีจันทร์ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)

    8. นางกา วงศ์ภาคำ (ยังมีชีวิตอยู่)






    <!-- </hs:element9> --><!-- <hs:element11> -->หลวงปู่สุภา เป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว เมือตอนเป็นเด็กท่านอ้วนท้วนสมบูรณ์ผิวขาว หน้าตาน่ารักน่าชัง ท่านใช้ชีวิตอย่างเช่นเด็กทั่ว ๆ ไปในสมัยนั้น คือ เที่ยววิ่งซุกซนไปตามประสา จะมีโอกาสเรียนเขียนอ่านก็ต่อเมื่อพ่อแม่พาไปฝากวัดให้พระท่านสอน หรือไม่ก็ให้พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ ที่รู้หนังสือสอนให้ วัดจึงนับเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เด็กชายจะสามารถไปแสวงหาความรู้เช่นเดียวกัน คนอีสานส่วนใหญ่ในสมัยนั้นคือ มักจะให้ลูกบวชเป็นสามเณร




    <!-- </hs:element11> --><!-- <hs:element13> -->เมือหลวงปู่สุภาอายุได้ 7 ขวบ วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านและเพื่อนๆ ออกไปวิ่งเล่นที่ริมทุ่งชายป่าได้พบ กับพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดพักอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ เด็กคนอื่นๆ ที่เห็นพระรูปนั้นไม่ได้สนใจ ต่างพากันวิ่งเล่นกันต่อ เว้นไว้แต่เด็กชายสุภา ซึ่งมีจิตใจโน้มมาทางธรรมตั้งแต่อายุยังน้อยจะเห็นได้ จากการที่ชอบเข้าใกล้พระ ชอบไปวัดดังนั้น เมื่อท่านเห็นพระธุดงค์รูปนั้นปักกลดพักอยู่ก็แยกตัว ออกจากเพื่อนๆ ตรงเข้าไปกราบ เมื่อพระภิกษุชราที่นั่งพักอยู่ภายใจกลดเห็นเด็กชายหน้าตาน่ารัก เข้ามากราบอย่างสวยงาม เหมือนกับได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี จึงมองเด็กน้อยคนนั้นด้วยความ เมตตา เพ่งดูลักษณะอยู่ครู่เดียวจึงบอกเด็กน้อยว่า ต่อไปภายหน้าจะได้บวช เมื่อบวชแล้วอย่าลืมไปหา ท่าน พระภิกษุรูปนี้ คือ หลวงปู่สีทัตต์ จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าอุเทน จังหวัดนครพนมนั่นเอง แต่ในเวลา นั้น เด็กชายสุภายังไม่ได้นึกอะไร ได้แต่นั่งคุยกับหลวงปู่สีทัตต์ครู่หนึ่ง จึงนมัสการกราบลาไปวิ่งเล่น กับเพื่อนๆ ต่อ




    <!-- </hs:element13> --><!-- <hs:element14> -->บวชเณร เรียนมูลกัจจายน์



    หลังจากได้พบกับหลวงปู่สีทัตต์ที่ชายป่าในครั้งนั้นแล้วเป็นเวลา 2 ปี บิดามารดาของหลวงปู่ได้ ตกลงใจให้หลวงปู่ซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องบวชเป็นสามเณร ในขณะที่ท่านอายุได้ 9 ขวบ โดยมี พระอาจารย์สวน เจ้าอาวาศวัดแห่งหนึ่งในหมู่บ้านตำบลคำบ่อเป็นพระอุปัชฌาย์



    [FONT=Helvetica, Arial, sans-serif]สามเณรสุภาได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับพระอาจารย์สวนอยู่เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้น ในปี พุทธศักราช 2449 ท่านได้เดินทางไปเรียนมูลกัจจายน์ 5 เล่ม ที่วัดไพรใหญ่ จังหวัด อุบลราชธานี ที่นั่นมีอาจารย์สอนมูลกัจจายน์อยู่ 2 ท่าน คือ พระอาจารย์พระมหาหล้า และอีกท่าน เป็นฆราวาส ชื่อ อาจารย์ลุย สามเณรสุภาได้ใช้เวลาศึกษามูลกัจจายน์ 5 เล่มอยู่ที่วัดไพรใหญ่เป็น เวลานานหลายปีกว่าจะจบมูลกัจจายน์ 5 เล่ม เมื่อจบหลักสูตรแล้ว ก็มีความคิดที่จะหาความรู้ เพิ่มเติมจึงได้กราบลาอาจารย์ออกจากวัดไพรใหญ่ โดยที่ขณะนั้นได้ทราบข่าวว่ามีพระอาจารย์รูป หนึ่งเก่งทางวิปัสสนาและทรงวิทยาคมอยู่ที่วัดท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม มีชื่อว่า พระอาจารย์สีทัตต์ สามเณรสุภาจึงนึกขึ้นได้ว่า เคยได้ยินชื่อนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว และจำได้ว่าเคยกราบ ท่านที่ใต้ต้นตะแบกเมื่อตอนเป็นเด็กๆ และท่านยังสั่งไว้ว่าเมื่อบวชแล้วให้ไปหาท่าน ในครั้งนั้น สามเณรสุภาอายุใกล้ครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว จึงออกเดินทางไปนมัสการหลวงปู่สีทัตต์ที่ วัดท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนนครพนม ขณะนั้น หลวงปู่สีทัตต์อายุมากแล้ว ท่านเป็นพระป่า ที่มีชื่อเสียงมากทางวิปัสสนากรรมฐาน ขณะที่สามเณรสุภาเดินทางไปพบ หลวงปู่สีทัตต์กำลังก่อสร้าง พระธาตุอยู่องค์หนึ่ง คือ พระธาตุท่าอุเทนในปัจจุบัน หลวงปู่สีทัตต์ได้รับสามเณรสุภาไว้เป็นศิษย์ด้วย ความยินดี นับว่าหลวงปู่สีทัตต์ เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานองค์แรกของหลวงปู่สุภา
    [/FONT]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ฝึกกรรมฐาน ออกธุดงค์กับหลวงปู่สีทัตต์



    สามเณรสุภา ได้เริ่มฝึกกรรมฐานและออกธุดงค์เป็นกิจจะลักษณะกับหลวงปู่สีทัตต์ ซึ่งได้พาสามเณร สุภาออกธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว เพราะวัดพระธาตุท่าอุเทนนั้น อยู่ในเขตจังหวัดนครพนมใกล้กันกับ แม่น้ำโขง สมัยนั้นการเดินทางไปมาสะดวก อีกทั้งยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก มีภูเขา ป่าไม้และถ้ำมากมาย ผู้คนศรัทธาในพระพุทธศาสนาบ้านเมืองสงบร่มเย็นดี ไม่วุ่นวายเหมือนในปัจจุบันพระสงฆ์ทั้งไทยและ ลาวจึงมักจะธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมอยู่กับพระลาวที่เก่งทางวิปัสสนา หลวงปู่สีทัตต์เองก็ได้พาสามเณรสุภา ไปธุดงค์ฝั่งลาวอยู่เสมอ ๆ ที่ชอบไปพักมากที่สุด คือ ถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งสวยงามน่าอยู่ ในถ้ำนั้นมี เขาควายใหญ่วางอยู่คู่หนึ่ง ยาวข้างละประมาณ 8 ศอก มีภูเขาลักษณะโค้งงอนเหมือนกับเขาควาย ชาวบ้านฝั่งลาวจึงเรียกว่า ถ้ำภูเขาควาย ในถ้ำแห่งนี้มีพระสงฆ์ไปปฏิบัติธรรมกันมาก บางครั้งก็อยู่กัน คราวล่ะหลายรูป บางปีก็มีพระสงฆ์ไทยไปจำพรรษาอยู่เช่นกัน เนื่องจากในสมัยนั้น สร้างวัดกันได้ ง่ายกว่าในปัจจุบันไม่ว่าจะฝั่งไทย ฝั่งลาว ส่วนใหญ่วัดตามป่าตามเขาไม่ต้องขอวิสุงคามวาสี ก็ สามารถสร้างเป็นวัดได้





    <!-- </hs:element15> --><!-- <hs:element16> -->อุปสมบทที่ถ้ำภูเขาควายประเทศลาว



    สามเณรสุภาได้ติดตามหลวงปู่สีทัตต์ไปธุดงค์จนอายุครบอุปสมบท ในปีพุทธศักราช 2459 หลวงปู่จึงได้อุปสมบทให้สามเณรสุภาภายในถ้ำภูเขาควายนั้น โดยท่านเองเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระเถระที่ไปปฏิบัติธรรมอยุ่ที่ถ้ำภูเขาควาย เป็นพระกรรมวาจารย์และอนุสาวนาจารย์ รวมทั้งพระนั่งอันดับสามเณรสุภาได้รับฉายาว่า กนฺตสีโล



    ที่ถ้ำภูเขาควายนั้น จะมีพระวิปัสสนาจารย์ที่รอบรู้ในสรรพวิชาไปพักปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก หลวงปู่สีทัตต์ต้องการให้ลูกศิษย์ท่านได้มีโอกาศรู้จักกับพระวิปัสสนาจารย์เหล่านั้น เพื่อจะได้ศึกษา วัตรปฏิบัติของท่าน หลังจากอุปสมบทแล้วก็ปฏิบัติธรรมอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้น ท่านก็ติดตาม หลวงปู่สีทัตต์ซึ่งกลับมาจำพรรษาที่วัดพระธาตุท่าอุเทน เพื่อดำเนินการสร้างพระธาตุเมื่อมีเวลาว่าง หลวงปู่จะพาลูกศิษย์รวมทั้งพระสุภาออกธุดงค์อีกเช่นนี้ ไปจนกระทั่งสร้างพระธาตุท่าอุเทนเสร็จ เรียบร้อย[FONT=Helvetica, Arial, sans-serif]
    [/FONT]
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เรียนพระคัมภีร์ท้งห้าและการปฏิบัติวิปัสสนากับพระอาจารย์สีทัตต์



    พระภิกษุสุภาได้พำนักอยู่กับหลวงปู่สีทัตต์เป็นเวลานานถึง 8 ปี โดยศึกษาพระปริยัติธรรมทั้ง 5 และปฏิบัติวิปัสสนากรรฐาน ท่านได้ใช้เวลา 4 ปีแรก ศึกษาพระคัมภีร์ปริยัติทั้ง 5 และการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อขึ้นปีที่ 5 หลวงปู่สีทัตต์ได้แนะให้ท่านออกธุดงค์ ในครั้งแรก อนุญาตให้มีเพื่อนติดตามอีก 3 รูป โดยมี 2 รูปเป็นพระอีกรูปเป็นสามเณร เดินธุดงค์ออกจาก ถ้ำภูเขาควายขึ้นไปทางผาต้อหน่อคำ แขวงคำม่วน อำเภอเซโปน จังหวัดเซโปน ประเทศลาว เพื่อทดสอบสมาธิและอุปนิสัยของพระภิกษุสุภา จนกระทั่งเห็นว่าท่านมีสมาธิแน่วแน่ในการปฏิบัติ ธรรมและวิปัสสนากรรมฐานดีแล้ว



    หลวงปู่สีทัตต์ตั้งใจอบรมสั่งสอนทั้งทางด้านวิปัสสนากรรมฐานและวิทยาอาคมต่างๆ รวมทั้งสอน วิชา วิธีถอดกายทิพย์ ให้ด้วย จนถึงขั้นจะให้เรียนภาษานกได้รู้เรื่อง แต่ท่านได้พิจารณาดูวัตร ปฏิบัติของท่านแล้ว เห็นว่าชอบออกธุดงค์มากกว่าจึงขอออกธุดงค์ ไม่ได้เรียนภาษานก ก่อนออก ธุดงค์ หลวงปู่สีทัตต์ ได้แนะและอบรมสั่งสอนท่านไปว่า - ไปให้ดีนะลูกนะ เดินให้สม่ำเสมอ อย่าเร็ว อย่าช้า ให้ค่อยไป ให้ค่อยมา โบราณเขาว่าอยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่ง -




    <!-- </hs:element17> --><!-- <hs:element20> --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD width=207 bgColor=#ffffff height=272>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- </hs:element20> --><!-- <hs:element21> -->[​IMG]
    <!-- </hs:element21> --><!-- <hs:element23> --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD width=112 bgColor=#ffffff height=135>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- </hs:element23> --><!-- <hs:element24> -->[​IMG]
    <!-- </hs:element24> --><!-- <hs:element26> --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD width=130 bgColor=#ffffff height=170>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- </hs:element26> --><!-- <hs:element27> -->[​IMG]
    <!-- </hs:element27> --><!-- <hs:element29> --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD width=163 bgColor=#ffffff height=241>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- </hs:element29> --><!-- <hs:element30> -->[​IMG]
    <!-- </hs:element30> --><!-- <hs:element32> --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD width=202 bgColor=#ffffff height=153>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- </hs:element32> --><!-- <hs:element33> -->[​IMG]
    <!-- </hs:element33> --><!-- <hs:element36> --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD width=529 bgColor=#ffffff height=210>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- </hs:element36> --><!-- <hs:element37> -->[​IMG]
    <!-- </hs:element37> --><!-- <hs:element38> -->[​IMG]

    <!-- </hs:element38> --><!-- <hs:element39> -->
    เดินทางไปพบหลวงปู่ศุข เกสโร( วัดปากคลองมะขามเฒ่า )




    เมื่อปีพุทธศักราช 2463 พระภิกษุสุภาได้กราบลาหลวงปู่สีทัตต์เพื่อออกธุดงค์วัตร และออกจากถ้ำ ภูเขาควายไปตามทางที่หลวงปู่สีทัตต์ได้เมตตาแนะนำ คือ ให้วิ่งจากถ้ำภูเขาควายไปท่าเดื่อ และจาก ท่าเดื่อไปหนองคาย ให้ไปสละธุดงค์ที่หนองคาย พร้อมทั้งแนะนำว่า อย่าเดิน เพราะจะช้าเกินไป เรียนอะไรจะไม่จบ และยังชี้แนะอีกว่าจะได้พบอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งหากแต่ไม่ได้บอกว่าเป็น ผู้ใด



    พระภิกษุสุภาออกเดินทางไปตามเส้นทางที่หลวงปู่สีทัตต์แนะนำ พอถึงหนองคาย ก็ออกธุดงค์ และให้เดินทาง ไปทางเหนือจะได้พบกับ พระอาจารย์องค์หนึ่งที่มี ความเชี่ยวชาญด้านกสิณและ วิชา แปดประการ มีอภิญญาสูงมาก พระภิกษุสุภาได้วิชาอาคมจากท่าน และนั่ง รถยนต์เข้ากรุงเทพฯ เพื่อให้ทันเวลาตามที่หลวงปู่สีทัตต์ได้บอกไว้ เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ท่านก็ได้ ถามหาเกจิอาจารย์ที่สามารถสอนทางพุทธศาสตร์ที่ลึกลับ ลึกซึ้ง หรือสอนทางวิปัสสนากรรมฐาน มีคนเล่าลือว่ามี อาจารย์ศุข (หลวงปู่ศุข เกสโร) อยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ท่านจึง ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เดินทาง นั่งรถบ้างจนถึง จังหวัดชัยนาทตามที่หลวงปู่สีทัตต์ได้บอกท่าน ก่อนกราบลาจากถ้ำภูเขาควาย



    เมื่อเดินทางไป ที่วัดอู่ทอง พอเห็นกุฏิ หลวงปู่ศุข ก็จะขึ้นไปนมัสการ ก็ได้รับคำทักทาย ว่า...มาถึงแล้วหรือพ่อเณรน้อย กำลังรออยู่ พอดี ล้างเท้าแล้วขึ้นมาเห็นหน้าเห็นตา กันหน่อย



    มีแต่ เสียงทักทายที่นอกชาน แต่เมื่อมองขึ้นไปไม่เห็นใคร จึงได้คิดในใจว่า... นี่คือพลังปราณผู้ที่สำเร็จ สามารถออกเสียงให้ดังค่อย หรือไกลใกล้แค่ไหน ก็ได้ หรือว่าท่านมีพลังในการโปร่งแสง (หายตัวได้) (ในช่วงที่หลวงปู่สุภาไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ศุขนั้น กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ “เสด็จเตี่ย” ได้ศึกษาวิชาจาก หลวงปู่ศุข จบและเดินทางเข้ากรุงเทพฯก่อนหน้านี้ประมาณ 4 ปี)



    ท่านได้คลานเข้าไปกราบหลวงปู่ศุขซึ่งขณะนั้นท่านทราบแล้วว่าจะมีพระภิกษุมาจากประเทศลาว จึงถามท่านว่ามาจากประเทศลาวใช่หรือไม่ ท่านจึงตอบรับและกราบเรียนว่า มีความประสงค์จะมาขอให้หลวงปู่อนุเคราะห์ให้ท่านได้อยู่ศึกษา เล่าเรียนด้วย หลวงปู่ศุขจึงรับพระภิกษุสุภาไว้เป็นศิษย์ ท่านพำนักอยู่กับหลวงปู่ศุขเป็นเวลา 3 ปี ได้ศึกษาวิชาต่างๆ ที่หลวงปู่ศุขได้ถ่ายทอดให้ หลวงปู่ศุขเองก็ได้ให้ความรัก ความเมตตาต่อลูกศิษย์ ท่านเป้นอย่างมาก ถึงแม้พระภิกษุสุภาได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุมานานเกือบ 4 พรรษาแล้วก็ตาม แต่หลวงปู่ศุขก็ยังคงเรียกท่านว่า เณรน้อย เช่นเดียวกับหลวงปู่สีทัตต์เคยเรียก หลวงปู่ศุขย้ำเสมอว่า พระภิกษุสุภาคือ เณรน้อย ลูกศิษย์สุดท้องของท่านเนื่องจากในขณะที่พระภิกษุสุภาเริ่มเข้าไปกราบ หลวงปู่ศุขนั้น ท่านอายุมากแล้วแต่ยังขยันปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ ทุกวัน พระภิกษุ สุภามีความเคารพนับถือและรักใคร่หลวงปู่ศุขอย่างยิ่งเช่นกัน หลวงปู่ศุข จึงนับเป็นพระอาจารย์องค์ ที่ 2 ของท่านต่อจากหลวงปู่สีทัตต์

    <!-- </hs:element45> --><!-- <hs:element46> -->
    <!-- </hs:element70> --><!-- <hs:element71> -->
    <!-- </hs:element71> --><!-- <hs:element73> --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD width=155 bgColor=#ffffff height=243>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- </hs:element73> --><!-- <hs:element74> -->[​IMG]
    <!-- </hs:element74> --><!-- <hs:element75> -->เรียนวิชากับหลวงปู่ศุข เกสโร( วัดปากคลองมะขามเฒ่า )



    หลวงปู่ศุขเป็นพระที่มีชื่อเสียงมาก มีผู้คนไปกราบนมัสการมิได้ขาด ด้วยความศรัทษารักท่านเป็น เสมือนพระผู้วิเศษเฉกเช่นเทพเจ้า เป็นที่เคารพบูชาของคนทุกชนชั้น ตั้งแต่เจ้านายลงมาถึงไพร่ หลวงปู่ศุขประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้พระภิกษุสุภา เมื่อหลวงปู่ศุขท่านนั่งกรรมฐานท่านก็นั่ง กรรมฐานไปด้วย หากติดขัดปัญหาธรรมที่ใด ก็ไปกราบเรียนถาม ท่านก็เมตตาแนะนำให้ทุกครั้ง วิธีการสอนของหลวงปู่ศุข ไม่ได้สอนแบบสำนักที่เปิดสอนกันทั่วไป ส่วนใหญ่ ท่าจะปฏิบัติให้ดูเป็น ตัวอย่าง แล้วให้ลูกศิษย์ ศึกษาทำความเข้าใจเอาเอง



    ในเรื่องเกี่ยวกับวิทยาคมนั้น ท่านค่อยๆ ศึกษาดูว่า หลวงปุ่ศุขทำอย่างไร ส่วนใหญ่พวกลูกศิษย์ที่ ศึกษาอยู่กับท่าน ต้องช่วยท่านอยู่แล้ว ในเวลาที่ท่านปลุกเสก ก้ได้ไปคอยสังเกต พระคาถาต่างๆ หลวงปู่ศุขก็สอนให้บ้าง จดจำเองบ้าง และไปขอท่านบ้าง อย่างไรก็ตาม ไม่มีลูกศิษย์คนใด จะปฏิบัติ จนบรรลุได้เหมือนหลวงปู่ศุข บางครั้ง เวลาลงยันต์ทำตะกรุดต้องลงไปทำใต้ท้องน้ำ ไม่มีใครเห็น จะเห็นได้ก็ต่อเมือตอนท่านขึ้นมาจากน้ำแล้ว



    พระภิกษุสุภา ได้ปฏิบัติธรรมอย่างขยันหมั่นเพียรตลอดเวลากับหลวงปู่ศุข ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับ ใคร ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือกับพระภิกษุด้วยกันเพราะหลวงปู่ศุขไม่ชอบให้วุ่นวาย ท่านจึงมุ่ง แต่ปฏิบัติไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ พวกลูกศิษย์ก็ไหว้พระพร้อมกับหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านได้ให้ โอวาททบทวนธรรมะ หากมีข้อขัดข้อง ก็ถามท่านได้ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติขั้นตอนใด ท่านจะ แนะนำให้จนกระทั่งได้เวลาพอสมควร ท่านก็กลับไปทำกิจของท่าน ลูกศิษย์อื่นต่างก็แยกย้ายกัน ไปพัก และ ปฏิบัติต่อเอง นอกจากนี้ พระภิกษุสุภา ยังคอยสังเกตเรื่องวิทยาอาคม จากการอ่าน ตำราที่ท่านเที่ยวจดเที่ยวเขียนไว้บ้าง ดูจากกรรมวิธีที่ท่านทำบ้าง เรียนถามท่านบ้าง ท่านก็แนะนำ ให้ตามสมควรใครสนใจมากก็ได้ไปมาก ใครไม่สนใจก็ไม่ได้อะไรไปเลย แต่ส่วนใหญ่ หลวงปู่ศุข จะเน้นเรื่องการรักษาศีลและการปฏิบัติมากกว่า เพราะท่านสอนว่าถ้า ศีลบริสุทธิ์ คุณวิเศษต่างๆ ก็จะมีมาเอง พระภิกษุสุภา กนฺตสีโล ได้ศึกษาธรรมและวิทยาคมต่างๆ กับหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลอง มะขามเฒ่าเป็นเวลากว่า 3 ปี ถือได้ว่าเป็น 3 ปีที่มีค่าที่สุดในชีวิตเพระาได้ความรู้ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะความรู้ในทางธรรมและวิทยาคมต่างๆ ครั้งนั้น มีพระภิกษุไปปฏิบัติธรรมและเรียนวิชาอยู่ กับหลวงปู่ศุขด้วยกันประมาณ 30-40 รูป ซึ่งปัจจุบัน มรณภาพกันปหมดแล้ว เท่าที่ทราบใน เวลานี้ จะมีเพียงหลวงปู่สุภาเพียงรูปเดียวในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน





    เมื่อท่านเดินทางไปถึงแห่งหนตำบลใดก็มักจะสร้างประโยชน์สุขให้แก่ชุมชนนั้น ๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็น การก่อสร้างพุทธสถาน หรือสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ท่านก็ยินดีทำให้ด้วยความเต็มใจและ เห็นใจผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเสมอ พุทธศาสนิกชนที่รับทราบจึงเคารพศรัทธาท่านเป็นอันมาก ไม่เพียงแต่ ในประเทศไทยเท่านั้นที่ท่านเดินทางไป ในแถบทวีปเอเชียท่านก็ธุดงควัตรไปเกือบทุกประเทศ ไม่ว่า จะเป็น ลาว เวียดนาม สิงค์โป มาเลเซีย ฯลฯ ไปถึงจีน อินเดีย และประเทศในทวีปยุโรป

    <!-- </hs:element75> --><!-- <hs:element76> -->
    <!-- </hs:element76> --><!-- <hs:element77> -->
    <!-- </hs:element77> --><!-- <hs:element78> -->
    <!-- </hs:element78> --><!-- <hs:element79> -->
    <!-- </hs:element79> --><!-- <hs:element80> -->
    <!-- </hs:element80> --><!-- <hs:element81> -->
    <!-- </hs:element81> --><!-- <hs:element82> -->
    <!-- </hs:element82> --><!-- <hs:element83> -->
    <!-- </hs:element83> --><!-- <hs:element85> -->
    <!-- </hs:element85> --><!-- <hs:element86> -->
    <!-- </hs:element86> --><!-- <hs:element87> -->
    <!-- </hs:element87> --><!-- <hs:element88> -->
    <!-- </hs:element88> --><!-- <hs:element89> -->
    <!-- </hs:element89> --><!-- <hs:element90> -->
    <!-- </hs:element90> --><!-- <hs:element91> -->
    <!-- </hs:element91> --><!-- <hs:element92> -->
    <!-- </hs:element92> --><!-- <hs:element93> -->
    <!-- </hs:element93> --><!-- <hs:element94> -->
    <!-- </hs:element94> --><!-- <hs:element95> -->
    <!-- </hs:element95> --><!-- <hs:element102> -->
    <!-- </hs:element102> --><!-- <hs:element103> -->
    <!-- </hs:element103> --><!-- <hs:element104> -->
    <!-- </hs:element104> --><!-- <hs:element105> -->
    <!-- </hs:element105> --><!-- <hs:element106> -->
    <!-- </hs:element106> --><!-- <hs:element107> -->
    <!-- </hs:element107> --><!-- <hs:element108> -->
    <!-- </hs:element108> --><!-- <hs:element109> -->
    <!-- </hs:element109> --><!-- <hs:element110> -->
    <!-- </hs:element110> --><!-- <hs:element111> -->
    <!-- </hs:element111> --><!-- <hs:element112> -->
    <!-- </hs:element112> --><!-- <hs:element113> -->
    <!-- </hs:element113> --><!-- <hs:element114> -->
    <!-- </hs:element114> --><!-- <hs:element117> --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD width=223 bgColor=#ffffff height=154>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- </hs:element117> --><!-- <hs:element118> -->[​IMG]
    <!-- </hs:element118> --><!-- <hs:element120> --><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD width=210 bgColor=#ffffff height=157>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- </hs:element120> --><!-- <hs:element121> -->[​IMG]
    <!-- </hs:element121> --><!-- <hs:element122> -->[FONT=Helvetica, Arial, sans-serif]หลวงปู่สุภาธุดงค์มาทางภาคใต้ของประเทศไทย และนิยมชมชอบสถานที่ใน จ.ภูเก็ต คราแรกท่าน มาปักกลดที่เขารัง จากนั้นจึงนั่งเรือข้ามฝั่งไปเกาะสิเหร่ปักกลดแสวงหาความวิเวกจนมาพบพื้นที่ แปลงหนึ่ง เจ้าของที่ชื่อ “แป๊ะหลี” ซึ่งมีความเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ จึงถวายที่ดินเพื่อ สร้างวัด เป็นวัดแรกบนเกาะ เรียกว่า “วัดเกาะสิเหร่” เป็นการก่อสร้างที่มีความยากลำบากมาก เพราะอยู่บนเกาะ การเดินทางไปมาไม่สะดวก บวกกับชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็น ’ชาวเล’ ซึ่ง ไม่ซึมซาบในศาสนาพุทธ ท่านหลวงปู่ต้องใช้ทั้งปัญญา และกุศโลบายมากมายก่อนที่จะทำให้ชาวบ้าน ยอมรับ และซึมซับเอาพุทธศาสนาเข้าไปอยู่ในจิตใจ และปฏิบัติตามได้ สุดท้ายก็สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยมีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่เป็นพระประธาน รวมเวลาก่อสร้าง 6 ปีเต็ม ได้ถวายเป็นพระราช กุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรม ราชินีนาถ การนี้ได้ทรงโปรดเกล้าพระราชทานแววพระเนตรมาประดิษฐานไว้ที่พระเนตรขององค์ พระพุทธไสยาสน์ด้วย จากนั้นท่านยังคงแบกกลดออกเดินทางต่อไป ด้วยจิตใจใฝ่สันโดษ จนกระทั่งท่านย้อนกลับมายังดินแดนภูเก็ตอีกครั้ง เมื่อมีอายุได้ 84 ปี สังขาร เริ่มโรยราและอาพาธอยู่บ่อยครั้ง ลูกศิษย์ของท่านจึงอยากให้ท่านปลดกลดละธุดงค์เสียจึงร่วมกันคิด และเห็นพ้องกันว่าควรตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นที่เขารัง และตั้งชื่อตามนามเจ้าของที่ดิน ว่า “สำนักสงฆ์เทพ ขจรจิต” และก่อสร้างพระพุทธรูปปางประทานพรไว้บนยอดเขามีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดภูเก็ต สามารถมองเห็นได้แต่ไกล บ่อยครั้งเมื่อหลวงปู่อาพาธต้องเข้าทำการรักษาที่ รพ.วชิระ ท่านเห็นว่า พระสงฆ์ที่อาพาธต้องรักษาอยู่รวมกับคนป่วยทั่วไป ทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่พระสงฆ์ เมือท่าน เห็นดังนั้นจึงสร้างตึกสงฆ์อาพาธขึ้นที่ รพ.วชิระ ทำให้การรักษาพยาบาลพระสงฆ์ทำได้ดีขึ้น นับ เป็นผลงานของท่านเมื่ออายุได้ 100 ปีพอดี
    [/FONT]
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    วันที่ 18 กรกฎาคม 2550 ผมจะโอนเงินที่ผมและเพื่อนๆหลายท่าน ร่วมกันทำบุญกับพระอาจารย์นิล เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายทุกๆเรื่องในการเดินทางไปแจกผ้ายันต์ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆในกลุ่ม มีความประสงค์ที่จะร่วมบุญกัน ก็ขอให้โทรศัพท์มาหาผมและแจ้งความประสงค์ด้วยนะครับ แต่เดิมนั้นพี่แอ๊วได้ประสานงานกับทางสามจังหวัด แต่ว่าทางสามจังหวัดไม่สะดวกในการเดินทางมารับพระอาจารย์นิล จากเหตุปัจจัยหลายๆประการเช่น ทางสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น มีการประเมินสถานการณ์วันต่อวัน เป็นต้น ทางพระอาจารย์นิลท่านจะเดินทางโดยรถไฟไปที่ยะลา แล้วจะมีนายทหารที่พี่แอ๊วได้ประสานงานไปจะเป็นผู้ที่มารับพระอาจารย์นิล แต่การลงไปในครั้งนี้ จะไปแจกเป็นบางส่วนก่อน แล้วภายในพรรษา พระอาจารย์นิลท่านจะลาพรรษาเป็นช่วงๆ เพื่อที่จะนำผ้ายันต์ลงไปทยอยแจกทั้งทหาร ,ตำรวจ ,ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ,พระสงฆ์ ที่สำคัญคือทหารพราน คณะของพระอาจารย์นิลที่เดินทางไปนั้น นอกจากพระอาจารย์นิลแล้ว ก็ยังมีพระภิกษุไปอีกแค่ 2 รูปเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ,พระบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระบารมีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพระนามกุกกุสันโธ ,พระบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม ,พระบารมีพระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ,พระบารมีหลวงปู่พระอุปคุตเถระเจ้า ,พระบารมีองค์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ ,พระบารมีองค์พระฤาษีคุรุบาบาจี ,พระบารมีสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี , พระบารมีหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน , พระบารมีองค์พระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ,พระบารมีองค์พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตตไตร ,พระบารมีองค์พระสยามเทวาธิราช ,พระบารมีพระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ ,พระบารมีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ,พระบารมีสมเด็จพระเอกาทศรส ,พระบารมีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ,พระบารมีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบารมีพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบารมีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบารมีองค์อุปราชวังหน้าองค์ที่ 1 ถึงองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี ,พระบารมีกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์ ,พระบารมีองค์ท้าวเวสสุวรรณ ,พระบารมีพระแม่ธรณี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก โปรดช่วยคุ้มครองพระอาจารย์นิลและคณะ ที่เดินทางไปแจกผ้ายันต์ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ปลอดภัยทุกๆประการ คิดสิ่งใด ทำสิ่งใดขอให้มีแต่ความคล่องตัว ศัตรูหมู่มารทั้งหลายที่คิดไม่ดีกับพระอาจารย์นิลและคณะจงประสบแต่ความพ่ายแพ้ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    โมทนาสาธุครับ<O:p</O:p
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    วันที่ 18 กรกฎาคม 2550
    <TABLE class=MsoNormalTable style="MARGIN: auto auto auto 4.5pt; WIDTH: 14cm; BORDER-COLLAPSE: collapse; mso-padding-alt: 0cm 5.4pt 0cm 5.4pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=529 border=0><TBODY><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 0"><TD style="PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 14cm; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-RIGHT-COLOR: #e0dfe3" vAlign=bottom noWrap width=529>รายนามผู้ร่วมทำบุญกับพระอาจารย์นิล
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 1"><TD style="PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 14cm; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-RIGHT-COLOR: #e0dfe3" vAlign=bottom noWrap width=529>เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายและอื่นๆในการเดินทางไปแจกผ้ายันต์ครอบจักรวาล
    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 2; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 14cm; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-RIGHT-COLOR: #e0dfe3" vAlign=bottom noWrap width=529>ที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้(จ.ยะลา ,จ.ปัตตานี ,จ.นราธิวาส)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <O:p
    <TABLE class=MsoNormalTable style="MARGIN: auto auto auto 4.5pt; WIDTH: 224.9pt; BORDER-COLLAPSE: collapse; mso-padding-alt: 0cm 5.4pt 0cm 5.4pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 0"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: windowtext 1pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>รายนามผู้ร่วมทำบุญ<O:p</O:p



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: windowtext 1pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-top-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-bottom-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>จำนวน<O:p</O:p



    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 1"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>คุณpondkantana<O:p</O:p



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>5,000.00<O:p</O:p



    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 2"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>คุณTawatd<O:p</O:p



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>900.00<O:p</O:p



    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 3"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>คุณnongnooo<O:p</O:p



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>400.00<O:p</O:p



    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 4"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>คุณเพชร<O:p</O:p



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>500.00<O:p</O:p



    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 5"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>คุณกุ้งมังกร<O:p</O:p



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>500.00<O:p</O:p



    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 6"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>คุณMEA<O:p</O:p



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>500.00<O:p</O:p



    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 7"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>คุณguawn<O:p</O:p



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>200.00<O:p</O:p



    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 8"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>คุณchaipat<O:p</O:p



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>222.22<O:p</O:p



    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 9"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>คุณaries2947<O:p</O:p



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; BORDER-BOTTOM-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>300.00<O:p</O:p



    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 10"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-bottom-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>คุณsithiphong<O:p</O:p

    คุณตั้งจิต

    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 1pt solid; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-bottom-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>477.78<O:p</O:p

    200.00

    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 20.25pt; mso-yfti-irow: 11; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 153.9pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 2.25pt double; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-bottom-alt: double windowtext 2.25pt; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=205>
    รวมจำนวนเงินทั้งสิ้น<O:p</O:p




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; PADDING-LEFT: 5.4pt; BORDER-LEFT-COLOR: #e0dfe3; PADDING-BOTTOM: 0cm; WIDTH: 71pt; BORDER-TOP-COLOR: #e0dfe3; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: windowtext 2.25pt double; HEIGHT: 20.25pt; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-bottom-alt: double windowtext 2.25pt; mso-border-right-alt: solid windowtext .5pt" vAlign=bottom noWrap width=95>9,200.00<O:p</O:p



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระอาจารย์นิลท่านฝากโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ

    ผมขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เมื่อวานนี้ข้าพเจ้า,ภรรยา และครอบครัว ได้ร่วมทำบุญเป็นค่าใช้จ่ายและอื่นๆกับพระอาจารย์นิล เพื่อนำผ้ายันต์ลงไปแจกทหาร ณ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอให้ คุณบิดา มารดา พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ และทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ผู้มีพระคุณ ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวร ปู่ ย่า ตา ยาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเอกาทศรถ,สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระยาพิชัยดาบหัก ,กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระภูมิ-เจ้าที่ที่บ้านข้าพเจ้า ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน ,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้าและพระกรุวัดพระแก้วทุกท่าน,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างวัตถุมงคลของวังหน้า-กรุวัดพระแก้ว-วัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ , เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ พระภูมิ-เจ้าที่ พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน พระพิรุณ พยายมราช นายนิริยบาล ทั้งท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล คุณพระศรีรัตนตรัยและเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ขอให้มาอนุโมทนาในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อิมินาปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้า,ภรรยา และครอบครัว ได้ ร่วมทำบุญเป็นค่าใช้จ่ายและอื่นๆกับพระอาจารย์นิล เพื่อนำผ้ายันต์ลงไปแจกทหาร ณ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ คุณบิดา มารดา พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ,ตัวข้าพเจ้าและทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ผู้มีพระคุณ ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวร ปู่ ย่า ตา ยาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเอกาทศรถ,สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระยาพิชัยดาบหัก ,กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระภูมิ-เจ้าที่ที่บ้านข้าพเจ้า ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน ,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้าและพระกรุวัดพระแก้วทุกท่าน, ท่านผู้เสกทุกท่าน เจ้าของและผู้สร้างวัตถุมงคลของวังหน้า-กรุวัดพระแก้ว-วัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ , เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ พระภูมิ-เจ้าที่ พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน พระพิรุณ พยายมราช นายนิริยบาล ทั้งท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล คุณพระศรีรัตนตรัยและเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ท่านได้สุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าอุทิศไปให้นี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้าโน้นเทอญ ฯ หากยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงไร ขอความคล่องตัว และขอคำว่าไม่มี จงอย่าได้บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าด้วยเทอญ<!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- / message --><!-- edit note -->


    พุทธังอนันตัง ธัมมังจัรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจโยโหนตุ

    ***********************************************
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/m...m-kho-hist.htm

    [​IMG]

    ประวัติ พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน)
    วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    คัดลอกจาก http://www.soonphra.com/geji/pan/index.html
    วัดบางนมโคนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ปรากฏ บางท่านก็ว่ามีในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เดินชื่อวัดนมโค ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2310 ในคราวที่ควันแห่งศึกสงครามกำลังรุมล้อมกรุงศรีอยุธยา พม่าข้าศึกได้มาตั้งค่ายหนึ่งขึ้นที่ตำบลสีกุก ห่างจากวัดบางนมโค ซึ่งย่านวัดบางนมโคนี้มีการเลี้ยงวัวมากกว่าที่อื่นพม่า ก็ได้ถือโอกาสมากวาดต้อนเอา วัว ควาย จากย่านบางนมโคไปเป็นเสบียงเลี้ยงกองทัพ
    ในที่สุดกรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พม่า บ้านเมืองระส่ำระสาย วัดบางนมโคจึงทรุดโทรมไปบ้างตามกาลเวลา ต่อมาก็ได้มีการซ่อมแซมขึ้นใหม่ ก็ยังมีการเลี้ยงโคกันอยู่อีกมากมาย ชาวบ้านจึงเรียกติดปากว่า วัดบางนมโคอาณาเขตของวัดบางนมโค
    วัดบางนมโคมีเนื้อที่ทั้งหมด 24 ไร่ 21 วา 3 งาน ทิศตะวันออกจดที่ดินเลขที่ 163 ทางสาธารณะประโยชน์ทิศตะวันตกจดที่มีการครอบครองแม่น้ำปลายนา ทิศเหนือจดที่ดินเลขที่ 134 มีการครอบครองแม่น้ำเก่าปลายนา ทิศใต้จดที่ดินเลขที่ 162, 163, 165 ทางสาธารณะประโยชน์
    ลำดับเจ้าอาวาสวัดบางนมโค

    เจ้าอาวาสวัดบางนมโค จะมีกี่รูปไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด เริ่มจะมีการบันทึกเป็นหลักฐานก็ตั้งแต่
    1. เจ้าอธิการคล้าย
    2. พระอธิการเย็น สุนทรวงษ์ มรณภาพ ปี พ.ศ. 2478
    3. ท่านพระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน) โสนันโท รับตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 มีโอกาสได้เป็นเจ้าอาวาสได้เพียง 2 ปี ก็มรณภาพลงเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2480
    4. พระอธิการเล็ก เกสโร
    5. พระอธิการเจิม เกสโร
    6. พระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ)
    7. พระอาจารย์อำไพ อุปเสโน
    8. พระครูวิหารกิจจานุยุต (อุไร กิตติสาร) ได้รับการอาราธนามาเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน
    ในเมื่อไหนๆ จะคุยกันถึงเรื่องพระเครื่องหลวงพ่อปานแล้ว เราก็จะคุยกันนานๆ แบบถึงกึ๋นพอสมควรไปเลย เผื่อท่านที่กำลังที่จะศึกษา หรือหาพระหลวงพ่อป่านไว้ใช้ซักองค์ ท่านจะได้นำความรู้เล็กๆ น้อยๆ ของผมนำไปประกอบการพิจารณาการเล่นได้บ้างไม่มากก็น้อย
    เมื่อพูดถึงพระเครื่องหลวงพ่อปานแล้ว นับได้ว่าจากอดีตไม่เคยมีพระคณาจารย์รูปใดสร้างพระเครื่องพิมพ์ที่แปลก! ผมขออนุญาตใช้คำว่า "แปลก"ครับ ท่านผู้อ่าน จะแปลกยังไง เราจะค่อยๆ ว่ากันไปเรื่อยๆ

    • • • • • • • • • • • • • •
    ประวัติ พระครูวิหารกิจจานุการ
    (หลวงพ่อปาน โสนันโทเถระ)
    • • • • • • • • • • • • • •
    ชาติภูมิของหลวงพ่อป่าน ท่านได้ถือกำเนิดที่ย่านวัดบางนมโค เมื่อวันที่ 16กรกฎาคม 2418 โยมบิดาชื่อ อาจ โยมมารดาชื่อ อิ่ม นามสกุล สุทธาวงศ์ โดยอาชีพทางครองครัว คือ ทำนา
    สาเหตุที่โยมบิดาขนานนามท่านว่า "ปาน" เนื่องจากท่านมีสัญลักษณ์ประจำตัวคือปานแดงอยู่ที่นิ้วก้อยมือซ้ายตั้งแต่โคนนิ้วถึงปลายนิ้วคล้ายปลอกนิ้ว

    • • • • • • • • • • • • • •
    หลวงพ่อปานในวัยเด็ก


    • • • • • • • • • • • • • •
    พระมหาวีระ ถาวโร หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้เล่าไว้ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า
    "...ท่าน (หลวงพ่อปาน) บอกว่า สมัยท่านเป็นเด็กอายุสัก 3-4 ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้าน หลวงพ่อปานท่านเป็นคนบางนมโค และเป็นคนตำบลนั้น ไม่ใช่คนที่อื่น เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่งอยู่สักหน่อย สมัยนั้นเขามีทาสกันที่บ้านท่านก็มีทาส ท่านบอกว่า ท่านวิ่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านย่าของท่าน ก็ปรากฏว่าย่าของท่านกำลังป่วยหนัก ใกล้จะตาย เวลานั้นก็เห็นจะเป็นเวลาบ่ายสัก 2-3 โมงกว่า ท่านว่าอย่างนั้นโดยประมาณ
    คนทุกคนเขามาเยี่ยมย่า พ่อแม่ของท่านก็ไป เมื่อคนทุกคนขึ้นไปแล้วท่านบอก เห็นร้องดังๆ บอก แม่แม่ อรหันนะ อรหัน ภาวนาไว้ อรหัน พระอรหัน จะช่วยแม่ ก็ร้องกันเสียงดังๆ ท่านอยู่ใต้ถุน ท่านยืนฟังเขาว่าอรหันกันทำไม พอท่านสงสัยก็ย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือนพอท่านขึ้นไปแล้วก็ปรากฏว่า ผู้อยู่เขาเอาปากกรอกไปที่ข้างหูของคุณย่าท่าน บอกแม่ แม่อรหันนะ อรหัน แต่ว่าพอผู้ใหญ่เขามองเห็นท่านเข้าไป เขาก็ไล่ท่านไปเขาจะหาว่า ไอ้เจ้าเด็กมันรุ่มร่าม ท่านก็เลยไปเล่นใต้ถุนบ้านอื่น พอมาถึงตอนเย็นเวลากินข้าว ท่านแม่ก็ป่าวหมู่เทวฤทธิ์คือ เรียกลูกกินข้าว
    เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้วท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางกลาง สำหรับตัวท่านเองเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานมาให้แล้วเอาแกงเผ็ด ท่านบอกว่า ไอ้แกงฉู่ฉี่แห้ง ท่านชอบ เขาใส่มาให้เรียกว่า ไม่ต้องหยิบกับข้าว กินแบบประเภทข้าวราดแกง
    เวลาที่ท่านกินเข้าไปแล้วมานั่งนึกว่า กับข้าวมันอร่อยถูกใจ ก็เกิดความชุ่มชื่น พอจิตมันนึกขึ้นได้ว่าเอาบอกอรหัง อรหัง นึกถึงคำว่า อรหัง ขึ้นมาได้ ท่านก็เลยปลื้มใจอย่างไรชอบกล เลยเปล่งวาจาออกมาดังๆ ว่า อรหัง อรหัง ว่า 2- 3 คำ
    ท่านแม่ที่มองตาแป๋วลุกพรวดจับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ จับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน แล้วร้องตะโกนสุดเสียง "เอ้า มึงจะตายโหง ตายห่าก็ตายคนเดียว มันจะมาว่าอรหังที่นี่ได้รึ? คำว่า อรหัง พุทโธ นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน นี่ดันมาว่า อรหังที่นี่ ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย"
    ท่านแปลกใจคิดว่า นี่เราว่าดีๆ นี่แม่ดุเสียงเขียวปัด นี่มันเรื่องอะไรกันในเมื่อถูกแม่ดุอย่างนั้น จะขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียว ก็เลยไม่ว่า
    พอท่านพูดถึงตอนนี้แล้ว ท่านก็หัวเราะบอกว่า "คุณแม่ฉันน่ะโง่นะ ไม่ได้ฉลาดหรอก อีตอนใหม่นั้น ตอนฉันมาบวชได้แล้ว อรหันหรือพุทโธนี้ ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ถ้าใครภาวนาคำนี้ได้ตกนรกไม่ได้...แต่ว่าแม่ของฉันนี่ท่านไม่รู้ ก็เป็นโทษเพราะไม่ได้รับการศึกษา แต่ว่าไม่เป็นหรอก ตอนหลังที่ฉันบวชแล้วนี่นะ ฉันกลับใจแม่ของฉันได้ ฉันแนะนำให้ท่านทราบแล้ว เวลาท่านตายท่านก็ยึดพุทโธ อรหันเป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้ยึดเวลาตาย ฉันให้ท่านว่าทุกวัน....
    สมัยก่อน เมื่อลูกชายมีอายุครบบวช ก็จะทำการอุปสมบท ทางบิดามารดาจะต้องส่งบุตรของตนไปอยู่วัดเพื่อรับการอบรม และท่านขานนาคเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน เป็นอย่างน้อยท่านเองมีความสงสัยในใจว่า เหตุไฉนสตรีเพศจึงดึงดูดบุรุษเพศมากมายนัก ทำให้หลงใหลใฝ่ฝัน ตัวท่านเองก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงมาก่อน จึงคิดว่าจะหาวิธีลองของจริงดูว่าเป็นอย่างไรถ้าดีจริงบวชครบพรรษาจะสึกออกมา ถ้าไม่เป็นจริงตามวิสัยโลกก็จะไม่สึก
    ที่บ้านของท่านมีคนรับใช้อยู่คนหนึ่ง เรียกกันว่า ทาส ชื่อว่า พี่เขียว อายุประมาณ 25 ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกันสองคน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา บอกว่าตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ไม่เคยจับเนื้อใคร ท่านคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดียังไงผู้ชายถึงได้อยากกันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ก็สงสัยว่าจะบวชแล้วนี่ ถ้ามันดีจริงแล้วก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็จะไม่สึกละ
    เมื่อคนว่างก็เข้าไปหาพี่เขียว พี่เขียวแกอยู่ในครัวทาส แต่ว่าท่านเรียกพี่ในฐานะที่เขาแก่กว่าตัว ยกมือไหว้บอกว่า "พี่เขียว ขออภัยเถอะ ฉันขอจับเนื้อพี่เขียวดูหน่อยได้ไหมว่า เนื้อผู้หญิงน่ะมันดียังไง เขาถึงชอบกันนัก"
    พี่เขียวก็แสนดี อนุญาต ท่านก็เลือกจับเนื้อกล้าม เขาเรียกว่า กล้ามเนื้อที่หน้าอก ผู้หญิงนี้มีกล้ามเนื้อพิเศษอยู่ที่กล้ามเนื้อ 2 กล้ามที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมาหรอก จับตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน จับๆ แล้วก็มาจับน่อง เอ๊! มันคล้ายกัน บอกพี่เขียวว่านี่มันคล้ายกันนี่ พี่เขียวแกก็บอกว่าเป็นอย่างนั้นมันก็คล้ายกัน แล้วท่านก็ถามพี่เขียวว่า ทำไมผู้ชายเขาถึงชอบเนื้อผู้หญิงนัก ดันไปถามผู้หญิงได้ นี่ว่ากันอย่างเราๆนะ แล้วเขาจะตอบอย่างไร เขาก็บอกไม่รู้เหมือนกัน แล้วท่านก็ยกมือไหว้ขอขมาพี่เขียวบอกว่า "ขอโทษ ที่ขอจับเนื้อนี่ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น อยากจะพิสูจน์เท่านั้นว่ามันดีอย่างไร" เมื่อท่านหมดความสงสัยในใจแล้วก็ตกลงใจว่าจะบวช คราวนี้จะไม่ขอสึกหาลาเพศ ก็สมจริงกังที่ท่านตั้งใจทุกประการ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สู่ร่มกาสาวพัสตร์

    • • • • • • • • • • • • • •
    หลังจากที่โยมมารดาบิดาได้นำท่านมาฝากไว้กับหลวงปู่คล้าย ให้ฝึกหัดขานนาคให้คล่องแคล่วแล้ว ท่านก็ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางนมโค เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2438 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม โดยมี
    หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จ้อย วัดบ้านแพ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์อุ่ม วัดสุธาโภชน์ เป็นอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า "โสนันโท"
    • • • • • • • • • • • • • •
    หลวงพ่อปานเรียนวิชา

    • • • • • • • • • • • • • •
    หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้วหลวงพ่อปานท่านก็ได้ติดตามพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น ด้วยความสนใจใคร่ศึกษา เพราะว่าในสมัยนั้นหลวงพ่อสุ่นท่านเป็นพระที่แก่กล้าทางคาถาอาคมและรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อตามไปเล่าเรียนเป็นศิษย์แล้ว หลวงพ่อสุ่นเห็นลักษณะของหลวงพ่อป่านว่ามีลักษณะดี จะได้เป็นครูบาอาจารย์ต่อไปภายภาคหน้า จึงได้ให้สติหลวงพ่อปานเบื้องต้นในหน่ายกิเลสว่า
    1. อย่าอยากรวย อยากมีลาภได้ ทรัพย์มาแล้วดีใจ ตั้งหน้าสะสมทรัพย์
    2. เป็นอย่างต้นแล้ว เมื่อทรัพย์หมดก็เป็นเหตุให้เสียใจ
    3. อยากมียศฐาบรรดาศักดิ์ ได้ยศมาแล้วปลื้มใจ
    4. เมื่อหมดยศไปแล้วก็เสียใจ
    5. ได้รับคำสรรเสริญแล้วยินดี
    6. มีความสุขความเพลิดเพลินในกามารมณ์
    8. เมื่อมีความทุกข์ก็หวั่นไหวท้อแท้ใจ
    จากเพศฆราวาสมาสู่เพศบรรพชิตแล้วอย่าหวังรวย ถ้ารวยแล้วไม่ใช่พระ พระต้องรวยด้วยบุญญาบารมี เงินที่ได้มาอย่าติด จงทำสาธารณประโยชน์เสียให้สิ้น เหลือกินเหลือใช้แต่พอเลี้ยงอาตมาอย่าหวังในยศ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่รับยศไม่ได้แล้ว ก็อย่าเมายศฐาบรรดาศักดิ์ มันเป็นเครื่องถ่วงกิเลส ยศลาภสรรเสริญ ความสุขในกามารมณ์ มันเป็นตัวกิเลส มันเป็นโลกธรรม ต้องตัดออกให้หมด ถ้าพอใจในสี่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่พระ จะพาให้สู่ห้วงนรก จ้องระลึกอยู่เสมอว่า เราบวชเพื่อนิพพาน อย่างที่กล่าวในตอนขออุปสมบทครั้งแรกว่า "นิพพานัสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวังคะ เหตะวา" อันหมายความว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัตร์เพื่อให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
    จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สั่งให้ท่องสวดมนต์ตลอดจนคาถาธาตุทั้งสี่ คือ นะ มะ พะ ทะ ให้ว่า ถอยหลังแล้วเป่าให้กุญแจหลุด ถ้าเจ้าเป่าหลุดแล้วบอกพ่อ จะให้วิชาต่างๆ ให้หมดไม่ปิดบัง
    นี่คือการฝึกสมาธิจิตที่หลวงพ่อสุ่นสอนหลวงพ่อปานทางอ้อม คือถ้าจิตไม่มีสมาธิแล้วอย่าหวังเลยว่า ด้วยคาถาเพียงสี่ตัวจะดีกว่าลูกกุญแจได้ หลวงพ่อป่านท่านก็มีความอดทน หมั่นฝึกเป่ากุญแจนานเป็นเดือน เป่าเท่าไหร่ก็ไม่หลุด มาหลุดเอาตอนที่ท่านทำใจสบายเป็นสมาธิ นึกถึงคาถาเป่ากุญแจได้ จึงลุกขึ้นมาเป่ากุญแจ
    คราวนี้กุญแจหลุดหมด ทดลองกับลูกอื่นๆ ก็หลุด เพิ่มกุญแจขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 40 ดอก แขวนไว้บนราว ก็หลุดหมด แล้วจึงทดลองให้หลวงพ่อสุ่นดูจนพอใจ
    หลังจากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็สอนวิปัสสนาให้แก่หลวงพ่อปาน ตั้งแต่ชั้นต้นจนถึงที่สุด ด้วยความเมตตา หลวงพ่อ ปานในตอนท้ายว่า เมื่อมีฤทธิ์แล้วอย่าแสดงให้คนอื่นเขาเห็นเป็นการอวดดี จะเป็นโทษตามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้
    จบจากวิปัสสนาแล้วหลวงพ่อสุ่นยังได้ถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณให้ ซึ่งหลวงพ่อปานก็ได้อาศัยใช้ช่วยชีวิตผู้ได้รับทุกข์ทรมานให้หายมามากต่อมาก จนท่านได้ชื่อว่าเป็น "พระหมอ"
    หลวงพ่อสุ่นสอนว่า "การเป็นหมอนั้น บังคับไม่ได้ให้คนตายไม่ได้หมอเป็นเพียงช่วยระงับทุกข์เวทนาเท่านั้น"
    จากนั้นหลวงพ่อสุ่นก็ถ่ายทอดกสิณต่างๆ ให้หลวงพ่อปานจนกระทั่งสิ้นความรู้
    • • • • • • • • • • • • • •
    องค์อาจารย์ของหลวงพ่อปาน

    • • • • • • • • • • • • • •
    การเรียนวิชาของหลวงพ่อปานนั้น พอจะรวบรวมได้ดังนี้
    เรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานและวิชาแพทย์ จากหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ
    เรียนวิชาปริยัติธรรมที่วัดเจ้าเจ็ดกับพระอาจารย์จีน ด้วยเหตุที่หลวงพ่อสุ่นท่านได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้จนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงแนะนำให้มาเรียนปริยัติธรรมที่วัดเจ้าเจ็ด กับพระอาจารย์จีน
    จากปากคำของชาวบ้านแถบวัดเจ้าเจ็ด และผู้ที่เคยไปเรียนกับพระอาจารย์จีนได้ให้ปากคำตรงกันว่า พระอาจารย์จีนเป็นคนโมโหร้าย เวลาโมโหแล้วยั้งไม่อยู่ ปากว่ามือถึง
    ดังนั้น เวลาสอนใคร ถ้าลูกศิษย์ทำไม่ถูกต้องตามใจที่สอนไปแล้ว กลัวว่าจะไปทำร้ายลูกศิษย์เข้า ท่านจึงได้สร้างกรงใหญ่ขึ้นสำหรับขังตัวท่านเองเวลาสอนหนังสือ โดยให้ลูกศิษย์เป็นคนใส่กุญแจขังแล้วเก็บกุญแจไว้
    เวลาสอนหนังสือลูกศิษย์คนใดไม่ตั้งใจเรียนหรือตอบคำถามไม่ถูกต้องทำให้อาจารย์จีน ท่านก็จะโมโหโกรธาเอามือจับลูกกรงเหล็กเขย่าจนลูกศิษย์ที่เรียนตกใจขวัญหนีดีฝ่อ แต่พอท่านคลายโทสะลงแล้ว ท่านก็กลายเป็นพระอาจารย์จีนรูปเดิม
    หลวงพ่อปานท่านมีความมานะพยายามเป็นที่ตั้ง ท่านต้องพายเรือมาเรียนหนังสือที่วัดเจ้าเจ็ดทุกวัน เวลาพายเรือไปเรียนท่านก็จะท่องพระปาฏิโมกข์ และบนเรียนที่อาจารย์สอนจนขึ้นใจ พอเวลาเรียน อาจารย์ถามอะไรก็ตอบได้ถูกต้อง เป็นที่พอใจแก่อาจารย์ยิ่ง
    ในที่สุดพระอาจารย์จีนก็สิ้นความรู้ที่จะสอนให้ท่านท่านจึงหยุดเรียนและเตรียมตัว สำหรับที่จะหาสำนักเรียนใหม่ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกันต์ตามคำบอกเล่าของพระภิกษุเลี่ยมว่า หลวงพ่อปานได้เรียนรู้วิชามาหลายอย่างเคยพิมพ์คาถาออกแจกด้วย
    เมื่อเห็นว่าพระอาจารย์จีนไม่มีความรู้ที่จะสอนได้อีกต่อไป ท่านจึงคิดเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ เพราะเป็นแหล่งรวมวิชาต่างๆ ท่านจึงได้ไปเรียนให้โยมมารดาของท่านได้รับทราบว่า จะขอลาไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ เพราะว่าที่นี่หาอาจารย์สอนไม่ได้อีกแล้ว
    โยมมารดาท่านเป็นห่วงว่าท่านเป็นบุตรคนเล็กที่มีอยู่ นอกนั้นออกเรือนไปหมดแล้ว อีกทั้งไม่ญาติโยมทางกรุงเทพฯ จึงขอร้องไม่ให้ไป ท่านจึงลากลับวัดด้วยความเด็ดเดี่ยว ท่านตัดสินใจนำจีวรแพรที่โยมมารดาถวายไว้นำไปขายได้เงินแปดสิบบาท แล้วตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ โดยไม่บอกให้โยมมารดารู้ จะให้รู้ก็กลัวจากลงเรือไปแล้ว จึงเข้าไปกราบนมัสการ หลวงปู่คล้าย(เจ้าอาวาสวัดบางนมโคสมัยนั้น)ว่าจะไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ หลวงปู่คล้าย จึงแนะนำให้ไปเรียนกับ พระอาจารย์เจิ่น สำนักวัดสระเกศ โดยมอบเงินช่วยเหลือไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการศึกษาเล่าเรียน
    ตลอดเวลาท่านจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์เจิ่น ท่านได้พยายามหาความรู้เพิ่มเติม ในด้านคันถะธุระและวิปัสสนาธุระ ตลอดจนพระปริยัติธรรมเพิ่มเติม ซึ่งต่อมาเมื่อท่านกลับมาวัดบางนมโค ปรากฏว่าท่านเป็นพระธรรมกถึกที่เทศนาได้เพราะจับใจ และดึงดูดศรัทธายิ่งนัก
    นอกจากวัดสระเกศแล้ว ท่านยังได้มาเรียนเพิ่มเติมที่วัดสังเวช และที่อื่น จนมีความรู้ทางด้านแพทย์แผนโบราณแตกฉานอีกด้วย
    จากข้อความในหนังสือ อนุสรณ์ครบ 101 ปี หลวงพ่อปาน เขียนไว้ว่า
    "หลวงพ่อปานเคยเล่าให้ฟังว่าระหว่างอยู่ที่วัดสระเกศนั้น อัดคัตมากบิณฑบาตบางครั้งก็พอฉัน บางครั้งก็ไม่พอ ได้แต่ข้าวเปล่าๆ จ้องเด็ดยอดกระถินมาจิ้มน้ำปลา น้ำพริก ฉันแทบทุกวัน แต่ท่านก็อดทน ด้วยรับการอบรมเป็นปฐมมาจากพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ท่านว่าอยู่กรุงเทพฯ 3 ปี ได้ฉันกระยาสารทเพียงครั้งเดียว โดยนางเฟือง คนกรุงเทพฯ นำมาถวาย ได้รับนิมนต์ไปบังสุกุลครั้งหนึ่งได้ปัจจัยมาหนึ่งสลึง เจ้าหน้าที่สังฆการีก็มาเก็บเอาไปเสียเลยไม่ได้ใช้เงินที่ติดตัวไป ท่านก็ใช้จ่ายไปในการศึกษาจนเกือบหมด ท่านเหลือไว้หนึ่งบาท เอาไว้ใช้เมื่อมีความจำเป็นสุดยอดเท่านั้น
    ด้วยความอดทนของท่าน ในปีสุดท้ายที่ท่านจะกลับวัดบางนมโคนั้นเอง คืนหนึ่งท่านได้ยินเสียงคนเคาะหน้ากุฏิ ท่านเปิดออกไปก็เจอเทวดามาบอกหวยแล้วเขียนให้ดู แล้วย้ำว่าจำได้ไหม ท่านก็ตอบว่าจำได้
    ท่านนอนคิดจนนอนไม่หลับ พอรุ่งเช้าแทนที่ท่านจะแทงหวย ท่านกลับเห็นว่า นั่นไม่ใช่กิจของสงฆ์ตามที่หลวงพ่อสุ่นได้อบรมไว้ ท่านก็ไม่แทง ปรากฏว่าวันนั้นหวยออกตรงตามที่เทวดาบอกถ้าท่านแทงหวย ก็คงจะรวยหลาย
    ท่านอาจารย์แจง ฆราวาสชาวสวรรคโลก จากบันทึกของท่านฤาษีลิงดำว่า ท่านอาจารย์แจง เป็นฆราวาสสวรรคโลก ได้เดินทางล่องลงมาทางใต้ ถึงวัดบางนมโค มาเลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงพ่อปาน จึงได้สอนให้รู้ถึงวิธีการปลุกเสกพระ และวิธีสร้างพระตามตำรา ซึ่งเป็นของพระร่วงเจ้าได้รับการสืบทอดมาจากอาจารย์ซึ่งเขียนไว้ว่า
    "ข้าพเจ้าได้รักษาตำราของพระอาจารย์ไว้แล้วก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทุกอย่าง วิชาต่างๆ มีผลดีทุกประการ ถ้าบุคคลใดได้พบแล้วจะนำไปใช้ให้บูชาพระอาจารย์ของท่านแต่มิได้ระบุว่าเป็นใคร"
    ท่านอาจารย์แจงได้นิมนต์หลวงพ่อปานไปในโบสถ์ตามลำพัง เพื่อถ่ายทอดวิชา ซึ่งนอกจากวิชาการปลุกเสกพระ และทำพระแล้ว ยังได้ มหายันต์ เกราะเพชร ซึ่งท่านก็ได้ใช้ยันต์เกราะเพชรนี้สงเคราะห์ผู้คนได้มากมาย
    หลวงพ่อเนียมวัดน้อย อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน บันทึกโดยท่านฤาษีลิงดำเขียนไว้ว่า "หลวงพ่อปานนิยมพระกัมมัฏฐาน หมายความว่า สิ่งที่ท่านต้องการที่สุด และปรารถนาที่สุดคือ พระกัมมัฏฐาน เรื่องพระกัมมัฏฐานนี้เป็นชีวิตจิตใจของหลวงพ่อปานจริงๆ ท่านเทิดทูนพระกัมมัฏฐานมาก ทั้งๆ ที่ทรงสมาบัติอยู่แล้ว ความอิ่ม ความเบื่อ ความพอใจในพระกัมมัฏฐานของท่านก็ไม่มี ท่านก็มีการทุรนทุราย ปรารถนาจะเรียนพระกัมมัฏฐานให้มันดีกว่านั้น
    สมัยนั้นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นพิเศษในสมัยนั้นนะ สายอื่นฉันไม่ทราบก็มีหลวงพ่อเนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี สมัยนั้นเรือยนต์มันก็ไม่มี ถ้าจะไปก็ต้องไปเรือแจว ถ้าไปเรือ แต่ทว่าทางเดินสะดวกกว่าเดินลัดทุ่งลัดนาลัดป่าไป ป่าก็เป็นป่าพงส่วนใหญ่ ท่านก็ใช้วิธีธุดงค์
    สมัยนั้นวิธีธุดงค์เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เรียนกว่า ใกล้ค่ำที่ไหนปักกลดที่นั่น ชาวบ้านเขาเลี้ยงตอนเช้า ฉันอิ่มแล้วก็ไปกัน พระธุดงค์ฉันเวลาเดียว
    ท่านบอกว่า เวลาที่ถึงวัดน้อยเขาร่ำลือกันว่า หลวงพ่อเนียมนี่เก่งมาก ท่านก็เข้าไปหาหลวงพ่อเนียม เข้าไปหานะไม่รู้จักหลวงพ่อเนียมหรอก ความจริงท่านก็คิดว่าหลวงพ่อเนียมท่านจะเป็นเหมือนหลวงพ่อองค์อื่นๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงมาก นุ่งสบง จีวร เป็นปริมณฑล แล้วก็มักจะนั่งเฉยๆ ดีไม่ดีหลับตาปี๋ ก็หลับขยิบๆ เรียกว่าหลับไม่สนิทล่ะ คือ แกล้งหลับตาทำเคร่ง
    ที่นี้เวลาหลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียม ก็ไปโดนดีเข้า เข้าไปแล้วเจอะหลวงพ่อเนียมที่ไหน ความจริงหลวงพ่อเนียมก็เดินคว้างๆ อยู่กลางวัดนั่นแหละ มีผ้าอาบน้ำ 1 ผืน ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า ผ้าอาบน้ำฝน สีเหลือง ผ้าอีกผืนแบบเดียวกันคล้องคอเดินไปรอบวัด
    หลวงพ่อปานก็บอกว่า เมื่อท่านเห็นนะ ก็ไม่รู้หลวงพ่อเนียนเห็นพระแก่ๆ ผอมๆ นุ่งผ้าลอยชายผืนหนึ่งเข้าไปถึงก็กราบๆ
    หลวงพ่อปานบอกว่า "เกล้ากระผมมาจากเมืองกรุงเก่าขอรับกระผมจะมานมัสการหลวงพ่อ ขอเรียนพระกัมมัฏฐาน" หลวงพ่อเนียมก็ทำท่าเป็นโมโห บอกว่า ไม่มีวิชาอะไรจะสอนพร้อมทั้งกล่าวขับไล่ไสส่งออกจากวัด หลวงพ่อปานก็นั่งทนฟังอยู่ ในที่สุดเห็นท่าจะไม่ได้เรื่องก็เลี้ยวหาพระในวัด ไปขออาศัยนอน แล้วก็ถามว่า พระองค์นั้นน่ะชื่ออะไร พระท่านก็บอกว่า องค์นี้แหละชื่อ หลวงพ่อเนียมล่ะ
    พอวันรุ่งขึ้น หลวงพ่อปานก็เข้าไปหา ก็ถูกด่าว่าอีกอย่างหนัก ท่านยืนยันจะเรียนให้ได้ หลวงพ่อเนียมเลยสั่งว่า 2 ทุ่ม ให้นุ่งสบงจีวรคาดสังฆาฎิไปหาในกุฏิ
    พอตอนกลางคืน หลวงพ่อปานเข้าไปหาท่าน ปรากฏว่ารูปร่างท่านผิดไปมาก ผิวดำ ผอมเกร็งแบบเก่า ไม่มีทางนุ่งสบงจีวรพาดสังฆาฏิเหลืองอร่ามผิวกายสมบูรณ์ร่างกายก็สมบูรณ์หน้าตาอิ่มเอิบ รัศมีกายผ่องใส่ สวยบอกไม่ถูก
    หลวงพ่อปานตรงเข้าไปกราบ 3 ครั้งแล้วก็นั่งมอง ท่านก็นั่งมองยิ้มๆ แล้วท่านก็ถามว่า "แปลกใจรึคุณ" หลวงพ่อป่านก็ยกมือนมัสบอกว่า "แปลกใจขอรับหลวงพ่อรูปร่างไม่เหมือนตอนกลางวัน" ท่านก็บอกว่า "รูปร่างน่ะคุณมันเป็นอนัตตา หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ มันจะอ้วนเราก็ห้ามไม่ได้มันไม่มีอะไรห้ามได้เลยที่คุณ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนอนิจจัง เห็นไหม ไปเจอตัวอนิจจังเข้าแล้วซิ"
    หลวงพ่อปานบอกว่า ตอนนี้ล่ะเริ่มสอนกัมมัฏฐาน อธิบายไพเราะจับใจฟังง่ายจริงๆ พูดได้ซึ้งใจทุกอย่าง เวลาท่านพูดคล้ายๆ ว่าจะบรรลุพระอรหันตผลไปพร้อมๆ ท่าน ท่านสอนได้ดีมาก พอสอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้ไปพักที่กุฏิอีกหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับกุฏิของท่าน แล้วเวลาทำกัมมัฏฐานกลางคืน หลวงพ่อปานวางอารมณ์ผิดท่านจะร้องบอกไปทันที บอก "คุณปานเอ๊ย คุณปาน นั่นคุณวางอารมณ์ผิดแล้วตั้งอารมณ์เสียใหม่มันถึงจะใช้ได้"
    นี่หลวงพ่อปานบอกว่า ท่านมีเจโตปริยญาณแจ่มใสมาก ท่านเรียนพระกัมมัฏฐานอยู่กับหลวงพ่อเนียม 3เดือน แล้วจึงกลับก่อนหลวงพ่อปานจะกลับ หลวงพ่อเนียมก็บอกว่า
    "ถ้าข้าตายนะ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน เขาแทนข้าได้ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ไปถาม หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน"
    หลวงพ่อปานได้เรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อช่วงตอนปลายของชีวิต คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ท่านไปเรียนกับ ครูผึ้ง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตอนนั้น ครูผึ้ง เป็นฆราวาส อายุ 99 ปี เพราะได้ข่าวว่าครูผึ้งเป็นคนพิเศษ เวลาขอทานมาขอให้คนละ 1 บาท สมัยนั้นเงิน 1 บาท มีค่ามาก เงิน 100 บาท 200 บาท สามารถสร้างบ้านได้ 2 หลัง มีครัวได้ 1 หลัง เวลาทำบุญแกจะช่วยรายละ 100 บาท ไม่ใช่เงินเล็กน้อย
    เมื่อทราบข่าว หลวงพ่อจึงไปขอเรียนกับแก คาถาปัจเจพุทธเจ้านี้เรียกว่า คาถาแก้จน ท่านได้เรียนมาและพิมพ์แจกเป็นทานแก่สาธุชนนำไปปฏิบัติและมีผลดีจบสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้
    • • • • • • • • • • • • • •

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    กลับมาตุภูมิ

    • • • • • • • • • • • • • •
    หลังจากที่หลวงพ่อปานได้เสร็จสิ้นการเรียนจากกรุงเทพฯ แล้วท่านก็หวนคิดถึงโยมมารดาที่ท่านจากมาถึง3 ปี จึงเดินทางกลับวัดบางนมโค พร้อมกับความรู้ที่ได้รับมา
    ท่านได้ระลึกถึงว่า การเล่าเรียนของท่านที่ลำบากมาก จึงอยากจะจัดสอนหนังสือแก่พระภิกษุสามเณรและบุตรธิดาชาวบางนมโค ให้มีความรู้ จึงนิมนต์พระภิกษุเกี้ยว ที่อยู่สำนักเดียวกับท่านมาด้วย เพื่อจัดสอนหนังสือเมื่อมาถึงแล้วท่านก็นำมากราบนมัสการหลวงปูคล้าย และได้ไปหาโยมมารดาให้ได้ชมบุญ
    • • • • • • • • • • • • • •
    อุปนิสัยและปฏิปทาของหลวงพ่อปาน

    • • • • • • • • • • • • • •
    จากปากคำของผู้ทราบเคยอยู่ใกล้ชิดกับท่าน และเรื่องเล่าสืบต่อกันมาพอจะอนุมานได้ดังนี้
    จากบันทึกของท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ บันทึกไว้ว่า "หลวงพ่อปานท่านมีลักษณะของชายชาตรีที่มีผิวพรรณขาวละเอียด ลักษณะสมส่วนเสียงดังกังวานไพเราะมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสชวนให้ศรัทธาปสาทะเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาบ่งบอกถึงความเมตตาปรานีในสัตว์โลกทั้งหลาย ต้อนรับผู้คนที่มาหาไม่เลือกเศรษฐี ผู้ดี ไพร่ ใครไปก็ไต่ถาม ว่ากันว่าถ้าหลวงพ่อพูดจากับผู้ใดแล้วนั้น มักจะจับจิตจับใจที่ใจชั่วมั่วเมามาก็กลับตัว แม้แต่ผู้นับถือคริสต์ศาสนาก็ยังหันมานับถือพระพุทธศาสนา"
    ตลอดเวลาท่านจะไม่แสดงทีท่าว่าเหน็ดเหนื่อยหรือทำให้ผู้ที่มาหาเสื่อมศรัทธาเลย วันหนึ่งๆ จะมีคนมาหาท่าน เพื่อขอความช่วยเหลือนับเป็นจำนวนร้อยๆ คน ไหนจะให้รดน้ำมนต์ไหนจะต้องพ่น ไหนจะขอยา ไหนจะมาปรึกษาถึงเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ บางคนก็เรียกว่า หลวงพ่อบางคนเรียกว่าหลวงปู่บ้าง เป็นเราๆท่านๆน่ากลัวจะนั่งไม่ทน เพราะตั้งแต่เพลจนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 4 หรือ 5 ทุ่ม นั่นแหละท่านถึงจะพักผ่อน และเป็นอย่างนี้อยู่ประจำทุกวัน จนกระทั่งท่านมรณภาพ
    "ท่านไม่ยินดียินร้ายในทางโลกธรรมแต่ประการใด คงปฏิบัติธรรมเหมือนพระแก่ๆ รูปหนึ่งที่ไม่ต้องการยศบรรดาศักดิ์หรือชื่อเสียงดีเด่นแต่อย่างใด ท่านคงหวังแต่ทำหน้าที่ให้ความสุขสบายแก่พระสงฆ์และชาวบ้านทั่วไปตามกำลังความสามารถเท่านั้น
    ด้วยความไม่ติดอยู่ในยศฐาบรรดาศักดิ์ ท่านจึงได้ปฏิเสธตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโค กล่าวคือ เมื่อหลวงปู่คล้ายเจ้าอาวาสวัดบางนมโครูปก่อนมรณภาพลง ทายกทายิกาพระภิกษุสงฆ์ได้พร้อมใจกันอาราธนาท่านขึ้นครองวัดบางนมโคแทน ท่านก็ไม่รับท่านให้เหตุผลว่า ท่านหน่ายเสียแล้วจากกิเลสอันจะมาเป็นเครื่องขวางกั้นทางพระนิพพาน กลับแนะนำท่านสมภารเย็น ซึ่งเวลานั้นเป็นพระลูกวัดธรรมดาขึ้นรับตำแหน่งแทน ส่วนท่านขอเป็นพระลูกวัดต่อไปอย่างเดิม
    ด้วยความที่ท่านได้เสริมสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นบางนมโคและสถานที่อื่นๆ มากมาย โดยไม่ได้หวังจะได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ตอบแทนแม้ว่าจะมีเชื่อพระวงศ์ชั้นสูง จะมาเป็นลูกศิษย์ของท่านอยู่มากมายก็ตาม
    ในที่สุดความดีของท่าน ทางฝ่ายบ้านเมืองจึงตอบแทนความเป็นผู้เสียสละของท่านด้วยการมอบถวายสมณศักดิ์ให้แก่ท่านเป็นที่ "พระครูวิหารกิจจานุการ" ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2474 โดยมี
    1. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ
    2. พระวรวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์ศักดิ์พินิจ
    3. หม่อมเจ้าโฆษิต
    4. หม่อมเจ้านภากาศ
    5. ท้าววรจันทร์
    ข้าราชการและบรรดาสานุศิษย์ของท่านได้นำพัดยศพระราชทานมาให้ท่านถึงที่วัด โดยนำไปมอบให้ท่านในพระอุโบสถ ตามพระบรมราชโองการท่านกลางคณะสงฆ์และชาวบ้านต่างแซ่ซ้องสาธุการกันถ้วนหน้า
    แต่หลวงพ่อปานเองท่านก็วางเฉยด้วยอุเบกขา และแม้จะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นที่พระครูวิหารกิจจานุการแล้ว ท่านเองก็ยังคงเป็นหลวงพ่อปานรูปเดิม ปฏิบัติกิจวัตรอย่างที่แล้วๆ มา แต่ผู้ที่ยินดีที่สุดกลับเป็นบรรดาศิษยานุศิษย์
    • • • • • • • • • • • • • •
    หลวงพ่อปานรักษาโรค

    • • • • • • • • • • • • • •
    ในเรื่องการรักษาโรคช่วยชีวิตคนของหลวงพ่อปาน เป็นที่เลื่องลือมากในสมัยนั้น ผู้คนต่างแห่กันมาที่วัดจนแน่นขนัด จนไม่มีที่รับรองแขกเพียงพอ
    วิชาการรักษาโรคและวิชาการบางอย่างที่หลวงพ่อปานสำเร็จและนำมาช่วยเหลือผู้ได้รับทุกข์ เท่าที่เกิดปาฏิหาริย์และได้รับการบันทึกไว้มีมากมาย ตัวอย่างเช่น รักษาโรคด้วยน้ำมนต์ โรคที่ท่านรักษาด้วยน้ำมนต์ เรียกว่าโรคภายใน เช่น บางคนถูกของ ถูกคุณ ถูกเขากระทำมา โรคที่เกิดจากกรรมเวร ถูกผีสิง เป็นต้น บางครั้งก็ต้องแป้งเสกควบคู่ด้วย
    ในตอนเพล ขณะที่ท่านพักผ่อนท่านจะทำการเสกน้ำมนต์เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเวลาอาบจะได้สะดวก และท่านได้ใช้เวลาในการอาบนั้นบริกรรมเสกเป่าเฉพาะรายอีกด้วย
    น้ำมนต์ของท่านนี้ศักดิ์สิทธิ์นักและกรรมวิธีในการรักษาโรคด้วยน้ำมนต์ แบ่งออกเป็น 3 ช่วยระยะ คือ
    ช่วงแรก ท่านจะเรียกคนไข้มาหาแล้วถามชื่อเสียงเรียงนาม ถามอาการแล้วยื่นหมากให้คำหนึ่ง คาถาที่ใช้เสกหมากนี้ท่านบอกผู้ใกล้ชิดว่า ใช้ดังนี้จะขลังหรือไม่อยู่ที่จิตของผู้ทำ
    "ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วว่า โสทาย นะโม พุทธายะ ลัมอิทังโล นันโทเทติ ยาทาโลเทตีติ"
    เมื่อคนไข้ได้รับหมากเสกแล้วให้เคี้ยวให้แหลก บ้วนน้ำหมากทิ้งเสียสามที กลืนลงคอไป ให้คนไข้สังเกตุดูว่าหมากนั้นมีรสอะไร แล้วบอกหลวงพ่อปาน จากนั้นก็จะทำการรักษาตามวิธีของท่าน
    หลวงพ่อปานท่านบอกว่า รสหมากนั้นบอกโรคได้ดังนี้
    รสเปรี้ยว แสดงว่าต้องเสนียดที่อยู่อาศัย เข้ามาเกี่ยวข้อง คือมีของต้องห้ามอยู่กับบ้าน เช่น มีไม้ไผ่ผูกส่วนต้นสาวนปลายอยู่ในบ้าน มีตออยู่ใต้ถุนบ้าน ที่เรียกว่า ปลูกเรือนคล่อมตอ หรืออย่างอื่น ต้องจัดการเรื่องนี้เสียก่อนแล้วจึงรักษาหาย ส่วนมากแล้วหลวงพ่อปานจะใช้ญาณดูแล้วบอกว่ามีอย่างไหนบ้าง ให้แก้เสียก่อน
    รสหวาน แสดงว่าต้องแรงสินบนอย่างใดอย่างหนึ่ง คนไข้หรือคนในบ้านบนไว้ต้องนึกให้ออกว่า ตนเคยบนบานศาลกล่าวอะไรบ้าง ถ้านึกได้ผู้ป่วยไข้จะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปจุดบูชากลางแจ้ง ขอทำการแก้บนให้ถูกต้องในภายหน้าต่อไป
    เมื่อกลับมาหาท่าน ท่านจะรดน้ำมนต์ให้ รดแล้วจะต้องให้กินหมากเสกอีกว่า หมดสิ้นหรือยัง ถ้าไม่มีรสหวานก็หมดแล้ว ถ้ายังหวานอยู่ก็ต้องนึกดูก็ต้องแก้บนอีก แล้วจึงรักษาหาย
    รสขม แสดงว่าต้องคุณคน คือถูกของที่มีผู้ใช้เดียรัจฉานวิชานำมาไว้ในตัว เช่น ในท้องมีตะปูบ้าง มีเข็มเย็บผ้าบ้าง ไม้กลัดผูกกากบาทบ้าง ด้ายตราสังข์มัดศพ เปลวหมูบ้าง หนังสัตว์บ้าง
    ของเหล่านี้จะทำให้คนไข้เจ็บปวดเสียดแทงในร่างกายเป็นที่ทรมานนัก คนไข้ประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิง ที่เป็นชายมีน้อย โดยมากพวกนี้มักจะรับจ้างทำร้ายผู้อื่น หรือไม่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ถูกใครก็เจ็บไป ทำร้ายใครไม่ได้ก็กลับมาเข้าตัวเอง เคยมีแขกผู้หนึ่งถูกของของตัวเอง หลวงพ่อปานท่านแก้ให้แล้วขอสัญญา ให้เลิกอาชีพนี้เสีย
    คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อท่านจะเสกน้ำมนต์พิเศษใส่กระป๋องน้ำ เพื่อให้คนที่แช่เท้าทั้งสองข้างไว้ เพื่อเวลารดน้ำมนต์ ของที่อยู่ในตัวจะได้หลุดออกมาทางเท้าอยู่ในกระป๋องน้ำมนต์
    มีอาการยันหมาก มึนงงศีรษะเวียนศีรษะ อย่างนี้หลวงพ่อท่านว่าถูกคุณผี คือมีอาการใช้ผีมาเข้าสิง คนไข้นั้นจะสำแดงอาการกิริยาผิดปกติ ถ้าผียังสิงอยู่ จะไม่ยอมกินหมากเสกหลวงพ่อ ต้องใช้อำนาจจิตบังคับให้กิน ถ้าผีแกล้งออกไปชั่วระยะ คนไข้จะยอมกินหมากแล้วมีอาการยันหมาก ผีประเภทนี้ เป็นผีตายโหง ที่มีผู้มีวิชานำวิญญาณมาใช้ทำอันตรายคนทำให้เสียสติเพ้อคลั่ง เสียคน เป็นต้น
    คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อปานท่านจะทำน้ำมนต์พิเศษจากพระดินเผาของท่านเอง ซึ่งท่านมักจะใส่ในกระเป๋าอังสะของท่านอยู่เสมอ เพื่อทำน้ำมนต์ให้คนไข้อาบ และใช้มีดหมอของท่านกดกลางศีรษะ และรดน้ำมนต์คนไข้นั้นเรื่อยไปจนกว่าผีจะออก ถ้าดิ้นรนก็ต้องมีคนมาช่วยจับและรดน้ำมนต์ในระหว่างที่ท่านกดมีดหมอและบริกรรมอยู่
    คนไข้ประเภทนี้เมื่อหายแล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย และท่านมักจะให้สายสิญจน์มงคล ไว้คล้องคอกันถูกกระทำซ้ำ อีกทุกรายมีอาการร้อนหูร้อนหน้า แสดงว่าร้ายแรงมาก ถึงขนาดที่ถูกน้ำมันผีพราย ประเภทนี้จะอาการป้ำๆ เป๋อๆ ๆ คุ้มดีคุ้มร้าย ชาวบ้านเรียกว่า ลมเพลมพัด ขาดสติ ปวดศีรษะบ่อยๆ
    คนไข้ชนิดนี้ท่านจะให้แช่เท้าในกระป๋องด้วยเหมือนกับที่ถูกคุณคน เมื่อเวลารดน้ำมนต์นั้น น้ำมันพรายจะซึมออกมา เป็นฝ้าน้ำมันลอยอยู่ในน้ำให้เห็น
    หลวงพ่อบอกว่า คนไข้ประเภทนี้หายยาก เพราะว่าน้ำมันซึมอยู่ในร่างกาย ต้องมารักษาบ่อยๆ เป็นเวลาติดต่อกันนานๆ จนกว่าจะหมดน้ำมันพรายและท่านมักจะสั่งห้ามกินน้ำมันสัตว์ เพราะจะไปเพิ่มน้ำมันให้กับน้ำมันพราย
    หมากเสกของท่านนี้ ถ้ากินแล้วร้อนลึกเข้าไปในทรวงอก ท่านว่าเป็นโรคฝีในท้อง วัณโรค ประเภทนี้นอกจากรดน้ำมนต์แล้ว ยังต้องกินยาคุณพระควบไปด้วยอีกทางหนึ่ง เป็นการขับถ่ายพิษร้าย ออกจากร่างกาย
    • • • • • • • • • • • • • •
    รักษาโรคด้วยยาพระพุทธคุณ

    • • • • • • • • • • • • • •
    นอกจากน้ำมนต์แล้ว ท่านยังมียาคุณพระพุทธคุณให้กินอีกด้วย ยานี้มีสรรพคุณแก้โรคได้ทุกชนิด แล้วแต่ชนิดของโรค คือยานี้เป็นยาอธิษฐานของหลวงพ่อปาน นอกจากจะรักษาโรคแล้ว ยังเป็นยาที่หลวงพ่อปานให้กินเวลาท่านรดน้ำมนต์แก้ถูกกระทำไปแล้ว ยาของท่าน ท่านจะบอกกับผู้ใกล้ชิดว่า ตำรับยานี้เป็นของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ องค์อุปัชฌาย์ของท่านมอบให้ท่านเป็นทายาทแทนเมื่อหลวงพ่อสุ่นล่วงลับไปแล้ว มี 2 ขนาน (คัดมาจากหนังสืออนุสรณ์ 100 ปี หลวงพ่อปาน)
    • • • • • • • • • • • • • •
    พระคาถา

    • • • • • • • • • • • • • •
    (ว่า "นะโม ฯลฯ " ๓ จบ )
    พระคาถาบทนำ ว่าครั้งเดียว
    พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ
    พระคาถาพระปัจเจกะโพธิ์
    ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ ก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอ จึงจะเกิดผล
    " วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มาณี มามะ พุทธัสสะ สวาโหม "
    คาถามหาพิทักษ์

    จิตติ วิตัง นะกรึง คะรัง
    ใช้ภาวนาขณะใส่กุญแจ ปิดหีบ ปิดตู้ ปิดประตูหน้าต่างฯ
    คาถา มหาลาภ
    นะมามีมา มะหาลาภา อิติพุทธัสสะ สุวัณณังวา ระชะตังวา ธะนังวา พึซังวา อัตถังวา ปัตถังวาเอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ อิติมึมา นะมามิหัง
    ใช้สวดภาวนาก่อนนอน ๓ จบ และตื่นนอนเช้า ๓ จบ เป็นการเรียกทรัพย์เรียกลาภ
    พระคาถา ๓ บทนี้ เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หากผู้ใดนำไปใช้จะเกิดโชคลาภมั่งมีเงินทองอย่างมหัศจรรย์
    [​IMG]

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ที่มา http://www.dhammathai.org/monk/sangha47.php


    <TABLE width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>พระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้อง ๕ คน เมื่ออายุ ๖ ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๕ ปี เข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ อายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวช
    อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก
    ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ
    พ.ศ. ๒๔๘๑ เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี ต่อมา สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคาราม หลังจากนั้นได้เป็นรองเจ้าคณะ ๔ วัดประยูรวงศาวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค และย้ายไปอยู่อีกหลายวัด
    พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงมาอยู่วัดท่าซุง บูรณะซ่อมสร้างและขยายวัดท่าซุง จากเดิมมีพื้นที่ ๖ ไร่เศษ จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ ๒๘๙ ไร่
    พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระสุธรรมยานเถร"
    พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
    มรณภาพ
    ตุลาคม ๒๕๓๕ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

    ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ

    ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล , สร้างโรงเรียน , จัดตั้งธนาคารข้าว , ออกเยี่ยมเยียน ทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวณชายแดนตามหน่วยต่างๆ เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และ แจกอาหาร , ยา , อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ
    ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติกาย , วาจา , ใจ , ในทาน , ในศีลและในกรรมฐาน ๑๐ ทัศ และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนกว่า ๑๕ เรื่อง และบันทึกเทปคำสอนกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรม เทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุกๆ ปี
    ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า ๓๐ วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า ๖๐๐ ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก , หนังสือมูลกัจจายน์ และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ ปีละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไตร
    ทางด้านพระมหากษัตริย์ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ งานของศูนย์ฯ รวมทั้งการแจกเสื้อผ้า , อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน , การช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ , การส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย , การให้ทุน นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน , การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่างๆ ฯลฯ
    นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับ เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส แท้องค์หนึ่ง

    ข้อมูล : เว็บศิษย์หลวงพ่อ http://www.sitluangpor.com/
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    http://www.palungjit.org/board//arch...p/t-11905.html

    รวมพระคาถาสืบทอดจากสำเร็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์

    กาฝาก

    04-08-2005, 06:27 PM

    พระคาถาเหล่านี้บางส่วนสืบทอดจากสำเร็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์สู่พระครูโพนสะเม็ด(พระครูขี้หอม)
    สืบต่อถึงหลวงพ่อโต ตังคปัญญา โคราช(มรณะแล้ว)


    คาถาล่องหนหายตัว
    ตัง นิ พุท ติง นิ พุท ติง ตะ นิ
    พุท ติง ตะ นิ ติง ตะ นิ พุท ธะ

    คาถาลงตะกรุดกันปืน
    อะ นิ ทัส สะ นะ อัป ปะ ฏิ คา เมตตัญ จะ
    นะ หะ โล อัต โส ภะ คะ วา อิ ติ ปิ ติ อะระหังฯ

    คาถาเสกบอระเพ็ดกินคงพยาธิโรคหาย
    พุทธังเพซชะคงหนัง ธัมมังเพ็ซชะคงหนัง สังฆังเพ็ชชะคงกระตูก
    นะ มะ พะ ทะ อม สะหัส คง คงฯ

    คาถาพระเจ้า ๑๖ พระองค์เสกยากิน
    นะ มะ นะ อะ นอ กอ นะ กะ
    กอ ออ นอ อะ นะ อะ กะ อัง
    อุดมิ อะ มิ มะ หิ สุ ตัง
    สุ นะ พุท ธัง อะ สุ นะ อะ.

    พระคาถาเสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตน
    มะ คิ ยา โน มะ คิ ยา มะ
    คิ ธิ โส หะ ยะ ลา ปะ สา โน
    นะ มา เช นะ สา

    พระคาถาเสกยากินเป็นมหาอุด และคงกระพัน
    พุทธังคงเนื้อ ธัมมังคงหนัง สังฆังคงกระดูก
    อะระหังพันผูก ตรีเพชรคงคง
    พุทธังอุด ธัมมังอัด สังฆังปิด.

    คาถานะโมตาบอด
    นะ โม ตัน ติด นะ โม ติด ตัน ตา
    นะ โม ตัน ตา นะ โม ตา ตัน ติด
    (เป่าไข้ เป่าไอ เป่าหนาว เสกข้าวกินกันปืน)

    คาถาหายตัว
    กุ กะ กุ โก กุ รา มะ โม
    โม รา กุ
    (ภาวนาจับต้นไม้ตอนเดือนหงาย แต่งขันธ์ 5ภาวนา) ฝึกแล้วชาวบ้านแตกตื่น เพราะ หายตัวไม่ได้เห็นชีเปลือยโทงๆ นี่ไม่ประกันความปลอดภัย

    คาถาอิติปิโส ๘ ทิศ
    ๑. อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา อิ
    ๒. ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง ติ
    ๓. ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท ปิ
    ๔. โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ โส
    ๕. ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ ภะ
    ๖. คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ คะ
    ๗. วา โธ โน อะ มะ มะ วา วา
    ๘. อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ อะ
    ใช้ในทางป้องกันอันตรายต่างๆ ได้ทุกอย่าง สวด ๑ จบ ก่อนนอน สวด ๑ จบ
    ก่อนไปไหนมาไหน ขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้วิเศษนัก ไปปักกลดอยู่ป่าเขาเอาก้อนดิน
    ๘ ก้อน หรือก้อนหิน ๘ ก้อน เสกด้วยอิติปิโส ๘ ทิศ แล้วเสก ๘ บทนึ้ ๓ จบ ปา
    ก้อนหินก้อนดินไป ๘ ทิศ ท่านว่าจักไม่มีอันตรายเลยแม้แต่เสือเป็นต้น จะไม่ล่วงก้อนหิน
    ที่เราปาเอาไว้เข้ามาได้เลย คาถาอยู่ที่ความเชื่อความศรัทธา จึงจะขลัง ท่องให้ได้ขึ้นใจ
    เชื่อมั่นตนเอง (จากตำราของเก่า)

    คาถากระทู้ ๗ แบก
    อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
    ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
    ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
    วา โธ โน อะ มะ มะ วา อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ
    พระคาถากระทู้ ๗ แบกนี้ ไม่ได้หมายความว่า ๗ ข้อหรือ ๗ วรรค ถ้า
    นับเป็นวรรค เป็น ๘ วรรค ที่ว่า ๗ ก็เพราะว่า วรรคหนึ่งมี ๗ อักษร ท่านจึงเรียก
    กระทู้ ๗ แบก ท่านพรรณนาความขลังของคาถาวิเศษไว้ว่า
    ถ้าผู้ใดถือคาถานี้ขลังแล้วลงไปอยู่ในบ่อนาเอากระทู้ไม้ยาว ๑ วา เสี้ยมปลายให้แหลม พุ่งลงไปเพื่อให้ลถูกคนนั้นจนหมด กระทู้ ๗ แบก ไม่ถูกเลยแม้สักอันเดียว (จากตำราของเก่า)

    คาถาธาตุสี่
    ของสำเร็จลุน(แห่งนครจำปาศักดิ์)ใช้แสดงปาฏิหาริย์สารพัด
    แต่ละธาตุมีสี่บรรทัด จะมี สี่ บรรทัด
    สำเร็จลุนให้ตำราพระยาครูโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม) สืบทอดไว้

    ปฐวีธาตุ หรือ ธาตุดิน ให้ว่าดังนี้
    มะ กะ ทะ นะ พะ กะ สะ จะ
    มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
    จิ ตะ ติ จะ พะ กะ สะ
    มุ ตะ ติ มะ นะ อะ อุ

    อาโปธาตุ หัรือ ธาตุน้ำ
    นะ มะ ทะ จะภะ กะ สะ
    ริ ตะ ติ นะ อะ อิ อุ
    ริ ตะ ติ สะ มะ นิ ทุ
    ริ ตะ ตะ วิ กะ วิ ตะ ติ

    วาโยธาตุ หรือ ธาตุลม
    พะ ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ
    ริ ตะ ติ ทะ พะ มะ นะ
    มิ ตะ ติ อุ อะ มะ นะ
    วิ ตะ ติ พะ สะ กะ สะ

    เตโชธาตุ หรือ ธาตุไฟ
    ทะ นะ มะ พะ สะ จะ พะ วะ
    มิ ตะ ติ พะ จะ สะ กะ
    มุ ตะ ติ นะ มะ อะ อุ
    จุ ตะ ติ กะ ระ มะ กะ

    นอกจากคาถาธาตุตัวเต็มนี้แล้ว ท่านยังถอดเอาไปใช้เฉพาะเรื่อง
    ทำให้ร่างกายให้โตว่า
    มะ นะ อุ อะ นะ มะ อะ อุ
    ทำให้มีข้าวของเครื่องใช้มากว่า
    อะ อุ มะ นะ นะ มะ อุ อุ
    ทำให้วิ่งเดินเร็วว่า
    อุ อะ มะ นะ นะ มะ อะ อุ
    ทำให้หายตัวไม่มีใครเห็น
    อะ อุ นะ มะ มะ นะ อะ อุ
    ทำให้ฝนตก
    นะ มะ อะ อุ มะ นะ อุ อะ

    คาถามหากระจาย
    การที่จะใช้คาถานี้ให้เกิดประโยชน์ เหมือนแก้วสารพัดนึก คือนึกจะให้เป็นสิ่งใดก็
    เป็นได้ จะต้องทำพระขึ้นองค์หนึ่งประกอบด้วยไม้ต่างๆ
    คือเอาไม้กัลปพฤกษ์มา ทำเป็นองค์ เอาไม้ต้นยอมาทำเป็นแท่น เอาไม้ต้นแพงมาทำ
    เป็นเกศ เอาไม้ต้นแสงมาทำเป็นหู เอาไม้ต้นรักมาทำเป็นหัวอก
    เมื่อทำพระดังกล่าวเสร็จแล้ว ก็ให้ทำเครื่องร้อยเป็นเครื่องบูชา
    เครื่องร้อยนั้น ท่าน ว่าประกอบด้วยธูป ๙ ดอก เทียนขี้ผึ้ง ๙ เล่ม ดอกไม้ใส่ขัน
    จอก ๙ ดอก
    ให้ทำจิตให้เป็นสมาธิ ในวันปุณณมีดิถี ขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางคืนเพ็ญเดือนหงาย
    ปลุกเสกด้วยคาถาดังจะกล่าวต่อไปนี้ ๑๐๘ คาบ สวดชยันโตอีก ๑๐๘ คาบ
    เรียกว่า พระยอดแก้วดวงธรรมดีนักแล จะคิดเนรมิตให้เป็นสิ่งใดได้ดังปรารถนา
    คาถาที่ให้สวดปลุกเสก ๑๐๘ คาบ นั้นมีดังนี้ คือ
    ธุ สะ สะ ปะ วะ โร สิ นุ สิ สิ โย มะหิทธิโก
    ยัง ยัง ชะนะปัตตัง ยาตินิคะ เมรัง
    ชะ มะ วา ทะ โย ปิยัง ยะถาวะริ วะโหปุโร
    สัพพะการัง นะขียันติ เอวันตัง โสระโห ปัจจะยัง มหาลาภัง กะโรนตุเม
    เมื่อว่าดังนี้ ๑๐๘ คาบล้ว ว่าชะยันโตอีก ๑๐๘ จบ เป็นใช้ได้

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    http://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1&hl=th&start=0&sa=N<O:p</O:p
    [DOC] <O:p</O:p
    บทที่ ๑<O:p</O:p

    รูปแบบไฟล์: Microsoft Word - แสดงเป็นแบบ HTML
    ... นางเพา) ซึ่งเดิมนับถือผีสาง ได้รับวัฒนธรรมไทย-ลาว สมัยพระครูโพนเสม็ด หรือโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม) พร้อมด้วยเจ้าหน่อกษัตริย์ ได้พาพรรคพวกอพยพจากล้านช้าง ...
    ubon.obec.go.th/school/swws/tham/tamnan01.doc - หน้าที่คล้ายกัน

    <O:pบทที่ ๑<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ตำนาน ภาษาและวรรณกรรมอีสาน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดินแดนภาคอีสานมีประวัติความเป็นมายาวนาน ดังจะได้ศึกษาต่อไปนี้ โดยได้แบ่งเนื้อหาเป็น ๓ ตอน คือตอนที่ ๑ จะพูดถึงความเป็นมาของชาวอีสาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์ การจัดตั้งชุมชนอีสานในแอ่งสกลนครและแอ่งโคราช รวมทั้งการขยายอำนาจส่วนกลางเข้าสู่ภาคอีสาน ตอนที่ ๒ จะพูดถึงภาษาและตัวอักษรไทยอีสาน ส่วนตอนที่ ๓ จะพูดถึง วรรณกรรมอีสาน เพื่อจะได้ทราบพื้นฐานของกลุ่มชน วัฒนธรรมทางภาษาและวรรณกรรมอีสาน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ตอนที่ ๑ ความเป็นมาของชาวอีสาน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    . ชุมชนอีสานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ <O:p</O:p
    จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในบริเวณแอ่งสกลนคร (บริเวณลุ่มน้ำสงคราม จังหวัดอุดรธานี และสกลนคร) และแอ่งโคราช (จากเทือกเขาภูกระดึง เทือกเขาภูพานลงมาจนถึงบริเวณลุ่มน้ำมูล น้ำชี) พบว่ามีชุมชนโบราณในภาคอีสานเมื่อราว ๕,๐๐๐ ปีมาแล้วบริเวณแอ่งสกลนครมีหลักฐานว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ก่อนแหล่งอื่น มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีในการทำเครื่องมือเครื่องใช้ในชิวิตประจำวัน เป็นภาชนะดินเผา เครื่องมือสำริด เครื่องประดับลูกปัด เป็นต้น เช่นที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ส่วนบริเวณแอ่งโคราช ก็ปรากฏชุมชนโบราณเช่นเดียวกัน ปรากฏหลักฐานเช่น ภาพเขียนสีแดงที่ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น (ธวัช ปุณโณทก. ๒๕๔๔ ก : ๑ - ๕)
    <O:p</O:p
    . ชุมชนอีสานสมัยประวัติศาสตร์<O:p</O:p
    ในการพิจารณาจำแนกยุคสมัยประวัติศาสตร์และยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้น โดยทั่วไปจะยึดเกณฑ์การมีตัวอักษรใช้ในสังคมนั้นๆ (ธวัช ปุณโณทก. ๒๕๔๔ ก : ๕) แต่ในกรณีภาคอีสานนี้ มีปัญหาค่อนข้างมาก เนื่องจากพบว่า มีการใช้ตัวอักษรหลายรูปแบบ กล่าวคือ ในยุคแรกๆ มีการใช้อักษรปัลลวะ (อักษรคฤนถ์ หรืออักษรอินเดียใต้) เขียนภาษาสันสกฤตและภาษาขอม ส่วนในยุคสุดท้าย ใช้อักษรตัวธรรมและอักษรไทยน้อย บันทึกภาษาไทยอีสาน (ภาษาไทย-ลาว) <O:p</O:p
    ปัญหาสำคัญคือ นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดี ไม่อาจจะชี้ชัดได้ว่า กลุ่มชนที่สร้างศิลาจารึก (อักษรปัลลวะ อักษรขอมโบราณ) ในยุคต้นๆ นั้น เป็นชนชาติไทยที่สืบเผ่าพันธุ์และวัฒนธรรมที่ต่อเนื่องมาเป็นกลุ่มไทย-ลาวในปัจจุบันหรือไม่
    <O:p</O:p
    อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากหลักฐานที่ปรากฏ โดยไม่คำนึงว่าเป็นของใคร อาจแบ่งเป็น ๓ ยุค ดังนี้<O:p</O:p
    ๑. ยุคร่วมทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖) <O:p</O:p
    จากการศึกษาศิลาจารึกที่พบในภาคอีสานในยุคนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องทางพุทธศาสนา ส่วนใหญ่จารึกด้วยอักษรปัลลวะ เป็นภาษาสันสกฤต เชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เช่นใบเสมาหินทรายที่เมืองฟ้าแดดสูงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ และวัดกุดโง้ง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น<O:p</O:p
    ๒. ยุคอิทธิพลขอมสมัยพระนคร (พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘)<O:p</O:p
    อาณาจักรขอมสมัยพระนครได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดและสามารถแผ่อิทธิพลอย่างกว้างขวางนั้น น่าจะเริ่มในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๕๔๓-๑๕๙๓) ได้เข้าครอบครองภาคอีสาน รวมทั้งภาคกลางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย จนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๒) ขอมได้สร้างอาณาจักรอย่างยิ่งใหญ่ ได้ระดมสร้างปราสาทหินอันเลื่องชื่อของขอม เช่นนครวัด นครธม และบายน ส่วนในภาคอีสานก็มีหลายปราสาท ที่สำคัญ เช่น เขาพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย เป็นต้น รูปแบบอักษรขอมโบราณที่พบในศิลาจารึกต่างๆ พบว่าได้คลี่คลายมาจากอักษรอินเดีย (อักษรปัลลวะ) และค่อยวิวัฒนาการมาเป็นอักษรขอมบรรจงและขอมหวัด<O:p</O:p
    . ยุควัฒนธรรมไทย-ลาว (พุทธศตวรรษที่ ๑๙-ปัจจุบัน)<O:p</O:p
    หลังสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ขอมเสื่อมอำนาจลง ชุมชนในภาคอีสานจึงน่าจะเป็นกลุ่มเล็กๆ และไม่สืบทอดวัฒนธรรมขอมอีก (ธวัช ปุณโณทก. ๒๕๔๔ ก : ๑๒) เป็นการสิ้นสุดวัฒนธรรมขอมโบราณโดยสิ้นเชิง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่พบการก่อสร้างหรือจารึกใดๆ ในช่วง ๒๐๐-๓๐๐ ปีจากนั้นมา ขณะเดียวกัน ได้พบร่องรอยของกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมแบบใหม่เข้ามาแทนที่ นั่นคือ จารึกวัดแดนเมือง จังหวัดหนองคาย (พ.ศ. ๒๐๗๓) เป็นอักษรไทยน้อย จึงสันนิษฐานว่าเป็นวัฒนธรรมไทย-ลาว ซึ่งรวมตัวเป็นปึกแผ่นในสมัยพระเจ้าฟ้างุ้ม (พ.ศ. ๑๘๙๖) เป็นต้นมา<O:p</O:p
    วัฒนธรรมไทย-ลาว เริ่มก่อตัวมั่นคงอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขง เช่น เมืองปากห้วยหลวง (อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย) เมืองโคตรบูรณ์ (อำเภอ ธาตุพนม จังหวัด นครพนม) รวมทั้งเมืองหนองหาน (จังหวัดสกลนคร) และค่อยกระจายมาสู่ที่ราบสูงตอนกลาง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    . การจัดตั้งชุมชนกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว ในแอ่งสกลนคร<O:p</O:p
    ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ มีกลุ่มชนรวมกันเป็นนครรัฐที่บริเวณลุ่มน้ำโขงตอนเหนือและลุ่มแม่น้ำอู (เมืองแถนและเมืองเชียงคงเชียงทอง) มีความรุ่งเรืองเป็นที่รู้จักของสุโขทัย เพราะปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช กล่าวว่า <O:p</O:p
    "...ทั้งมากาวลาวและไทยเมืองใต้หล้าฟ้าฏ...ไทชาวของชาวอูมาออก..." หรือ<O:p</O:p
    "...เท่าฝั่งของ เถิงเวียงจันเวียงคำเป็นที่แล้ว..." หรือ "...พ้นฝั่งของเมืองชวาเป็นที่แล้ว..." <O:p</O:p
    (กรมศิลปากร. ๒๕๒๖ : ๕๒-๕๙) แสดงให้เห็นว่าชาวเมืองสุโขทัยรู้จักชุมชนทางลุ่มแม่น้ำโขงเป็นอย่างดี หลังจากนั้น ในจารึกสมัยพระเจ้าลิไท ได้กล่าวถึงอาณาจักรนี้ ว่า<O:p</O:p
    (เขตเมืองสุโขทัย) "...เบื้องตะวันออก...เถิงแดนพระญาฟ้าง้อม..." (งุ้ม)<O:p></O:p>
    สมัยพระเจ้าฟ้างุ้ม (พ.ศ. ๑๘๙๖-๑๙๑๖) มีการขยายอาณาเขตของอาณาจักรล้านช้างอย่างกว้างขวาง และเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในเวลาต่อมาคือรัชสมัยพระเจ้าสามแสนไทย (พ.ศ. ๑๙๑๖-๑๙๕๙) โดยในระยะแรกได้แพร่กระจายชุมชนในบริเวณแอ่งสกลนครเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง มีขอบเขตตั้งแต่จังหวัดเลย (เมืองหล่ม เมืองเลย ปากเหือง เชียงคาน ด่านซ้าย) จังหวัดหนองคาย (เมืองเวียงคุก เมืองปากห้วยหลวง) จังหวัดอุดรธานี บริเวณอำเภอบ้านผือ จนถึง ตำบลหนองบัวลำภู จังหวัดสกลนครและนครพนม (เมืองโคตรบอง) พงศาวดารลาวมักกล่าวถึงหัวเมืองที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ส่วนพงศาวดารไทยได้กล่าวถึงหัวเมืองสำคัญของล้านช้างเท่านั้น ไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า อยุธยาได้รู้จักเส้นทางผ่านทางช่องดงพระยาไฟ และดงพระยากลาง ก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (ธวัช ปุณโณทก. ๒๕๔๔ ก : ๑๖)ทั้งๆที่หัวเมืองพิมาย เมืองพนมรุ้ง เคยเป็นชุมชนที่รุ่งเรืองในสมัยขอมพระนคร อันน่าเชื่อได้ว่าชุมชนดังกล่าวคงลดความสำคัญลงไปมาก ดังนั้น ทั้งพงศาวดารไทยและลาวจึงไม่ได้กล่าวถึงหัวเมืองในดินแดนที่ราบสูงแอ่งโคราชในสมัยอยุธยาตอนต้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    . การขยายวัฒนธรรมไทย-ลาวเข้าสู่ดินแดนแอ่งโคราช<O:p</O:p
    ดินแดนในเขตแอ่งโคราชในสมัยสุโขทัยและอยุธยาตอนต้น เป็นชุมชนที่มีความสำคัญน้อย ดังที่ หม่อมอมรวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว. ปฐม คเนจร) เขียนว่า <O:p</O:p
    "พื้นที่ในมณฑลลาวกาวนี้ เมื่อก่อนจุลศักราช ๑๐๐๐ (พ.ศ. ๒๑๘๑) ก็เป็นทำเลป่าดง เป็นที่อาศัยของคนป่าซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่ขอม ต่อมาเรียกกันว่าพวกข่า ส่วย กวย (หรือกุย)..."<O:p</O:p
    (หม่อมอมรวิจิตร. ๒๕๐๔ : ๒๑) แสดงว่า ช่วงนั้นยังไม่มีคนไทย-ลาวเข้ามาอยู่บริเวณนี้<O:p</O:p
    ทางตอนใต้ลุ่มแม่น้ำโขง มีชุมชนขนาดใหญ่ของพวกข่า เรียกว่านครจำปาศักดิ์ มีหัวหน้าปกครองเป็นเอกราช (นางแพง นางเพา) ซึ่งเดิมนับถือผีสาง ได้รับวัฒนธรรมไทย-ลาว สมัยพระครูโพนเสม็ด หรือโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม) พร้อมด้วยเจ้าหน่อกษัตริย์ ได้พาพรรคพวกอพยพจากล้านช้าง (เวียงจันทน์) ลงไปทางใต้ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑ เข้าไปเผยแผ่พุทธศาสนา เป็นที่เคารพของชาวจำปาศักดิ์ และต่อมา เจ้าหน่อกษัตริย์ได้ปกครองนครจำปาศักดิ์ ได้พระนามว่า "เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร" (ธิดา สาระยา. ๒๕๓๖ : ๑๑๘) ซึ่งนครจำปาศักดิ์นี้ เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมไทย-ลาวที่สำคัญแห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    การขยายวัฒนธรรมไทย-ลาวเข้าสู่แอ่งโคราช มีกลุ่มใหญ่ๆ ๔ กลุ่ม คือ<O:p</O:p
    . กลุ่มเจ้าแก้วหรือ จารย์แก้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๒๕๖ เจ้าสร้อยศรีสมุทรฯ แห่งนครจำปาศักดิ์ ได้ส่งเจ้าแก้ว เชื้อสายเจ้าเมืองเวียงจันทน์ ไปปกครองเมืองท่ง หรือเมืองสุวรรณภูมิ ได้ขยายชุมชนเป็นเมืองร้อยเอ็ดและมหาสารคามในเวลาต่อมา (พ.ศ. ๒๓๑๘)<O:p</O:p
    . กลุ่มพระวอพระตา ได้แยกจากเวียงจันทน์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ สมัยพระเจ้าสิริบุญสาร มาตั้งเมืองที่หนองบัวลุ่มภู ตั้งชื่อเมืองว่า "นครเขื่อนขันกาบแก้วบัวบาน" เวียงจันทน์เกรงว่าจะเป็นภัย จึงยกทัพมาปราบปราม รบกันอยู่ ๒-๓ ปี พระตาเสียชีวิต พระวอเห็นท่าสู้ไม่ได้ จึงอพยพลงไปรวมกลุ่มกับนครจำปาศักดิ์ (สมัยเจ้าไชยกุมาร) ได้ตั้งมั่นที่บ้านดู่ บ้านแก แขวงปากเซ อีก ๓-๔ ปี ต่อมา มีเหตุขัดใจกับเจ้าไชยกุมาร จึงอพยพขึ้นไปตั้งเมืองที่ดอนมดแดง และห้วยแจระแม เห็นว่าเมืองจำปาศักดิ์คงให้ความคุ้มครองไม่ได้ จึงมีใบบอกไปยังเมืองนครราชสีมา ขอขึ้นกับกรุงธนบุรี<O:p</O:p
    ทัพเวียงจันทน์ยกมาตีอีก พระวอมีใบบอกไปยังนครราชสีมา ขอกำลังมาช่วย ในการรบครั้งนั้น พระวอเสียชีวิต (พ.ศ. ๒๓๑๙) พวกที่เหลือ มีท้าวคำผงเป็นหัวหน้า ท้าวทิดพรมท้าวก่ำ รวมตัวกันไปตั้งมั่นที่บ้านดู่ บ้านแก อีกครั้ง ต่อมาในปี ๒๓๒๑ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (สมัยดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาจักรี) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (น้องชาย) ยกทัพไปตี ได้ทั้งจำปาศักดิ์และเวียงจันทน์และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ที่ธนบุรีด้วย
    เป็นครั้งแรกที่ราชธานีได้เข้าครอบครองพื้นที่ภาคอีสาน ตำนานเมืองอุบล ยังกล่าวต่อไปอีกว่า หลังจากนั้น ท้าวคำผงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระประทุมสุรราชภักดี ขึ้นกับนครจำปาศักดิ์ (พ.ศ. ๒๓๒๓) ต่อมาได้ย้ายขึ้นไปตั้งเมืองที่ดอนมดแดง แต่ชัยภูมิไม่ดี จึงย้ายอีกครั้งไปตั้งที่ดงอู่ผึ้ง (ตัวเมืองอุบลราชธานีในปัจจุบัน) ในปี ๒๓๓๕ สมัยรัชกาลที่ท้าวคำผงได้รับแต่งตั้งเป็นพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ ครองเมืองอุบลเป็นคนแรก ตั้งชื่อเมืองว่า "อุบลราชธานีศรีวนาลัย ประเทศราช" (สภาวัฒนธรรมจังหวัดอุบลราชธานี. ๒๕๔๐ : ๑๐)<O:p</O:p
    . กลุ่มผ้าขาวสมพมิตร เป็นกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่ง ในพงศาวดารกล่าวว่า อพยพจากเมืองผ้าขาว ศรีสัตนาคนหุต เข้ามาตั้งอยู่ที่บ้านแก่งส้มโฮง (แก่งสำโรง) ในราว พ.ศ. ๒๓๑๐ ขออยู่ใต้บังคับกรุงธนบุรี ท้าวสมพมิตร ได้รับแต่งตั้งเป็น พระยาชัยสุนทร เจ้าเมืองกาฬสินธุ์<O:p</O:p
    . กลุ่มท้าวแล อพยพมาจากเวียงจันทน์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ตั้งหลักแหล่งที่บริเวณเทือกเขาดงพระยากลางและเทือกเขาเพชรบูรณ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระยาภักดีชุมพล เจ้าเมืองชัยภูมิ<O:p</O:p
    ส่วนบริเวณลุ่มน้ำมูล (ตอนใต้ของแอ่งโคราช) มีชนพื้นเมืองตั้งชุมชนอยู่ทั่วไป ที่เรียกกันว่า "เขมรป่าดง" อยู่แถบจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    . การขยายอำนาจส่วนกลางเข้าสู่ภาคอีสาน<O:p</O:p
    ในช่วงอยุธยาตอนต้นนั้น พงศาวดารไทย ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับที่ราบสูงภาคอีสาน แต่ได้กล่าวถึงหัวเมืองริมฝั่งแม่น้ำโขง ว่าเป็นเมืองอิสระ มีกษัตริย์ปกครอง และมีหลักฐานว่าอาณาจักรล้านช้างมีอำนาจเหนือฝั่งขวาแม่น้ำโขง เช่น เมืองโคตรบอง (หรือโคตรบูรณ์) เป็นต้น ในสมัยพระนารายณ์มหาราช มีการพัฒนาเมืองโคราชและส่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาปกครอง มีเมืองขึ้นเพียง ๕ เมือง คือ นครจันทึก (ปากช่องและสีคิ้ว) เมืองชัยภูมิ (น่าจะเป็นเมืองเก่า ก่อนท้าวแลจะมาตั้งถิ่นฐาน) เมืองพิมาย เมืองแปะ (บุรีรัมย์) และเมืองนางรอง นอกนั้นไม่กล่าวถึง<O:p</O:p
    สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ (ก่อนเสียกรุงเล็กน้อย) ช้างพลายสำคัญตกมัน หนีมาทางภาคอีสาน จึงได้ส่งขุนนางมาตามช้าง ได้รับการช่วยเหลือจากพวกส่วย หรือกุย จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นขุนนาง ได้แก่ หลวงสุวรรณ (ตากะจะ) ครองเมืองขุขันธ์ หลวงเพชร์ (เชียงฆะ) ครองเมืองสังขะ หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุ่ม) ครองเมืองคูปะทายสมัน (สุรินทร์) หลวงศรีนครเตา (เชียงสี) ครองเมืองรัตนบุรี ทั้งหมดขึ้นกับเมืองพิมาย ในพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ เรียกว่า หัวเมืองเขมรป่าดง<O:p</O:p
    ปลายสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ยึดได้จำปาศักดิ์และเวียงจันทน์ ภาคอีสานทั้งหมดจึงอยู่ใต้การปกครองของไทย ในฐานะหัวเมืองประเทศราช<O:p</O:p
    สมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีการขยายหัวเมืองมากขึ้น โดยแต่งตั้งให้ผู้ที่สามารถรวบรวมสมัครพรรคพวกไปตั้งเมืองใหม่ให้เป็นปึกแผ่นได้ ก็จะได้เป็นเจ้าเมืองนั้น จึงเกิดหัวเมืองในแอ่งโคราชเป็นจำนวนมาก (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพและสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์. ๒๕๐๔ : ๒๔๕)<O:p</O:p
    สมัยรัชกาลที่ ๓ เกิดสงครามยืดเยื้อกับญวน และเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ หลังจากปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แล้ว จึงได้เกลี้ยกล่อมชาวบ้าน จากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตอนบน ให้เข้ามาอยู่ฝั่งขวาเพื่อตัดเสบียงพวกญวน เช่นจากเมืองมหาชัยกองแก้ว เมืองพิน เมืองนอง เมืองตะโพน เมืองคำเกิด คำม่วน เป็นต้น ส่วนใหญ่มาอยู่แอ่งสกลนคร จึงปรากฏว่าในเขตจังหวัดสกลนคร นครพนมปัจจุบัน มีหลายกลุ่มหลายภาษา เช่น ย้อ ผู้ไทย แสก เป็นต้น<O:p</O:p
    สมัยรัชกาลที่ ๕ ฝรั่งเศสล่าอาณานิคม ไทยต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส (พ.ศ. ๒๔๓๑ - ๒๔๙๙) และได้ตกลงทำสนธิสัญญาแบ่งประเทศโดยใช้แม่น้ำโขงเป็นเขตแดน ได้จัดการปกครองหัวเมืองในภาคอีสานใหม่ จากธรรมเนียมแบบล้านช้าง (ตำแหน่งอาญาสี่ คือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร) เป็นมณฑลเทศาภิบาล จัดการปกครองตามลักษณะปกครองท้องที่ (พ.ศ. ๒๔๔๐) ได้ส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ มาปกครองหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น ที่อุบลราชธานี ทรงโปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงพิชิตปรีชากร มาเป็นข้าหลวงใหญ่หัวเมืองลาวพระองค์แรก องค์ต่อมาคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว ได้ทรงสู่ขอนางเจียงคำ ธิดาของท้าวสุรินทร์ชมภู (หมั้น) บุตรของราชบุตร (สุ่ย) เชื้อสายเจ้านายเมืองอุบลมาเป็นชายา อันเป็นการประสานไมตรี เกี่ยวดองเป็นเครือญาติ สร้างความกลมกลืนระหว่างวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงกับวัฒนธรรมลุ่มน้ำเจ้าพระยา
    (ธิดา สาระยา. ๒๕๓๖ : ๑๙๖)<O:p></O:p
    ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ได้มีพระราชบัญญัติประถมศึกษาขึ้น ชาวไทยอีสานต้องเรียนภาษาไทยกลาง มีการตั้งโรงเรียนขึ้นในวัด โดยการนำของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ เช่น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) (๒๓๙๙ - ๒๔๗๕) ได้ตั้งโรงเรียนแห่งแรกของเมืองอุบล ที่วัดสุปัฏนาราม ชื่อโรงเรียนอุบลวิทยาคม สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) (๒๔๑๐ - ๒๔๙๙) ได้ดำเนินการจัดการศึกษาต่อมาให้แพร่หลายยิ่งขึ้น ได้รวบรวมศิลาจารึกจากที่ต่างๆ มาไว้ที่วัดสุปัฏนาราม เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์และโบราณคดี เช่น จากภูหมาไน ใกล้ปากแม่น้ำมูล เป็นต้น ปัจจุบัน ศิลาจารึกเหล่านั้นยังอยู่ที่วัดสุปัฎนาราม ส่วนโรงเรียนอุบลวิทยาคม เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนสมเด็จ เป็นโรงเรียนราษฎร์ อยู่ในวัดสุปัฏนาราม (อุบลราชธานี ๒๐๐ ปี. : ๑๗๓ - ๑๗๕) จากนั้นเป็นต้นมา ภาษาไทยกลางจึงแพร่ไปทั่วภาคอีสาน ตัวอักษรไทยน้อย และอักษรธรรมซึ่งเป็นอักษรดั้งเดิมจึงลดความสำคัญลง<O:p</O:p
    จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่กล่าวมา สรุปได้ว่า พื้นที่ภาคอีสาน มีชุมชนอาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต่อมาได้รับวัฒนธรรมทวารวดี วัฒนธรรมขอม วัฒนธรรมไทย-ลาว และไทยเมืองหลวง บรรพบุรุษของชาวไทยอีสานปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไทย-ลาว ซึ่งยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี โดยเฉพาะ "ภาษาพูด"ไว้อย่างเหนียวแน่นเพียงแต่ "ตัวอักษร" เท่านั้นที่เปลี่ยนไป
    </O:p
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    http://www.udontoday.com/Book2/Html/chapter17-1.html

    "ตำนานพื้นบ้าน"

    “ ญาคูขี้หอม” หลวงพ่อโพนสะเม็ก
    สมเด็จสังฆราช แห่งล้านช้าง


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>ตามตำนานโบราณที่จารึกไว้ในใบลาน เป็นตัวหนังสือธรรมผสมไทยน้อย ได้กล่าวไว้ว่า เมืองโพพันลำ และเมืองพาน เป็นบ้านเมืองที่เคยเจริญรุ่งเรือง และมีเจ้าปกครองสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน สำหรับเมืองโพพันลำนั้น มีช่วงหนึ่งที่ประวัติขาดตอนไป เพราะเจ้าผู้ปกครองเมืองไม่มีพระราชโอรสสืบสกุล อำมาตย์ผู้ใหญ่จึงมอบเมืองให้ “ ญาคูจำปา” หรือ “ ญาคูลืมบอง” พระสังฆาธิการผู้ใหญ่ ขึ้นปกครองบ้านเมืองสืบต่อมา </TD></TR><TR><TD>ท่านญาคูลืมบอง เป็นพระภิกษุที่มีความเก่งกล้าสามารถ เมื่อปกครองบ้านเมือง ก็สอนให้ชาวเมืองประพฤติ ปฏิบัติธรรม ให้ดำรงมั่นอยู่ในธรรม ท่านจึงเป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสของชาวเมืองโพพันลำเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่า “ เมืองญาคูลืมบอง” เมื่อเรียกบ่อยๆเข้า จึงกลายมาเป็น “ กาลึม” หมู่ บ้านหนึ่งในเขตปกครองของ ต . เมืองพาน อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี
    </TD></TR><TR><TD>ท่านญาคูลืมบอง มีสามเณรรูปหนึ่งเป็นลูกศิษย์ชื่อ “ สามเณรโพนสะเม็ก” เป็นผู้มีพละกำลังมหาศาลตามตำนานเล่าว่า วันหนึ่งสามเณรได้นึ่งข้าวด้วยฟืนงิ้วดำ เมื่อสุกแล้ว ข้าวจึงเป็นสีดำ “ คณะสงฆ์” จึงติเตียนสามเณรว่า “ นึ่งข้าวอย่างไรจึงทำให้เป็นสีดำอย่างนี้” แล้วก็บังคับให้ “ สามเณรโพนสะเม็ก” ฉันข้าวดำรูปเดียวจนหมด ปรากฎว่าเมื่อสามเณรฉันอิ่มแล้ว ก็เกิดเป็นผู้มีพละกำลังอันมหาศาล เหนือบุคคลธรรมดา
    </TD></TR><TR><TD>สามเณรโพนสะเม็ก เป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนอักษรสมัยและพระไตรปิฎกได้เร็วและแตกฉาน ท่านญาคูลืมบอง จึงนำสามเณรไปฝากเรียนหนังสือต่อที่เมืองศรีสัตตนาคนหุต หรือนครเวียงจันทน์ เมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านช้างของลาว
    </TD></TR><TR><TD>คืนหนึ่งก่อนที่ ญาคูลืมบอง จะพาสามเณรเดินทางไปถึง “ สมเด็จพระสังฆราชแห่งนครเวียงจันทน์” ได้นิมิตว่า “ มีช้างเผือกเชือกหนึ่งวิ่งเข้าไปในวัด พุ่งเข้าชนหอไตรที่บรรจุพระไตรปิฎกพังทลายลงมา หนังสือเก่าแก่คัมภีร์ทางพุทธศาสนาถูกทำลายจนหมดสิ้น” เมื่อตื่นจากฝันท่านได้กำหนดจิตก็รู้ในทันทีว่า “ จะมีนักปราชญ์ทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน” </TD></TR><TR><TD>แล้ววันต่อมา ญาคูลืมบองก็นำ สามเณรโพนสะเม็ก ไปฝากให้เรียนหนังสือ สมเด็จพระสังฆราช ท่านก็รับไว้ และเป็นที่ประหลาดใจยิ่งนัก แม้ “ สามเณรโพนสะเม็กแห่งเมืองลืมบอง” จะเป็นสามเณรหน้าใหม่ของ” วัดยอดแก้ว” ของ “ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงศรีสัตตนาคนหุต” ก็ตาม แต่ท่านก็เรียนหนังสือได้อย่างรวดเร็วและแตกฉานมาก ไม่นานนักท่านก็เรียนจบชั้นสูงสุดในสมัยนั้นด้วย </TD></TR><TR><TD>สามเณรโพนสะเม็ก มีกิจวัตรเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสของชาวศรีสัตตนาคนหุตเป็นอย่างมาก “ เจ้ามหาชีวิต” หรือ พระเจ้าแผ่นดิน ก็ทรงเลื่อมใสศรัทธา ทรงรับท่านไว้เป็น” นาคหลวง” ในพระราชพิธีอุปสมบท ตามตำนานกล่าวว่า เวลาจัดราชพิธีอุปสมบทพระภิกษุนั้น ทรงจัดอย่างใหญ่หลวง มีพระภิกษุเข้านั่งหัถบาตจำนวน 500 รูป และใช้แพไม้ไผ่เป็นสีมาน้ำสถานที่ประกอบพิธีอุปสมบท และเมื่ออุปสมบทเสร็จแล้วปรากฎว่า แพที่ใช้เป็นสีมาน้ำเกิดจมลง ทำให้พระภิกษุที่เข้านั่งหัถบาตต่างพากันว่ายน้ำเข้าฝั่งอย่างอุตลุตจีวรเปียกน้ำหมดทุกรูป ยกเว้น พระภิกษุบวชใหม่ ( สามเณรโพนสะเม็ก) จีวรไม่เปียกน้ำเลย
    </TD></TR><TR><TD>เมื่ออุปสมบทแล้ว พระคุณเจ้าหนุ่ม โพนสะเม็ก ก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดล้านช้าง และต่อมาได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดโพนสะเม็ก จนกระทั่งได้รับการสถาปนาจาก “ เจ้ามหาชีวิต” ให้เป็น “ เจ้าราชครูหลวง” หรือ“ สมเด็จพระสังฆราชล้านช้าง” ปกครองฝ่ายพุทธจักรแห่งนครล้านช้างในกาลต่อมา
    </TD></TR><TR><TD>เจ้าราชครูหลวง หลวงพ่อโพนสะเม็ก เป็นผู้มีบุญญาบารมีสูงส่งยิ่งกว่าฝ่ายราชอาณาจักร เพราะเป็นพระอาจารย์สอนอรรถสอนธรรม นำปฏิบัติสมถและวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่ชาวเมือง และเจ้านายในราชตระกูล มีคนเคารพนับถือมาก แม้เจ้านายในราชตระกูลก็ให้การเคารพยำเกรงเป็นอย่างยิ่ง </TD></TR><TR><TD>ระหว่าง พ . ศ.2187 – 2254 เจ้ามหาชีวิต มีพระโอรสองค์หนึ่งพระนามว่า “ พระเจ้าองค์หล่อ” และมีพระมเหษีพระนามว่า “ เจ้าชมพู” ซึ่งกำลังตั้งพระครรภ์แก่ใกล้คลอด เจ้ามหาชีวิตก็สิ้นพระชนม์ลง จึงทำให้เกิด ” กบฏล้านช้าง” มีการแย่งชิงสมบัติ บ้านเมืองมีการจราจลเกิดขึ้น จนในที่สุด “ พระยาแสง” หรือ “ พระเจ้าสุริยวงศา ” พระราชโอรสของ “ พระเจ้าต่อนคำ” ได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็น “ เจ้ามหาชีวิตแห่งนครเวียงจันทน์ล้านช้าง” แต่เหตุการณ์บ้านเมืองไม่ค่อยสงบนัก
    </TD></TR><TR><TD>“ เจ้าชมพู” พระชายาและ “ พระเจ้าองค์หล่อ” ราชโอรส ได้หลบหนีไปพึ่งบุญญาบารมีของ “ เจ้าราชครูโพนสะเม็ก” ท่านจึงให้นำ “ พระเจ้าองค์หล่อ” ไปพำนักที่เมืองแกวตาเปียก ส่วนพระชายา “ เจ้าชมพู” ให้พาไปพำนักที่” ภูสะง้อหอคำ” หลังเวียงจันทน์ ครั้นพระชายา” เจ้าชมพู” ประสูติพระราชโอรสแล้ว “ เจ้าราชครูโพนสะเม็ก” จึงขนานพระนามให้ว่า “ เจ้าหน่อกษัตริย์” แล้วอัญเชิญไปประทับที่เมืองโพพันลำงิ้วสมสนุก พร้อมทั้งพระมารดา </TD></TR><TR><TD>ครั้นต่อมา พ . ศ.2233 “ ท่านราชครู” ก็เป็นที่ระแวงของ “ เจ้ามหาชีวิต” แห่งนครเวียงจันทน์ เกี่ยวกับความมั่นคงของราชบัลลังก์ “ ท่านราชครู” จึงออกอุบายให้คณะศิษย์ประมาณ 3,000 คน จากนครเวียงจันทน์ไปอัญเชิญ” เจ้าหน่อกษัตริย์” และพระมารดา ออกเดินธุดงค์โดยทางเรือไปตามลำน้ำโขง มุ่งไปยัง” เมืองมรุกขนคร” เพื่อบูรณะองค์พระธาตุพนม
    </TD></TR><TR><TD>ท่านราชครูโพนสะเม็ก ได้บูรณะองค์พระธาตุพนมตั้งแต่ชั้นที่ 2 ขึ้นไปถึงยอดองค์พระธาตุ ท่านได้หล่อเหล็กเปียก เหล็กไหล ขึ้นสวมยอดพร้อมด้วยฉัตรยอดองค์พระธาตุด้วย ทำให้องค์พระธาตุสง่างามและมั่นคงยิ่งขึ้น ท่านราชครูใช้เวลาบูรณะองค์พระธาตุพนมเป็นเวลา 3 ปี และได้แบ่งครอบครัวชาวเวียงจันทน์ เพื่ออยู่เฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมจำนวนหนึ่ง ท่านกับญาติโยมอีกจำนวนหนึ่งได้ออกเดินธุดงค์ปฏิบัติกัมมัฏฐานไปตามลำน้ำโขง สลับฝั่งโขงซ้าย – ขวา ออกลำน้ำมูล ถึงแม่น้ำโขง เลยไปทะลุเมืองบรรทายเพชร เมืองหลวงกัมพูชา ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ พนมเป็ญ” คือตั้งชื่อตามพระธาตุเจดีย์ที่ท่านก่อไว้บนยอดเขาและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วตั้งชื่อไว้ว่า “ พระธาตุนางเปม” </TD></TR><TR><TD>ท่านราชครูโพนสะเม็ก จะไปอยู่ที่ไหนท่านก็มักจะมีบริวารมาก เป็นคณะใหญ่คือสามารถตั้งเป็นชุมชนแน่นหนาได้ เพราะเหตุนี้เองท่านจึงเป็นที่ระแวงของกษัตริย์กัมพูชาในเวลานั้น ท่านจึงอพยพบริวารทวนขึ้นไปตามลำน้ำโขง แล้วตั้งชุมชนขึ้นที่ปลายเขตเขตแดนเขมรตับดำ ทางการเขมรก็ตามไปจะเรียกเก็บภาษีชุมชนแต่ท่านก็ไม่ยอมจ่ายให้ จึงอพยพบริวารกลับคืนสู่เขตล้านช้าง มาตั้งพักอยู่ที่เมือง ” เซียงแตง” ตั้งวัดและชุมชนอยู่ปลายเขตแดน รวบรวมทองคำและเต้าปูนหล่อพระพุทธรูปองค์หนึ่งชื่อว่า “ พระองค์แสน” ไว้เป็นที่ระลึก แล้วย้ายมาอยู่ที่ดอนโขงและนครจำปาศักดิ์ ตามลำดับ </TD></TR><TR><TD>ในสมัยนั้น “ นครจำปาศักดิ์” เดิมชื่อ “ จำปากนาคบุรี” มีเจ้าหญิงสองพี่น้อง คนพี่ชื่อ “ เจ้าหญิงเพา” ส่วนคนน้องชื่อ “ เจ้าหญิงแพง” เป็นผู้ครองเมือง ซึ่งเจ้าหญิงทั้งสองมีตระกูลเป็นชาวล้านช้างที่อพยพมาคราวก่อน ได้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อจาก “ พระเจ้าสุทัศนราชา” เจ้าหญิงทั้งสองทราบว่า ท่านเจ้าราชครูโพนสะเม็ก มาพักอยู่ดอนโขง พร้อมด้วยศิษย์และบริวารมากมาย จึงได้อาราธนาให้ท่านเข้ามาอยู่ในเมือง และมอบเมืองให้ท่านปกครอง ท่านเป็นพระผู้ทรงศีลหากปกครองทางโลกก็จะไม่เป็นการสมควร จึงมอบหมายให้ศิษย์ผู้ใหญ่ปกครองแทน แต่ปานนั้นบ้านเมืองก็ไม่สงบ โจรผู้ร้ายปล้นสะดมภ์มิได้ขาด
    </TD></TR><TR><TD>ท่านจึงตัดสินใจให้ศิษย์ผู้ใหญ่ไปอัญเชิญ “ เจ้าหน่อกษัตริย์” ที่พักหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านโพพันลำงิ้วสมสนุก ซึ่งเจริญวัยได้ 20 พรรษา บรรลุนิติภาวะแล้ว ท่านราชครูจึงได้จัดพิธีอภิเษก “ เจ้าหน่อกษัตริย์” ขึ้นเป็นเจ้าเมืองพระนามว่า “ เจ้าหน่อกษัตริย์ สร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร” เจ้าเมืองปกครองนครจำปาศักดิ์เป็นเอกราช ไม่ขึ้นต่อนครเวียงจันทน์ เมื่อ “ เจ้าหน่อกษัตริย์” ชึ้นเป็นเจ้าเมืองจำปาศักดิ์แล้ว ก็ทรงพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ท่านราชครูเป็นที่ “ ท่านเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก” หรือ “ สมเด็จพระสังฆราช” มีอำนาจปกครองฝ่ายพุทธจักร สืบต่อมาจนมรณภาพเมื่อ พ. ศ.2263 ที่นครจำปาศักดิ์ ในแผ่นดินล้านช้าง
    </TD></TR><TR><TD>เจ้าหน่อกษัตริย์ สร้อมศรีสมุทรพุทธางกูร เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ จึงได้จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพให้อย่างสมพระเกียรติ จากนั้นจึงได้ทรงแบ่งอัฐิส่วนหนึ่งมาบรรจุไว้ที่เจดีย์ ณ บริเวณกำแพงพระธาตุพนม และปัจจุบันก็ยังประดิษฐานให้ผู้คนกราบไหว้บูชา ผู้คนทั้งหลายนอกจากจะเรียกชื่อท่านว่า “ หลวงพ่อโพนสะเม็ก” แล้ว ส่วนใหญ่มักจะเรียกชื่อท่านว่า “ ญาคูขี้หอม” ส่วนเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของท่าน คนทั่วไปจะเรียกว่า“ ธาตุญาคูขี้หอม” บ้าง “ ธาตุพระอรหันต์ภายซ้อน” บ้าง </TD></TR><TR><TD>“ สมเด็จพระสังฆราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง” หรือ “ ท่านเจ้าราชครู โพนสะเม็ก” รูปนี้เป็นที่ภูมิใจของชาวจังหวัดอุดรธานีเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อประมาณ 400 ปีเศษ หรือในพุทธศตวรรษที่ 21 บ้านกาลึม ต. เมืองพาน อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี ในปัจจุบน </TD></TR><TR><TD>ส่วนในอดีตนั้นเป็นเมืองโบราณชื่อ เมืองโพพันลำ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ “ เจ้าราชครู โพนสะเม็ก” ซึ่งต่อมาได้รับการ สถาปนาชึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง ถึงสองครั้งสองคราว จาก เมืองศรีสัตตนาคนหุต ( เวียงจันทน์) 1 ครั้ง และที่ นครจำปาศักดิ์อีก 1 ครั้ง </TD></TR><TR><TD>บ้านกาลึม ในปัจจุบัน เป็นแหล่งศิลปกรรมสมัยทวาราวดีตอนปลาย สมัยลพบุรีและสมัยล้านช้าง มีกลุ่มเสมาทราย สิมร้าง พระพุทธรูปไม้ พระพุทธรูปสำริด ทองคำ ปืนใหญ่สมัยประวัติศาสตร์อยู่ที่วัดตาลก่องเป็นจำนวนมาก แต่สภาพเสื่อมโทรมเสียหาย เพราะขาดการดูแลรักษาที่ดีนั่นเอง
    </TD></TR><TR><TD>ชาวพุทธผู้แสวงบุญ หากเดินทางไปนมัสการพระธาตุพนม อย่าลืมแวะกราบนมัสการ ” พระธาตุญาคูขี้หอม” และรูปเหมือนของท่านสี่องค์ซึ่งประดิษฐานไว้ที่สี่มุมกำแพงพระธาตุพนม แล้วจะสมหวังในคำอธิษฐานไว้กับท่านอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    http://oldkhonkaen.mcu.ac.th/budhasi...ry_pralub.html
    [​IMG]
    ประวัติพระลับ
    พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองขอนแก่น

    พระพุทธลักษณะของพระลับ
    พระลับเป็น "พระพุทธรูปปางมารวิชัย" หล่อด้วยสัมฤทธิ์ทั้งองค์และทั้งฐาน ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑ นิ้ว สูง ๒๙ นิ้ว ประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระพักตร์รูปไข่ พระนลาฎกว้าง พระขนงโก่ง พระเนตรเรียว เหลือบตาลงต่ำ พระนาสิกสันปลายแหลม พระโอษฐ์แย้ม ขนาดพระเกษาเหล็กแหลม พระเกตุมาลาใหญ่ รัศมีเป็นเปลว ตั้งอยู่บนฐานกลีบบัว ครองจีวรห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา ชายจีวรยาวลงมาจรดพระนาภี นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน ฐานปัทม์ยกทรงสูงสี่เหลี่ยมบัวคว่ำหงาย และแนวลูกแก้วอกไก่งอนขึ้นทางด้านบน
    พระลับจัดอยู่ในกลุ่มพระพุทธรูปศิลปลาว "สกุลช่างเวียงจันทน์" คล้ายพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ระเบียงหอพระแก้ว กรุงเวียงจันทน์ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - ๒๔
    ประวัติความเป็นมา
    กรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างเวียงจันทน์ ภายหลังจากที่พระยาสุริยวงศาสิ้นพระชนม์ กรุงเวียงจันทน์เกิดการระส่ำระสายแย่งชิงอำนาจราชสมบัติกัน ฝ่ายยึดอำนาจได้ก็ปราบปรามฝ่ายตรงข้ามให้หมดสิ้นไป กลุ่มพระยาแสน (พญาเมืองจันทน์) ยึดครองเวียงจันทน์ได้ "เจ้าศรีวิชัย" อนุชาของพระสุริยวงศา ไม่สามารถขึ้นครองราชย์ได้ จึงพร้อมด้วยเชื้อพระวงศ์หลบหนีภัยไปพึ่งบารมีอยู่กับ "เจ้าราชครูโพนสะเม็ก" หรือ "ญาคูขี้หอม" ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ของกรุงเวียงจันทน์ ในสมัยนั้นเทียบเท่ากับสมเด็จพระสังฆราช มีคนเคารพนับถือสักการะมากที่สุด อยู่ที่วัด "โพนสะเม็ก" ใกล้กรุงเวียงจันทน์ ในการหลบหนีครั้งนี้ เจ้าศรีวิชัยได้นำบุตรไปด้วย ๒ คน คือ
    ๑. เจ้าแก้วมงคล ได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุ เรียนพระอรรถธรรมกัมมัฎฐานจนแตกฉานแล้วสึกออกมา จนคนเรียกว่า "อาจารย์แก้ว" หรือ "แก้วบูโฮม"
    ๒. เจ้าจันทร์สุริยวงศ์
    พระยาแสนเจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ ได้คิดที่จะกำจัดเชื้อพระวงศ์ของพระสุริยวงศาที่หนีกันมาพึ่งบารมีของเจ้าราชครูโพนสะเม็กอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเจ้าราชครูฯ ซึ่งมีผู้ให้ความเคารพนับถือมากด้วย และเนื่องจากโพนสะเม็กและกรุงเวียงจันทน์อยู่ใกล้กันมาก เจ้าราชครูโพนสะเม็กเกรงว่าเชื้อพระวงศ์ที่อพยพมาพึ่งบารมีจะได้รับอันตราย จึงวางแผนการอพยพออกจากรุงเวียงจันทน์ไปทางใต้เพื่อหาที่อยู่ใหม่
    พ.ศ. ๒๒๓๒ เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก ได้ขออนุญาตพระยาเมืองแสนเดินทางไปบูรณปฏิสังขรณ์ "พระธาตุพนม" ซึ่งชำรุดมาก ในการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งนี้จะได้นำชาวเวียงจันทน์และช่าง จำนวน ๓,๐๐๐ คน ร่วมเดินทางไปด้วย เมื่อได้รับอนุญาตก็พากันอพยพเดินทางล่องน้ำโขงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ดอนโขง ในการอพยพคราวนี้เชื้อพระวงศ์ก็ได้หลบหนีออกมาด้วย ครั้นเดินทางมาถึงพระธาตุพนมก็เริ่มลงมือบูรณะพระธาตุพนมในปี พ.ศ.๒๒๓๓
    ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมคราวนี้นั้น เจ้าราชครูโพนสะเม็กได้บูรณะตั้งแต่ขั้นที่ ๒ ขึ้นไปจนสุดยอดพระธาตุ เล่ากันว่า เจ้าราชครูโพนสะเม็กได้ไปขุดเอาโลหะชนิดหนึ่งคล้ายตะกั่วหรือเงิน ซึ่งไทยล้านช้างเรียกเหล็กเปียก ไทยใต้เรียกเหล็กไหล มาเป็นโลหะหล่อเป็นโบกสวมลงในปูนที่ยอดพระธาตุ สถานที่ขุดนั้นอยู่ที่ภูเหล็กใกล้บ้านดอนข้าวหลาม ตำบลน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม อยู่ทางใต้ของพระธาตุพนม ประมาณ ๘ กม. ปัจจุบันยังมีหลุมและรอยขุดอยู่ ภูนั้นเป็นภูเขาศิลาแลงเตี้ยเป็นเนินสูงจากทุ่งนา
    กำเนิดพระพุทธรูป
    พ.ศ.๒๒๓๖ หลังจากการบูรณะพระธาตุพนมคราวนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าราชครูโพนสะเม็กได้หล่อพระพุทธรูปใหญ่ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๑.๘๐ เมตร เป็นประธานอยู่พระวิหารหอแก้วปัจจุบัน และนอกจากนั้นก็ได้นำเอาทองแดง เศษปูน และวัสดุ ที่เหลือจากการปฏิสังขรณ์พระธาตุพนม มาหล่อพระพุทธรูปหลายองค์ มอบให้แก่ศิษยานุศิษย์ เพื่อจะได้นำไปสัการะเป็นสิริมงคลในโอกาสที่จะไปสร้างเมืองทางใต้ในโอกาสต่อไป ส่วนที่เหลือได้บรรจุไว้ที่ธาตุพนม (ต่อมา พ.ศ.๒๔๙๗ เจ้าคุณพระเทพรัตนโมลีฯ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ได้ซ่อมแซมพระวิหารหอแก้วก่อนจะปูกระเบื้องลายซีเมนต์ ก็ได้สั่งให้ช่างขุดพื้นวิหารตรงหน้าประธาน ได้พบกรุพระจำนวนมาก มีพระทองคำบุ ๒๕๐ องค์ พระเงินและพระเล็กๆ เป็นจำนวนมาก แต่มิได้เอาขึ้นมา เอาแต่องค์พระทองคำ ๑ องค์ หนักประมาณ ๔ กิโลกรัมครึ่ง พระนาค ๑ องค์ พระทองคำบุ ๓ องค์ พระหินดำ ๑ องค์ และพระทองสัมฤทธิ์ ๑ องค์ นอกนั้นอยู่ในกรุทั้งหมด
    ข้อสันนิษฐาน "พระลับ" พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองขอนแก่น คาดว่าจะสร้างโดยท่านราชครูโพนสะเม็กในคราวนี้ แล้วมอบให้แก่เชื่อพระวงศ์เพื่อนำไปให้ลูกให้หลานไปเป็นสิริมงคลในการสร้างบ้านสร้างเมืองในโอกาสต่อไป ส่วนชื่อนั้นคงจะไม่มีใครจดจำได้จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้
    การสร้างบ้านสร้างเมือง
    พ.ศ.๒๒๓๖ หลังจากที่ เจ้าราชครูโพนสะเม็ก บูรณะพระธาตุพนมเสร็จแล้วก็ได้แบ่งครอบครัวจำนวนหนึ่งให้อยู่อุปัฎฐากพระธาตุ นอกนั้นก็อพยพไปทางใต้ตามลำน้ำโขงเพื่อตั้งบ้านเรือนต่อไป กล่าวถึง นางเภา และ นางแพง(แม่ญิง) ผู้ครองเมืองกาลจำบากนาคบุรีศรี ได้ทราบข่าวว่าเจ้าราชครูโพนสะเม็กพำนักอยู่ที่เกาะแดง ท่านเป็นพระเถระที่มีคนเคารพสักการะมาก ไปที่ใดก็สร้างพระพุทธรูปวิหหาร เกิดความศรัทธาเลื่อมใส จึงพร้อมด้วยท้าวพญาแสน ไปนิมนต์อาราธนาท่านขอให้พำนักอยู่ที่เมืองเพื่อทำนุบำรุงศาสนาให้ถาวรรุ่งเรืองต่อไป ท่านราชครูโพนสะเม็กก็ไม่ขัดศรัทธา ครั้นอยู่ต่อมานางแพงพร้อมด้วยมุขมนตรีประชาราษฎรทั้งปวงมีความเลื่อมใสศรัทธาและเคารพนับถือเจ้าราชครูฯมากยิ่งขึ้น จึงพร้อมกันถวายทั้งพุทธจักรและอาณาจักรให้ราชครูฯ ปกครองทั้งสิ้น นครจำบากนาคบุรีศรีเป็นพระปกครอง
    พ.ศ.๒๒๕๖ ท่านราชครูฯ ได้ใช้วิธีปกครองโดยทางธรรมแต่ไม่สำเร็จเรียบร้อย การชำระความตามอาญาแผ่นดินก็จะผิดวินัยพระ เมื่อพิจารณาแล้วจึงเห็นว่า เจ้าหน่อกษัตริย์ ซึ่งเป็นอนุชาของพระเจ้าองค์หล่อ หรือ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ (อพยพหลบหนีเมื่อคราวมาบูรณะพระธาตุพนม) เป็นเชื้อกษัตริย์กรุงเวียงจันทน์โดยแท้จริง จึงได้เชิญมาเป็นประมุขฝ่ายอาณาจักร ถวายนามว่า "เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร" และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่จาก กาลจำบากนาคบุรี เป็น "นครจำปาศักดิ์" แยกออกจากอาณาเขตของกรุงเวียงจันทน์
    เมื่อ "เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร"ได้ปกครองนครจำปาศักดิ์แล้ว ก็มอบอำนาจให้เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กมีอำนาจฝ่ายพุทธจักรปกครองสงฆ์ที่นครจำปาศักดิ์ จนท่านราชครูหลวงฯ อายุได้ ๙๐ ปี ก็มรณภาพโดยโรคชรา (พ.ศ.๒๒๖๓)
    การขยายดินแดนอาณาเขต
    เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร ได้แต่งตั้งให้ลูกหลานสายโลหิตพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๑ ไปสร้างเมืองเพื่อขยายอาณาเขตให้กว้างยิ่งขึ้นหลายเมือง แต่จะขอกล่าวเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ "พระลับ" และเมืองขอนแก่นเท่านั้น
    เจ้าแก้วมงคล หรือ อาจารย์แก้ว พร้อมด้วยลูกหลานของท่านที่อพยพหนีติดตามมาจากนครเวียงจันทน์ ไปปกครอง "เมืองท่ง" หรือ "เมืองศรีภูมิ" เดิมเป็นที่ร้างให้ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ พ.ศ.๒๒๕๖ เจ้าแก้วมงคลพร้อมด้วยลูกหลาน ๕๐๐ ครอบครัว จึงอพยพขนทรัพย์สมบัติ รวมทั้งพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าราชครูโพนสะเม็กสร้างเมืองคราวบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมรวมไปด้วย สร้างเมืองเสร็จ พ.ศ.๒๒๕๗ ปัจจุบันคือตำบลเมืองท่ง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เจ้าแก้วมงคลมีบุตรกับภรรยาเก่า ๑ คน ชื่อ เจ้าหน่อคำ ให้ไปปกครองเมืองน่าน และกับภรรยาใหม่ ๒ คน คือ ท้าวมือ หรือเจ้ามืด กับเจ้าทน เจ้าแก้วมงคลเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ.๒๒๖๘
    "ท้าวมืด" หรือ "เจ้ามืด" บุตรของเจ้าแก้วมงคลได้เป็นเจ้าเมืองต่อมา ท้าวมืดมีบุตรชาย ๓ คน คือ
    ๑. ท้าวเซียง เป็น เมืองแสน คุมกองทหารทั้งหมด
    ๒. ท้าวสูน เป็น เมืองจัน ปกครองฝ่ายพลเรือน
    ๓. ท้าวสัก เป็น "เพี้ยเมืองแพน" คุมทหารรักษาเขตแดนอยู่ชายฝั่ง "ชีโหล่น" หรือ "ซีล้น"
    พ.ศ.๒๓๓๒ "ท้าวสัก" ได้รับคำสั่งให้ไปตั้งแห่งใหม่ชายแดนด้านเหนือเขตเมืองสุวรรณภูมิกับเขตเมืองร้อยเอ็ด ท้าวสักซึ่งมีตำแหน่งเป็นเ "เพี้ยเมืองแพน" ก็อพยพประชาชนพลเมืองประมาณ ๓๓๐ ครอบครัว พร้อมทั้งนำพระพุทธรูปไปไว้สักการะเป็นมิ่งขวัญแก่บ้านเมืองด้วย ครั้นเดินทางมาถึงบริเวณบึงมีต้นบอนเกิดขึ้นมากมาย เป็นทำเลดี อยู่ใกล้แม่น้ำชี สองฝั่งบึงนั้นสูงน้ำท่วมไม่ถึง จึงตั้งบ้านเรือนเรียกว่า "บ้านบึงบอน" และได้ก่อสร้างหลักเมืองฝั่งตะวันตกของบึง (ปัจจุบันอยู่ที่คุ้มกลางเมืองเก่า) เมื่อสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยเรียบร้อยแล้ว ก็ได้สร้างวัดขึ้น ๔ วัด คือ
    ๑. วัดเหนือ ให้เจ้าเมืองและลูกหลานไปทำบุญอุปัฎฐาก
    ๒. วัดกลาง ให้เสนาอำมาตย์พร้อมลูกหลานไปทำบุญอุปัฎฐาก
    ๓. วัดใต้ ให้ประชาชนพลเมืองทั่วไปทำบุญอุปัฎฐาก
    ๔. วัดท่าแขก อยู่ทางทิศตะวันออก สำหรับพระภิกษุอาคันตุกะจากถิ่นอื่นมาพักและประกอบพุทธศาสนพิธิ
    ในการสร้างวัดต่างๆ หรือ "หอ" หรือ "โฮง" ปูชนียสถานทางพระพุทธศาสนาของชาวลาว ล้วนชำนาญในการใช้ไม้เป็นวัสดุสร้างวัด ทำห้ไม่มั่นคงแข็งแรง จึงได้นำเอาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดไปซ่อนไว้ถือเป็นความลับ เพราะกลัวขโมยหรือพวกอันธพาลมาลัก มาทำลาย เมื่อสร้างวัดเหนือเสร็จแล้วจึงสร้างพระธาตุมีอุโมงค์ภายใน นำเอาพระพุทธรูปไปเก็บซ่อนไว้อย่างลับที่สุด รู้แต่เจ้าอาวาสวัดเท่านั้น คนทั้งหลายจึงเรียกว่า "พระลับ" หรือ "หลวงพ่อพระลับ" สืบจนมาถึงทุกวันนี้ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๔๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระบรมราชโองการยกฐานะบ้านบึงบอนเป็น "เมืองขอนแก่น" ตั้งให้ "ท้าวสัก" ซึ่งเป็น "เพี้ยเมืองแพน" เขตเมืองสุวรรณภูมิ เป็นเจ้าเมืองขอนแก่นคนแรก มีนามว่า "พระนครศรีบริรักษ์" ส่วนการปกปิดพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ไว้ในพระธาตุไม่มีใครเคยเห็น จึงไม่ทราบว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร เมื่อกล่าวถึงพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์นี้ก็เรียกว่า "พระลับ" คนรุ่นต่อมาขยายบ้านเมืองมาตั้งบ้านขึ้นใหม่ด้านเหนือเมืองเก่า จึงตั้งชื่อว่า "บ้านพระลับ" และยกระดับเป็นตำบลพระลับ ปัจจุบันตำบลพระอยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองขอนแก่น และต่อมาเมื่อได้เป็นจังหวัดขอนแก่น วัดเหนือเปลี่ยนชื่อเป็นวัดธาตุ (พระอารามหลวง) วัดกลาง คงชื่อเดิม วัดใต้ ตั้งอยู่ริมหนองน้ำมีต้นแวงขึ้นมา จึงเรียกว่า วัดหนองแวง (พระอารามหลวง)
    การเปิดเผยพระลับ
    เมื่อ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๗ "หลวงปู่พระเทพวิมลโมลี" (เหล่ว สุมโน ,ปัจจุบัน พระธรรมวิสุทธาจารย์) เจ้าอาวาสวัดธาตุ (พระอารามหลวง) , รองเจ้าคณะภาค ๙ (มหานิกาย) และเป็นรองอธิการบดี มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วิทยยาเขตขอนแก่น (ในขณะนั้น) ท่านมีอายุได้ ๘๖ ปี เกรงว่าต่อไปจะไม่มีใครรู้จัก "หลวงพ่อพระลับ" ท่านจึงได้เชิญ "นายกวี สุภธีระ" ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นในขณะนั้น พร้อมด้วยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้ทรงคุณวุฒิฝ่ายสงฆ์และฆราวาส มาร่วมกันเปิดเผยและประกาศให้เป็นทางการว่า พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ "พระนครศรีบริรักษ์" เจ้าเมืองขอนแก่นคนแรกได้นำมาพร้อมกับการสร้างเมืองคือ "พระลับ" ที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดธาตุ (พระอารามหลวง) เมืองเก่า ขอนแก่น และประกาศว่า "เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองขอนแก่น" สืบไปชั่วกาลนาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...