มีการสอนว่า ให้พูดกับตัวเอง บอกตัวเอง นำเข็มทิศตัวเอง
ว่าให้ตนเองไปอย่างไร เป็นแบบไหน
อันนี้ ไม่เหมือนการฝึกจิตทางพุทธนะครับ
ทางพุทธจะสอนว่า พิจารณาสิ่งที่เกิดอย่างตรงไปตรงมา
ไม่มีไปคิด ไปปรุงแต่ง ว่าดีหรือไม่ดี ดูเฉยๆ อย่างมีสมาธิ
แล้วดูจนเห็นความดับไปไม่เหลือ ดูซ้ำๆๆๆ อยู่อย่างนั้น
จิตจะว่างๆ (สุญตา) พอเหตุปัจจัยพร้อมมูล ปัญญาจะแจ้งเอง
ธรรมะเกิดก่อน ปัญญาเกิดทีหลัง
ไม่ใช่เอาความรู้ ความคิด ไปนำทางจิตให้คิดให้เชื่อ
เป็นการสะกดจิตตนเอง แก้ทุกข์ได้แค่ชั่วคราว
แต่ไม่อาจถอนรากถอนโคนอะไรได้เลยครับ
เตือนระวังการสะกดจิตตนเอง ทำให้จิตดำถูกกดซ่อนไว้ ผิดทางพุทธ!
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เฮ้งตงเอี๊ยง, 18 ธันวาคม 2008.
-
-
การบอกตนเองแบบคำบริกรรม
บอกนำทางจิตในทางกุศลสามารถทำได้ ไม่ผิด
แต่ต้องระวังเสมอว่าเป็นการสะกดจิตแบบกดจิตหรือไม่
การนำทางจิตด้วยคำบริกรรมดีๆ ก็เป็นทางเข้าสู่สมาธิ
แต่หากไม่เห็นความดับไป สูญไป ปัญญาแท้ก็ไม่เกิด
เรียกว่าสุขสงบได้ชั่วคราวด้วยพลังจิต ที่สะกดจิตตนเอง
แต่ทำมากๆ เข้าจิตจะดำ เป็นมารได้เหมือนกัน (นอกขาวในดำ)
สำคัญมาก คือ ต้องให้เห็นความดับ พิจารณาความดับ
ไม่อธิบายความดับ ไร้คำพูด ว่าง สูญ...
แล้วก็รอให้ปัญญาเกิดเอง... -
ขอบคุณครับ ^_^
-
ขอบคุณสำหรับความเห็นดี ที่ให้ความรู้เปิดมุมมองใหม่ ๆ อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
-
ขอเสนอแนะคุณเฮ้งตงเอี๊ยง
คุณอย่าได้ไปแนะนำผู้อื่นแบบนั้นๆ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเจริญโยนิโสมนสิการ คือ พิจารณาสิ่งต่างๆ โดยแยบคาย ซึ่งหมายถึงการคิด วิเคราะห์ ให้เห็นสิ่งต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริงว่าอะไรถูก อะไรผิด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอย่างไร ไม่ใช่เป็นการไปสะกดจิตตนเองเลยนะครับ และการคิดแบบโยนิโสมนสิการนี้ แตกต่างจากการคิดฟุ้งซ่านมากมาย
หากเราไม่หมั่นคิด และไม่หมั่นพิจารณาว่าอะไรควร อะไรไม่ควร มรรคจะไม่เกิด ไม่ต้องเอาขั้นโลกุตระมรรคหรอก แค่ขั้นโลกียมรรคยังไม่เกิดได้เลย เพราะเราได้แต่ดูๆ แต่เราไม่รู้เลยว่าอะไรควรละ อะไรควรจะให้เจริญขึ้น
ศีลก็จะไม่เกิดมีได้ เพราะไม่หมั่นคิดว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ธรรมอันเป็นไตรลักษณ์ก็ไม่เห็นได้ คุณ โทษ ของสิ่งต่างๆ ก็ไม่สามารถเห็นได้ แล้วการพัฒนาปัญญาก็ช้าด้วย การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ไปห้ามคิด แต่ให้ใช้ทั้งหมดทั้งกาย วาจา ใจ รวมทั้งคิด มาเข้าถึงธรรมให้ได้
อุปมาเหมือนคนสองคนได้รับโจทย์คณิตศาสตร์ยากๆ มาข้อหนึ่งเหมือนกัน แต่คนหนึ่งไม่ใช่คิดอะไร ได้แต่มองดูโจทย์นั้น คิดว่าสักวันมันจะแสดงคำตอบออกมาเอง
ส่วนอีกคนหนึ่งไม่รีรอ ใช้ทุกวิถีทาง กาย วาจา ใจ รวมทั้งคิดมาช่วยให้ได้คำตอบนั่นแหละ
สังเกตว่าใครจะได้คำตอบเร็วกว่ากัน
ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคนที่ฟังธรรมครั้งเดียวบรรลุได้หรอก และจะไม่มีคนที่เป็นพระสุขวิปัสสก(เจริญวิปัสสนาล้วน) เลย
ลองพิจารณาดูอีกครั้งนะครับ แล้วจะรู้ว่าแท้จริงไม่ใช่ห้ามคิดเลย -
วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
พูดถึงจิตนี่ก็เเปลกนะครับ เวลาอ่านธรรมะก็รู้อยู่เเล้วว่า ทุกสิ่งเกิดเเล้วก็ดับไป เเต่หลายๆที เราก็ยังอยู่ในวังวนของความยึดติด บ้าจัง คงต้องฝึกสมาธิกันไปอีกนานกว่าจะตัดได้จริง
-
ดูคิด แต่อย่าหลงไปช่วยมันคิด
ดี ชั่ว เรารู้อยู่แก่ใจตน ถ้าไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้ละอายต่อบาป ไม่รู้ตัว ไม่รู้ตน
ก็แสดงว่า มาตรฐานคุณธรรมส่วนตน ด้อยกว่า มาตรฐานความดี ของมนุษย์ ผู้มีใจสูง เป็นปกติ -
จิตเขาเกิดดับให้ดู แม้แต่ความยึดติดว่าจิตเป็นของเรา เขาก็เกิดดับให้ดู
พอความยึดติดว่าจิตคือเราเขาดับให้ดู ก็ต้องดูตามจริง
ไม่ใช่ไปทำให้เที่ยง
ให้ดูความไม่เที่ยง ของมัน ระลึกดูไปจนกว่า จะเห็นทางที่เป็นจริง ที่
รอการเปิดให้เห็นธรรม ซึ่งต้องอาศัยการรู้ทุกขสัจจตามความเป็นจริง
ถ้าทนไม่ได้ ไม่กล้าพอที่จะรู้ทุกข์ ก็ไปทำสมาธิเพื่อความสงบ
ถ้ากล้าพอ ดูไปเลย ไตรลักษณ์ปรากฏตามจริงนั้น ต่างจากที่เราช่วยทำให้มี -
ขอผู้รู้ได้กรุณาให้ความกระจ่างด้วย?
1)ผมใช้การสกดจิตตนเองเข้าสู่ภวังค์ บางครั้งไปถึงภวังคปัจเฉท ที่รู้ว่าเป็นภวังค์ปัจเฉท เพราะมีอาการแสดงให้รู้ตามนั้น.
2)ผมนั่งสมาธิ ทุกเช้ามืด บางวันเข้าถึงมีอาการถึงขั้นไม่มีลมหายใจ(ลืมหายใจ) สงบดีมาก.
"แต่อาการแสดงให้รู้ขั้นสุดทั้ง 2 วิธีเหมือนกัน"
อยากถามผู้รู้ครับว่า
ผิดมั้ยถ้าผมจะใช้วิธีสกดจิตตนเอง ให้เข้าถึงขั้นสุดของภาวะนั้น เพราะวิธีสกดจิตเข้าเร็วกว่านั่งสมาธิ
กลัวหลงทางครับ
หากกรุณา ตอบมาที่ sinpraphun@gmail.com -
"การสำรวจสำเนียกในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดเป็นปฏิปทาที่ดีงามอย่างยิ่ง น่าเสื่อมใส แต่ถ้าเจริญจิตไม่ถึงอธิจิต อธิปัญญาแล้วย่อมเสื่อมลงได้เสมอเพราะยังไม่ถึงโลกุตตรภูมิ
ที่จริงพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่รู้อะไรมากเลย เพียงแต่เจริญจิตให้รู้แจ้งในขันธ์ห้า แทงตลอดในปฏิจจสมุบบาท หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต มันก็จบแค่นี้ เหลือแต่บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง ว่าง มหาสูญญาตา ว่าง มหาศาล" -