เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    เมื่อวานเพิ่งได้มีโอกาสพริ้นต์ต้นฉบับความฝันที่คุณนักเขียนแสกนส่งมาให้เพราะมัวแต่หาตั้งนานว่าไป save ไว้ที่ไหน เมื่อคืนเลยได้อ่านต้นฉบับ และได้เรียนรู้มากมายจากต้นฉบับของคุณ โดยเฉพาะเข้าใจในหลักการตีความฝัน ดิฉันอ่านมันหลายรอบ มันทำให้ดิฉันต้องกลับไปเปิดสมุดจดความฝันเล่มแรก มีความฝันบางอย่างที่คล้าย ๆ ของคุณ แต่ดิฉันไม่เข้าใจ คืนนั้นดิฉันอธิษฐานขอรู้จักตนเอง ดิฉันเห็นตัวเองเดินเข้าไปในตึกใหญ๋มีหลายชั้น ทุกชั้นมีห้อง แต่สิ่งหนึ่งที่พบคือห้องกับเฟอร์นิเจอไม่แมทช์กัน เช่นห้องนอน เตียงใหญ่มากไม่ได้สัดส่วนกับห้อง หรือแม้แต่ราคาเช่าตึกมันราคาถูกไม่เหมาะสมกับขนาดของตึกเอาเสียเลย ภายในห้องที่ดูเหมือนห้องโถงมีภาพประดับฝาผนังมากมาย เป็นภาพขาวดำในยุค ร.5 แล้วภาพก็เปลี่ยนเป็นคนอื่นอีก ต่างเพศ และต่างวัย ข้าง ๆมีห้องเล็ก ๆ ซึ่งตัวเองรู้อัตโนมัติว่าไม่ควรเปิดเพราะข้างในแฝงความน่ากลัวเอาไว้ ตอนนั้นดิฉันตีความหมายไม่เป็น ก็เลยพาลคิดว่าสิ่งที่ตัวเองฝันนั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย แต่พอมาอ่านต้นฉบับของคุณ เลยเข้าใจและมองภาพของมันออก โชคดีที่ดิฉันได้จดบันทึกความฝันไว้มากมาย พอเมื่อคืนกลับไปอ่านอีก จึงเข้าใจความหมายของความฝันได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น บางครั้งมันบ่งบอกถึงปัญหาและวิธีแก้

    ดิฉันคงต้องขอคืน AAAAA+ ให้คุณนักเขียน เพราะชื่อที่คุณระบุในต้นฉบับมันถูกต้อง ดิฉันไม่เคยรู้สึกว่า ปวีณา หรือมรกต มันเป็นชื่อของดิฉันเลย แต่กลับรู้สึกว่าชื่อที่ได้มาในความฝัน ตอนใกล้ตื่น "จินตดารา" เป็นชื่อของดิฉันมากกว่า ฉะนั้นคำแปลที่คุณระบุในต้นฉบับว่าหมายถือ ท้องฟ้า หรือห้วงอวกาศ มันก็ถูกต้องอย่างที่สุด ดิฉันคิดถึงความฝันของคุณเกี่ยวกับห้องทำงานของหัวหน้าครอบครัวที่เป็นผู้ชาย แถมบนฝาผนังมีรูปของเขา 'THE MAN WITH THE PUPPET" มันทำให้ดิฉันประหลาดใจว่าหลายครั้งที่ในความฝันดิฉันเจอภาพวาดของ 'THE MAN WITH THE PUPPET" เช่นเดียวกัน และหลายครั้งที่ในความฝันที่เกี่ยวกับปัญหาของบุคคล บุคคลนั้นจะมาปรากฏตัวในความฝันพร้อม หมวกศิลปินบนศรีษะอันเป็นสัญญลักษณ์ พร้อมแสดงออกถึงวิธีแก้ปัญหา หรือแสดงความเป็นจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับบุคคลนั้น ๆ ในฝัน ดิฉันฝันถึงภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม (มันเป็นภาพน้ำตก) ไม่รู้จะใช่ภาพที่เป็นของคุณหรือไม่ แต่ทุกครั้งที่เห็น ดิฉันรู้สึกว่ามันเป็นภาพของดิฉัน ดิฉันได้พบความเป็นจริงหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในต้นฉบับความฝันของคุณ ซึ่งคุณกล่าวถูกไม่มีใครจะรู้ความหมายของมันดีเท่าตัวเอง ในลักษณะของความเป็นหญิงดิฉันชอบการเต้นรำ และเครื่องประดับ ในส่วนบุคลิคความเป็นชายดิฉันชอบการเดินทาง น้ำตกไนแองการ่า เปรียบได้เสมือนความท้าทายของชีวิตที่ดิฉันใฝ่หา แต่ถูกปฏิเสธด้วยตัวเอง บุคลิคของลูกสาวที่ต้องการให้คนกอดมารดา บ่งบอกถึงความต้องการความรัก และโหยหาอ้อมกอด ใช่ดิฉันต่างหากที่รอคอยอ้อมกอดของคนที่ตัวเองรักมาตั้งแต่เด็ก จนถึงปัจจุบัน ในต้นฉบับคุณเขียนว่า The daughter want me to hug her mom so bad จริง ๆแล้ว อย่างเคยบอก ความสัมพันธ์กับดิฉันกับมารกาตั้งแต่เด็กไม่ดีเท่าไหร่ แต่ลึก ๆ แล้ว ดิฉันรักท่านมากและก็อยากให้ท่านกอดดิฉันบ้าง ในอดีตที่ผ่านมาดิฉันก็ได้กระทำการที่เรียกว่า SO Bad เพื่อเรียกร้องความสนใจจากท่านและนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่คุณเห็นเป็นสีดำในมุมหนึ่งของห้องทำงานของหัวหน้าครอบครัว หรือห้องที่ปิดตายในความฝันของจินตวดีเอง ถึงแม้ตอนนี้ความสัมพันธ์กับมารดาจะดีขึ้น แต่เรายังไม่เคยได้กอดกันจริง ๆ หลายครั้งที่ดิฉันอยากให้มารดากอดจริง ๆ ก็เลยคิดว่า เราน่าจะเป็นฝ่ายไปกอดท่านเองแทนที่จะรอให้ท่านมากอดเราแทน (จริง ๆ ไม่อยากบอกว่าอ่านตอนนี้หลายรอบ น้ำตามันไหลมาเอง)

    ดิฉันกำลังจะเขียนรูปของ THE MAN WITH PUPPET ที่เห็นในฝัน คิดว่าถ้าเสร็จเมื่อไรจะเอามาโชว์ แต่การวาดภาพโดยจดจำจากความฝันมันยาก จริง ๆ เลยค่ะ
     
  2. zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    จากประโยคนี้ ทำให้ผมต้องกลับมาคิดเรื่องกระป๋องแป๊ปซี่ในฝันของคุณเซลล์อีกครั้งนะเนี่ย ว่าความหมายของมันขึ้นอยู่กับคนที่ฝันหรือคนที่ถูกฝันถึง

    เพราะว่าคุณเซลล์กับผมให้ความหมายกับมันคนละอย่างกันเลย

    ถ้าความหมายเป็นไปตามอย่างคนที่ถูกฝันถึง ความฝันของคุณเซลล์ที่ฝันถึงผม ความหมายในฝันดูท่าจะน่าให้อารมณ์เหนื่อยหน่าย และก็น่าจะสอดคล้องกับ ตึกที่ว่างเปล่า เหมือนว่าข้างนอกดูดีแต่ข้างในไม่มีอะไรเลย.....

    --------------------------------------

    อ้อ จากที่พี่นักเขียนเล่ามา ผมก็มีคำถามขึ้นในหัวอีกแล้วครับ

    เมื่อพี่นักเขียนรู้แล้วว่าคนที่เขียนหนังสือนั้น ต่างก็เป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ เมื่อพี่นักเขียนอ่านหนังสือของเค้าเหล่านั้น พี่นักเขียนรู้สึกอย่างไรครับ?

    รู้สึกว่าสิ่งที่เขียนในหนังสือนี้เป็นสิ่งที่รู้ดีอยู่แล้ว? รู้สึกว่าอยากจะลองอ่านดูว่าเค้ามีมุมมองอะไรที่ต่างจากเราบ้าง?

    ถ้าเป็นผมถึงจะรู้ดีว่าเนื้อหาข้างในจะเป็นสิ่งเดียวกันกับที่เรารู้มา แต่ก็อยากจะลองอ่านดูว่ามีมุมมองอะไรตรงไหนที่ต่างกันหรือเปล่า หรือเขียนถึงเรื่องเดียวกันแต่อธิบายคนละอย่างต่างกันยังไง หรือมีอะไรที่เรายังไม่รู้บ้าง
     
  3. VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,942
    ค่าพลัง:
    +4,262
    You are right!

    เห็นด้วยกับคุณ Mead อย่างยิ่งครับ
    ไม่น่าเชื่อว่าใครจะสามารถวาดคนที่เห็นจากในฝันได้ใกล้เคียงขนาดนี้

    ขนาดผมวาดเพื่อนร่วมงานที่เห็นกันแทบทุกวันมาเกือบ 10 ปี
    ยังต้องใช้ภาพถ่ายมานั่งตีเส้นเลย 555
     
  4. kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ก่อนเข้ามา สนทนา ในห้องวิทย์ รู้สึกมีคำถามมากมายที่อยากรู้ บางครั้งตอบตัวเอง ว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่น่าเชื่อ ไม่จริงหรอก ฯลฯ...แต่ตอนนี้ อะไร อะไร ก็เป็นไปได้ ทั้งนั้นเลย จินตนาการ นี่มันช่างกว้างไกล ไร้ขอบเขต จริงๆนะค่ะ
     
  5. mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    คุณVeggieGuy ก็วาดรูปเหมือนได้ดีทีเดียวนะครับ
    อย่างที่พี่นักเขียนบอกไว้ว่าให้เราวาดไปตามความรู้สึกที่เห็น
    ไม่ปรุงแต่งเกินจากที่ตาเห็น จะเหมือนหรือไม่เป็นอีกเรื่องครับ
    แต่สิ่งที่เด่นชัดของภาพคือแววตาครับ ก็ทำให้นึกอยากวาดภาพอีกจังเลย

    เดี๋ยวเรารอดูภาพ THE MAN WITH PUPPET ของคุณเอ จินตวดีด้วยนะครับ..
    ต้องวาดออกมาจนได้ล่ะครับ..แรงบันดาลใจล้นออกมาขนาดนี้ อิอิ
     
  6. nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนเชื่อว่าการใช้ชีวิตอยู่ในโลกตะวันตกด้วยรูปกายและพื้นฐานทางศาสนาของคนตะวันออกเช่นพี่นักเขียน เป็นการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ที่ตัวตนบนเส้นทางอื่นๆยังขาดอยู่ ตลอดจนการถือกำเนิดในขนมธรรมเนียม วัฒนธรรม สังคม วิถีชีวิตแบบไทยๆ ที่ทำให้บุคลิกภาพของจิตวิญญาณส่วนที่มาถือกำเนิดเป็นพี่นักเขียน มีมุมมองจำเพาะที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากตัวตนบนเส้นทางอื่นๆ ซึ่งทำให้การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้-เป็นระบบที่เรียกได้ว่า-ปราศจากช่องโหว่

    การไปถือกำเนิดในโลกตะวันออกและมาใช้ชีวิตในโลกตะวันตก ทำให้พี่นักเขียนซาบซึ้งกับสิ่งที่ได้รับหรือเรียนรู้จากความฝันสุดที่จะพรรณนา เพราะจำได้ว่าตัวตนของ Myrtle ในความฝันนั้นปรารถนาที่จะเดินทางไปเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาในโลกตะวันออก เธอใฝ่ฝันที่จะไปประเทศอินเดีย และปรารถนาที่จะได้ไปเยือน Vatican, Italy เมื่อพี่นักเขียนค้นพบตัวตนที่แท้จริงของ Myrtle และหนังสือของเธอ พี่นักเขียนก็ได้อ่านพบว่า เธอมีความปรารถนาที่จะได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศอินเดียและ Vatican, Italy จริงๆ แต่ตลอดชีวิตของเธอ-ก็ไม่ได้มีโอกาสไป

    ส่วนพี่นักเขียนกลับได้มีโอกาสเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศอิินเดีย โดยขี่หลังลาขึ้นไปถึงต้นแม่น้ำคงคา เทือกเขาหิมาลัย และ ได้มีโอกาสไปเยือน Vatican, Italy ซึ่งเป็นเรื่องออกจะน่าขันมากๆ เพราะ tour อื่นๆเขาเลือกขึ้นไปยอดเขาหิมาลัยด้วย helicopter กันทั้งนั้น ซึ่งสะดวกสะบายและใช้เวลาน้อยกว่ามาก แต่คณะที่พี่นักเขียนร่วมเดินทางกับเขา กลับเลือกไปด้วยลา ซึ่งถ้าหากคิดว่า ประสบการณ์จริงของพี่นักเขียนถือกำเนิดจากจินตนาการและความใฝ่ฝันของ Myrtle ซึ่งเป็นบุคคลตัวตนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี คศ. 1845-1931 เธอคงจะจินตนาการถึงการเดินทางไปสู่ยอดเขาหิมาลัยด้วยการขี่ลาอย่างแน่นอน เพราะไม่มีวิธีการอื่นใด พี่นักเขียนจึงต้องมารับสานฝันด้วยการเดินทางวิธีนี้...

    ช่วงที่พี่นักเขียนได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยนั้น พี่นักเขียนได้แสวงหาความรู้ทางด้านจิตวิญญาณตามแนวคิดของศาสนาพุทธ พี่นักเขียนเชื่อว่าประสบการณ์ที่พี่นักเขียนได้เรียนรู้ในการเกิดเป็นคนไทย เป็นการเผชิญประสบการณ์ต่างขั้วมากมายหลายประสบการณ์ด้วยกัน ทั้งจากมุมมองและความเชื่อทางศาสนา สังคม ขนมธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม ตลอดจนวิถีชีวิต

    หลังจากย้ายถิ่นฐานมาอยู่ Kansas พี่นักเขียนก็ยังรักคนไทยและเมืองไทยมาก กลับไปทีไรจะรู้สึกว่า ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็ได้รับความเอื้อเฟื้อเสมอๆจากคนแปลกหน้า พ่อค้าแม่ขายก็ใจดีเป็นพิเศษ ได้ลด แจก แถมอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่ารถจะติดแค่ไหนก็รู้สึกว่าคนก็ให้ทางอยู่เสมอ บ่อยครั้งเวลาพี่นักเขียนหยุดรถให้ทางรถคันอื่นๆ เขาจะยกมือไหว้ก่อนจะออกตัว เล่นเอารับไหว้แทบไม่ทัน โดนเพื่อนที่นั่งรถไปด้วยล้อให้บ่อยๆว่า สงสัยพี่นักเขียนจะดูเป็นคุณย่า เลยมีแต่คนไหว้ ทั้งที่มักจะได้ยินคำเตือนว่า ไปไหนมาไหนให้ระวังมากๆ คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ ไม่เอื้อเฟื้อ ฯลฯ พี่นักเขียนกลับไม่พบเหตุการณ์เช่นนั้นเลย ไปจตุจักร ยังเอาของกองโตไปฝากแม่ค้าที่เอื้อเฟื้อรับฝาก และไม่เคยของหายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ไม่ใช่ร้านค้าที่เคยรู้จักมาก่อนเลย และก็ซื้อของเขาเพียงร้อยกว่าบาท

    ช่วงที่ไปเยี่ยมเมืองไทย แม้ว่าจะคิดถึงอากาศสบายๆทาง? Kansas และบ้านซึ่งอยู่ท่ามกลางความสงบตามธรรมชาติอยู่เนืองๆ และคิดถึงอัธยาศัยและน้ำใจของชาว Lawrence ที่ไม่เคยเห็นเราเป็นคนต่างด้าวต่างแดน เพื่อนชาวอเมริกันก็มักจะสนิทสนมกันเหมือนญาติพี่น้อง Eric และ Rebecca เป็น God Father & God Mother ของลูกๆของพี่นักเขียน เด็กๆแถวบ้านก็ติดพี่นักเขียนงอมแงม แทบจะไม่เคยมีวันไหนที่พวกเขาไม่ได้มากดออด ไม่ว่าฝนจะตก snow ตก หรือ หนาวจัด ร้อนจัดเพียงใดก็ตาม กลับไปเมืองไทยนานนักก็คิดถึงพวกเขา กลับมาทางนี้นานนักก็คิดถึงเมืองไทยและญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ทางเมืองไทย

    เรื่องราวทั้งหมดที่พี่นักเขียนเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้สามเส้นทางด้วยกัน เป็นเพียงเรื่องเล่าคร่าวๆ ที่พี่นักเขียนสรุปมาให้ฟัง ตามความเป็นไปนั้น พี่นักเขียนฝันเกี่ยวกับเรื่องราวของตัวตนเหล่านี้ พร้อมๆกันกับที่รับข้อมูลความรู้ต่างๆมาจากท่านอาจารย์อนาลัย เรื่องราวชีวิตบนเส้นทางอื่นๆเป็นเสมือนภาพยนต์ที่แทรกขึ้นมาเป็นตัวอย่างให้พี่นักเขียนเข้าใจในสาระที่ตนเองรับมาได้อย่างลึกซึ้ง

    พี่นักเขียนเชื่อว่า การที่พี่นักเขียนได้สัมผัสกับตัวตนทั้งสามเส้นทาง และพิสูจน์ความเป็นจริงของพวกเขาได้ เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพราะหากปราศจากการพิสูจน์ พี่นักเขียนคงจะจมอยู่กับบันทึกที่ไม่สามารถจะตัดสินใจได้ว่า พี่นักเขียนจะเชื่อถือตนเองและข้อมูลทั้งหมดที่คิดว่าตนเองได้รับถ่ายทอดมาได้มากน้อยเพียงใด เพราะไม่สามารถจะพิสูจน์ความเป็นจริงของสาระที่ปรากฏในหนังสือได้ด้วยวิธีการอื่นใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ และจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นระบบเครือข่าย โดยปราศจากกาลเวลา

    ความเชื่อที่เราต่างก็ยึดถือกันมานมนานว่า จิตวิญญาณมาถือกำเนิดทีละชาติภพ และดำเนินต่อไปด้วยการไปเกิดใหม่ในชาติภพต่อไปเพื่อรับผลกรรมหรือโทษทัณฑ์ หรือการลงโทษจากพระเจ้าด้วยบาปของเรา ทำให้เราจินตนาการไม่ได้ว่า การอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลานั้นเป็นอย่่างไร? พี่นักเขียนหวังว่า เรื่องราวทั้งหมดที่พี่นักเขียนนำมาเล่าให้ฟังอย่างเปิดอกนี้ จะทำให้พวกเราเข้าใจสาระจากหนังสือชุดนี้ได้ดีขึ้น และตระหนักได้ว่า การพัฒนาของจิตวิญญาณเป็นไปอย่างเป็นระบบ-พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร

    พี่นักเขียนหวังว่า เรื่องราวทั้งหมดจะทำให้พวกเราเข้าใจได้ในธรรมชาติความเป็นไปของจิตวิญญาณ ที่มาถือกำเนิดเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ ด้วยเป้าหมายสูงสุดคือ การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ และตระหนักว่า ตัวตนทั้งหลายของเราแต่ละคน ไม่ได้พัฒนาเป็นเส้นตรงไปสู่ความเป็นเลิศทีละตัวตน แต่พัฒนาเป็นระบบพร้อมกันหมด

    ซึ่งหมายความว่า ณ วินาทีนี้ - Jane, Myrtle, Neal, พี่นักเขียน, ตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลาย-เป็นอนันต์ ซึ่งหมายถึงพวกเราทุกคน พร้อมกันกับบุคลิกภาพอันปราศจากร่างกายของท่านอาจารย์อนาลัย, GOD, LORD, SETH กำลังมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นระบบเครือข่าย เพิื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ร่วมกัน ถ่ายทอด-แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ เพื่อสนับสนุนเกื้อกูลกันและกัน ในการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้-อย่างไม่มีวันสิ้นสุด และทุกบุคลิกภาพ ทุกบุคคลตัวตน กำลังพัฒนาร่วมกันเป็นระบบ อันเป็นหนึ่งเดียว(rose)
     
  7. เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณมากครับพี่นักเขียน ที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์ให้กับความไม่รู้ของผม อ่านคำตอบของพี่นักเขียนทีไร รู้สึกว่าเข้าใจอะไรมากขึ้นครับ คือ ความจริงที่เป็นความรู้


    พี่นักเขียนก็ยังรักคนไทยและเมืองไทยมาก กลับไปทีไรจะรู้สึกว่า ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็ได้รับความเอื้อเฟื้อเสมอๆจากคนแปลกหน้า พ่อค้าแม่ขายก็ใจดีเป็นพิเศษ ได้ลด แจก แถมอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่ารถจะติดแค่ไหนก็รู้สึกว่าคนก็ให้ทางอยู่เสมอ บ่อยครั้งเวลาพี่นักเขียนหยุดรถให้ทางรถคันอื่นๆ เขาจะยกมือไหว้ก่อนจะออกตัว เล่นเอารับไหว้แทบไม่ทัน โดนเพื่อนที่นั่งรถไปด้วยล้อให้บ่อยๆว่า สงสัยพี่นักเขียนจะดูเป็นคุณย่า เลยมีแต่คนไหว้ ทั้งที่มักจะได้ยินคำเตือนว่า ไปไหนมาไหนให้ระวังมากๆ คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ ไม่เอื้อเฟื้อ ฯลฯ พี่นักเขียนกลับไม่พบเหตุการณ์เช่นนั้นเลย ไปจตุจักร ยังเอาของกองโตไปฝากแม่ค้าที่เอื้อเฟื้อรับฝาก และไม่เคยของหายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ไม่ใช่ร้านค้าที่เคยรู้จักมาก่อนเลย และก็ซื้อของเขาเพียงร้อยกว่าบาท
    พี่นักเขียนก็ยังรักคนไทยและเมืองไทยมาก กลับไปทีไรจะรู้สึกว่า ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็ได้รับความเอื้อเฟื้อเสมอๆจากคนแปลกหน้า พ่อค้าแม่ขายก็ใจดีเป็นพิเศษ ได้ลด แจก แถมอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่ารถจะติดแค่ไหนก็รู้สึกว่าคนก็ให้ทางอยู่เสมอ บ่อยครั้งเวลาพี่นักเขียนหยุดรถให้ทางรถคันอื่นๆ เขาจะยกมือไหว้ก่อนจะออกตัว เล่นเอารับไหว้แทบไม่ทัน โดนเพื่อนที่นั่งรถไปด้วยล้อให้บ่อยๆว่า สงสัยพี่นักเขียนจะดูเป็นคุณย่า เลยมีแต่คนไหว้ ทั้งที่มักจะได้ยินคำเตือนว่า ไปไหนมาไหนให้ระวังมากๆ คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ ไม่เอื้อเฟื้อ ฯลฯ พี่นักเขียนกลับไม่พบเหตุการณ์เช่นนั้นเลย ไปจตุจักร ยังเอาของกองโตไปฝากแม่ค้าที่เอื้อเฟื้อรับฝาก และไม่เคยของหายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ไม่ใช่ร้านค้าที่เคยรู้จักมาก่อนเลย และก็ซื้อของเขาเพียงร้อยกว่าบาท

    ประโยคข้างต้น ที่มาจากประสบการณ์ของพี่นักเขียน พิสูจน์ให้เห็นถึงคำสอนของ อ.อนาลัย ได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมเลยครับ ที่ว่าเราสามารถเลือกเส้นทางเดินให้กับชีวิตเราได้จริงๆ จากอารมณ์ ความคิด และจินตนาการของเราเอง (smile)

    ผมสงสัยมาหลายครั้งแล้วว่า เวลาพี่นักเขียนตอบคำถามที่ผมถาม ถ้าทำอะไรอยู่ ก็จะกระวนกระวายเหมือนมีพลังงานไหลเข้ามา ต้องมานั่งเฝ้าหน้าคอม และเปิดดูเว๊ป และก็จะเจอพี่นักเขียนกำลังตอบอยู่ทุกครั้ง

    แต่การรับรู้ยังไม่คมชัด ที่จะระบุชัดเจนว่า คลื่นพลังงานนี้มาจากไหน

    พี่นักเขียนพอจะแนะวิธีหน่อยได้มั๊ยครับ (f)
     
  8. nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนได้อ่านหนังสือของ Jane เป็นชุดแรก ระหว่างที่อ่าน-เมื่อพบข้อมูลที่เหมือนกับที่ตนเองรับมา รู้สึกตืื้นตันใจ อุ่นใจและคลายความเครียดที่เกิดจากการที่ไม่สามารถหาแหล่งข้อมูลอื่นๆมาอ้างอิงหรือพิสูจน์ความเป็นจริงของข้อมูลของตนเองได้ แต่บ่อยครั้งรู้สึกผิดอย่างรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออ่านพบข้อความที่ Jane พูดขณะที่ลงทรง โดยพูดแทนบุคลิกภาพที่ปราศจากตัวตนนั้นว่า เธอคือบุคคลผู้เดียวเท่านั้นที่ได้รับถ่ายทอดข้อมูลเหล่านี้ บุคิลกภาพที่ปราศจากร่างกายตัวตนหรือ Seth จะไม่มีวันถ่ายทอดข้อมูลเหล่านี้ผ่านผู้อื่นเพื่อรักษาความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของข้อมูล ผู้อื่นที่อวดอ้างว่าติดต่อสื่อสารและรับข้อมูลได้เหมือนเธอ ล้วนเป็นผู้ที่เผชิญกับภาพหลอนหรือแม้แต่กล่าวเท็จ

    พี่นักเขียนอ่านพบข้อความเหล่านี้เมื่อใด จะรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวและรู้สึกผิดเช่นที่รู้สึกในความฝันและตระหนักว่า จะต้องแก้ไขทัศนคติและความเชื่อในทางที่ผิดของตนเองอย่างดีที่สุดที่จะทำได้ในชาติภพนี้ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ จะต้องแก้ไขข้อมูลนี้ให้เป็นไปตามความเป็นจริงที่พี่นักเขียนรับมาจากท่านอาจารย์อนาลัย ซึ่งท่านเน้นจุดนี้เสมอๆว่า - ท่านติดต่อสื่อสารกับทุกคน -ไม่น้อยไปกว่าพี่นักเขียน และกำชับว่าพี่นักเขียนจะต้องสนับสนุนและช่วยเหลือเกื้อกูลทุกคน ให้เกิดความมั่นใจและเชื่อถือในสิ่งที่ได้รู้เห็นจากความฝัน เพื่อทำให้การติดต่อสื่อสารทั้งหมดเป็นไปได้ตามธรรมชาติ หากคนจำนวนมากสามารถติดต่อสื่อสารและรับข้อมูลที่คล้องจองกันได้มากเท่าใด ความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของข้อมูลกลับจะมีมากขึ้นเท่านั้น โดยที่บุคคลเพียงคนเดียวเช่นพี่นักเขียน ไม่ต้องพยายามรักษาความแม่นยำและความน่าเชื่อถือของข้อมูลต่อไปเพียงคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว โดยไม่อาจพิสูจน์ข้อมูลเหล่านี้ได้ตามลำพัง

    ทุกครั้งที่อ่านพบทัศนคติในแง่นี้ของ Jane พี่นักเขียนร้องไห้เสมอๆค่ะ เหมือนคนที่ทำผิดมากๆและสำนึกผิด รู้สึกอัดอั้นตันใจมากเพราะช่วงที่รับถ่ายทอดข้อมูลมาแล้วบันทึกเก็บไว้เฉยๆหลายปี ไม่ได้คิดจะตีพิมพ์ เพราะไม่ทราบว่าจะนำข้อมูลไปพิสูจน์ก่อนตีพิมพ์หรือหาบรรณาธิการคนใดในโลกมาช่วยพิจารณาได้อย่างไร จนกระทั่งท่านอาจารย์อนาลัยมาเข้าฝันและกล่าวว่า - ความรู้ที่ปราศจากการถ่ายทอดเป็นความเปล่าประโยชน์หรือความเสื่อม

    จากความรู้สึกที่คิดไปตามเหตุ-ผลว่า ต้องมีบรรณาธิการช่วยตรวจสอบหรือแม้แต่พิสูจน์ข้อมูลอ้างอิงเช่นเดียวกับการเขียนหนังสือตำราอื่นๆ ทำให้พี่นักเขียนพยายามสลัดปัญหาที่ว่าต้องหาบรรณาธิการมาตรวจสอบข้อมูลออกไป เพราะเมื่อสำรวจดูหนังสือของ Jane ก็พบว่าเป็นหนังสือที่ปราศจาก references หรืออ้างอิงท้ายเล่ม เนื่องจากว่าเธอก็คงจะอ้างอิงหนังสือใดๆในโลกไม่ได้เช่นเดียวกับพี่นักเขียน จึงทำให้เปลี่ยนความคิดและมั่นใจว่า จำเป็นต้องตีพิมพ์หรือเผยแพร่หนังสือชุดนี้ แต่ถึงกระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหาผู้ที่มาสนับสนุน เมื่อหนังสือตีพิมพ์แล้ว แต่ยังไม่ได้ออกจำหน่าย พี่นักเขียนได้ส่งมอบหนังสือชุดนี้ให้กับศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงค์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพุทธศาสนาอ่าน พร้อมกับส่งหนังสือของ Jane ไปให้ท่านหลายเล่ม และได้รับการสนับสนุนจากท่านว่า ข้อมูลที่พี่นักเขียนรับมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ขัดกับคำสอนในพุทธศาสนา เป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือและควรแก่การเผยแพร่อย่างยิ่ง ทำให้พี่นักเขียนมีความมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีก

    ส่วนทัศนคติของ Jane เกี่ยวกับคริสตศาสนา ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้พี่นักเขียนรู้สึกต่อต้านความคิดของเธอในมุมกลับ พี่นักเขียนเข้าเรียนโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนจบมัธยมปลาย ได้รับการอบรมจากมาแมร์และคณะชีที่นับถือคริสตศาสนานิกาย Roman Catholic พี่นักเขียนเกิดในครอบครัวชาวพุทธ รู้จัก Jesus ก่อนจะรู้จักพระพุทธองค์ แต่พี่นักเขียนก็รักพระเจ้า รัก Jesus และศรัทธาในพระพุทธองค์ เมื่อได้มีโอกาสเรียนสมาธิกับพระอาจารย์ในพุทธศาสนา ก็รักท่านอย่างหมดใจ และก็ยังคงรักมาร์แมร์และบาทหลวงทุกคนที่พี่นักเขียนรู้จักมาตั้งแต่ยังเล็กเช่นกัน จึงไม่อาจคล้อยตามความเห็นของ Jane ได้เลยที่กล่าวถึงศาสนาคริสต์ในแง่ลบบ่อยๆ

    แม้ Jane จะกล่าวว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เข้าใกล้ธรรมชาติแห่งความเป็นจริงมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็โจมตีและว่ากล่าวคริสตศาสนาอย่างรุนแรงว่า ชีวประวัติของ Jesus ไม่ได้เป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้บุคลิกภาพของ Jesus เป็นเครื่องมือที่จะทำให้คนจำนวนมากเกิดความสะเทือนใจอย่างสุดซึ้ง ซึ่งทำให้เปลี่ยนเป็นความรักที่มีต่อ Jesus จนกระทั่งคล้อยตามความเชื่ออื่นๆที่ผู้นำศาสนาพยายามยัดเยียดให้ ซึ่งทั้งหมดนี้ Jane ระบุว่าเป็นข้อมูลที่เธอพูดแทนบุคลิกภาพที่ปราศจากตัวตนหรือ Seth
    -------------------------------------

    เมื่อพี่นักเขียนได้อ่านหนังสือ CWG พบว่าข้อมูลของ Jane ขัดแย้งกับข้อมูลที่ปรากฏใน CWG อย่างมาก เพราะใน CWG นั้นกล่าวถึง Jesus ในนัยที่เป็นบุคคลตัวตนตามประวัติศาสตร์ซึ่งค้นพบการเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งปวง หรือ GOD อย่างแท้จริง

    ส่วนทัศนคติของ Neal ที่ปรากฏในหนังสือ CWG นั้น มีส่วนที่คล้องจองกับความฝันของพี่นักเขียนคือ มีความเห็นเกี่ยวกับการเมืองปรากฏในหลายสาระ พี่นักเขียนเพิ่งจะอ่านเล่มสองไปได้ครึ่งเล่ม เพียงแค่ครู่งแรกก็อัดแน่นไปด้วยทัศคติเกี่ยวกับการเมืองและระบบสังคม ซึ่งเป็นทัศนที่กล่าวถึงระบบการเมืองและสังคมในแง่ลบที่เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบ การเห็นแก่ได้ของคนกลุ่มน้อยที่กุมอำนาจในการบริหาร ซึ่งปรากฏในหนังสือเป็นคำพูดของ GOD

    พี่นักเขียนมีความเชื่อว่า GOD หรือบุคลิกภาพที่ปราศจากตัวตน มีมุมมองอันกว้างไกลไพศาลและมองเห็นโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติได้ในภาพรวม แม้ว่าสาระในแง่ลบเหล่านี้จะปรากฏบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ที่เราเรียกว่า โลกแห่งความเป็นจริงของเรา แต่พี่นักเขียนเชื่อว่าสำหรับบุคลิกภาพที่ปราศจากร่างกายตัวตนแล้ว ท่านจะมองเห็นความเป็นไปได้ในแง่ลบเหล่านี้ เป็นเพียงจุดเล็กๆหรือเป็นเพียงความเป็นไปได้เส้นทางหนึ่งเท่านั้น และมองเห็นระบบการเมืองในแง่บวกบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อื่นๆมากมาย และมองเห็นภาพรวมทั้งหมดเป็นระบบที่มีความสมดุลย์มากกว่าที่จะจำเป็นต้องกล่าวถึงระบบในแง่ลบเป็นการเจาะจง และเสนอแนะว่ารัฐบาลหรือประชาชนทั่วไปควรจะแก้ไขระบบนั้นอย่างไร เช่น แนะนำเจาะจงว่ารัฐบาลควรจะใช้เงินจำนวนเท่าไร เพื่อแก้ปัญหาบางปัญหาอย่างไร เป็นต้น

    ท่านอาจารย์อนาลัยไม่เคยกล่าวถึงระบบใดๆในโลกในแง่ลบเป็นการเจาะจง แต่มักกล่าวถึงความคิดและการจดจ่อในแง่ลบ ที่เกิดจากการอบรมหรือการถูกกล่อมเกลาด้วยการศึกษา สังคม หรือศาสนาโดยรวม โดยกล่าวว่าเป็นต้นกำเนิดของประสบการณ์ทั้งปวง และไม่เคยกล่าวว่าเราจะแก้ไขระบบเหล่านั้นได้ด้วยวิธีการใดๆจากภายนอก แต่ท่านกล่าวว่า เราทุกคนสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง และกล่าวว่า ประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดที่มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของเรา ล้วนเกิดจากการจดจ่อของเราโดยแท้ และแนะนำเราว่า เราทุกคนสามารถแก้ไขประสบการณ์ชีวิตในแง่ลบได้ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อและความคิดในแง่ลบของตนเอง

    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดจากการสะท้อนความฝัน ผนวกกับสาระที่พี่นักเขียนอ่านพบในหนังสือ คุณ VeggieGuy และผู้อ่านอื่นๆอาจจะอ่านพบประเด็นเหล่านี้ในหนังสือของ Jane หรือ CWG ไม่มากก็น้อย ผู้ที่อ่านพบประเด็นเหล่านี้ที่พี่นักเขียนกล่าวถึง น่าจะแสดงความคิดเห็นกันบ้าง เพราะคงจะช่วยทำให้เราค้นพบความเป็นจริงบางอย่างที่ผ่านตาเราไปไม่มากก็น้อย
    -------------------------------------

    ส่วนหนังสือของ Myrtle นั้น เป็นมุมมองที่ออกมาจากทัศนคติและความศรัทธาที่เธอมีให้คริสตศาสนาอย่างเต็มเปี่ยม แม้ว่าพี่นักเขียนจะเติบโตมาด้วยทัศนคติของชาวพุทธ และได้รับการศึกษาอบรมตามแนวคริสต์ และได้รับถ่ายทอดข้อมูลความรู้จากบุคลิกภาพที่ปราศจากศาสนา เมื่อได้อ่านหนังสือของ Myrtel พี่นักเขียนรู้สึกว่า Myrtle เป็นผู้ที่มีความเคารพยกย่องในศาสนาของตนเอง แม้เธอจะแปล Bible ไปในทิศทางที่ผิดแผกจากผู้นำศาสนาอื่นๆ แต่การตีความหมายของเธอก็ล้วนเป็นไปในแง่บวกทั้งสิ้น

    Myrtle เป็นแรงบันดาลใจอันลุ่มลึกที่พี่นักเขียนสัมผัสและรู้สึกได้ว่า เธอเป็นที่มาของมุมมองและทัศนคติในแง่บวกของพี่นักเขียนที่มีต่อทุกศาสนา พี่นักเขียนรู้สึกกับพุทธศาสนาในทิศทางเดียวกับที่ Myrtle รู้สึกกับคริสตศาสนา พี่นักเขียนมักจะแปลพระไตรปิฏกในทิศทางที่ต่างไปจากที่ได้ยินผู้ที่เรียกกันว่า-ผู้รู้-แปลกัน และเชื่อว่ามีหลายสาระที่ต้องตีความหมายไปในทิศทางที่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ซึ่งจะทำให้เราเข้าถึงความหมายที่แท้จริงได้ และตัดเอาสิ่งที่เรียกว่า ปาฏิหารย์และความเหนือมนุษย์ออกไป โดยทดแทนด้วยความเชื่อใหม่ว่า ความน่าอัศจรรย์หรือปาฏิหารย์ทั้งหลาย ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติซึ่งปราศจากการขัดขวาง และเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม และเป็นไปได้ในปัจจุบัน ไม่ต้องใช้เวลาสะสมหรือแก้ไขไปอีกแสนชาติภพ เพราะทุกชาติภพกำลังดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน ทุกชาติภพกำลังได้รับพลังสนับสนุนจากต้นกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวงอย่างเสมอเหมือนกัน พัฒนาการของจิตวิญญาณที่ดูเสมือนจะสุดเอื้อมและเป็นไปได้สำหรับมนุษย์เพียงไม่กี่คนในโลกในช่วงนับล้านปี หรือเป็นไปได้สำหรับบุคคลที่เหนือมนุษย์เท่านั้น เป็นพัฒนาการที่กำลังเป็นไปอย่างเป็นระบบ ณ วินาทีนี้อย่างเสมอภาคสำหรับทุกคน

    การตีความหมายในทิศทางดังกล่าว ไม่ได้ทำให้พี่นักเขียนศรัทธาในพุทธศาสนาน้อยลง ในทางตรงกันข้าม กลับทำให้พี่นักเขียนศรัทธาและมองเห็นความเป็นจริงที่คล้องจองกับศาสนาอื่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก เช่นเดียวกับที่ Myrtle รู้สึกต่อคริสตศาสนาและ Bible ของเธอ
    _______________________________________

    สรุปได้ว่า การที่พี่นักเขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่เชื่อว่าเป็นข้อมูลที่ตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อื่นๆได้รับมาในทิศทางที่คล้ายคลึงกับพี่นักเขียน ทำให้พี่นักเขียนตระหนักได้ว่า ข้อมูลความรู้ที่ปรากฏเป็นหนังสือเหล่านี้ เจือปนด้วยทัศนคติและความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละตัวตนไม่มากก็น้อย

    การเจือปนเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้อ่านจำเป็นต้องค้นให้พบ ผู้อ่านทั้งหลายรวมทั้งพี่นักเขียน อยู่ในยุคสมัยที่การสื่อสารและการเผยแพร่ข้อมูลทั้งหลายเป็นไปอย่างกว้างขวาง ทำให้เราต่างก็มีโอกาสที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาเปรียบเทียบและกลั่นกรองได้ด้วยตนเอง

    หากเราแต่ละคนรับเอาโดยปริยายและสรุปอย่างง่ายๆว่า ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือทั้งหมด คล้ายคลึงกัน-เหมือนกัน-คล้องจองกันหมด และล้วนเป็นความเป็นจริงทั้งหมด โดยมองข้ามทัศนคติและความเชื่อส่วนบุคคลที่แอบแฝงมากับการแปลงข้อมูลเหล่านี้เป็นสัญญลักษณ์ของภาษา ซึ่งย่อมมีการบิดเบือนไปไม่มากก็น้อยตามธรรมชาติของมนุษย์ เราจะรับเอาข้อมูลเหล่านั้นเป็นความจริงไปโดยปริยาย โดยไม่ได้ตระหนักว่า บางส่วนของข้อมูลอาจเป็นเพียงทัศนคติและความเชื่อส่วนบุคคลของผู้เขียนเท่านั้น

    พี่นักเขียนหวังว่า ผู้อ่านทุกท่านจะพิสูจน์ข้อมูลทั้งหลายด้วยตนเอง ด้วยการศึกษาข้อมูลความรู้จากหลายแหล่งด้วยกัน นำข้อมูลเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกัน และนำสาระหลักๆที่คล้องจองกันไปปฏิบัติ สำรวจตรวจสอบความเป็นจริงทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับตนเอง โดยไม่รับเอาโดยปริยาย เมื่อนั้นคุณค่าที่ผู้อ่านได้รับจากหนังสือจึงจะเป็นคุณค่าที่แท้จริง ที่สถิตย์อยู่ในสติสัมปชัญญะของแต่ละคน ไม่ใช่สถิตย์อยู่ในหนังสือหลายภาษาจากผู้เขียนหลายทัศนะ ซึ่งเจือปนด้วยทัศนคติและความเชื่อส่วนบุคคล ที่อาจจะทำให้ผู้อ่านรับเอาเป็นความจริงไปโดยไม่ได้ตรวจสอบ

    ห้องวิทย์ฯจะเป็นห้องเรียนที่สมบูรณ์แบบไปไม่ได้ หากสมาชิกทั้งหลายปล่อยให้การสื่อสารทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงทางเดียว และหากปราศจากคำถามต่างๆจากพวกเรา พี่นักเขียนก็คงจะไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับตนเองได้เพิ่มขึ้นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้-ขอขอบคุณทุกคน-สำหรับทุกคำถาม ทุกคำตอบ ทุกความเห็นค่ะ(rose)
     
  9. Campanile สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
     
  10. nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนเชื่อว่าเราไม่จำเป็นจะต้องระบุให้ได้ว่า คลื่นพลังงานหรือการสัมผัสรู้เหล่านั้นมาจากไหน เพราะเมื่อเราคิดเช่นนั้นหรือสงสัยเช่นนั้น เรามักจะคิดไปว่ามันมาจากภายนอกตัวตนของเรา ทำให้เราไม่สามารถจดจ่อเข้าสู่ภายในได้

    การรับรู้ที่แท้จริงตามธรรมชาติของเราทุกคน เป็นการรับรู้จากภายในก่อนเสมอ ด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดหรือรับรู้โดยตรงด้วยจิตวิญญาณก่อน แล้วจึงฉายออกมาสู่โลกภายนอกเป็นวัตถุธาตุ-บุคคลและเหตุการณ์ต่างๆ และทำให้เรารับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าจากภายนอก กลับคืนสู่ตัวตนภายในของเราอีกครั้ังหนึ่ง แต่การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า-จากภายนอก มักจะบิดเบือนไปด้วยความเชื่อเสมอ เพราะการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นการรู้เห็นอันจำกัดด้วยช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ส่วนการรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสภายในหรือจิตวิญญาณ หรือด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด เป็นการรู้เห็นที่ปราศจากขีดจำกัด

    หากอุปมาอุปมัยกับการรู้เห็นของประสาทสัมผัสทั้งห้ากับการรู้เห็นของประสาทสัมผัสภายใน กับการรู้เห็นของกบในสระจ้อย ที่เห็นได้เพียงบ่อน้ำเล็กๆที่มันอาศัยอยู่ และเปรียบการรู้เห็นของมนุษย์ที่อยู่บน helicopter กับประสาทสัมผัสภายใน ซึ่งสามารถมองเห็นแหล่งน้ำได้มากมายหลายแห่งกว้างไกล มนุษย์บน helicopter มองเห็นได้ว่า แม้ว่าน้ำบ่อน้อยของเจ้ากบนั้นจะแห้งเหือดไป เพราะมันอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับแสดงแดดแผดจ้า และไม่ได้รับการถ่ายเทน้ำจากแหล่งอื่นๆ แต่โลกก็ไม่ได้แห้งเหือดและจะไม่มีวันล่มสลายไปด้วยการขาดน้ำ เพราะยังมีแหล่งน้ำอื่นๆอีกมากมาย แต่เจ้ากบในสระจ้อยย่อมจะคิดว่า หากสระจ้อยของมันแห้งเหือด โลกทั้งโลกคงจะแตกระแหงและขาดน้ำไปทั้งโลก เป็นต้น

    การรู้เห็นของกบในสระจ้อย จึงเป็นการรู้เห็นตามความเชื่อที่เกิดจากการประสบการณ์อันจำกัด ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อใดก็ตามที่เราพยายามที่จะรู้เห็นสิ่งต่างๆด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เราจะพลาดการรู้เห็นอันกว้างไกลไป และไม่อาจรู้เห็นความเป็นจริงได้ทั้งหมด

    การรู้สึกกระวนกระวายของคุณเซลล์ แสดงให้เห็นได้ว่า การรับรู้ของคุณเซลล์เป็นการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสภายใน หรือรับรู้โดยตรงด้วยจิตวิญญาณ เพราะคุณเซลล์ไม่ได้มองเห็นความเป็นไปในจอ computer ก่อนที่จะไปเปิดดูเว็ป

    หากเราตระหนักได้ว่าการรับรู้ของเราเกิดขึ้นและเป็นไปจากภายใน สิ่งที่เราควรจะทำเพื่อช่วยให้การรับรู้จากภายในนั้นคมชัดขึ้นคือ การโน้มเอาสติสัมปชัญญะไปจดจ่อกับภายใน คือจดจ่อกับอารมณ์และความรู้สึกที่ผุดขึ้นมา และปล่อยให้จินตนาการของเราเปิดเผยภาพหรือได้ยินเสียง หรือสัมผัสกับสิ่งที่รับเอาหรือรู้เห็นจากภายใน

    บางคร้ังหากมีความรู้สึกในทิศทางนี้เกิดขึ้น พี่นักเขียนจะหลับตา หรือหากทำอะไรอยู่ก็จะหยุดนิ่งเพื่อสัมผัสกับความรู้สึกนั้นๆให้ได้ชัดเจนขึ้น ภาวะดังกล่าวจะช่วยทำให้เราได้ยินเสียงจากภายในผุดขึ้นมาได้ชัดเจนขึ้น หรือหากมีตัวรู้ผุดขึ้นมา ก็จะจับตัวรู้นั้นได้ชัดเจนขึ้น ขอให้มีความเชื่อถือในธรรมชาติของการทำงานของประสาทสัมผัสภายในว่า มันทำงานได้อย่างเป็นอัตโนมัติอยู่แล้ว เราไม่ได้จะต้องฝึกหรือบังคับแต่อย่างใดให้มันทำงาน แต่เราจะต้องมีสติอันคมชัดที่จะมองเห็น หรือรู้เห็นว่ามันทำงานอยู่ และมันรับรู้อะไรอยู่

    แรกๆการรับรู้ดังกล่าวอาจเป็นความรู้สึกที่ไม่ชัดเจน กล่าวเป็นคำพูดไม่ได้ เสมือนว่า-รู้ลึกๆ แต่พูดไม่ออก-บอกไม่ถูก เพราะเราไม่ค่อยคุ้นเคยกับการรับรู้จากภายในด้วยอารมณ์และความรู้สึก เรามักจะปลิดมันทิ้งไปด้วยซ้ำไป ต่อเมื่อเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู หรือรับรู้ภายหลังด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าที่มาตอกย้ำความเป็นจริง ก็จะทำให้ตระหนักได้ว่า ที่รู้ลึกๆพูดไม่ออก-บอกไม่ถูกนั้น ได้รู้อะไรไปแล้ว บางทีจะรู้สึกเสมือนว่า อ้าว-เคยรู้แล้ว แต่ไปรู้มาจากไหนจำไม่ได้ หรือบางครั้งเราก็รู้สึกว่า นึกแล้วเชียว หรือสังหรณ์แล้วเชียว

    หากคุณเซลล์ หรือ พวกเราตั้งคำถามใดๆ ไม่ว่าจะตั้งคำถามกับพี่นักเขียน กับผู้อื่น หรือแม้แต่ตนเอง เราต่างก็สามารถรับคำตอบได้จากภายในด้วยการฝึกฝน ขอให้ทดลอง ฝึกฝน และพิสูจน์ด้วยตนเองเสมอๆค่ะ เมื่อทำได้ครั้งหนึ่งแล้ว ขอให้เชื่อมั่นและทำบ่อยๆจนเป็นนิสัย จะทำให้สติสัมปชัญญะของเราขยายตัว ด้วยการเปลี่ยนนิสัยที่จะจดจ่อรู้เห็นแต่ภายนอก เป็นคุ้นเคยที่จะจดจ่อและรู้เห็นจากภายใน(rose)
     
  11. JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
     
  12. nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ภาพวาดทั้งหมดนี้ ฝีมือคุณ VeggieGuy ค่ะ :cool: :cool: :cool:
    แอบไปส่งหลังห้อง พี่นักเขียนเลยเอามาอวดหน้าห้อง ไม่ว่ากันนะคะ ห้องวิทย์ฯมีผลงานก็ต้องนำมาชื่นชมกันค่ะ เพราะเราเป็นศิลปินโดยกำเนิดด้วยกันทุกคน ช่วยกันสนับสนุนให้แสดงออกอย่างดีที่สุด เพื่อความสุขตาสุขใจของทุกคนค่ะ(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 9pDC4m533626-02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.5 KB
      เปิดดู:
      37
    • DSC03217.jpg
      ขนาดไฟล์:
      247.5 KB
      เปิดดู:
      16
    • wano1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.1 KB
      เปิดดู:
      35
    • ooo.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.6 KB
      เปิดดู:
      34
    • scan0021.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      34
    • nid.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.8 KB
      เปิดดู:
      35
  13. เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310

    พุทธแบบธิเบต จะมีมุมมองเรื่องการบรรลุอย่างฉับพลัน
    ส่วนเซน บรรลุจากการเข้าใจ และสนทนากัน

    ผมว่าประโยคนี้ของพี่นักเขียน ช่วยในการเปลี่ยนความเชื่อที่กักขังอำนาจที่แท้จริงของจิตวิญญาณได้มากพอสมควรครับ

    ไม่มีระดับขั้น ไม่มีการสะสม เพียงแต่ให้เข้าใจ เชื่อมั่น และเข้าถึงถึงความเป็นจิตวิญญาณที่เป็นธรรมชาติ ที่มีความเสมอเหมือนกันหมด(smile)

    ขอบคุณมากๆครับพี่นักเขียน ผมเข้าใจชัดเจนแล้วครับ เพราะบางครั้งเมื่อรับรู้แล้วผมมักจะปลิดทิ้ง และนำประสาทสัมผัสทั้ง 5 มารับรู้แทน

    ผมจะฝึกฝนให้ดี ไม่ให้คำแนะนำของพี่นักเขียนสูญเปล่านะครับ (smile)
     
  14. เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    รูปที่พี่นักเขียนวาด ไม่ธรรมดาเลยจริงๆครับ
    มันยากสำหรับผมเหมือนกันครับ ที่จะวาดออกมาแล้วเก็บรายละเอียดได้ครบ และถ่ายทอดออกมาให้เหมือนอีก (tm-love)
    แต่อย่างที่พี่นักเขียนว่าไว้หละครับว่า ศิลปินในห้องวิทย์เรามีเยอะ เดี๋ยวผมขอดูผลงานแจ่มๆดีกว่าครับ อิอิ (f)
     
  15. mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nova_analai
    ข้อมูลความรู้ที่ปรากฏเป็นหนังสือเหล่านี้ เจือปนด้วยทัศนคติและความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละตัวตนไม่มากก็น้อย การเจือปนเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้อ่านจำเป็นต้องค้นให้พบ"

    (rose)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เห็นด้วยครับ 0_O
    พี่นักเขียนฯ ช่วยแนะนำเรื่องการรับรู้ข้อมูลไว้อย่างน่าคิดทีเดียวครับ เพราะพวกเราต้องพบเจอกับแหล่งความรู้อีกมาก ต้องพบกับทัศนคติและความเชื่ออันหลากหลาย ทำให้ต้องค้นพบให้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร? นำมาใช้ได้หรือไม่? บางอย่างก็ต้องละไว้เพื่อการพิสูจน์ก่อน หมั่นใช้สติปัญญาหาคำตอบก่อนได้ไม่หลงทางหรืองมงายไปกับเรื่องบางเรื่อง...โดยเฉพาะเรื่องความ อัศจรรย์หรือปาฏิหารย์ ความเป็นผู้วิเศษ มักเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษย์จริงๆด้วยครับ..ตรงนี้ถ้าไม่เข้าใจก็จะกลายเป็นการทนงอวดอุตริไปอีกครับ คำตอบจากพี่นักเขียนให้กระจ่างหลายเรื่องครับ ช่องโหว่ต่างๆเหมือนถูกเติมเต็ม..รอยรั่วค่อยๆถูกซ่อมแซมให้ดีขึ้นเป็นลำดับ อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวครับ ต้องขอบคุณพี่นักเขียนที่สละเวลามาเติมเต็มให้พวกเราแบบนี้บ่อยๆครับ

     
  16. zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    โอ๊ะ แล้วคำว่าซาโตริในเซนหล่ะครับ ดูจากความหมายของคำว่า ซาโตริ แล้วก็คล้ายๆ กับบรรลุฉับพลัน หรือปิ๊งแวบก็ได้เหมือนกันนา

    "ซาโตริ" แปลว่าตรัสรู้โดยเฉียบพลัน ภาษาไทยอาจจะใช่คำว่าปิ๊ง!! อะไรประมาณนั้น เช่นคุณเดินไปตามทางแล้วเกิดเดินสะดุดหินก้อนโต อย่างแรง เกิดความรู้สึกเจ็บแป๊บ! แล้วหายไป เกิดความคิดโดยเฉียบพลันว่าสังขารไม่เที่ยงหนอ เตะหินเกิดอาการเจ็บ พอเจ็บก็รู้สึกเท้าคงสภาพความเจ็บอยู่สักพัก แล้วมันก็หายเจ็บ ความรู้สึกในฉับพลันในประสบการณ์ความเข้าใจด้วยตนเอง อย่างนี้อาจเรียกได้ว่าซาโตริ....

    ความคิดแบบปิ๊งแว๊บมาเนี่ย จะใช่แบบเดียวกับปัญญาญาณหรือเปล่าน้อ
     
  17. zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    การจะแยกความเชื่อที่แทรกอยู่ในข้อเขียน คิดว่าจำเป็นต้องรู้จักผู้เขียน รู้จักนิสัยใจคอหรือเปล่าเอ่ย เหมือนอย่างที่พี่นักเขียนเข้าใจว่าเนื้อหาตรงไหนของ Jane เป็นส่วนที่เป็นมาจากความเชื่อของตัว Jane เอง เพราะว่าพี่นักเขียนเข้าใจว่า Jane มีความรู้สึกนึกคิดยังไง
     
  18. JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ขอบคุณคุณซิปเปอร์มากค่ะที่แนะนำหนังสือ รอพิมพ์ออกมาอยู่ค่ะต้องใช้เวลายามปลอดคนหน่อยค่อยพิมพ์ออกมา

    คุณเซลล์จะคล้าย ๆ จินตวดีเพราะถ้าคุณนักเขียนตอบอะไร หรือมีข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์ ดิฉันจะรู้สึกเสมือนเห็นภาพขึ้นมาในจิต ซึ่งถ้าตอนนี้ทำจิตให้สงบจะตามเข้าไปอ่านได้เลย แต่ส่วนใหญ่สำหรับจินตวดีแล้วจะรักษาอารมณ์ได้ไม่นานเท่าไร และพอเข้ามาดูจะพบข้อความที่เห็นในจินตภาพทุกครั้ง ตอนนี้เวลาเห็นจะพยายามทำจิตให้สงบแล้วดู บางครั้งเคยเหมือนกันที่เห็นหน้าคนเลย เหมือนเขาพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่าง แต่ติดที่กลัว ตอนนี้พยายามบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรน่ากลัว อันนี้ไม่รู้เข้าข่ายประสาทสัมผัสภายในหรือเปล่า เพราะจินตวดีอธิบายในรูปของวิทยาศาสตร์ไม่เป็น
     
  19. เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    เห็นด้วยกับคุณ mead เลยครับ คำตอบของพี่นักเขียน เมื่อนำมาพิจารณา เหมือนเป็นการซ่อมแซมรูรั่วของเราให้ดีขึ้นจริงๆครับ (smile)

    ขาคารวะอาจารย์เซนครับ (smile)
    คำว่า ซาโตริ ของเซนแปลว่า ตรัสรู้โดยฉับพลัน
    ประโยคสุดท้าย ที่ถามว่า ความคิดแบบปิ๊งแว๊บมาเนี่ย จะใช่แบบเดียวกับปัญญาญาณหรือเปล่าน้อ
    ยังถามแบบเซนอีกครับ อิอิ
    คงต้องช่วยกันหาคำตอบครับ :cool:

    ผมว่าคุณจินตวดี มีบุคลิกภาพที่เต็มไปด้วยอารมณ์ และจินตนาการ อย่างดีเลยครับ
    อย่างที่พี่นักเขียนแนะนำว่า ให้ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ให้ลื่นไหล และรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสภายใน ซึ่งครบทั้งอารมณ์ ข้อมูล ภาพ แสง สี เสียง กลิ่น
    ที่คุณจินตวดีรับรู้ ผมว่าน่าจะเข้าข่ายการรับรู้จากประสาทสัมผัสภายในต่อเนื่องกันไป คงต้องให้พี่นักเขียนเข้ามาช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ครับ (smile)

    ผมสังเกตว่า พอผมรับรู้แล้ว ผมมักจะตัดอารมณ์ และจินตนาการตรงส่วนนี้ออกไปครับ และหันไปใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการรับรู้แทน ข้อมูลที่ควรจะทราบ ก็เลยไม่ทราบ (tm-love)
     
  20. kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    เรื่อง ปิ้งแว่บเนี่ย..จากความเข้าใจของเดรด คาดว่า น่าจะหมายถึงการรู้ขึ้นมา อย่างทันทีทันใด โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาไตร่ตรอง คิดหาเหตุผลใดๆ
    อย่างเช่น เวลา เดรด ทำงานนะค่ะ ลูกค้า จะส่งแบบตัวอย่าง ที่เป็น mock-up ขนาดย่อมาให้ ทำจากกระดาษ ซึ่งเดรด ต้องมาคิด วัสดุแทน เพราะต้องขยายขนาด บางที เห็นแบบปุ๊บ มันรู้มาจากข้างในเอง ว่า ต้องใช้ วัสดุ อะไร ที่ใกล้เคียงและเหมือนจริง...ทั้งที่ บางที เราก็ไม่รู้ว่า ทำไม เราถึงนึกไปถึงได้

    ...แต่ถ้า ไม่ปิ๊งนะค่ะ ...บางทีนั่งคิด เป็นวันๆ เลยก็มีค่ะ ต้องหยุด แล้วเอาใหม่

    อาการ อย่างนี้ จะเรียกว่า ปิ้งแว่บ ได้มั๊ยค่ะ...มันจะคนละความหมายกับคำถามคุณ zip รึเปล่าเอ่ย... (smile)
     

แชร์หน้านี้