เทวดามาใส่บาตรหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย deneta, 15 กรกฎาคม 2013.

  1. deneta

    deneta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    2,711
    ค่าพลัง:
    +5,720
    [​IMG]

    ท่านว่าท่านไปอยู่ประเทศพม่าถึง ๕ ปี จนพูดภาษาพม่าได้คล่องปากคล้ายกับภาษาของตัว เหตุที่ท่านจะได้กลับมาไทยเราเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นกับอังกฤษเข้าไปวุ่นวายในเมืองพม่าเต็มไปหมด ไม่ว่าในเมือง บ้านป่า ภูเขา พวกทหารอังกฤษไปเที่ยวค้นจนหมด เพราะคนอังกฤษเคียดแค้นให้คนไทยมากเวลานั้น หาว่าเข้ากับญี่ปุ่น ถ้าค้นพบคนไทยไม่ว่าหญิง - ชาย และนักบวชจะฆ่าทิ้งให้หมดไม่มีข้อยกเว้น ชาวบ้านที่ท่านอาศัยเขาอยู่รู้สึกเขาเคารพเลื่อมใสและรักท่านมาก พอเห็นทหารอังกฤษมาเที่ยวจุ้นจ้านมาก กลัวท่านจะไม่ปลอดภัย พวกเขารีบปรึกษากัน พาท่านไปซ่อนอยู่ในเขาลึกที่พวกทหารอังกฤษไม่สามารถค้นพบ

    แต่ในที่สุดเขามาพบท่านเข้าวันหนึ่งเหมือนกัน ขณะที่กำลังนั่งอนุโมทนาให้พรชาวบ้านอยู่ พวกชาวบ้านหน้าเสียไปหมด เขาก็ไต่ถาม ท่านก็บอกว่ามาอยู่ที่นี่นานแล้ว ท่านมิได้เกี่ยวกับการบ้านเมือง ท่านเป็นพระ ไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเลย พวกชาวบ้านก็ช่วยพูดกันอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุผลว่าพระท่านมิเกี่ยวกับการสงคราม แบบฆราวาส จะมาเกี่ยวข้อง เอาเรื่องเอาราวกับท่านนั้นไม่ถูก ถ้าเอาเรื่องกับท่าน ก็เท่ากับทำลายหัวใจของคนชาวพม่าซึ่งไม่มีความผิด ให้เกิดความเสียหายโดยใช่เหตุ นับว่าทำไม่ถูกอย่างยิ่ง ประการหนึ่งท่านมาอยู่ที่นี่แต่ก่อนสงคราม ท่านไม่รู้เรื่องอะไรกับการบ้านเมืองอะไรเลย แม้คนพม่าเองยังไม่เห็นว่าท่านเป็นภัยแก่ประเทศทั้งที่ ประเทศพม่ากำลังตกอยู่ในภาวะสงคราม ถ้าทำลายท่านก็เท่ากับทำลายคนพม่าทั้งประเทศด้วย ชาวพม่าไม่เห็นดีด้วยในการทำเช่นนั้น

    ทหารอังกฤษหลายคนยืนพูดกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงเกี่ยวกับเรื่องท่าน จากนั้นเขาก็แนะว่าให้รีบพาท่านหนีจากที่นี่เสียโดยเร็ว เดี๋ยวพวกอื่นมาจะลำบาก บางทีเขาไม่ฟังคำขอร้องท่านอาจเป็นอันตรายได้ องค์ท่านเองขณะ เขาจับจ้องมองดูด้วยท่าทางเป็นศัตรู ท่านมีแต่เจริญเมตตาและระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาผ่านไปแล้ว ญาติโยมก็พาท่านไปส่งและพาไปอยู่ในภูเขาที่ลึกลับ ไม่ให้เขาค้นพบ ไม่ให้ท่านลงมาบิณฑบาต พอถึงเวลาชาวบ้านพากันแอบเอาจังหันไปถวายท่าน นับแต่วันนั้นผ่านไป ทหารอังกฤษมากวนเรื่อย ถ้าพบท่านเห็นท่านเขาจะทำลายจริง ๆ เขามาวุ่นวายถามหาท่านวันหนึ่งหลาย ๆ พวก พวกญาติโยมเห็นท่าไม่ดี กลัวท่านจะไม่ปลอดภัย จึงได้พาท่านไปส่งให้หลบหนีกลับมาเมืองไทยเรา โดยเขามาส่งใส่ทางในป่าในเขาซึ่งเป็นทางปลอดภัยและพวกทหารอังกฤษเข้าไปไม่ ถึง

    เขาบอกทางท่านอย่างละเอียด ไม่ให้ปลีกแวะทางเดินที่เขาบอก แม้ทางจะรกแสนรกก็ให้พยายามไปตามนั้น ทางนั้นเป็นทางเดินเท้าของพวกชาวป่าชาวเขาเดิน ท่องเที่ยวหากันจนทะลุถึงเมืองไทยเรา พอเขาบอกทางให้เรียบร้อยแล้ว ท่านก็เริ่มออกเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งไม่ได้หลับนอน ทั้งไม่ได้ฉันอะไรเลย นอกจากน้ำเท่านั้น ทั้งเดินบุกป่าฝ่าเขาแทบเป็นแทบตาย ในป่ามีแต่รอยสัตว์เต็มไปหมด มีเสือ ช้าง เป็นต้น มิได้นึกว่าชีวิตจะรอดพ้นมาไต้ นึกแต่ว่าจะตายท่าเดียวเพราะหลงป่า ถ้าเดินผิดทางเสียนิดเดียว

    ตอนเช้าวันคำรบสี่ ราว ๙ นาฬิกา เป็นเรื่องอัศจรรย์เกินคาด ส่วนจะจริงเท็จแค่ไหนกรุณานำไปพิจารณา เมื่ออ่านพบเรื่องซึ่งกำลังดำเนินอยู่ขณะนี้ พอท่านเดินไปถึงไหล่เขาแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีความเมื่อย หิว อ่อนเพลีย เป็นกำลัง คิดว่าจะไปไม่ตลอด เหมือนใจจะขาดในเวลานั้นจนได้ เพราะเดินทางมาได้สามวันกับสามคืนเต็มๆ แล้ว ไม่ได้พักนอนและฉันอะไรที่ไหนเลย นอกจากนั่งพัก พอบรรเทามหันตทุกข์จากการเดินทางชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

    พอมาถึงที่นั้นเกิดความคิดขึ้นมาว่า "เรา ก็เดินทางเสี่ยงความตายมาทุกลมหายใจ จนกระทั่งบัดนี้ก็พอผ่านมาได้ยังไม่ตาย ลมหายใจก็ยังไม่ขาดความสืบต่อ แต่นับแต่ขณะแรกที่เราออกเดินทาง มาจนบัดนี้ ไม่เคยเห็นบ้านคนเลย แม้หลังคาเรือนหนึ่ง พอได้อาศัยโคจรบิณฑบาตประทังชีวิตไว้บ้าง นี่เราเลยจะตายทิ้งเสียเปล่า ๆ จะไม่มีคนมาชุบชีวิตไว้ด้วยอาหารเพียงมื้อหนึ่งบ้างหรือ เรามาด้วยความลำบากยากเย็น ในคราวนี้ ซึ่งไม่มีคราวไหนในชีวิตของเราจะทุกข์มากเหมือนครั้งนี้ ก็เพื่อหลบภัยสงคราม อันเป็นเรื่องของความตายที่มนุษย์กลัวกัน แต่แล้วก็จะมาตายเพราะสงครามอดอยากหิวโหย และการเดินทางแบบล้มทั้งยืนนี้หรือ ถ้าเทวบุตรเทวธิดาชั้นฟ้าบนสวรรค์มีดังพระพุทธเจ้าตรัสไว้ และว่าพวกนี้มีตาทิพย์ หูทิพย์ มองเห็นได้ไกลจริงดังว่า ก็จะไม่มองเห็นพระซึ่งกำลังจะสิ้นลมตายอยู่เวลานี้บ้างหรืออย่างไร เราเชื่อคำของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ แต่เทพฯ ทั้งหลายที่เคยได้รับความอนุเคราะห์จากพระมามากต่อมากทั้งครั้งโน้นและครั้ง นี้ จะเป็นผู้มีใจอันจืดดำ จนถึงขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าไม่ใจจืด ก็ขอได้แสดงน้ำใจให้พระที่กำลังจะตายอยู่ขณะนี้เห็นบ้าง จะได้ชมว่าเทวธิดาเทวบุตรทั้งหลาย เป็นผู้มีใจสูงและสะอาดจริง ดังชาวมนุษย์สรรเสริญ"

    (ที่ท่านพูดอย่างนี้ ทราบว่าท่านก็เคยมีอะไร ๆ กับพวกนี้อยู่เหมือนกัน แต่ขอผ่านไป)
    เป็นที่น่าประหลาดและอัศจรรย์ บาปมีบุญมี เห็นผลทันตา ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ พอท่านนึกอย่างนั้นจบลงไม่กี่นาทีเลย ขณะที่กำลังเดินโซซัดโซเซไปนั้น ก็ได้เห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง แต่งตัวหรูหราผิดคนชาวป่าอยู่มากราวฟ้ากับดิน กำลังนั่งนิ่ง ยกเครื่องไทยทานขึ้นจบอยู่บนศีรษะ ข้างทางที่ท่านจะเดินผ่านไปในหุบเขาอันลึก ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ขณะนั้นท่านเกิดความอัศจรรย์ขนลุกซู่ ๆ ไปทั้งตัว ลืมความเมื่อย หิว อ่อนเพลียไปหมด ปรากฏแต่ความอัศจรรย์เต็มหัวใจ เมื่อมองเห็นสุภาพบุรุษผู้ใจบุญ นั่งรอใส่บาตรอยู่ข้างหน้า ห่างกับท่านประมาณ ๔ วา ข้างพุ่มไม้ พอท่านเดินไปถึง สุภาพบุรุษนั้นพูดขึ้นประโยคแรกว่า นิมนต์พระคุณเจ้า พักฉันจังหันพอบรรเทาความหิวโหยอ่อนเพลียที่นี่ก่อน มีกำลังแล้วค่อยเดินทางต่อไป คงจะพ้นดงหนาป่าทึบในวันนี้แน่นอน

    ท่านเองก็หยุดปลงบริขาร จัดบาตรเตรียมรับบาตรกับสุภาพบุรุษนั้น เสร็จแล้วก็เข้ารับบาตร น่าอัศจรรย์ไม่ว่าข้าวว่ากับ หวาน - คาวทุกชิ้นที่บุรุษนั้นใส่บาตร ขณะที่เทลงในบาตร ปรากฏว่าหอมตลบอบอวลไปทั้งป่าและทั่วพิภพ ข้าวกับก็พอดีกับความต้องการ ไม่มากไม่น้อย ซึ่งล้วนแต่มีโอชารสอย่างมหัศจรรย์ทั้งสิ้นชนิดบอกไม่ถูก ถ้าพูดมากเขาก็จะว่าโกหก แต่ความจริงก็ได้กลายเป็นความอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตา จนไม่สามารถพูดอย่างไรจึงจะถูกกับความจริงที่ประจักษ์ตาประจักษ์ใจในขณะนั้น พอใส่บาตรเสร็จ

    ท่านก็ถามว่า โยมมาจากไหน บ้านโยมอยู่ที่ไหน อาตมาเดินทางมาได้สามคืนกับสี่วันนี้แล้ว ไม่เคยเจอบ้านคนเลย
    สุภาพบุรุษนั้นตอบท่านว่า ผมมาจากโน้น ชี้มือไปสูง ๆ พิกล บ้านผมอยู่โน้น
    ท่านถามว่า ทำไมถึงรู้ว่าพระจะมาที่นี่และมาคอยใส่บาตรถูก
    เขายิ้มนิดแต่ไม่ตอบว่ากระไรเลย

    จากนั้นท่านก็อนุโมทนาให้พร พอให้พรเสร็จ เขาก็พูดเป็นประโยคสุดท้ายว่า โยมจะได้ลาท่านกลับไปเพราะบ้านอยู่ไกล ดังนี้ ซึ่งปกติเขาเป็นคนพูดน้อย แต่มีท่าทางองอาจมาก ผิดคนธรรมดา ผิวกายทุกส่วนผ่องใสมาก ขนาดกลางคนตามวัย รูปร่างก็ปานกลางไม่สูงนักต่ำนัก กิริยาสำรวมดีมาก พอเขาลาท่านแล้วก็ลุกจากที่ ท่านก็พยายามคอยสังเกต เพราะเขาเป็นคนที่ผิดสังเกตอยู่แล้ว เมื่อเขาเดินออกไปประมาณ ๔ วา ก็ลับไปกับไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งไม่ใหญ่โตนัก แล้วหายไปเลย คอยจะผ่านออกไปก็ไม่เห็น ตาจับจ้องคอยดูเท่าไรก็ไม่เห็น ยิ่งทำให้ผิดสังเกต ท่านจึงลุกจากที่นั่งเดินไปดูที่ต้นไม้ที่เขาผ่านไปก็ไม่เห็น มองไปมาที่ไหนซึ่งถ้ามีคนอยู่บริเวณนั้นต้องเห็นแน่นอน แต่นี่ไม่เห็นเลย แต่บัดนั้น ยิ่งทำให้ท่านผิดสังเกต และเกิดความสงสัยยิ่งขึ้น บุรุษนั้นทำให้ท่านประหลาดใจมาก

    เมื่อไม่เห็น ท่านก็กลับมาเริ่มฉันจังหัน ข้าวก็ดี แกงก็ดี หยิบชิ้นไหนขึ้นมา มันมิใช่อาหารในเมืองมนุษย์ที่เคยฉันมาธรรมดา ความหอมหวนชวนชื่นและรสชาติเอร็ดอร่อย มันเป็นเรื่องอัศจรรย์ไปเสียหมด ทั้งข้าวและอาหารหวานคาว ล้วนพอดิบพอดีกับความต้องการของธาตุทุกส่วน อะไร ๆ ซึ่งช่างพอดีเอาเสียทุกอย่างไม่เคยพบ เคยเห็น ขณะที่ฉันปรากฏว่า โอชารสของอาหารวิ่งซ่านไปทุกขุมขน ประกอบกับความหิวโหยก็กำลังบีบบังคับอย่างเต็มที่อยู่ด้วย เลยไม่ทราบว่ารสความหิวหรือรสอาหารเทวดากันแน่ อาหารที่สุภาพบุรุษถวายทั้งสิ้นท่านฉันหมดพอดี และพอเหมาะกับความต้องการของธาตุ ไม่มากไม่น้อย ไม่ขาดไม่เกิน ถ้าสมมุติว่าอาหารยังเหลืออยู่อีกแม้เพียงเล็กน้อยก็คงฉันต่อไปอีกไม่ได้

    พอฉันเสร็จ ก็เริ่มออกเดินทางด้วยท่าทางแข็งแรงเปล่งปลั่งอาจหาญสุดจะคาด ราวกับมิใช่คนที่กำลังจะสิ้นลมหายใจอยู่ในครู่ก่อน ๆ นั่นเลย ทั้งเดินทาง ทั้งคิดเรื่องบุรุษลึกลับไปตลอดทาง จนลืมเหน็ดเหนื่อย และลืมระยะทาง ว่ายังใกล้ยังไกล เป็นทางผิดหรือทางถูก ลืมสนใจทั้งสิ้น พอตกเย็นก็พ้นดงหนาป่าใหญ่พอดี ตรงกับคำสุภาพบุรุษทำนายไว้ทุกประการ ก้าวเข้าเขตประเทศไทยเราด้วยความปีติยินดีมาตลอดทาง วันนั้นหายความทุกข์ทรมานกายทรมานใจตลอดวัน เมื่อเข้าถึงเขตไทยอันเป็นแดนที่เกิดของตน จึงเกิดความแน่ใจว่าเรายังไม่ตายสำหรับคราวนี้

    ท่านว่าบุรุษนั้นต้องเป็นทวยเทพชาวไตรภพแน่นอน ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบนั้นเลย คิดดูเวลาจากสุภาพบุรุษคนนั้นมาแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่า ได้พบบ้านเรือนที่ไหนอีกเลย ทางสายนี้ก็น่าแปลกใจ ซึ่งน่าจะมีหมู่บ้านอยู่บ้างในระหว่างทาง อย่างน้อยสักแห่งหนึ่ง เลยทำให้ท่านสงสัยไปเสียหมด กระทั่งหนทางเดิน เพื่อหลบภัย การหลบภัยก็หลบเอาเสียจริง ๆ หลบกระทั่งผู้คนก็ไม่เจอ จังหันก็ไม่เจอ หลบจนแทบเจอภัย คือความอดตายถึงผ่านมาได้

    ท่านว่าการที่ผ่านความตายและความรอดตายมาได้ครั้งนี้ ทำให้ท่านอดคิดไปในแง่เทวาปาฏิหาริย์ไม่ได้ เพราะทางที่มา ล้วนเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ช้าง เสือ หมี งู ชุกชุมมากตลอดเวลา แต่ตลอดทาง ที่ผ่านมาไม่เคยเจอจำพวกสัตว์ร้ายเหล่านี้เลย นอกจากจำพวกเนื้อที่ไม่เป็นภัยต่อชีวิตเราเท่านั้น

    ถ้าอย่างธรรมดาแล้ว ท่านว่า อย่างน้อยต้องเจอในวันหรือคืนหนึ่ง ๆ ถึงห้าจำพวก เฉพาะเสือกับช้างเป็นสำคัญ น่ากลัวจะยังไม่ข้ามวันข้ามคืน ต้องทอดทิ้งร่างกายไว้กับสัตว์ร้ายจำพวกใดจำพวกหนึ่งแน่นอน แต่ที่ยังผ่านมาได้ราวกับปาฏิหาริย์เช่นนี้ จะไม่อัศจรรย์อย่างไร ต้องเป็นเรื่องของธรรมบันดาล หรือเทวฤทธิ์บันดาล อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างแน่นอน เพราะก่อนจะมา ชาวบ้านก็วิตกห่วงใยด้วยกันทั้งบ้านว่า กลัวเราจะไปไม่รอดอันตรายที่เกิดจากสัตว์มีเสือ ช้าง เป็นต้น แต่เขาก็หาทางหลีกเลี่ยงช่วยเราไม่ได้ ถ้าขืนอยู่พม่าอีกต่อไป ก็ยิ่งแน่ต่ออันตรายจากสงครามทหารอังกฤษ จึงช่วยกันคิด เพื่อแบ่งหนักให้เป็นเบาลงบ้าง โดยส่งเราข้ามเขตอันตรายของมนุษย์กระหายเลือดไปเสีย เพื่ออนาคตของเราที่อาจจะยังสืบต่อไปอีกนาน ถ้าเขาไม่ฆ่าเสียในระยะนี้ จึงได้ฝืนเดินฝ่าอันตรายนานาชนิดมาแทบเอาตัวไม่รอด ดังนี้

    กรุณาท่านผู้อ่านพิจารณาดู ผู้เขียน ๓ ได้ยินมาอย่างนี้ ไม่กล้าตัดสินเอาคนเดียว แบ่งให้ท่านผู้อื่นได้มีส่วนวินิจฉัยด้วย แต่อดที่จะอัศจรรย์ในเหตุการณ์ไม่ได้ ที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปให้เห็นอย่างชัดเจน นับว่าชีวิตธุดงคกรรมฐานของท่านอาจารย์องค์นี้ สำบุกสำบันมาก นอกนั้นยังมีประสบการณ์ปลีก ๆ ย่อย ๆ เรื่อยมา เพราะท่านชอบอยู่แต่ป่าแต่เขาตลอดมา ไม่ค่อยเห็นท่านเข้ามาเกี่ยวข้องกับฝูงชน ท่านอยู่ลึกไม่มีใครกล้าเข้าไปนิมนต์ถึง

    พระปฏิบัติสายท่านพระอาจารย์มั่น ท่านมักอยู่แต่ในป่าในเขา เนื่องจากองค์ท่านอาจารย์เองพาดำเนินมา และส่งเสริมบรรดาศิษย์ในทางนั้น เท่าที่สังเกตท่านตลอดมา ท่านชอบพูดชมป่าชมเขาประจำ นิสัยที่ท่านชอบอยู่ป่าอยู่เขาตลอดมา ท่านว่าแม้รู้ธรรม มากน้อย หยาบละเอียดเพียงไร ก็ชอบรู้อยู่ตามป่าตามเขาแทบทั้งนั้น ไม่ค่อยรู้ธรรมพอให้มีความสงบเย็น เพราะอยู่ในที่เกลื่อนกล่นบ้างเลย แม้ธรรมที่นำมาสั่งสอนหมู่คณะอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้มาจากความรอดตายในป่าในเขานั่นแล

    แม้ท่านมรณภาพแล้วโดยทางรูปกาย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนิมิตที่ปรากฏเป็นองค์แทนท่าน กับความรู้ทางจิตภาวนาของบรรดาศิษย์ที่มีนิสัยในทางนี้ ก็มีต่อกันอยู่เสมอมา ราวกับท่านยังมีชีวิตอยู่ การภาวนาเกิดขัดข้องอย่างไรบ้าง ท่านก็มาแสดงบอกอุบายวิธีแก้ไขโดยทางนิมิต เหมือนองค์ท่านแสดงจริง ๆ ทำนองพระอรหันต์มาแสดงธรรมให้ท่านฟัง ในที่ต่าง ๆ ดังที่เขียนผ่านมาแล้ว ถ้าจิตของผู้นั้นอยู่ในภูมิใด และขัดข้องธรรมแขนงใด ที่ไม่สามารถแก้ไขโดยลำพังตนเองได้ ท่านก็มาแสดงธรรมแขนงนั้นจนเป็นที่เข้าไจ แล้วนิมิตคือรูปภาพขององค์ท่านก็หายไป

    หลังจากนั้นก็นำธรรมเทศนาที่ท่านแสดงให้ฟังในขณะนั้น มาแยกแยะ หรือตีแผ่ออกตามกำลังสติปัญญาของตน ให้กว้างขวางออกไป และได้อุบายเพิ่มขึ้นอีก ตามภูมิที่ตนสามารถ ท่านที่มีนิสัยในทางออกรู้สิ่ง ต่าง ๆ ย่อมมีทางรับอุบายจากท่านที่มาแสดงให้ฟังได้ตลอดไป ที่เรียกว่าฟังธรรมทางนิมิตภาวนา ท่านมาแสดงธรรมให้ฟังทางนิมิต ผู้รับก็รับรู้ทางนิมิต ซึ่งเป็นความลึกลับอยู่บ้างสำหรับผู้ไม่เคยปรากฏ หรือผู้ไม่เคยไดยินมาเลย อาจคิดว่าผู้รับในทางนิมิตเป็นความเหลวไหลหลอกลวงก็ได้ แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้น

    พระปฏิบัติที่มีนิสัยในทางนี้ ท่านรับเหตุการณ์ในทางนี้ด้วย อันเป็นความรู้พิเศษเฉพาะราย ๆ มิได้ทั่วไปแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย คือเป็นไปตามภูมินิสัยวาสนา ดังท่านอาจารย์มั่นฟังพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่เสด็จไปโปรด และฟังธรรมที่พระสาวกมาแสดงโดยทางนิมิตเสมอมา บรรดาศิษย์ที่มีนิสัยคล้ายคลึงท่านก็มีทางทราบได้จากนิสิตที่ท่านมาแสดง หรือพระพุทธเจ้าและพระสาวกมาแสดง ถ้าเทียบก็น่าจะเหมือนพุทธนิมิตของพระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาในชั้นดาวดึงส์สวรรค์ฉะนั้น แต่เรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องใหญ่มาก จิตใจคนน้อมเชื่อได้ง่ายกว่าเรื่องทั่ว ๆ ไป แม้มีมูลความจริงเท่ากัน

    เกร็ดประวัติ จากหนังสือ
    “ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ”
    โดย พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2013
  2. ด้วงน้อย

    ด้วงน้อย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +70
    สาธุ ครับ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง สิ่งศักสิทธิ์ จึงมาค่อยคุ้มครอง น่าอรรศจรรย์ใจจริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...