เทคนิคการรวม ธรรม เทพ จักรวาล ครั้งที่ 1

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เดมีดี, 9 กันยายน 2011.

  1. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    <TABLE style="BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px" id=AutoNumber4 border=1 cellSpacing=0 borderColor=#111111 cellPadding=0 width=640 height=15><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>จินตามยปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ที่เกิดจากการคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่เรารับมาจากการฟังหรือการอ่านสุตมยปัญญา เปรียบเสมือนการรับประทานอาหารในขั้นต่ำตักใส่ปาก จินตามยปัญญา เปรียบเสมือนการเคี้ยวอาหารให้ละเอียด แล้วกลืนลงไป คนบางฟังเรื่องอะไรแล้วเชื่อทันทีโดยไม่ทันพิจารณา เหมือนกับคนที่กลืนอาหารโดยไม่ทันได้เคี้ยว การพินิจพิจารณาไตร่ตรองเรื่องที่ฟังหรืออ่านรวมถึงการตรวจสอบแหล่งข่าวแหล่งข้อมูลหรือหนังสืออ้างอิง เหล่านี้เป็นกระบวนการของ จินตามยปัญญา
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>คนบางคนจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากแต่วิเคราะห์ไม่เป็น บางคนท่องกฎหมายได้ทุกมาตรา แต่ไม่สามารถตีความกฎหมายเหล่านั้น คนเหล่านี้ขาดจินตามยปัญญา
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>คนที่มีจินตามยปัญญาได้แก่ คนที่คิดเป็นตามแบบโยนิโสมนสิการ
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>โยนิโส แปลว่า ถูกต้อง แยบคาย
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>มนสิการ แปลว่า ทำไว้ในใจหรือการคิด
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>ดังนั้น โยนิโสมนสิการจึงหมายถึง การทำไว้ในใจโดยแยบคาย หรือการคิดเป็นถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>คนไทยโบราณเข้าใจความสำคัญของโยนิโสมนสิการดีจึงกล่าวไว้ว่า
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>"สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>สิบตาเห็นไม่เท่าหนึ่งมือคลำ
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>สิบมือคลำไม่เท่าหนึ่งทำไว้ในใจ"
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    <TABLE style="BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px; BORDER-COLLAPSE: collapse; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px" id=AutoNumber4 border=1 cellSpacing=0 borderColor=#111111 cellPadding=0 width=640 height=15><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>คำว่า "ทำไว้ในใจ" คือโยนิโสมนสิการ
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>การคิดแบบโยนิโสมนสิการสรุปได้ ๑ วิธี คือ
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>๑) อุปายมนสิการ (คิดถูกวิธี) หมายถึง การคิดที่อาศัยวิธีการ (Methodology) อันสอดคล้องกับเรื่องที่ศึกษา เช่นเดียวกับการทำวิจัยต้องมีระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสม หากใช้วิธีวิจัยผิดก็จะไม่ได้ความจริงในเรื่องนั้น การตรวจสอบความจริงบางเรื่องต้องใช้วิธีอุปนัย (Induction) บางเรื่องต้องใช้วิธีนิรนัย (Deduction) แต่บางเรื่องต้องใช้ประสบการณ์ตรงเป็นเครื่องตรวจสอบยืนยันความจริง เช่น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่าการทรมานตนหรือทุกกรกริยาไม่ใช่วิธีบำเพ็ญเพียรที่ถูกต้อง เมื่อพระองค์ทรงหันมาใช้วิธีบำเพ็ญเพียรทางจิตจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>๒) ปถมนสิการ (คิดมีระเบียบ) หมายถึงการคิดที่ดำเนินตามขั้นตอนของวิธีการนั้น ๆ ไม่มีการลัดขั้นตอนหรือด่วนสรุปเกินข้อมูลที่ได้มา การด่วนสรุปจัดเป็นเหตุผลวิบัติ (Fallacy) ประการหนึ่ง ดังกรณีที่เราหยิบส้มผลหนึ่งมาชิม เมื่อส้มผลนั้นเปรี้ยว เราก็ด่วนสรุปว่า ส้มที่เหลือในลังทั้งหมดเปรี้ยว นอกจากนั้น การคิดต้องดำเนินตรงทางไปสู่เป้าหมายโดยไม่มีการฟุ้งซ่านออกนอกทาง นั่นคือนักบริหารต้องมีสมาธิในการคิด บางคนกังค้นคว้าข้อมูล เพื่อทำวิจัยเรื่องน้ำท่วมอยู่ดี ๆ เมื่อพบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องภัยแล้ง ก็ลืมจุดมุ่งหมายเดิม เขาไปเสียเวลาอ่านข้อมูลเรื่องภัยแล้ง ซึ่งออกนอกทางไปเลย คนนี้ไม่มีปถมนสิการ
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>๓) การณมนสิการ (คิดมีเหตุผล) หมายถึง การคิดจากเหตุโยงไปหาผล (ธัมมัญญุตา) และการคิดจากผลสาวกลับไปหาเหตุ (อัตถัญญุตา) การคิดแบบนี้จะทำให้นักบริหารเป็นคนรู้เท่าทันเหตุการณ์ เมื่อจะสั่งการแต่ละครั้ง ต้องคาดได้ว่าผลอะไรจะตามมา หรือเมื่อเห็นความผิดปกติเกิดขึ้นในองค์การ ต้องสามารถบอกได้ว่ามาจากสาเหตุอะไร นอกจากนั้น นักบริหารไม่กลัวความล้มเหลว อันที่จริงความล้มเหลวไม่มี สิ่งที่เรียกว่าความล้มเหลวนั้นแท้ที่จริง คือวิบากหรือผลของกรรมที่ไม่ดี ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ ครั้งต่อไปเราต้องทำกรรมคือเหตุที่ดี แล้ววิบากหรือผลที่ดีก็จะตามมา
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>๔) อุปปาทากมนสิการ (คิดเป็นกุศล) หมายถึง การคิดแง่สร้างสรรค์ Creative thinking คือคิดให้มีความหวังและได้กำลังใจในการทำงาน เมื่อเห็นหรือได้ยินอะไรก็เก็บมาปรับใช้ประโยชน์ในหน่วยงานของตนดังที่ ขงจื๊อ กล่าวว่า
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>" เมื่อข้าพเจ้าเห็นคนสองคนเดินสวนทางมา คนหนึ่งเป็นคนดี อีกคนหนึ่งเป็นคนเลว คนทั้งสองเป็นครูของข้าพเจ้าได้เท่ากัน เมื่อเห็นคนดี ข้าพเจ้าพยายามเอาอย่างเขา เมื่อเห็นคนเลวข้าพเจ้าพยายามไม่เอาอย่างเขา"
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" height=15 width=640>คนที่คิดสร้างสรรค์จะรู้จักแสวงหาประโยชน์แม้จากสิ่งที่เหมือนไม่มีประโยชน์ เขาหาสาระแม้จากเรื่องที่ดูไร้สาระเขาเห็นความงามในความน่าชังดังคำประพันธ์ที่ว่า "ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูให้ดียังมีศิลป์"
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    เราคือกองขยะบนดิน มีราคา ต่อเมื่อคนเค้าเห็นขยะมีค่า
    อยู่บนดินมีท้องฟ้าเป็นหลังคา มีหมู่ดาวเป็นเพื่อนคุย มีพลังงานเป็นเพื่อนเล่น

    แต่ขยะ ก็ชอบปลิวไปตามลม บางเวลาก็เปลื้อนโคลน บางเวลาก็อาบน้ำ บางเวลาก็อยู่บนต้นไม้ เอาแน่ ไม่ได้เลย

    แต่ ขยะ ก็ยังสนุกสนาน ตราบจน ยังไม่มีใครจับยัดใส่กล่อง ตีกรอบให้อยู่

    (กระทู้นี้มันอะไรหว่า...............5555++++)
     
  4. dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ขออนุญาต จขกท นะคะ
    เปิดจักระทั้งเจ็ดจุด ดึงพลังจักรวาลลงกลางกระหม่อมเป็นตัวผ่านของพลังงานสามารถรักษาคนไข้บางรายได้(reiki) มนุษย์ทุกคนมีพลังงานอยู่ในตัว การฝึกสมาธิจะช่วยให้จักราทั้งเจ็ดจุดมีพลังขึ้น สีตามแต่ละจุดจะชัดขึ้น ช่วยในการเดินปราณผ่านตามจุดต่างๆได้ดี แล้วหากจะดึงพลังจักรวาลลงมาใช้ก็จะได้พลังงานที่เหลือเชื่อ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เสริมกันไปเสริมกันมา จนใครก็ตามที่อยากจะลองตามแบบอย่างครูบาร์อาจารย์ท่านอื่นสอนในแนวอื่น นั่นก็คงจะไม่ผิด หากตรองดูแล้วคำสอนไม่ได้มีอันใดร้ายแรงแอบแฝง เป็นไปตามหลักการขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อย่าได้ลืมว่าตัวเราเองก็เป็นครูที่ดีของตัวเราเองด้วย ขออนุโมทนาสาธุกับท่านทั้งหลายที่คิดดี พูดดี ทำดี ค่ะ ขอบคุณ จขกทค่ะ
     
  5. เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    แฮ่ แฮ่ นาน ๆ ที จะมีผู้กล้ามาเขียนด้วย ขอบคุณค่ะ

    จริง ๆ ก็เป็นการเขียนแลกเปลี่ยน ความรู้ความสามารถกันไปมา รู้ผิด บ้าง ถูกบ้างตามประสา ค่ะ สุดท้ายก็ไม่เอาภาษากับใคร สนุกไปวัน ๆ เป็นที่เล่นค่ะ

    แต่ถ้าในด้านจิตวิญญาณ มันก็อัพเกรดไปเอง เค้าถึงบอกว่า โง่ ๆ เข้าไว้ หัวกลวง ๆ เข้าไว้ มันก็ไหลเข้าไหลออกเอง เปิดเป็นทางโล่งไว้เท่านั้น ให้ดูที่สติเราก็พอ ว่าสติยังอยู่ดีหรือเปล่า

    ในส่วนตัว จากสนใจ ก็เริ่มเบื่อหน่ายเพราะโดนหนัก เร่งจนไม่ต้องนอน โดนล้างทิ้งรื้อโครงสร้างปรับแต่งปรับจูน เหมือนเครื่องยนต์ ไอ้ด้วยความที่เรามีสติ เยอะ ในบางเวลา ก็ เอ้ย....ทำอะไร...ไปไกล ๆ เลย ไม่ชอบ รำคาญ ฉันจะเป็นของฉันแบบนี้ ไม่ต้องยุ่ง ฉันจะกองอยู่แบบนี้ แหละ ก็ไม่เห็นฟังเลย........เลยโดนน่วม

    ตอนนี้ทำใจได้แล้ว เมื่อสละร่างกาย จิตวิญญาณ ไปแล้ว จะมาหวงอะไร ตามสบาย

    ก็เลยเกิดศึกชิง........เหมือนหนังไหม.........เราไม่รู้หรอกใครผิดใครถูก ดูไม่เป็น .รู้แต่ว่า น่ารำคาญมาก ๆ ๆ

    ทุกทีก็ห้ามทัพ ตอนนี้ ไม่ห้ามแล้ว เชิญ พี่ ๆ ทั้งหลาย ตามสบาย ยกให้เป็นสาธารณะ.............แล้วเราก็เข้าสู่ความสุขอีกครั้ง .........ที่ไม่ต้องไปสนใจอะไรเลย

    เพียงเป็นผู้ดู ที่ฝึกความเข็มแข็ง ให้ จิต เกิดความเข็มแข็ง ทั้งยามหลับและยามตื่น

    มีหลายเรื่องที่อยากถาม มีหลายอย่างที่อยากบอกเล่า แต่มันเข้าโหมดห้ามเอามาบอก มาถาม ก็เลยไม่มีเรื่องมาคุยสนุก ๆ ในช่วงนี้

    เพิ่งบ่นกับตัวเองว่า เวลาเขียนอะไรที่ไม่จริงจัง เหมือนคนเมาเหล้าเขียนหนังสือ หาสาระไม่ได้เลย...............ทน ๆ เอาหน่อยค่ะ 55555
     
  6. dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745

    เขียนไปเถอะค่ะ เขียนแล้วเราสบายใจ เขียนแล้วไม่ทำอันตรายให้ใคร เขียนแล้วจุดประกายความคิดให้บางท่าน เขียนแล้วบางครั้งให้ความรู้คนอ่านโดยไม่รู้ตัวฯลฯ ไม่มีใครว่าค่ะดีกว่าเขียนแล้วทำให้คนเครียดนะคะ
     
  7. เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    วันนี้เอาเกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ มาบอกย้ำ ว่า จริง ๆ แล้ว ทุกสิ่งถูกเชื่อมโยงจากภายใน ที่เรายังไม่ได้ค้นพบจากตัวตนของเราเองเลย เราถึงเกิดการแสวงหา ให้ถูกบอกถูกสอน ถูกทัก ..ไปต่าง ๆ นานา จึงเป็น ที่มาของ จิตหลอกจิต ไม่รู้กี่ขั้นกี่ตอน ซ้อนทับจนแยกไม่ออก ว่าจริงหรือเท็จ

    บางครั้งแปลกใจ ในตนเองมาก ว่า ทำไมเราไม่เหมือน คนอื่นเค้า ที่เดินเป็นระเบียบ เปิดปุ๊บเจอปั๊บ เห็นเนื้อแท้ ธาตุแท้ แล้วก็ฝึกไป
    สำหรับเรา ในชั่วหนึ่งคืน ก็หนึ่งวิชา ที่ถูกเปิดขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร.......
    ก็มาหาอ่านในนี้แหละ เจอบ้าง ไม่เจอบ้าง บางทีลืมไปแล้ว เพิ่งมีคนเอามาลง ก็ร้อง อ่อ...เรียกอย่างนี้เอง ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเรียน
    พอเราเห็นถึงความแตกต่างมาก ๆ ในช่วงแรก ประสาทจะกิน เพี้ยน อะไร ไม่เห็นเหมือนเค้า ถามใครไม่มีคำตอบ ได้คำตอบว่า ดูเอาเองซิ ไม่เห็นมีอะไร คิดเอาเอง ไปยึดไว้เอง ไปตั้งไว้ อย่าสงสัย อย่ากังวล(อันนี้บอกต้องกังวล เพราะจะไปเช็คสมองหลายรอบแล้ว เพี้ยนเข้าขั้นหรือเปล่า)

    แต่มาระยะหลัง ๆ เรื่มคุ้นเคยมากขึ้น ก็ลืม ๆไป มันก็มาแบบพัก ๆ ว่า มาอีกแล้ว เรียนอีกแล้ว ตอนนี้เข้าขั้นกลัวการเรียนเลย เพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เพราะที่ผ่าน ๆ มา มันเกิดขึ้นทันทีทันใด ไม่เห็นต้องคิดไม่เห็นต้องทำอะไร มันก็เกิดขึ้น เหมือนเส้นกราฟ แล้วเดินไป เพราะคิดแบบนี้ ถึง ไม่ชอบเรียน

    ก็เป็นที่มาในปัจจุบัน ที่จะเรียน กับตัวเอง มีตัวเองเป็นครู และ เป็นศิษย์ เสียเอง ไม่ได้เก่งอะไรเลย แค่เรียนรู้สติ สติ และ สติ เท่านั้น

    (เราไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะเหมือนเรา หรือเราจะเหมือนใคร แต่ เรารู้แค่ เรามีความเป็นตัวของตนเองสูงมาก จนเข้าขั้น โง่ เลย ก็ว่าได้...)
     
  8. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    เวลาเจองานหนัก


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

    เวลาเจอปัญหาซับซ้อน


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

    เวลาเจอความทุกข์หนัก


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

    เวลาเจอนายจอมละเมียด


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

    เวลาเจอคำตำหนิ


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

    เวลาเจอคำนินทา


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

    เวลาเจอความผิดหวัง


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

    เวลาเจอความป่วยไข้


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

    เวลาเจอความพลัดพราก


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

    เวลาเจอลูกหัวดื้อ

    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

    เวลาเจอแฟนทิ้ง


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

    เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

    เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

    เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

    เวลาเจอคนเลว


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

    เวลาเจออุบัติเหตุ


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

    เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบว่าที่ว่า 'มารไม่มีบารมีไม่เกิด'

    เวลาเจอวิกฤต


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม 'ในวิกฤตย่อมมีโอกาส'

    เวลาเจอความจน


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

    เวลาเจอความตาย


    ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  9. เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    อ.......าเมน...........

    จ๊ะ......

    ก็เพราะเจอแบบนี้ไง ถึงคิดเสมอว่า พรุ่งนี้ต้องเจอหนักกว่าวันนี้ ถึงเตรียมใจไว้ให้พร้อม
    แต่ก็ต้องร้องออกมาบ่อย ๆ จะเอาอะไรกันหนักหนา กับ มนุษย์ตัวเล็ก ๆ น่ารักอย่างเรา

    พอเจอ ถึงพยายาม อดทนและทนอด เพื่อให้ ทุกอย่างมันชาชิน สาหัส อย่างไร ก็ต้องทน แต่ก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง แล้วก็ไม่รู้จะโวยวายทำไม

    ต้องกระซิบ.....5555 มันลืมนะซิ.............5555
     
  10. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    กุศลกรรมบถ 10
    ประพฤติดีด้วยกาย 3 ประเภท
    ประพฤติดีด้วยกาย นั้นชื่อว่า กายกรรม คือ ทำกิจการงานด้วยกายอย่าให้ทุกข์เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น กายกรรมที่ให้เกิดทุกข์แก่ผู้อื่นนั้น มี 3 ประการ
    1. คือ อย่าเบียดเบียนร่างกายของท่าน คือ อย่าฆ่า อย่าฟัน อย่าทุบ อย่าตี ร่างกายของท่านผู้อื่นโดยที่สุด เว้นถึงสัตว์ติรัจฉานได้ยิ่งเป็นการดี ตรงภาษาบาลีที่ว่า ปาณาติปาตาเวรมณี ฯ
    2. คือ อย่าเบียดเบียนทรัพย์สมบัติข้าวของของท่านผู้อื่น คืออย่าลักขโมย อย่าฉ้อโกง อย่าเบียดบังเอาข้าวของของท่านผู้อื่น ตรงภาษาบาลที่ว่า อทินฺนาทานาเวรมณี ฯ
    3. คือ อย่าแย่งชิงลักลอบด้วยอำนาจของกายในหญิงที่ท่านหวงห้าม ตรงภาษาบาลีที่ว่า กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณีฯ
    ประพฤติดีด้วยวาจา 4 ประเภท

    ประพฤติดีด้วยวาจา 4 ประเภท (วจีกรรม 4 ประเภท) นั้นได้แก่
    1. คือ ให้กล่าวแต่วาจาถ้อยคำที่สัตย์ที่จริง ให้เว้นจากวาจาที่เท็จไม่จริงเสีย ตรงกับภาษาบาลีที่ว่า มุสาวาทาเวรมณี ฯ
    2. คือ ให้กล่าวแต่วาจาถ้อยคำอันสมานประสานสามัคคีให้ท่านดีต่อกัน ให้เว้นวาจาส่อเสียดยุยงเสีย ตรงกับภาษาบาลีที่ว่า ปิสุณายาวาจาเวรมณีฯ
    3. คือ ให้กล่าวแต่วาจาถ้อยคำอันอ่อนโยน ให้เกิดความยินดีแก่ผู้ฟัง ให้งดเว้นวาจาที่หยาบคายขึ้นกูขึ้นมึง บริภาษตัดพ้อหยาบๆ คายๆ ให้ผู้ฟังได้รับความเดือดร้อนต่างๆ เสีย ตรงกับภาษาบาลีที่ว่า ผรุสฺสายวาจายเวรมณี ฯ
    4. คือ ให้กล่าวแต่วาจาถ้อยคำที่เป็นไปกับด้วยประโยชน์ ให้เว้นวาจาที่เหลวไหล คือพูดเล่นหาประโยชน์มิได้เสีย ตรงกับภาษาลีที่ว่า สมฺผปฺปลาปาวาจายเวรมณี ฯ
    ประพฤติดีด้วยใจ 3 ประเภท

    ประพฤติดีด้วยใจ 3 ประเภท (มโนกรรม 3 ประเภท) นั้นคือ
    1. คือ ให้ระวังเจตนากรรม ให้สัมประยุตต์ด้วยเมตตาอยู่เสมอ คือ ความดำริของใจ อย่าให้ลุอำนาจแห่งโลภะ คืออย่าเพ่งเอากิเลสกามและวัตถุกามของท่านผู้อื่น อันไม่สมควรแก่ฐานะของตน ตรงกับภาษาบาลีที่ว่า อนภิชฺฌา โหติฯ
    2. คือ ให้ระวังเจตนากรรมให้สัมประยุตต์ด้วยกรุณาอยู่ทุกเมื่อ อย่าให้โทสะ พยาบาท เข้าครอบงำได้ ตรงกับภาษาบาลีที่ว่า อพฺพยาปาโท โหติฯ
    3. คือ ให้ระวังเจตนากรรมให้สัมประยุตต์ด้วย มุทิตา อุเบกขา อยู่ทุกเมื่อ อย่าให้ไหลไปในทางผิด ให้เห็นตรงตามคลองธรรมทั้ง 10 นี้อยู่ทุกเมื่อ ตรงกับภาษาบาลีที่ว่า สมฺมทิฎฺฐิโก โหติฯ
     
  11. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
  12. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
  13. เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    I am the one and freedom.......................
     
  14. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
  15. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
  16. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
  17. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
  18. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15
    อันว่า…การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่เมื่อเราถือกำเนิดลืมตาขึ้นมา … เชื้อโรคมากมายก็วนเวียนอยู่รอบตัวเราแล้ว เมื่อเกิดภาวะแห่งความไม่สมดุลของระบบธาตุต่างๆในร่างกายขึ้น เชื้อโรคแฝงมากมายก็พร้อมตรงเข้ารุมเร้าได้โดยง่าย ดังนั้น…การทำความเข้าใจในภาวะธาตุของคนเรา ก็จะทำให้เรารู้เท่าทันโรคได้ และสามารถเตรียมพร้อมรับศึกบนสังเวียนแห่งสุขภาพดีได้ ไม่ยากเกินความสามารถของมนุษย์แน่นอนทีเดียวเชียวค่ะ ทีนี้เราก็มาดูกันค่ะว่า…เตรียมความพร้อมรับมือสู้ศึกกันอย่างไรดีนะ วันอาทิตย์…สำหรับท่านที่เกิดวันอาทิตย์ มีภาวะของธาตุไฟสูง การเผาผลาญโมเลกุลของอาหารดี ระมัดระวังโรคเกี่ยวกับความดัน โรคหัวใจ โรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ ควรบริโภคอาหารที่มีกากไย ออกกำลังกายเสริมธาตุดิน ประเภทการออกกำลังกาย ช้าๆแต่เสริมพลังงานภายใน เช่น โยคะ ไทเก็ก จี้กง ว่ายน้ำ เป็นต้น คนเกิดวันอาทิตย์ มักคิดเร็ว ทำเร็ว อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ จึงเกิดขึ้นได้ง่าย และมีภาวะความเครียดได้สูงหากไม่ได้อย่างใจ เพราะมีพลังงานในตัวเองสูงและต้องการส่งผ่านออกมาภายนอกให้ถูกยอมรับนั่นเอง การฝึกสมาธิ จึงเป็นเรื่องที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะความหนักแน่นมากขึ้น ย่อมทำให้พลังจิตแข็งแกร่งขึ้นด้วย พลังกายก็จะเกิดความสมดุลได้… วันจันทร์…ท่านที่เกิดวันจันทร์ มีภาวะของดินอุ้มน้ำ เปรียบเสมือนดูภายนอกแข็งแรงดี แต่ภายในกลับมีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง และมีโรคแฝงโดยไม่รู้ตัวเกิดขึ้นได้โดยง่าย เมื่อรู้อาจสายเกินไปแล้ว ดังนั้นควรหมั่นตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงได้ง่าย เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือทานของที่ไม่ได้ปรุงให้สุก คนเกิดวันนี้การใช้ดนตรีบำบัดสำหรับอาการวิตกกังวลเป็นผลดีมาก
     
  19. เดมีดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +1,271
    ละแล้วการเข้าสู่กาย ย่อมเห็นกาย เข้าสู้จิตย่อมเห็นจิต เข้าไปทีละชั้น แยกออกเป็นชั้น ๆ ยิ่งมองยิ่งเห็นการเคลื่อนออกมาทีละชั้น โดยที่เรารู้ไม่ท่าทันเลย

    คำว่า รู้สึกแบบนั้น แบบนี้ จริง ๆๆ ยังอยู่ที่กายชั้นในเท่านั้นเอง ยังไม่เข้าไปสู่จิตเลย.....
     
  20. J_Shaman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +15

แชร์หน้านี้