ขอต้อนรับ คุณNefertiti
เข้าสู่ห้องวิทย์ฯอันอบอุ่น แห่งนี้ค่ะ...
ขอ ขอบคุณ คุณเซลล์ คุณธรรมจิต์ และ คุณ sarrisa
ที่มาแชร์ประสบการณ์ให้อ่านกัน
คำถามนี้สั้นๆ แต่คำหมายลึกซึ้งนะค่ะ แต่ละท่านมีวิธีการอย่างไรบ้างค่ะ
ลองมาแลกเปลี่ยนกันหน่อย ดีมั๊ยค่ะ จะได้ช่วยกันขยายสติสัมปชัญญะ ให้มากขึ้น
แต่ละท่านคงมี เอกลักษณ์ของคำตอบ สำหรับความหมายนี้
มาแลกเปลี่ยนแบ่งปัน กันหน่อยมั๊ยค่ะ...ถือว่าทบทวน สิ่งที่พี่นักเขียนสอนไว้นะค่ะ
เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.
หน้า 318 ของ 454
-
-
sarissa said: ↑มาสวัสดีรอบห้องอีกครั้ง ดีใจจังที่คุณชยุตก็มา แอบกรี้ด เจอคนที่ปลื้ม อิอิ
จากตอนที่ทำมาแรกๆก็เครียดนะคะ ใช้ความเป็นตัวเรากำหนดอยากให้ได้อย่างใจเช่น อยากได้วันนี้วันพรุ่ง อยากได้แบบนั้นแบบนี้ไม่เอา สุดท้ายไม่เห็นเป็นแบบที่เราอยากได้สักอย่างเลยปล่อยวางค่ะ
ช่างเถอะ ไม่ได้อย่างที่ฝันก็ยังมีความสุขที่จะคิดถึงมัน ตอนนั้นแอบคิดฝันว่าชีวิตจะกลับไปรุ่งโรจน์อย่างเดิม หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนเดิม มีคนขับรถมีคนรับใช้อำนวยความสะดวกเหมือนเดิมแต่ ชีวิตยังต้องดำเนินไปแบบที่มันเป็นนี่ละ
ดิฉันจึงค้นพบว่าหากย้อนกลับไปได้ในช่วงที่ทำสมาธิจดจ่ออย่างเคร่งเครียดนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ตามมาคือความสุขดื่มด่ำจากการทำสมาธิ ทุกครั้งจะเพ่งอย่างมากจนปวดหัวก็ปรึกษากับคุณอวตารบอย เขาก็บอกว่า ริสา ถ้ายูอยากจะรู้ยูย้อนกลับไปอ่านอีกครั้งช้าๆอย่างที่ไม่ใช่ความอยากยูอ่านประมาณนี้นะคะ จำไม่ได้มาก
ก็เลยย้อนกลับไปอ่านใหม่แล้วสิ่งที่คิดคือ ไม่ว่าจะกำหนดชีวิตใหม่ได้หรือไม่ได้ตามที่เขาสอนแต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้คือ เราอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร อยากได้อะไร
เมื่อก่อนคิดว่ามีเงินมากๆแล้วเราจะได้ทุกสิ่ง เปล่าเลย เราได้เพียงความเครียด จึงเริ่มช่างเถอะ กำหนดเอาเพียงเราอยากจะเป็นอะไร ตอนนั้นเริ่มรู้ตัวแล้วว่าตนเองชอบทำอะไร มีงานที่เสนอมาให้เดือนละหลายพันเหรียญแต่ต้องอยู่ใต้อำนาจคน เรารู้สึกว่าไม่ใช่ เราไม่ต้องการแบบนั้นอีกแล้วเลยปฏิเสธไป สิ่งหนึ่งที่เราเห็นในว่าที่คนเกือบจะเป็นเจ้านายเราคือ ความหยิ่งยโส ความก้าวร้าวความถือดี แต่นั่นคือภาพสท้อนตัวตนตัวเองเมื่อก่อนที่คิดว่า โลกอยู่ในกำมือเรา เราเหนือกว่าคนอื่นเสมอ หยิ่งยโสและก้าวร้าว จึงได้คิดและตัดใจที่ปฏิเสธงานนั้นแม้ใครๆหลายคนบอกเราโง่ มีคนอีกนับพันที่อยากได้งานแบบเรา แต่เราไม่เพราะเราเชื่อคุณอวตารบอยว่า เรากำหนดวิถีชีวิตตัวเองได้ เป็นอะไรก็ได้
เราจึงเริ่มกลับมากำหนดใหม่ กำหนดด้วยว่าเราอยากจะเป็นอะไร นั่นสอดคล้องกับสนทนากับพระเจ้าเล่ม 1 ที่บอกว่า I am... ฉันเป็น
เราจึงกำหนดว่า เราเป็นนักเขียนและต้องเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง นักเขียนที่ผู้อ่านยอมรับ เอาละงานเขียนแม้ยังออกไม่มากแต่เราก็ได้ตีพิมพ์ สนพ.ใหญ่ที่ผู้คนวงน้ำหมึกยอมรับ นั่นเท่ากับเราบรรลุวัตถุประสงค์ไป I am a novel writer
สิ่งต่อมาเราอยากกลับเข้าสู่แทร็คแห่งความร่ำรวยอีกครั้งแม้จะไม่เท่าเดิมแต่ให้อยู่ได้สบายๆเพราะเราต้องเขียนงานดีๆไง แต่กว่าหนังสือเล่มหนึ่งจะตีพิมพ์ก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสี่ห้าเดือน เราอยู่ไม่ได้ เราจึงกำหนดตามที่คุณอวตารบอยสอนคือกำหนดสัญลักษณ์ เราติดสัญลักษณ์ไว้ทั่วบ้านเป็นร้อยๆอันได้มั้ง ดูทุกวัน ทุกเวลาด้วยซ้ำ
ค้นหาวิธีจดจำสัญลักษณ์ในกูเกิ้ลพบว่า โยคีเองก็มีการเพ่งสัญลักษณ์เช่นกัน คงเหมือนกับเพ่งกสิณแบบทางพุทธ เราจึงลองใช้วิธีโยคีดู ใครจะลองเอาไปใช้ก็ได้นะคะ แต่ไม่มีสิ่งใดใช่หรือไม่ใช่หรอกค่ะ มันคือแค่หนทางในการเดินเข้าสู่เป้าหมายเดียวกัน
โยคีจะใช้วิธีเพ่งดูแบบไม่กระพริบตา เล่าคร่าวๆนะคะจะต้องทำสมาธิก่อนสักครู่แล้วเพ่งที่สัญลักษณ์นั้น เพ่งจนน้ำตาไหล ไม่เคลื่อนจุดโฟกัส ไม่กระพริบตา แรกๆก็ออกจะยากสักหน่อย พอทำหลายๆทีก็โอ..
เอาละเราเพ่งสัญลักษณ์นอกเหนือจากที่คุณพี่อวตารบอยสอนนิดหน่อย แต่การเพ่งจดจ่อเวลาทำสมาธิครั้งหลังนี้ชิลๆ ไม่มีความเครียดและไม่มีความกังวล เราดื่มด่ำกับความรู้สึกจดจ่ออย่างที่คุณพี่แกบอกไว้จริงๆค่ะ ไม่มีเวลา ไม่มีกำหนดว่าจะมาอย่างไร ไม่ชี้นำเราเพียงเพ่งจดจ่อไปที่สัญลักษณ์เท่านั้น ทำแบบนี้สักสองสามเดือนมังคะ จำเวลาไม่ค่อยแน่ จากนั้นเราก็ใช้วิธีเดียวกันนี้จดจ่อกับความฝัน ก่อนนอนถ้าไม่ได้ตั้งจิตจะอยากรู้อะไร เช่นอยากได้พล็อต อยากได้คำตอบ ก็จะตั้งจิตว่าขอให้เราจดจ่อสัญลักษณ์ในโลกยามหลับเป็นโลกที่เชื่อมโยงกับโลกยามตื่น ไม่รู้ได้ผลไหมนะคะแต่ก็มีฝันเรื่องอื่นบ้าง แต่ส่วนมากฝันที่คล้ายคลึงกับสัญลักษณ์ที่จดจ่อค่ะ
ต่อมาก็มีคนมาติดต่องาน เราพูดคุยกันอยู่สักเดือน เขาก็เงียบหายไปก็คิดว่าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะอย่างไรชีวิตช่วงนี้ยังลั้ลลาได้อยู่เพราะเริ่มมีผลงานบ้างแล้ว ปรากฏว่างานที่คุยกันไว้ก็เป็นจริงเป็นจัง เรายังเป็นอิสระแห่งตัวเองตามที่เขียนไว้ด้วยลิปสติคสีโปรดหน้ากระจกแต่งตัว
ก็มีตามมาอีกงานทั้งหมดง่ายๆแบบเหลือเชื่อ ใช้เวลาเพียงสัปดาห์เดียวในการทำงานแต่รายได้มากกว่าเงินเดือนผู้บริหารบางที่เสียอีกและข้อมูลนั้นก็เป็นลิขสิทธิ์ที่เรายังนำกลับมาขายได้อีก มันเหลือเชื่อใช่ไหมคะ ทุกๆเดือนเราจะมีรายได้จากข้อมูลเดิมๆนั้น
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่างานอดิเรกที่ทำสนุกๆด้วยใจรัก กลับย้อนส่งผลมาให้ในวันที่ต้องการแบบชิลๆ แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงเป็น นักเขียนอยู่ดี
เล่ามายืดยาวเพียงอยากแชร์ประสบการณ์ว่า หากยึดติดเวลาและรูปแบบ นั่นไม่ใช่หนทางแห่งการจดจ่อของจิตวิญญาณอันอิสระ เราทุกคนมี free will คิดว่า มันน่าจะเริ่มจากว่า เราเป็นอะไรมากกว่าค่ะ
หากใครสนใจบทความของคุณพี่อวตารบอยทั้งส่วนที่ลงแล้วบางส่วนนับตั้งแต่แย่งงานคุณชยุตมาแปล และส่วนที่ยังไม่ได้ลงบล้อคก็บอกมาจะส่งให้ค่ะ พี่เขากลับมาคงมีเรื่องเล่าอีกเยอะ คงแปลอีกยาวเหยียดแน่ๆ
ปล.คิดถึงคุณชยุตนะเจ้าClick to expand...
พักนี้ก็แปลกอยู่นะ ที่ผมรู้สึกว่า ผมหากระทู้อะไรอ่านไม่ค่อยได้
หาอะไรแปล หาอะไรโพสต์ก็ไม่ค่อยได้เลย ก็เลยมาดูที่กระทู้นี้เข้า
ตรงวัน ตรงเวลา เสียด้วย คือได้เห็นข้อความของคุณสาริสาเข้า
โดนใจมากเลย เพราะว่าก็กำลังจะพิสูจน์การจดจ่ออยู่เหมือนกัน
แต่ปัญหาคาใจก็มีอยู่ไม่สร่างซา ไม่ทราบคนอื่นเป็นเหมือนผมไหม๊
คือ..อยากจะจดจ่อ อยากจะจินตนาการ อยากจะปราถนาอะไรบางอย่าง
เพื่อลองพิสูจน์ดู
แต่..ก็ติดที่ขี้เกียจยึดติด เนี่ย..ขัดกันกับหลักการปล่อยวางหรือเปล่าไม่รู้นะ
หรือว่ามันจะไปด้วยกันได้ก็ไม่รู้
เพราะว่าผมรู้สึกว่า อยากจะปล่อยวาง ละอัตตาตัวตนให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น เห็นก็อยากจะให้เป็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็ให้เป็นสักแต่ว่าได้ยิน
คิดก็ให้เป็นสักแต่ว่าคิด แค่ตามรู้ตามดูมันเฉยๆ ไม่ปรุงแต่งอะไรมัน
แต่ถ้าต้องมาจดจ่อ ต้องมาจินตนาการ เพื่อให้ Law of attraction ทำงานนี่
ก็ออกจะขัดๆอยู่ยังไงไม่รู้นะ..
มีใครอยากเสนอแนะอะไรบ้างไหม๊เนี่ย..
ปล.
ผมคงจะเกาะติดอยู่ในห้องนี้ซักพักหนึ่งโน่นแหละครับ จนกว่าอะไรๆจะเปลี่ยนไป
ไอ้เจ้าอะไรอะไรนี่ก็คือ สภาวะจิต และอารมณ์หนะแหละครับ พัดไปทางไหน ก็ไปทางนั้นแหละครับ
เอาแน่เอานอนอะไรกับตัวเองไม่ค่อยได้ ว่างๆ (แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นหนะนะ) เรื่อยๆ เอื่อยๆ แต่ก็ปุปปับ ถ้ามีแรงบรรดาลใจอย่างฉับพลัน
และอยากจะได้ข้อมูลของคุณสาริสาโดยละเอียดพอสมควร เพื่อการนำไปปฏิบัติจริงหนะครับ
คราวนี้จะเอาจริงแล้ว ให้รู้กันไปซักเรื่องหนึ่งเลย ทีเดียว..เชียว
ขอบคุณล่วงหน้านะคร๊าบ...
;41 -
ตามความเข้าใจส่วนตัว law of attraction กับความอยาก กับกิเลส นี่ มันประมาณว่า ความอยากก็เป็นส่วนย่อยของ law of attraction ประมาณคล้ายๆ กับว่า มีดจะเป็นอาวุธทำร้ายคนหรือเอาเป็นมีดปอกผลไม้มากินก็อยู่ที่คนใช้ว่ามุ่งหมายไปทางไหน
แค่คิดว่าเย็นนี้จะกินอาหารอะไร ก็เกิด law of attraction แล้วนะ หรือแค่ว่าตั้งใจจะทำงานให้เสร็จ ก็เข้า law of attraction เหมือนกัน ส่วนที่ว่าผลจากการที่เราิมุ่งหมายจะเป็นอย่างไรนั้น เราไม่ซีเรียสกับมัน นั่นคือการปล่อยวาง
กินแต่ไม่ยึด มุ่งหมายในบางสิ่งแต่ก็ไม่ยึดกับมัน
ผมคิดว่าเป็นงี้นะ
เพราะว่าเราต้้องอยู่กับสมมติต้องเล่นตามบทตามหัวโขน แต่เราก็ไม่ยึดกับบทนั้นเมื่อเลิกแสดงก็ถอดหัวโขนออก เมื่อเราคิดจะทำสิ่งใดนั่นก็เป็นไปตามบทบาทของเราที่เราเขียนเอง
การมุ่งหมายได้บางสิ่ง หรือทำบางสิ่ง ผมไม่คิดว่าจะเป็นอะไรมาก แต่การยึดในสิ่งนั้นหรือผลลัพธ์จากการกระทำนั้น นั่นแหล่ะเป็นสิ่งที่ควรลดละมากกว่า
ความอยากมีอยากเป็นทำให้คนเราก้าวไปข้างหน้า แม้ว่าความอยากนิพพาน หรือความอยากที่จะไม่ยึด ก็ยังเป็นกิเลสเลย -
Chayutt said: ↑แต่ปัญหาคาใจก็มีอยู่ไม่สร่างซา ไม่ทราบคนอื่นเป็นเหมือนผมไหม๊
คือ..อยากจะจดจ่อ อยากจะจินตนาการ อยากจะปราถนาอะไรบางอย่าง
เพื่อลองพิสูจน์ดู
แต่..ก็ติดที่ขี้เกียจยึดติด เนี่ย..ขัดกันกับหลักการปล่อยวางหรือเปล่าไม่รู้นะ
หรือว่ามันจะไปด้วยกันได้ก็ไม่รู้
เพราะว่าผมรู้สึกว่า อยากจะปล่อยวาง ละอัตตาตัวตนให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น เห็นก็อยากจะให้เป็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็ให้เป็นสักแต่ว่าได้ยิน
คิดก็ให้เป็นสักแต่ว่าคิด แค่ตามรู้ตามดูมันเฉยๆ ไม่ปรุงแต่งอะไรมัน
แต่ถ้าต้องมาจดจ่อ ต้องมาจินตนาการ เพื่อให้ Law of attraction ทำงานนี่
ก็ออกจะขัดๆอยู่ยังไงไม่รู้นะ..
มีใครอยากเสนอแนะอะไรบ้างไหม๊เนี่ย..
ปล.
ผมคงจะเกาะติดอยู่ในห้องนี้ซักพักหนึ่งโน่นแหละครับ จนกว่าอะไรๆจะเปลี่ยนไป
ไอ้เจ้าอะไรอะไรนี่ก็คือ สภาวะจิต และอารมณ์หนะแหละครับ พัดไปทางไหน ก็ไปทางนั้นแหละครับ
เอาแน่เอานอนอะไรกับตัวเองไม่ค่อยได้ ว่างๆ (แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นหนะนะ) เรื่อยๆ เอื่อยๆ แต่ก็ปุปปับ ถ้ามีแรงบรรดาลใจอย่างฉับพลัน
และอยากจะได้ข้อมูลของคุณสาริสาโดยละเอียดพอสมควร เพื่อการนำไปปฏิบัติจริงหนะครับ
คราวนี้จะเอาจริงแล้ว ให้รู้กันไปซักเรื่องหนึ่งเลย ทีเดียว..เชียว
ขอบคุณล่วงหน้านะคร๊าบ...
;41Click to expand...
เริ่มต้น เมื่อเราตั้งใจที่จะจดจ่อ กับอะไร ก็แล้วแต่ สิ่งแรกสุดมันน่าจะเริ่มจากเจตนา ความคิด อารมณ์ และจินตนาการ ที่พาไปสู่ตัวเป้าหมาย พร้อมคำถามที่จะเกิดขึ้นมากมาย แบบแปลนต่างๆ ที่คุณเซลล์เรียกว่าพิมพ์เขียว ได้ถูกกำหนดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ในเส้นทางที่เป็นไปได้เส้นทางหนึ่ง เราเพียงเฝ้าดู ในอารมณ์แรกที่เกิดขึ้น สิ่งต่างๆจะถูกดึงดูดเข้ามาในโลกกายภาพอัตโนมัติ จากการดำเนินชีวิต การกระทำของเราตามแบบแผนขั้นต้น
แต่เมื่อเรามีความอยาก หรือลังเลสงสัยเกิดขึ้น พิมพ์เขียวนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะถูกรบกวนจาก ความคิดที่เปลี่ยนไป เส้นทางก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เราจึงมักไม่ประสบผลสำเร็จกับการจดจ่อนั้นๆ
ยกตัวอย่าง เช่น เราปรารถนาอยากได้บ้านในฝัน เราจินตนาการ สร้างบ้านนั้นเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเกิดปัญหา เช่น การผิดเสปคของอุปกรณ์ ความคิด จะเกิดการชะงักงัน ความกลัว และลังเล เข้ามาแทนที่ ก็จะทำให้พิมพ์เขียวของบ้านในฝันที่วางไว้ เปลี่ยนรูปไป แต่ถ้าเราปล่อยวาง และตระหนักถึง อะไรก็ไม่ใช่ปัญหา เรายังเชื่อมั่นในจินตภาพของบ้านในฝันอยู่ ผลสรุปสุดท้าย บ้านในฝันนั้นก็จะมาปรากฎ อยู่ตรงหน้า ตามที่เราตั้งวิถีจดจ่อไว้แต่แรก
สิ่งเหล่านี้เดรดคิดว่า มันไม่ใช่การยึดติด แต่เป็นการปล่อยวางอย่างสุดๆเลย เพราะเมื่อเราเจออุปสรรค ที่มาขวางความฝันเรา เรามักจะคิดหาวิธีแก้ปัญหา เพราะอยากไปให้ถึงเป้าหมาย ความอยากเกิดขึ้น ความลังเล ความกลัว สารพัดเกิดขึ้น ความคิดเปลี่ยน พิมพ์เขียวย่อมเปลี่ยนเป็นธรรมดา
เอ่อ...ลองแสดงความเห็น ตามความเข้าใจเดรดเองนะค่ะ กำลังอยู่ในระหว่างการฝึกฝนเหมือนกัน ลองมาแชร์ดูเท่านั้น...อ่าน เพื่อความบันเทิงนะค่ะ อย่าซีเรียส นะคะ คุยกัน เฉยๆ....^-^ -
วันนี้ตอนบ่ายๆนั่งสมาธิแล้วสักพักก็นอน ปรากฏว่าจิตตื่นขึ้นมาและหลังจากไม่เคยลุกออกจากตัวได้สำเร็จ คราวนี้ใช้ความรู้สึก(ไม่ใช้ความพยายามทางกายเลย) กำหนดให้ตัวเองลุกขึ้น และรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆเคลื่อนที่ขึ้นมาช้าๆ (รู้สึกว่าเหมือนพวกหนังผีที่ศพมันเดินช้าๆเลยที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง) และพอขยับร่างออกจากร่างที่นอนอยู่ก็เห็นร่างตัวเองสองร่างซ้อนๆกันอ่ะครับ...อย่างงี้รึเปล่าเนี่ยที่เค้าชอบเรียกกันว่าถอดวิญญาณ แต่ก็ถอดออกมาได้ไม่เต็มตัวหรอกครับ เพราะยังไม่กล้า ถอดออกมาได้ครึ่งนึงรู้สึกปอดแหกขึ้นมาเลยกำหนดให้ตื่นขึ้นมา เดี๋ยวคราวหน้าลองใหม่
ที่จริงพอเข้าใจแหละครับว่าภาวะถอดวิญญาณไม่มีอยู่จริง แต่พูดให้เข้าใจง่ายๆครับ -
ปกติไม่เข้ามาสองรอบ วันนี้บังเอิญมานึกถึงคุณชยุตเหมือนกันเลยเข้ามาดู ขอลองตอบดูนะคะ
ตอนแรกที่ทำก็คิดเหมือนกันค่ะ
ชั้นแรกสุดเลย (นี่เป็นความคิดส่วนตัวนะคะ)
มีอยู่วันหนึ่งไปทำบุญที่วัด ปกติพระท่านจะเทศน์ก่อนให้เราใส่บาตร เราก็นั่งฟัง วันนั้นท่านพูดว่าการเป็นอุบาสกอุบาสิกาที่ดี มีข้อหนึ่งคือ ไม่รับหรือเชื่อในศาสนาอื่น ประมาณนี้ค่ะ เราก็คาใจ คิดมาตลอดว่า นี่เราผิดต่อพระพุทธเจ้าหรือศาสนาของเรารึเปล่า ยิ่งมาเจอคุณแม่พูดเรื่องทำบุญเยอะๆจะได้ผลบุญตอบสนอง เราก็ยิ่งคิด
ตอนนั้นเวลาที่จดจ่อกับสิ่งที่ปรารถนาหรือเจตนารมณ์ ใจหนึ่งก็คิดว่าเราผิดต่อคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ความอยากเป็นกิเลส จนทำสมาธิด้วยความก้ำๆกึ่งๆ ใจหนึ่งก็อยากนะ ใจหนึ่งก็นี่คือกิเลสนะ นี่คือที่มาแห่งทุกข์
จนมาวันหนึ่ง ได้คุยกับคุณพี่อวตารบอยเขา เราก็ปรารภว่า อืมเรารู้สึกว่า มันขัดกับความคิดดั้งเดิม เขาก็กรุณาอธิบายให้ฟังว่า มันมีสองแนวทางนะริศา ถ้ายูอยากเดินตามแนวทางพระพุทธองคื เวลายูทำสมาธิยูต้องให้เกิดความว่าง ความคิดใดผุดมาก็ปล่อยมัน มันจะจบไปเอง เข้ากับหลักสอนที่เราเราได้ฝึกใช่ไหมคะ จิตเกิดดับ เกิดดับให้เราเห็นและเราเห็นความไม่เที่ยง
แต่ถ้ายูยังอยากจะใช้ชีวิตแบบทางโลกย์ที่ไม่จำต้องสละทุกอย่าง ยูก็จดจ่อไปในสิ่งที่ยูอยากจะทำ นั่นคือกฏแห่งแรงดึงดูดใช่ไหมคะ
ต่อมาได้อ่านบทความอันหนึ่ง(ต้องขอออกตัวก่อนนะคะเป็นคนที่เวลาอยากรู้อะไร ก็สุดๆไปเลยละค่ะ ทั้งไทยฝรั่งหามาอ่านหมด) เขาวิเคราะห์ว่า พระไตรปิฎกหรือแนวทางการสอนทุกวันนี้ใช่แนวทางคำสอนจริงของพระพุทธองค์หรือ เขาจะถกกันประมาณว่า สมัยพุทธกาล ยุบหนอพองหนอไม่มี ฯลฯ ประมาณนี้นะคะ ไม่อยากก้าวล่วงศาสนามากนักเพราะอาจถูกตำหนิจากผู้รู้จริงกว่าได้
ดิฉันเลยแวบหนึ่งนึกขึ้นในใจว่า ทำไมบางครั้งพุทธพจน์จึงตรงกับnew age เช่น ทุกอย่างเกิดขึ้นที่จิต ดับที่จิต (อันนี้ใครว่าไม่เหมือน ดิฉันก็ว่าตามประสาโง่ๆว่าเหมือน เพราะเราต่างบอกว่าจดจ่อที่จิต) และอีกอันหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดของดิฉันโดยสิ้นเชิง นั่นคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ดิฉันบอกอย่างไม่อาย แม้ขณะที่เขียนนี้ น้ำตารื้นขึ้นมาเมื่อนึกถึงคำนี้
พระองค์ไม่ได้เคยบอกว่า ห้ามเราอยาก อันเป็นสมบัติมูลฐานของมนุษย์ แต่พระองค์ตรัสว่าเป็นผู้รู้
ดิฉันลองมาสังเกตุตัวเองในความจริงอันนี้ ตอนแรกที่ได้รับรู้เรื่องราวนี้ ไม่ว่าจะเป็นจากพี่นักเขียน คุณอวตารบอย หรือสนทนากับพระเจ้า หรือแม้แต่ที่พี่กูจัดให้ ดิฉันรับรู้ด้วยความตื่นเต้น เมื่อรู้มากๆกลายเป็นความเชื่อ ลองทำแม้จะยังไม่เห็นแนวทางอะไรชัดนัก แต่อย่างน้อยเมล็ดพันธ์แห่งความเบิกบานได้งอกงามในจิตใจ
ดิฉันมีความหวังค่ะ
การมีความหวังเป็นดังสายน้ำที่ชุ่มชื้นหัวใจ ดิฉันตอกย้ำความเชื่อตัวเองโดยการหาอ่านสิ่งที่จะเป็นปุ๋ยแห่งต้นเบิกบาน พูดคุยกับต้นเบิกบานอื่นๆนั่นคือ เพื่อนๆในนี้ โดยเฉพาะตอนนั้นคุณมีด หัวหน้าห้อง เขาเป็นคนที่เบิกบาน ดิฉันจึงคิดว่า เขานี่ละคือตัวแทนของประโยคทองที่ว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน(อันนี้ก่อนได้รู้จักคุณอวตารบอยและคุณชยุต)
ต่อมา เมื่อได้ฝึกฝนและมีบทความอันหนึ่งของคุณอวตารบอยที่พูดถึงการตื่นจากการหลับไหล หลงลืมตัวตน ถ้าใครยังจำได้ที่ใช้ชื่อว่า สมศรี สมชาย มันทำให้ดิฉันยิ่งเชื่อว่า มันคงเป็นอย่างนั้นละ
ณ ตอนนั้นสลัดความรู้สึกผิดต่อพระพุทธองค์ออกด้วยการขอขมา และดิฉันเชื่อว่า พระพุทธองค์(หากเชื่อตามที่คุณอวตารบอยเขียน)ก็เป็นดั่งจิตวิญญาณชั้นสูงณ แดนแห่งความว่างเปล่าที่มีเส้นทางการเลือกเดินตามฟรีวิลของพระองค์เช่นกัน
ดิฉันจึงสามารถทำสมาธิจดจ่อได้โดยไม่รู้สึกลักลั่นอีกต่อไประหว่างความเชื่อเดิมๆที่เคยมีมาเรื่องกิเลส
ขอท่านที่เป็นพุทธแบบแข็งแรงอย่าว่าดิฉันนะคะ นี่คือความคิดส่วนตัวและเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนๆเท่านั้น
ส่วนเรื่องของเวลาแห่งการจดจ่อก็เช่นกัน
ตอนนั้นยึดติดเรื่องของเวลา ก็พี่กูอีกละค่ะที่พาไปพบกับโยคีอีกท่าน จำชื่อไม่ได้ ชื่อจำยากมาก
เขามีทริคสั้นๆเรื่องเวลา มันอาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลไม่รู้นะคะแต่ก็ลองดู ก็ผลอย่างที่เห็น แรกๆทำจนเราเลิกสงสัยเรื่องเวลา แล้วเราก็จะหลุดพ้นเวลาไปค่ะ
ท่านโยคีท่านนี้บอกว่า การทำให้เกิดเวลาที่มนุษย์สมมติกันขึ้นมาก็เริ่มมาจาก sun &moon
ท่านให้นั่งสมาธิสักพัก จากนั้นก็จินตนาการถึงพระอาทิตย์ที่เจิดจรัสจ้าเท่าที่เราจะเห็นในสมาธิเรา ยิ่งจ้ายิ่งจรัสค่ะ เห็นภาพนั้นสักพักก็น้อมเอามาไว้ที่จักระที่ 4 (กลางอกใช่ไหมคะ) จากนั้นก็นึกถึงจันทร์เต็มดวง เอาแบบแจ่มๆนะคะ แล้วค่อยๆลอยจันทร์เข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ของเรา ใกล้เข้ามาช้าๆ จากนั้นก็ merge จันทร์เข้าไปในดวงอาทิตย์ เราก็จะไม่มีเวลา Time desendings
ขอโทษที่หมู่นี้ตอบย้าวยาวเปลืองพื้นที่มากเลย ถ้าใครจะว่าแรงๆอย่าว่านะคะ ดิฉันหัวใจอ่อนไหวค่ะ หุหุ -
รอฟังต่ออยู่นะครับคุณริสา เพราะรู้สึกว่าน่าจะยังมีอีกเยอะหนะครับ
และก็..ถ้ามีเรื่องอะไรดีๆเกี่ยวกับเวลา ก็มาแชร์ให้อ่านบ้างนะครับ
ในกระทู้เรื่องเวลาของผม..
http://palungjit.org/showthread.php?p=1580630 -
มาตอบต่อก่อนปิดคอม
คุณเด็กโชว์พาวคะ เชื่อไหมคะว่าเป็นเหมือนกัน แต่พอกลัวแวบกลับมาที่เดิมและทำไม่ได้อีกเลย จนบัดนาว
เรื่องเวลาขอไปค้นที่เก็บเอาไว้ในโน้ตบุ๊คก่อนนะคะ เพราะนานแล้วจำไม่ได้
จะเล่าให้คุณชยุต ฟังต่อนะคะ ขอย้ำว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องหรือใช่ ไม่ใช่เพราะเราทุกคนต่างเรียนรู้ทั้งนั้น มาเล่าวิธีของตัวเองเฉยๆ เผื่อใครจะประยุกต์ใช้แบบของตน
ตอนก่อนนอน (ไม่ว่าจะนอนกี่โมง จะต้องทำสมาธิก่อนนอนอย่างน้อย 40 นาทีขึ้นไป)
ดิฉันจะเริ่มนั่งสมาธิและไล่จักระไปเรื่อยๆ ตั้งแต่จักระ 1-7 ทุกครั้งที่เอาจิตไปจดจ่อที่จักระนั้นจะให้รู้สึกวิ้งๆตรงจักระนั้น (เดิมดิฉันก็เป็นคนนั่งสมาธิแนวพุทโธนะคะ มาเริ่มแบบจักระก็ตอนที่คุณพี่อวตารแกสอน)
ไล่ไปถึงจักระ 7 ไม่มีบริกรรมค่ะ
เมื่อถึงจักระ7 ก็จินตนาการว่า มีท่อกลวงๆสีขาวทะลุจากจักระที่ 4 ขึ้นไปถึงจักระ 7
จากนั้นให้ดิฉันรู้สึกถึงแสงสีขาว (อันนี้เราจักต้องจินตนาและรู้สึกเอง) ไหลต่อเนื่องเชื่อมโยงดิฉันกับพลังงานต้นกำเนิด หรือที่เราเรียกว่า ความว่างเปล่า แต่ตอนนั้นจะรู้สึกเหมือนมาจากอวกาศจักรวาลนะคะ
รู้สึกตัวเหมือนแสงสีขาวนั้นค่อยๆอาบไหลลงมาทั่วร่าง แขนขา ทุกส่วน
จากนั้นดิฉันจะรู้สึกว่า ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งจองจักรวาลและมีพลังแสงสีขาวอยู่ในตัว ดิฉันจะดื่มด่ำกับอาการนี้สักครู่(ถ้าวันไหนเจ็บปวดตรงไหน จะใช้ช่วงเวลานี้ที่จะนำแสงนี้ไปจดจ่อบริเวณที่เจ็บปวด)
ดิฉันจะรู้สึกว่าใจกลางตัวเองเป็นกองไฟแห่งความรักที่ลุกโชนแล้วแผ่กว้างออกจนครอบคลุมห้องทั้งห้อง ความรักส่งผ่านทั้งตู้เตียงและวิญญาณใดๆก็ตามในห้องนี้ จากนั้นจะย่อห้องนั้นเล็กจนเข้ามาอยู่ในร่างเรา
แล้วก็รู้สึกแผ่รัศมีสีขาวแห่งความรักนั้นครอบคลุมทั่วบ้าน(ภาพจะเหมือนลาวาที่ไหลออกไปทุกทิศ) ขอให้ทุกคนมีความสุข ให้เจ้าที่ผีบ้านผีเรือนแล้วแผ่ออกไปทั่วหมู่บ้าน ทั่วประเทศ ทั่วโลก จากนั้นจะย่อทั้งหมดเข้ามาอยู่ภายในตัวเอง
จากนั้นจะรวมเอาจักรวาลทั้งหมดเข้าไปอยู่ในตัว ตอนนี้ละค่ะที่รู้สึกว่า ตัวเองเป็นเจ้าแห่งจักรวาล (ก็มีจักรวาลอยู่ในตัวเนอะ) ดิฉันจะดื่มด่ำความรู้สึกนี้สักครู่ แล้วเริ่มขบวนการเปลี่ยนตัวเอง
พอเราเป็นจ้าวจักรวาล เราเหมือนตัวใหญ่ มีอำนาจ และดิฉันก็จะบอกกับตัวเองว่า " เราเป็น....." อะไรดีๆที่แต่งเอาไว้แล้วนะคะ เช่นฉันเป็นนักเขียนที่โด่งดังหรูหราร่ำรวยและมีชื่อเสียง ประมาณนี้ค่ะ
จากนั้นภาพสัญลักษณ์ที่จดจ่อเอาไว้ที่จำได้แม้ลืมตาหลับตาจะมาตอนนี้ละค่ะ เหมือนฉายหนัง(ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะเป็นไหม มันจะมาวูบแล้วดับลง มาวูบแล้วดับลง)ตรงจักระที่ 6
จะเพ่งจดจ่ออย่างนี้จนผ่านสภาวะปิติเช่นน้ำตาไหล
มันคงจะเป็นอุปจาระสมาธิรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่จะรู้สึกทุกครั้งต้องผ่านตรงนี้ หลังจากทำการพิสูจน์ตัวเองพบว่า กว่าจะเข้าถึงจุดตรงนี้ โดยส่วนตัวใช้เวลา 32-35 นาที (คือจะพยายามจับจุดตัวเองให้ได้ว่า ณ ตรงไหนที่เหมาะสม อันนี้ไม่แน่นะคะ บางวันที่เพิ่งผ่านการดูทีวีตื่นเต้นมาก็ใช้เวลามากออกไปอีกแต่โดยรวมประมาณนี้)
แล้วนับจากจุดอุปจาระที่เข้าสู่ภวังค์เหมือนเราเข้าห้องแปลกๆ เบาๆ ลอยๆ (ตรงนี้เราจะผ่านพวกสีวูบๆวาบก่อนนะคะ แฮ่ เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน คนในนี้เขาเก่งๆทั้งนั้นละเธอ) ภาพสัญลักษณ์ที่เราเพ่งจดจ่อจะอยู่นานขึ้นไม่ดับวูบไป ในการนี้ดิฉันใช้สัญญลักษณ์ 2 อัน อันหมายถึงเงินและชื่อเสียงสำหรับงานตัวเอง จนกระทั่งรู้สึกว่าพอก็ค่อยๆเริ่มถอยสมาธิออกมา
ก่อนนอนก็อย่างที่บอกถ้าไม่ได้อยากถามรู้อะไรเป็นพิเศษ ดิฉันก็จะบอกว่า ขอให้จิตวิญญาณของเราจดจ่อในสัญญลักษณ์นี้และเชื่อมโยงโลกยามหลับและยามตื่นเข้าเป็นโลกเดียวกัน ตื่นมาก็จดความฝันตามที่พี่นักเขียนสอน
อ้อ มีอีกอย่างที่ทำคือ การเป็นอิสระแห่งตัวเอง ดิฉันเขียนไว้หน้ากระจกดังนี้ค่ะ
ฉันเป็นอิสระจากคำชมเชยหรือคำวิพากย์วิจารณ์ใดๆ ฉันไม่อยู่ใต้อำนาจของใคร
และตลอดทั้งวันดิฉันก็กำหนดจิตตัวเองที่จักระ 4 ทุกครั้งที่นึกได้ค่ะ คือพยายามรู้สึกเท่าทันอารมณ์ตัวเอง พอเริ่มจะโกรธก็มารู้ตามดูตัวเอง ตอนนี้ก็ไม่โกรธหรือโมโหใคร มีแวบเดียวพอรู้ว่าโกรธนะ มันก็หายไป เช่นกันนี้คือคำสอนของพระอาจารย์ปราโมช และพระอาจารย์ธัมมะทีโป
หมดสิ่งที่ทำสิ้นไส้สิ้นพุงเท่านี้ละค่ะ คุณชยุต ถ้านึกได้จะมาเพิ่ม แต่เท่าที่นั่งคิดก็เท่านี้นะคะ ขอเอาใจช่วยให้ผ่านพ้นความยุ่งยากใจเรื่องการปล่อยวางเร็วๆนะคะ -
สวัสดีค่ะ คุณ Mead
อนุโมทนาค่ะ ขอรบกวนหน่อยค่ะ ถ้าสนใจหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย สามารถหาซื้อเก็บได้ที่ไหนค่ะ รบกวนหน่อยค่ะ
ช่วยแจ้งที่ mail : i_phueng_lovely@hotmail.com ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
-
kindred said: ↑ขอต้อนรับ คุณ nevfertiti
และคุณ i-phung เข้าสู่ห้องวิทย์ฯครับ
(ขอเอารูปคุณเดรดมาใช้หน่อยนะครับ เพราะเห็นว่าเข้ากับเหตุการณ์พอดี มีผึ้งน้อย (I-Phung) มาเกาะดอกไม้ด้วย อิอิ)Click to expand...zipper said: ↑มีดจะเป็นอาวุธทำร้ายคนหรือเอาเป็นมีดปอกผลไม้มากินก็อยู่ที่คนใช้ว่ามุ่งหมายไปทางไหนClick to expand...
sarissa said: ↑ท่านโยคีท่านนี้บอกว่า การทำให้เกิดเวลาที่มนุษย์สมมติกันขึ้นมาก็เริ่มมาจาก sun &moon
ท่านให้นั่งสมาธิสักพัก จากนั้นก็จินตนาการถึงพระอาทิตย์ที่เจิดจรัสจ้าเท่าที่เราจะเห็นในสมาธิเรา ยิ่งจ้ายิ่งจรัสค่ะ เห็นภาพนั้นสักพักก็น้อมเอามาไว้ที่จักระที่ 4 (กลางอกใช่ไหมคะ) จากนั้นก็นึกถึงจันทร์เต็มดวง เอาแบบแจ่มๆนะคะ แล้วค่อยๆลอยจันทร์เข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ของเรา ใกล้เข้ามาช้าๆ จากนั้นก็ merge จันทร์เข้าไปในดวงอาทิตย์ เราก็จะไม่มีเวลา Time desendingsClick to expand...
แปลไม่ออก ไม่รู้หมายถึงอะไร
ฝันไปว่า ยืนอยู่นอกหน้าต่าง มองพระอาทิตย์ที่สว่างจ้า ซักพัก ดวงจันทร์เคลื่อนวงโคจรเข้ามา และซ้อนเข้ากับดวงอาทิตย์
และภาพก็ตัดมา มีผู้หญิง และผู้ชายคนหนึ่ง ลากเส้นให้ดู เป็นแกนเวลาเทียม และก็เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่ต่างเวลากัน
การทำให้เหตุการณ์บางอย่างย่นย่อเข้ามา หรือให้ห่างไกลออกไป ก็ใช้วิธีนี้
แล้วความฝันก็จบลง พร้อมกับความงงงวย อิอิ ;aa22 -
มีข้อสงสัยนึงเกี่ยวกับการค้นหาแนวทางในการพ้นทุกข์ของพระพุทธเจ้า
คือว่าพระพุทธเจ้านั้น,อย่างที่ทราบกัน, ก่อนหน้าที่พระพุทธเจ้าจะค้นพบแนวทางในการพ้นทุกข์ ท่านก็ได้ปฏิบัติตามเส้นทาง,วิถีทางอื่นมาก่อนอย่างเช่นปฏิบัติตามอย่างโยคี และก็พบว่าเส้นทางนี้ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ ไปสู่นิพพานได้
ตรงนี้แหล่ะที่สงสัยว่าพระพุทธเจ้าท่านทราบได้อย่างไร พระพุทธเจ้าท่านพิจารณาอย่างไร น่าจะเอามาพิจารณากัน เพราะว่าปัจจุบันก็มีความเชื่อต่างๆ นาๆ มากมาย จากหลายๆ แหล่ง การที่จะพิจารณาว่าความเชื่อนั้น เป็นความเชื่อที่ทำให้พ้นทุกข์ได้หรือเปล่าหรืออย่างน้อยก็เป็นความเชื่อที่เป็นคุณ หรือเป็นความเชื่อที่เหมาะที่ควร ก็น่าจะใช้วิธีการ/หลักการเดียวกับที่พระพุทธเจ้าพิจารณาได้
ด้วยวิธีการนี้แม้ว่าใครจะนำเสนอความเชื่ออะไรที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมา เราก็สามารถพิเคราะห์ดูได้ว่าเป็นความเชื่อที่เหมาะสมหรือเปล่า -
แลกเปลี่ยนกันนะครับเพื่อนๆไม่ได้กล่าวถึงศาสนา แต่กล่าวจากประสบการณ์ตนเอง (ปัจจุบันก็ยังไม่ได้เข้าใจอะไรมาก แต่ก็เริ่มที่จะค้นหาความจริงจากภายในตนเองครับ)
เหมือนความเชื่อที่ว่า นั่งให้ว่างๆ เป็นการสะสมบุญ แล้วรอคอยว่าวันนึงก็จะนิพพาน เพราะวันนึงอาจจะเข้าใจอะไรขึ้นมาเอง เหมือนหยอดกระปุกสะสม
เป็นความเชื่อที่เรารับมา โดยขาดการพิจารณา
ก็นั่งไปนั่งมา นั่งวันละชั่วโมง ทุกวันเช้า-เย็น ตอนอยู่ในสมาธิก็ดูอาการจิตไป ก็ดื่มด่ำกับความสุข ความเป็นหนึ่งเดียวของจิต
นั่งไปนั่งมา ก็ยังหาคำตอบอะไรให้กับชีวิตไม่ได้ ยังไม่เข้าใจจิตใจของตนเอง เมื่อยังไม่เข้าใจจิตใจตนเอง ก็ไม่เข้าใจผู้อื่น และแยกเอาชีวิตประจำวัน ออกจากโลกสมาธิ
พอไม่สบายใจอะไร ก็มานั่งสมาธิเพื่อพักผ่อน
ชีวิตก็ดำเนินมาด้วยดี แต่ก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร
ทำตามเพราะเราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ดีกว่าไปทำอย่างอื่น สังคมก็เห็นว่าดี เป็นสิ่งที่ควรปฎิบัติกัน ดีกว่าเอาเวลาไปทำอย่างอื่น
ก็ทำให้ความเชื่อมันหนาแน่นขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าเราทำเพราะความเชื่อ เพราะเราเกาะกับความเชื่ออยู่ ไม่มีสติมาคอยมองดูว่า แน่ใจแล้วหรือ ว่าที่ทำอยู่ เป็นความจริง หรือเป็นเพียงความเชื่อ
ไอ้ตอนที่ติดอยู่กับความเชื่อ ใครมาท้วง ใครมาติง มีหรือจะฟัง เพราะเราคิดว่าเป็นความจริงงัย เราทำผิดตรงไหน
เมื่อมาถึงจุดอิ่มตัว ก็เริ่มเบื่อหน่าย ว่าทำไมนั่งมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นพัฒนาสติปัญญาขึ้นมาเลย มีแต่สบายอย่างเดียว
วันนึงนั่งสมาธิ แล้วจิตรวมตัว ก็เริ่มคิด คำตอบมันก็ไหลออกมาเอง
มันมาจากไหนหว่า ตกใจ ออกจากสมาธิ
ก็เลยเข้าใจว่า ที่ผ่านมา เราขาดการพิจารณามันก็เลยไม่ได้คำตอบอะไรเลย เหมือนไม่ได้ป้อนคำถาม แล้วคำตอบมันจะมาจากไหน
ตรงนี้ก็เริ่มเห็นว่า นี่ข้าพเจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันเนี่ย อยู่มาตั้งนมนาน ใครทักก็ดื้อรั้น ไม่เคยฟัง เพราะยึดมั่นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ใครๆเขาก็ทำกัน
จบแล้ว... -
ไม่อยู่ 2 วันห้องวิทย์คึกคักเอามากๆเลย..แบบนี้ต้องหายไปบ่อยๆ อิอิ
คุณริสา นำประสบการณ์ที่น่าสนใจมาแบ่งปันให้พวกเราฟัง รู้สึกอ่านสนุกน่าติดตามจริงๆครับ
ความสำเร็จที่จดจ่อไว้คงอยู่ไม่ไกลแล้วครับ เรื่องสัญลักษณ์ที่พูดถึงลองเอามาใช้กันดูครับ
ใน the Secret เค้าแนะะนำแปะรูปไว้หน้าโต๊ะทำงาน หัวเตียงหรือเพดาน จ้องดูกันทุกวันเลยครับ
กระบวนการของความคิดจะสร้างแรงสั่นสะเทือนออกมาอย่างต่อเนื่อง วันแล้ววันเล่า
เปิดไปสู่ mode ความผาสุข อันเป็นธรรมชาติไหลไหลรินมาสู่ตัวเราที่ละน้อยๆแต่มั่นคง
ปล่อยให้ประสบการณ์แห่งการเปิดรับ อันปราศจากแรงต้านทาน (ความอยาก-ไม่อยาก)
ทำงานอย่างคล่องตัวและไม่ติดอยู่กับเวลาอันเป็นเครื่องพรางของโลก อย่างที่คุณเซลล์และคุณซิปฯแนะนำครับ
ยินดีต้อนรับ คุณผึ้ง และคุณ nevfertiti สู่ห้องวิทย์ด้วยครับ
เอ่อ..คุณชยุด return กลับมาทักทายบ่อยๆนะครับ มี fanclub มาให้กำลังใจอยู่หลายคนนะครับ อิอิ -
mead said: ↑ไม่อยู่ 2 วันห้องวิทย์คึกคักเอามากๆเลย..แบบนี้ต้องหายไปบ่อยๆ อิอิ
คุณริสา นำประสบการณ์ที่น่าสนใจมาแบ่งปันให้พวกเราฟัง รู้สึกอ่านสนุกน่าติดตามจริงๆครับ
ความสำเร็จที่จดจ่อไว้คงอยู่ไม่ไกลแล้วครับ เรื่องสัญลักษณ์ที่พูดถึงลองเอามาใช้กันดูครับ
ใน the Secret เค้าแนะะนำแปะรูปไว้หน้าโต๊ะทำงาน หัวเตียงหรือเพดาน จ้องดูกันทุกวันเลยครับ
กระบวนการของความคิดจะสร้างแรงสั่นสะเทือนออกมาอย่างต่อเนื่อง วันแล้ววันเล่า
เปิดไปสู่ mode ความผาสุข อันเป็นธรรมชาติไหลไหลรินมาสู่ตัวเราที่ละน้อยๆแต่มั่นคง
ปล่อยให้ประสบการณ์แห่งการเปิดรับ อันปราศจากแรงต้านทาน (ความอยาก-ไม่อยาก)
ทำงานอย่างคล่องตัวและไม่ติดอยู่กับเวลาทางโลก อย่างที่คุณเซลล์และคุณซิปฯบอกไว้บอกครับ
ยินดีต้อนรับ คุณผึ้ง และคุณ nevfertiti สู่ห้องวิทย์ด้วยครับ
เอ่อ..คุณชยุด return กลับมาทักทายบ่อยๆนะครับ มี fanclub ให้กำลังใจอยู่หลายคนนะครับ อิอิClick to expand...
ว่าแต่ว่า เรื่อง "สัญญลักษณ์" ที่พูดถึงกันนั้น มีใครจะยกตัวอย่าง
หรืออธิบายเพิ่มเติม ถึงรูปแบบ และวิธีการใช้ให้ทราบได้ไหมครับ
(เอ..หรือว่าเขาพูดกันไปแล้ว แต่ผมพลาดไปก็ไม่รู้นะเนี่ย)
เพราะเดี๋ยวกะว่าจะไปหามาใช้บ้างหนะครับ แหะ แหะ -
พอดีเห็นคุณริสาพูดถึง "สัญญลักษณ์" ไว้น่ะครับคุณชยุต เข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของการจดจ่อนะครับ ทุกๆคนทำเป็นกันอยู่แล้วก็คือใช้มโนภาพหรือรูปภาพนั่นหล่ะครับ ที่ต้องฝึกก็คือการปรับปรุงระบบนำทาง ให้ดียิ่งขึ้น ให้อยู่ในแนวเดียวกับสื่งที่เราจะทำด้วยครับ เช่น ถ้าเราจะเชื่อมโยงกับเส้นทางใหม่ๆเราต้องยอมเปิดให้มีการเชื่อมโยงนั้นครับ
หลักการง่ายๆคือต้องรู้สึกดีๆกับสิ่งนั้นก่อน และพร้อมรับมือกับจุดที่เรายืนอยู่ในขณะนี้ให้ดีที่สุด จดจำให้ได้ว่าเรานั้นมีอิสระอันแท้จริงอยู่แล้ว เพื่อตอบสนองสิ่งที่เรากำลังสนใจหรือ focus ลงไป ไม่ว่าเราจะคิดถึงสิ่งนั้นๆในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต เราก็ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนออกไปแล้ว เท่ากับได้ส่งพลังแห่งความปราถนาหรือความกระตือรือร้นนั้นออกไปเป็นแถบกว้างๆแล้วครับ จากนั้นเราก็ค่อยๆบีบความความคิดและประสบการณ์นั้นให้คมชัดขึ้นเรื่อยๆ พลังจะอยู่ตรงจุดนี้ครับ การกระตุ้นให้คิดหรือกลับไปหาความคิดนั้นๆบ่อยๆมันก็จะกลายเป็นความโดดเด่นรูปแบบหนึ่งขึ้นมา สิ่งที่เข้ากันได้มันก็จะเริ่มโผล่เข้ามาในประสบการณ์ของเราในที่สุด ในหนังสือสนทนากับพระเจ้าก็บอกไว้ว่า "การกระทำนั้นให้ผลยิ่งกว่าความคิด" จึงไม่มีกฎตายตัวที่จะบอกว่ากระบวนการไหนดีที่สุด เราอาจต้องเพิ่มการกระทำเข้าไปด้วย แต่กฎแห่งการดึงดูดนั้นก็เที่ยงธรรมเสมอ เสมือนว่าเรารับรู้และสังเกตถึงการเป็นผู้สร้างอย่างจงใจครับ..เดี๋ยวมาต่อครับเรื่องนี้ เพื่อนๆว่าไงกันบ้าง ลองยกตัวอย่างง่ายๆมาคุยกันได้นะครับ -
การฝึกมโนมยิทธิฯ ที่เริ่มด้วยการฝึกจับภาพพระ (เป็นสัญญลักษณ์)
ก็คงเป็นกฎของแรงดึงดูดเหมือนกันนะครับ ทำให้จิตเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าได้อย่างแนบสนิท..
ให้จิตเราคงอยู่กับความดีงามจนเป็นปกติ...(ยกตัวอย่างน่ะครับ)
ถ้าแบบทางโลกหน่อย..สอบ Entrance ติดคณะที่เราปรารถนา การงานที่ชอบ
รถที่ชอบ บ้านสักหลังสองหลัง ก็เป็นสัญญลักษณ์ทางความคิดเหมือนกัน...
"กฎแห่งการดึงดูด"เป็นกฎที่ทรงพลังก็จริง แต่มันก็ไม่ง่ายที่เราจะยึดความคิดนั้นเอาไว้ให้นานๆครับ
สมมุติว่าเราเคยเพลิดเพลินกับการฟังเพลงหนึ่งๆ...
แต่ในตอนหลังเราได้ยินเพลงเดิมอีก คราวนี้กลับรู้สึกไม่เพลิดเพลินซะแล้ววว...???
ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะยิ้มเมื่อได้ฟังเพลงนี้ แต่พอฟังคราวนี้ กลับรู้สึกว่ามันช่างชวนง่วงนอนและน่ารำคาญได้
นั่นคือสิ่งที่เราสังเกตล่ะครับ เป็นเรื่องของแนวการสั่นสะเทือนระหว่างเพลงกับตัวเรา
หากเราไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกันมันก็จะสะดุดหยุดลงไปแบบนั้นเลยครับที่เรียกว่า "แรงต้านทาน"
หากเรารู้สึกชื่นชมยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เพลงนั้นก็น่าฟังได้อยู่เสมอๆ..นานเท่าที่เรายิ้มครับ
แต่การจงใจจดจ่อเกินไปก็ไม่ได้อีกเดี๋ยวจะเครียด ปลดปล่อยความต้านทานออกไปครับ
ต้องเลือกความคิดที่ให้ความรู้สึกดีกว่าและเป็นกลางๆ (ร่าเริงแบบเด็กๆ ^-^)
มันจะส่งผลดีกว่าในการดึงดูด..เพื่อนๆทดลองทำกันดูนะครับ ร่าเริงๆๆๆ แจ่มใส ๆๆๆ <<<เน้นครับ อิอิ -
อ่านเรื่องการใช้สัญลักษณ์แล้วทำให้นึกไปถึงเรื่องกสินเลยครับ
การใช้สัญลักษณ์ช่วยในการจดจ่อ คิดว่าทำให้เราคิดถึงเรื่องที่เราต้องการจดจ่อได้บ่อยกว่าเดิม เพราะหลายครั้งที่เรามักจะไปจดจ่อเรื่องอย่างอื่นในชีวิตประจำวัน เช่นการงาน สัญลักษณ์ที่เราเห็นผ่านๆ ตาจะช่วยให้ตัวเรานึกถึงสิ่งที่เราจดจ่อได้บ่อยขึ้น
ไม่ได้อ่าน The secret นะ แต่คิดว่าสัญลักษณ์ที่ทำให้เรานึกถึงสิ่งที่เราจดจ่อนั้น อยู่ในที่ที่เราแค่มองผ่านๆ ตาไปก็ได้ เพราะถึงจะแค่ผ่านตา แต่สมองก็รับรู้และตีความมันไปเรียบร้อยแล้ว -
แล้วถ้าอยากรวยนี่ "สัญลักษณ์" ควรจะเป็น "เงิน" ไหมเนี่ย???
เอ...แล้วเงินสกุลไหนดีหว่า??
- อยู่เวียดนาม หรือจะเป็นเงินดอง
- หรือจะเป็นเงินบาทไทย เพราะว่าต้องส่งกลับไปให้แม่ที่เมืองไทย
- เอ..แต่ตอนเงินเดือนออก รับเป็นดอลล่า USA นี่นา
แหะ แหะ พูดเล่นไปงั้นเองแหละครับ แต่ส่งสัยจริงๆ
ว่าเรื่องรวยนี่มันควรจะเป็นสัญลักษณ์อะไรที่ดูดี ครอบคลุม หนะฮึ
....ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ผมว่า ก็คงเป็นสัญลักษณ์ที่ตัวเองเห็นแล้วนึกถึงความรวย อาจจะเขียนเป็นประโยคก็ได้ หรืออาจจะเป็นรูปก็ได้ เช่นกองเงินกองโตๆ
หน้า 318 ของ 454