เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.

  1. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เคยได้ยินคำนี้ไหมคะ

    "สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา จะป็นผู้สร้างสรรพสิ่งที่มีอัตตาเสมอ"

    สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาที่เอง ที่ล้วนเป็นผู้สร้าง "อัตตา" คือ ความมีตัวตน ให้เกิดขึ้น โดยจะซ่อนเร้นสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาแต่เดิมซึ่งยังมิได้หายไปไหนเอาไว้ภายในเปลือกนอกที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ด้วยพลังอำนาจของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตานั่นเอง

    หมายความว่า ถ้าสรรพสิ่งใดที่มีอัตตาหรือมีความเป็นตัวตนทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น สรรพสิ่งนั้นจะต้องมีอีกสรรพสิ่งหนึ่งที่เป็นอนัตตาเป็นแก่นแท้เร้นอยู่ข้างในเสมอ

    เรื่องนี้ถ้าใครศึกษาคำสอนของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล เป็นอย่างดีจะพอเข้าใจได้หมายถึงอะไรนะค่ะ
     
  2. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ความสับสนประการแรก คือ หลงเข้าใจว่า "มายา" คือ แก่นแท้ นื่องจากเชื่อตามกลไกสัมผัสรับรู้ ที่ติดตั้งไว้ใช้งานเพื่อการเรียนรู้ตนเองและโลกในทางมิติทางกายภาพ ซึ่งคุ้นเคยกับมันดีเพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ของเจ้าอย่างแยกกันไม่ออก

    เมื่อมนุษย์เชื่อมั่นในตนเองและมั่นใจในสิ่งที่สัมผัสรับรู้ได้ว่ามันคือความจริง มันเป็นของจริง มันมีอยู่จริง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเจ้าเองกำลังสร้าง ความมีตัวตน ให้กับสรรพสิ่งนั้น หรือ เรื่องนั้นไปพร้อม ๆ กันด้วย ไม่ว่าจะเป็นปรากฎการณ์ สถานการณ์หรือเรื่องราว ใด ๆ ในความคิดรู้สึกหรือในจินตนาการของเจ้า จนไปถึงสรรพสิ่งที่เป็นวัตุถมวลหยาบ ๆ

    เมื่อเจ้าสร้างความมีตัวตนในสรรพสิ่งที่เป็นกายภาพแล้ว ยังมิได้หยุดความสับสนของตนไว้ที่ตรงนั้น กลับสอนจิตตนเองให้มันเกิดการสั่นสะเทือนเป็นความรู้สึกที่มีตัวตนต่อมายาเหล่านั้น อย่างหลากหลายขึ้นมา เช่น

    สัมผัสมันแล้วชอบหรือพอใจก็มี ไม่ชอบไม่พึงพอใจเอาเสียเลยก็มี

    เมื่อชอบหรือพอใจก็เกิดความรู้สึก "อยากได้" ไม่ชอบไม่พอใจก็เกิดความรู้สึก "ไม่อยากได้"

    ถ้าเผื่อยังบอกตนเองไม่ได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจ เจ้าก็จะเกิดอาการลังเลสับสนขึ้นมาทันที

    เจ้ารู้หรือไม่ว่า กระบวนการทางจิตของเจ้าที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มันคือ การปรุงแต่งความมีตัวตนของสรรพสิ่งใด ๆ จนนำไปสู่ "การยึดติด" สิ่งนั้น ๆ ของมนุษย์ นั่นเอง

    ความชอบไม่ชอบ กับ ความพอใจไม่พอใจ คือสิ่งที่เรียกว่า "กิเลส"

    ความอยากและไม่อยาก คือ สิ่งที่เรียกว่า "ตัณหา"

    ตัณหา คือ การนำเอากิเลสที่สั่นสะเทือนอยู่ในสภาวะจิตออกมาแสดงอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหมายถึง "อารมณ์" แบบต่าง ๆ นั่นเอง

    เจ้ารู้หรือไม่ว่า! อารมณ์อันหลากหลายของเจ้าที่แสดงออกตลอดเวลานั้น เป็นการแสดงออกเพื่อตอบสนองสรรพสิ่งที่เรียกว่า "ตัวตน" ทั้งสิ้นใช่หรือไม่

    การแสดงออกทางอารมณ์ของเจ้าจึงเกิดจากการยึดติดสรรพสิ่งที่เรียกว่าตัวตนทั้งหลายแล้วปรุงแต่งมันขึ้นมานั่นเอง

    นี้เป็นกักดัก ที่แต่ละคนขุดสร้างมันขึ้นมากักขังตนเองโดยแท้

    ที่กล่าวว่ากักขังตนเองในที่นี้หมายถึง การที่พวกเจ้ายึดติดกับสรรพสิ่งที่เรียกว่า "ตัวตน" จนสร้าง ความมีตัวฉันของฉัน ตัวเธอของเธอ ตัวมันของมัน ไปจนกระทั่งถึงการมีสิ่งนั้นสิ่งนี้และเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกต่างหาก ซึ่งอาการทางจิตเหล่านี่เป็นการแสดงออกและการกระทำทางจิตในมิติทางกายภาพ หรือมิติแห่งตัวตนของเจ้าด้านเดียวเท่านั้น

    นี้แหละค่ะ การที่จิตมันสร้างอัตตาขึ้นมา....
     
  3. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ไม่รู้ใครหลาย ๆ คนเคยพยายามหาคำตอบไหม? ว่า "จิต"กับ "ใจ" เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? เชื่อว่าใคร ๆ หลายคนยังค้นหาคำตอบเหล่านี้อยู่

    คำว่า เครื่องยนต์แห่งกรรม หรือ กายสังขาร ในศาสตร์จักรวาล หมายถึง.....

    ใจ เป็นผู้ก่อให้เกิดการกระทำ

    กระบวนการของใจ ก็คือ จิต ที่สะสมข้อมูลอารมณ์ต่าง ๆ มาทุกภพชาติ

    และ....กระบวนการของ ใจ นี่เองที่สร้างอารมณ์ขึ้นมาเมื่อมีสิ่งเร้ามากระทบจิตใจของมนุษย์

    จิตสำนึก ก็คือ สมอง ที่มีจิตใจของแต่ละคนเป็นตัวควบคุมกระบวนการทำงานของสมอง จิตใจ กับ จิตสำนึกจึงอยู่ในระบบเดียวกัน

    ด้วยเหตุของมนุษย์แบ่งออกเป็นสองซีก คือ ซ้าย กับ ขวา

    จิตมนุษย์ เลยมีสองภาค คือ

    จิตภาคแรกบริหารสมองซีกซ้าย 》 ในการสร้างความคิดความรู้สึก และกระบวนการทางอารมณ์ที่เป็นอัตโนมัติ มนุษย์ทุกคนจะคุ้นเคยกับกลไกของกระบวนการคิดรู้ ด้วยวิธีวิเคราะห์ด้วยความรู้สึกและอารมณ์รายวันกันอยู่

    ส่วน.....

    จิตภาคที่สองบริหารสมองซีกขวา นอกเหนือไปจากการทำงานหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อความสมดุลในการคิดรู้แบบอัตโนมัติของสมองซีกซ้ายจะเป็นระบบเกิดการทำงานได้ ก็ต่อเมื่อ มนุษย์ผู้นั้นต้องรู้จักใช้มันให้เป็น ต้องกดปุ่มใช้มันเท่านั้น จึงจะสามารถค้นพบความอัศจรรย์ในการสร้างพลังอำนาจให้ตนเองอย่างแท้จริง

    ดังนั้น วิญญาณ ก็คือจิตใจ (จิตมนุษย์) หรือจิตหยาบ ที่ถูกแบ่งภาคออกมาจากจิตวิญญาณอีกที่หนึ่ง ที่เป็นผู้สร้างกระบวนการอารมณ์ เพื่อก่อให้เกิดการแสดงออกหรือกระทำการใด ๆ ในชีวิตประจำวัน

    ส่วน....สติปัญญาของจิต ก็คือ ปัญญาญาณ ที่ทำหน้าที่ในการรู้แจ้ง ที่เปรียบเสมือนเป็นแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ภายใน ที่เรียกว่าจิตวิญญาณ เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เร้นอยู่ข้างใน ถ้าหากไม่มีจิตวิญญาณที่เป็นตัวตนแก่นแท้ดำรงอยู่ภายในอีกต่อไป มนุษย์ก็ย่อมได้ชื่อว่าตายแล้ว เพราะไม่สามารถสั่นสะเทือนตนเองใด ๆ ได้อีกเลย ซึ่งไม่ต่างไปจากเครื่องยนต์ที่ดับสนิท นั่นเอง
     
  4. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สภาวะอากาศโลกร้อนมาก....คลายเคลียดกันเบา ๆ ค่ะ

    น้ำตามบ่อหนองคลองบึงและทะเลหรือแหล่งน้ำทั่วไป เมื่อต้องความร้อนจากแสงอาทิตย์ ก็จะระเหยกลายเป็นไอลอยขึ้นไปในอากาศ พอกระทบกับความเย็นในชั้นบรรยากาศก็จะคลายความร้อนออกมาเพื่อควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำแล้วจับกลุ่มกลายเป็นเมฆในที่สุดก็จะตกลงมาเป็นน้ำฝน



    ผืนป่าเป็นต้นกำเนิดแห่งสายน้ำ......



    สายน้ำ คือ ชีวิต



    ผืนป่า....แหล่งกำเนิดห่วงโซ่วงจรอาหาร




    ผืนป่าในประเทศไทย ณ ปัจุบัน...

    ทุกสรรพสิ่งจะพัฒนาอย่างยั่งยืนต้องเริ่มจากรากฐาน หรือ ต้นเหตุ..... หากจะแก้ ต้องแก้ที่เหตุเท่านั้นค่ะ...

    เงินไร้ค่า......



    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ชาวเมืองเกิดวิกฤติข้าวยากมากแพง ผลผลิตตกต่ำ ชาวเมืองอดอยากปากแห้งยากแค้นกันถ้วนหน้า

    เมื่อชาวเมืองยากจน อยากร่ำรวย จะยากอะไรเล่า!! เราก็เอาเงินไปแจกจ่ายชาวเมืองซิ! ไม่เห็นยาก และเป็นเศรษฐีกันทันตา เขาจึงเรียกว่าบริหารประเทศเป็น

    พ่อค้า : รวยแล้วไม่รู้จะหาเงินให้เหนื่อยทำไม

    ชาวบ้าน : เราจะทำอย่าง ไรกันดี เงินจะมีประโยชน์อันใด? ถ้าซื้อสิ่งใดไม่ได้เลย

    ชาวบ้าน : ให้ราคาสูงกว่าสิบเท่า แม้จะมีเงินมากกว่าเดิม ก็ซื้อของได้เท่าเดิม หรือเท่าเดิม ลำบากมากกว่าเดิม ยิ่งแจกเงินเพิ่มเท่าไหร่ ข้าวของก็แพงขึ้นเป็นเงาตามตัว

    เงินไร้ค่าอย่างนั้นนะรึ !
    นั่นเป็นเพราะชาวบ้านไม่ไม่ต้องการเงินนะซิ!
    แท้แล้วที่คนเราต้องการหาใช่เงินไม่!
    สิ่งที่คนเราต้องการ คือสิ่งที่จะนำเงินไปซื้อต่างหาก!


    จะทำอย่างไร! ให้ราษฎรกินดีอยู่ดีได้?

    มีข้าวเท่าเดิม จะให้กินอิ่มกว่าเดิมย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรจะทำ มิใช่การเพิ่มเงิน แต่ต้องเพิ่มในสิ่งที่คนซื้อได้ เพิ่มในสิ่งที่ชาวเมืองต้องการอย่างแท้จริงนั่นเอง

    เปลี่ยนจากการแจกเงินเป็นแจกอาหารแทนหรือครับ....

    ข้าวเอาไปแจกมิได้ทำให้ได้ข้าวเพิ่มขึ้น เพียงจากย้ายจากอีกที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ดังนั้นการทำให้ข้าวเพิ่มขึ้น ต้องทำให้ราฎษรได้ผลผลิตมากกว่าเดิมต่างหากเล่า

    ปัญญายุทธจากเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...เงินนั้นเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ที่ใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ซึ่งย่อมไร้ค่าหากไม่มีสิ่งใดจะให้แลกเปลี่ยน และการจะช่วยให้คนกินดีอยู่ดีอย่างแท้จริงนั้น มิใช่การนำข้าวของเงินทองไปให้ แต่เป็นการให้วิธีการที่จะช่วยให้เขา ทำมาหากินเลี้ยงชีพตนเองได้
     
  5. ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    ท่านหงบหายไปไหนละครับหลายวันเลยสงสัยไปหาทำสมาธิไห้จิตสงบแบบดาราแฟมั้ง
     
  6. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ไม่ทราบเลยค่ะ อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้มั้งค่ะ เพราะว่าขณะการหมุนของโลกก็ยังไม่แน่นอนเลยค่ะ จากที่เคยคิดว่าโลกมีการหมุนตัวเองไม่แกว่งส่ายดีขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว นับจากที่เกิด "คลาส" เดือนมกราคม 62 ที่ผ่านมา แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมาก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงการแกว่งได้ มีการส่ายปรากฎให้รับรู้ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ ว่าจะเป็นอย่างไร? เมื่อเหตุยังคงอยู่......

    เรื่องภัยพิบัติคุยกันมานานปีดีดักแล้ว ผลปรากฎว่าโลกก็คงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไป โลกร้อนและแล้งมากค่ะ เราต้องยอมรับสภาพเพราะการเปลี่ยนแปลงโลกมันต้องใช้ความร่วมมือร่วมใจกัน ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร? แต่เราก็สู้กิเลสตัณหาในใจคนไม่ไหว... โลกจึงต้องเป็นเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป ก็ไม่รู้ว่จะอีกนานเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่เราทุกคนในโลกสามารถกำหนดความเป็นไปของโลกร่วมกันได้ ด้วยการเหวี่ยงตัวที่หมุนเพื่อรักษาความสมดุลในอัตราความเร็วที่เหมาะสมและคงที่ เป็นกระบวนการหนึ่งของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้

    เพราะ....

    ดาวเคราะห์โลกมีลักษณะรูปทรงกลม คล้ายผลส้ม ที่ล่องลอยในสนามพลังงาน ที่มนุษย์เรียกว่า "ที่ว่างโล่ง" หรือ อวกาศ ดั่งลูกบอลกลม ๆ ที่ล่องลอยอยู่ในน้ำ แต่แตกต่างกันตรงที่ ดาวเคราะห์โลกมิได้ล่องลอยอยู่เฉย ๆ ดั่งลูกบอลที่ลอยไปตามน้ำหรือลอยไปตามกระแสลม แต่ขณะที่ลอยอยู่ในอวกาศต้องรักษาคุณสมบัติ ของตนเองให้คงที่ดั่งเดิมด้วย

    ในปลายยุคพลังงานเก่าก่อนการชำระโลกนั้น อัตราการเหวี่ยงหมุนของโลก 24 ชม. จัดว่า ช้าที่สุด ซึ่งมันจะเหวี่ยงหมุนด้วยอัตราความเร็วที่ช้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นโลกจะเสียสมดุลไปทั้งระบบทันที เพราะแรงดึงดูด หรือ "แรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์โลก" จะต่ำกว่าเกินมาตรฐาน ผลลัพธ์ก็คือ ดาวเคราะห์โลกไม่อาจยึดรั้งสรรพสิ่ง คือ

    ดิน หิน ทราย
    พืชพึนธ์ไม้ สายน้ำ สายลม แสงแดด คลื่นพลังงานต่าง ๆ
    สัตว์ประจำโลก สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ หลากหลายเผ่าพันธ์
    มนุษย์ทุกคนบนโลก
    ดาวเคราะห์โลกซึ่งเป็นตัวตนทางกายภาพเอง
    รูปธรรมจิตวิญญาณที่ดำรงตนเองซ้อนอยู่ในมิติโลกทางกายภาพ


    เอาไว้ได้...

    การเหวี่ยงหมุนตัวที่ช้าลงเกิดจากน้ำหนักมวลเพิ่มขึ้นจึงทำให้เกิดการเหวี่ยงหมุนที่แกว่งและส่าย การเหวี่ยงหมุนที่ช้าลงกว่าพิกัดที่กำหนดนี้ จึงทำให้ฤดูกาล หรือดินฟ้าอากาศวิปริตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้ระยะเวลากลางวันและกลางคืนในแต่ละฤดูกาลผิดแผกไปจากเดิม



    ในยุคพลังงานเก่า มนุษย์เป็นตัวการที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ เสียสมดุลด้านน้ำหนักมวล

    ที่มาของน้ำหนักมวลเพิ่มขึ้น.....

    ขยะทางวัตถุและเทคโนโลยี

    มนุษย์ส่วนมากล้มเหลวจากการเป็น "เพื่อนของโลก" การเป็นผู้ทำหน้าที่ผลิตสร้างประจุไฟฟ้าบวกป้อนให้แก่ดาวเคราะห์โลกของตน นอกจากสร้างมอบให้กับโลกไม่ได้แล้วยังสร้างประจุไฟฟ้าลบที่โลกและมนุษย์ด้วยกันเองไม่ต้องการ ให้เกิดขึ้นเป็นขยะสกปรกทางพลังงาน โดยล่องลอยอยู่ในสนามพลังงานของจักรวาลที่สองตาเปล่ามองไม่เห็นอีกด้วย ในขณะนี้มิได้ผู้ใดสำนึกเรื่องนี้กันเลยแม้เพียงแต่น้อยนิด

    ประการต่อมาก็คือ มนุษย์มุ่งแต่จะขุดเอา คุ้ยเอา หรือดูดเอาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นแร่ธาตุต่าง ๆ มาจากในเนื้อโลกเพื่อนำไปผลิตเป็นวัตถุเทคโนโลยีทั้งหลายอย่างไร้สำนึก การกระทำเช่นนี้นอกจากจะเป็นการเพิ่มจำนวนน้ำหนักมวลขยะขึ้นบนพื้นผิวโลกแล้ว มันยังเป็นการลดน้ำหนักมวลของสรรพสิ่งในเนื้อโลกไปพร้อม ๆ กันด้วย

    เหมือนกับการ "ถ่วงล้อให้สมดุล" หมายถึง การนำเอาตะกั่วชิ้นเล็ก ๆ มาถ่วงที่ขอบของกระทะล้อนั้น เพื่อทำให้ล้อรถนั้นไม่เกิดอาการแกว่งหรือสัดส่ายไปมาในขณะที่เหวี่ยงหมุนไปรอบ ๆ แกนหมุนหรือดุมล้อด้วยความเร็วสูง

    ยิ่งล้อรถมีขนาดใหญ่มากเท่าใด และมีอัตราของการหมุนสูงมากเท่าใด อาการแกว่งสัดส่ายเพราะเสียสมดุลเพียงเล็กน้อยก็จะยิ่งมีความเป็นไปได้สูงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

    การทำให้ล้อรถเกิดอาการสมดุลขณะหมุนไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดการสบัดหรือส่ายไปมาดังกล่าวนั้น สามารถที่จะช่วยค้ำจุนได้ด้วยแท่งตะกั่วชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งจะต้องเป็นไปภายใต้เงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ คือ

    1.อัตราความเร็วในการหมุนของล้อในระดับที่ต้องการ

    2.พิกัดตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมบนขอบกะทะล้อ ที่จะติดตั้งตะกั่วชิ้นนั้น ๆ ไว้

    3.ชิ้นตะกั่วที่มีขนาดน้ำหนักมวลที่ถูกต้อง คือ ไม่หนักไปหรือเบาเกินไปที่จะติดตั้งไว้บนขอบกระทะล้อ ในตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น


    ดาวเคราะห์โลกที่หมุนรอบตัวเองอยู่อย่างต่อเนื่องนี้ ก็ไม่ต่างไปจากการเหวี่ยงหมุนของล้อรถยนต์ที่กล่าวมานั้นแต่อย่างใด

    การที่โลกได้จัดวางแต่ละสรรพสิ่งไว้บนพื้นผิวดาวเคราะห์โลกดวงนี้อย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อความสมดุลของระบบ เพื่อ....

    1. ให้โลกมีอัตราความเร็วเหวี่ยงหมุนรอบตัวอง ในอัตราไม่เกิน 24 ชม.ต่อรอบ

    2.พิกัดการติดตั้งสรรพสิ่งที่มีน้ำหนักมวลเอาไว้บนพื้นผิวโลกในตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสม

    3.ขนาดน้ำหนักมวลของสรรพสิ่ง ที่ติดตั้งอยู่ตรงพิกัดตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น


    สรรพสิ่งแวดล้อมที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเหมาะสม สาเหตุการเสียสมดุลอันมาจากน้ำมือของมนุษย์ที่จะเป็นผู้พิทักษ์โลก กลับมาเป็นผู้ทำลาบระบบโลกเอง

    การระเบิดภูเขา เพื่อยกขนนำก้อนหินไปสร้างอาคารวัตถุสูงใหญ่ในเมือง ย่อมเท่ากับว่ามนุษย์กระทำการอุตริย้ายภูเขาจากพิกัดตำแหน่งที่จัดวางไว้ในพิกัดตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่แล้ว พากันไปกองทับถมรวมกันอีกที่หนึ่งซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง




    การขุดดูดทรายจากใต้ท้องน้ำ เพื่อขนย้ายนำเอาไปสร้างวัตถุหรือทับถมแผ่นดินในพิกัดตำแหน่งอื่น ย่อมทำให้บริเวณเดิมที่มีน้ำหนักมวลบนพื้นผิวดินน้อยอยู่แล้ว ยิ่งทำให้มีน้ำหนักมวลน้อยลงไปอีก ขณะที่น้ำหนักมวลของทรายที่ถูกดูดขนเอาไปกลับจะไปเพิ่มน้ำหนักมวลบนพื้นผิวให้กับอีกบริเวณหนึ่งซึงมีความสมดุลอยู่แล้วให้ต้องเสียสมดุลตามไปด้วย



    การถมทะเล บ่อ หนอง คลอง บึง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีน้ำหนักนวมน้อยกว่าบริเวณอื่นให้ตื้นเขิน เพื่อสร้างแผ่นดินใหม่



    คือการเพิ่มน้ำหนักมวลให้กับอณาบริเวณเดิมนั้นให้เสียสมดุลไปจากเดิมอีกเช่นกัน

    แม้การดูดซับน้ำใต้ดิน ดูดซับทรัพยากรแร่ธาตุต่าง ๆ มาใช้อย่าวไม่บันะยะบันยัง ธรรมชาติไม่สามารถผลิตทดแทนได้ทัน

    หากนึกถึงการย้ายตะกั่วจากตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมบนขอบกระทะล้อ ไปติดตั้งอยู่ตรงตำแหน่งอื่นที่แม้จะเป็นกะทะล้อเดียวกันและเป็นตะกั่วชิ้นเดียวกันซึ่งมีน้ำหนักเท่าเดิมก็ตาม แทนที่ตะกั่วชิ้นนั้นจะช่วยให้ล้อรถสมดุลดังเดิมได้ มันกลับทำให้ล้อรถนั้นเสียสมดุลหนักขึ้นไปอีก เหตุเพราะ ถ่วงผิดที่ นั่นเอง


    จึงอาจกล่าวได้ว่า เหตุแห่งการเสียสมดุลทั้งกายภาพและพลังงานของดาวเคราะห์โลกในยุคพลังงานเก่า ล้วนเกิดจากมนุษย์เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียสมดุลของระบบของตนเองทั้งสิ้น ส่วนการเสียสมดุลในมิติทางพลังงานของดาวเคราะห์โลก อันเกิดจากความเหลวไหลจากจิตใจของมนุษย์นั้นก็มีส่วนสำคัญอย่างมากอีกด้วยเช่นกัน

    ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากกรณีนี้ก็คือ น้ำหนักมวลของสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่บนพื้นผิวโลก ในปลายุคพลังงานเก่าก่อนกาลชำระโลกเพื่อปิดยุคพลังงานเก่า ในวันก่อน วันเวลาที่ 11:11 จะมาถึง จะมาถึง จึงหนักกว่า น้ำหนักมวลที่อยู่ในใจกลางโลก อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดาวเคราะห์โลกเกิดอาการสั่นหรือแกว่งอย่างต่อเนื่องในขณะที่โลกเหวี่ยงหมุนไปรอบตัวเอง

    มนุษย์จะสังเกตุการสั่นหรือแกว่งตัวของโลกได้ จากแนวแกนหมุนรอบตัวเองที่ส่ายไปมานั่นเอง
     
  7. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เหตุแห่งความล้มเหลวของมนุษย์โลกปลายยุคพลังงานเก่า

    1.เพราะพวกเขาไม่ใส่ใจในธรรมะ
    2.เพราะพวกเขาตะกละในกามกิเลสตัณหา
    3.เพราะพวกเขาหลงเงามายาและบ้าอำนาจ
    4.เพราะพวเขาฉลาดคิดฉลาดทำแต่สิ่งที่โง่เขลา
    5.เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหน
    6.เพราะพวกเขาไม่รู้หน้าที่ว่าตนเกิดมาเป็นมนุษย์ทำไม

    น่าใจหายเหลือเกินที่มนุษย์ยุคพลังงานเก่าในแต่ละประเทศทั่วทุกทวีป คงมีผู้สามารถยกระดับจิตสำนึกของตนเองจนเข้าถึงการสั่นสะเทือนทางด้านบวก เพื่อทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมโลกได้อย่างแท้จริงในอัตราเฉลี่ยเพียง 15 - 20 % ของจำนวนประชากรในประเทศนั้น ๆ เท่านั้น

    ส่วนที่เหลืออีก 80 - 85 % ของจำนวนประชากรทั้งหมดในแต่บะประเทศ จึงไม่ต่างไปจาก "ขยะ" ที่ปลิวว่อนอยู่บนพื้นผิวดาว เพราะเป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ใช้ไม่ได้ เนื่องจากไม่สามารถสั่นสะเทือนตนเองเพื่อสร้างพลังงานด้านบวกมอบให้แก่ดาวเคราะห์ของตนเองได้เลย

    นอกจากการสร้างขยะที่รกโลกขึ้นมาแล้ว มนุษย์ก็ยังหันมาทำลายระบบของตนเองด้วยการทำลายสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ทำลายสิ่งแวดล้อมในระบบโลก และทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง โดยไม่รู้ว่า

    มนุษย์แสดงออกและกระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองอย่างโหดร้าย ด้วยการเอารัดเอาเปรียบ เบียดเบียน ก้าวล่วง ทำร้ายหมายชีวิต และทำศึกสงครามกันด้วยอาวุธร้าย ๆ

    มนุษย์แสดงออกและกระทำต่อสัตว์ทั้งหลายซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโลกของตนอย่างใจดำอำมหิต ด้วยการฆ่า ล้างผลาญชีวิต เบียดเบียนกินเลือด กินเนื้อ กักขังให้ทุกข์ทรมานไร้อิสรภาพ และนำพวกเขามาดัดแปลงพันธุกรรมให้ตกต่ำวิปริตผิดแผกไป

    ยิ่งมนุษย์ทำลายเพื่อนร่วมโลกของตนมากขึ้น ก็เท่ากับว่ามนุษย์กำลังทำลายระบบของตนเองมากขึ้น ท้ายที่สุดแลัวผลกรรมที่ย้อนกลับมาสู่ตัวมนุษย์เองก็คือ การเสียสมดุลของดาวเคราะห์โลกที่เป็นระบบใหญ่ ซึ่งหมายถึงมหันตภัยธรรมชาติที่วิปริตผิดธรรมชาติที่มนุษย์ทั้งโลกต้องเผชิญกันมาแล้วเมื่อตอนสิ้นยุคพลังงานเก่า

    มนุษย์ส่วนใหญ่สอบตก เพราะฝ่าฟันมหันตภัยเพื่อข้ามสู่ยุคพลังงานใหม่ไม่ได้ จึงต้องจบชีวิตลงท่ามกลางวิบัติภัยเหล่านั้น เนื่องจากไร้ความบริสุทธิ์ทั้งกาย จิต และ จิตวิญญาณอย่างแท้จริง

    มนุษย์ส่วนน้อยของแต่ละประเทศเท่านั้น ที่สามารถข้ามพ้นวิกฤติภัยจากการชำระโลกมาได้ เพราะมีความเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างเต็มตัว

    สรรพสิ่งใดที่ให้ประจุบวกแก่โลกของตนไม่ได้ จึงหมายถึง "ขยะ" ที่รกโลก

    สรรพสิ่งใดที่ให้ประจุลบแก่โลกของตน จึงหมายถึง "ขยะ" ด้วยเช่นเดียวกัน

    สรรพสิ่งใดที่ให้ประจุบวกแก่โลกไม่ได้แล้ว มิหนำซ้ำยังให้ประจุลบที่โลกไม่ต้องการอีกต่างหากนั้น จึงเป็น "ขยะ" ที่รกโลก ที่มิใช่เป็นเพื่อนของโลก

    มนุษย์จำนวนมากและสัตว์ประจำโลกจำนวนไม่น้อยเหล่านี้ จึงเป็นรูปธรรมที่สร้างผลรวมของน้ำหนักมวลให้เกิดขึ้นเป็นภาระหนักที่ดาวเคราะห์โลกต้องแบกหามไว้อย่างหนักอึ้ง ทั้ง ๆ พวกเขาสร้างประโยชน์อะไรให้แก่โลกองตนไม่ได้เลย ดั่งคำว่า "หนักแผ่นดิน" หรือ "หนักโลก" นั่นเอง
     
  8. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เมื่อจิตวิญญาณได้รับโอกาสเกิดเป็นมนุษย์โลก กลับประสบความล้มเหลวต่อการทำหน้าที่ เพราะจิตสำนึกบกพร่อง ทั้งยังสร้างพันธกรรมต่อกันไว้อย่างมั่นคงอีกต่างหากด้วย

    การย้อนกลับสู่การเกิดใหม่ มีภพชาติใหม่ เพื่อชดใช้ผลกรรมที่ตนก่อขึ้น

    การย้อนกลับมาสู่การเกิดใหม่ มีภพชาติใหม่ เพื่อแก้ไขจิตสำนึกของตนที่บกพร่อง

    การย้อนกลับมาสู่การเกิดใหม่ มีภพชาติใหม่ เพื่อเข้าถึงบทเรียนโลกที่ตนยังไม่รู้แจ้ง

    การย้อนกลับมาสู่การเกิดใหม่ มีภพชาติใหม่ เพื่อเข้าถึงพันธสัญญา 6 ของตนให้ได้

    การย้อนกลับมาการเกิดใหม่ มีภพชาติใหม่ เพื่อเข้าถึงบทละครที่ถูกต้องแท้จริงของตนให้ได้

    การย้อนกลับมาสู่การเกิดใหม่ มีภพชาติใหม่ เพื่อหาหนทางเลิกเล่นละครบทร้ายตามพันธสัญญาที่จิตวิญญาณ


    เพราะเหตุทั้ง 6 ประการนี่เอง ที่เป็นเงื่อนไขให้จิตวิญญาณจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ที่เมื่อหลุดพ้นขึ้นมาจากแดนนรกภูมิ หลังผ่านการขัดเกลาจิตสำนึกทางจิตวิญญาณที่บกพร่องแล้ว ต่างพากันก้าวมาสู่มนุษย์ในภพชาติใหม่ของตนอีกครั้ง เมื่อได้รับโอกาสแล้ว กลับปิดมิติการใช้ปัญญาญาณแห่งตน และจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้แห่งตนเองก็ถูกจิตหยาบปิดกั้นขังเอาไว้ภายใน ด้วยการกระทำตนเหลวไหลอย่างไร้สำนึกทางจิตวิญญาณอยู่ดังเหมือนเดิมเช่นในอดีตชาติที่ผ่านมา

    ในยุคพลังงานเก่า จิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของมนุษย์จำนวนมาก เมื่อได้รับโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นแล้ว จิตวิญญาณต้องพากันวิปโยคโศกซ้ำ เนื่องจากจิตหยาบปิดมิติกักขังตนเองเอาไว้ภายในอย่างไร้อิสระภาพ โดยจิตหยาบมิได้สำนึกเลยว่าตนเองยังมีรูปธรรมจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้เร้นอยู่ภายในอีกด้วย

    การหลงมิติของสรรพสิ่ง ไม่ละเว้นการหลงมิติแม้กระทั่งคิดเข้าใจว่าตัวตนทางกายภาพของตนที่เป็นตัวตนที่แท้จริง แล้วไม่เชื่อว่าตนเองมีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้

    การหลงมิติดังกล่าวนี่เอง จึงเป็นเหตุให้แต่ละคน ไม่อาจยกระดับแรงสั่นสะเทือนตนเองสู่การสั่นสะเทือนด้านบวกตามคุณสมบัติที่แท้จริงของจิตวิญญาณ ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้แห่งตนเองได้ เพราะจิตหยาบจะชิงสั่นสะเทือนตนเองไปตามอำนาจการยั่วยุปลุกเร้าของสรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นตัวตนทั้งหลายเหล่านั้น โดยจะตกเป็นทาสของสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นสิ่งเร้านั้น ๆ กันอย่างง่ายดาย

    มนุษย์เป็นทาสของสรรพสิ่งเร้าใด ๆ ได้ด้วยการปรุงแต่งสิ่งนั้นขึ้นเป็น "กิเลส" อันหมายถึงความรู้ต่าง ๆ เช่น สวยกับไม่สวย ดี กับไม่ดี นั่นเอง
     
  9. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ยกเรื่องนี้มาไว้ในกระทู้นี้ก่อนค่ะ....

    จิตเที่ยง อันคงหมายถึง ตัวตนเที่ยง ความคิดเที่ยง อารมณ์เที่ยง ประมาณนี้นะค่ะ ที่เป็นมิจฉาทิฐิร้าย

    ถ้าจิตที่มันไม่เที่ยงเพราะมันล้วนเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุมันยังอยู่ มันก็ยังไม่ดับ ถ้าเหตุมันดับ มันก็สลายหายไป แต่เหตุมันยังฝังแน่นอยู่ มันจึงไม่ดับอย่างแท้จริงค่ะ มันพร้อมที่จะเกิดใหม่ หากไปถูกเชื้อที่มันนอนนิ่งอยู่ค่ะ

    แต่คำว่า "จิต" เที่ยงนั้น อาจหมายถึง จิตที่หลุดพ้นแล้ว วิญญาณก็รู้ว่าหลุดพ้น จบกิจ นะค่ะ ตามคำสอนในพระไตรปิฎก

    ส่วนคำว่า "สติ" เที่ยง ก็คงเป็นตัวสภาวะรู้ อันเป็นสัมปชัญญะ ที่อันหมายถึง การมีสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ นั่นเองแหละค่ะ
     
  10. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    จิตยิ้มห่างหายไปหลายวันเลยค่ะ แต่..ได้เห็นยอด view แต่ละครั้ง มียอดคนดู 2,000 ถึง 2,500 คน ในแต่ละช่วงระยะเวลาที่ลงข้อมูล ภายในระยะเวลา ไม่เกินอาทิตย์แสดงว่ามีคนสนใจความรู้ใหม่นี้ ที่ได้อาจทำให้ใคร ๆ หลาย ๆ คนที่กำลังพยายามหาคำตอบความเป็นมาเป็นไปของตนเองกันอยู่ค่ะ

    การค้นหาสัจธรรมในตนเอง ควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาค้นหาความจริง เพื่อเปิดเผยสิ่งที่ตนไม่รู้ให้รู้ดีกว่าจะปิดกั้นความไม่รู้ของตนเองไว้แค่เพียงความลึกลับเท่านั้น

    ดังนั้น...ถ้าอยากรู้เรื่องจิตวิญญาณต้องหันมาสนใจใฝ่รู้ในด้าน คุณสมบัติของแสง ให้มากยิ่งขึ้น

    สำหรับข้อมูล การเป็นคนมีสองภาค หรือ สองมิติ คืออย่างไร? ได้กล่าวไว้แล้วในที่โพสก่อนหน้านี้ ต่อไปจะเริ่มข้อ 2 ค่ะ เรื่อง กฎแห่งกรรม คืออะไร?

    เรื่อง กฎแห่งกรรม ได้เคยเกริ่นเอาไว้แล้วในเบื้องต้นในโพสที่ผ่าน ๆ มาบ้างค่ะ ทีนี้จะนำรายละเอียดที่ใครหลาย ๆ คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นข้อมูลที่ตนเองจะต้องรู้

    การเกิดภพชาติของมนุษย์จึงเกิดได้ด้วยพลังงานกรรมที่สร้างสมเอาไว้นั่นเอง มนุษย์ที่ต้องการหลุดพ้น จึงต้องพยายามกำจัดกรรมเก่าเสียให้หมดสิ้น และหยุดสร้างกรรมใหม่ให้จงได้ วงเวียนกรรมจึงจะมีทางสิ้นสุดลง

    การที่จิตจักรวาลแบ่งภาคให้จิตวิญญาณมาสู่รูปธรรมมนุษย์ ซึ่งโลกได้สร้างสังขารร่างกายมนุษย์เอาไว้ให้จิตวิญญาณแต่ละดวงได้อาศัยเป็นเครื่องมือในการสร้างพลังงานบวก เพื่อกระตุ้นให้จิตสำนึกโลกให้เกิดการสั่นสะเทือนด้านบวกตามกฎของจักรวาล สู่ความสมดุลของระบบโลกในจักรวาลนี้ ด้วยเงื่อนไขบทเรียนและพันธสัญญาที่สร้างไว้แล้วตั้งแต่ต้น เมื่อจิตวิญญาณเข้ามาสู่รูปธรรมมนุษย์จริง ๆ ปรากฎว่าบานประตูระหว่างมิติถูกปิดสนิท จนมนุษย์ไม่รู้ที่มาที่ไปของตนเองเลย จึงได้ก่อกรรมด้านลบเป็นพันธกรรมที่ทับซ้อนขึ้นมากมาย

    กระบวนการสู่รูปธรรมของจิตวิญญาณแต่ละดวงสำหรับมนุษย์แต่ละคนนั้น ล้วนมีความเป็นมาเช่นเดียวกันในการเกิดมามาในภพชาติแรก จะแตกต่างกันในการมีภพชาติต่อ ๆ ไป ในระหว่างที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ด้วยสถานการณ์ใด ๆ ที่ตนต้องเผชิญและฝ่าฟันมันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจะถือกำเนิดที่ไหน? เกิดกับใคร? ต้องเผชิญกับสิ่งใด ส่วนใหญ่จะเป็นบทเรียนที่ถูกกำหนดให้ตนเองต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางอารมณ์แบบต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุบททดสอบการสั่นสะเทือนทางกาย จิต และวิญญาณ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ท้าทาย ความทุกข์ สุข โศก หวาดเสึยว หวาดกลัว อย่างไรล้วนเป็นสิ่งที่ตนเองกำหนดมันมาเองทั้งสิ้น

    อำนาจแห่งพลังงานกรรม

    พลังงานใด ๆ ที่เกิดจากกระบวนการทางชีวภาพ ในระบบวิทยาของมนุษย์ คือพลังงานชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นแล้วสิ้นสูญได้เมื่อถูกนำไปใช้ในกระบวนการนั้น ๆ แต่...พลังงานความคิดและพลังงานทางอารมณ์ที่เกิดจากจิตใจ จิตสำนึกหรือสมอง คือ พลังงานกรรมจะไม่มีการสิ้นสูญ นอกจากมนุษย์ที่เป็นเจ้าของมันจะยอมรับใช้และชดใช้มันสถานเดียว คนอื่น ๆ ไม่อาจช่วยเหลือได้ดัวคำที่กล่าวว่า

    กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

    พลังกรรมที่สร้างขึ้นไม่อาจสูญหายไปไหนได้ จะไม่มีวันเสื่อมสลาย โดยพลังงานกรรมในอดีตชาติส่งผลถึงปัจจุบันได้ การสร้างพลังงานกรรมของมนุษย์ในแต่ละภพชาติ จึงเป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณที่จะติดตามไปเกิดในทุก ๆ ภพชาตินั้น ๆ ไม่ว่าจะไปสู่รูปธรรมใด ที่ใด หรือดาวเคราะห์ดวงใดในจักรวาลนี้ กลุ่มพลังงานกรรมเหล่านี้จะไร้พลังอำนาจก็ต่อเมื่อมนุษย์ที่เป็นเจ้าของมัน ทำให้แตกสลายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางแทรกซึมไปทั่วจักรวาลเท่านั้น คุณสมบัติของกรรมนั้นจึงจะหมดไป

    บทเรียนแต่ละบทเพื่อการทดสอบ ล้วนมีความเหมาะสมสำหรับมนุษย์บนโลกที่เปรียบเป็นโรงเรียนแห่งจักรวาลนี้ ซึ่งในแต่ละเหตุการณ์และสถานการณ์ใด ๆ ที่มนุษย์จะต้องเผชิญได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้า โดยละเว้นคำตอบให้มนุษย์ใช้ความสามารถในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ ซึ่งพลังงานพื้นฐานทีมนุษย์ได้นำมาได้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ คือ พลังงานแห่งความรัก ซึ่งเป็นพลังงานหลักที่ทรงอำนาจในการก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนสูงสุดต่อทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ที่ทุกจิตวิญญาณนำมาด้วย

    มนุษย์พึงรู้ว่า กลุ่มพลังงานกรรมเหล่านี้ จะมีลักษณะเป็นเมฆหมอกสีดำ ภายในใจกลางจะมีแสงสว่างเร้นอยู่ภายใน อันเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จที่จิตวิญญาณจะได้รับมันทันทีที่ฟันฝ่ามันเข้าไปถึงได้ การเผชิญหน้าและการฟันฝ่าปัญหา เสมือนการเดินฝ่าเข้าไปในกลุ่มเมฆมอกนั้น เมื่อถึงจุดหมายคือแสงสว่างภายใน เมฆหมอกหนานั้นจะสลายตัวหายวับไปทันที มนุษย์ก็จะเป็นอิสระจากกลุ่มกรรมนั้นในทันทีเช่นเดียวกัน

    นี่คือนามที่จักรวาลและรูปธรรมต่าง ๆ เรียกขานมนุษย์ว่าเป็น "นักรบแสงสว่าง" ซึ่งเกิดมาจากกิจกรรมมหัศจรรย์ที่กล่าวมานี้
     
  11. ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    549
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +707
    เลยวาเลนไทม์มาแล้วท่านหงบยังไม่โผล่ถ้าหาความสงบได้ส่งข่าวมาด้วยนะท่านหงบธรรมมะมันต้องเข้าถึงพลังงานที่แท้จริงไม่ไช่ก็อบมาเกทับคนอื่นถ้าเข้าใจพลังงานที่แท้จริงกรรมจากการปรามาสมันจะไม่เกิดขึ้นสาธุ
     
  12. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    เรื่องกฎแห่งกรรม จิตยิ้มว่านำมากล่าวไว้ในรายละเอียดที่น่าจะมากพอแล้วในหลาย ๆ กระทู้ จะขอกล่าวเรื่อง "การสร้างพลังอำนาจในตนเอง" ที่จริงแล้วเกี่ยวกับเรื่อง มหาสติ นะค่ะ แต่ว่าที่ต้องการนำมาให้พิจารณา อยากนำเรื่อง "การไขปริศนาธรรมจักร" ก่อนดีกว่าค่ะ เพราะเชื่อว่าหลาย ๆ คน สามารถนำไปพิจารณากับพระศาสนาของเราได้ค่ะ
     
  13. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    จิตยิ้มว่าน่าจะหมายถึงตนเองด้วยนะคะในที่ผ่านมา แต่เรื่องพลังงานนั้นจิตยิ้มเข้าใจอย่างดีเลยค่ะ แต่ด้วยเพราะสติไม่แข็งพอที่จะสู้กับกิลสตัณหาที่สั่งสมเอาไว้ ก็เลยพ่ายให้กับกิเลสไปนะค่ะ

    แต่...เขาบอกว่าคนดีชอบแก้ไขค่ะ หรือการฝึกฝนอบรมพัฒนาตนเอง หากพบว่าไม่เป็นที่พอใจหรือเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็สามารถจะเปลี่ยนใจด้วยการตัดสินใจใหม่ในเรื่องนั้น ๆ ได้อีกตามต้องการ เพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์เรียนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ จะได้ตัดสินใจถูกต้องกว่าเดิม นี้ก็เป็นกระบวนการเรียนรู้และพิสูจน์สู้เพื่อการตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องกว่าในครั้งต่อไปค่ะ

    ตราบใดที่เราจะยกระดับจิตสำนึกและจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้ คือ จะต้องไม่คิดรู้สึกและกระทำสิ่งใด ๆ ก็ตามด้วยจิตมนุษย์ แต่ให้คิดรู้สึกและกระทำสิ่งใด ๆ ด้วยจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของตนแทนให้จงได้

    จิตวิญญาณส่วนที่สองที่แบ่งภาคตนเองออกมาทำหน้าที่แสดงออกหรือกระทำใด ๆ ในชีวิตประจำวัน มนุษย์ทั้งหลายจะเรียกว่า

    "จิตหยาบ" หรือ "จิตมนุษย์" หรือ "จิตภายนอก"

    ที่นำไปสู่การแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใด ๆ ได้ 5 ช่องทาง คือ

    1.สั่นสะเทือนผ่านอารมณ์รู้สึกนึกคิด
    2.สั่นสะเทือนผ่านการนึกคิดของจิต
    3.สั่นสะเทือนผ่านการคิดของสมอง
    4.สั่นสะเทือผ่านทางความเคยชินอันเกิดจากการจำได้หมายรู้
    5.สั่นสะเทือนผ่านกลไกประสาทอัตโนมัติ


    ด้วยช่องทางทั้งห้านี้ คือการสั่นสะเทือนเกิดพลังอำนาจในการขับเคลื่อนการแสดงออกหรือพฤติกรรม ที่เป็นการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกทั้งห้าเป็นของ "จิตหยาบ" ที่แบ่งภาคออกมาจากจิตวิญญาณอีกทีนั้น ที่ยังไม่สามารถสั่นสะเทือนไปทางด้านบวก คือ การแสดงออกที่ถูกต้อง เหมาะสม และดีงามได้

    ก็ให้มีสติและรู้จักควบคุมจิตใจของตนเองเอาไว้ให้มั่นและระมัดระวังตนเองเอาไว้เสมอ นั่นคือ จะต้องรู้จักควบคุมจิตใจของตนเองในการสนองตอบสิ่งเร้าภายนอกไม่ให้มากระตุ้นต่อมควบคุมอารมณ์ของเราไปในทางที่เราไม่ต้องการให้จงได้ เป้าหมายสูงสุดที่เราต้องหาให้พบคือ ความสงบสุขในจิตใจ เพียงอย่างเดียวเท่านั่นที่ตัวเราจะต้องควานหามันให้พบไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด ๆ ค่ะ

    สิ่งนี้ได้รู้และเข้าใจแล้วค่ะ
     
  14. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    มนุษย์ก็เป็นสรรพสิ่งหนึ่งในสนามพลังงานจักรวาล ที่ถูกกำหนดให้ดำรงอยู่ในระบบโลก ซึ่งมีหน้าที่จะต้องสร้างความสมดุลในตนเองให้สัมพันธ์กันกับสรรพสิ่งอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบโลก ด้วยการเหวี่ยงหมุนรอบตนเองเช่นเดียวกัน

    ถ้าเช่นนั้น มนุษย์แต่ละคนจะต้องเหวี่ยงหมุนอะไรในตนเองกันแน่ จึงจะสร้างความสมดุลตามต้องการดังกล่าวนั้นได้

    คำตอบคือ มนุษย์ทุกคนจะต้องเหวี่ยงหมุนธรรมชาติภายในตนเอง

    การเหวี่ยงหมุนธรรมชาติภายในตนเองของมนุษย์ จะก่อให้เกิด "กงล้อแห่งธรรมชาติ" ขึ้นมาได้

    กงล้อแห่งธรรมชาติ จึงหมายถึง "ธรรมจักร" นั่นเอง


    การเหวี่ยงหมุนธรรมชาติภายในตนเองของมนุษย์ ซึ่งเป็นคนสองมิติเพราะมีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้อยู่ภายใน เพื่อก่อให้เกิดเป็นธรรมจักรในตนเองขึ้นนั้น ก็ไม่ต่างจากการคนเครื่องชงดื่มในแก้ว ที่ว่ามนุษย์จะต้อง "คน" คือ การทำให้ทุกสิ่งกลมกลืนกันจนเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยการทำให้น้ำนั้นหมุนวนจากรอบนอกเข้าหาจุดศูนย์กลางที่อยู่ข้างใน แล้วม้วนตัวออกมาภายนอกสุด แล้วจึงค่อยม้วนตัววนเข้าสู่จุดศูนย์กลาง เป็นการหมุนนั้นใหม่อย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ หรือ การ "คน" ให้อะไรกับอะไรให้จนเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงเกิดธรรมจักรในตนเองขึ้นมาได้ดั่งประสงค์กันล่ะ

    นี้เป็นการเปิดเผยความลับของธรรมจักรเป็นครั้งแรกในโลกมนุษย์อีกต่างหากด้วย
     
  15. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ยุคสมัยที่เทคโนโลยีคือลมหายใจ แล้วเกิดปัญหาต่อสุขภาพร่างกาย ต้องทำอย่างไร?

    ทุกคนเชื่อไหม แม้แต่โลก หรือ แม้แต่ตัวเราล้วนต้องอยู่ในกระบวนการนี้ทั้งสิ้น



    ทุกสรรพสิ่งไม่เว้นแม้แต่สรรพสิ่งใดแม้แต่สักอย่างเดียว...

    โลกของเราต้องหมุนรอบตนเองเกิดความสมดุลเพื่อรักษาพลังอำนาจของตนเองเอาไว้ "กฎแห่งความสมดุล" เป็นกฎแห่งธรรมชาติทุกสรรพสิ่ง แม้แต่ตัวของมนุษย์เองก็มีการหมุนเป็นการสร้างความสมดุลให้แก่จิตวิญญาณของตน โลกต้องหมุนรอบตัวเองก็เพื่อกระบวนการนี้ และหมุนตัวของโลกก็เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนบนโลกให้หมุนไปตามกระบวนการนี้ด้วยเช่นกัน

    ในยุคสมัยของเทคโนโลยีที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หรือเป็นลมหายใจ หากใครที่ต้องทำงานหรืออยู่กับมันมาก ๆ และรู้สึกว่าตนเองอ่อนเพลียเหนื่อยล้า ทำอย่างไรก็ไม่หาย หรือไม่ทราบสาเหตุ(ยกเว้นผู้ปฏิบัติสมาธิหากรู้สึกแบบนั้นเมื่อนั่งสมาธิก็จะหาย) แต่ถ้าใครทำสมาธิแล้วไม่หายลองทำวิธีนี้ คือ หมุนตัว ดูก็ได้ค่ะ บางคนจะรู้สึกหายอ่อนเพลียมึนงง กลับมาหายได้เลยก็มี และจะได้พิสูจน์ด้วยว่าจริงหรือเปล่า ที่ทุกสรรพสิ่งต้องหมุนรอบตนเองเพื่อรักษาความสมดุลของตนเองและของระบบเอาไว้นะค่ะ

    ........................

    สาเหตุที่หนุ่มเกาหลีตายด้วยกรณีเล่นเกมส์ทั้งวันทั้งคืนติดต่อกันหลายเดือน นอกจากจะพักผ่อนไม่เพียงพอแล้ว ยังมีอีกประเด็นหนึ่งค่ะ

    กระบวนการทางชีวภาพของร่างกายมนุษย์ เช่น การคิดอ่าน ล้วนอยู่ในรูปของ พลังไฟฟ้าเคมี Electro-chemical) กิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ทุกส่วนของอวัยวะร่างกายทั้งภายนอกและภายใน ล้วนแล้วอยู่ในสภาวะที่สมดุลกันทางแม่เหล็กเสมอ มันย่อมอ่อนไหวง่ายมาก หากมีสนามแม่เหล็กไฟฟ้านอกร่างกายมากระทบโดยตรงกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเข้า จะเป็นผลให้กระบวนการทางไฟฟ้าของอวัยวะส่วนนั้นถูกรบกวนจนเสียสมดุลไปทันที ความผิดปกติของร่างกายจึงเกิดขึ้น

    เครื่องใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันแทบทุกชนิด ล้วนก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กเทียมได้ทั้งสิ้น เช่น โทรศัพท์ หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ และอื่น ๆ ความสมดุลทางแม่เหล็กของเซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายมนุษย์เปรียบได้กับแม่กุญแจที่เป็นรหัสพันธุกรรมของมนุษย์แต่ละคน ผลกระทบจากสนามแม่เหล็กเทียม จะมีผลต่อความต่างของขั้วเซลล์ (การทดสอบเครื่องไฟฟ้าชนิดใดเป็นตัวการก่อให้เกิด สนามแม่เหล็กเทียมหรือไม่ ให้ทดลองนำเข็มทิศขนาดเล็กมาไว้ใกล้ ๆ หากเข็มทิศนั้นกระดิกเบี่ยงเบนไปทางเหนือ หรือมีอาการสั่นไม่หยุดนิ่งละก็ นั่นคือ คำตอบที่ต้องการ) เนื่องจากเป็นสนามแม่เหล็กเทียมที่เกิดขึ้นเป็นสนามพลังงานที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ที่น่าเป็นห่วง คือ ผู้ที่ต้องอยู่กับเครื่องใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา หรือทั้งวัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่ตรงหน้าใกล้กว่า 3 เมตร จะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน อาการภูมิต้านทานโรคต่ำ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โรคภูมิแพ้ และโรคหวัด เป็นความเสี่ยงของผู้ที่แวดล้อมด้วยเครื่องไฟฟ้าเหล่านี้มากกว่าคนปกติ บุคคลเหล่านี้ยังมีอาการป่วยไข้ มีการติดเชื้อโรคแปลกปลอมต่าง ๆ เป็นโรคเบาบ้าง รุนแรงบ้าง ถึงขั้นล้มหมอนนอนสื่อถึงขั้นเสียชีวิตไปไม่น้อย บางรายอาจเป็นเพราะสาเหตุความต่างขั้วของเซลล์ขาดความสมดุลไป เพราะใกล้ชิดกับสนามแม่เหล็กเทียมดังกล่าวนี้ก็เป็นได้ ถ้าหากไม่มั่นใจว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสภาวะนี้หรือไม่ หรือกำลังอยู่ในสภาพของคนขี้โรค เป็นหวัด หรือป่วยไข้บ่อย ๆ สมองมึนงงง่ายแม้ใช้ความคิดเพียงเล็กน้อย หงุดหงิดง่าย เจ้าอารมณ์ บ่อยครั้งรู้สึกสลึมสลือคล้ายคนง่วงนอน ความจำเสื่อม ปฏิภาณไหวพริบลดน้อยลง

    ลองปฏิบัติ หมุนตัว คือการบำบัด และเป็นการรักษาความสมดุลแม่เหล็กของเซลล์ในร่างกายเราได้อีกวิธีหนึ่ง

    การหมุนตัวของมนุษย์นั้น เป็นการสร้างพลังงานกระแสไฟฟ้าในร่างกายและรักษาความสมดุลของขั้วต่างที่ได้ผลแน่นอน

    ลองทดสอบดูก็ได้ค่ะ เพียงแค่เรากำหนดจะหมุนกางแขนออก ยืนเท้าเดียวแล้วตั้ง จุดสตาร์ท เท่านั้น พลังการหมุนในร่างกายของเราจะเป็นไปเองอัตโนมัติ ลองทดลองดูก็ได้ค่ะ นี่เป็นบททดสอบที่ยืนยันได้ว่า ทุกสรรพสิ่งต้องมีการหมุนเพื่อรักษาความสมดุลของตนเองไว้ ไม่เว้นแต่สิ่งใดในจักรวาลนี้ค่ะ อาการที่เป็นอยู่ก็จะดีขึ้นหรือหายเป็นปลิดทิ้ง หากรู้สึกอ่อนเพลียหมดแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ (แต่ต้องระม้ดระวังสำหรับบางคน เพราะแรงเหวี่ยงจะทำให้เกิดการมึนงงและอาจล้มได้หากไม่แข็งแรงพอ) แต่นี่คือการพิสูจน์ในความเป็นไปเป็นมาของมนุษย์ได้อย่างดีเลยล่ะค่ะ หากใครไม่เชื่อ ลองพิสูจน์ดูค่ะ

    หมายเหตุ สำหรับคนไทยที่อยู่บนแผนที่โลกไปทางเหนือเส้นศูนย์สูตร

    เมื่อต้องการรักษาความสมดุลทางชีวภาพเอาไว้ ให้หมุนตัวไปทางซ้ายมือรอบตัวเอง อันจะมีผลต่อการบำบัดรักษาสุขภาพได้

    หากต้องการที่จะพัฒนาขั้วต่างให้สูงขึ้น จากการขาดความสมดุลเพราะเหตุจากสนามแม่เหล็กเทียมภายนอกรบกวน ให้หมุนตัวไปทางขวาในลักษณะตามเข็มนาฬิกาค่ะ
     
  16. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งของจักรวาล คือ กระบวนการคลี่ขยายและกระบวนการม้วนกลับสู่จุดศูนย์กลางของพลังงานสู่ความเป็นมวลสาร และจากมวลสารกลับสู่พลังงานเป็นหลัก

    มนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคลี่ขยายพลังงานจากจุดศูนย์กลาง และม้วนกลับที่กล่าวแล้ว

    โดยเริ่มต้นจากความเป็นกลุ่มพลังงานกลุ่มหนึ่ง แล้วคลี่ขยายออกมาเป็นกลายหยาบแล้วม้วนห่อพลังงานไว้ภายใน เมื่อร่างกายวิวัฒนาการหรือเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ระบบชีววิทยาร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรมลงสู่วัยชรา การคลี่ขยายเป็นอันสิ้นสุดแล้วเริ่มกระบวนการม้วนกลับเมื่อตอนสังขารดับลง คงจะเหลือกลุ่มพลังงานที่เคยเร้นรูปธรรมเอาไว้ภายในดังเดิมเหมือนตอนเริ่มต้นกระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทุกประการ การเกิดและดับของมนุษย์จึงอยู่ในกระบวนการสำคัญอย่างหนึ่ง อันเป็นกฎเกณฑ์ของจักรวาลเช่นเดียวกัน
     
  17. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    การไขปริศนาแห่งธรรมจักร

    มนุษย์ที่สมดุล จึงย่อมหมุนกงล้อนี้ให้เป็น "ธรรมจักร" เท่านั้น

    ถ้าหมุนกงล้อนี้ไม่เป็น หรือยังคงหมุนผิด ๆ ถูก ๆ กันอยู่ กงล้อแห่งธรรมชาติหรือ "ธรรมจักร" จะกลายเป็น กงล้อแห่งกรรม หรือ "กรรมจักร" ไปทันที

    จึงกล่าวได้ว่าธรรมจักรนั้น อยู่ในเครื่องยนต์แห่งกรรมอันเป็นกายสังขารของมนุษย์ทุก ๆ คนนั่นเอง หน้าที่ของมนุษย์ทุกคนก็คือ จะต้องนำจิตของตนเข้าถึงธรรมจักรในตนเองให้จงได้ โดยต้องหมุนให้เป็น และหมุนให้ถูกต้องอีกด้วย

    การหมุนธรรมจักรไม่เป็น หมายถึง การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกของตนเองด้วยจิตหยาบ หรือจิตมนุษย์ ที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาทั้งหลาย เพื่อการดำเนินชีวิตประจำวัน จนจิตหยาบไม่อาจสามารถเข้าถึงจุดศูนย์กลางของธรรมจักร คือ เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของตนเองได้

    การหมุนธรรมจักรไม่ถูกต้อง หมายถึง การใช้พฤติกรรมทางอารมณ์อันเกิดจากจิตหยาบขับเคลื่อนร่างกายตนเพื่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยมิได้ใช้สติหรือปัญญาพิจารณากรั่นกรองให้ถ่องแท้ก่อนตัดสินใจแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมนั้น ๆ เลย

    พฤติกรรมทางอารมณ์ของมนุษย์ อันเกิดจากการหมุนธรรมจักรไม่ถูกต้อง ล้วนเป็นเงื่อนไขด้านลบที่จะนำไปสู่การทำลาย ความสุข และ ความสงบภายในจิตใจ ของมนุษย์คนอื่น ๆ ได้เสมอ ในที่สุดการโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทซึ่งกันและกันก็จะเกิดขึ้น ซึ่งหมายถึงการเกี่ยวกรรมต่อกันไว้นั่นเอง ยังผลให้การเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณมนุษย์หรือการมีภพชาติเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

    มนุษย์ที่ยังหมุน "กรรมจักร" อยู่ คือ ผู้ที่ยังมิอาจหลุดพ้น หรือ นิพพานได้ทั้งสิ้น
     
  18. เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
  19. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ สำคัญมาก ค่ะ ใครอยากเข้าใจลักษณะนิพพานให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป เชิญติดตามค่ะ...

    เราเคยกล่าวเรื่องจิตหยาบ หรือ จิตมนุษย์ไว้บ้างแล้ว นี่จะเป็นการเปิดธรรมจักร ถ้าใครได้ทำความเข้าใจ เชื่อแน่ค่ะว่าไม่มีใครที่ไม่พยายามค้นหาคำตอบต่อ หรือ ใครที่เข้าใจแก่นของศาสนาได้คงไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่ต้องอ่านให้จบก่อนนะคะ

    ความรูใหม่ในกึ่งพุทธกาลนี้ค่ะ เข้าไปในเว็ปพันทิปมาเหมือนกันค่ะ และหลายคนก็คงแคลงใจหรือปฏิเสธ แต่ถ้าใครรับรู้ด้วยใจ แน่นอนค่ะ สิ่งที่อยู่ภายในจะยอมรับและไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่.ต้องติดตามให้จบค่ะ

    อยากรู้ก็ต้องอ่าน ไม่อยากรู้ก็ต้องอ่าน

    จิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่เป็นแก่นแท้ เดินทางข้ามมิติมาจากแดนสุญญตา ในสนามพลังงานสากล

    บรรดาจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีคุณสมบัติเดิมเป็น สุญญตา

    จิตหยาบ เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ถูกแบ่งภาคออกมาจากแก่นแท้ คือ จิตวิญญาณ เพื่อรับบทบาทในการทำหน้าที่สั่นสะเทือนความเป็นมนุษย์ในสองมิติแทนตน หรือ

    จิตหยาบ เป็นตัวแทนผู้รับมอบอำนาจ ให้ปฏิบัติการแทนจิตวิญญาณ เกิดมาเป็นคนสองมิติในระบบโลก

    จิตหยาบในแต่ละคน มีหน้าที่สั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกสูงสุดทางด้านบวกเท่าที่ตนจะเข้าถึงได้ด้วยอำนาจพลังจิตที่เร้นอยู่ข้างใน ที่เป็นพันธะสัญญา 6 ซึ่งจิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนได้ให้สัจจะไว้ก่อนลงมาเกิดเป็นมนุษย์ คือ ต้องมีอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวกต่อผู้อื่นไว้เสมอ เพื่อนำไปสู่การแสดงออกหรือการกระทำทางด้านบวก

    มนุษย์จะต้องรู้ว่า ตนเองก็คือ จิตหยาบ หรือ จิตมนุษย์ ตนเองมิใช่มีหน้าที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ตนเองจะต้องเป็นได้แค่เพียง "ตัวแทนของแก่นแท้" เท่านั้น จะแสดงบทบาทใด ๆ ไปตามความต้องการทางอารมณ์รู้สึกของจิตมนุษย์ เสมือนหนึ่งกระทำตนไปตามความต้องการเป็นเจ้าของบ้านเสียเองโดยไม่ใส่ใจความต้องการทางจิตวิญญาณผู้เป็นเจ้าของบ้านหรือเป็นเจ้าของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์นั้นไม่ได้

    หน้าที่ของมนุษย์ทุกคนก็คือ จะต้องไม่คิดรู้สึกด้วย จิต และสติปัญญาของมนุษย์

    แต่จะต้องคิดรู้สึกด้วย จิต และ ปัญญาญาณ อันเป็นสติปัญญาของจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของตนเองให้จงได้ มิเช่นนั้นจะทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณไม่สำเร็จและจะนิพพานไม่ได้
     
  20. jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,426
    ค่าพลัง:
    +3,207
    การใช้สติปัญญาของสมองมนุษย์แบ่งเอาไว้ 4 ระดับ

    "สัตว์ตัวหนึ่งหน้าเหมือนโค ตัวหนึ่งหน้าเหมือนมนุษย์ ตัวหนึ่งหน้าเหมือนสิงห์ และตัวหนึ่งหน้าเหมือนนกอินทรีกำลังบิน สัตว์ทั้งสี่มีหกปีก มีตาทั้งรอบนอกและข้างใน ต่างร้องทั้งวันคืนมิหยุดเลย"

    เป็นนัยยะที่อธิบายการเป็นคน สองมิติ ของรูปธรรมจิตวิญญาณ สัตว์ทั้งสี่ หมายถึงระดับสติปัญญาของสมองที่มีเอาไว้ใช้ถึง 4 ระดับ

    1.จิตสัญชาตญาณ เป็นความสามารถขั้นพื้นฐานของจิต ที่สามารถนึกคิดรู้สึกเองได้ คือพฤติกรรมหยาบ ๆ และค่อนข้างก้าวร้าว เป็นสัญชาติญาณประจำสัตว์โลก

    2.จิตปัญญา จิตหยาบ หรือ จิตมนุษย์ ใช้สติปัญญาของสมองให้สูงขึ้นมาได้ในอีกระดับหนึ่งเหนือการใช้สัญชาติญาณก้านสมอง จะสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิด ความอยาก - ไม่อยาก คือ คลื่นความถี่หยาบ ๆ ของจิตที่เกี่ยวข้องกับความอยาก - ไม่อยาก โดยแท้ (สมองส่วนซีกซ้ายนำขวาเพื่อการคิดรู้ของมนุษย์นี่เอง)


    3.ปัญญาญาณ จะเป็นสติปัญญาของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของตนเอง เพื่อสร้างตนเองและสร้างโลก มนุษย์ทุกคนล้วนมีหน้าที่ต้องยกระดับสติปัญญาของตน จาก "จิตปัญญา" มาสู่ระดับ "ปัญญาญาณ" ในภพชาติใดชาติหนึ่งที่เกิดมาเป็นมนุษย์ให้จงได้ การจะบรรลุหน้าที่อันสำคัญยิ่งในพันธะสัญญา 6 มนุษย์ต้องใช้ปัญญาญาณเป็นเครื่องมือสำคัญ และจะขาดมันไม่ได้เลย (เป็นสติปัญญาที่ได้จากการใช้สมองซีกขวานำซ้าย)

    สติปัญญาในระดับจิตมนุษย์ (จิตหยาบ) ได้ถูกกำหนดให้มันใช้งานได้อัตโนมัติในย่านความถี่ต่ำ ๆ ที่เป็นความอยาก-ไม่อยาก ให้มนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ เพื่อให้เรียนรู้จักตนเอง เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม และเรียนรู้ความต้องการของคนอื่น

    ความสามารถของจิตหยาบ ที่ถูกแบ่งภาคมาจากจิตวิญญาณสามารถทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนเพื่อใช้กลไกประสาทสัมผัสทั้งห้า กับการนึกคิดของจิตได้โดยอัตโนมัติ

    ส่วนสติปัญญาที่สูงขึ้น คือ ปัญญาญาณ เป็นสติปัญญาของจิตวิญญาณ ที่มีไว้ให้มนุษย์สามารถยกระดับจิตหยาบของตนให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้อันเป็นสติปัญญาของจิตวิญญาณที่แท้จริง

    เนื่องจากมนุษย์ส่วนใหญ่เคยใช้แต่สติปัญญาของจิตหยาบ (สมองส่วนซีกซ้ายนำขวา) เป็นระบบอัตโนมัติกันมาตั้งแต่ทารกและวัยเด็กจกระทั้งเป็นผู้ใหญ่ ต่างล้วนเคยชินกันเป็นอัติโนมัติมากกว่า จึงพากันและลืมไปว่า ยังมีสติปัญญาระดับ "อริยะ" ที่แยบยลกว่า

    คือ หากว่าตนสามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณ เพื่อการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกทางวิญญาณของตนเองในการดำเนินชีวิตประจำวัน ในบทบาทของคนสองมิติได้แล้ว มนุษย์จะสามารถก้ามข้ามพ้นกฎแห่งกรรมใด ๆ ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะมนุษย์จะไม่มีวันคิดผิด ตัสินใจผิด กระทำผิด มนุษย์จะไม่มีวันเกี่ยวกรรมกับใคร ๆ และสามารถฝ่าฟันบททดสอบจิตสำนึกตนเอง และบทเรียนโลกที่มนุษย์คนอื่น ๆ หยิบยื่นให้ได้อย่างสง่างามทีเดียว

    ดังนั้น จิตวิญญาณผู้มาเกิดเป็นคนสองมิติทั้งหลาย มิได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนรูปธรรมของมนุษย์โดยตรง แต่ได้มอบอำนาจให้จิตหยาบ เป็นผู้กระทำแทน มนุษย์ต้องสำนึกรู้ความจริงในเรื่องนี้เอาไว้

    ตนเป็นตัวแทนของแก่นแท้เท่านั้น และการเป็นตัวแทนของแก่นแท้ หรือจิตวิญญาณ ให้เกิดการแสดงออกหรือกระทำใด ๆ เพื่อจิตวิญญาณของตนเท่านั้น จะสั่นสะเทือนตอบสนองความต้องการทางอารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิตหยาบเองมิได้
     

แชร์หน้านี้