ว้าว ดีจัง คุณzipperไปเวียดนามมาด้วย
มิน่า ช่วงนี้ นั่งรถเมล์ทีไร ร้านอาหารเวียดนามเตะตาตลอดเลย (เอ๊ะ เกี่ยวกันไหมเนี่ย)
เวลาไปไหนมาไหน นกก็ชอบถ่ายรูปข้างทางเหมือนกันนะ เก็บมาหมดถนน คน หมา แมว นกว่ามันสวยดีออก ถ่ายแบบไม่เจาะจง แต่สวย
เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.
หน้า 129 ของ 454
-
-
เจ๊บมั๊ยครับโดนเตะตา (อิอิ)
หลังจากโพสตะกี้ก็ย้อนไปอ่านย้อนหลังช่วงที่ไม่อยู่ ตอนนี้อ่านถึงหน้า 122 แระ
ที่อยากไปเพราะเห็นว่าช่วงนี้กระแสเวียดนามแรงเหลือเกิน เลยอยากไปดูบ้านเมืองเค้าบ้างว่าเป็นยังไง
ปกติไม่ค่อยถ่ายข้างทางอะไรเก็บไว้เท่าไหร่ แต่มาครั้งนี้รู้สึกว่าข้างทางบางทีมันก็มีอะไรน่าสนอยู่เหมือนกัน เลยเห็นอะไรก็ถ่ายแหลกเลย แถมต้องรีบถ่ายด้วย เพราะมีเวลาประมาณแค่ 4 วินาทีเอง เกินกว่านั้นรถก็วิ่งเลยไปแล้ว
ช่วงที่ไปเที่ยวก็นึกๆ อยู่ว่า จะมีใครฝันถึงเวียดนามหรือเปล่าหนอ อิอิ -
อ่านเห็นเขียนถึงความสุขเรียบง่ายในชีวิตประจำวัน สิ่งรอบๆ ตัวก็ดูเป็นสิ่งพิเศษ
ตอนนั้นยืนรอรถเมล์อยู่แถวบ้านตามปกติ ทันใดนั้นก็เห็นต้นไม้ที่เกาะกลางถนน เป็นต้นไม้ที่ดูชุ่มช่ำ ท้องฟ้าดูสดใส บรรยากาศเรืองรอง ทั้งหมดนี้เป็นไปที่ความรู้สึก ต้นไม้ก็ต้นเดิม บรรยากาศก็เดิมๆ รถก็พลุกพล่านตามสไตล์กรุงเทพฯ มีแต่ความรู้สึก ที่อยู่ก็เปลี่ยนไป ทุกสิ่งก็ดูงามไปหมด เมื่อความรู้สึกนั้นหายไป ความรู้สึกก็กลับมาเดิมๆ ต้นไม้ก็ต้นเดิมๆ แสงอาทิตย์ส่องแสงตามปกติ
หลังจากนั้นก็รู้สึกได้ว่า ทุกสิ่งมันอยู่ที่ใจนี่เองเนอะ จะมองว่าสวยงามหรือเบื่อหน่ายหรือเดิมๆ ก็อยู่ที่ความรู้สึกที่ใจ บางครั้งเดินแหงนหน้ามองฟ้า รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ฟ้าก็ฟ้าเดิมๆ มีแต่ใจที่เปลี่ยนไป... -
บางทีมันอดไม่ได้จริงๆเลยนะพี่ขจรวรรณ ที่ต้องเล่นบทผู้ร้ายชนกะผู้ร้ายอ่ะ
นกไม่ชอบความไม่ยุติธรรม หรือการเอาเปรียบคนซึ่งนกเองไม่ได้เจอเหตุการณ์โดยตรง
แต่คนที่สนิทกัน คนรู้จักรอบข้าง เค้าเจอมาแล้วไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย เราก็เลยขออาสาจัดการทุกทีไปสิน่า
อย่างตอนเรียนนกมักจะเป็นคนคอยจัดการเรื่องที่เพื่อนโดนเอาเปรียบแบบนี้เสมอ จะลองเล่าประสบการณ์ขำ ๆ+ร้าย ๆให้อ่านล่ะกันนะ
ตอนม.ต้น ในกลุ่มจะมี 4 คน ทุกกลางว้นก็จะซื้อนมกินกันคนละถุง จากนั้นใครจะซื้อขนม ผลไม้ อะไรก็แล้วแต่
มีเพื่อนคนนึง ตัวเองกินนมถุงเดียวทุกวัน แต่มานั่งกินของคนอื่นโดยไม่เคยช่วยออกตังค์ หรือซื้ออะไรมาแบ่งกันบ้างเลย ทั้งที่ตัวเองก็มีตังค์
แรก ๆ ไม่คิดอะไรหรอก ยังไงก็เพื่อนกัน แต่เอ๊ะนี่ชักทุกวัน จะประหยัดไปไหมเนี่ย
ปล่อยแบบนี้ไปไม่ได้ล่ะ พอกลางวันนกให้เพื่อนคนนี้ไปซื้อลูกชิ้น ซึ่งนกก็ยืนอยู่ข้างหลังนี่แหล่ะ
ว่าแล้วก็จิ้ม ๆ เอาไม้นู้น ไม้นี้ เยอะไปหมด พอตอนจ่ายตังค์ก็บอกว่าจ่ายไปก่อนสิ
คราวนี้นั่งกินกันเรียบร้อยแล้ว เพื่อนคนนี้ก็ทวงตังค์ค่าลูกชิ้น
นกก็เลยบอกว่ากินฟรีมาทุกวันแล้ว วันนี้ก็เลี้ยงเพื่อนมั่งสิ เค้าเลยทำหน้าจ๋อย ๆ ไป
พอวันต่อมา เค้าปรับตัวใหม่ ดีขึ้น ซื้อขนมมาแบ่ง ๆ กันกิน อาการขี้งก กินฟรีไม่มีอีกเลย
อย่างน้อยถ้าเราได้สะกิดบางเรื่องที่เค้าควรจะปรับปรุง แล้วทำให้ตัวเค้าดีขึ้น คนรอบข้างมองเค้าดีขึ้น มันก็น่าจะทำ
ตอน ปวช. เพื่อนคนนี้โดนยืมตังค์บ่อย ๆ แล้วตัวเค้าก็ขี้เกรงใจมาก
คนยืมก็ชอบทำเป็นลืม ไม่ก็บอกว่าจำได้ แต่ยังไม่จ่าย
นกก็ว่าเค้าว่าตังค์เราเค้ายืมไปก็ต้องคืน ถ้าไม่คืนก็ต้องทวงไม่เห็นจะต้องเกรงใจเลย แต่ในเมื่อเพื่อนไม่กล้านกก็จัดการให้
นกชอบใช้มุขที่ว่า อ้าว เนี่ยเพื่อนนกมันติดตังค์นกอยู่นะ เธอติดตังค์เพื่อนนกใช่ไหม งั้นเอามาคืนที่เราเลยจะได้หักกันไป
หึหึ เจอนกทวงแบบนี้ ยังไงก็ต้องคืน ลองไม่คืนสิ หึหึ สงสัยต้องไปทำงานแผนกเร่งรัดหนี้สินแล้วมั้ง อิอิ
ตอน ปวส. อันนี้มี 2 เหตุการณ์ กับเพื่อน 2 คน
คนแรก ชอบว่าชอบติคนอื่นมาก นกก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเค้าจะต้องขุดเอาเรื่องคนอื่นมาว่า
ประมาณว่าแค่เค้ามองหน้าใครขึ้นมา สามารถติได้เป็นจุด ๆ เลย ว่าไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้
จนเพื่อน ๆ ในห้องเรียกว่าปาก..หมา ทั้งที่เป็นผู้หญิงนะเนี่ย
หนนึง เค้าติเรื่องหน้าเพื่อนสนิทนกที่เป็นสิว ว่าถ้าหน้าเค้าเป็นแบบนี้นะไม่กล้าออกจากบ้านแน่เลย
พอเพื่อนสนิทนกฟังก็เสียใจและไม่อยากพูดอยากคุยกับใครเลย เหมือนไปย้ำปมด้อย
ปากอย่างนี้ต้องเจอซะหน่อยแล้ว นกก็เลยว่าเค้า แบบเอามาเป็นจุด ๆ เลยว่าตัวเค้ามีอะไรดีบ้างเนี่ย ว่าแบบขำ ๆ นะ แต่เอาจริง
จนเพื่อนที่ปากเสียคนนี้หงอยไปเลย รู้ว่าปากสู้นกไม่ได้ พอตอนหลังเค้าเตรียมจะว่าใคร นกบอกหุบปาก เค้ารีบหยุดทันที
ถึงบางทีจะว่า ๆ เค้าอย่างนี้ก็เถอะ แต่ตอนเค้ามีปัญหาทางบ้านมาก็อดช่วยไม่ได้
บางมุมของเค้าก็มีอะไรที่น่าสงสารอยู่ เหมือนเด็ก ๆ บางทีถ้าไม่เตือนคนอื่นจะเกลียดเค้ามากกว่านี้
ส่วนอีกคนนึง ชอบทำตัวเงียบ ๆ เรียบร้อย แต่เป็นคนที่ชอบพูดจาให้คนอื่นทะเลาะกันเป็นที่สุด
ต้องบอกว่าคนนี้ทำให้นกกับเพื่อนคนนึงห่าง ๆ กันไป โดยที่ตอนหลังก็เพิ่งรู้ว่าเค้าไปพูดเรื่องไม่ดีและไม่จริง
โห เวลาโดนคนที่ไว้ใจหักหลังนี่เจ็บจนกระอักเลยนะ
นกคบเพื่อนแต่ละคน ต้องบอกว่าจริงใจแบบให้หมดเลย เจอแทงข้างหลังแบบนี้เสียความรู้สึกมาก แต่รับรองให้ทำได้หนเดียว
ไม่นานเค้าก็ไปยุคนนู้นคนนี้ให้แตกกันตามเคย ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้หรอก
คนที่ไม่พูดความจริง แล้วยังทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกันมันใช้ได้ที่ไหน
นกจับคนที่เข้าใจผิดกัน รวมทั้งตัวเพื่อนคนนั้นด้วยมานั่งคุยกันต่อหน้าเลย
ว่าใครพูดอะไรกันแน่ กะว่าถ้าไม่เคลียร์ให้เข้าใจจะไม่เลิก
สุดท้าย ทุกคนก็รู้ความจริงว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนยังไง ในห้องแทบไม่มีใครคบเลย
แต่ก็หวนคิดเหมือนกันนะว่าเราทำเค้าเกินไปหรือเปล่าเนี่ย แต่ก็อยากให้เค้าเปลี่ยนนิสัยแบบนั้นซะที มันไม่เป็นผลดีกับใครเลย
มีอีกหลายเรื่องที่ชอบทำตัวเป็นคนคอยจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คนอื่นเค้าเนี่ย
นกก็ไม่ได้อยากร้ายหรือทำไม่ดีใส่ใครเลยนะ แต่เห็นแล้วก็อดไม่ได้
บางทีใครทำไม่ดีแล้วจะปล่อยให้เค้าทำไปเถอะ เดี๋ยวก็ได้รับผลกรรมนั่นเอง
ซึ่งที่จริงเราก็ช่วยสะกิดให้เค้าเปลี่ยนได้นะ
ถ้าเค้าเล่นบทบาทเดิม ๆ ก็จะคอยเอาเปรียบอยู่อย่างนั้น
คนเราเปลี่ยนกันได้ เปลี่ยนบทบาทใหม่ ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างและดีขึ้น
คนที่โดนเอาเปรียบก็เหมือนกัน ถ้าเรายอมให้เค้าเอาเปรียบอยู่วันยังค่ำ มันก็จะเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไปเหรอ ลองรับบทบาทใหม่ ๆ ดูบ้าง
นกก็อย่างนี้แหล่ะ เรื่องบางเรื่องก็ไม่ยอมเอาซะเลย
แต่บางเรื่องก็ยอมแต่โดยดีซะงั้น
ไปซื้อเสื้อผ้า ต่อราคาแล้ว พอจ่ายตังค์รับเงินทอน กลับคิดราคาเต็ม
แทนที่นกจะบอกเค้าว่าลดราคาแล้วไม่ใช่เหรอ กลับมองเงินทอนในมือแล้วก็เดินออกจากร้านไปโดยไม่พูดอะไรซักคำ
ขึ้นTAXIเราก็รู้นะว่าเค้าพาไปทางนี้มันอ้อม(มากๆๆๆๆๆ) ก็ยังนั่งเฉยไม่พูดให้เค้าไปอีกทาง
ยอมจ่ายค่ารถที่แพงขึ้นมาตั้งเยอะ ทั้งที่รู้เส้นทางไปดีอยู่แล้วยังไม่ท้วงอีก
เรื่องงาน ไม่ใช่ความผิดที่เราทำขึ้น แต่ก็ไม่อธิบายให้เจ้านายฟัง เลยได้ฟังเสียงบ่นแล้วผลงานก็ตกเป็นของอีกฝ่าย
ชีวิตนี้ถ้ามีแต่ด้านเดียวมันก็ไม่สนุกน่ะสิเนอะ ไม่ได้เกิดการเรียนรู้ในหลาย ๆ แง่มุม ไม่ว่าจะเจออะไรก็ต้องขอบคุณที่เป็นบทเรียนที่ดีให้กับชีวิตเรา (bb-flower -
ต้องบอกว่าอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์เลย เห็นแต่ร้านอาหารเวียดนามจริง ๆ
ทั้งที่บางร้านก็อยู่ตรงที่เราเคยผ่านทุกวันนี่แหล่ะ แต่ทำไมเพิ่งสังเกตุเห็นก็ไม่รู้สิ
ตอนเรียนอยู่ปราจีน เพื่อนชอบพาไปกินร้านอาหารเวียดนาม ติดใจมาก ๆ
แต่จำชื่อไม่ได้แล้วล่ะ รู้แต่ว่า อร่อย อิอิ (b-smile) -
อ้อ เห็นมีพูดถึงภาษาอังกฤษปัจจุบันนี้ก็พออ่านออกเขียนได้ในระดับนึง การเรียนรู้ศัพท์ ก็ต้องอาศัยเปิดดิกแล้วท่องเอาแหล่ะ แต่บางทีแล้วก็อาศัยความรู้สึกเอาว่าคำนั้นแปลว่าอะไร อย่างบางคำเป็นคำสำนวน(หรือที่เรียกว่า IdionXm)อ่านแล้ว "รู้สึก" เข้าใจนะว่าความหมายมันไปประมาณนี้ แต่อธิบายไม่ได้ อย่างก่อนหน้านี้ที่เคยแปลอะไรให้อ่าน บางคำบางสำนวนพอจะเข้าใจนะว่าความหมายมันไปประมาณนี้(รู้สึกเอา) แต่ก็นึกคำไม่ออก บางทีก็เลยเขียนเป็นคำอธิบายซะยาวเลย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจความหมายถูกไปซะทุกคำนะ บางคำก็เข้าใจผิดไปก็มี แต่ก็คงเพราะว่าพอจะเข้าใจความหมายของคำที่เอามาทำเป็น Idiom ด้วย เพราะถ้ายกมาโดดๆ ก็แปลไม่ถูกเหมือนกัน ถ้ายกมาเป็นประโยค ก็พอจะเดาได้ง่ายขึ้นว่าคำนั้นหมายความว่าอะไร โดยเดาจากความหมายของประโยค -
วันนี้นกขึ้นรถเมล์นะ ทั้ง ๆ ที่ได้ยืน แถมคนก็แน่น แต่ทำไมอารมณ์ดี๊ดี อิอิ -
แต่ชอบตีความหมายจากเพลงนะ ว่าเพลงนี้สื่อถึงความรู้สึก ดีใจ เสียใจ อะไรอยู่
บางทีฟังแค่ทำนองดนตรีก่อน ก็พอเข้าใจแล้วว่าเพลงนี้มันเศร้าแน่เลย แล้วค่อยจับอีกทีว่าเนื้อเพลงว่ายังไง -
วันนี้ตอนขากลับบ้าน ยืนไปสักพักก็ได้นั่ง
ชอบมองตามข้างทางว่ามีร้านอาหารอะไรที่ดูน่ากินบ้าง
แต่วันนี้สะดุดแต่ร้านตัดผมมากเป็นพิเศษ
พอลงรถได้ เลยเลี้ยวเข้าร้านตัดผมซะงั้น
ไม่มีความคิดจะตัดผมเลยช่วงนี้ แต่เห็นร้านตัดผมเลยอยากตัด
สรุป เลยได้ผมทรงหน้าหมา เอ๊ย หน้าม้ามา อิอิ
เนี่ยคือสิ่งที่นกเป็นบ่อย ๆ อยู่ ๆ นึกอะไรขึ้นได้จะทำ
แต่ให้คิดวางแผนแล้วทำมักจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย 555 -
ไปเวียดนามก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าอาหารที่กินชื่ออะไรบ้าง เพราะเค้าก็สั่งมาให้หมด แต่ว่าอาหารเวียดนามก็อร่อยดีนะ
สงสัยเพราะว่าไปเวียดนามคุณนกเลยสังเกตเห็นร้านอาหารเวียดนามมากขึ้น เอ อย่างนี้ จะมีใครสังเกตเห็นอะไรหรือรู้สึกอะไรอีกหรือเปล่าน้อ
ก็ขอเอาภาพวิวทิวทัศน์สวยๆ และก็เด็กๆ มาฝากละกัน
ก็มีรูปถ่ายถังน้ำในวังจักรพรรดิไดนอย สมัยก่อนเอาไว้ดับเพลิงกับใส่เหล้าเลี้ยงฉลอง, ดวงอาทิตย์ตกที่แม่น้ำหอม ถ่ายที่หน้าเจดีย์เทียนมู่, ภาพตอนล่องแม่น้ำหอม, ตอนล่องอ่าวฮาลอง, ดวงอาทิตย์ขึ้นที่หน้าโรงแรม และก็เด็กเวียดนามและต่างประเทศที่เจอที่สนามบินไฟล์ที่แนบมา:
-
-
Back from Keller, Texas
สวัสดีค่ะพวกเราชาวห้องว้ทย์ฯ
พี่นักเขียนกลับมาพร้อมกับของฝากคือ Texas Long Horn
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความชื่นชมในความเป็นไปของพวกเราชาวห้องวิทย์ฯ ที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ยามตื่น-ยามฝัน และความคิดเห็นกันอย่างสม่ำเสมอ
พี่นักเขียนไป Texas คราวนี้เพื่อไป confirm หน้าที่ก้าวต่อไปที่จะต้องเริ่มดำเนินการในเร็ววันนี้ ซึ่งทำให้พี่นักเขียนต้องโยกย้ายครั้งใหญ่ในชีวิต-อีกครั้ง นับจากนี้ไปเวลาของพี่นักเขียนที่จะเข้ามาสนทนากับพวกเราจะมีจำกัดมาก เพราะอยู่ระหว่างการโยกย้ายครั้งใหญ่ แต่ก็จะพยายามเข้ามาสนทนากับพวกเราอย่างสม่ำเสมอที่สุด แม้จะไม่บ่อยเท่าที่เคย และถ้าหากเป็นไปได้ก็คงต้องขอความช่วยเหลือให้พวกเราช่วยกันตอบคำถามสมาชิกใหม่อย่างที่กำลังทำกันอยู่นี้ต่อไปค่ะ
พี่นักเขียนตระหนักว่าหน้าที่ของตนเองยังมีอีกมาก แม้ว่าจะฝันเห็นความเป็นไปล่วงหน้ามาหลายปี แต่ก็ไม่อาจจะเตรียมการหรือบอกได้ล่วงหน้าว่า ก้าวต่อไปจะมาถึงเมื่อใด เพราะปัจจัยที่จะทำให้ความฝันเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ค่อยๆปรากฏขึ้น แต่ปรากฏอย่างฉับพลันเสมือนความบังเอิญ-อันมีความหมาย ที่ลงล้อคพอดีพร้อมกันหลายปัจจัย-เมื่อเวลามาถึง
เมืองที่พี่นักเขียนกำลังจะย้ายไปอยู่นี้คือ Keller แม้จะเล็กกว่า Lawrence แต่อยู่ใน Dallas-Fortworth-Arlington area ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของสหรัฐ Keller เป็นเมืิองติดอันดับ top 50 เมืองน่าอยู่ที่สุดในสหรัฐ การย้ายครั้งนี้นอกจากจะทำให้พี่นักเขียนมีโอกาสสอนสมาธิให้กับคนจำนวนมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมแล้ว ยังเป็นโอกาสให้พี่นักเขียนได้ทำงานด้านศิลปะที่ตนเองรักได้อย่างเต็มที่อีกด้วย หลักสูตรสมาธิที่พี่นักเขียนจะไปเปิดสอนทีี่นั่น เป็นหลักสูตรที่พีี่นักเขียนได้กล่าวถึงไว้ใน website คือสอนทำสมาธิบนเบาะ และทำสมาธินอกเบาะด้วยการวาดภาพ เล่นดนตรี ถ่ายภาพ และกิจกรรมล่าสุดที่เพิ่มขึ้นมาคือเต้นรำ
คำกล่าวที่ว่าเทวดาจัดสรรนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นความเป็นจริงที่สุด เพราะนอกจากพี่นักเขียนจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้คนที่นั่นแล้ว ยังได้ผู้ร่วมงานที่จะทำหน้าที่เป็น organizer จัดหาสถานที่ จัดอาหาร จัด tour ฯลฯ และได้พบผู้คนที่พร้อมจะมาเรียนหลักสูตรดังกล่าวนี้กับพี่นักเขียน
ตัวเลขนี้นำมาให้พวกเราดูกันเล่นๆเป็น idea ว่า พี่นักเขียนกำลังจะย้ายฐานไปสู่เมือง Keller ซึ่งอยู่ติดกับ Dallas-Fortworth-Arlington area ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่กว่ากรุงเทพฯประมาณ 15 เท่า แต่มีประชากรพอๆกันกับกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่เมืองใหญ่เท่าไรนัก เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนถนนหนทางก็กว้างขวาง ผู้คนไม่หนาแน่นเช่นกรุงเทพฯ และยังมีที่ดินว่างอีกมากมาย บ้านใหญ่ๆในเมืองตั้งอยู่บนที่ดิน 10 กว่าไร่ ส่วนบ้านย่อมๆก็มีที่ดินหลังละประมาณ 1 ไร่
-------------
Thailand
population 64,186,000 คน
area 513,119 sq. km.
Texas
population 23,507,783 คน
area 678,051
-------------
Bangkok
population 5,704,723 คน
area 1,568 sq. km
Dallas-Fortworth-Arlington
population 6,003,967 คน
area 24,059 sq. km.
-------------------------------------------------------
คุณ zip ถ่ายรูปสวยๆจาก Ho Chi Min City มาฝาก
พี่นักเขียนถ่ายรูปสวยๆจาก ?Keller, Texas มาฝาก
ชาวห้องวิทย์ฯได้ around the world in one day
สมกับที่มีหัวหน้าห้องเป็นมนุษย์ต่างดาว
ต่อไปนี้ หากพี่นักเขียนจะตอบคำถามช้าไปบ้าง คงไม่ว่ากันนะคะ
website : http://www.novaanalai.com/novaanalai/Index.html จะเป็นที่รวบรวมคำถาม-คำตอบของพวกเราและผู้อ่านอื่นๆต่อไป ในอนาคตอันใกล้นี้พี่นักเขียนหวังว่า website นั้น จะกลายเป็น dual language website และทำให้พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลความรู้จากหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย กับนักเรียนสมาธิ/ผู้อ่านชาวอเมริกันได้ตามที่คุณ Mead หัวหน้าห้องได้เชิญชวนกึ่งพยากรณ์ไว้
พี่นักเขียนไม่ได้ทราบล่วงหน้าว่า ก้าวต่อไปของพี่นักเขียนจะมาถึงเมื่อไร แต่เมื่อมันมาถึงแล้วก็จำเป็นต้องก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่างานข้างหน้าจะหนักหน่วงเพียงใด พี่นักเขียนเชื่อว่าแรงกายแรงใจทุกหยาดหยดจะเป็นปัจจัยที่ทำให้คำสอนของท่านอาจารย์อนาลัยเผยแพร่ไปสู่คนหมู่มากได้ในที่สุด
เมื่อคุณน้องขจรวรรณเขียนไว้หลายสัปดาห์มาแล้วว่า สักวันหนึ่งพี่นักเขียนอาจจะหมดเวลาลงที่่จะตอบคำถามพวกเราชาวห้องวิทย์ฯ และเชิญชวนให้พวกเราสละเวลาอ่านและตั้งคำถามก่อนที่เราทั้งหลายจะไม่มีเวลาอีกต่อไป พี่นักเขียนเห็นด้วยกับคุณน้องขจรวรรณเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่า เวลาจะหมดลงเมื่อใด ทราบแต่ว่าพี่นักเขียนคงจะอยู่ที่ห้องวิทย์นี้ forever ไม่ได้อย่างแน่นอน
พี่นักเขียนใจชื้นขึ้นมาอีกนิด เมื่อคุณน้องขจรวรรณค้นพบว่า คำตอบต่อคำถามของตนเอง มีปรากฏอยู่ในหนังสือ และคุณเฉลยก็กล่าวว่า ท่านอาจารย์อนาลัยอยู่กับเราเสมอ และตอบคำถามของพวกเราจากภายใน จากจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณโดยตรง ประสบการณ์ของคุณน้องขจรวรรณและคุณเฉลย ทำให้พี่นักเขียนระลึกได้ว่าท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า พวกเรามักจะไม่ได้ตระหนักว่า คำตอบมักมีอยู่ในคำถาม และคำตอบมากมายมีอยู่ในหนังสือชุด 10 เล่มนี้แล้ว แม้ว่าพี่นักเขียนจะมาทำหน้าที่ขยายความ แต่พวกเราก็สามารถค้นหาคำตอบได้จากหันงสือและจากภายในเสมอ หากเราเชื่อว่าคำตอบนั้นอยู่ภายใน แต่ถ้าหากเราไม่เชื่อ เราก็จะต้องหาคำตอบจากภายนอกต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
พี่นักเขียนหวังอย่างยิ่งว่า จะได้ยิน-ได้อ่าน-ความคิดเห็นของพวกเรา-ผู้อ่านทั้งหลายต่อไปอีกตราบนานเท่านาน และหวังอย่างยิ่งว่า แม้พี่นักเขียนจะไม่ได้มาให้คำตอบหรือขยายความพวกเราได้บ่อยอย่างที่เคย พวกเราก็จะยังคงตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบกันต่อไป เสมือนค้นหาขุมทรัพย์ทางปัญญาร่วมกัน
ณ วันนี้เราได้ค้นพบขุมทรัพย์ร่วมกัน จากนี้ไปเราควรจะตั้งเป้าหมายว่า เราจะนำขุมทรัพย์เหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของเราและคนใกล้ตัวของเราอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อสร้างสังคมของเราให้น่าอยู่ทั้งทางกายและทางจิต
วันนี้ยังไม่ใช่วันที่พี่นักเขียนมากล่าวลาพวกเราอย่างเป็นทางการนะคะ แต่มาส่งข่าวให้พวกเราทราบว่า หน้าที่ต่อไปของพี่นักเขียนมาถึงแล้ว พี่นักเขียนเองก็รักและคิดถึงพวกเราชาวห้องวิทย์ฯเสมอๆ แม้ช่วงที่ไปทำธุระที่ Keller และตระหนักว่าก้าวต่อไปมาถึงแล้ว ก็ยังรู้สึกใจหายเหมือนกัน แต่สักวันหนึ่งเมื่อจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับภาระหน้าที่ขั้นต่อไป พี่นักเขียนก็คงจะต้องบอกลา
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเราจะตามหาพี่นักเขียนไม่พบ เพราะยังคงมี e-mail ให้ติดต่อกันต่อไป และเมื่องานขั้นต่อไปเป็นไปตามความคาดหมาย Keller อาจจะเป็นจุดนัดพบของพวกเราชาวห้องวิทย์ฯ บินตรงจากกรุงเทพฯ-Soul-DFW(Dallas-Fortworth)
ไม่ว่าพี่นักเขียนจะอยู่แห่งหนใดในโลก สวนหลังบ้านของพี่นักเขียนคือสัปปายะที่ผู้มาเยือนจะได้รับบริการอาหารไทย-ไวน์เทศ และบทสนทนาไร้พรมแดนทางความคิดเสมอค่ะ(rose)ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
"สนามหลังบ้านเขียวขจี
แซมดอกมวลบุบผาหลากสี
เหล่าผีเสื้อภูมรี ขจรมีหลากสีสลับกันไป
ช้อนลึกเก็บความลุ่มลึกที่ยิ่งใหญ่
บรรจงเก็บไว้รอพวกเราไปเยือน
จอง Steak เห็ดรวม หนึ่งที่
อาจจะพอมีสำหรับมนุษย์ผักสักคน"
ขอให้พี่นักเขียนมีความสุขในภารกิจที่กำลังทำอยู่
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
(smile) -
(good) -
แต่ไปเที่ยวทีไรก็รู้สึกวังเวงทุกทีเลย พยายามที่จะไม่ยึดติดกับอดีตอยู่ค่ะ..
กำลังควบคุมจิตให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
เพราะอดีต ปัจจุบันและอนาคต ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน(kiss) -
สำหรับที่น้องนกดูจากกระทู้นั้นเข้าใจว่าเป็นการอธิบายในระดับต้น ๆ ซึ่งจะเน้นไปในเรื่องรักษาโรค ซึ่งวิธีการนี้ก็เป็นอุบายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มุ่งเน้นให้ผู้ที่เรียนระดับต้น ๆ ฝึกสมาธิให้มาก เนื่องจากการที่เราจะรักษาใครได้นั้นเราจะต้องรวบรวมสมาธิและจิตของเราให้จดจ่อกับการรักษาโรค หรือเป็นการรวมกายกับจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง เมื่อเรียนขึ้นไปในระดับสูงขึ้นก็จะเริ่มเน้นในเรื่องของการพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงขึ้น รวมทั้งวิธีการนำความสามารถของจิตวิญญาณไร้รูปที่ได้เรียนรู้มาช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
ยิ่งถ้าน้องนกเป็นคนใจร้อนแบบนี้ ก็ควรที่จะฝึกไปด้วยเพราะจิตของเราจะมีสมาธิและพลังพอที่จะขจัดอารมณ์เหล่านี้ให้เย็นลงได้ ค่อย ๆ ฝึกไปวันละนิดจิตแจ่มใสค่ะ.. อิอิ.. ( หากน้องนกมีปัญหาเกี่ยวกับการฝึกถามได้เลยนะจ๊ะ ยินดีหาคำตอบให้ค่ะ ถ้าตอบไม่ได้ )
อ้อ.. เกือบลืมไปวันก่อนพี่อ่านหนังสือธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 13 ความสัมพันธ์ของชาติภพแล้วนึกถึงน้องนกขึ้นมาทันทีเลยค่ะ ลองเข้าไปอ่านอย่างละเอียดและทำความเข้าใจดูนะคะ เผื่อจะช่วยให้น้องนกเข้าใจในความสัมพันธ์กับผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่รอบข้างได้มากขึ้นค่ะ เพราะพี่ก็คล้าย ๆ น้องนกนี่แหละค่ะ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ตอนเด็ก ๆ นี่ พี่ก็ยังเคยต่อยเพื่อนผู้ชายที่มารังแกเพื่อนผู้หญิงเลยค่ะ พอเรียนมัธยมชักแหยง ๆ เพราะว่าพวกเค้าเริ่มตัวโตกว่าเราแฮะ.. เดี๋ยวสู้ไม่ได้เลยต้องทำตัวให้เป็นผ้าพับไว้.. ยังไงยังงั้นค่ะ.. อิอิ..
(b-hmm) -
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราชาวห้องวิทย์จะมีโอกาสได้บินตรงจาก กรุงเทพฯ - Soul - Dallas เพื่อไปร่วมสัมมนาทางความคิดในสวนหลังบ้านของพี่นักเขียนสักวันนึงนะคะ.. ( แต่ค่าใช้จ่ายที่ Dallas สูงจังค่ะ เท่าที่ทราบแค่น้ำดื่มขวดเล็ก ๆ ที่เราดื่มกันในเมืองไทยขวดละ 5 -10 บาท ที่โน่นขวดละตั้ง 200.- บาทแน่ะ.. ฮือฮือ.. จะได้ไปมั้ยเนี่ย.. )
(bb-flower -
เมื่อกี้พิมพ์ยาวๆหายหมดเลย เอาใหม่
เอาเป็นว่าวันนึงถ้าพี่นักเขียนไม่อยู่หรือนานๆเข้ามาทีเพราะมีภาระกิจพิเศษต้องไปทำ ซึ่งเป็นสิ่งดีๆอยู่ที่ Texas พวกเราก็ยินดีด้วยและขอให้ทุกอย่างราบรื่นและสมบูรณ์อย่างที่สุดครับ อาจจะทำให้เราได้ฝึกวิชาโทรจิตกันจริงๆจังๆ หรือไม่ก็คุยกันในฝันที่เป็นพัฒนาการใหม่ของพวกเราก็ได้ครับ
ทางนี้ไม่ต้องห่วงครับ อย่างที่พี่เฉลยกับคุณขจรวรรณบอกล่ะครับว่า ความรู้ของอาจารย์อนาลัยได้ถ่ายทอดคำตอบไว้ในหนังสือทั้ง 10 เล่มแล้ว และที่นี่ก็เริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นถาม-ตอบกันเองพอได้แล้วครับ น้องนก+คุณซิปเปอร์ก็มีเรื่องคุยกันสนิทสนมอ่านแล้วเพลินดีครับ คุณชมภูเขาก็แต่งกลอนเพราะๆมาให้อ่านบ่อยๆ น้องลูกเกดก็ไปได้สวยยยยยยยย น้องนาคาก็เครื่องติดวิ่งฉิวววว ท่านอื่นๆที่เข้ามาทักและเข้าอ่านก็คงได้ความรู้กันเต็มอิ่ม น้องมายด์ก็สอบเสร็จแล้วแต่หลงไปเที่ยว Black Hole อีกเดี๋ยวคงเข้ามาทักกันครับ
ต่อไปใครมีเรื่องดีๆเอามาแบ่งปันกันอ่าน และแนะนำเรื่องน่าสนใจที่นี่ได้เสมอครับ..สงสัยอะไรก็ถามกันได้ มีนักค้นหาและมีประสบการณ์เก่งๆกันหลายท่านทีเดียวครับ ที่นี่ยังมีคุณสมบัติเหมือนเดิมทุกอย่าง ดำรงอยู่ได้โดยไม่ขึ้นกับกาลเวลาครับ -
สวัสดีครับพี่นักเขียน ดีใจที่พี่กลับมาแล้ว คิดถึงพี่นักเขียนมากๆ แต่ว่าวันนี้ผมรู้สึก ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่จะมาถึง...
ได้อ่านข้อความของพี่นักเขียนก็รู้สึกใจหาย ผมยังไม่อยากให้พี่นักเขียนไปไหนเลย เพราะพี่นักเขียนก็เหมือนเป็นอาจารย์ที่ทรงคุณค่าสำหรับพวกเราๆที่ความรู้ยังน้อย ไม่มีพี่นักเขียนพวกเราคงเหงาแน่ๆ
ผมอยากให้พี่นักเขียนอยู่ไปเรื่อยๆ แต่ผมเข้าใจว่าพี่นักเขียนต้องมีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำ อย่างไรก็ตามผมขอเป็นกำลังใจให้พี่นักเขียน และจะนำความรู้ที่ได้จากพี่นักเขียนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขอขอบคุณพี่นักเขียนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมไม่อยากให้พี่นักเขียนไปไหน ไม่ชอบเลยกับการบอกลา...T T ฮือๆๆ
ผมรักและเคารพพี่นักเขียนมากๆครับ
หวังว่าผมคงได้เจอพี่นักเขียนสักครั้งในชีวิตนะครับ...
TK... -
มีคำถามสงสัยมารบกวนถาม อ.พี่ ครับ ในเส้นทางเป็นไปได้ต่างๆ รวมถึงโลกในอดีต ในอนาคต (ตามเส้นทางกาลเวลา) ที่มีอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไปทั้งหลายเหล่านั้น เป็นอยู่แค่ในระดับจินตภาพ หรือปรากฏอยู่ด้วย atom/molecule และถ้าเป็นเช่นนั้น จะเป็น atom/molecule องค์ประกอบแบบเดียวกันกับโลกทางกายภาพไหมครับ แล้วถ้าเราย้อนไปในอดีต หรือ ไปสู่อนาคต (อิงกาลเวลา)โครงสร้างเราจะคงเดิมหรือเปลี่ยนไปครับ
อีกข้อสงสัยครับ การที่ตัวเราอันประกอบด้วย cell ต่างๆอันมีจิตวิญญาณ ของแต่ละ cell และมีการเจริญเติบโตผลัดเปลี่ยน cell ใหม่มาแทนที่ cell เก่าที่ตายไป ตัวเราอันดำเนินไปภายในโลกความจริงทางกายภาพ ตัวเราเมื่อ ปัจจุบันก็ไม่ใช่ตัวเราเมื่อ 7 ปีก่อน แล้วจิตวิญญาณก็จะมีการแลกเปลี่ยน การเป็นอยู่ มีอยู่ ดำเนินไป เป็นระบบ dynamic ใช่ไหมครับ หรือก็ยังคงเป็นจิตวิญญาณเดิมเป็น ระบบ static ถ้าเป็นระบบ dynamic จิตวิญาณ ณ.ปัจจุบัน ภายใต้กฏของเวลาอันเป็นโลกทางกายภาพก็ไม่ใช่จิตวิญญาณเดิมๆใช่ไหมครับ(หมายถึงจิตวิญญาณรวมของตัวตนเราน่ะครับ) และถ้าเป็นระบบ dynamic ก็จะทำให้ อิสระแห่งความปรารถนา จะดึงดูดจิตวิญญาณที่เราปรารถนามาเป็นตัวตนของเรา ในทำนองนั้นใช่ไหมครับ หรือถ้าเป็นระบบ static จะเป็นอย่างไรครับ ขอบคุณครับ
หน้า 129 ของ 454