แล้วคนหนึ่งคน.มีจิตกี่ดวง.
เตรียมตัวให้พร้อม!มันกำลังมา แจ้งข่าวสารการชำระโลก
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย jityim, 23 เมษายน 2018.
หน้า 81 ของ 183
-
-
-
-
ตนเองได้เจอเหตุการณ์ และได้เกิดการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม และไม่ดีงาม แต่ตนเองไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมสำนึกผิด ทุกครั้งหาทำอะไรลงไป จะรู้และเห็นอารมณ์ เห็นทุกการกระทำ และรู้ว่าจิตวิญญาณกำลังเสียใจและทุกข์ใจในสิ่งที่ได้กระทำ ว่าต่อไปภายหน้าจะต้องรับผลกรรมเป็นเช่นไร สิ่งที่ทำลงไปแล้วเกิดทุกข์ใจ แสดงว่าจิตวิญญาณภายในได้สื่อให้เรารู้
การกระทำผิดทุกครั้ง ก็คือ การยอมรับ สำนึกผิด และมากำหนดการรู้คิดในสมาธิ เพื่อแก้ไขการกระทำใหม่ นี้เป็นการปฏิบัติของตนเองในตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาค่ะ
บางทีอาจต้องถึงเวลา ที่เราจะนำคำสื่อของจิตจักรวาลที่เป็นผลึกแห่งความรู้ ที่ได้เปิดเผยความลับของกฎแห่งกรรม ที่เป็นความรู้ใหม่ที่ล้วนเต็มไปด้วยคำตอบในเรื่องที่ไม่เข้าใจมาเฉลย ก็ได้ค่ะ
สำหรับตัวเองแล้ว....บางทีก็ยังเข้าข้างตนเองอยู่เลย
มีคำประโยคหนึ่งที่จำไว้ขึ้นใจว่า...
ทุกการกระทำเราอาจไม่ต้องถามใคร แต่...ให้เราถามตนเองได้ว่าเรารู้สึกภาคภูมิใจและเคารพในการกระทำของตนเองได้แล้วหรือยัง
แต่....ก็ยังเข้าข้างตัวเองอยู่....เพราะการกระทำของผู้อื่นคือการเบียดเบียนเรา ให้เราทุกข์ใจก่อน....
เรากระทำไม่ผิด เราแค่ปกป้องตนเองเท่านั้น สิ่งที่กระทำไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่ดีงาม เพราะเราต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่า...มันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำ
และได้พิจารณาตนเองจึงเข้าใจว่า...เพราะอะไร....จึงได้กระทำเช่นนั้น!!
และ...ก็ได้คำตอบมา เพราะ...ขาดความอดทน อดกลั้น นั่นเอง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวว่า.....
หน้าที่ของมนุษย์ในการชดใช้กรรม ก็คือ การเผชิญกรรมด้วยการฝ่าฟันมันไปได้อย่างมีสติ และยอมรับมันโดยไม่หลีกเลี่ยงต่อสู้ หรือ ต่อต้าน เพื่อกำจัดกรรมนั้นให้เป็น กลางหรือโมฆะให้ได้ การต่อสู้หรือการต่อต้านใด ๆ จะเป็นการสร้างกรรมใหม่ทับซ้อนให้ตนเองเข้าไปอีก ความอดทน อดกลั้น และการให้อภัยผู้อื่นเป็นส่วนผสมของพลังงานความรักภายในจิตใจมนุษย์ที่จะสามารถจะดับกรรม ใด ๆ ได้อย่างสิ้นเชิง
ทีนี้จิตยิ้มก็มาคิด คำว่า "วงเวียนกรรม" ก็คือ การทับซ้อนรอยเดิม ที่กระทำซ้ำ ๆ แบบเดิม ๆ เหมือนรอยเกวียนที่เดินตามเท้าโค คือ เปลี่ยนเป็นการกระทำที่ถูกต้องใหม่ไม่ได้ ก็จะตัดสินใจกระทำแบบนั้น อยู่อย่างนั่นเดิม ๆ ตลอดไป
และแล้วก็ได้รับคำตอบ...ที่ตนเข้าข้างตัวเอง...
สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า....มนุษย์เข้าใจว่าความถูกต้อง คือ ความชอบธรรม
หากมนุษย์ทุกคนยึดถืดแนวคิดเช่นนี้ มนุษย์ไม่มีวันค้นหาความถูกต้องที่แท้จริงได้เลย การเลือกข้างจะไม่มีวันชอบธรรมได้ตามต้องการ เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนล้วนยึดถือความคิด ความเข้าใจและการตัดสินใจของตนว่า มันคือ ความถูกต้องชอบธรรมทั้งสิ้น
แก่นแท้ที่ถูกต้อง สามารถเข้าถึงได้ด้วยหลักเหตุและผลเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่บุคคลอื่นเห็นพ้องด้วยเสมอ มิใช่แนวคิดส่วนตัว
ในการดำเนินชีวิตร่วมกันของมนุษย์ บ่อยครั้งที่แต่ละคนจะต้องเผชิญกับข้อขัดข้องในการสร้างความสัมพันธ์ร่วมกัน มนุษย์มักถามหาความถูกต้องของฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งเสมอ
การเป็นมนุษย์ที่สมดุล จำเป็นต้องต้องตัดสินได้อย่างถูกต้องเท่านั้น นั่นคือ ละวางตัวตนของตนให้ได้เสียก่อน และแยกตัวตนผู้กระทำ ออกจากพฤติกรรมที่กระทำ พฤติกรรมใดที่มีความเหมาะสมกว่าภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน
ความถูกต้องที่บกพร่องจากการตัดสินใจเช่นนี้ มันจะสร้างความชอบธรรมระหว่างกันได้อย่างไร?
--------------------------------
ผู้ไม่ปฏิบัติตามทางมรรค 8 ไม่สามารถทำใจให้เหมือนแผ่นดินได้เลย
อยู่กับโลก หากมีพลังจิตน้อย ไม่เข้มแข็ง ย่อมถูกกระแสโลกดึงดูด
สัมมาสมาธิชำระจิตให้นิ่ง เป็นกำแพงควบคุมจิตไม่ให้หวั่นไหวไปตามอารมณ์ได้
จริงค่ะ ถ้าไม่เช่นนั้น เดี๋ยวทำผิดบ้าง เดี๋ยวทำถูกบ้าง สลับกันไปสลับกันมา เป็นอยู่อย่างนี้ ยากมากเลยค่ะ ที่จะไม่ก่อกรรมกับผู้ใดเลย -
กรรมเก่าของนางจิตยิ้ม...ส่งผลมาถึง ปัจจุบัน..(นางจิตยิ้มบอก ชดใช้หมดแล้ว)
กรรมใหม่ของนางจิตยิ้ม ที่กำลังทำอยู่ นางจิตยิ้มบอก ไม่น่าจะมีผลกรรม (เพราะนางจิตยิ้ม ปฏิเสธ เข้าข้างตนเองว่า ตนเองกำลังทำดี ทำถูกต้อง)
...
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว...
นางจิตยิ้ม ก็หวังว่า ตนเองน่าจะได้รับ ผลแห่งกรรมดี เพราะได้เผยแพร่คำสอนของ พระยาธรรมจิตจักรวาล...จิตแห่งสุญตา
...
อิอิ
นี่ขนาด ยังมีจิตต่างดาวมากมาย...เขายังไม่เอามาสอนเลย
แต่นางจิตยิ้มนี่ แน่มาก...เอา จิตจักรวาล จิตสุญตา มาผสมกับ พระธรรมคำสอน ได้ อย่างหน้าตาเฉย(ด้าน)
อิอิ
ก็ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ถึงจะอ้างว่า มาจากจิตพระยาธรรม จิตจักรวาล ป.ป๊อกแป๊ก..เขากล่าวเขาสื่อมา...แต่ คนที่ เอามา เผยแพร่คือ นางจิตยิ้ม.. ก็ย่อมมีส่วนร่วมในกรรม ด้วย
อิอิ
กรรมเก่า บวก กรรมใหม่..นะ
รอยกรรมนะ กงกรรมกงเกวียนนะ...ไช่มั้ยจิตยิ้ม..?
..
อิอิ -
จักรวาลมีจริงมั้ย...มี..มีเพราะอะไร.?
สุญตามีจริงมั้ย....มี...มีเพราะอะไร.?
ถ้า คนเราเกิดมา ไม่มีอายตนะ..รับรอง..ไม่มีหรอกจักรวาล ไม่มีหรอกสุญตา
ที่มัน รู้ มันมี ว่า มีจักรวาล มีสุญตา ก็เพราะ..มีจิต เอาจิตไปรู้..
ความจริง จักรวาลมันก็อยู่ของมันอย่างนั้น สุญตามันก็อยู่ของมันอย่างนั้น..
แต่ ดันมีจิต กระแดะ..(จิตกระแดะ) เข้าไปรู้ เข้าไปแปลความ เข้าไปตีความ เข้าไปค้นหาบัญญัติ..เพื่อให้ค่า ให้ความหมาย....โดยเอาจิตกระแดะนี่แหล่ะ เป็นตัววิจัย อยากรู้อยากเข้าใจ...พอจิตกระแดะมันแปลความได้ตามที่มันต้องการ(สมใจที่มันอยากรู้ ปรุงแต่ง อุปทานให้เป็นที่พอใจ)..มันดันหลงยึดมั่นถือมั่น ว่า ที่รู้มานั่นคือ ตัวมันเอง(มันรับมารู้ เข้าตัว) เป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน กับมัน(เพราะการรู้เปรียบเหมือนการขยายขอบเขตเข้าครอบครองของจิต) เลยกลายเป็น สิ่งที่จิตมี จิตเป็น..แทนที่จะกลายเป็นจิตรู้..ดันกระแดะว่า จิตมี จิตเป็น..กลายมาเป็น รู้จักรวาล..ก็กระแดะตนเองเป็นจิตจักรวาล จิตรู้สุญตา ก็กระแดะมาเป็นจิตสุญตา....
เนี่ย เรื่องมัน มีอยู่แค่นี้...แค่ จิตหลง..เพราะ อัตตาตัวตนมีจิตเป็นสิ่งที่ตนเองยึดมั่นถือมั่นว่า จิตเป็นตัวเป็นตน แล้วก็ไปเที่ยวยึดในสิ่งที่จิตรู้ ..
จะเห็นว่า วิวัฒนาการ การยึดมั่นถือมั่นของจิต..มันจะเคยยึด เรื่องเล็กๆน้อยๆ แล้ววาง หันไปยึดสิ่งใหม่ๆ ไปเรื่อย..ยึดแล้วปล่อย ยึดแล้วปล่อย
จนมาถึง จักรวาล สุญตา มันก็ ปล่อยอันที่ผ่านมา หันมายึด..จักรวาล สุญตา แทน
แล้ว..ต่อไป จิตนี้..มันจะกระแดะ ไปยังไงต่อล่ะ..? -
ก็อย่างที่ว่ามา ถ้าไม่มีอายตนะ...ก็ไม่มีหรอก โลก และจักรวาล สุญตา อะไรบ้าบอเหล่านี้.
ถ้าไม่มีจิต...ก็ไม่มีหรอก ..จักรวาล สุญตาบ้าบอเหล่านี้...
ดังนั้น สิ่งที่ควร จะเห็นความจริงของมันให้ได้ก็คือ..ความจริงของจิต..นั่นเอง
อริยสัจสี่...ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์..
จะมากระแดะ เป็นบ้าไปกับโลกแห่งจิต อยู่นี่..งี่เง่าชะมัด -
จิตที่หยาบ.ย่อมไม่สามารถเข้าถึง.จิตของคน.ที่ใจละเอียดแล้ว.
-
นี่..นังจิตยิ้ม
ตราบใดที่แก ยังไม่มีผัว ไม่มีลูก...จิตของแก มันก็ มาถึงทางตัน แล้ว
เป็นจิตที่เติบโต ต่อไปไม่ได้ แปลว่า...จิตแกจะปล่อยวาง สิ่งที่เกินตน ไม่ได้..
เหมือน ดั่ง ต้นมะละกอตัวผู้...ที่ ต้นเติบโต..ออกดอก แต่ไม่ออกผล...เป็นหมัน
จิตคนเรานี่ ก็เหมือนกัน..เมื่อมันไม่เคยมีความรัก มัน จะเรียนรู้ความรัก ปล่อยวางความรักได้อย่างไร ตามขั้นตอน
อยู่คนเดียว...รักตัวเอง ยึดตัวเอง..ปล่อยวางตัวเอง
อยู่กับพ่อแม่...รักพ่อแม่ ยึดพ่อแม่ ปล่อยวางพ่อแม่
อยู่กับแฟน..รักแฟน ยึดแฟน ปล่อยวางแฟน
อยู่กับผัว รักผัว ยึดผัว ปล่อยวางผัว
อยู่กับลูก รักลูก ยึดลูก ปล่อยวางลูก
อยู่กับโลก รักโลก ยึดโลก ปล่อยวางโลก
อยู่กับจักรวาล ยึดจักรวาล ปล่อยวางจักรวาล
อยู่กับจิต ยึดจิต ปล่อยวางจิต..
.
ชีวิตที่เป็นหมัน ทำข้อสอบไม่ผ่าน..ติด ..กรรม กรำ ระกำ..
ก็ จะเป็นแบบนี้แหล่ะ...เพราะจิต ขาดการเรียนรู้โลกไม่ผ่าน -
จิตที่วิวัฒนาการเจริญเติบโต เรียนรู้โลก..มันจึงต้องมีเหตุปัจจัย ตามธรรมชาติ นั่นก็คือ มีหญิง กับ ชาย..ของคู่กัน...เพื่อ มอบความรัก ความเมตตา กำลังใจ พลังหยินหยาง มอบถ่ายเทแก่กัน เพื่อ การเติบโตของจิตวิญญาณ ที่ต้อง เติบโตไปพร้อมกับความสมดุลย์แห่งจิต (สมดุลย์คือ ไม่ ติดลบ ติดบวก มากเกินไป..อยู่ระดับทางสายกลางคือ ความพอดี ) เพราะหญิงชายคือตัวแทน ของโลก..ตัวแทนของ ผู้สร้างขีวิต ให้ชีวิต มีชีวิต มอบชีวิต พัฒนาชีวิต...
ความรักหญิงชาย ที่เป็นไปตามครรลอง ความถูกต้อง ตามธรรมชาติ ..พลังแห่งหยินหยางที่คอยประคองอุ้มชู ซึ่งกันและกัน เพื่อเรียนรู้โลก ผ่านบททดสอบต่างๆ ไปด้วยกัน..จึงเป็นสิ่งที่ธรรมชาติจัดสรร มาเรียบร้อยแล้ว...การที่จิตจะวิวัฒนาการเรียนรู้ สั่งสม สติปัญญา ได้จึงต้อง..อาศัยซึ่งกันและกัน ในการฝ่าฟันอุปสรรค ผ่านบททดสอบไปด้วยกัน ..สะสมสติปัญญาไปเรื่อยๆ ยกระดับจิต ยกระดับสติปัญญา ไปด้วยกัน..นี่จึงเป็นเส้นทาง แห่งการรู้แจ้งในอริยสัจสี่..รู้แจ้งโลก รู้แจ้งสัจธรรม...ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน -
สิ่งที่ละเอียดและอยู่ที่สูง.คนที่มีคาวมสูงไม่พอ.ย่อมมองไม่เห็น.จะเห็นได้ก็ต่อเมื่อ.มีคาวมสูงมากพอ.
-
สวัสดีวันแห่งความรักค่ะ.....24 กรกฎาคม 2562
ความรักไม่ได้ให้สอนให้ใครเห็นแก่ตัว ความรักกว้างขวางได้เท่ากับสนามพลังงานจักรวาล ความรักที่แท้จริงสามารถบรรจุไว้ในใจของคนใด จะมากล้นใจและยิ่งใหญ่แผ่ขยายกว้างไกลได้ไม่มีประมาณ
ความรักไม่ได้สอนให้ใครเห็นแก่ตัว ว่ารักเราแล้วห้ามรักใครอื่นอีก ใครคนใดคนหนึ่งจะมีค่าในหัวใจของใครอีกคนเพียงแค่ไหนขึ้นอยู่กับคุณค่าในดวงใจที่ผู้นั้นมอบให้ เราอยากได้และยิ่งหวงแหนเพียงใด ยิ่งปิดยิ่งไร้ค่ามากเท่านั้น
ความรักไม่ได้ให้อิจฉาริษยาใคร ถ้าริษยาไปมีแต่หมดคุณค่า แต่..ความรักมีแต่ให้ เพื่อยกระดับจิตใจซึ่งกันและกัน เราปราถนาเขามีนิสัยดีงามและมีหัวใจยิ่งใหญ่มากเท่าใด สิ่งดี ๆ ที่เราอยากให้ ช่วยเหลือสนับสนุนและส่งเสริมให้เขานิสัยที่ดีงามช่นนั้นย่อมสะท้อนกลับคืนมาสู่ตัวเราด้วยอีกเช่นกัน ถ้าคิดจะเอาเห็นแก่ตัวเอง ส้กวันความเห็นแก่ตัวนั้นย่อมคืนกลับคืนตัวเราด้วยในที่สุด
อยากบอกความในใจ ชาตินี้ได้ชดใช้เรียนรู้อยู่ 2 เรื่อง คือ ความรัก และอารมณ์ หากได้รับบทเรียนแล้วสอบไม่ผ่าน จะวนเวียนเรื่องราวสถานการณ์มาให้เป็นระยะจนกว่าจะสอบผ่าน จากปัจจุบัน ไปพบเจออนาคต ปัจจุบันไม่ผ่าน อนาคตจะต้องเจอ ย้อนสืบสาวไปทังอดีต ปัจจุบัน อนาคต เชื่อมโยงกัน เพียงแค่เปลี่ยนบุคคล และสถานการณ์ แต่เหตุการณ์ที่ให้ตัดสินใจคล้าย ๆ เรื่องเดิม
และที่สำคัญคือ ทุกคนล้วนแล้วตอบสนองต่อตัวเรา มีความคิดเห็นแบบเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่แท้จริงเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น คงเป็นเพราะวิบากกรรมที่เป็นเงาตามตัวเราไว้ จึงดึงดูดให้ใคร ๆ คิดเห็นและกระทำเช่นนั้นกับเรา นั่นเอง
แล้วเราต้องทำอย่างไร!
คือ...การยืนหยัดความคิดและเจตนาที่เราคิดว่าดีงามเช่นเดิม หากวันหนึ่งวันใด แรงกรรมที่ครอบเราไว้อ่อนแรงลงไป และหายไป วันนั้นเราคงเป็นอิสระจากกรรม ผลแห่งจากเจตนาดีนั้นจะต้องส่งผลให้เราได้สักวันอย่างแน่นอน -
เพรชที่เจียระไนดีแล้ว....เมื่อกระทบแสงสว่าง....ย่อมเปล่งประกาย....อันแสดงใหัเห็นว่าเป็น...เพรชแท้.
-
- น้องครับ น้องครับ
- อะไรครับพี่
- พี่ขอเอารถโรงบาลจอดหน้าบ้านน้องเเป๊บนึงได้เปล่าครับ
- ได้ครับพี่ อะไรยังไงครับนี่
- คนไข้ ไม่กินยา แล้วหนีออกมาจากโรงบาลครับน้อง พี่มาตามจับ -
องค์ประกอบหลักของจิต....
จิตในกายมนุษย์ ที่เร้นอยู่ในกายสังขาร ซึ่งเป็นโครงสร้างทางชีววิทยาและเป็นเปลือกนอกของแก่นแท้ ที่ห่อหุ้มจิตวิญญาณของแต่ละคนไว้ภายในนั้น ประกอบด้วย จิตย่อย ๆ รวมทั้งสิ้น 189 ดวง ต่างก็สามารถแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อการรับรู้และการกระทำ ที่แตกต่างกันออกไปเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มจะมีความชำนาญเฉพาะทาง จิตจะมีหน้าที่เฉพาะตนออกได้ 5 ส่วน
1.จิตรู้ทุกข์สุข
2.จิตรู้จำหรือรู้ตัว
3.จิตรู้รับรู้
4.จิตรู้คิดปรุงแต่ง
5.จิตใต้สำนึก
เทคนิคการฝึกสติด้วยการตื่นรู้......
ในบรรดาจิตทั้ง 189 ดวง จิตบางกลุ่มมันจะคอยทำหน้าที่รับรู้อาการของจิตดวงอื่น ๆ เมื่อสั่นสะเทือนเป็นคลื่นอารมณ์รู้สึกเกิดขึ้นจากการสัมผัสรู้สิ่งเร้าใด ๆ รวมอยู่ในนั้นด้วย มนุษย์จึงควรรู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์เพื่อการนี้
อาการของใจก็คือ "จิต" ที่แสดงอาการเป็นอารมณ์รู้สึกให้มนุษย์รับรู้ได้เสมอ จงใช้จิตที่ทำหน้าที่เป็นตัวรู้หรือรับรู้อาการของจิตด้วยกันเอง คอยติดตามเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงบทบาทของมันไว้ทุกระยะ โดยเริ่มต้นติดตามเฝ้าดูตั้งแต่สภาวะจิตของตนยังอยู่ในสภาวะสมดุลตั้งแต่ต้นเท่านั้น
ให้สังเกตุว่า ถ้าจิตอยู่ในสภาวะสมดุล มันมีอาการรู้สึกได้แบบใด ปกติแล้วจะรู้สึกว่าโปร่งโล่งราบเรียบ หรือ หาอาการทางกายเพื่อหาจุดสมดุลก็ได้ เช่นการหายใจเข้า-ออก ชีพจรเต้นปกติ เมื่อพบแล้วจงวางความสนใจไว้ที่สภาวะดังกล่าวอย่างมั่นคง ถ้ามีสิ่งใดมากระทบสัมผัสเมื่อใด จิตมันจะมีอาการสั่นไหวขึ้น โดยภาพรวมแล้วมันมักจะเกิดอาการอยู่สองด้าน ไม่ด้านใดด้านหนึ่ง คือ ด้านสุขใจ กับอีกด้านคือทุกข์ใจ หรือพอใจกับไม่พอใจ นั่นเอง
ช่องทางสิ่งเร้าที่จะมากระทบสัมผัสกับจิตตน มี 3 ช่องทาง
คือ ตาดู หูได้ยิน และการนึกคิดของจิตเอง
เมื่อจิตทำหน้าที่รับสัมผัสสั่นสะเทือนขึ้นแล้ว จิตอีกกลุ่มหนึ่งจะทำหน้าที่ปรุงแต่งข้อมูลที่ได้รับมา มันจะทำหน้าที่เชื่อมโยงกันอัตโนมัติ แบบทันทีทันควันถ้าไม่ติดเบรกมันไว้เสียก่อน
ธรรมชาติแล้วเมื่อเกิดการรับรู้ มันจะนำไปสู่การรับเอา เพื่อการปรุงแต่งเป็นอารมณ์ในทันที
การเฝ้าระวังอาการของใจ ก็คือ การเฝ้าดูอาการรับรู้และผลของการรับเอานี่เอง
ถ้า "ฌาน" หมายถึง ระดับขั้นของจิตทั้ง 189 ดวงซึ่งแยกกันทำหน้าที่ต่าง ๆ เมื่อถูกลดละบทบาทลงไปทีละขั้น ให้มันไร้สำนึกไปเรื่อย ๆ เข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด ที่เรียกว่า ฌาน ขั้นสูงสุด คือ หลุดพ้นได้ทุกดวงแล้ว "ญาณ" ก็หมายถึง ความสามารถหรือความเฉลียวฉลาดในการใช้ปัญญาญาณ ในระดับต่าง ๆ ของ "จิตฌาน" นั้น นั่นเอง
จิตมนุษย์ที่สามารถดับอารมณ์หยาบ ๆ ที่เป็นกิเลสได้มากเท่าใด ในสภาวะของสมาธิ มันจะสร้างแรงสั่นสะเทือนทางความคิด เพื่อการใช้สติปัญญาของสมองซีกขวานำซ้ายได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น มันจะเป็นการคิดอย่างมีมิติการคิดในเชิงสังเคราะห์ ไม่ใช่วิเคราะห์ เป็นการคิดในลักษณะของการนำเอาจิตของตนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่กำลังคิดนั้น ตามศาสตร์แห่งการเป็นหนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง ประสิทธิภาพหรือพลังอำนาจของจิต ในสภาวะที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากจิตที่ยึดติดกับตัวตนและการปรุงแต่งได้มากเท่าใด มันจะยิ่งมีพลังอำนาจสูงมากเท่านั้น
พลังอำนาจของจิตในขั้นนี้ มีไว้เพื่อการคิดรู้ และการหยั่งรู้ ทั้งสองด้านรวมกันเรียกว่า ปัญญาณเพื่อการคิดรู้
การปฏิบัติจิตในขั้นสมถะกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐาน โดยทำจิตให้ดิ่งสู่ฌานขั้นต่าง ๆ ได้จนเกิดญาณ หรือ สติปัญญาระบบใหม่เกิดขึ้น ขณะกำลังปฏิบัติอยู่นั้น หากไม่นำสติปัญญาที่เกิดขึ้นไปใช้เพื่อการพิจารณา สัจธรรมอันเป็นความจริงที่ยากต่อการคิดเข้าใจแบบจิตมนุษย์ปกติ เพื่อการรู้แจ้งในสิ่งนั้นที่จะได้เลิกยึดติด หรือละวางมันออกไปจากจิตของตนไปทีละเรื่อง ก็นับว่าน่าเสียดายโอกาสดี ๆ อย่างยิ่ง
เพราะ...ปัญญาญาณ หรือ สติปัญญาของจิตวิญญาณเท่านั้นที่จะช่วยให้มนุษย์บรรลุวัตถุประสงค์ในการชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้ เนื่องจากมันมีพลังอำนาจสูงกว่าและชำนาญกว่าสมองซีกซ้ายอันเป็นกลไกการคิดปกติของคนเรา ซึ่งทำงานร่วมกับจิตหยาบมาตั้งแต่เกิด โดยมีอารมณ์หยาบ ๆ เข้าไปยุ่งเกี่ยวตลอดเวลา
การเรียนรู้ของจิตหยาบสามารถทำได้เพียงการรู้จริงและเข้าใจเท่านั้น โดยเอาแน่เอานอนไม่ได้ เมื่อรู้จริงและเข้าใจแล้ว จิตของตนมันจะยอมรับยอมจำนนด้วยจิตสำนึกแท้จริงไปด้วยหรือไม่ (ใช่เลยค่ะ จิตยิ้มเป็นอยู่)
ซึ่งธรรมชาติของจิตหยาบแล้ว หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความจริงของตนที่ตนเองที่มันยึดติดอยู่ แม้จะรู้จริงในสิ่งนั้นและเข้าใจมันดีแล้ว แต่อาการดื้อรั้นไม่ยอมจำนนไม่ยอมรับอยู่ลึก ๆ ต่อความจริงนั้นเสมอ เพราะมีอำนาจของจิตที่เกาะติดไว้ด้วยกิเลส คอยบงการมันอยู่ (ใช่เลยค่ะ )
คิดว่าอย่างไรกันบ้างคะ -
NASA ได้ออกมายืนยันแล้วค่ะ...ว่าโลกกำลังขาดความสมดุล
จากกระทู้นี้ค่ะ...
โลกกำลังหมุนช้าลง! นาซ่าเผยผลกระทบใหญ่ แผ่นดินไหวบ่อย
https://palungjit.org/threads/โลกกำลังหมุนช้าลง-นาซ่าเผยส่งผลกระทบใหญ่-แผ่นดินไหวบ่อย.687472/
สิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า....
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ถูกกำหนดให้เป็นจุดศูนย์กลางของพลังงานเอกภพ และยังต้องค้ำจุนระบบสุริยะจักรวาลแห่งตนให้สมดุลไว้ตลอดเช่นเดียวกัน
ในขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความอยู่นี้ การเคลื่อนไหวของโลก เหมือนให้ได้สัมผัสรับรู้ได้ว่าจริงค่ะ คือ การเคลื่อนไหวแบบสโลโมชั่น หรือ อ่อนแรง หรือ หมดแรง (ไม่รู้จะสรรหาคำใดมากล่าวค่ะ)
ความสมดุลนั้นต้องสมดุลทั้ง 2 มิติ หรือ สองด้าน คือ ความสมดุลทางด้านกายภาพ และความสมดุลด้านพลังงาน
ความสมดุลดังกล่าวนี้จะดำรงอยู่อย่างคงที่ได้ก็ต่อเมื่อ...
1.ความสมดุลด้านน้ำหนักมวล ที่ขึ้นอยู่กับจำนวนหน่วยของแต่ละสรรพสิ่งในทางมิติกายภาพ ที่ดำรงอยู่บนพื้นผิวดาวเคราะห์โลก
2.ความสมดุลด้านพิกัดตำแหน่ง การดำรงอยู่ของแต่ละสรรพสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เมื่อแรก
3.ความสมดุลด้านอำนาจแม่เหล็กโลกในมิติพลังงาน
ด้านสมดุลด้านน้ำหนักมวล หรือ จำนวนมวล
ดาวเคราะห์มีลักษณะรูปธรรมเป็นทรงกลม คล้ายผลส้ม ที่ล่องลอยในสนามพลังงาน ที่มนุษย์เรียกว่า "ที่ว่างโล่ง" หรือ "อวกาศ" ดาวเคราะหฺโลกนี้มิได้ล่องลอยอยู่เฉย ๆ ดั่งลูกบอลที่ลอยตามน้ำหรือลอยไปตามกระแสลม แต่ขณะที่ลอยต้องรักษาคุณสมบัติของตนเองเอาไว้ด้วย
1. มีการเหวี่ยวหมุนรอบตัวเอง ด้วยอัตราเร็วคงที่
2.มีการโคจรไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ด้วยอัตราเร็วคงที่
3.มีแนวแกนหมุนที่เอียงทำมุมแนวดิ่ง ซึ่งตั้งฉากกับแนวระนาบระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์เป็นมุมองศาที่คงเดิมตลอดเวลา
ปลายยุคพลังงานเก่าก่อนการชำระโลกนั้น อัตราการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองมีค่าเท่ากับ 24 ชม.ต่อรอบ ซึ่งเป็นอัตราการเหวี่ยงหมุนที่ช้าที่สุด ซึ่งมันจะเหวี่ยงหมุนด้วยอัตราความเร็วที่ช้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นระบบดาวเคราะห์โลกดวงนี้จะเสียสมดุลไปทั้งระบบทันที เพราะแรงดึงดูด หรือ "แรวโน้มถ่วงแห่งดาวเคราะห์โลก" จะต่ำเกินกว่าระดับค่ามาตรฐาน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ....
ดาวเคราะห์โลกจะไม่อาจยึดรั้งสรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้ง 6 จำพวก คือ
ดิน หิน ทราย
พืขพันธ์ไม้ สาลลม แสงแดด คลื่นพลังงานต่าง ๆ
สัตว์ประจำโลก สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ หลากหลายเผ่าพันธ์
มนุษย์โลกทุกคน
ดาวเคราะห์โลกซึ่งเป็นตัวตนกายภาพเอง
รูปธรรมจิตวิญญาณที่ดำรงตนเองซ้อนอยู่ในทางมิติกายภาพ
ทั้ง 6 อย่างนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นหนึ่งเดียวกันกับดาวเคราะห์โลก
เหมือนกับ...ถ้าลูกข่างถูกกำหนดถูกกำหนดให้มีแรงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองคงที่ ในขณะที่เหวี่ยงหมุนมนุษย์เพิ่มน้ำหนักมวลใส่เข้าไปให้แก่ลูกข่างอยู่เรื่อย ๆ มันย่อมทำให้น้ำหนักมวลเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ลูกข่างนั้นจะหมุนช้าลงเรือย ๆ ในที่สุดมันก็จะโคลงเคลงหรือแกว่ง ซึ่งเป็นอาการที่เสียสมดุล อีกไม่นานต่อมามันก็จะล้มลงหรือหยุดหมุน
มายาที่ปรากฎขึ้น กรณีใส่น้ำหนักมวลเพิ่มเข้าไปในระบบลูกข่างเรื่อย ๆ ขณะที่แรงหมุนรอบตัวเองมันคงที่ก็คือ
อัตราการเหวี่ยงหมุนรอยตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปในทางต่ำลง หรือ หมุนช้าลง
โลกก็เช่นเดียวกัน...
มายาที่ปรากฎได้ว่าโลกหมุนช้าลง....
1.ดางเคราะห์โลก จะเกิดอาการกวัดแกว่งหรือส่ายไปมาในขณะที่หมุนรอบตัวเอง (ยืนยันค่ะ ขณะนี้โลกกำลังอยู่ในสภาพแบบนี้) คือ ทำให้ฤดูกาล อันหมายถึงภูมิอากาศ หรือดินฟ้าอากาศเกิดการวิปริตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
2.ดาวเคราะห์โลก จะมีโรงโน้มถ่วหรือแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งสรรพสิ่งต่างๆ ไม่ควที่ ต้องพลอยมีผลกระทบโดยถูกลดทอนพลังอำนาจต่ำลง
ความสำคัญของจุดกึ่งกลาง มันจะต้องมีพิกัดคงที่ จะเคลื่อนย้ายไปจากเดิมไม่ได้ เพราะถ้าหากย้ายไปจากเดิม วงกลมหรือทรงกลมนั้นจะบูดเบี้ยวไม่เป็นทรงกลม สิ่งที่อยู่ภายในทรงกลมเดียวกันจะเกิดอาการเสียสมดุลระหว่างกันตามไปด้วย
การปะทะกัน หรือ การชนกันระหว่างสรรพสิ่ง และการแตกระเบิดของสรรพสิ่งในระบบย่อย ในอันที่จะนำไปสู่เหตุแห่งการทำลายระบบใหญ่ทั้งระบบ คือ "เอกภพ" ให้พินาศย่อยยับดั่งทฤษฎี "โดมิโน่" จะเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในมิติกายภาพโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ปรากฎการณ์แห่งการเสียสมดุลของระบบโลก อันนำไปสู่การเสียสมดุลของระบบเอกภพ ซึ่งเป็นระบบใหญ่ที่กล่าวนี้ ได้ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาประการหนึ่งในจักรวาลนี้ และเป็นปัญหาหลักสำคัญปัญหาหนึ่งของมนุษยชาติแห่งดาวเคราะห์โลกดวงนี้ที่ต้องเร่งแก้ไขให้ลุล่วงโดยพลัน
นี้คือที้มา เหตุผลของการชำระโลกครั้งใหญ่ เป็นครั้งที่ 4 ซึ่งที่ผ่านมาระบบดาวเคราะห์โลกดวงนี้ได้ถูกผ่านการชำระมา 3 ครั้งแล้ว
และปัญหาที่สำคัญ....
มนุษย์ปลายยุคพลังงานเก่า สามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณ กันได้ยากมากขึ้น
นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการเสียสมดุลของระบบโลก อันเกิดจากน้ำหนักมวลบนพื้นผิวโลกถูกทำให้เพิ่มขึ้นเกินพิกัดที่โลกจะรับไหว ซึ่งมันจะมีผลกระทบต่อเอกภพที่เป็นระบบใหญ่ แล้วในที่สุดมันก็จะส่งผลกระทบย้อนกลับในทิศทางของมุมสามเหลี่ยมคืนสู่มวลมนุษย์โลกในฐานะผู้ก่อเหตุจนได้
หน้า 81 ของ 183