เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ผลกรรมในมิติพลังงาน ....

    ขยะพลังงานในบรรยากาศโลก



    ขยะพลังงานจิตซึ่งเป็นด้านลบของมนุษย์ ที่สั่งสมในชั้นบรรยากาศโลก มันเป็นภัยที่น่ากลัว สำหรับมนุษย์ไม่น้อยหน้าไปกว่าขยะพลังงานที่เป็นปฏิกูลจากอุตสาหกรรมซึ่งเป็นพิษร้ายต่อสังขารร่างกายเลยทีเดียว

    มนุษย์ไม่รู้หรอกว่า อารมณ์หยาบ ๆ รายวันของมนุษย์ ที่เกิดจากกิเลสตัณหาทั้งหลายนั้น มันเป็นมายาที่เกิดจากการสั่นสะเทือนด้านลบของจิตจะก่อให้เกิด พลังงานใหม่ ในรูปคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ โดยทุก ๆ อนุภาคของคลื่นพลังงานใหม่นี้จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าด้านลบทั้งสิ้น

    ในขณะที่คลื่นพลังงานใหมด้านลบถูกนำเหวี่ยงออกผ่านชองทางจากตาที่สามไปสู่เป้าหมายใด ๆ ทั้งไกลใกล้ และคลื่นลบที่ถูกเหวี่ยงออกไปจนสุดทางนี้จะวกกลับคืนสู่ตาที่สามอย่างต่อเนื่อง อนุภาคของคลื่นมีค่าไม่ต่างไปจากประจุไฟฟ้าลบ คู่กรณีจะรับมันเอาไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือเป็นอนุภาคด้านลบส่วนใหญ่ จะถูกเหนี่ยวรั้งสั่งสมไว้ในสนามพลังงานในชั้นบรรยากาศโลกเสมอ

    ถ้ามนุษย์โลกไม่มีคนดีเหลืออยู่เลย การเสียสมดุลด้านพลังงานแก่นแท้ของระบบโลกในกรณีนี้ จะเพิ่มความรุนแรงขึ้นได้เรื่อย ๆ จนถึงขั้นวิกฤติโลกทีเดียว


    ถ้ามนุษย์โลกยังมีคนดี เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทางอารมณ์ มีความรักที่มีคุณสมบัติด้านบวก เขาจะเป็นผู้สร้างอนุภาคประจุบวกจากคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก ของจิตที่สั่นสะเทือนด้านบวกนั้น เหวี่ยงออกมาสู่ชั้นบรรยากาศในสนามพลังงานโลกที่เต็มไปด้วยประจุลบอิสระ อันเป็นขยะพลังงานจิตจำนวนมากมาย เพื่อจับคู่กันสร้างความเป็นกลางทางไฟฟ้าให้เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก หรือลดการเสียสมดุลทางไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศโลกให้น้อยลง

    มนุษย์ต้องรู้ไว้ด้วยว่า นอกจากประจุลบอิสระอันเป็นขยะพลังงานจิตมนุษย์ในชั้นบรรยากาศโลก จะเป็นตัวการหนึ่งให้ดินฟ้าอากาศวิปริตแปรปรวน ยังเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้มนุษย์โลกมีจิตสำนึกดิ่งลงเข้าหาความเป็นเดรัจฉานกันมากขึ้นอีกด้วย ถ้าหากมนุษย์ขาดสติ ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองให้สมดุลไว้ทุกสถานการณ์ มนุษย์จะตกเป็นเหยื่อของประจุลบเหล่านี้ทันที

    ยิ่งจิตสำนึกมนุษย์ส่วนมากตกต่ำ เอาแต่ห้ำหั่นทำร้ายกันด้วยอารมณ์ด้านลบและพฤติกรรมขยะ ก็ย่อมตกเป็นเหยื่อประจุลบอิสระในบรรยากาศโลกที่มีอยู่จำนวนมากมาย ซึ่งค่อย ๆ ลดระดบลอยต่ำลงมาจากฟ้าด้วยอำนาจจิตด้านลบของมนุษย์ ส่วนใหญ่ที่ต่างช่วยกันเหนี่ยวรั้งมันลงมาคล้ายการมี "จิตถวิลหา" อย่างไม่รู้สำนึก จนและเห็นได้ด้วยตาเนื้อเป็นเมฆหมอกสีเทาระยอดตึกสูง ๆ ในเมืองใหญ่ในฟ้าโปร่งกันแล้วขณะนี้



    ในปลายยุคพลังงานเก่า เข้าสู่ระยะเวลาการชำระโลก ประจุลบอิสระ จำนวนมากมายในบรรยากาศโลกที่กล่าวถึงนี้ แม้จะเป็นปฏิกูลทางพลังจิตของมนุษย์ แต่กลับนำมาใช้ในการปฏิบัติเพื่อชำระโลก เจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์จำนวนนับล้าน ๆ รูปธรรม ซึ่งรอคอยจะได้รับโอกาสของตนกันมาอย่างยาวนาน พลังงานกรรมประจุอิสระที่เคยเป็นพลังงานขยะ จะถูกนำมารีไซเคิลในมิติพลังงานเพื่อการชำระโลกจนหมดสิ้นก็คราวนี้นี่เอง

    หลายในเหตุผลดังกล่าวนี้ คือสิ่งที่น่าพิจารณาค่ะว่า ทำไมหลังจากสิ้นพุทธันดรไปแล้ว มนุษย์โลกมีจิตใจตกต่ำลงอย่างมาก จนมนุษย์มีอายุขัยลดลงเหลือแค่ 10 ปี ( สภาวะจิตใจคือผู้กำหนดอายุของมนุษย์) จนเกิดภัยพิบัติล้างโลกในยุคสิ้นพุทธันดร ก็ด้วยสาเหตุนี้นี่เอง
     
  2. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เมฆหมอก เปรียบดั่งอุปสรรคของชีวิต



    อาการเสียสมดุลที่รุนแรงขึ้นของมนุษย์ดังกล่าวนี้ บ่อยครั้งสำหรับบางคนจะเกิดการสั่นสะเทือนด้านลบที่รุนแรงและพลุ่งพล่านขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสามารถแสดงออกหรือกระทำต่อผู้อื่นอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนผิดมนุษย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ พฤติกรรมบางอย่างไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ผู้เจริญแล้วจะสามารถกระทำสิ่งที่เลวร้ายเช่นนั้นได้ มนุษย์สามารถจะค้นคว้าหาอ่านจากหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน หรือดูข่าวทางทีวีก็ได้ว่า วัน ๆ หนึ่งนั้นมีคดีประทุษร้าย มีข่าวอาญชญากรรมโหด ๆ เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง?



    ประจุลบอิสระอันเป็นพลังงานขยะในชั้นบรรยากาศโลก นอกจากเป็นตัวการดั่งที่กล่าวไว้แล้ว หากมนุษย์ ขาดสติ ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองให้สมดุลไว้ในทุกสถานการณ์ มนุษย์จะตกเป็นเหยื่อของประจุลบทันที

    การขาดสติของมนุษย์ก็คือ การตกเป็นทาสทางอารมณ์ของตนเอง

    การตกเป็นทาสทางอารมณ์ของตนเอง ก็คือ การตกอยู่ภายใต้อำนาจบงการของสิ่งเร้ากระตุ้นภายนอก

    การตกอยู่ภายใต้อำนาจบงการของสิ่งเร้า ก็คือ การขาดความสำรวมระวังหรือประมาท นั่นเอง


    ทันทีที่เสียสมดุลในจิตใจ เกิดอารมณ์โกรธ โมโหโทโสอย่างรุนแรง นั่นคือ อาการขาดสติชั่วครู่ จิตมนุษย์จะสั่นสะเทือนเกิดคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบขึ้น แล้วเหวี่ยงคลื่นนั้นมาสู่สนามพลังงานภานนอกในชั้นบรรยากาศโลก เพื่อมอบให้แก่บุคคลที่ทำให้ตนโกรธหรือมีโมโหโทสัน ก่อนที่คลื่นจิตนั้นจะวกกลับคืนสู่จุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนตรงตาที่สามของมนุษย์คนนั้นอีกรั้ง (เปรียบดั่งมุมเบอแรง) กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    เมื่อคลื่นจิตด้านลบถูกเหวี่ยงออกมาสู่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยอนุภาคประจุลบอิสระจำนวมาก การเหนี่ยวรั้งประจุลบอิสระในบรรยากาศของคลื่นนจิตด้านลบนั้นก็จะเกิดขึ้น คลื่นจิตด้านลบ ถูกเหวี่ยงออกไป จะรับเอาประจุลบอิสระ ในบรรยากาศโลก วกกลับคืนสู่ที่ตาที่สามของตนเองได้เสมอ แทนที่ประจุลบของมนุษย์จะเกิดจากการเสียสมดุลทางอารมณ์ของตนอย่างเดียว กลับไปรับเอาประจุลบจากภายนอกเข้ามาอีกด้วย

    ประจุลบอิสระเหล่านี้ จะเป็นตัวการที่จะเร่งเร้าหรือกระตุ้นให้จิตที่สั่นสะเทือนด้านลบด้วยอารมณ์ขยะอยู่ในขณะนั้น เกิดการสั่นสะเทือนไปด้านลบที่รุนแรงยิ่งเกินความเป็นจริงทางอารมณ์ด้านลบของตนไปนั่นเอง

    ถ้าโกรธก็จะโกรธมาก เกินความจริงที่ไม่น่าจะโกรธถึงปานนั้น

    ถ้าเกลียดก็จะเกลียดมาก เกินความจริงที่ไม่น่าจะเกลียดถึงปานนั้น

    ถ้าแค้นก็จะแค้นมากแทบคลั่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะคลั่งแค้นถึงปานนั้น


    อาการเหล่านี้ถ้ามีสติได้ในภายหลัง มีกจะรู้สึกเสียใจในการแสดงออกหรือการกระทำใด ๆ ที่ตนเองเสียสมดุลรุนแรงนั้นเสมอ

    การแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้ากับสรรพสิ่งอื่น

    เป็นกระบวนการพลังจิตในมิติแก่นแท้อย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาโดยที่ตาเปล่ามนุษย์มองไม่เห็น ปรากฎการณ์ในมิติทางพลังงาน เป็นคุณสมบัติธรรมชาติเฉพาะตัวของทุก ๆ รูปธรรมแก่นแท้นั่นเอง เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ มันมิต่างสื่อสารสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์ในทางกายภาพ เป็นการแลกเปลี่ยนคุณสมบัติทางไฟฟ้าระหว่างกัน จะมีผลต่อการสั่นสะเทือนทางอารมณ์รู้สึกของมนุษย์โดยตรง คือ

    " ความรู้ใหม่" กระบวนการต่าง ๆ นี้น่าสนใจมาก

    ๑.ถ้าเหวี่ยงบวกออกไปให้เขาอื่น แล้วไปรับสัมผัสเอาความว่างเปล่าจากเขากลับมา จะทำให้ผู้เหวี่ยงคลื่นบวกเกิดอาการเสียสมดุลทางด้านบวก คือ มีอาการทางกายอ่อนล้าหรืออ่อนเพลียเสมอ เนื่องจากพลังจิตวิญญาณสูญเสียไป เพราะบวกในตนเองขาดการเต็มเต็มในส่วนที่เหวี่ยงให้เขาไป เนื่องจากผู้ที่ได้รับคลื่นบวกจากผู้ให้บกพร่องในคุณสมบัติแห่ง "การให้" เพื่อตอบแท้ผู้ให้ โดยตนเองจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้รับไปเป็นบทบาทผู้ให้ด้วย จากกรณีที่แสดงความหวังดีต่อผู้อื่นอย่างทุ่มเท ผู้นันกลับไม่สำนึกถึงความดีที่ตนมอบให้เลย คนโบราณจึงสอนให้ มีสำนึกกราบขอบพระคุณ หรือ ขอบคุณ สำนึกในความกตัญญูถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ( + กับ () )

    ๒.ถ้ามนุษย์เหวี่ยงคลื่นจิตด้านบวกออกไปมอบให้แก่ผู้อื่น ขณะนั้นเขากำลังสั่นสะเทือนด้านลบและกำลังเหวี่ยงออกมาภายนอก ถึงแม้ตัวเองไม่ใช่คู่กรณีที่เขาไม่พอใจ คลื่นลบของเขาถ้าหากอยู่ใกล้ ถ้าคลื่นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หรือเขาเสียสมดุลอย่างรุนแรง เข่นโกรธจัด โมโหร้าย หรือเสียสติ คลื่นของเขา จะมีผลต่อการลดทอนพลังอำนาจจาการสั่นสะเทือนด้านบวกที่มนุษย์ส่งไปให้ลง จนไม่เพียงพอให้เขาคนนั้นสั่นสะเทือนด้านบวกตามผู้ให้ด้านบวกในขณะนั้นได้เลย นั่นหมายความว่าเขากำลังโกรธหรือโมโหอย่างรุนแรง ตัวเขาไม่อาจสำนึกรับและรู้ความปรารถนาดีจากใคร ๆ ได้เลย ( + กับ - )

    ๓.ถ้าคนสองคนกำลังมีอารมณ์รู้สึกด้านลบต่อกัน และพวกเขากำลังเผชิญหน้ากันโดยกำลัวถกเถียงขัดแย้งกันอย่างคร่ำเครียด ต่างก็กำลังเหวี่ยงคลื่นลบและประจุไฟฟ้าลบสาดซัดกันใส่ตาที่สามของกันและกันอย่างไม่หยุดยั้ง เวลาเนิ่นนานผ่านไปมากเท่าใด หากทั้งสองยังปฏิบัติต่อกันเช่นนั้นอยู่เหตุการณ์ในอนาคตที่จะเกิดขึ้น คือ

    พวกเขาทั้งคู่จะทะเลาะกันรุนแรงขึ้นกว่าที่เห็น

    เหตุเพราะ คลื่นพลังลบที่พวกเขาสร้างขึ้นเป็นคลื่นพลังงานใหม่ที่ต่างคนต่างสร้างใหม่มีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาของการสั่นสะเทือนนั้น และจะเกิดการแลกเปลี่ยนกันและรับเอาของกันและกันตลอดเวลา ต่างได้รับเงื่อนไขของการยั่วยุด้วยอนุภาคประจุลบของกันและกันอย่างต่อเนื่อง การสั่นสะเทือนด้านลบจึงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มายาที่เห็นที่แต่ละคนรับรู้ได้ ต่างก็มีโมโหและโกรธรุนแรงขึ้น จนควบคุมสติตนเองเอาไว้ไม่ได้ หรือแทบไม่ได้ ย่อมเสี่ยงต่อการประทุษร้ายกัน หรือเอาชีวิตในบั้นปลายกันอย่างแน่นอน ( - กับ - )

    ๔.ถ้าอีกคนหนึ่งมีอารมณ์ด้านลบรุนแรง และกำลังเหวี่ยงคลื่นให้อีกคนหนึ่ง โดยที่อีกคนหนึ่งนั้นมีสติสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เป็นอย่างดี ไม่มีการต่อสู้ ตอบโต้ หรือต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น กรณีเช่นนี้ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในมิติพลังงานแก่นแท้ก็คือ ผู้ที่เหวี่ยงคลื่นลบกับประจุลบออกไปนั้น จะไม่สามารถแลกเปลี่ยยประจุไฟฟ้ากับอีกคนซึ่งจิตสงบงันได้ ประจุลบที่ถูกเหวี่ยงออกไปกับคลื่นจำนวนหนึ่งที่ถูกทิ้งสะสมไว้เป็นพลังงานในบั้นบรรยากาศโลก นอกจากนะทำให้เกิดการเสียสมดุลทางไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศโบกแล้ว ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะถูกเหวี่ยงกลับคืนหาตนเองเพื่อสร้างอารมณ์เงื่อนไขที่รุนแรงขึ้นแก่ตนเอง ทำให้ผู้นั้นเสียความสมดุลทางอารมณ์อยู่คนเดียวได้เหมือนกัน แม้คู่กรณีมิได้ทำการใด ๆ ที่เป็นการยั่วยุหรือปลุกเร้าเลยก็ตาม ( - กับ O )

    นี้คือ พลังงานอารมณ์กรรมของมนุษย์ ที่เป็นความจริงแท้เกิดกับทุกคนที่ใคร ๆ ไม่ใคร ๆ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยค่ะ
     
  3. เเสงเทียน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2017
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +156
    ดูข่าว เด็ก 8 เดือน โดนพ่อตัวเองข่มขืน อีกข่าว เด็กอีกคนเกิดในราชวงศ์ประเทศมหาอำนาจ เเตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทำไมกันอะไรนำพา
     
  4. จันทร์ส่องฟ้า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +44
    คุณ jityim ฝากมาบอกว่า ไม่สามารถเข้ามาใช้ เว็บพลังจิต ในนามขอคุณ jityim ได้เลย เพราะถูกปฏิเสธการเชื่อมต่อ เธอจึงขอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ที่ไม่สามารถเข้ามาตอบได้อีกแล้ว
     
  5. ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    อ้าว
    อ้าวเป็นสะงั้นไปเศร้าเลยผมกำลังติดตามเลย
     
  6. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ขอบคุณท่านทอนเงินมากเลยค่ะ ที่ติดตาม อาจเป็นเพราะทางเว็บกำลังปรับปรุงระบบก็ได้มั้งค่ะ เพราะเห็นประกาศว่าหน้าเว็บโหลดอืดมากจากที่เคยโหลด 1000 เหลือแค่ 100 เลยทำให้อืด และกำลังปรับปรุงอยู่ก็ได้ค่ะ

    และเรื่องโปรไฟล์ของ jityim ไม่มีการเคลื่อนไหวมา 5 เดือนตั้งแต่เดือน ก.พ.แล้วค่ะ และกระทู้ที่ตั้งใหม่ก็ไม่มีข้อมูลเลย ใครเป็นบ้าง? อยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไรสงสัยมากเลย!

    ท่านทอนเงินเป็นเหมือนกันหรือเปล่าคะ เพราะในนามจิตยิ้มเป็นปล่อยมากหลายครั้งที่ปฏิเสธการเข้า! แต่ที่จะเด้งคืนกลับให้เข้าเว็บได้โดยอัตโนมัติ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง ก็เลยคิดว่าเพราะอะไร? เพราะการปฏิเสธการเชื่อมต่อเหมือนเข้าใจว่าเป็นการถูกบล๊อก! สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วยแล้วหรือ! หรือว่า...หมดหน้าที่แล้ว อันเป็นความเข้าใจของตนเองนะ ก็ให้รหัสอื่นเข้ามาบอกเดี๋ยวจะว่าหายไปไหนทำไมไม่ตอบกระทู้ แต่มานึกขึ้นเองเมื่อวานไม่อยู่เดินทางเข้ากรุงเทพและได้พิมพ์ตอบกระทู้ค้างไว้ แต่เป็นเรื่องกรรมในอดีตชาติของสตรีท่านหนึ่งในยุคปลายพลังงานเก่านี้เป็นที่รู้จักกันดี ทำไมนางต้องมารับผลเช่นนี้ ในอดีตชาติทำอะไรมา หรืออาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาลงเรื่องนี้ก็ได้ ก็เลยมีเหตุให้เป็นแบบนี้นะค่ะ
     
  7. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    กฎแห่งกรรม ค่ะ

    บุรพกรรมในอดีตชาติ

    ชะตาชีวิตของมนุษย์แต่ละคน ตนเองเท่านั้นเป็นผู้ลิขิตมันมิใช่ใครอื่น ไม่ว่าชีวิตในภพชาติปัจจุบันมันจะเลวร้ายปานใด ไม่ว่าจะมีความสุขเลอล้ำขนาดไหน และไม่ว่าจะโลกโผนตื่นเต้นเร้าใจเพียงใด ตนนั่นเองเป็นผู้ขีดเขียนมันเอาไว้ตั้งแต่ภพชาติที่แล้ว

    ถ้าเป็นผลกรรมด้านลบที่ถูกบันทึกไว้ ทำให้จิตวิญญาณมนุษย์แต่ละคน จะต้องย้อนกลับมาเกิดในภพชาติใหม่ เพื่อแก้ไขตนเอง ด้วยบทเรียนเดิม ๆ เหมือนที่เคยเผชิญและทำผิดพลาดมาแล้วในภพอดีตชาติอีกครั้ง

    แต่ถ้าผลกรรมด้านบวกที่ถูกบันทึกไว้ ก็ทำให้จิตวิญญาณมนุษย์แต่ละคน จะต้องย้อนกลับมาสู่การเกิดในภพชาติใหม่เช่นเดียวกัน แต่เป็นการเข้ามาสู่รูปธรรมมนุษย์อีกภพชาติหนึ่งของจิตวิญญาณ เพื่อรับเอาสิ่งดี ๆ ที่ตนเคยร้องขอไว้ หรือตั้งเป้าหมายไว้จากการกระทำที่ดีงามของตนในอดีตภพชาติที่ผ่านมา

    มนุษย์หลายรายอาจสงสัยว่า....


    ทำไมผลการกระทำดีงามของตน จึงกลายเป็นผลกรรมด้านบวกที่ยังผลให้จิตวิญญาณแก่นแท้ของตนต้องย้อนกลับมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติใหม่กันอีกครั้ง?

    คำตอบคือ เป็นเพราะมนุษย์สร้างกระบวนการสั่นสะเทือนของแก่นแท้ด้วยคลื่นความถี่ที่ผิดพลาด พลังงานใหม่ที่สร้างขึ้นแม้จะเป็นด้านบวกที่ถูกต้อง แต่ก็เป็นพลังงานด้านบวกที่โลกไม่สามารถไปใช้ประโยชน์อันใดได้ ใคร ๆ ก็รับเอาประโยชน์มิได้ ซึ่งมนุษย์รู้ไว้ด้วยว่า.....

    รูปธรรมทางพลังงานทั้งหลายเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีวันสูญหายไปไหนได้ นอกจากจะเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของตนเองไป หรือ ทำการทำให้เสื่อมสลายด้วยอำนาจของผู้สร้างมันขึ้นมาเท่านั้น ***สำคัญมากค่ะ เป็นประโยชน์ในการขจัดกรรม

    ด้วยเหตุนี้เอง รหัสบุรพกรรมที่เป็นผลกรรมด้านบวก ก็จัดเป็นขยะพลังงาน ที่เจ้าของต้องรับผิดชอบในการจำกัดให้สิ้น ไม่ต่างจากผลกรรมด้านลบเลย เพราะมนุษย์แต่ละคนสั่งสมบุรพกรรมกันมากมายในอดีตชาติ จึงทำให้จิตวิญญาณต้องย้อนกลับมาสู่การเกิดในภพชาตินี้เพื่อทำหน้าที่ขจัดขยะพลังงาน ซึ่งเป็นผลกรรมด้านบวกด้านลบของตนให้หมดสิ้น เพื่อหยุดยั้งการมีภพชาติหน้าให้จงได้

    ถ้ามนุษย์หยุดยั้งการเกิดมีภพชาติใหม่ของจิตวิญญาณ ตัวตนแท้จริงของตนเองได้ มนุษย์จะสามารถหยุดยั้ง "กฎแห่งกรรม" ได้นับแต่บัดนั้น

    ถ้ามนุษย์ต้องการหยุดยั้งกฏแห่งกรรมของตนเองเพื่อไม่ต้องมีภพชาติใหม่ต่อไป มนุษย์ก็จะต้องไม่สร้างรหัสบุรพกรรมแม่เหล็กขึ้นมาใหม่เพื่อเก็บบันทึกไว้ในจิตวิญญาณของตนโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นผลกรรมด้านบวกหรือลบ

    ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็จะต้องรับผิดชอบในการจัดการรหัสของผลกรรมจากอดีตชาติ หรือ "บุรพกรรมแม่เหล็ก" ที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาในภพชาติให้หมดสิ้นด้วย จึงจะสามารถหยุดยั้งกงล้อแห่งกรรมที่ว่านี้ได้ดังประสงค์
     
  8. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    มีคนคิดว่า...เราแอบอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มิใช่เช่นนั้นเลยค่ะ

    ทุกอย่างออกมาจากใจที่ตนเข้าใจเช่นนั้นจริง ๆ ตอนแรกจะให้ยูสคุณ Mahahaa มาลบ แต่บังเอิญ ท่านทอนเงินมาอ้างอิงเสียก่อน เลยต้องมาแจ้งตอบที่มาที่ไปให้ทราบค่ะ

    ที่จริงแล้วทุกอย่างไร้การควบคุมโดยประการทั้งปวง ....

    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นการกระตุ้นเตือน ถึงความเหมาะสม ทำให้ตนเองฉุกคิดได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุ...มิใช่เป็นไปตามอารมณ์ที่ตนต้องการเท่านั้น

    อย่างกรณี....การแจ้งข่าวสารการชำระโลก

    ก็เพื่อต้องการทราบการตัดสินใจของมนุษย์

    จักรวาลล้วนทราบดีว่า มนุษย์แต่ละคนบนโลกล้วนจะต้องเผชิญสถานการณ์ใดบ้าง แต่ละคนเมื่อเผชิญกับสถานกาณ์นั้น ๆ แล้ว มนุษย์แต่ละคนจะตัดสินใจอย่างไร

    แม้กระทั่ง...กรรมของมนุษย์...

    มนุษย์มีทางเลือกเสรี ที่จะตัดสินใจกระทำตอบต่อสิ่งเร้าใด ๆ ที่เป็นเงื่อนไขของตนได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับ ยอมตาม การโต้ตอบ หรือการต่อต้าน สามารถที่จะกระทำได้ทั้งสิ่งที่ถูกและสิ่งที่ผิด ด้วยจิตสำนึกของตนที่ขับเคลื่อนกลไกทางอารมณ์ จากการสั่นสะเทือนทั้งทางด้านบวกและด้านลบได้ทั้งสิ้น ทุกคนล้วนเป็นอิสระในการคิดและตัดสินใจด้วยตนเอง โดยจักรวาลมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือคอยโปรแกรมมันไว้แต่อย่างใด

    เมื่อตัดสินใจกระทำลงไปแล้ว หากพบว่าไม่เป็นที่พอใจหรือไม่ถูกต้อง มนุษย์ก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงใจด้วยการตัดสินใจใหม่ในเรื่องนั้น ๆ ได้อีกตามต้องการ แม้กระทั่งการตัดสินใจว่าจะไม่ตัดสินใจเลยก็ได้ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์เรียนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ จะได้ตัดสินใจถูกต้องกว่าเดิมในการตัดสินใจครั้งต่อไป

    จักรวาลกำหนดให้ดาวเคราะห์โลกเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ เพื่อให้จิตวิญญาณเข้ามาสู่รูปธรรมมนุษย์ ใช้จิตสำนึกของแต่ละคน ผ่านบทเรียนและบททดสอบด้วยพลังอำนาจในตนเองที่ได้จากการยกระดับสติปัญญาเข้าถึงสติปัญญาอันสูงส่งของจิตวิญญาณ สู่การตัดสินใจที่ถูกต้องในทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ให้ได้

    การตัดสินใจใหม่ได้คือ การเปิดโอกาสให้มนุษย์มีทักษะในการคิดการกระทำ ด้วยสติปัญญาที่แยบยลยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงการค่อย ๆ ยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์ในความหมายของจักรวาลให้ถูกต้องทุกครั้งที่ตัดสินใจ นั่นเท่ากับว่ามนุษย์นั้น บรรลุถึงพลังอำนาจสูงสุดในตนเองได้แล้ว

    พลังอำนาจสูงสุดจากการกระทำของมนุษย์มี 2 ระดับ คือ

    พลังอำนาจสูงสุดจากการกระทำผ่านจิตสำนึกของตนในมิติโลกจากการะบวนการเรียนรู้ และพิสูจน์รู้สู่การตัดสินใจที่ถูกต้อง

    และ

    พลังอำนาจสูงสุดจากการกระทำผ่านจิตสำนึกของตนในมิติคู่ขนานด้วยกระบวนการคิดรู้สู่การหยั่งรู้ด้วยตนเอง ซึ่งทำได้ด้วยการยกระดับจิตสำนึกของตนรวมกับจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียว ที่เรียกว่า "ปัญญาญาณ" เป็นพลังอำนาจสูงสูดด้วยสติปัญญาของจิตวิญญาณ จึงจะสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ทั้งสองกระบวนการนั้นถ้าใคร่พิสูจน์รู้ได้ด้วยตนเอง มันสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอนาคตมนุษย์ได้ด้วยตนเอง

    เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการตัดสินใจของมนุษย์ที่ไร้การควบคุมใด ๆ เพียงแต่เข้าใจว่าหากมีการจัดสรร คงได้รับการช่วยเหลือให้บรรลุผลแค่นั้นค่ะ
     
  9. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เจ้ากรรม - นายเวร

    จาก....สถานการณ์ถ้าหลวงเขาขุนน้ำนางนอน



    ถ้า...เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง!!!



    https://baabin.com/general/93332

    เรื่องนี้มีการกล่าวขานกันเป็นอย่างมาก และเคยอ่านข่าวเจอว่าได้รับการเปิดเผยจากลูกศิษย์ของพระครูบาบุญชุ่มเคยกล่าวว่า ในอดีตท่านพระครูบาเคยเป็นคนเลี้ยงม้า และในใจก็ผุดออกมางั้นโค้ชและเด็กทั้ง 13 คน เป็นทหารที่เกี่ยวในการติดตามนะซิ!!

    ทหาร 9 นายโกนหัวบวชแก้บน อุทิศเจ้าแม่นางนอน-จ่าแซม 13 หมูป่าฯเข้าพิธีสืบชะตาครั้งใหญ่

    https://amp.mgronline.com/local/9610000071853.html

    เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากผู้มีญาณบารมีหลายคน ว่าเด็ก ๆ มี ดวงถึงอุปฆาต และเจ้าแม่นางนอนเปลี่ยนใจกลับมาช่วยเหลือ นอกจากสถานการณ์นี้ทำให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจกันของมวลมนุษยชาติที่ทำให้โลกรู้ว่า โลกต้องการพลังงานความรักบริสุทธิ์ของมวลให้แก่โลกเพื่อช่วยเหลือโลกแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งค่ะความรู้เรื่อง เจ้ากรรม-นายเวร

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า คำว่า "เจ้ากรรมนายเวร" แม้จะกล่าวต่อเนื่องเหมือนจะเป็นคำ ๆ เดียวกัน แต่แท้ที่จริงแล้วคำกล่าวดังกล่าวนี้ต้องแยกออกเป็นสองส่วน คือคำว่า "เจ้ากรรม" กับคำว่า "นายเวร" เป็นคนละเรื่องกันแต่เกี่ยวข้องกันเท่านั้น

    ทั้งเจ้ากรรมและนายเวร ต่างก็เป็นผลลัพธ์อันเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า "ผลกรรม" ในมิติทางพลังงานด้านแก่นแท้ได้เช่นกัน

    สำหรับกรณี การใช้อวัยวะสังขารร่างกายแห่งกรรม กระทำผิดหน้าที่และวัตถุประสงค์แห่งการเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่มนุษย์ทั้งหลายยังไม่สำนึกเพื่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองกันอย่างแท้จริงเลย ความผิดบาปต่อกันของมนุษย์โลกในกรณีดังกล่าวนี้ สั่งสมเป็นพลังงานขยะ ซึ่งมีคุณสมบัติเคลื่อนที่เป็นประจุไฟฟ้า "ลบ" รูปธรรม "เจ้ากรรมนายเวร" ผู้ล่องลอยคอยโอกาสแก้แค้นเอาคืนมนุษย์ผู้เป็นหนี้กรรมกับมนุษย์เองในสนามพลังงานชั้นบรรยากาศโลก ไม่ยอมไปผุดไปเกิดภพภูมิใด ๆ ทั้งสิ้นแม้กาลเวลาจะจะยาวนานผ่านมากี่หมื่นปีก็ตาม

    "เจ้ากรรม" คือรูปธรรมจิตวิญญาณ ที่ภายในสภาวะจิตวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ด้านลบ คือ ความโกรธแค้นอาฆาต เป็นคุณสมบัติอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนานมิมีวันเสื่อมคลาย และบรรดาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเหล่านี้จะจองจำตนเองไว้กับหนี้แห่งกรรมของตน เพื่อรอโอกาสแก้แค้นเอาคืน ด้วยการเฝ้าติดตามจิตวิญญาณผู้เป็นหนี้กรรมแห่งตนไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าผู้เป็นหนี้กรรมแห่งตนนั้น จะเกิดมาเป็นมนุษย์หรือมีเครื่องยนต์แห่งกรรมสังขารร่างกายเป็นรูปลักษณ์อื่นก็ตาม

    ในสนามพลังงานในชั้นบรรยากาศโลก ที่มนุษย์เรียกว่าท้องฟ้า จึงเต็มไปด้วยรูปธรรมทางพลังงานอันเป็นดวงจิตวิญญาณของกลุ่มที่เรียกว่า เจ้ากรรมเคลื่อนไหลอยู่ไปมาเพื่อเฝ้าดูเฝ้าหาและติดตาม ผู้เป็นหนี้กรรมแห่งตนที่ได้รับโอกาสให้เกิดมาเป็นมนุษย์หรือสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีอยู่มากมาย

    "นายเวร" คือ "รหัสบุรพกรรมทางไฟฟ้าแม่เหล็ก" หรือ อาจเรียกว่า "บุรพกรรมทางอารมณ์" ที่เป็นผลลัพธ์ของการกระทำ ไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องต่อผู้อื่นก็ตาม ผลกรรมของมนุษย์ที่กระทำมันทุกสิ่งสร้างมันขึ้นมาทุกเรื่องราวนั้นนอกจากจะถูกจะถูกบันทึกไว้ในดวงจิตวิญญาณเป็น"รหัสบุรพกรรมแม่เหล็กทางไฟฟ้า" แล้ว ก็คืออาจเรียกว่า "บุรพกรรมทางอารมณ์" มนุษย์ต้องรู้ว่าการมีนายเวรของมนุษย์แต่ละคน ที่เคลื่อนไหลไปมาบนสนามแม่เหล็กพลังงานในบรรยากาศโลก เพื่อติดตามดวงจิตวิญญาณแก่นแท้แห่งกรรมสังขารร่างกายมนุษย์แต่ละคนไปคล้ายดั่งฝูงผึ้งนั้น นอกจากจะเป็นสัญญลักษณ์หรือเครื่องหมายบ่งชี้ว่า ใครเป็นหนี้กรรมกับใคร ใครมีหนี้กรรมค้างคาอยู่มากน้อยเท่าใดแล้ว มันยังเป็นเสมือนข้อมูลบันทึกความผิดพลาดของจิตมนุษย์ไว้ให้เป็นประสบการณ์ ที่จะต้องนำเอาเงื่อนไขเดิมเหล่านั้น กลับมาเป็นบททดสอบตนเองใหม่ให้ได้ เป็นบทเรียนแห่งการมีสำนึกที่ถูกต้องในเรื่องนั้น ๆ ด้วย

    เวร ความหมาย หน้าที่หรือเวรอันหลีกเลี่ยงไม่ได้นี้ จึงเป็นหน้าที่หลักและสำคัญ จึงเรียกว่า "เวร" สั้น ๆ เหมือนเป็นหน้าที่รับผิดชอบธรรมดาทั่วไปในมิติทางกายภาพของโลกมนุษย์ไม่ได้

    คำเรียกที่ถูกต้องเหมาะสมกว่าจึงควรเป็น "นายเวร" เพราะ....

    คำว่า "นาย" แปลว่า "ผู้เป็นใหญ่ หรือ คนสำคัญ"

    คำว่า "เวร" แปลว่า "งานหรือหน้าที่ความรับผิดชอบที่ตนเองต้องปฏิบัติให้ลุล่วง"

    คำว่า "นายเวร" จึงหมายถึง งานสำคัญ หรือหน้าที่สำคัญยิ่งที่ต้องปฏิบัติให้ลุล่วง

    ถ้าจากกรณ์สถานการณ์ดังกล่าว ถ้าเจ้าแม่นางนอนอโหสิกรรมให้กับ 13 ชีวิต แล้วเปลี่ยนใจช่วยเหลือ คำว่าอโหสิกรรม คือ "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร" การมีเจ้ากรรมนายเวร ที่ต้องคอยติดตามแก้แค้นเอาคืน เพื่อชำระความแต่หนหลังย่อมไม่มี เมื่อเจ้ากรรมไม่มี แล้ว นายเวร ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญที่ต้องปฏิบัติให้ลุล่วงจะหมดไปด้วยหรือไม่? น่าสนใจมากสำหรับความรู้ใหม่นี้มากเลยค่ะ
     
  10. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    นายเวร คือ ผลกรรมด้านลบ

    เป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ ที่เกิดจากการสั่นสะเทือนเพื่อการสร้างพลังงานใหม่ของจิตทางด้านลบ ซึ่งเป็นเงื่อนไขของกิเลสตตัณหา มนุษย์จะแสดงมายาออกมาให้เห็นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสมแบบต่าง ๆ กันไป พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพฤติกรรมทางอารมณ์รู้สึกทั้งสิ้น เช่น ความโกรธ ความโลภ ความลุ่มหลงงมงาย อันเกิดจากการกระทำบางสิ่งไม่ถูกต้องที่เกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดหรือคิดผิดนั่นเอง

    ผลกรรมด้านลบนี้ อันเป็นคลื่นความถี่ทางพลังงานด้านลบที่มีมวลหยาบ ๆ ที่เกิดจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบของผู้มนุษย์ผู้นั้นสร้างมันขึ้นมา

    หากมนุษย์สามารถมองมันเห็นด้วยตาเนื้อของตนแล้ว จะพบว่ามันมีลักษณะคล้ายฟองอากาศสีดำจับตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน


    ส่วนภายในฟองอากาศสีดำซึ่งเป็นผลกรรมด้านลบนี้ หากมนุษย์สามารถมองฝ่าเข้าไปข้างในได้ก็จะพบว่า ข้างในนั้นจะเป็นคลื่นพลังงานด้านบวก อยู่ในรูปลักษณ์ "แสงสว่าง" เร้นอยู่ภายในอีกด้วย

    ฟองอากาศสีดำภายนอกที่แลเห็นนั้น คือมวลหยาบ ๆ ของประจุลบซึ่งเป็นอนุภาคกของคลื่นความถี่ด้านลบจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ อันเกิดจากการสั่นสะเทือนของจิตหยาบมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของมันนั่นเอง

    แสงสว่างที่เร้นอยู่ข้างในคล้ายไข่แดงนั้นก็คือ ความมีสำนึกที่ถูกต้องดีงามในสิ่งที่มนุษย์กระทำผิดนั้นว่า แท้แล้วที่ถูกต้องกว่าที่ตนกำลังกระทำนั้นอยู่คืออะไร ที่กำลังกระทำอยู่มันผิดแน่นอนและรู้ว่าที่ถูกต้องมันคืออะไร? เป็นต้น

    แล้วทำอย่างไรจะให้พลังงานขยะ หรือผลกรรมด้านลบด้านบวกนี้แตกสลายได้อย่างไรกัน?

    การทำผลกรรมด้านบวก ซึ่งเป็นพลังงานขยะของตนเองแตกสลาย มนุษย์ไม่อาจทำได้นอกจากต้องรับผิดชอบด้วยการชดใช้มันเท่านั้น

    ส่วนถ้าเป็นผลกรรมด้านลบ การเผชิญสถานการณ์ด้านลบนั้นก็คือ การที่เราจะกลับเข้าสู่เงื่อนไขสถานกานณ์แบบเดิมอีกครั้ง เพื่อให้เราได้มีโอกาสแก้ตัว ด้วยการคิดและตัดสินใจใหม่ว่าเราจะทำแบบเดิมหรือไม่?

    เมฆหมอกสีดำของพลังงานกรรมด้านลบ คือ คุณสมบัติของสถานการณ์ที่เป็นเงื่อนไขเดิมที่เราต้องฟันฝ่ามันเข้าไปให้ถึงใจกลาง ที่มีคำตอบที่ถูกต้องในการตัดสินใจเร้นอยู่ข้างในอันเป็นรหัสบุรพกรรมของเราในชาติก่อน จะกลายมาเป็นเงื่อนไขใหม่ดังกล่าว

    การเผชิญสถานการณ์แบบเดิม ก็คือการที่เราก้าวเดินไปในเมฆหมอกสีดำนั้น ถ้าเราตัดสินใจครั้งใหม่ได้อย่างถูกต้อง ก็เท่ากับว่าเรากำลังเดินฝ่าฟันมันเข้าไปตรงจุดศูนย์กลางของเมฆหมอกสีดำนั้น เพื่อสัมผัสพลังงานที่เร้นอยู่ ทันทีที่มนุษย์สัมผัสมันได้ตัดสินใจครั้งใหม่ที่ถูกต้อง เมฆหมอกสีดำนั้นจะสลายหายไปทันที กรรมนั้นก็สิ้นสุดถือเป็นหมดกรรม เพราะพลังงานด้านลบถูกทำให้เป็นกลางหมดสิ้นแล้ว

    ถ้ามนุษย์นั้นยังตัดสินใจผิดพลาดอีกครั้ง กรรมนั้นก็คงอยู่ถือว่าเป็นการสอบตกซ้ำชั้น จะต้องกลับมาสู่การเกิดใหม่เพื่อหนทางกำจัดมันให้ได้ในภพชาติต่อไปอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าจะอีกกี่ภพชาติก็ตาม

    เหมือนดั่งคำที่กล่าวไว้เลยค่ะ "ในความมืดมิดยังมีมีแสงสว่างรอเราอยู่" หรือ "แสงสว่างรออยู่ที่ปลายทางอุโมงค์" นะค่ะ

     
  11. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    นี่เป็นเรื่องจริงมิใช่มายาแน่นอน!!

    วันศุกร์ที่ 27 กรกฏาคม 2561 วันอาสาฬหบูชา วันเพ็ญใหญ่ ที่เกิดจันทรุปาคาเต็มดวง นานที่สุดในศตวรรษที่ 21

    มีใครรับสัญญาณความเข้มข้นของพลังงานที่ถูกส่งเข้ามาได้แสดงตัวให้มนุษย์ผู้รับรู้ผ่านอาการมึนงงของระบบประสาทกันบ้างค่ะ?

    มันเป็นการเตือนสติให้มนุษย์สร้างความพร้อมให้ตนเองไว้ล่วงหน้า ด้วยอาการที่เกิดขึ้นนั้น ....

    จักรวาลเคยเผยให้มนุษย์ทราบล่วงหน้าแล้วว่า วันแห่งหายนะซึ่งจะชำระโลกสถานหนัก แต่ก่อนที่จะเข้าถึงวันนั้น ตรงตำแหน่งพิกัดที่โลกกับดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์เล็งทำมุมเส้นตรงกัน ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่นอกระบบเอกภพ พร้อมด้วยจิตจักรวาล จะร่วมมือกันส่งคลื่นพลังงานความถี่สูวพร้อมไอเย็นมายังดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะ เป็นพายุสุริยะมุ่งมายังดวงจันทร์และโลก สัญญาณความเข้มข้นของพลังงานที่ถูกส่งเข้ามาได้แสดงตัวให้มนุษย์รับรู้ผ่านการมึนงงของระบบประสาท ถ้าใครสามารถรับรู้ได้ นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกให้รับรู้ว่าดาวเคราะห์โลก ได้รับพลังงานเข้มข้นจากนอกระบบโลกจริงค่ะ

    มนุษย์ต้องรู้ว่า คลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กความถี่สูงที่ส่งมาเป็นระลอกนั้น ระดับความเข้มข้นของมันสามารถก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนทางไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์ได้โดยตรง สักวันหนึ่งมนุษย์จะรับรู้ได้ด้วยตนเอง ในขณะที่บางรายรับรู้สัมผัสมันด้วยตนเองไปเรียบร้อยแล้ว

    ถ้ามนุษน์คนใดมีคลื่นความคิดที่สับสน ขาดสติ และจิตใจไม่อยู่ในสมาธิ โดยมีพลังงานทางอารมณ์หยาบ ๆ ที่พลุ่งพล่านหล่อเลี้ยงจิตใจตลอดเวลา และมีจิตสำนึกบกพร่อง โดยมันสั่นสะเทือนด้านลบตลอดเวลา หรือในขณะนั้นก็ตาม คลื่นพลังงานด้านบวกเข้มข้นที่ถูกส่งเข้ามากับคลื่นพลังงานด้านลบในจิตใจและสมองมันก่อปฏิริยากันอย่างรุนแรง เพื่อทำลบให้เป็นกลางให้ได้

    เงื่อนไขการชำระโลกของจักรวาลก็เพื่อต้องการสร้างความสมดุลของระบบที่เสียไป ให้คืนสู่ความสมดุลใหม่อีกครั้ง และเพื่อยกระดับความสมดุลของระบบให้สูงกว่ายุคพลังงานเก่าในรอบ 12,600 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้ดาวเคราะห์โลกในระบบสุริยะจักรวาลที่เป็นห้องเรียนสำหรับจิตวิญญาณแต่ละดวง ที่มาปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสม ซึ่งต้องการช่วยเหลือให้มนุษย์แต่ละคนสามารถล่วงพ้นกรรมจากอดีตชาติ ที่สั่งสมกันไว้ด้วยความไม่รู้แจ้งด้วยการเปิดมิติทางปัญญาให้มนุษย์ยุคพลังงานใหม่ เข้าถึงการรู้แจ้งด้วยตนเองมากขึ้น จนสามารถยุติวัฏจักรการเกิดดับนำจิตวิญญาณของตนสู่การหลุดพ้นไปจากจักรวาลโลก คือนิพพาน ได้ในที่สุด

    มนุษย์ต้องรู้ว่า บัดนี้จะละเลยเหลวไหลต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ถ้าอยากอยู่รอดปลอดภัยเพื่อก้าวไปพร้อมกับโลกสู่ยุคพลังงานใหม่ที่กำลังจะมาถึง ในอีกไม่นานนี้

    จงเลิกคิดแบบจิตมนุษย์ ก่อนการกระทำหรือแสดงออกต่อผู้อื่น รู้จักฝึกสติสมาธิแบบธรรมชาติ และมีความเฉลียวฉลาดทางปัญญา เพื่อการคิดและตัดสินใจกระทำใด ๆ อย่างถูกต้อง มีความรักบริสุทธิ์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเสมอ

    จงค้นหาสติปัญญาอันเป็นพลังอำนาจในตนเองให้พบ ด้วยการเลิกลมงายและไม่อยู่ใต้การชี้นำหรือบงการของผู้อื่น จงเร่งขจัดกรรมของตนด้วยการตัดสินใจกระทำต่อผู้อื่นให้ถูกต้อง

    ความดีงามจากการกระทำด้วยจิตสำนึกแท้จริง และพอใจที่ได้กระทำเท่านั้น ที่จะช่วยเหลือตนเองให้รอดพ้นจากเคราะห์ภัยใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น

    จงเลิกขลาดกลัวต่อสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น หันมาพึ่งตนเองเสีนแต่บัดนี้ หาพลังอำนาจในตนเองให้พบ แล้วใช้มันเปลี่ยนแปลงสิ่งไม่พึงประสงค์นั้นเสียแต่บัดนี้ นำจิตสำนึกเข้าสู่การรู้แจ้งของนักรบแสงสว่าง จงรีบเร่งหันมาพัฒนาสติเพื่อเป็นนายอารมณ์ของตนเองสร้างสมาธิเข้าถึง
    สติปัญญาที่แท้จริงของตนเอง ด้วยการทำดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยการปลดปล่อยพลังงานความรักให้แก่กันและกัน และมอบให้แก่โลกอย่างจริงจัง และตั้งใจกันให้จงได้

    หยุดการทำผิด
    เลิกการคิดชั่ว
    ไม่ทำตัวเป็นอุปสรรคต่อมนุษย์คนอื่น ๆ
    หยิบยื่นความรักให้แก่กัน
    มุ่งมั่นกำจัดกรรมเก่า
    เข้าถึงการรู้แจ้งให้จงได้
    เข้าใจกฎเกณฑ์กายภาพสากลจักรวาล
    ปิดกั้นความงมงายด้วยปัญญา
    ค้นหาพลังอำนาจในตนเองให้พบ
    มีจุดจบอยู่ที่การหลุดพ้น
    กระทำตนเป็นแบบอย่างต่อผู้อื่น
    ยิ้มชื่นได้แม้ภัยมา


    คุณสมบัติเหล่านี้ หากใครเข้าถึงมันได้ โอกาสสติแตกย่อมไม่มีอย่างแน่นอน
     
  12. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    มหันตภัย
    กำลังมาเยือน
    มนุษย์กับโลกจะถูกชำระรุนแรงที่สุด
    เพื่อเปลี่ยนจิตสำนึกของโลกกับมนุษย์
    สู่ยุคพลังงานใหม่


    สาเหตุ: จากการคำนวณด้วยสูตรสมการทางพลังงาน การ กระทำต่อระบบโลกต้องใช้พลังงานจำนวนมหาศาล เนื่องจากจิตสำนึกของมนุษย์โลกมีการสั่นสะเทือนด้านบวก เพื่อปลดปล่อยพลังานออกมาให้ระบบโลกอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โลกจึงมีพลังงานใหม่ทดแทนที่เสียสมดุลไปไม่มากพอ การถ่ายเทพลังงานจำนวนมากจากภายนอกเข้าสู่ระบบโลกเท่าที่คำนวณไว้มีความจำเป็นดังกล่าวแล้ว

    เมื่อพลังงานที่ถูกส่งเข้ามาใหม่มีความเข้มข้นสูง กายภาพของโลกย่อมได้รับแรงกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงตามไปด้วย

    ถ้ามนุษย์ต้องการลดทอนพลังอำนาจที่รุนแรงจากมายาของกระบวนการทางเทคนิคในครั้งนี้ให้ได้ จงทำที่จิตสำนึกของตนเอง ด้วยการทำสมาธิแบบใหม่โดยทั่วหน้ากัน เพื่อมอบพลังงานความรักให้แก่โลกเสียเอง

    พลังงานความรักคือ พลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้นบวกที่เกิดจากการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวก ของกระบวนการสมองซีกขวานำซีกซ้ายในสภาวะสมาธิ มนุษย์จะสามารถกดปุ่มใช้งานมันเพื่อป้อนพลังงานที่ว่านี้ให้แก่โลกทันทีที่ต้องการ

    นอกจากนั้น มนุษย์จะต้องเรียนรู้ที่จะมอบพลังงานความรักให้แก่เพื่อนมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในระบบโลก ซึ่งเป็นระบบเดียวกัน ผ่านประสบกานณ์การอดทน การอดกลั้น และการให้อภัยด้วยจิตสำนึกที่ถูกต้องแท้จริงให้จงได้

    การกระทำทางจิตสำนึกดังกล่าว มิได้เป็นการร้องขอของจักรวาลใด ๆ มนุษย์ต้องตัดสินใจกระทำด้วยตัวมันเอง ต่างล้วนมีกลไกในการแสดงพลังอำนาจนี้กันทุกคนแล้ว ถ้ามนุษย์กระทำได้ ภัยพิบัติใด ๆ ที่ร้ายแรงก็จะบรรเทาลงได้เมื่อนั้น

    ดาวเคราะห์โลกจะบอบช้ำมากเพียงใด และมนุษย์จะต้องเผชิญชะตากรรมรุนแรงระดับใด มนุษย์ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างยิ่ง

    กระบวนการทั้งแปดประการดังกล่าวข้างต้น การปฏิบัติสมาธิยั้งกระบวนการทางอารมณ์และการนึกคิดขาดสติละวางจากตัวตนจากการรับรู้ใด ๆ ที่เกิดขึ้น ปล่อยวางมายาต่าง ๆ เหล่านั้น โดยไม่นำมันมาเป็นอุบายเพียงเพื่อทำให้จิตนิ่งอย่างที่มนุษย์มากรายหลงผิด หรือนำมันมาเป็นตัวตนสำหรับจิตใช้ยึดเหนี่ยว ซึ่งในที่สุดของตนมันจะปรุงแต่งมายานั้นให้มนุษย์หลงใหลเลยเถิดไปกับมัน จนทำให้สมองซีกซ้ายเข้ามามีอำนาจเหนือในสภาวะสมาธิแตกโดยไม่รู้ตัว อารมณ์รายวันใด ๆ ที่มนุษย์คุ้นเคยล้วนเกิดจากกระทำสมองซีกซ้ายทั้งสิ้น ส่วนใหญ่มนุษย์เรียกว่า กรรมด้านลบ ที่ไม่เกื้อกูลต่อการสนับสนุนพลังงานแก่โลกเลย



    เมื่อมนุษย์เข้าถึงสมาธิได้ สมองซีกขวามันจะทำหน้าที่โดยอัตโนมัติ อาการทางอารมณ์ที่มนุษย์รู้ได้คือ ความสุข ความเบิกบาน ซึ่งรวมกันแล้วเรียกว่า ความปีติ ก็คือ อารมณ์เดียวกันกับความรักนั่นเอง เพราะสมองซีกขวามันชำนาญอยู่เพียงอารมณ์เดียว ทันทีที่มันสั่นสะเทือนขึ้นมาเมื่อไหร่ มันจะให้พลังงานความรักชนิดนี้ออกมาด้วยเสมอ

    ทันทีที่จิตมนุษย์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทางด้านบวก มันจะไปกระตุ้นให้เซลล์สมองซีกขวาทุกเซลล์ที่มีอยู่ เกิดการสั่นสะเทือนพร้อมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมที่จะให้จิตสร้างคลื่นการคิดรู้ใด ๆ ได้ทันทีนั้น

    มันพร้อมจะช่วยคิดให้ โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้

    มันพร้อมจะหาคำตอบให้ โดยไม่ต้องปลืองเวลาวิเคราะห์ พิสูจน์ทดลอง

    มันพร้อมจะคิดได้ทุกเรื่อง ที่สมองซีกซ้ายคิดไม่ออก บอกไม่ได้

    มันพร้อมจะคิดได้ แม้เป็นสิ่งใหม่เรื่องใหม่ในโลก

    บางครั้งมันก็สามารถให้คำตอบที่คาใจอยู่ ได้ทันทีทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นมันยังไม่ทันคิดเลย


    อำนาจทางปัญญานี้เรียกว่า "สมองอัจฉริยะ" ซึ่งทุกคนล้วนมีอยู่กันทั้งสิ้น แต่พลังอำนาจของใครมากน้อยกว่าใคร ขึ้นอยู่กับจำนวนเซลล์สมองซีกขวาที่ตนสั่งสมพัฒนามันขึ้นมาได้เท่าใด และแรงสั่นสะเทือนของจิตจากความเป็นหนึ่งเดียวกันในขณะปฏิบัติสมาธิอยู่นั้น อยู่ในระดับใด

    ความมหัศจรรย์ของสมองซีกขวานำซ้าย จักรวาลเรียกมันว่า "ปัญญาญาณ" ไม่ใช่ "สติปัญญา"

    ปัญญาญาณ เป็นอำนาจสติปัญญาของสมองซีกขวา เป็นคลื่นการคิดรู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกับคลื่นจิต ที่มันสามารถทะลุทะลวงฝ่ามิติที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าได้อย่างไร้ขีดจำกัด ผู้ที่เข้าถึงมันได้สามารถใช้ปัญญาญาณเพื่อการคิดรู้ด้วยวิธีใหม่นี้ ซึ่งจักรวาลเรียกว่า การหยั่งรู้

    การมองเห็นในสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็น
    การได้ยินในสิ่งที่หูไม่ได้ยิน
    การล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
    การเข้าถึงความลับเบื้องหลังมิติโลกของคนเองหรือผู้อื่น
    การหยั่งรู้จิตใจของผู้อื่น
    การสื่อภาษาจิตเป็นภาษาสากลจักรวาล กับรูปธรรมอื่น ๆ ในสากลจักรวาล
    การสร้างความรู้ใหม่ในสิ่งที่ตนเองยังไม่รู้


    ทั้ง 8 ประการเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ที่มีให้แก่โลก แต่..สำหรับข้อ 3 นั้น


    การบรรลุถึงความจริงด้วยการสำเหนียกรู้ถึงการกระทำไม่ถูกต้องของตนเองต่อสรรพสิ่งใด ๆ จนแม้แต่ตัวเองพร้อมต่อการขออภัยและยอมรับมันด้วยจิตสำนึก ในทันทีที่สำเหนียกรู้ให้ได้ โดยไม่ดื้อรั้น ถือทิฐิ และโดยไม่ต้องมีใครชี้นำ แต่เป็นการเกิดสติด้วยตนเอง ด้วยอำนาจการหยั่งรู้ระดับต้น แล้วพร้อมที่จะแก้ไขปรับเปลียนทัศนคติและความรู้สึกนึกคิดของตนทันทีนั้น



    ให้อารมณ์นี้แหละมันเป็นครูสอนเรา ......

    สิ่งที่มันติดอยู่กับเรามานาน คิดว่าจะกำจัดมันได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ!!

    มนุษย์แต่ละคนผู้มีหน้าที่ต้องกำจัดผลกรรมใด ๆ ย่อมไม่มีวันหนีการเผชิญผลกรรมของตนเองไปได้ฉันนั้น....

    ความเข้าใจแจ่มแจ้ง กรณีศาสตร์การใช้ปัญญาญาณ เพื่อการหยั่งรู้ของจิตนี้ หากมนุษย์ได้รู้แล้วทำความเข้าใจ จนถึงขั้นปฏิบัติไปตามนั้นได้จริง การรู้แจ้งในเรื่องนี้เป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งเช่นเดียวกัน

    กิเลสตัณหาในจิตยังไม่ได้ชำระ
    ปัญญาญาณยังไม่เกิด ผลกรรมเก่าที่ค้างคา
    ยังไม่ได้กำจัดให้หมดสิ้นไป ขณะที่กรรมใหม่ก็ยังคงทำอยู่
    ถึงจะรู้จักความว่าง มันก็ไม่ใช่แสงสว่างที่เป็นปลายทางแห่งนิพพานแต่อย่างใด
     
  13. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ที่น่าห่วงใยคือผู้ที่เข้าใจว่า หนทางการปฏิบัติเทคนิคสมาธิที่จักรวาลยอมรับว่าดี แต่พวกเขาเข้าใจว่านี้คือสุดยอดของการเป็นนักรบแสงสว่างแล้ว ความสุดยอดที่พวกเขาคิดก็คือ สามารถใช้เทคนิคสมาธิของตนตามหาแสงสว่าง แต่ในความหมายของตนก็คือ ความว่าง ถ้าเขาหามันพบได้เมื่อใดเขาเชื่อว่าได้บรรลุมรรคผลสูงสุดแล้ว บางรายตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิไปเลยก็มี ทั้ง ๆ ที่ คำว่า แสงสว่าง กับความว่าง มันเป็นคนละเรื่องกัน

    การเป็นนักรบแสงสว่าง ก็คือ ความสามารถกำจัดพลังงานกรรมทั้งหมดได้และเข้าถึงแสงสว่างทางปัญญา ที่เรียกว่า ปัญญาญาณเพื่อการรู้แจ้งได้ ขณะที่ความว่างในจิตเป็นเพียงแค่อาการสงบของจิตชั่วขณะหนึ่ง จากการข่มมันไว้ให้ไร้สำนึก ทำให้มันหยุดบทบาทของมันไว้ชั่วคราวเท่านั้นเอง
     
  14. ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    ตกลงให้เลือกอันไหนดีครับระหว่างนักรบแสงสว่างกับความว่างครับ เอ้แต่ใจผมบอกว่าชอบนักรบแสงสว่างครับเพราะว่ามันกำจัดความมืดได้ครับ
     
  15. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ใช่เลยค่ะ ท่านพญาอินทรี

    แสงสว่างคือ สิ่งที่จะสามารถขจัดหรือปัดเป่าความมืด หรือ ความไม่สว่างให้หายไป นั่นเอง

    แสงสว่างในที่นี้หมายถึง..แสงสว่างทางปัญญา

    มนุษย์จะไปนิพพานได้ จะนำจิตวิญญาณของตนเองไปสู่สภาวะนิพพาน ที่แปลว่า ดับแล้วไม่เกิดอีกเลยอย่างสิ้นเชิง

    แสงสว่าง หรือ ความเฉลียวฉลาดทางปัญญาของเรานั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องแสวงหา จะต้องทำตนเป็นนักรบในการแสวงหาหรือยกระดับสติปัญญาก่อนจะเข้าไปถึงเนื้อในค่ะ

    จิตใจต้องเป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการในการสั่นสะเทือนเท่านั้น

    เพราะจิตใจเป็นประตูแรก จิตญาณอยู่ข้างใน

    เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้วขอลงรายละเอียดต่อเลยนะคะ

    พอพูดถึงจิตวิญญาณหลาย ๆ คนบอกว่าลึกลับ ๆ มันเป็นเรื่องที่ลึกลับมาก จักรวาลเปิดเผยมาตลอดไม่ใช่เรื่องลึกลับ จิตวิญญาณคือรูปธรรมทางพลังงานที่สมดุล

    พลังงานในจักรวาลนี้แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ เท่านั้น

    กลุ่มหนึ่ง เรียกว่า รูปธรรมทางพลังงานที่สมดุล เช่นจิตวิญญาณ หรือองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่

    กลุ่มสอง ก็คือ รูปธรรมทางพลังงานผสมผสาน เช่น คลื่นแสง คลื่นเสียง คลื่นความถี่แม่เหล็กโลก คลื่นวิทยุ เหล่านี้เขาเรียกว่า คลื่นพลังงานผสมผสาน หมายความว่า พลังงานผสมผสานเปลือกไม่มี แต่ถ้าจิตญาณเป็นพลังงานที่สมดุลประกอบด้วยคลื่นความถี่เยอะแยะมากมายที่อยู่ภายในใจกลางที่เป็นนิวเคลียสแล้วมีเปลือกห่อหุ้มไว้ค่ะ

    คลื่นพลังงานที่ผสมผสานไปไหนก็ไปเส้นตรง แต่พลังงานสมดุลไม่ต้องไปแบบเส้นตรงก็ได้ เป็นรูปธรรมที่มีคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนภายในรูปธรรมไม่สามารถเล็ดลอดหนีไปไหน แต่สามารถแผ่พลังอำนาจออกมาภายนอกได้ เหมือนดวงอาทิตย์ทรงกลดค่ะ

    อย่าลืมมองท้องฟ้าไว้บ้างนะคะ ทำไมพระอาทิตย์ทรงกลดตอนกลางวันบ่อยจัง มีที่มาที่ไปค่ะ

    ข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจ

    เมื่อจิตใจเป็นประตูด่านแรก....

    การสร้างพลังใจทำได้อย่างไร?

    อย่างที่หนึ่ง มีความเชื่อมั่น มีความเชื่อมั่นในตนเองว่าเราทำได้ เพื่อเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้จิตญาณของเราเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมาเพื่อพร้อมที่จะทำหน้าที่ให้ในทางมิติพลังงาน

    ลองถามตัวเองสิ เจอสิ่งใดยาก ๆ สักสิ่งหนึ่งแล้วบอกตนเองว่า...ทำไม่ได้แหง ๆ คุณรู้สึกอย่างไร กับตอนที่พอคุณเห็นอะไรสักสิ่งหนึ่ง แล้วมีความรู้สึกเชื่อมั่นว่าทำได้แน่ ๆ อาการสั่นสะเทือนทางจิต ทางกายของคุณมันสั่นสะเทือนเหมือนกันหรือไม่ ลองบททดสอบตนเองดู หาความแตกต่างนี้ให้พบ ไม่มีใครสอนเราได้เท่ากับเราสอนตนเอง

    อย่างที่สอง การสร้างพลังงานใจได้ต้องอาศัยความมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นในการฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ

    กล่าวสั้น ๆ ว่า "ต้องมีไฟ" ไฟ ก็คือ ความมุ่งมั่น ความมีมานะ ความพากเพียร ความพยายาม ความบากบั่น ความอดทนสารพัด

    อย่างที่สาม การสร้างพลังใจด้วยความศรัทธา

    ศรัทธาต่ออะไร ศรัทธาทุกสิ่งที่เรามุ่งมั่นหมั่นที่จะทำและเชื่อว่าเราทำได้แน่ หากมีความเชื่อมั่น แต่ขาดความเชื่อมั่นและไร้ศรัทธา คุณไม่มีวันทำสิ่งยาก ๆ ได้ประสบความสำเร็จแน่ เพราะพลังใจคุณจะไม่มีมา พลังใจเกิดขึ้นได้เต็มที่เมื่อไร พลังจิตวิญญาณถึงจะสะท้านตามได้ จิตใจต้องสั่นสะเทือนทั้งสามอย่าง มันจะไปกระตุ้นให้จิตวิญญาณของท่านสั่นสะเทือนเกิดขึ้นตามไปด้วย

    อย่างที่สี่ เราก็ต้องมาหาการสร้างพลังจิตวิญญาณ

    การสร้างพลังงานทางจิตวิญญาณ

    ๑.ควบคุมอารมณ์ตนเองให้ได้

    อารมณ์หยาบ ๆ ที่งหลาย คือ อุปสรรคของการยกพลังอำนาจทางจิตวิญญาณของมนุษย์ เพราะจิตวิญญาณมีอารมณ์เดียว มีคุณสมบัติเดียวที่จะสามารถทำให้จิตวิญญาณสั่นสะเทือนได้ ความรักหรือการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกเท่านั้น

    เข้าใจแล้วล่ะค่ะ ว่าทำไมในพระสูตรพระพุทธองค์ทรงเน้นการเจิรญพรหมวิหารสี่ เป็นหนทางนำพาจิตไปสู่การหลุดพ้น

    ถ้าสั่นสะเทือนแต่จิตหยาบถามว่าอำนาจทางจิตวิญญาณมีหรือไม่ "ไม่มี"

    ๒.กำจัดขยะในจิตใจเสียให้สิ้น

    อยากให้จิตมีอำนาจมิใช่นั่งแต่หลับตาบ้าสมาธิ แล้วฝีกทุกวันขยันหาฤทธิ์ของตัวกู ยิ่งหายิ่งหมดพลัง เมอร์ขะบาห์เหมือนกับไฟในแบตให้สำรองเอาไว้ใช้ต้องชารต์ด้วยการทำบวกเยอะ ๆ

    เดี๋ยววันหลังจะนำรายละเอียดเกี่ยวกัยการอาศัยฤทธิ์เอาประโยชน์จากมนุษย์ที่โง่งมงายไปวัน ๆ ว่า มนุษย์ที่อวดอุตริศึกษาศาสตร์ลี้ลับอุตริไสยศาสตร์เวทย์มนต์คาถา เพราะอยากมีอำนาจเป็นผู้วิเศษเหนือคนอื่น จะได้รับผล อย่างไรค่ะ

    การกำจัดขยะในจิตใจเสียให้สิ้น ก็คือ ขยะทางอารมณ์ กลุ่มโลภ โกรธ หลง หลงก็คือความสับสน ความงมงาย รวมอยู่ในนี้ทั้งสิ้น

    ๓.มีความรักให้ผู้อื่น เป็นอาจิณ คือให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

    ๔.เรื่องนี้สำคัญมาก การสร้างพลังสติปัญญาของมนุษย์

    ถ้ามนุษย์จะยกระดับสติปัญญาของตนเองให้เข้าถึงพลังทางปัญญาสูงสุดได้

    - ต้องเริ่มจากเป็นผู้รู้จักคิดเสียก่อน

    - เมื่อรู้จักคิดแล้วก็จะต้องทำตนให้เป็นผู้ฉลาดคิดด้วย และรู้จักเลือกที่จะคิด ไม่ใช่คิดไม่เลือก ถามว่าคิดแล้วมีประโยชน์ไหม ถ้าคิดแล้วไม่มีประโยชน์เอามาคิดทำไม เขวี้ยงทิ้งให้หมด

    - คิดให้เป็น หมายถึงการคิดรู้จักใช้เหตุผล ที่ต้องยกระดับของการใช้เหตุผลก็คือ ใช้อารมณ์สงบ อารมณ์สงบ ที่ทางเพราะสอนว่า

    จงมีสติด้วยการทำสมาธิเพื่อให้มีสติจะได้เกิดปัญญา เพื่อจะได้เข้าถึง ปัญญาญาณ ได้

    ปัญญาญาณเบื้องต้น คือผู้ที่ฝึกสมาธิจิต ผู้ที่ฝึกมหาสติ เรียนรู้ธรรมะมาพอสมควร สามารถขจัดกิเลสหรืออะไรต่าง ๆ ที่เป็นอารมณ์ด้านลบออกไปได้ สามารถสร้างอารมณ์ด้านบวกได้ดีกว่าด้านลบ

    คือการหยั่งรู้เบื้องต้นได้ หยั่งรู้โดยไม่ต้องเรียนรู้ แต่สามารถจะรู้ได้ หยั่งรู้ด้วยการกำหนดรู้เอา

    ระดับปัญญาญาณขั้นสูง นั้น สามารถล่วงรู้ได้ทุกสรรพสิ่งโดยเพียงแค่ต้องการจะรู้สิ่งใดก็รู้สิ่งนั้นได้ และสามารถรู้ได้ทั้งมิติกายภาพ และมิติพลังงานแก่นแท้ นี่คือการใช้ปัญญาญาณขั้นสูง ใช้อารมณ์ที่สั่นสะเทือนของคลื่นจิตที่สูงที่สุด ก็คือ อารมณ์ปิติ ก็คือ อารมณ์อิ่มเอิบเบิกบานที่หล่อเลี้ยงเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจตนเองไว้ตลอดวันและตลอดเวลา ถ้าใครสามารถบำเพ็ญจิตและปฏิบัติจิตถึงขั้นนี้ได้ ก็จะเป็นผู้ใช้ปัญญาญาณขั้นสูงได้ สามารถติดต่อสื่อสารกับจักรวาลได้ เรียกว่าเป็นการล่วงรู้หรือหยั่งรู้ระดับสูง

    แท้แล้ว การนิพพาน เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องรับผิดชอบตนเอง ที่จะต้องปฏิบัติจิตตนเองเพื่อการยกระดับคืนสู่ความเป็นสุญญตาดังเดิมให้จงได้ หลังจากที่ผ่านการเรียนรู้เวียนว่ายตายเกิดกันมาหลายภพชาติแล้ว ถ้าสภาวะจิตแห่งเจ้าคืนสู่ความเป็นสุญญตาได้หมดสิ้น คือว่างไปจากกิเลสตัณหาและความงมงายทั้งปวง และว่างไปจากรหัสผลกรรมใด ๆ จนมีแต่ความรักบริสุทธิ์แท้แล้ว

    เมื่อทิ้งกายสังขายแล้ว ย่อมไม่มีหนี้กรรมหรือหนี้สินที่ต้องชำระให้ใคร ไม่มีบทเรียนกับบททดสอบใดที่จะต้องเรียนซ้ำหรือแก้ไขเหลืออยู่อีก และจิตวิญญาณเองก็ย่อมไม่มีอนุภาคคลื่นลบที่เป็นรหัสกรรมอันเป็นขยะให้แบกขนติดตัวไว้ จึงทำให้หลุดพ้นไปจากโลก สู่สภาวะนิพพานดังเดิม

    ในการชำระโลกครั้งที่สี่นี้

    ขยะเทคโนโลยี๑
    พื้นแผ่นดินส่วนที่เป็นขยะ๑

    และ...

    ผู้ไม่มีปณิธานแห่งนิพพานทั้งหลาย๑ หลังจากถูกชำระให้จบสิ้นชีวิตลงแล้ว จิตวิญญาณจะต้องถูกลงโทษล่องลอยไปมาทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสนานถึงหลายหมื่นปี จนกว่าจะถึงยุคพลังงานรอบใหม่ พวกเขาจึงจะได้รับโอกาสให้เกิดมาเป็นมนุษย์โลกเพื่อแก้ไขตนเองอีกครั้ง

    นี้น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งในการยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ตกต่ำย่ำแย่นับวันจิตใจลงไปใกล้เดรัจฉานทุกที ผ่านบทเรียนการชำระโลกด้วยภัยพิบัติค่ะ
     
  16. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้เกิดภัยพิบัติได้เลย!



    มีผลงานวิจัยล่าสุด เปิดเผยว่า การเคลื่อนย้ายตำแหน่ง หรือสับเปลี่ยนขั้วเหนือขั้วใต้ของสนามแม่เหล็กโลก อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้ โดยผลงานวิจัยดังกล่าวมีการเผยแพร่ผ่านสื่อ National Academy of Sciences ของสหรัฐอเมริกา มีการกล่าวว่า ทีมวิจัยได้พบหลักฐานของการที่ขั้วสนามแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนย้ายตำแหน่งอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ผ่านมา และถ้าขั้วสนามแม่เหล็กโลกเกิดการเคลื่อนย้ายตำแหน่งอย่างรวดเร็วอีกแม้เพียงครั้งเดียว ก็อาจเกิดหายนะขึ้นกับโลกได้เลย อ่านต่อได้ที่ link ด้านล่างค่ะ

    https://news.thaiware.com/14362.html

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้สื่อข้อความมาให้มนุษย์ได้ล่วงรู้ล่วงหน้าบางส่วน ถึงกรณีการชำระโลก

    หากศึกษาประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาตินี่ไม่ใช่ครั้งแรก ไดโนเสาร์หายจากโลกไปได้อย่างไร? ยุคแอตแลนติค และยุคโรมันมีการค้นพบซากปรักหักพังใต้บาดาล หรือไม่!!

    ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๔ เหตุผลเพราะ.....

    มนุษย์ใช้ความโลภ ความโกรธ ความใคร่ และความงมงายลุ่มหลงอันเป็นกิเลสตัณหาทั้งหลายเพื่อการสร้างใหม่และเพื่อการทำร้ายผู้อื่นทั้งในทางมิติพลังงาน และทางมิติกายภาพ จนทำให้สังคมมนุษย์เองและดาวเคราะห์โลกดวงนี้เต็มไปด้วยขยะทางกายภาพ และขยะพลังงาน (พลังงานด้านลบของมนุษย์ที่ต่างคนต่างช่วยกันปลดปล่อยออกมาอยู่ในสนามพลังงานโลก ) กองก่ายทับถมกันอยู่จนบั้นปลายดาวเคราะห์โลกต้องกลายเป็นดวงดาวที่เสื่อมโทรมสูญสิ้นความศิวิไลย์ไร้ซึ่งการเป็นสวรรค์บนดินไปในที่สุด

    ๑.โลกเสียสมดุลทางพลังงาน เพราะโลกได้รับพลังงานใหม่จากจิตใจของมนุษย์ไม่เพียงพอ

    ๒.โลกเสียสมดุลในทางมิติกายภาพ เพราะบนพื้นผิวดาวเคราะห์โลกเต็มไปด้วยมวลของขยะที่รกโลก และน้ำหนักของสรรพสิ่งที่อยู่บนพื้นผิวโลกมีน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักมวลในเนื้อโลกเอง

    ๓.มนุษย์โลกเหลวในหน้าที่ตามพันธสัญญา (มรรคแปด)

    ๔.มนุษย์ลืมนำว่า "นิพพาน" ดินแดนสุญญตาอันเป็นจุดเริ่มต้นเสียสิ้น

    ๕.มนุษย์สอบตกบทเรียนการเป็นหนึ่งเดียวกัน

    ๖.มนุษย์ป่วยทางจิตวิญญาณที่ธรรมะไม่อาจเยียวยาได้อีกต่อไปแล้ว นอกจากการชำระด้วยกลไกทางเทคนิคผ่านการชำระโลกครั้งที่ ๔ เท่านั้น


    การชำระ : จะชำระด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ไม่เป็นธรมชาติ โดยกำหนดให้โลกพลิกคว่ำตีลังกา

    ผู้กระทำ : เจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์เองในยุคปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสนามพลังงานโลก มากกว่า 20 เท่าของประชากรโลก เจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ในประเทศใด ก็จะทำหน้าที่เพื่อชำระความกับมนุษย์ในประเทศนั้น หมายถึงการแก้แค้นเอาคืนอย่างสาสมกับมนุษย์ที่เคยก่อกรรมด้านลบกับพวกเขามาก่อน ที่เป็นทั้งการได้รับทุกข์ทรมานจากการจองจำด้วยความอาฆาตโกรธแค้นต่อมนุษย์ปัจจุบันที่เคยกระทำผิดคิดร้ายต่อพวกเขาไม่ยอมไปผุดไปเกิดในภพภูมิใด ๆ ได้แต่รอคอยโอกาสเพื่อติดตามแก้แค้นทวงคืนอยู่อย่างเดียว หรือ สัตว์ประจำโลกที่เคยถูกมนุษย์ทำร้ายให้ทุกข์ทรมานอย่างทารุณ ด้วยการเข่นฆ่าเอาชีวิตและกินเลือดกินเนื้อพวกเขาอย่างเมามัน เช่น หมู เป็ด ไก่ ห่าน วัว ควาย และอื่น ๆ เป็นต้น

    ให้มีการ ชำระความ กันก่อน วันชำระใหญ่ได้เรื่อย ๆ นับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา

    วิธีการชำระ : อยู่เบื้องหลังภัยธรรมชาติที่รุนแรงเพื่อจัดการกับมนุษย์ผู้เป็นบุคคลเป้าหมายของตน เช่นโอบอุ้มน้ำฝนไปถล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้เกิดอุทกภัยรุนแรงต่อมนุษย์เป้าหมาย การเกิดภัยธรรมชาติที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติทุกกรณีที่ผ่านมา

    การสั่นสะเทือนของสรรพสิ่งใด ๆ จะเกิดพลังงานหรือพลังอำนาจ และการหมุนรอบตนเองก็คือ การรักษาความสมดุลของสรรพสิ่งนั้นไว้ เป็นกฎเกณฑ์และกระบวนการของจักรวาลทั้งระบบ โดยไม่ต้องมีใครหรืออำนาจใดควบคุมมัน

    การทำลายกายภาพของโลกเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ ก่อให้เกิดการเสียสมดุลของระบบขึ้น ด้วยศาสตร์ของจักรวาลแล้ว ทุกสรรพสิ่งสามารถจะพัฒนายกระดับตนเองจากสภาวะเสียสมดุล สู่สิ่งที่เหนือกว่าเพื่อสร้างความสมดุลของระบบนั้นเสมอ

    ด้วยศาสตร์ของจักรวาล คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสรรพสิ่ง ซึ่งต้องสมดุลกันเสมอความหมายที่แท้จริงของจักรวาลก็คือ กระบวนการสร้างใหม่ เพื่อการจัดองค์การให้สมดุลไว้เสมอนั่นเอง

    และ ชำระโลกโดยรูปธรรมทางพลังงานผู้อาสาซึ่งเป็นผู้มีพลังอำนาจและเปี่ยมล้นด้วยคลื่นความถี่ด้านบวกปี่ยมด้วยพลังงานความรัก ทั้งดำรงอยู่บนสนามพลังงานจักรวาลในเอกภพและดำรงอยู่นอกระบบเอกภพ ต่างก็มองผ่านอณูปรมาณูที่เป็นช่องว่างของรูปธรรมตนมายังดาวเคราะห์โลกใบนี้ได้อย่างชัดเจนเสมอ เหตุการณ์ใด ๆ หรือสถานการณ์ใด ที่จะเกิดขึ้นตรงบริเวณไหนหลืบไหนภายในมหจักรวาล หรือเอกภพที่จิตจักรวาลทุกรูปธรรมไม่มีเรื่องราวใด ๆ ที่จะไม่ล่วงรู้ ต่อให้มันลึกเร้นอยู่ภายในสรรพสิ่งนั้น หรือเร้นอยู่ตรงซอกมุมใด จิตจักรวาลต่าง ๆ ล้วนรับรู้ได้ทั้งสิ้นและรู้ล่วงหน้าด้วยว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง จนแม้กระทั่งสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นบนเคราะห์โลกใบนี้ แม้กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตที่มนุษย์ยังไม่ล่วงรู้ หรือที่มันเกิดขึ้นผ่านมาแล้วในอดีตวัฏจักรชีวิตอันเป็นภพชาติอดีตของมนุษย์เองก็ตาม แม้มันจะคิดเป็นระยะทางหลายล้านปีแสง จึงไม่มีสายธารพลังงานแห่งความรักจากจิตจักรวาลรูปธรรมใด ๆ ที่จะไม่อาจทอดโยงมาสู่รูปธรรมมนุษย์ทุกคนได้ หากตราบใดยังมีสนามแม่เหล็กเชื่อมโยงกับสนามพลังงานจักรวาลสากลไว้ได้อย่างลงตัวเสมอ

    จากสถานการณ์โลกตอนนี้ มนุษย์โลกยุคพลังงานเก่าในปัจจุบันที่กำลังจะต้องเผชิญกับการชำระโลกที่เสื่อมโทรมในครั้งที่สี่นี้เพื่อให้มนุษย์ได้ตระหนักรู้และพิสูจน์ได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้กำลังเกิดอะไร หากทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความจริงตามที่เผยแพร่ให้รู้ล่วงหน้านี้ ย่อมจะเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน และหากมนุษย์รู้แจ้งได้ว่า....

    จิตจักรวาล ล้วนเป็นผู้สร้างกฎเกณฑ์ทางกายภาพของจักรวาล อันเป็นสากล

    จิตจักรวาล ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่งที่ดำรงรูปธรรมอยู่ ในสนามพลังงานจักรวาล

    จิตจักรวาล คือรูปธรรมทางพลังงานเหนือมิติแห่งกาลเวลา เป็นผู้รอบรู้จากการคิดได้เองในทุกสรรพสิ่ง

    จะไม่มีจิตจักรวาลรอบรู้ในเรื่องนั้น ๆ ทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคตของมนุษย์ได้อย่างไร? ในเมื่อรูปธรรมของจิตจักรวาลทั้งหลาย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งยังเป็นผู้กระทำและผู้ช่วยเหลือให้เกิดกระบวนการนั้น ๆ ด้วยตนเองอีกต่างหากด้วย
     
  17. ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    นึกว่าหายไปไหนกลับมาแล้วรองานเสร็จก่อนนะครับคุณจิตยิ้มตอนนี้ยังระบุเวลาแน่นอนไม่ได้ครับ
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** สัจจะ ****

    เรื่องสัจจะ นั้น...ลืมไม่ได้
    ถ้าลืม....ก็จะวิบัติ

    โลก จะมีสักกี่คน
    ถือสัจจะ รักษาสัจจะ...ทุกวัน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ค่ะ อาจว่างเว้นไปบ้าง ดีใจค่ะที่ยังระลึกถึงกันอยู่ แต่วนเวียนไปห้องอื่นเว็บนี้บ้างประปรายค่ะ และกำลังเข้มข้นกับตัวเองในการแก้ไขคลี่คลายลดละนิสัยกรรมอยู่ ซึ่งตอนนี้กำลังศึกษาและถามตนเองอยู่ว่า ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า "ปัญญาญาณของเจ้า หายไปไหน" เป็นเรื่องที่น่าคิดสำหรับตนเองค่ะ

    การรองานให้เสร็จเกี่ยวกับการคัดแยกคนหรือเปล่าค่ะ?

    การเป็นมนุษย์ที่ไม่สมดุลและสับสนในตนเองอยู่นั่นเอง คำตอบที่ถูกต้องของคำถาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ถามตนเองว่า "ปัญญาญาณของ เจ้าหายไปไหน? น่าสนใจมากเลยค่ะ

    จึงนำฝากแก่ผู้ที่สนใจค่ะ

    เพราะมนุษย์ทั้งหลายต่างปิดมิติทางปัญญาญาณของตนไว้ จนไม่อาจเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณได้นี่เอง จึงทำให้ต่างล้วนแสดงออกซึ่งความโง่และงมงายคล้ายคนมืดบอดทางปัญญากลายเป็นมนุษย์ที่ไร้พลังอำนาจในตนเอง ไม่มีแม้แต่พลังอำนาจทางวิญญาณที่จะช่วยฉุดช่วยตนเองสู่การหลุดพ้นไปจากกฎแห่งกรรม สู่การก้าวพ้นไปจากระบบโลก เพื่อคืนกลับสู่แดนสุญญตาที่ตนมานานในสภาวะนิพพานได้

    มีสิ่งหนึ่ง... ได้แลเห็นความล้มเหลวในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันกับเพื่อนร่วมโลกของ เพราะการที่ต่างพากันหลงใหลในมิติโลกและสับสนในตนเอง 4 ประการ ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า.....

    ๑.ตัวตนแท้ที่จริงแล้วเจ้าเป็นสิ่งใด?
    ๒.เจ้ามาจากไหน?
    ๓.เจ้าเกิดมาเป็นมนุษย์บนโลกนี้ทำไม?
    ๔.และใครให้เจ้ามาเกิด?


    เมื่อปัญญาญาณถูกปิดสนิท มนุษย์จึงลืมอดีตละทิ้งความจริงอันสูงส่งของตนเองเอาไว้เบื้องหลังมิติโลกเสียจนหมดสิ้น พลังอำนาจทางจิตวิญญาณที่มาตั้งแต่ต้นเหมือนสูญสิ้นเพราะมนุษย์ทำเสื่อมลงนั่นเอง

    การเป็นมนุษย์ที่ไม่สมดุล คือ การดำเนินชีวิตที่ผิดไปจากทำนองคลองธรรมหรือการกระทำตนผิดธรรมชาติ การเป็นผู้ที่มีสภาวะจิตสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกที่ไม่คงที่ อดทนอดกลั้นต่อสิ่งเร้าใด ๆ ไม่ได้ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเร้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหมายถึงการเป็นผู้ขาดความหนักแน่น หรือการมีจิตใจไม่มั่นคงเพราะ ขาดสติ นั่นเอง

    มนุษย์ที่ไม่สมดุลจึงหมายถึง ผู้ที่ไม่มีพลังอำนาจในตนเองอย่างแท้จริง แม้นจะมีอำนาจเหนือนำผู้อื่นได้โดยตำแหน่ง ฐานะ ปัญญา ความรู้ ความสามารถ โอกาส โชควาสนา หรือว่าปัจจัยอื่น ๆ ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่จะนำไปสู่พลังอำนาจภายนอกของมนุษย์ มิใช่ปัจจัยภายในที่จะนำไปสู่อำนาจภายในตนเองแต่อย่างใด พลังอำนาจของมนุษย์อันเกิดจากปัจจัยภายในเท่านั้น คือ พลังอำนาจอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

    พลังอำนาจภายในตนเองของมนุษย์แต่ละคน ควรมีไว้เพื่อสร้างตนเองและผู้อื่น มีไว้เพื่อการเป็นผู้นำในตนเอง มิใช่มีไว้เพื่อข่มแหงรังแกผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นหรือเบียดเบียนผู้อื่น

    มนุษย์ที่ไม่สมดุลมักแสวงหาอำนาจภายนอกเพื่อสร้างตนเอง แต่ปิดกั้นหรือทำร้ายผู้อื่น หรือแสวงหาอำนาจภายนอกเพื่อใช้ในการข่มเหงรังแกเบียดเบียนผู้อื่นเสมอ

    เพราะความล้มเหลวในหน้าที่ หลงเข้าใจผิดคิดว่า สรรพสิ่งที่เป็นวัตถุหยาบหรือปรากฎการณ์ใด ๆ ทั้งหลายที่สัมผัสรู้ดูเห็นเป็นตัวตนแก่นแท้ แท้ที่จริงแล้วล้วนเป็นเงามายา หรือเงาของแก่นแท้ที่เป็นตัวตนแท้จริงต่างหาก

    เพราะความสับสนในมิติของตนเอง แต่ละคนจึงแสดงความเหลวไหลให้เห็นกันอยู่เป็นประจำในลักษณะที่สอดคล้องกันกับคำกล่าวที่ว่า

    วานนี้รัก วันนี้ชัง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเดียว สิ่งเดียว หรือเรื่องเดียวกันอยู่นั่นเอง

    วานนี้ดี วันนี้ร้าย ทั้ง ๆ ที่ต่างก็ยังเป็นคนหน้าเดิมอยู่นั่นเอง


    ความแตกต่างระหว่างภูมิปัญญา หรือ สติปัญญา กับปัญญาญาณ อยู่ตรงที่ว่า หากเมื่อใดมนุษย์ยังยึดติดคิดถึงกันแต่เรื่องของสรรพสิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ตัวตนหรือมายา แล้วมองหาตัวตนหรือมายาเหล่านั้นอย่างไม่ละวางแล้ว หากยังคงคิดแบบจิตมนุษย์อยู่เช่นนั้นอีก ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน สมองไวเพียงใด ก็ยังคงใช้ปัญญาของสมองซีกซ้ายนำซีกขวาดังเดิมเหมือนเป็นเด็กน้อยอยู่ในวัยเยาว์นั่นเอง จะไม่มีวันเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดของจิตเพื่อที่จะเปิดมิติการใช้ปัญญาญาณที่ถูกปิดอยู่ได้เลย

    การที่จิตวิญญาณจำนวนมากมายที่มาสู่รูปธรรมมนุษย์ ร่างได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฎจักรโลกคนละหลายวัฏจักรชีวิต เพื่อทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม ด้วยการยกระดับจิตสำนึกของตนเข้าหาแก่นแท้คือจิตวิญญาณของตนเองได้ โดยผ่านบททดสอบตนเองและการฝ่าฟันบทเรียนโลกได้อย่างสง่างามเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวคือความรักบริสุทธิ์ ขณะที่มนุษย์มากมายถูกจิตหยาบขับเคลื่อนสังขารร่างกายแห่งกรรม ทอดทิ้งละเลยการเข้าถึงซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันกับตน พร้อมกับสร้างกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในทางกายภาพ ให้เป็นภาระหนักแก่จิตวิญญาณตน จะต้องย้อนกลับคืนมาเกิดหลากหลายภพชาติ เพื่อหาทางปลดเปลื้องภาระอันหนักที่ไม่พึงประสงค์ที่จิตหยาบของตนเป็นผู้สร้างไว้อยู่อย่างนั้น

    การที่จะเข้าถึงปัญญาญาณได้ จะต้องเลิกคิดเลิกยึดติดกับรูปลักษณ์ตัวตนของสรรพสิ่งใด ๆ โดยเด็ดขาด แล้วหันมาคิดพิจารณาแต่เพียงคุณสมบัติของตัวตนทางกายภาพของสรรพสิ่งนั้นแทน โดยเปลี่ยนแปลงวิธีคิดกันเสียใหม่ โดยไม่ถามหาตัวตนของใครอีกแล้ว นั่นคือให้เปลี่ยนคำถามใหม่เป็นว่า....

    อะไรคือ ปัญหา?

    คุณสมบัติของปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้นมีอะไรบ้าง?

    และจะแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่นั้นได้อย่างไร?


    คำถามที่ยกมาทั้งสามข้อนั้น คือเคล็ดลับอย่างหนึ่งในการเปิดมิติปัญญาญาณ ที่มนุษย์ทุกคนต้องรับผิดชอบตนเองเสมอ การที่ยังคิดแบบจิตมนุษย์กันอยู่ จึงเข้าถึงอำนาจการใช้ปัญญาญาณไม่ได้ ไม่มีใครสามารถแสดงออกความอัจฉริยะทางอารมณ์ หรือ "อีคิว" เพราะสภาวะจิตที่เต็มไปด้วยกองกิเลสและตัณหา อันเกิดจากการหลงไหลในมายาแห่งรูปลักษณ์ตัวตนของสรรพสิ่งอยู่นั่นเอง

    การที่มนุษย์เป็นคนสองมิติ ที่สามารถแสดงออกทางกายและการบำเพ็ญจิตไปพร้อม ๆ กัน เมื่อเผชิญกับบททดสอบและบทเรียนโลกต่าง ๆ ก็เพื่อที่จะสามารถยกระดับดวงจิตธรรมญาณของตนเองให้เป็นสุญญตา

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า สิ่งใดที่เจ้าทำหรือแสดงออกเสียจนเคยตัวแล้ว เจ้าคิดว่าจะละวางมันได้ง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ? ปัจจุบันนี้ เจ้าเป็นมนุษย์ที่มีเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ อยู่แวดล้อมรายรอบตัวเพื่อคอยช่วยเหลือด้วยการมอบเงื่อนไขหรือบททดสอบและบทเรียนอันหลากหลาย เพื่อต่างคนต่างฝ่ายได้เผชิญเรียนรู้กันอยู่ทุกวี่วัน แต่มนุษย์ก็ยังไม่สามารถใช้โอกาสดี ๆ เช่นนี้ยกระดับจิตสำนึกด้านบวกให้ได้ดีเท่าที่ควรจะเป็นกันอยู่เลยมิใช่หรือ?

    รู้หรือไม่ว่า!! การครองสภาวะเทพพรหมทั้งหลายแต่ละระดับในชั้นภพภูมิสวรรค์นั้น ดวงจิตธรรมญาณยังต้องผ่านการยกระดับให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ยังต้องใช้เวลายาวนานเป็น กว่ากัปกัลป์ แต่มนุษย์สามารถยกระดับได้ง่ายกว่าบรรดาพี่น้องเทพพรหมในชั้นสวรรค์ ที่ต้องยกระดับตนเองให้สูงขึ้นในแต่ละชั้นอย่างเชื่องช้า กว่าจะหลุดพ้นหรือนิพพานอย่างแท้จริงได้ ด้วยการชำระจิตของตนเองจึงต้องอาศัยการละวาง ด้วยการบำเพ็ญจิต หรือ ถอดรหัส เท่านั้น การทำหน้าที่ถอดรหัส สภาวะจิตที่เป็นลบจากคุณสมบัติด้านลบทั้งหลายในดวงจิตธรรมญาณของตนให้หมดสิ้นไปนั้น มิต่างไปจากเด็กที่มีนิสัยซุกซนดื้อรั้รเสียจนเคยตัวที่จะต้องหาหนทางแก้ไขนิสัยตนเองดังกล่าวให้ได้ด้วยตนเองโดยไม่ที่พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูคอยช่วยเหลือ

    ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ตรงที่ถ้าเป็นมนุษย์ด้วยกันก็ยังมีโอกาสช่วยเหลือกันด้วยการสร้างเงื่อนไขบททดสอบเพื่อมอบบทเรียนให้แก่กันและกันได้ ถ้าสอบผ่านก็ยกระดับตนเองขึ้นไปได้เรื่อย ๆ เพราะไม่ว่าความดีงามหรือความเหลวไหลในการเป็นมนุษย์ มันจะถูกบันทึกไว้เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของจิตวิญญาณของเจ้าสู่ภพชาติใหม่ที่ร้องนำไปต่อยอดแห่งการปฏิบัต บำเพ็ญในภพชาติใหม่นั้นได้ต่างหากอีกด้วย

    ถ้าดวงจิตธรรมญาณซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานรูปใด สามารถยกระดับตนเองคืนสู่คุณสมบัติแห่งสุญญตาได้ ก็จะมีพลังอำนาจในการนำพาตนเองพุ่งผ่านออกไปจากสนามพลังงานเอกภพนี้ได้

    ถ้านิพพานได้ แสดงว่าสภาวะจิตกลับเป็นสุญญตาดังเดิมได้แล้ว นั่นเอง

    และคิดว่าความรู้ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ หลาย ๆ คนก็พยายามหาคำตอบกันอยู่ค่ะ สำหรับตนเองแล้ว ใช่เลยค่ะ! มิอาจปฏิเสธได้เลยเพราะตนเองกำลังศึกษาเรียนรู้อยู่ค่ะ บางทีอุปสรรคอาจไม่ใช่ปัญหา เป็นแนวทางให้เราเกิดปัญญาได้เหมือนกัน นิพพานที่เรากำลังจะพยายามหาคำตอบว่าแท้จริงแล้ว มันเกิดจากความผิดบาปแห่งจิตวิญญาอันเกิดจากความรู้สึกนึกคิดและการกระทำไม่ถูกต้องของกายและใจที่มีต่อตนเองและเพื่อนมนุษย์นี่ไง ที่มนุษย์พยายามจะสลัดตนเองออกไปต้องนานแล้วแต่ทำไม่สำเร็จ ดังนั้นเมื่อหยุดหมุนเวียนของกงล้อแห่งกรรมไม่ได้ การเวียนว่ายตายเกิดจึงยังคงต้องมีอยู่ต่อไป

    การนำจิตสำนึกเข้าสู่การรู้แจ้งของนักรบแสงสว่างที่แท้จริงคือ การกระทำดีที่ถูกทาง ซึ่งหมายถึงการรู้แจ้งเบื้องต้น 3 ประการ ดังนี้คือ

    - มนุษย์ต้องรู้หน้าที่ของตนในการมาสู่รูปธรรมมนุษย์บนดาวเคราะห์โลกแห่งนี้

    - มนุษย์ต้องรู้วิธีการปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อการปฏิบัติให้ถูกต้อง

    - มนุษย์จะต้องรู้เวลาว่า บัดนี้จะละเลยเหลวไหลต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ถ้าอยากอยู่รอดปลอดภัยเพื่อก้าวไปพร้อมกับโลกสู่ยุคพลังงานใหม่ที่กำลังจะมาถึง ในอีกไม่นานนี้
     
  20. ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    การคัดแยกน่าจะเป็นของท่านอื่นครับของผมเรื่องมารอย่างเดียวครับหอบเลย
     

แชร์หน้านี้