มายด์ เอ้ย ดึกแล้วลูก อาบน้ำ กินข้าว ดูหนังสือสอบได้แล้ว
ไม่รู้ใครจุดธูปเรียก ถ้าลูกผมสอบตกใครจะรับผิดชอบ เนีย
สอบเสร็จ ค่อยมาเรียนพิเศษใหม่นะ
พอจะนอนหลับอย่าลืมนั่งเอาหนังสือกองไว้ข้างหัวนอน แล้วนั่งสมาธิ กำหนดจิตให้อ่านหนังสือที่เตรียมไว้ จะได้สอบได้
อย่าลืมๆๆๆๆๆๆละ
เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.
หน้า 80 ของ 454
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เอ๊า...น้องมายด์ ขึ้นเดี๋ยวไปสอบไม่ทัน.... -
วันนี้ขอช่วยพี่นักเขียน มาอธิบายคุน vir ครับ
ให้คุน vir ทดลองคิดเป็นรุปภาพดู น่ะ เพื่อเข้าใจง่ายขึ้น
อนาคต ปัจจุบัน อดีต ไม่ได้เป็น ริบบิ้นเส้นตรงๆ หนึ่งเส้น ที่กล่าวว่า ดำเนินไปพร้อมกันหมด ลองคิดว่า ริบบิ้น เส้นตรง เราเอา มาต่อเส้นวงกลม ที่นี่ จะไม่มี จุดต้น จุดปลาย
หรือคิด อีกแบบ ชาติภพ ดำเนินไปพร้อมกันหมด
ให้เราคิดว่า ยืนอยู่ในจานบิน มองเป็น ดวงดาวอัน1 มีพื้นผิวเป็น จอทีวี ทั้งดวงดาว ใต้พื้นผิวเต็มไปด้วยสายไฟมากมายต่อ ทีวีแต่ละเครือง ถึงกันหมด ทีวีแต่ละเครื่อง จะฉายรายการ แตกต่างกันไป ทากเคื่องกำลังฉายรายการนั้นอยู่
เราจะเห็นว่า แต่ละชาติคือ ทีวี 1 เครื่อง กับรายการที่มันฉายอยู่ เรายืนอยู่นอกดาวนี่ มี รีโมต วิเศษ จะดูเรื่องไหนก้กดไปดู ดาวนี้มันจะ หัน เครื่องที่เราจะดูมาให้เอง ทั้งๆที่เครื่องอื่นๆกำลังฉายรายการของมันอยู่เนืองๆ -
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หรือ จะเอาอีกแบบนึง อธิบายเป็นเรื่องของดีเจวิทยุน่ะครับ(ดีเจ เสียงใสๆคนนั้นเป็นใคร ที่ฉานถามหา...)
ให้แต่ละชาติภพที่ดำเนินไปพร้อมกันหมด เป็น สถานนีวิทยุ แต่ละสถานี่ก้ต้องอาสัย คลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน ในการถ่ายทอดรายการ
ก้ ฮอตเว็บ ความถี่นึง กรีนเว็บ ความถี่นึง ซีดก้ความถี่นึง
แต่ละสถานี หรือ ชาติภพ มีดีเจทำงานอยู่ ดังนั้น เราจะเป็น ดีเจมดดำ ดีเจปอ ดีเจดาด้า ดีเจกริด ดีเจนานา ดีเจจะสื่อสารกันได้โดยตรงกับคนที่ทำงาน ในสถานีนั้น เช่น ดีเจมดำ ก้คุยกับ ดีเจ กริด ในรายการแฉแต่เช้า ได้ เพราะว่า อยู่ในคลื่นความถี่เดียวกัน ถ้าดีเจ มดดำ อยากคุยกับดีเจนานา ของอีกสถานีนึง ก้ต้องออนแอ ไปคุย มันคือ เราได้จูนคลื่นถี่ให้ตรงกัน ดีเจแต่ละคน เป็นตัวตน 1 ในแต่ละชาติ ดีเจมีเครื่องมือจูนความถี่ไปหาดีเจคนอื่นๆได้ เมื่อเป็นการสื่อสารข้ามชาติภพ
ดีเจแต่ละคนไม่ได้มีความสามารถ เป็นดีเจ อย่างเดียว มดดำก้เป็นฮายโซ นานาก้เป็นนักแข่งรถ ... คือ เราไม่ได้เอาสติของเราที่มีพลังงานมีความสามารถด้านต่างๆมาทำ หน้าที่ดีเจ อย่างเดียว ดีเจ หรือตัวตนในแต่ละความถี่ ก้ ดำเนินชีวิตของเขาไป และมันก้เกิดขึ้นพร้อมกันหมดเลย
ถ้า คุนvir ชอบเขียนรูป ของวาดภาพเป็น mind map ดุน่ะครับ เข้าใจง่ายดี สมองชอบรูปที่ เข้าใจง่ายๆ อันนี้อ่านมาจาก หนังสือ อัฉริยะ สร้างได้ ของหนูดี วนิษา เรซ เรื่องนี้ เข้ากันได้ดีกับ เนื้อหาในห้องนี้ รองได้อ่านกันนดูน่ะเพื่อนๆ
-
ช่วงนี้ เห็นภาพแปลกๆพอนอน ได้ที่ หรือบางทีเพิ่งจะหลับตาลง จะเห็น ภาพ จานบิน บินไปมา บางทีก้บินแวบไป เป็นภาพในจิต บางที เป็นภาพขาวดำ บางทีก้มีสี คล้ายๆ คลิบวีดีโอ ยาว 1-2 วินาที เป็นแบบนี้บ่อยๆ
มันต่างจากภาพที่ เราเห็นกันบ่อยๆในภวัง
ท่านใดมีความรู้ ช่วยอธิบายกันหน่อยน้าๆๆๆๆ -
การใช้วัตถุธาตุ เพื่อสื่อพลังโทรจิต
ชาวแอตแลนติสในยุคราว 40.000 ปีก่อน ได้เคยสร้างปิรามิดเพื่อใช้สื่อสารกับพลังจักรวาล ยังได้ใช้ผลึกคริสตัลมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพื่อการติดต่อ (รับคลื่น-ส่งคลื่น) กับพลังจักรวาลและจิตสำนึกแห่งจักรวาลด้วยวิธีการดังนี้..
ในการรับคลื่นจิตวิญญาณระดับสูง ให้นำผลึกคริสตัลขนาดเล็ก มาวางเบี้องหน้าเราสองก้อน ให้ตัวเรานั่งอยู่บริเวณยอดสามเหลี่ยมของทรงปิรามิด (ให้ตัวเราเป็นผลึกคริสตัลก้อนที่สาม) จากนั้นใช้ลวดทองแดงหนึ่งเส้นพันรอบผลึกคริสตัน 3 รอบ ก่อนจะนำลวดทองแดงนั้นมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง ในท่าหลับตาเข้าสมาธิ..
จากนั้นให้เพ่งจิตและพลังทั้งหมดของเราไปยัง "ผู้ที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย"
ในทางกลับกัน หากเราต้องการที่จะส่งคลื่นออกไป ข่าวสารของเราไปให้กับผู้ใด ก็ให้กระทำในรูปแบบตรงกันข้ามกับข้างต้น คือใช้สองมือเราแทนผลึกคริสตันสองก้อน (เป็นส่วนฐานของรูปสามเหลี่ยม) ในขณะที่ผลึกมีคริสตันเพียงหนึ่งก้อน มาเป็นปลายยอดของสามเหลี่ยมแทน (ตามรูป)
วัตถุธาตุเหล่านี้เป็นสื่อที่สามารถใช้ติดต่อระหว่างธาตุหยาบกับธาตุละเอียด หรือของมนุษย์กับเทวดา และรูปธรรมอื่นๆได้ เป็นเครื่องช่วยสื่อสารให้คมชัดขึ้น...(สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์ การโทรจิตจึงเป็นเรื่องที่แพร่หลายมาก)<!-- / message --><!-- attachments -->
Click to expand... -
nova_analai said: ↑โถ อย่าร้องไห้นะคะ พี่นักเขียนอาจหาคำมาอธิบายได้ไม่ดีพอ ต้องขอระดมพลพวกเราห้องวิทย์ฯให้ช่วยกันขยายความให้คุณ vir เข้าใจหน่อย ใครพอมองเห็นช่องโหว่ที่พี่นักเขียนอธิบายไม่ตรงจุด ช่วยกันคนละไม้ละมือ น้องนกอย่ารุนแรงนะเจ้าคะ เบาๆหน่อย
คุณ vir ทานขนมก่อน เดี๋ยวพวกเรามาอาจเผลอแย่งขนมก่อนจะช่วยตอบคำถามก็เป็นได้
คุณ vir จำความฝันประเภทนี้ได้บ้างไหมคะ เช่น :
- ฝันว่าตนเองพูดคุยกับคนที่เรารู้จักสนิทสนมดีในความฝัน แต่เขาหรือเธอไม่ใช่บุคคลที่เรารู้จักจริงๆในชีวิตยามตื่น
- ฝันว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในถิ่นฐานอื่นๆ หรือบ้านหลังอื่น ซึ่งไม่ใช่ประเทศหรือเมือง หรือบ้านที่เราดำเนินชีวิตอยู่จริงในยามตื่น และก็ไม่ใช่สถานที่ใดๆที่เราเคยไปมาก่อน
- ฝันว่าเราเผชิญกับประสบการณ์ที่สำคัญ ที่ต้องแก้ปัญหา ต้องแก้ไขสถานการณ์บางอย่าง ต้องเดินทางให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่ปัญหา สถานการณ์ และจุดหมายปลายทางเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตยามตื่น
พี่นักเขียนเชื่อว่า พวกเราทุกคนเคยเผชิญกับความฝันประเภทนี้หรือคล้ายคลึง ตื่นมาเรามักจะข้องใจว่า เราไปฝันเช่นนั้นได้อย่างไร มันช่างไม่เกี่ยวกับการเป็นบุคคลตัวตนของเราเอาเสียเลย เป็นเรื่องราวของใครก็ไม่รู้
ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า ประสบการณ์ในความฝันเป็นประสบการณ์ที่เราเผชิญกับการเป็นบุคคลตัวตนของเราในชาติภพอื่น มิติอื่น ที่ดำเนินชีวิตอยู่จริงในโลกแห่งความเป็นจริงโลกอื่นๆ ที่เป็นจริงไม่น้อยไปกว่าโลกที่เรารู้จัก แต่เมื่อเราไม่รู้เห็นโลกเหล่านั้นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เราก็ปฏิเสธว่า มันเป็นเพียงจินตภาพ เป็นความฝันเฟื่อง ไร้ความหมาย ต่อเมื่อเราเผชิญกับประสบการณ์ความฝันที่ประทับใจมิรู้ลืม เช่น พบกับคนรักคนใกล้ตัวที่ตายไปแล้ว แต่เขากลับมีชีวิตอยู่ต่างสถานที่ และเราก็พบปะพูดคุยกับเขาราวกับว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่เป็นปกติสุข ประสบการณ์เช่่นนี้จะทำให้เราตื่นขึ้นมา และรู้สึกเสมือนว่าทั้งหมดที่เผชิญในความฝันมีความเป็นจริง ประทับใจไม่รู้ลืมไม่ต่างไปจากความเป็นจริงอื่นๆ
แม้ในยามที่เราเริ่มนั่งสมาธิ เราก็อาจเห็นภาพผู้คนมากหน้า หลายตา ปรากฏขึ้นในจินตภาพ แต่เราก็ไม่เคยตั้งคำถามว่า ภาพเหล่านั้นคือใคร เราเห็นเขาได้อย่างไร เห็นทำไม ? ข้อนี้คงต้องตอบพี่นักเขียนนิดนึงว่า เคยมีประสบการณืเช่นนี้บ้างไหมคะ จะได้ Tune คลื่นถูกทาง
สติสัมปชัญญะในความฝัน และในภวังค์สมาธิรู้เห็นการเป็นบุคคลตัวตนอื่นๆของเรา แต่ยามตื่นตามปกติ เราก็แยกสติสัมปชัญญะออกจากเหตุการณ์ในความฝัน จดจ่อและรู้เห็นเฉพาะตัวตนยามตื่นที่เราคิดว่า เป็นเพียงบุคคลตัวตนเดียว-ที่เป็นเรา
ตามธรรมชาติของจิตวิญญาณแล้ว ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า จิตวิญญาณมีพลังอำนาจและเป็นพลังงานที่มีปริมาณมากมายมหาศาลเกินกว่าที่จะมาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนเพียงร่างเดียว-ตัวตนเดียว จิตวิญญาณแสวงหาการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์อันหลากหลายเป็นอนันต์ ดังนั้นมันจึงต้องอาศัยตัวตนอันเป็นอนันต์เพื่อที่จะเติมเต็มได้ดังปรารถนา ตัวตนของเราเพียงตัวตนเดียว -ร่างเดียว ไม่พอเพียงสำหรับจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้อันปราศจากขีดจำกัด
ซึ่งหมายความว่า เราแต่ละคนมีจิตวิญญาณที่ถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตน หลายบุคคล หลายตัวตน ทั้งหมดรวมกันเรียกว่าตัวตนรวม แต่รวมกันด้วยความเป็นจิตวิญญาณ หากเปรียบแต่ละตัวตนกับร่างกายเนื้อหนังที่กำลังหายใจ และสมมุติว่าคุณ vir มี 20 ตัวตน แต่ละตัวตนหายใจ แต่ลมหายใจของแต่ละตัวตนก็ไม่ใช่ลมหายใจส่วนตัว ตัวตนอื่นๆก็อาศัยอากาศนั้นหายใจด้วยเหมือนกัน สรุปได้ว่าอากาศที่หายใจเข้าออกนั้น เป็นอากาศที่ทุกตัวตนใช้หายใจและคงสภาพให้ร่างกายเนื้อหนังมีชีวิตอยู่ได้ จิตวิญญาณเปรียบได้กับลมหายใจหรืออากาศทีทุกตัวตนอาศัยร่วมกัน และก็ติดต่อสื่อสารสัมพันธ์กันหมด เหมือนกับที่ลมหายใจผ่านร่างกายตัวตนทุกร่าง
ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณคือ ความรู้ ข้อมูล และความทรงจำข้ามชาติภพ ซึ่งถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์ จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
ดังนั้นหากกลับไปที่อุปมาอุปมัยจิตวิญญาณกับลมหายใจ เมื่อลมหายใจผ่านร่าง เม็ดเลือดแดงของแต่ละร่างได้รับ Oxygen แต่เมื่อจิตวิญญาณผ่านร่างแต่ละร่าง ร่างกายตัวตนนั้นๆได้รับข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ
ซึ่งหมายความว่า บุคคลตัวตนของเรามากมายหลายตัวตน share จิตวิญญาณ share ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ และบุคคลตัวตนทั้งหมดมีจิตวิญญาณรวมกัน หรือมีข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพรวมกันทั้งหมดเรียกว่า ตัวตนรวม
เราไม่รู้เห็นการเป็นบุคคลตัวตนอื่นๆ เราเห็นแต่ตัวตนเดียวที่เรารู้จักในวินาทีนี้หรือปัจจุบันนี้ แต่เราก็เชื่อว่า ตัวตนตั้งแต่วัยเด็กมาจนถึงปัจจุบันนี้ คือเรา คือตัวตนเดิมที่เติบโตขึ้นมาที่ละเล็กละน้อย จนเป็นเราในวันนีั
ท่านอาจารย์อนาลัยพยายามสอนธรรมชาติความเป็นจริงข้อหนึ่งที่เข้าใจได้ยากมากสำหรับเราว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน ดังนั้นตัวตนของเราจึงมีมากกว่าตัวตนเดียว ยกตัวอย่างนะคะ หากคุณ vir ในวันนี้อายุ 30 ปี คุณ vir มีบุคคลตัวตนอื่นๆที่ดำเนินชีวิตอยู่พร้อมกันหมดอีก 29 บุคคลตัวตนอย่างน้อย คือบุคคลตัวตน 1 ขวบหนึ่งตัวตน บุคคลตัวตน 2 ขวบ.......ไปจนถึงบุคคลตัวตน 29 ขวบ รวมตัวตนวันนี้อีกตัวตนหนึ่งที่มีอายุ 30 ขวบ
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างหยาบๆ เพราะตามธรรมชาติความเป็นจริงที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่ เป็นอยู่ ดำเนินไปในภาวะนั้นๆพร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้น ซึ่งหมายถึงว่า จิตวิญญาณจดจ่อกับขณะจิตใดๆในปัจจุบัน จิตวิญญาณก็มีตัวตนหรือรูปกายหนึ่งๆที่คล้องจองกับการจดจ่อและภาวะจิตในขณะจิตนั้น แม้ตัวตนในวัย 30 ปีของคุณ vir ก็เปลี่ยนแปลงไปทุกขณะจิต ในหนึ่งชั่วโมงหรือในหนึ่งนาทีที่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราผันแปรไป กล่าวได้ว่า เรามีตัวตนในหนึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งนาทีได้มากมายหลายตัวตน ดังนั้นจิตวิญญาณของตัวตนรวมจึงประกอบด้วยตัวตนมากมาย-เป็นอนันต์
คุณ vir ลองคิดนอกกรอบและคิดตามสาระเหล่านี้เสมือนว่า กำลังดูหนังวิทยาศาสตร์ที่เราไม่เคยจินตนาการไปถึง เพราะสิ่งที่ท่านอาจารย์อนาลัยท่านถ่ายทอดให้นี้เป็นความรู้ใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย หากเราพยายามนำข้อมูลเหล่านี้ไปจัดเข้าพวกหรือเทียบเคียงกับความรู้เดิมที่เรามีอยู่ก่อน จะทำให้เข้าใจหรือมีมุมมองใหม่ๆได้ยาก
พี่นักเขียนหวังว่า จะพยายามอธิบายให้คุณ vir เข้าใจได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ต้องขอบคุณที่อดทนกับพี่นักเขียนนะคะ และพยายามหาคำถามดึๆมาป้อนเรื่อยๆ พี่นักเขียนเชื่อว่าหลายท่านที่ยังไม่ได้สมัครสมาชิกเข้ามานั่งในห้องวิทย์ฯ จะได้รับประโยชน์จากคำถามของคุณ vir ไม่น้อย เพราะคุณ vir คงจะถามแทนหลายๆคน พี่นักเขียนจะพยายามต่อไปที่จะไขปัญหาข้องใจ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เห็นใครร้องไห้ไม่ค่อยจะได้ซะด้วยซี เอ้าทานขนมก่อนนะคะ แล้วซักถามอีกค่ะ ลองสวมแว่นตาวิเศษมองโลกจากมุมมองใหม่ๆและเปิดใจกว้างๆเหมือนทะเล พวกเราชาวห้องวิทย์ฯไม่ยอมแพ้ความไม่รู้
กฎห้องวิทย์ฯ ห้ามเกรงใจ เมื่อหัวใจใฝ่รู้ (rose)Click to expand...
ซึ่งถ้า point ทั้งหมดที่ผมต่อยอดขึ้นมา เป็นคนละเรื่องเดียวกันเลยกับที่ อ.พี่ พยายามอธิบายให้ผมเข้าใจ แสดงว่าผมหลงทางครับ อ.พี่ ล้มกระดานตรงนี้ก็ได้ครับ แล้วผมจะ format ความคิดใหม่ ตามที่ อ.พี่ อธิบายก็พอครับ
ส่วนที่ อ.พี่ ถามว่านั่งสมาธิแล้วเห็นผู้คนมากหน้าหลายตา ปรากฏขึ้นในจินตภาพไหม ผมคงยังไม่ถึงขั้นนั้นครับ แต่ผมกำหนดรู้แค่ผัสสะของลมหายใจที่ปลายจมูก และไม่เห็นไม่รับรู้อะไรครับ รู้แค่ลมหายใจอย่างเดียวครับ
ขอบคุณ อ.พี่ที่พยายามเมตตาขอรับ!!!ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
khajornwan said: ↑เมื่อครั้งที่ขจรวรรณฝึกสมาธิตามแนวสติปัฏฐาน 4 นั้น อาจารย์จะสอนให้กำหนดอาการพอง ยุบ ของท้องเวลาหายใจเข้าหายใจออก ก็มีอาการเดียวกับคุณ Vir เลยค่ะ คือนอนไม่ค่อยหลับ รู้หมดเวลาพลิกซ้าย พลิกขวา แม้แต่เสียงก็ได้ยินหมด ไปถามอาจารย์ที่สอบอารมณ์ดูท่านก็บอกว่าจริง ๆ แล้วเราหลับแต่สติยังคงทำงานอยู่ ก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกันค่ะ แต่ปัจจุบันนี้ไม่เป็นแล้ว ลองฝึกแนวของท่านอาจารย์อนาลัยดูก็ดีค่ะ ฝึกตั้งจิตก่อนนอนทำให้สติสัมปะชัญญะทั้งสามส่วนที่ไม่รู้ไม่เห็นกัน มารู้มาเห็นกัน จะได้ไม่ขัดแย้งกัน ทำงานร่วมกัน ตอนนี้ก็กำลังฝึกอยู่หากได้ผลยังไงจะมาเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ..
(b-smile)Click to expand...ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
TK the Naka said: ↑และข้าพเจ้าก็ขอทักทายคุณ MOUTAIN*คุณ จิตต์ประภัสสร พร้อมทุกๆท่าน และขอบขอบคุณ Chalnoei ด้วย ข้าพเจ้ายินดีที่ได้รู้จักทุกคน รวมถึงคุณ leogirlw99 และทุกๆท่านที่ให้กานต้อนรับอย่างอบอุ่น จากคำที่กล่าวว่าข้าพเจ้านั่นชอบพญานาคเป็นความจริง มากกว่าคำว่าชอบเพราะข้าพเจ้าก็มีสิ่งที่เกี่ยวพันกับนาคามาก่อน เอาเป็นว่า ข้าพเจ้าขอทักทายทุกๆท่านอีกที
หามานาน เว็บบอร์ด ของผู้เจริญแล้ว
ขอแสดงความเคารพต่อ ท่านนักเขียน
นาคารักบาดาลClick to expand... -
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นน้องใหม่ก็ขอทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อห้องวิทย์บ้าง
ถึงแม้พวกนาคาจะไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้นัก หวังว่าคงจะให้พวกท่านรุ่นพี่ได้อ่านกันเพลินๆ แก้เครียด
เรื่องนี้เกี่ยวกับกำเนิดเทพเจ้าบางส่วนที่พวกเขาบูชาตามความเชื่อของชาวกรีก-โรมันโบราณหรือที่เราเรียกว่าชาวกรณัมนั่นเอง
โดยมีเรื่องเล่าอย่างสั้นๆดังนี้
-ก่อนประถมกาล ก่อนที่จะกำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น ได้เกิดมวลธาตุต่างๆ รวมกันเป็นกลุ่มเมฆหมอก ขนาดมหึมา จึงกลายเป็น เทพเจ้าแห่งหายนะ Chaos (เคออส)
เคออส เป็นเทพเจ้าองแรกที่เกิดขึ้น ทรงมีชายาเป็น เทพีแห่งรัตติกาล Nyx (นิกซ์)
ทั้งสองมีลูกด้วยกันชื่อ Erebus (เอรีบัส) เทพแห่งความมืด
-เมื่อเทพแห่งความมืดเติบใหญ่จึงได้ขับไล่พ่อของตนไปเสีย และก้ได้แม่ของตนเองเป็นชายาเสียเอง มีบุตรธิดาฝาแฝดด้วยกัน คือ Aether เทพแห่งแสงสว่าง กับ Hemera เทพีแห่งทิวากาล
-ทั้ง อีเธอร์ และ เฮเมอร่า ครองคู่กัน และชิงอำนาจจากบิดามารดาได้สำร็จ จากนั้นก็ได้คิดช่วยกันสร้างโลก และ สรรพสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งยกเว้นพวกมนุษย์ รวมทั้งสร้างสวรรค์ขึนมาด้วย
-พระนางไกอา Gaia เทพแห่งมารดา และ ยูเรนัส Urenus เทพมฤตยู เป็นเทพรุ่นต่อมา มีบุตรธิดาด้วยกัน 12 พระองค์ ซึ่งล้วนแต่มีร่างกายใหญ่ยักษ์มหึมาทั้งสิ้น เทพรุ่นนี้เรียกรวมว่าเทพตระกูล ไตตัน Titan
เทพยูเรนัสขนาดเป็นบิดา พอได้เห็นความใหญ่โตมโหฬารของลูกตัวเองแล้ว จึงเกิดความกลัวอย่างมาก จึงจับตัวลูกๆไปขังที่คุกบาดาลที่มีชื่อว่า วังทาทะรัส
แต่ว่า เทพีไกอา แอบปล่อยโอรสคนเล็ก โครโนส เทพแห่งดาวเสาร์
ออกมาพร้อมกับมอบอาวุธให้คือเคียวเล่มใหญ่
-เมื่อมีโอกาสอย่างนี้ โครโนส ก็จัดการยึดอำนาจจากบิดาซะแล้วสถาปนาตนเป้นจอมเทพโครโนส
แต่ก่อนจะถูกเทบัลลังก์ยูเรนัส ได้สาปแช่งโครโนสเอาไว้ว่าจะต้องถูกลูกของตัวเองแย่งอำนาจเช่นเดียวกัน...
โครโนสกลัวคำสาปแช่งของยูเรนัสจะเป็นจริง ก้เลยจับลูกๆของตนเองกลืนลงท้องหมด เรียกว่ามีกี่คนพ่อทานเรียบ
-เมื่อโครโนสกลืนลูกลงไป 5 องค์ พอถึงองค์ที่ 6 ชายาของพระองค์(พระนางไกอาผู้เป็นมารดา) กลับนำก้อนหินห่อผ้าส่งให้จอมเทพกลืนเข้าไปแทน แล้วแอบนำโอรสไปให้นางอัปสร (Nymph) เลี้ยงดูแทนตน
-โอรสองค์สุดท้านที่รอดจากปากเหยี่วปากกา หรือปากบิดามานั้น ก็คือ
ซีอุส(Zeus) จอมเทพที่ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งของชาวกรีก-โรมัน
และภายหลังก็เป็นอย่างที่เทพยูเรนัสได้สาปแช่งไว้ เทพซีอุสได้ยึดอำนาจจากพ่อ และได้เป็นมหาเทพสืบมา ณ ปัจจุบัน นอกจากนี้ซีอุสยังให้โครโนสคายลูกๆ ที่กลืนเข้าไปออกมา ซึ่งเป็น ชาย สอง หญิง สาม ดังนี้
1.เทพเนปจูน เทพแห่งมหาสมุทร
2.เทพพลูโต เทพแห่ง ยมโลก
3.เทพีเวสตา เทพีแห่งเปลวเพลิง
4.เทพีเซเรซ เทพีแห่งธรณี
5.เทพีจูโน เทพีแห่งสายฟ้า
แม้แต่ก้อนหินที่คิดว่าเป็นโอรสองค์เล็กที่คายออกมาด้วย
ซึ่งการบูชาเทพต่างๆก็จะอำนวยผลที่แตกต่างกันไป เหมือนอย่างของชาวพุทธอย่างเราๆท่านๆ
จบตอน...
หวังว่านิยายสั้นๆนี้คงจะไม่ทำให้หลายๆท่านไม่พอใจ...เพราะอาจจะน่าเบื่อ
แต่ข้าพเจ้าหวังว่าคงทำให้หลายๆท่านที่อ่านได้รับความรู้บ้างไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็กรุณาตำหนิได้ ถ้าหลายท่านพอใจนาคาตนนี้อาจจะเอามาเล่าอีก จะไปค้นหนังสือเก่าๆของคุณย่ามาอ่านให้ฟังก่อนนอน
ปล.นาคาตนนี้ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอื่นๆนัก อายุยังน้อย นอกจากเรื่องของบาดาล
นาคารักบาดาล TK The Naka
-
HIMALAYA, INDIA
Chalhoei said: ↑นั่งที่เดิมก็ได้ตรับคุณ mead น้องผมตัวเล็กๆ น่ารัก (นกมันค้อนผมแฮะ) แต่ต้องดูด้วยครับว่ารอบๆข้างมีขวด ที่มีรูปสิงห์หรือเปล่า หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีรูปสิงห์ เพราะถ้ามีแล้ว ของขึ้นฮะ ดีนะที่ไม่ใช้ชื่อ คชสารเกิลร์ ไม่งั้นขวดเบียร์ตราช้างก็ห้ามวางใกล้ เอิ้กๆๆๆ
ส่วนเรื่องความฝันมันไม่ค่อยตื่นเต้น ตอนนี้อยากไปเที่ยวภูเขาหิมาลัย ยังไปไม่ได้เลย
น้องชมภูเขา ลงมาคุยกันบ้างก็ได้นะ มีอะไรก็คุยๆไปเถอะจะได้คุ้นกัน ผมเองก็ไม่รู้จักใคร อาศัยอยากย้อนอายุตัวเองหนะ เลยแซวไปเรื่อยๆ แต่ถ้าน้องชมภูเขามีปัญหา เรืองจิตวิญญาณ เรื่องชาติ ภพก็ถามได้เลยครับ อาจารย์บอกว่า "กฏของห้องวิทย์ไม่มีการเกรงใจ"Click to expand...
เป้าหมายการเดินทางครั้งนั้นและครั้งนี้เป็นไปเพื่อแสวงหาความรู้ โดยเดินทางจากใต้สุดของอินเดีย ขึ้นเหนือสุดโดยรถ Jeep ยี่ห้อ Tata ซึ่งเป็นรถยี่ห้อเดียวที่ Made in India เมื่อไปถึงเชิงเขาหิมาลัย เดินทางต่อด้วยเท้าประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นเดินทางต่อด้วยลา ขี่ลาบ้าง จูงลาบ้าง พามันไปกินน้ำลำธารบ้าง ป้อนหญ้าให้มันบ้าง ก็พอพูดภาษาลาได้บ้างกว่าจะถึงยอดเขา อันเป็นต้นน้ำของแม่น้ำคงคง เรียกว่า กัวมุคค์ (Gua-muk) ซึ่งเป็นถ้ำอันเกิดจากน้ำแข็งบนยอดเขาหิมาลัย ที่ละลายในช่วงกลางฤดูร้อนที่แดดแผดจ้า น้ำซึมผ่านชั้นหิน และกลับแข็งใหม่ยามค่ำคืน นานเข้าหลายหมืนปี โพรงหินที่มีน้ำขังก็มีขนาดใหญ่จนกลายเป็นถ้ำ และมีบ่อน้ำขังขนาดใหญ๋ในถ้ำนี้ บ่อน้ำแห่งนี้มีทั้งน้ำและน้ำแข็งก้อนใหญ่ขนาดรถยนต์หรือใหญ่กว่านั้นมากมาย เมื่อน้ำทะลักออกมาจากถ้ำ มันก็สร้างเส้นทางของมัน มุ่งหน้าลงไปสู่ทิศใต้ของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่ราบลงไปเรื่อยๆจนจรดทะเลอินเดีย เส้นทางน้ำไหลนี้คือแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์
กัวมุคค์ เป็นภาษาฮินดี แปลว่า ปากวัว ชาวอินเดียถือว่าแม่น้ำคงคาเป็นสายธารที่หล่อเลี้ยงประเทศ แม่น้ำคงคาจึงเปรียบเสมือนน้ำนมที่ไหลจากปากวัว จากเหนือจดใต้ หล่อเลี้ยงคนอินเดียทั้งประเทศ
พี่นักเขียนเอาลามาให้พวกเราเลือก คุณ Mead ผูกไอ้ทุยไว้ก่อนนะคะ เขาคงจะไต่เขาไม่เก่ง ที่จริงเราจะไปกันด้วย helicopter ก็ได้ แต่นั่งได้น้อยคน พี่นักเขียนเลยตัดสินใจเอาลามารับ จะได้ไปกันได้หมดห้อง และได้สัมผัสกับธรรมชาติทั้งภายนอกและภายใน จึงไม่อยากจะให้พวกเราพลาดความงามเหล่านี้ไป
ธรรมชาติภายนอกที่เราจะพบ คือทิวทัศน์อันงดงาม 4 ฤดู ตั้งแต่ฤดูร้อน (45 องศาเซลเซียส) ณ เชิงเขา ขึ้นไปเราจะพบฤดูฝน ขอให้เตรียม jacket ชนิดกันน้ำและมี hood ด้วยค่ะ แล้วเราก็จะพบกับฤดูแล้งที่แดดแผดจ้าลมหนาวเริ่มกระทบใบหน้า ทา sunblock กันหน่อยก็จะดี และเมื่อไปถึงยอดเขาเราก็จะพบกับฤดูหนาว (ลบ 10 องศาเซลเซียส)อย่าลืมหมวกกับถุงมือด้วยล่ะ ระหว่างทางเราจะได้เห็นฝูงแพะภูเขา เลียงผา แร้ง เหยี่ยว เหมือนในหนังขุมทอง แมคเค็นน่า ที่ Omar Shariff แสดงนำ 40 กว่าปีมาแล้ว เราจะใช้เวลาเดินเท้า บวกกับขี่ลาขึ้นเขาลาดบ้าง ชันบ้าง ข้ามลำธารหลายสายที่น้ำเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง รวมเวลาทั้งหมดประมาณ 14 ชั่วโมงจากเชิงเขาถึงยอดเขา คืนนี้เราจะไปพักแรมกันบนเพิงยอดเขา
เดือนนี้หิมะยังไม่ตก แต่พวกเราต้องใส่ชุด wool อย่างหนาเต็มยศตั้งแต่เชิงเขา เพราะเราจะหาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ได้เลยตลอดทาง และพวกเราต้องทำมือให้ว่าง เพราะเราจะต้องถือบังเหียนบังคับลาให้เดินขึ้นเขาไปตามทางแคบๆ 180 ซม. บางช่วงก็เหลือแค่ 90 ซม เป็นเวลาประมาณ 11 ชั่วโมงเต็ม ไม่มีคำว่า oops เพราะหากเราหรือลาพลาดคือดิ่งลงเหว ดังนั้นเราต้องเป็นหนึ่งเดียวกับลานะคะ
ธรรมชาติภายในที่เราจะพบ คืออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ที่ผันแปรไปกับการเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากชีวิตประจำวัน เผชิญกับความอดทนของตนเองในทิศทางที่เราไม่เคยรู้จัก เผชิญกับความกลัวและความกล้าหาญที่เราไม่เคยเห็น เผชิญกับการรับและการให้ในทิศทางที่ตนเองไม่เคยทำ เผชิญกับความอิ่มและความหิวกระหายในบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต
ขอให้ทุกคนพกเพียงน้ำดื่มคนละ 1 ขวด หมวกไหมพรมและถุงมือ ใส่กระเป๋าเสื้อ Jacket ไว้ในสภาพที่เราจะหยิบได้ด้วยมือเดียว เพราะเราอาจต้องใช้มันในขณะที่อยู่บนหลังลา ทนร้อนก่อนนะคะตอนนี้ แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าอากาศและฤดูกาลจะเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันโดยสิ้นเชิง เมื่อระดับความสูงเปลี่ยนไป หากรู้สึกหวิวๆ ให้หายใจช้าๆ อย่าตกใจ เพราะอากาศจะบางมากและความกดดันจะต่ำกว่าปกติ หากทำใจให้สบายๆจะไม่รู้สึกอึึดอัดเลย ชมวิวให้เต็มตา 360 องศาค่ะ จะลืมความลำบากกายไปได้จนหมดสิ่น เหลือแต่สุขใจ
พี่นักเขียนอบขนมมาฝากพวกเราด้วยนะ ไปถึงยอดเขาหิมาลัยแล้วเอาออกมาทานกัน
เลือกลาแล้วเรามุ่งหน้าสู่ยอดเขาหิมาลัยฝั่งอินเดียกันเลยนะคะไฟล์ที่แนบมา:
-
-
khajornwan said: ↑เป็นความรู้ที่ดีมากค่ะคุณ Mead ขอบคุณนะคะที่แบ่งปันความรู้มาให้ศึกษา สงสัยคุณ Mead จะสามารถรับ - ส่ง โทรจิตได้แล้ว เอ.. จริง ๆ แล้วมนุษย์ต่างดาวก็สื่อสารกันด้วยภาษาจิตด้วยใช่มั้ยคะ.. คุณมนุษย์ต่างดาว Mead ว่าแต่ว่าเอาเชื้อโรคในดาวของคุณเข้ามาในโลกของเราด้วยรึปล่าวคะ..
อิอิ.. ล้อเล่น ( ตามคำบรรยายของอาจารย์ปริญญาค่ะ.. )
(555)Click to expand...
Crystal ที่ท่านให้พี่นักเขียนมาเป็นแท่งเล็กขนาดยาวประมาณ 1 น้ิว คล้ายในรูป ทำสมาธิก่อนนอน ตั้งจิต และขอให้จำความฝันได้ พี่นักเขียนก็จำได้จริง และใช้ Crystal นี้มานานจนเลิกใช้ก็ยังจำและจดฝันจนเป็นนิสัย จนลืมไปเลยว่า แรกเริ่มนั้นได้รับคำแนะนำมาเช่นนี้ ใครจำความฝันไม่ค่อยได้ ทดลองดูนะคะ แต่ว่าต้องเลือกสรรหน่อยค่ะ Crystal ปลอมมีมากในท้องตลาด ตรวจสอบได้ด้วยการทดลองให้พระอาทิตย์ส่องผ่าน หากเกิดรุ้งชัดเจนก็ใช้ได้ และหาเนื้อใสๆจะรวมแสงได้คุณภาพกว่าอันทีี่มีรอยแตกภายใน คุณ Mead ช่วยแนะนำด้วยนะคะถ้าทราบวิธีเลือก Crystal (rose)ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
khajornwan said: ↑เกือบลืมไปค่ะ ว่าจะเล่าให้พี่นักเขียนฟังเรื่องเมื่อคืนก็กำหนดจิตก่อนนอนตามปรกติ ช่วงเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับก็เกิดอาการจิตวิ่งออกไปข้างนอกอีกแล้วค่ะ แต่ครั้งนี้ความรู้สึกของเราเปลี่ยนไป สามารถจับความรู้สึกได้ 2 ส่วนคือ
1. ส่วนที่วิ่งออกไปข้างนอกซึ่งวิ่งออกไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ตอนแรกก็กำหนดให้หยุดอย่างที่พี่นักเขียนแนะนำ แต่ก็ไม่หยุดจึงตัดสินใจปล่อยเลยตามเลยดูซิว่าจะหยุดอยู่ตรงไหน ก็ปรากฏว่าเค้าก็ยังคงวิ่งไปจนมีอาการเหมือนคนตาลาย คล้ายจะเห็นอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่เห็น
2. ส่วนที่ยังนอนอยู่บนเตียง รับรู้หมดว่านอนอยู่ในท่าทางอย่างไร มืออยู่ตรงไหน ขาอยู่ตรงไหน แม้กระทั่งการหายใจเข้าออกก็ยังรู้สึกได้
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราไม่รู้สึกกลัวเหมือนเมื่อก่อน อาจเป็นเพราะรับรู้ตลอดเวลาว่าเรายังนอนอยู่ก็ได้ค่ะ.. ความรู้สึกแบบนี้ถูกต้องรึปล่าวคะพี่นักเขียน
(ping)Click to expand...
ก่่อนอื่นคุณน้องขจรวรรณต้องพิจารณาตนเองว่า ที่ว่ารู้ว่าแขนขาอยู่ในท่าใดนั้น เรารู้และรู้สึกถึงสัมผัสด้วยหรือเปล่า เพราะหากรู้และรู้สึกถึงสัมผัสด้วย แสดงว่าจิตยังไม่ได้เข้าภวังค์ลึกถึงภาวะที่ละประสาทสัมผัสทั้งห้า และความรู้สึกทั้งหมดอาจเกิดจากอารมณ์และจินตนาการของตนเอง แม้ว่าไม่รู้สึกกลัว แต่ความไม่เชื่อมั่นว่าเราจะควบคุมภาวะต่างๆได้ อาจทำให้เราหยุดความรู้สึกพุ่งไปอย่างรวดเร็วไม่ได้
แต่ถ้าหากว่ารู้ว่าแขนขาของเราอยู่ในท่าใด แต่ไม่รู้สึกถึงสัมผัส ตระหนักว่ายังมีลมหายใจ แต่ก็เสมือนไม่ได้หายใจ แสดงว่าจิตเข้าภวังค์ลึกถึงภาวะที่ละประสาทสัมผัสทั้งห้าได้แล้ว ซึ่งแม้จะเข้าสู่ภาวะนี้ หากเราปราศจากความมั่นใจ เราก็อาจขาดการควบคุมได้ไม่น้อยไปกว่าภาวะแรกค่ะ
ต่อไปนี้ตั้งจิตให้ดี ให้มีตัวรู้คุมว่า การเคลื่อนไหวของจิตวิญญาณด้วยการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อของสติสัมปชัญญะเป็นสิ่งที่มีความรวดเร็วกว่าแสง หากเราเห็นการเคลื่อนไหวของมัน เราเลือกได้ว่าจะหยุดหรือจะปล่่อยให้มันไปให้ได้ไกลที่สุดเท่าที่ความนึิกคิดของเราจะพาไป แต่เราต้องตระหนักเสมอว่า อำนาจในการควบคุมเป็นของเรา
พี่นักเขียนพูดมาถึงจุดนี้ ต้องขอตอบคำถามของคุณ vir ไปด้วยเกี่ยวกับการกำหนดจิตใให้มีสติัสัมปชัญญะอย่างคมชัดก่อนนอน และที่ว่าทำให้นอนไม่หลับนั้นจะแก้ไขได้อย่างไร
ที่จริงแล้วเราทำได้หลายวิธีตามจริตหรืออุปนิสัยส่วนบุคคล บางคนตั้งจิตแล้วสติสัมปชัญญะดำเนินต่อไปจนตัวหลับ จิตก็ยังคงตื่น มองแทบไม่เห็นรอยต่อตอนตื่นก้าวล่วงสู่ตอนหลับ รู้ได้ก็เพราะร่างกายหมดความรู้สึกเท่านั้น
แต่บางครั้งพี่นักเขียนเองก็ไม่ได้เป็นไปเช่นนั้นเสมอๆ หากแต่ว่าเข้าภวังค์หลับ แล้วไปตื่นในความฝัน คือฝันและเป็นส่วนหนึ่งของความฝันโดยยังไม่รู้ว่าฝัน สักพักก็เรียกสติสัมปชัญญะกลับมาได้ ทำให้รู้สึกเสมือนว่าตื่น ทั้งที่ยังอยู่ในความฝัน จะเรียกว่าไปตื่นขึ้นในความฝันก็คงไม่ผิด เพราะตื่น แต่ไม่ได้ตื่นอยู่ในร่างกายตัวตนที่เข้านอน และสติสัมปชัญญะของตัวตนที่ตื่นนั้นก็รู้เห็น 2 ทอด คือรู้เห็นตัวตนที่ฝัน และตัวตนที่กำลังนอนหลับ
สรุุปได้ว่า ไม่ว่าสติสัมปชัญญะจะขาดตอนหรือไม่ก็ตามจากภาวะที่ตื่น-เข้าสู่ภาวะที่หลับ-และฝัน หรือภาวะที่เข้าภวังค์สมาธิ หากเรารู้่จักตั้งจิตและกำหนดได้บ่อยๆจนเป็นนิสัยว่า ไม่ว่าจะเข้าภวังค์สมาธิหรือความฝัน เราจะกำหนดรู้ ขอรู้ ขอเห็น ขอจดจำ สติสัมปชัญญะจะบันทึกความปรารถนานี้ไว้ ไม่ต่างกับการที่เราบอกกันตนเองว่าวันนี้แวะ supermarket แล้วจะไปซื้อน้ำดื่ม ตั้งจิตไว้ว่าจะไม่ลืม ไปถึงแล้วซื้อของอื่นๆมากมายจนลืม หันไปเห็นเด็กคนหนึ่งดื่มน้ำ เราก็นึกขึ้นมาได้ทันที
เมื่อตั้งจิต มีเจตนา ความปรารถนาอย่างแรงกล้าและเชื่อมั่นว่ามันเป็นไปได้ที่เราจะควบคุม พอหลับ หรือเข้าภวังค์สมาธิ ตัวรู้หรือสติสัมปชัญญะที่เคยคลุมเครือจะตื่นขึ้นได้ในลักษณะเดียวกันนี้ค่ะ
เพื่อนพี่นักเขียนท่านหนึ่งบอกพี่นักเขียนว่า เธอมีนิสัยนั่งสมาธิแล้วชอบหลับ เธอทำไม่ได้ที่จะก้าวล่วงไปสู่ภาวะที่จิตเป็นสมาธิ-จิตตื่น กายหลับอย่างที่พี่นักเขียนแนะนำ แต่เธอใช้วิธีปล่อยให้ตนเองเกือบจะหลับ พอรู้ว่าเคลิ้มแล้ว เธอใช้คำว่า ช้อนเอาสติสัมปชัญญะไว้ไม่ให้หลับตาม จะทำให้สติสัมปชัญญะกลับมาตื่นตัวใหม่ พี่นักเขียนลองทำเช่นที่เพื่อนว่า ก็ทำได้เช่นกัน ทำให้เข้าใจว่า คนเรามีนิสียและความเป็นเอกลักษณ์ต่างๆกัน ทำให้เราพบเทคนิคต่างๆไปด้วย ไม่ว่าเราจะใช้วิธีการกำหนดจิต คงไว้ไม่ให้สติสัมปชัญญะหรือจิตหลับได้ตลอด หรือปล่อยให้หลับตามร่างกายแล้วปลุกมันขึ้นมา หรือปล่อยให้เคลิ้มเกือบหลับแล้วปลุกมันไว้ เราก็ถึงเป้าหมายเดียวกันคือมีสติสัมปชัญญะที่คมช้ดได้
ทดลองดูนะคะพวกเรา ชาวห้องวิทย์ฯอาจพบวิธีการที่แตกต่างออกไปอีกก็ได้ แล้วนำมาถ่ายทอดกันค่ะ (rose) -
vir said: ↑ก่อนอื่นขอขอบคุณอาจารย์พี่ครับที่พยายามอธิบายให้ผมเข้าใจ ถ้า อ.พี่ ต้องการสื่อความหมายข้อความของย่อหน้า ในหนังสือใน point ที่ อ.พี่ กล่าวผมเข้าใจครับ และได้ความรู้ในเชิงลึกเพิ่มขึ้น ขอบคุณครับ แสดงว่าผมไปติดใจใน wording ที่ทำให้ผมงงไปเอง ขออภัยครับ ผมงงตรง wording ที่บอกว่า" บุคคลสำคัญในตำนานศาสนา ซึ่งไม่ได้มีสติสัมปชัญญะ ระแวดระวังถึงธรรมชาติของความเป็นจริงและความเป็นไปได้ ในการมีสติสัมปชัญญะรู้เห็นมากกว่าตัวตนภายนอกเพียงหนึ่งตัวตน...." /สติสัมปชัญญะระแวดระวังนี้ ผมขออธิบายในความมงงของผมก่อนนะครับ เพราะผมเอาไปต่อต่อยอดความคิดอีก เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ อันเป็นอนันต์ เป็นไปอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่เจ้าสติสัมปชัญญะเนี่ย มากำหนดได้ด้วยเหรอ มาระแวดระวังได้ด้วยเหรอ อันมาทำให้พระพุทธเจ้า พระคริสต์ มีอยู่เพียง พระองค์เดียวเพราะ เช่น บางวันพระพุทธองค์ทรงทำสมาธิเพื่อพิจารณาว่าวันนี้จะไปโปรดใครได้บ้าง ท่านสามารถไปโปรดได้ต้องหลายคน(เหมือนที่ อ.พี่ บอกว่าผมก็สามารถเลี้ยวซ้าย ขวา ตรงไป หรือใส่เสื้อเชิ้ตได้หลายสี )แต่แล้วพระองค์ก็ไปโปรดผู้ที่อันจะสอนสั่งได้ ตรงนี้เส้นทางอันเป็นไปได้ของพระพุทธองค์ก็มีหลากหลายเช่นกันไม่ใช่เหรอครับ พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาก็น่าจะอยู่บนเส้นทางอันเป็นไปได้อันเป็นอนันต์ แต่ผมโยงไปที่หนังสือกล่าวเจ้าสติสัมปชัญญะเนี่ยมาระแวดระวังทำให้เส้นทางอันเป็นไปได้ทั้งหลายไม่มี มีเพียงเส้นทางเดียวในมิติของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ องค์เดียว และเจ้าสติสัมปชัญญะเนี่ยสำคัญมากๆๆเลย
ซึ่งถ้า point ทั้งหมดที่ผมต่อยอดขึ้นมา เป็นคนละเรื่องเดียวกันเลยกับที่ อ.พี่ พยายามอธิบายให้ผมเข้าใจ แสดงว่าผมหลงทางครับ อ.พี่ ล้มกระดานตรงนี้ก็ได้ครับ แล้วผมจะ format ความคิดใหม่ ตามที่ อ.พี่ อธิบายก็พอครับ
ส่วนที่ อ.พี่ ถามว่านั่งสมาธิแล้วเห็นผู้คนมากหน้าหลายตา ปรากฏขึ้นในจินตภาพไหม ผมคงยังไม่ถึงขั้นนั้นครับ แต่ผมกำหนดรู้แค่ผัสสะของลมหายใจที่ปลายจมูก และไม่เห็นไม่รับรู้อะไรครับ รู้แค่ลมหายใจอย่างเดียวครับ
ขอบคุณ อ.พี่ที่พยายามเมตตาขอรับ!!!Click to expand...
สติสัมปชัญญะ คือ การจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆพร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้น
จะเห็นได้ว่าสติสัมปชัญญะไม่เพียงแต่จะกำหนดสิ่งต่างๆให้เป็นไปได้เท่านั้น หากแต่เป็นหัวใจของการก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งปวง ทั้งเหตุการณ์ ประสบการณ์ชีวิตและสุขภาพร่างกายของเรา
คำกล่าวของคุณ vir ที่ว่า
เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ อันเป็นอนันต์ เป็นไปอยู่แล้วตามธรรมชาติ
ความหมายที่แท้จริงของคำกล่าวที่ว่า เส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันเป็นอนันต์เป็นไปอยู่แล้วตามธรรมชาตินั้น ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไปโดยปราศจากการก่อเกิดหรือควบคุม แต่มันเป็นไปโดยก่อเกิดหรือควบคุมด้วยสติสัมปชัญญะโดยแท้ไม่ว่าสติัสัมปชัญญะนั้นจะนึกคิดและควบคุมอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
กลับไปที่ตัวอย่างเดิมที่พี่นักเขียนยกขึ้นมาว่า หากคุณ vir นึกคิดว่าจะใส่เสื้อสีฟ้า เทา หรือ เหลืองไปทำงานดี ในที่สุดก็เลือกใส่สีฟ้า
คุณ vir อาจจะเข้าใจว่าสติสัมปชัญญะของตนเองเลือกหรือตัดสินใจที่จะใส่เสื้อสีฟ้า ทำให้เกิดเส้นทางแห่งความเป็นจริงที่ตนเองใส่เสื้อสีฟ้าไปทำงาน
แต่ในขณะเดียวกัน สติสัมปชัญญะอีกสองส่วนที่นึกคิดว่าจะใส่เสื้อสีเหลือง และสีเทา ซึ่งดูเสมือนจะเป็นสติสัมปชัญญะที่ไม่ได้เลือกความเป็นไปได้ 2 ทางนี้มาสู่ความเป็นจริง ก็ไม่ได้เป็นสติสัมปชัญญะที่ไร้พลังอำนาจ มันก่อเกิดเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อีก 2 เส้น
ที่คุณ vir กล่าวว่า บางวันพระพุทธองค์ทรงทำสมาธิเพื่อพิจารณาว่าวันนี้จะไปโปรดใครได้บ้าง ท่านสามารถไปโปรดได้ต้องหลายคน(เหมือนที่ อ.พี่ บอกว่าผมก็สามารถเลี้ยวซ้าย ขวา ตรงไป หรือใส่เสื้อเชิ้ตได้หลายสี )แต่แล้วพระองค์ก็ไปโปรดผู้ที่อันจะสอนสั่งได้ ตรงนี้เส้นทางอันเป็นไปได้ของพระพุทธองค์ก็มีหลากหลายเช่นกันไม่ใช่เหรอครับ พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาก็น่าจะอยู่บนเส้นทางอันเป็นไปได้อันเป็นอนันต์
ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย เส้นทางแห่งความเป้นไปได้เป็นอนันต์ และเกิดขึ้น ณ จุดผกผันของความนึกคิดทุกจุด คำกล่าวของคุณ vir ก็ไม่ผิดค่ะ คงไม่ถึงกับต้องล้มกระดานหรอกค่ะ ค่อยๆ Tune in แล้วก็เข้าใจกันได้ค่ะ
เมื่อคุณ vir สรุปได้ว่า สติสัมปชัญญะสำคัญมาก ก็เข้าล้อคแล้วหละค่ะ ไม่จำเป็นต้องล้มกระดาน เพราะหัวใจของคำสอนของท่านอาจารย์อนาลัยอยู่ที่การฝึกให้มีสติสัมปชัญญะที่คมชัดทั้งยามตื่น ยามฝัน พระพุทธองค์ท่านก็ให้ความสำคัญกับสติสัมปชัญญะเป็นที่สุด เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการฝึกปฏิบัติทั้งหมด
การนั่งสมาธิแลัวจะรู้เห็นอะไรได้นั้้น เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายต้องรู้จักกำหนดค่ะ หากเรานั่งด้วยการกำหนดลมหายใจโดยไม่รับรู้อะไร ก็เท่ากับว่าเรากำหนดสติสัมปชัญญะเพื่อไม่ให้รับรู้สิ่งใดนอกจากลมหายใจเท่านั้น
พี่นักเขียนเรียนสมาธิตามหลักการอานาปานสติกับพระอาจารย์ ท่านกล่าวว่า ที่ให้กำหนดจดจ่อกับลมหายใจนั้น เพื่อทำให้จิตของเราไม่ว้อกแว้ก และไปรับรู้หรือนึกคิด ห้าร้อยเรื่อง เพราะหากปล่อยให้จิตรู้เห็นไปตามนิสัยที่ไม่รู้จักจดจ่อทีละเรื่อง เมื่อมีสิ่งที่ผุดขึ้นมาให้รู้เห็น หรือมีการเปลี่ยนแปลงของสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น ก็รู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ เพราะจิตมันท่วมไปด้วยความคิด การที่ท่านสอนให้กำหนดลมหายใจจึงเปรียบเสมือนการหางานให้จิตที่ซุกซนอยู่นิ่งไม่ได้ ชอบคิดไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด เหมือนลิงที่กระโดดเกาะกิ่งไม้ไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด ถูกบังคับให้หยุดหรือเกาะกิ่งไม้เพียงกิ่งเดียว
เมื่อความคิดหยุดอยู่เพียงหนึ่งเรื่องคือลมหายใจ มันก็เปรียบเสมือนลิงที่เกาะกิ่งไม้นิ่งๆกิ่งเดียว เมื่อมีสิ่งงอื่นรอบตัวมันเคลื่อนไหว หรือมีสิ่งอืนปรากฏขึ้นมาในอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด เราจึงจะมีสติที่รู้เห็นได้ แต่ทั้งนี้เราจะรู้เห็นได้ เราก็ต้องรู้ด้วยว่า การที่เราหยุดนิ่งอยู่กับลมหายใจก็ดี หรือเป็นเสมือนลิงที่เกาะกิ่งไม้นิ่งๆก็ดี ก็เพื่อฝึกฝนให้เรามีสติสัมปชัญญะที่พร้อมเสมอที่จะรู้เห็นสิ่งอื่นๆที่เคลื่อนไหวรอบตัวเรา หรือในจิตของเรา หากเราได้แต่หยุดนิ่งและไม่รับรู้อะไร อย่างมากที่สุดที่เราจะรู้เห็นได้ก็คือลมหายใจหรือปลายจมูก หรือกิ่งไม้กิ่งเดียวที่ลิงเกาะอยู่เท่านั้น
พี่นักเขียนเข้าใจว่า พวกเราจำนวนไม่น้อย ที่ได้ยินได้ฟังประสบการณ์สมาธิของผู้อื่นแลัว มักเข้าใจว่า สิ่งที่ตนเองยังไม่เคยรู้เห็น เป็นเพราะตนยังไปไม่ถึงขึ้นนั้น ซึ่งเป็นการให้เครดิตตนเองน้อยมาก ตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว ประสบการณ์ทางจิตเป็นประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง ซึ่งหมายความว่า เราต่างคนต่างก็จะเผชิญกับประสบการณ์หลากหลายที่ไม่มีวันเหมือนกัน แต่จะมีเพียงแนวทางบางอย่างเท่านั้นที่ทำให้เราอ้างอิงกันได้ค่ะ
มาคะ มาตั้งกระดานกันใหม่ ทานขนมเค้กไปด้วย ขอยืมจานกับส้อมหน่อยค่ะ (rose)ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
khajornwan said: ↑เข้าใจแล้วค่ะ จิตวิญญาณมาถือกำเนิดเพื่อเรียนรู้คุณค่าของความรักอันเป็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณที่เสมอเหมือนกับต้นกำเนิด และเรียนรู้ที่จะให้อภัยหรือเปลี่ยนความเกลียดเป็นความรัก เป้าหมายหลักของจิตวิญญาณคือการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้..
อดทน อดทน อดทน และก็อดทน
อดกลั้น อดกลั้น อดกลั้น และก็อดกลั้น
เสียสละ เสียสละ เสียสละ และก็เสียสละ
ให้อภัย ให้อภัย ให้อภัย และก็ให้อภัย..
รักพี่นักเขียนที่สุดในโลกเล้ยยย...
[b-wai]Click to expand...
พอจะสู้กวีอย่างคุณชมภูเขา กับ คุณ axon ไหวไหมคะ (rose)ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
TK the Naka said: ↑ถ้านิมิตถึงภูมิหลังแล้วรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก เหมือนคนจะขาดใจ หมายความว่าอย่างไร จะแก้ไขอย่างไรดี ใครทราบบ้าง
Click to expand...
ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้หนังสือ โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพว่า
จิต คือ อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
วิญญาณ คือ ข้อมูล ความรู้ และความทรงจำข้ามชาติภพ
จิตวิญญาณ จึงหมายถึง ข้อมูล ความรู้ และความทรงจำข้ามชาติภพ ซึ่งถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด
คุณ Naka นิมิตถึงภูมิหลังแล้วรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก เหมือนคนจะขาดใจ
ก่อนอื่นต้องสำรวจตนเองว่าในขณะนั้นมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอย่างไร เรารู้เห็นอะไร และกำลังจดจ่อกับอะไรอยู่ เพราะการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางกายภาพหรือปรากฏในนิมิต มันย่อมส่งผลทำให้จิตวิญญาณเป็นไปเช่นนั้น ด้วยเหตุผลที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณจะมีชีวิตอยู่-เป้นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้น
ความหมายของประสบการณ์ดังกล่าว เป็นสิ่งที่คุณ Naka จะรู้หรือเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อพบว่าตนเองจดจ่อกับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดใดอยู่ในขณะนั้น หากมันเป็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในแง่ลบ ทางแก้ก็คือการเปลี่่ยนความคิดและความเชื่อเกี่ยวกับประสบการณ์นั้นๆไปเป็นแง่บวก ดังเช่นที่ท่านอาจาาย์อนาลัยได้กล่าวไว้ในหนังสือ อิสระแห่งความปรารถนาว่า
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ทางกายภาพได้ นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนแปลงภาวะจิต
การให้ผู้อื่นตีความหมายประสบการณ์ทางจิตอันเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ และไม่มีผู้ใดมีประสบการณ์ที่เสมอเหมือนกันนั้น เป็นการมอบอำนาจสำคัญให้ผู้อื่น ซึ่งทำให้เรามักสูญเสียความหมายที่แท้จริงไปเสมอ
พี่นักเขียนในฐานะล่ามและเลขาของท่านอาจารย์อนาลัย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่ปราศจากร่างกายตัวตน จะช่วยขยายความหรืออธิบายประสบการณ์ของพวกเรา โดยหยิบยกคำสอนและคำอธิบายของท่านอาจารย์อนาลัยมาถ่ายทอดให้พวกเราเสมอๆค่ะ แต่เป้าหมายหลักของกระทู้นี้ คือการศึกษาข้อมูลของท่านอาจารย์อนาลัยร่วมกัน เพื่อทำให้เราทั้งหลายเป็นผู้ที่มีความรู้และสามารถใช้พลังอำนาจตามธรรมชาติของจิตวิญญาณได้ และสามารถแก้ปัญหาต่างๆและควบคุมประสบการณ์ชีวิตของเราได้ด้วยปัญญา
พี่นักเขียนเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ล่ามและเลขาซึ่งเขียนหนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัย ตามข้อมูลความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากความฝัน ซึ่งเป็นความฝันอันคมชัด-มีสติ ที่เป็นผลมาจากการฝึกฝน และเมื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกห้องวิทย์ฯ ตามคำเชิญชวนของคุณ Mead หัวหน้าห้อง พี่นักเขียนก็มาช่วยทำหน้าที่ขยายความ และสื่อสารกับท่านอาจารย์อนาลัยต่อไปเพื่อถ่ายทอดข้อมูลอื่นๆที่ยังไม่ปรากฏในหนังสือมาสู่พวกเรา
หากยังไม่เคยอ่านหนังสือชุดของท่านอาจารย์ โนวา อนาลัยมาก่อน เชิญไปแวะอ่านได้ที่ website http://www.novaanalai.com/novaanalai/Index.html หรือฟังการบรรยายได้ที่ http://www.novaanalai.com/novaanalai/Podcast/Archive.html
ยินดีต้อนรับน้องใหม่ทุกท่านที่เข้ามาสู่ห้องวิทย์ฯพร้อมด้วยประสบการณ์และความคิดเห็นอันหลากหลายค่ะ(rose)ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
mindanaric said: ↑อ่า....หายไปนานน คิดถึงซุปเปอร์ยอดคุณแม่จังเลยย มาให้กอดหน่อยจิ้ คิดถึงจังเยยค่ะ มีกระทู้คนนี้คนเดียวแหละที่ต้องค่อยๆอ่าน(คิดว่าทุกคนคงเป็นกันหมด) และต้อง เอาไว้อ่านทีหลัง เพราะเดี๋ยวความรู้กะเฉาะหมด อ่านผ่านๆไม่ได้
ไม่รู้คุณน้าพูดเล่นๆหรือพูดจริงๆนะคะ แต่ตัวหนูก็รู้สึกว่าตัวเองผูกพันธ์กับวัฒนธรรมของฝรั่งมากจนทุกวันนี้ก็เอาไปเผยแพร่ให้ทางบ้านได้รับเชื้อเยอะเลย ก็อาจจะเป็นได้นะคะที่หนูเคยเกิดเป็นฝรั่ง ...(คงจะงามมิน้อยเลย หุหุหุ)
อ่าๆ แบบนี้เค้าเรียกว่าแซวเล่นๆแต่เป็นจริงๆ จ๊าก! ซะงั้น (evil2)
หนูไม่ใช่ปอบนะ ..... Y^Y .... คุณน้าอ่าClick to expand...
ไม่พูดเล่นหรอกค่ะ หนู mind โผล่มาก็แหม่มจ๋าเลย หายไปนานกอดแรงจัง ดูหนังสือเก่งๆ สอบได้ A+ ล้วนนะคะ อย่าดูด้วยตาเนื้ออย่างเดียว เป็นนักเรียนห้องวิทย์ฯต้องใช้ตาที่สามดูหนังสือด้วย กำหนดให้ฝันว่าทำสอบได้ A+ หมดด้วย น้านักเขียนกอดกลับแบบ Bear Hug เลย เพราะหายไปตั้งสองวัน เล่นเอาพี่ๆเขาป่วนทั้งห้อง ควันธูปตลบเลย ส่วนน้องนกก็ถูกรุมอยู่คนเดียว น้อง mind เอาหนู Mila ไปซ่อนด้วยหรือเปล่าคะ ไปเอากลับมาทีเร้ว (rose)ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
:d [Embarrass
ไฟล์ที่แนบมา:
-
หน้า 80 ของ 454