เทศน์ *** ธรรมะออกจากใจ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย santosos, 19 กรกฎาคม 2005.

  1. santosos

    santosos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +3,212
    ธรรมะออกจากใจ

    วันที่ 28 กรกฎาคม. 2542 เวลา 18:30 น. ความยาว 105.57 นาที
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด

    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒

    ธรรมะออกจากใจ
    การเทศนาว่าการทั้งหมดที่ช่วยโลกอยู่เวลานี้ ผมไม่ได้เอาปริยัติมาเทศน์นะ ถ้าเอาปริยัติมาเทศน์ เทศน์ไม่ได้ ความจำต้องวิ่งไปอยู่กับปริยัติ ทีนี้ความจำของเรามันไม่ออกแล้วจะเอาคำเทศน์มาจากไหน ออกปริยัติคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ บาลีนั้นบาลีนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ มันไม่ออกนะเดี๋ยวนี้ เทศน์ขึ้นกับนี้ทันทีเลยไม่ออกไปไหน ปัจจุบัน ๆ ขึ้นมันถึงเทศน์ไปได้นะทุกวันนี้ พูดให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือว่าออกจากใจเลย ธรรมะล้วน ๆ ออกจากใจหมดว่างั้นเลย ไม่ได้ไปอ้างอิงคัมภีร์ไหน ๆ เพราะนี้เป็นคัมภีร์ตายตัว

    คัมภีร์ของพระพุทธเจ้า คัมภีร์ของพระอรหันต์ท่าน ทรงเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยใจที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ จึงไม่บกพร่องที่ตรงไหน ท่านถอดออกจากนั้นสอนโลกนะ ไม่ได้เอาคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้อย่างทุกวันนี้นะ อันนั้นคัมภีร์ความจำ อันนี้มันความจริง มันต่างกัน ผมพูดตรง ๆ เอาแต่ความจริงออก ถอดออกล้วน ๆ เลย

    วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา ได้ออกวาจาพร้อมหน้ากันว่า วันเข้าพรรษาในวันนี้ ดังที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ การเข้าพรรษาคือไม่ได้เที่ยวสัญจรไปมาที่ไหน ๆ ท่านให้อยู่เป็นที่เป็นฐาน แต่การประกอบความพากเพียรนั้น ไม่ว่าอยู่ที่ไหนความพากเพียรเป็นสำคัญตลอดเวลา สำหรับพระในครั้งพุทธกาลท่านปฏิบัติมาอย่างนั้น

    เวลานี้ศาสนาจะยังเหลือแต่ตัวหนังสือ ยังเหลือแต่คัมภีร์ ขอให้เราทั้งหลายได้สำนึกรู้ตัวเสีย จะไม่มีศาสนาอันแท้จริงเหลืออยู่ในวงพระพุทธศาสนาแล้วเวลานี้ ก็เพราะความสกปรกโสมมของกิเลสนั้นแล มันก่อกวนทับถมตลอดเวลา ไหลเข้ามาทุกทิศทุกทางจนมองไม่ทัน ผู้มองนั้นเรียกว่าจะมองไม่ทัน ไอ้ผู้ไม่มองหลับตาให้มันสับมันเขกอยู่นี้มีมากต่อมากสำหรับพระของเรา ไม่มีความหมายอะไรในความเป็นพระเลย บวชเข้ามาแล้วก็มาประกาศตนว่าเป็นพระเพียงเท่านั้น นอกนั้นให้กิเลสเอาไปถลุงหมด

    ความคิดความปรุงทุกด้านทุกทาง เป็นเรื่องของกิเลสนำไปถลุงเสียทั้งหมด กิริยาอาการคำพูดคำจา ความเคลื่อนไหวไปมาของพระ เลยไม่มีเหลือติดเนื้อติดตัว สตินิดหนึ่งที่จะดูหัวใจคิดปรุงแต่งไปในที่ต่าง ๆ ซึ่งเคยสั่งสมกิเลสมานมนานนั้น ก็ไม่สนใจยับยั้งความคิดความปรุงของตนด้วยสติบ้างเลย เรื่องปัญญาจึงไม่ต้องพูดถึง เมื่อสติไม่อยู่กับตัวแล้วก็มีแต่กิเลสทำงานทั้งวันทั้งคืน อิริยาบถไม่เลือก เรื่องกิเลสทำหน้าที่ของมัน สั่งสมกองทุกข์เข้ามาสู่จิตใจของผู้ปฏิบัติเรา เช่นพระเรานี้สำคัญมากนะ

    ในครั้งพุทธกาลท่านเป็นแบบเป็นฉบับจริง ๆ บวชเข้ามาเพื่อความพ้นทุกข์จริง ๆ ไม่ว่าจะออกมาจากสกุลใด ชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม เมื่อก้าวเข้ามาสู่วงกาสาวพัสตร์แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนหมด ความคิดความปรุงการพูดการจา กิริยาความเคลื่อนไหวไปมาต่าง ๆ หมุนเข้าเพื่ออรรถเพื่อธรรมทั้งนั้น ไม่ได้หมุนเพื่อไปเป็นกิเลส เพราะท่านสลัดมาแล้ว และท่านก็มุ่งหน้ามุ่งตาต่อการบำเพ็ญ เพื่อชำระสะสางกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจของท่านให้จางลงไป ๆ ด้วยความพากเพียร

    สติติดแนบกับตัว ดูหัวใจเจ้าของตลอดเวลา นี่ชื่อว่าผู้มีความเพียร ในอิริยาบถใดก็ตามถ้ามีสติกำกับใจอยู่ เรียกว่าเป็นความเพียรทุก ๆ อิริยาบถ จะเดินจงกรมไม่เดินจงกรมความเพียรคือสติจับกันกับจิตซึ่งเป็นตัวภัย ออกมาจากกิเลสปรุงแต่งออกมานั้น จับตลอดเวลาไม่ละเว้น นี่คือผู้มีความเพียร นอกจากนั้นจะพิจารณาทางด้านปัญญาแยบคายไปในแง่ใดภูมิใด สติก็ไม่ปราศจาก มีสติครอบอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นความเพียรทั้งด้านสติทั้งด้านปัญญากำหนดอยู่นั้น โลกอันนี้เหมือนไม่มี เพราะโลกนี้เป็นโลกของกิเลสทั้งมวล ไม่ว่าสัตว์ตัวใดบุคคลใดสร้างแต่กิเลสเข้าสู่ภายในใจ เผาลนจิตใจให้รุ่มร้อนทั่วถึงกันหมด นี่เป็นเรื่องของกิเลส

    เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้คิดออกไปหาเรื่องโลกเรื่องสงสาร เพราะเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ให้คิดเข้ามาสู่จิตใจดูจิตใจ ผู้ที่จะเสาะแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนจงมีสติทุกเวลา เพราะอำนาจของกิเลสผลักดันออกไปนั้นมันมีอยู่ทุกขณะ ๆ จึงไม่ให้มันคิดออกไป ผู้กำหนดคำบริกรรมภาวนาที่ยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์เป็นสมาธิเลย ก็ให้ถือคำบริกรรมภาวนานั้นเป็นหลักเกณฑ์ ด้วยสติตั้งติดแนบอยู่กับคำบริกรรมที่ติดกันอยู่กับความรู้นั้น นี่เรียกว่าผู้มีความเพียร ไม่ปล่อยปละละเลยไปไหนเลย นี่เรียกว่าความเพียร ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ผมได้ดำเนินมาอย่างนี้

    เมื่อเสาะแสวงหาจุดอันตายตัวยังไม่ได้ ก็พยายามเสาะที่ว่าจิตเจริญแล้วเสื่อม ๆ เพราะไม่รู้จักวิธีรักษา เบื้องต้นจิตก็เป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงประหนึ่งว่าภูเขาทั้งลูก แน่นหนามั่นคงมาก แต่ก็เพราะไม่รู้จักวิธีรักษา ปล่อยใจ เวลามาประกอบความพากเพียรมันก็เสื่อม ๆ เมื่อเสื่อมไปแล้วดึงกลับคืนไม่ได้ พลิกกลับคืนไม่ได้ นี่ละการเสาะแสวงหาหลักยึดที่จะเป็นของตายตัว ให้ได้ดำเนินอย่างแนบสนิทหาไม่ได้ คิดย้อนไปย้อนมาจึงมาระลึกถึงเรื่องความขาดสติ เพราะไม่มีคำบริกรรมกำกับใจ

    จึงต้องได้ปักหลักให้จิตใหม่ เอ้า แต่นี้ต่อไปเราจะให้อยู่กับคำบริกรรมอย่างเดียว จิตจะเสื่อมก็ตาม เจริญก็ตาม เราจะไม่สนใจกับสิ่งเหล่านั้นเลย คำว่าเสื่อมว่าเจริญนี้เราก็เคยเห็นเคยรู้มาแล้ว ห้ามเท่าไรก็ไม่อยู่ เสื่อมไปต่อหน้าต่อตา บัดนี้จะห้ามด้วยพุทโธ แต่ไม่ได้กีดกันความเสื่อมความเจริญ อยากเสื่อมก็ให้เสื่อมไป อยากเจริญก็แล้วแต่จะเจริญ แต่คำบริกรรมนี้เกาะติดไม่มีละเลย นี่ละตั้งจิตตั้งอย่างนี้

    ตั้งแต่ขณะตัดสินใจลงอย่างนี้แล้ว คำว่าพุทโธกับจิตไม่ห่างจากกันเลย ตื่นนอนขึ้นมาพุทโธติดแนบจนกระทั่งหลับ ไม่ยอมให้คิดไปไหนเลย เอ้า มันจะเสื่อมไปไหนก็ให้เสื่อม จะเจริญก็ให้รู้ในหัวใจของเรานี้ จะเสื่อมก็ให้รู้ เพราะมันเคยเสื่อมเคยเจริญมาเสียจนอิดหนาระอาใจ บัดนี้จะไม่เอาความเสื่อมความเจริญมาเป็นอารมณ์ นอกจากคำว่าพุทโธคำเดียวเท่านั้น เอ้า เสื่อมก็ให้เสื่อมกับพุทโธ เจริญให้เจริญกับพุทโธ เอาอย่างนี้เท่านั้น จากนั้นก็จับติด บังคับจิตไม่ให้นอกเหนือไปจากคำว่าพุทโธ บริกรรมอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปมาที่ไหน คำว่าพุทโธกับสตินี้ติดแนบ ๆ กัน เอาจริงเอาจังเพราะเราเป็นนิสัยอย่างนี้มาด้วย จริงทุกอย่างไม่มีคำว่าเหลาะแหละ

    เมื่อคำบริกรรมกับพุทโธติดแนบกันไป ๆ ทุกวัน ๆ จิตก็ค่อยสงบตัวเข้ามาให้เห็นชัด ๆ คำบริกรรมนี้ไม่ยอมปล่อยตลอดเวลา จนกระทั่งได้เห็นชัดเจนว่า คำบริกรรมนี้เมื่อจิตเข้าสงบเต็มที่ของมัน ละเอียดเต็มที่แล้ว คำบริกรรมไม่มี ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีกว่า ทำไมทีนี้คำบริกรรมไม่มี จะเกาะอะไรยึดอะไร แต่ก่อนเรายึดคำบริกรรม คือ พุทโธ ๆ ติดกับสติอยู่ตลอดเวลา แล้วบัดนี้คำบริกรรมนี้หาย กำหนดอย่างไรให้ปรากฏเป็นคำบริกรรมขึ้นมาก็ไม่มี หมดต่อหน้าต่อตาเห็นชัด ๆ แต่ความรู้ละเอียดสุขุมมากทีเดียวตอนนั้น มีแต่ความรู้ นึกพุทโธก็ไม่ออกไม่ปรากฏ เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ นี่ทราบได้ชัดว่า ถึงเวลาจิตที่ละเอียดจริง ๆ แล้วนึกคำบริกรรมไม่ออกไม่มี

    เอ้า ไม่มีก็ตาม เราจะอยู่กับความรู้อันนี้ สติตั้งกับคำบริกรรม เมื่อคำบริกรรมสิ้นไปไม่มีเหลือแล้ว แล้วจะตั้งอยู่กับความรู้อันนี้ เอ้าไปไหน เจริญหรือเสื่อมให้รู้ จะไม่ปล่อย จะเอาความรู้อันนี้แทนคำบริกรรม สติจับอยู่นั้น พอถึงกาลเวลาที่มันจะคลี่คลายตัวเองมันหากมี พอถึงเวลาคลี่คลายก็ค่อยคลี่คลายออกมา พอนึกคำบริกรรมได้ก็เอาคำบริกรรมติดเข้าไปเลย เป็นอย่างนี้ประจำ พอถึงวาระที่มันละเอียดเข้าไปอีกก็เป็นอีก

    ทีนี้ต่อมาก็ค่อยทราบเรื่อง ถึงเวลาจิตที่ละเอียดเต็มที่แล้วนึกคำบริกรรมไม่ปรากฏ ก็ให้อยู่กับความรู้นั้นดังที่เคยปฏิบัติมา เอ้า เป็นไหนเป็นกัน พอคลี่คลายออกมาก็เอาคำบริกรรมเข้าไปอีก นี่จุดเบื้องต้นที่เราตั้งรากตั้งฐานได้ จิตเจริญขึ้นแล้วไม่เสื่อมอีก อ๋อ จิตไม่เสื่อม ค่อยสงบเข้าไปเย็นเข้าไป ๆ ค่อยแน่นหนามั่นคงขึ้นเป็นลำดับ ๆ

    ทีนี้พอเจริญขึ้นถึงขั้นที่เคยเสื่อม สองสามวันเจริญขึ้นแล้วเสื่อม สองสามวันเจริญขึ้น อยู่ได้เพียงสามวันเสื่อมต่อหน้าต่อตา ๆ บังคับยังไงก็ไม่อยู่ ทีนี้พอถึงขั้นนี้แล้วแทนที่จะเสื่อมลงไปอีก เราก็ปล่อยความเสียดายทั้งหมด นี่เราเคยเห็นมาแล้วเรื่องความเสื่อมนี้ ถึงสามวันเสื่อมไป ๆ คราวนี้ เอา จะเสื่อมไปไหนก็เสื่อม เราไม่สนใจกับความเสื่อมความเจริญอะไรเลย แต่คำบริกรรมพุทโธนี้เราจะไม่ปล่อย เสื่อมก็เสื่อมไปเราเคยเสื่อมมาพอแล้ว จนอกจะแตกเพราะความเสื่อม จิตเป็นทุกข์มากที่สุด

    คราวนี้เราจะไม่อาลัยเสียดายกับความเสื่อมกับความเจริญ นอกไปจากคำบริกรรมที่ได้ติดแนบกับสติกับความรู้นี้เท่านั้น ไม่สนใจ เอ้า ขึ้นถึงนี้แล้วจะลงหรือไม่ลง พุทโธ ไม่ถอย ๆ สุดท้ายถึงขั้นที่เจริญขึ้นไปสองสามวันแล้วเสื่อมนั้นไม่เสื่อม ทีนี้ค่อยตั้งตัวได้ ๆ เป็นลำดับลำดา เราก็ไม่เป็นอารมณ์กับมัน มันจะเสื่อมไปไหนเจริญไปไหน เราทอดอาลัยตายอยากหมดแล้ว ทีนี้หนักเข้า ๆ จิตก็ค่อยแน่นหนามั่นคงขึ้นมา ๆ จึงแน่ใจได้ว่า อ๋อ จิตเราที่เสื่อมที่เจริญนั้น เพราะเราขาดสติไม่มีคำบริกรรมกำกับ เพียงแต่กำหนดเอาเฉย ๆ มันเผลอไปที่ไหนก็ได้ ด้วยเหตุนี้เองจิตจึงเสื่อม

    บัดนี้ไม่เสื่อมเพราะคำบริกรรมกับสติติดแนบตลอดเวลา ก็ยึดอันนี้เป็นหลัก จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่สมาธิอันแน่นหนามั่นคงได้ คำบริกรรมไม่ถอย จนกระทั่งความแน่นหนามั่นคงของจิตนี้เป็นจุดตั้งแห่งสติได้เรียบร้อยแล้ว สติก็จับอยู่กับจุดแห่งผู้รู้นั้นเลย คำบริกรรมก็หากปล่อยกันไปเอง ปล่อยโดยความประจักษ์ตัวเอง ควรแก่การกำหนดกับผู้รู้นี้ด้วยสติแล้วก็กำหนดนั้นที่นี่ ไม่เสื่อมตลอดไป นี่ละการตั้งหลักฐานของจิตเราเคยตั้งมาอย่างนี้ เห็นผลอย่างนี้ประจักษ์ตัวเอง จากนั้นก็ไม่เสื่อม ตั้งเป็นสมาธิจิตแนบเแน่นเหมือนภูเขาทั้งลูก เพราะความมั่นคงของจิตในขั้นสมาธินี้เต็มภูมิ ก็รู้ว่าสมาธินี้เต็มภูมิ นี่ละการตั้งจิตในเบื้องต้น ให้พากันตั้งอย่างนี้

    อย่าทำเหลาะ ๆ แหละ ๆ โลเลโลกเลกหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้พระปฏิบัติเรา ปฏิบัติจนกระทั่งวันตายจะไม่ได้รับผลประโยชน์อันใดเลยถ้าไม่มีหลักยึด นี่หลักยึดได้สอนให้รู้แล้วทุกอย่าง เราดำเนินมาแล้วได้หลักมาแล้วอย่างนี้ จึงขอให้ยึดหลักนี้เป็นสำคัญมากทีเดียว อย่ากำหนดความรู้เอาเฉย ๆ แบบโลเลโลกเลกไม่เกิดประโยชน์อะไร ภาวนาไปเท่าไรก็ไม่ได้หลักได้เกณฑ์ สุดท้ายก็อิดหนาระอาใจ แล้วปล่อยวางงานนี้ไปเสีย เอางานของกิเลสเข้ามาแทนที่

    ทีนี้มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งมวลเต็มหัวใจ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว จ่อสติเข้ามาหาจิตจ่อไม่ได้ ความฟุ้งซ่านวุ่นวายกับกิจการงานต่าง ๆ กับโลกกับสงสารมันดึงออกไป ๆ ทีนี้จิตก็เผ่นไปตามมันเสีย นี้ละนักภาวนาล้มเหลว ล้มเหลวเพราะเหตุนี้เอง พากันจำเอาไว้นะ

    เพราะจ่อจิตเข้ามาไม่ได้ กองไฟของกิเลสมันแสดงเผาทันที มันไม่ยอมให้จ่อสติเข้ามานี้ได้ มันลากดึงออกไปหาอารมณ์ภายนอก เพลินเป็นบ้าไปเลย นี่ละนักภาวนาล้มเหลว ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ มันร้อนขนาดไหนฟาดมันลงที่นั่น นั้นละกองไฟอยู่ที่นั่น กิเลสอยู่ที่นั่น มันผลิตไฟคือกองทุกข์ขึ้นมาเผาเรา มันเผาขึ้นจากกิเลสตัวมันผลิตขึ้นมาหนุนขึ้นมานั้นแล สติจ่อลงไปให้รู้อยู่กับตรงนั้น เอา มันจะเป็นไฟทั้งกองจิตดวงนี้ ให้สติกับคำบริกรรมนั้นจ่อกันตรงนั้น เผากันตรงนั้น ต่อไปอันนี้ก็จางไปเอง ๆ เพราะไม่ยอมให้คิดออกไปหาอาหารของกิเลสภายนอกมาเป็นไฟเผาเรา จิตก็แน่นขึ้นมาอีก ให้จำเอาไว้นะวิธีการเหล่านี้ ผมก็ไม่ได้สอนละเอียดลอออย่างนี้ วันนี้สอนวิธีการให้รู้ ผู้มาปฏิบัติจะได้หลักได้เกณฑ์

    คำบริกรรมอย่าปล่อย ปล่อยไม่ได้ ฟัดกันให้เต็มเหนี่ยวเลย ยืนเดินนั่งนอนอย่าไปสนใจยิ่งกว่าสติกับจิตกับคำบริกรรมให้ติดแนบกัน เมื่อถึงขั้นที่จิตสงบเด่นดวงแล้ว คำบริกรรมก็ค่อยจางไปเอง ถือความเด่นดวงของความรู้นั้นเป็นจุดที่ตั้งของสติ จับอยู่ตรงนั้นเรื่อย ๆ เลย ทีนี้ได้หลักเข้าไปเรื่อย ๆ ความสงบนั้นก็จะแน่นเข้าไปเรื่อย เพราะสติจ่อตลอดแทนคำบริกรรมอันแน่นหนามั่นคง

    จากนั้นให้พิจารณาทางด้านปัญญา เมื่อจิตสงบแล้วจิตย่อมอิ่มตัว ไม่อยากคิดถึงทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ซึ่งเคยวุ่นวายก่อกวนเรามาเป็นเวลานานแล้ว พอมีสมถธรรมคือความสงบเป็นอาหารเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ ใจก็ได้ดื่มความสงบนี้แล้วไม่คิดวุ่นวายกับอารมณ์ภายนอก เรียกว่าอิ่มอารมณ์ ทีนี้พาพิจารณาทางด้านปัญญา ปัญญาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์แยกสกลกายทุกสัดทุกส่วน ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก พิจารณาไปหมดในสรรพางค์ร่างกายของเรา จะเป็นร่างกายภายนอกภายในได้ทั้งนั้น ขอให้สติจับตลอดเวลาก็แล้วกัน

    กายนอกคือกายของเขาก็ดี กายในคือกายของเราก็ดี พิจารณาได้ทั้งนั้นแยกทางด้านปัญญา พิจารณาอสุภะอสุภัง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ถ้าเราพิจารณาร่างกายของเรายังไม่ได้ชัด เอาข้างนอกมากำหนดพินิจพิจารณา อันไหนมันสดสวยงดงาม พิจารณาหาความสวยงามมันอยู่ตรงไหน นี่การพิจารณาทางด้านปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์คลี่คลายออก ถลกหนังออก คลี่คลายออก เอาหนังออกแล้วเป็นยังไงมนุษย์เรา เรียกว่าหญิงว่าชาย เรียกว่าเขาว่าเรา ว่าความสวยความงามอยู่ที่ตรงไหนไม่มี มีแต่หนังห่อกระดูกอยู่เท่านั้นมันหลอกลวงโลก

    ท่านจึงสอนว่า ตโจ ตโจ ถึงนั่นแล้วหยุด เพราะหนังเป็นตัวสำคัญมากห่อคนทั้งคน ห่อกระดูกทั้งกอง ห่อตับไตไส้พุงของสกปรกทั้งปวง หนังห่อเอาไว้เท่านั้นจึงมาหลอกบุรุษตาฟางได้ แล้วก็หลงตามอันนั้น เอ้า คลี่คลายออก นี่เรียกว่าปัญญา ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาอย่างนั้น คลี่คลายออกให้ชัดเจน ไม่ใช่หนหนึ่งหนเดียวนะ เอานี้เป็นงาน พอปล่อยจากงานนี้ก็เข้าสู่สมาธิทำความสงบใจ ปล่อยอารมณ์ของการทำงานด้วยปัญญานี้เข้าสู่ความสงบใจ พักจิตให้เป็นสมาธิสงบใจแล้ว สมาธิเป็นเครื่องหนุนปัญญาให้ก้าวเดินออกอย่างคล่องตัว พอออกนี้พิจารณาอีก อันเก่านั่นแหละ พิจารณาให้คล่องแคล่วว่องไว

    พิจารณาข้างนอกเทียบข้างใน พิจารณาข้างในเทียบข้างนอก เอาหลายครั้งหลายหนจนมีความชำนิชำนาญ ความชำนิชำนาญของทางปัญญานี้ชัดเจนมาก เวลาได้ชำนิชำนาญแล้วมองดูอะไรนี้ขาดสะบั้น ๆ นี่ได้พิจารณามาพอแล้ว ดูอะไรเมื่อปัญญาคล่องตัวว่องไวแล้ว ดูคนสมมุติว่าเราพิจารณาเข้าไปเห็นแต่เนื้อ เห็นแต่เอ็น กระดูกอย่างนี้ พอพิจารณาเข้าไปหนังจะไม่เห็นเลย จะพุ่งเข้าข้างใน มันไม่ได้ดูหนังที่ว่าสวยงามนี่นะ มันจะพุ่งเข้าข้างใน พิจารณาสกลกายทุกสัดทุกส่วน มีแต่ของปฏิกูลเต็มเนื้อเต็มตัวทั้งหญิงทั้งชายทั้งสัตว์ทั้งบุคคล แต่เหตุใดกิเลสมันมาหลอกว่าเป็นของสวยของงามได้ เห็นไหมมันตบตาเราด้วยของปลอม ๆ

    ของจริงเวลาปัญญาหยั่งเข้าไปมันเห็นไปหมดแล้ว จะเอาของสวยของงามมาจากไหน แล้วจะติดกันที่ตรงไหน จะรักชอบกันที่ตรงไหน จะติดจะพันกันที่ตรงไหน มันเห็นชัดเข้า ๆ นี้คือความจริงไม่ต้องหลอก มันปฏิกูลจริง ๆ ตามหลักธรรมชาติของมัน แต่เราเสกสรรปั้นยอว่ามันสวยมันงาม นั้นคือเรื่องของกิเลสตัวจอมปลอมมันหลอก เราก็หลงเครื่องหลอก ทีนี้เมื่อหลงแล้วก็ตื่นกับมันไปเลย เป็นเรื่องกองทุกข์เผาตัวเองไปเรื่อย ๆ นี่ละปัญญาให้พิจารณาอย่างนี้

    เอาเป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ นะ ทำงานด้วยปัญญาก็เอาจริงเอาจัง พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า ตั้งขึ้นมาพิจารณาอีก แตกลงไปพิจารณาอีก แล้วย้อนเข้ามาดูตัวของเรา พิจารณาตัวของเรา เอ้า แตกลงไป เมื่อแตกลงไปแล้วจิตยิ่งจะมีความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา ๆ ภายในจิตใจ และความสว่างกระจ่างแจ้งของจิตนั้นก็ไม่มีประมาณ พลังของจิตมีมากขึ้น ความคล่องแคล่วของจิตมีมากขึ้น การพิจารณารวดเร็วมากขึ้น ๆ นั่นคือปัญญาทำงาน แล้วเห็นโทษเห็นภัยแห่งสิ่งทั้งหลาย ที่เคยเห็นว่ามันเป็นคุณเป็นประโยชน์ น่ารักใคร่ชอบใจนี้จางออกไป ๆ ต่อไปก็เหลือแต่กองกระดูก นี่ละปัญญา

    กองกระดูก กองเนื้อกองหนัง ซากศพเป็นซากศพตายเป็นอันเดียวกัน ไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกัน มีหนังหุ้มห่อไว้เท่านั้น นี่เรียกว่าปัญญา พิจารณาให้คล่องตัว อย่าไปคิดอย่าไปคาดว่าจะถอดจะถอนกิเลสตัวนั้นตัวนี้อย่าไปคาด ให้ดูความจริงนี้ ความจริงจะบอกขึ้นมา ควรถอนตรงไหนมันจะถอนเอง ควรอิ่มพอตรงไหนมันจะปล่อยของมันเอง ร่างกายทุกสัดทุกส่วนเมื่อเวลาพิจารณาด้วยความพอพอแล้วมันจะถอนเอง เคยพิจารณาพัวพันกันมาขนาดไหนก็ตาม เหมือนกับเรารับประทาน รับประทานเรื่อย ๆ ไม่หยุดไม่ถอยพออิ่มแล้วก็ปล่อยเอง

    นี้ก็เหมือนกัน เมื่อพิจารณาขั้นนี้จนชำนิชำนาญแล้ว มองไปที่ไหน มองบุคคลผู้ใดสัตว์ตัวใด ผู้หญิงผู้ชายนี้จะเป็นสภาพเหมือนเราพิจารณาแล้วทั้งนั้น หนังห่อกระดูกแล้วก็เห็นมีแต่โครงกระดูก เห็นแต่เนื้อแต่หนัง แล้วแต่มันจะชัดเจนด้วยปัญญาของเราในแง่ใด ให้เราถือแง่นั้นเป็นหลักเกณฑ์พิจารณา เป็นหินลับปัญญาตลอดไป นี่คือการพิจารณาทางด้านปัญญา

    เมื่อมีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการพิจารณา เพราะการพิจารณานี้เป็นงานของจิตทางด้านปัญญา ย่อมทำงานตลอดไป เมื่อทำงานมาก ๆ แล้วย่อมมีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ถอยเข้ามาพักในทางสมาธิเพื่อเอากำลัง จิตเมื่อเข้าสู่สมาธิแล้วย่อมปล่อยวางงานทั้งหลายเข้าสู่ความสงบตัวสบายเย็น ปล่อยวางภาระ เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามเวลานั้น อยู่กับความสงบนั้นเสียไม่ต้องยุ่งกับงาน เวลาให้สงบให้สงบจริง ๆ ไม่ต้องยุ่ง อย่าให้มาเกี่ยวข้องกันเวลาให้สงบ ให้สงบจริง ๆ นี้เรียกว่าสมาธิ พอตัวแล้วถอยขึ้นมาพิจารณาทางด้านปัญญาอีก ทีนี้ไม่ต้องยุ่งกับสมาธิ

    เอาทางปัญญาให้เหนียวแน่นมั่นคง มีความชำนิชำนาญเข้าไปโดยลำดับ พอเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเราก็รู้เราเอง เข้ามาพักสมาธิ นี้คือการพิจารณาอย่างราบรื่นดีงาม ไม่หนักไม่เบาตรงไหน ๆ นี่เคยผ่านมาแล้วจึงได้รู้ได้นำมาสั่งสอนหมู่เพื่อน ถึงขั้นปัญญาเพลินตัวนี้เพลินจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา ปัญญาถึงขั้นเห็นเหตุเห็นผล

    ร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะราคะตัณหาอยู่กับร่างกาย โลกทั้งหลายป่วนปั่นวุ่นวายกัน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมากที่สุด เราจะเห็นได้เวลาขึ้นเวที ไม่มีกิเลสตัวใดจะหนักหน่วงถ่วงจิตใจบังคับจิตใจยิ่งกว่ากามกิเลส กามกิเลสอยู่กับร่างกาย เมื่อร่างกายเบาลง ๆ สิ่งเหล่านี้ก็เบาไปตาม ๆ กัน

    เมื่อพิจารณาร่างกายรอบสลัดสิ่งเหล่านี้ออกมาแล้ว เรื่องกามกิเลสก็ขาดไปด้วยกัน อันนี้เราจะไม่บอกเงื่อน ขอให้พิจารณาตามนี้ก็แล้วกัน ผลจะปรากฏขึ้นมาแก่ผู้บำเพ็ญ เพราะบอกไปแล้วมันคาดมันหมาย ไม่ดี เป็นผลที่จะปรากฏขึ้นจากผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามขอให้พิจารณาร่างกายให้ช่ำชองให้ชำนิชำนาญ มองดูอะไรให้เป็นกองกระดูก เป็นกองเนื้อกองหนังไปหมด ไม่เห็นว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย ไม่เห็นว่าหนังเป็นยังไง ไม่เห็น มันทะลุเข้าไปหมดเลย นี่เรียกว่าปัญญาชำนาญ

    เป็นเองนะเวลาถึงขั้นชำนาญแล้ว คล่องแคล่วว่องไวหมุนตัวเป็นเกลียวไปเลย จากนี้ไปแล้วก็เป็นปัญญาอัตโนมัติ นี่ละขั้นเริ่มเป็นปัญญาอัตโนมัติ ปัญญาขั้นพิจารณาร่างกายคล่องแคล่วว่องไวเฉียบขาด ทันกับกามกิเลสเป็นลำดับลำดา ปัญญาขั้นนี้เป็นปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานมากทีเดียว เหมือนกับน้ำไหลโจนลงจากภูเขาเสียงสนั่นหวั่นไหว

    ปัญญาขั้นกามกิเลสขั้นร่างกายนี้ เป็นปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานมากเช่นนั้นเหมือนกัน หากเป็นในหลักธรรมชาติของมันเอง เพราะตัวนี้เป็นตัวที่หนักหน่วงถ่วงจิตใจมาก สติปัญญาที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสประเภทนี้ จึงต้องผาดโผนโจนทะยานมาก มันหากพอเหมาะพอดีกันนั่นแหละกับผู้ปฏิบัติ หากรู้ตัวเองนะ จะไปทำอ่อนข้อไม่ได้ มันหากเป็นอยู่ในตัวเอง

    ถึงขั้นคล่องแคล่วว่องไวนี้ พลิกสันเป็นคม พลิกคมเป็นสัน พลิกไปพลิกมาได้ร้อยสันพันคมอำนาจของปัญญาที่คล่องตัว นี่ละการพิจารณา ร่างกายเป็นสำคัญเอาให้มันแหลกแตกกระจาย นี่คือการพิจารณาร่างกาย เอาให้เห็นทุกสัดทุกส่วน เวลาเอาไปจริง ๆ แล้วมันชำนิชำนาญพอตัวแล้วให้รู้ที่นี่นะ เอ้า ที่นี่ตั้งกองอสุภะนั้นไว้ จะเป็นหญิงก็ตามเป็นชายก็ตาม เป็นเราก็ตามเป็นเขาก็ตาม เอา ตั้งกองอสุภะไว้ที่ตรงหน้าของเรานั้นแหละ เรื่องของการทำลายมันรวดเร็วนะ พอตั้งขึ้นพับพิจารณานี้มันขาดสะบั้นไปทันที ๆ

    ทีนี้เมื่อชำนาญถึงขนาดนั้นแล้ว เอา ตั้งขึ้นดูมัน ต้นเหตุของอสุภะมาจากไหน ให้ตั้งเอาไว้ตรงนั้นให้เพ่งดู มันจะเคลื่อนไหวไปไหนให้ดู นี่ละตัวสำคัญที่จะจับเงื่อนมันได้ เอาตรงนี้เป็นจุดสุดท้ายของการพิจารณาร่างกาย เมื่อชำนาญเต็มที่แล้วให้เอามาตั้งไว้ที่หน้าเรานี้ คือไม่ทำลาย ถ้าเป็นกองอสุภะก็ให้มันเป็นกองอสุภะอยู่นั้น ให้จ้องดูความเคลื่อนไหวของอสุภะที่ประจักษ์อยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี้ มันจะเคลื่อนไหวไปไหน เอ้า จ้องดูอยู่นั้นมันจะเคลื่อนไปที่ไหน เอา พิจารณาให้ชัดเจน ถ้ายังไม่ชัดเจนพิจารณาอีก เอาจนกระทั่งแตกกระจัดกระจายเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

    เมื่อพิจารณามีความชำนาญแล้วตั้งอีกดูอีก กำหนดดูความเคลื่อนไหวของมัน มันจะไปไหนมาไหน เอาจนกระทั่งถึงรู้ต้นเหตุของมันว่าออกมาจากไหน อสุภะอสุภังนี้ออกมาจากไหน ใครเป็นผู้มาปรุงมาแต่ง ใครเป็นผู้มาสำคัญมั่นหมายว่าเป็นสุภะอสุภะ จับไว้ให้ดี แล้วมันจะหมุนเข้าสู่ใจทีเดียว นั่นละรากฐานที่จะถอนกามกิเลสถอนตรงนี้นะ พอกำหนดเข้าไปแล้วมันจะหมุนตัวเข้ามาเอง โดยไม่มีใครบอกก็ตาม ไหลเข้ามาสู่ใจ ตรงนี้ละตรงที่จะตัดสินกันระหว่างกามกิเลสกับเรื่องของร่างกาย จะตัดสินกันที่ตรงนี้

    แต่นี้อธิบายเพียงเป็นเงื่อนนิดหน่อย อธิบายมากเกิดความสำคัญมั่นหมายแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้ผู้ปฏิบัตินั้นพิจารณาเองโดยเปิดทางให้ ให้พิจารณาอย่างนี้ แล้วเวลาเข้าไปเห็นตัวจริงเป็น สนฺทิฏฺฐิโก แล้วไม่ต้องถามใคร จะรู้ตัวเอง นี่คือการพิจารณา

    ร่างกายนี้สำคัญมาก เอาให้คล่องแคล่ว เอาให้ชำนิชำนาญอย่าปล่อยอย่าวาง นี่คือทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์อยู่จุดนี้ไม่ได้อยู่ที่อื่น นี่ละสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบตรัสอย่างนี้แหละ ให้พิจารณาตามที่ว่านี้ด้วยความมีสติสตัง อย่าปล่อยอย่าวาง อย่าเหลาะ ๆ แหละ ๆ นะการประกอบความพากเพียรของหมู่เพื่อน ผมรู้สึกหนักใจมากทีเดียว เพราะไม่เคยทำมาอย่างนั้น มันขวางหูขวางตา ทนเอา เหมือนตาบอดหูหนวกดูหมู่เพื่อนประกอบความพากเพียร ดูขนาดนั้นละดูหมู่เพื่อน เพราะเจ้าของไม่ทำอย่างนั้น เอาจริงเอาจังทุกอย่าง

    คิดดูซิไปเที่ยวกรรมฐาน เอาใครไปด้วยเมื่อไร ก็เพราะจ่ออย่างนี้ตลอดเวลา ไม่มีว่างไม่มีเว้นเลยเทียว ไปอยู่ที่ไหนสติกับจิตติดกันแนบตลอดเวลา งานการอะไรจึงมายุ่งไม่ได้ ใครก็ตามมายุ่งไม่ได้ อยู่ลำพังคนเดียวฟัดกันตลอดเวลา ๆ อย่างนี้ เราเอาจริงเอาจังอย่างนั้นมา ทีนี้เวลามาเห็นหมู่เห็นเพื่อนประกอบความพากความเพียรเหยาะ ๆ แหยะ ๆ เอ๊ย มันดูไม่ได้นะ มันไม่ใช่ความเพียรเพื่อชำระกิเลส มันความเพียรเพื่อสั่งสมกิเลสด้วยความพลั้งเผลอไม่รู้เนื้อรู้ตัวตลอดไป มันเป็นได้สำหรับความเพียรอันนี้ มันจึงไม่มีหลักมีเกณฑ์ทางด้านจิตใจ

    ถ้าลงตั้งใจปฏิบัติตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าทรงสอนจริง ๆ แล้ว ยังไงก็ไม่พ้นมรรคผลนิพพาน ประจักษ์อยู่กับทุกคน ๆ เป็น อกาลิโก อกาลิโก นั่นละธรรมเป็น อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาใดมาทำลายได้ ถ้ามีความเพียรจดจ่อต่อเนื่องกันตลอดเวลาแล้วกิเลสจะพังไป ๆ โดยไม่มีกาลเวลาสถานที่เหมือนกัน ให้เอาจุดนี้ให้ดีนะ ที่ว่ามรรคผลนิพพานสิ้นเขตสิ้นสมัย มันสิ้นได้ด้วยกันนั่นแหละ ทุกวันนี้มีแต่คนไม่มีมรรคผลนิพพานแหละ มันสิ้นเขตสิ้นสมัย เหลือแต่ร่างกระดูกเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกสงสารเห็นไหม

    คนสิ้นเขตสิ้นสมัยจากมรรคผลนิพพาน มีแต่กิเลสตักตวงเอาความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวายเผาในหัวใจแต่ละดวง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุนี้มีแต่ฟืนแต่ไฟทั้งนั้น ตรงไหนที่มีความสุขความสบาย ตรงไหนที่ว่ามีความเจริญรุ่งเรือง มันเจริญรุ่งเรืองที่ไหน มีแต่กิเลสเผาหัวใจคน เพราะคนไม่มีมรรคผลนิพพาน ไม่สั่งสมมรรคผลนิพพาน สั่งสมแต่กิเลสก็ได้แต่ฟืนแต่ไฟมาเผาตัวนั่นเองซิ สำคัญตรงนี้นะ

    ก็นี่เราสั่งสมอรรถสั่งสมธรรม ด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเราตลอดเวลาแล้ว จะไม่เป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาได้ยังไง พระพุทธเจ้าสอนธรรมทุกบททุกบาทสอนเพื่อมรรคผลนิพพานทั้งนั้น ไม่ได้สอนเพื่ออย่างอื่นอย่างใด แต่เรามันเถลไถลออกไปด้วยอำนาจของกิเลสไม่รู้เนื้อรู้ตัว สุดท้ายก็มาโจมตีธรรมของพระพุทธเจ้าว่า ศาสนาหมดมรรคหมดผล ศาสนาหมดเขตหมดสมัย ศาสนาครึศาสนาล้าสมัย ก็กิเลสมันมาเสกหลอกลวงสัตว์โลกผู้ตาบอดต่างหาก แล้วอันไหนที่ทันสมัย ก็มีแต่กิเลสเท่านั้นละทันสมัย

    ทุกวันนี้มีแต่กิเลสทันสมัย เหยียบแหลก มนุษย์ไม่มีเหลือนะเวลานี้ อันนั้นเจริญอันนี้เจริญ อะไรก็เจริญ ทุกสิ่งทุกอย่างเจริญไปหมด ถ้าขึ้นชื่อว่ากิเลสพอกพูนในหัวใจเอาไฟเผาตัวแล้วเจริญไปหมด ไฟก็ต้องเจริญในหัวใจคนล่ะซิ เมื่อคนเป็นบ้ากับกิเลสก็ต้องได้รับเคราะห์ร้าย คือหัวใจเป็นฟืนเป็นไฟตลอด เราหาดูซิที่ไหนในโลกอันนี้ ใครจะทรงอรรถทรงธรรมเป็นความสงบร่มเย็นได้ เราอย่าเอาเรื่องกิเลสหลอกลวงนั้นมาอวดมาอ้าง อย่าไปหลงสำคัญ ว่าคนมั่งคนมี คนมียศถาบรรดาศักดิ์ บริษัทบริวารสมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อย คนนั้นคือเขามีความสุข ๆ

    อะไรนั่นคือเครื่องหลอกของกิเลสเอาไฟมาเผาหัวใจคนต่างหาก มีมากมีน้อยความสุขความทุกข์มันเหมือนกันหมดนะ เพราะเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องของธรรม ใครยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหนเสกกันไปอย่างนั้นแหละ มีแต่กิเลสพาให้เสก หลงตามกิเลส ความทุกข์จึงไม่ได้ลดหย่อนลงไป ทั้งคนมีคนจนคนโง่คนฉลาดเป็นความทุกข์เหมือนกันหมด ฉลาดก็ฉลาดไปตามกิเลสเสีย โง่ก็โง่ไปตามกิเลสเสียเอาความสุขมาจากไหน ฉลาดฉลาดโดยธรรมถึงจะมีความสุข นี่ละเรื่องของโลก

    เราอย่าไปคาดไปหมาย กิเลสมันเคยหลอกลวงมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ให้สัตว์ล่มจมอยู่ในวัฏสงสารนี้กี่ภพกี่ชาติ เราคนเดียวนี้นับตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งถึงวันตายของเรา เราเกิดกี่ภพกี่ชาตินับไม่หยุดไม่ถอย ตายอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์ ก็เพราะกิเลสหลอกลวงนั่นเอง มีต้นมีปลายที่ไหนกิเลสหลอกลวงสัตว์โลก กิเลสไม่มีคำว่าเฒ่าแก่ชราคร่ำคร่านะ หลอกตลอดไป ๆ ไม่มีคำว่าวัย ๆ กิเลสหลอกไปเรื่อย ถ้าไม่มีธรรมสกัดลัดกั้นแล้วอย่างไรก็ไม่มีทางยุติกันลงได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องสกัดลัดกั้นด้วยการบำเพ็ญธรรม

    เฉพาะอย่างยิ่งเราเป็นนักปฏิบัติ เอากำจัดมันลงไปกิเลส นี่ละสกัดลัดกั้นวัฏวนให้ย่นเข้ามา ๆ เห็นประจักษ์กับใจของเราเอง ไม่ต้องไปคาดไปหมายที่ไหน เวลาจิตสกัดลัดกั้นกิเลสตัวยืดยาวฉาวโฉ่ในเรื่องการเกิดแก่เจ็บตายนั้น มันอ่อนตัวลงไป ๆ วัฏวนก็อ่อนตัวเข้ามา ๆ หดย่นเข้ามา ใจของเราก็ประจักษ์ สมาธิเกิดขึ้นแล้ว ทีนี้มีทางที่จะก้าวทางด้านปัญญา นี่ที่จะตัดหัวกิเลสให้ขาดสะบั้น ๆ ลงไป ดังที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้

    เอาขั้นนี้ให้ดีนะ กายคตาสติอย่าปล่อย เอาให้หนักให้ทำงานกับอันนี้ ออกจากนั้นให้เข้าสู่สมาธิ ตั้งหน้าตั้งตาทำ จากนั้นปัญญาอัตโนมัติจะไม่ต้องบอกแหละ เริ่มตั้งแต่ขั้นกามกิเลสขาดสะบั้นลงไป ปัญญาอัตโนมัตินี้จะหมุนตัวเป็นเกลียวลื่นไปเลย ได้ยับยั้งเอาไว้นะความเพียรขั้นนี้ ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ส่วนขั้นกายคตาสติ การพิจารณาอสุภะอสุภังนี้เป็นปัญญาชุลมุนวุ่นวาย จะว่าอัตโนมัติหรือไม่อัตโนมัติ มันก็ชุลมุนของมันด้วยความชำนิชำนาญในสุภะอสุภะนั้นโดยลำดับลำดา หมุนติ้วกันอยู่ในนั้น จะว่าอัตโนมัติก็ไม่ผิด แต่ธรรมไม่ได้สนใจแล้วว่าอัตโนมัติไม่อัตโนมัติ ให้สิ่งเหล่านี้ได้ขาดสะบั้นลงจากหัวใจแล้วเป็นที่พอใจ

    เรื่องร่างกายของเราที่ว่าสวย ๆ งาม ๆ มากี่กัปกี่กัลป์ ตายกองกันอยู่นี้เพราะอันนี้เอง เมื่ออันนี้ได้ขาดลงไปด้วยอำนาจของปัญญาที่หมุนติ้ว ๆ แล้วมันก็ผ่านปึ๋งไป ทีนี้พูดได้ ต่อไปนี้สติปัญญาจะหมุนเข้าสู่ธรรมละเอียดคือพวกนามธรรม กายนี้เรียกว่ารูปธรรม พิจารณานี้คล่องแคล่ว ตัดกามกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากนี้แล้วมีแต่นามธรรม พิจารณาถึงเรื่องเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ปรุงขึ้นที่จิต ๆ ปรุงขึ้นอะไรไม่ว่าดีว่าชั่ว ปรุงขึ้นแล้วดับ

    ความปรุงนี้มาจากไหน ไล่เข้าไป ๆ ตั้งแต่ร่างกาย ไล่เข้าไปแต่ร่างกาย ฟาดร่างกายให้แตกกระจัดกระจายลงไปแล้ว โลกนี้ว่างไปหมด เพียงกามกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจเท่านั้นโลกนี้จะว่างไปหมดเลย ตัวก่อเหตุ ตัวออกสนามรบเพื่อก่อไฟเผาโลก คือตัวนี้เอง ๆ รู้ได้ชัด พออันนี้ผ่านไปได้แล้วไม่มีอะไรเผา ความพากความเพียรหมุนตัวไปเอง ทีนี้ความเพียรได้รั้งเอาไว้ ขั้นนี้เป็นขั้นชุลมุนวุ่นวาย หนักมากที่สุดความเพียรขั้นกามกิเลสนี้

    ต้องเอาให้หนักผู้ปฏิบัติธรรม เมื่ออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว นิพพานเหมือนหนึ่งว่าอยู่ชั่วเอื้อม กิเลสตัวนี้เองเป็นตัวปิดกั้นเอาไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง มันปิดตันเอาไว้หมดไม่ให้เห็นอะไรเลย พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วมรรคผลนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ นั้นแหละคว้ามับ ๆ คว้าตลอดเวลาด้วยสติปัญญาอัตโนมัติ หมุนตัวเป็นเกลียว ได้รั้งเอาไว้นะ สติปัญญาขั้นนี้จะหมุนตัวตลอดเวลา ให้มันเห็นชัด ๆ อย่างนั้นซินักปฏิบัติน่ะ เห็นชัด ๆ แล้วทำไมจะพูดไม่ได้

    พระพุทธเจ้าทรงถามใคร พระอรหันต์ทั้งหลายท่านถามใคร เมื่อรู้แล้วท่านพูดได้เต็มปาก ก็มันรู้อยู่ที่หัวใจแล้วทำไมจะพูดไม่ได้ ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดทำไมจะพูดไม่ได้ เมื่อถึงขั้นมันเป็นแล้วเป็นอย่างนั้น มันชัดขนาดนั้น ผมไม่ใช่คุยนะ การปฏิบัติธรรมมานี้ ทุกแง่ทุกมุมทุกระยะของการดำเนินของเรามันประจักษ์ตลอดมา ตั้งแต่ขั้นสมาธิดังที่กล่าวแล้ว ล้มลุกคลุกคลาน เจริญแล้วเสื่อม ๆ จนกระทั่งตั้งสมาธิได้แล้วก็มาติดสมาธิดังที่กล่าวแล้วนั้น ติดอยู่ ๕ ปีเพราะไม่รู้ทางเดิน เห็นสมาธิจะเป็นนิพพานไปเสีย ตายอยู่ในนั้นด้วยความประมาท ติดสมาธิ

    อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ จิตใจที่มีสมาธิแล้วอยู่ได้ทั้งนั้น สบายหมด อดอิ่มอะไรไม่สนใจ ทุกข์จนอะไรไม่สนใจ เพราะอาหารของจิตพอแล้วอยู่ในใจ เพียงสมาธิก็พอตัว ๆ เมื่อยังไม่เห็นธรรมขั้นสูง จึงติดในสมาธิ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสอนให้ออกทางด้านปัญญา สมาธินี้ทำให้ติดได้ อย่างพ่อแม่ครูจารย์ขนาบผมออกจากสมาธิ ผมไม่ได้ลืมนะ คือมันติดจริง ๆ มันเพลินอยู่ในนั้นทั้งวันทั้งคืน อยู่ไหนอยู่ได้ ไม่มีเดือนปีนาทีโมง อยู่กับนั้นมันสบายตลอดเวลา เวลาก้าวออกจากนี้ด้วยการพิจารณาทางด้านปัญญา ปัญญาขั้นแรกต้องได้บังคับออกนะ ออกจากสมาธินี่

    พอสงบแล้วให้บังคับออกพิจารณาทางด้านปัญญา ไม่บังคับไม่ได้ จะให้ปัญญาเกิดขึ้นมาเองนั้นอย่าหวังนะ นี่ได้พิจารณามาแล้ว ติดสมาธิอยู่ ๕ ปีไม่เห็นเกิดปัญญา พอพ่อแม่ครูจารย์ลากออกทางด้านปัญญา ก็มันพร้อมแล้วทางด้านสมาธิหนุนปัญญา พอออกทางด้านปัญญามันก็พุ่งเลยทีเดียว ทีนี้ไม่ได้หลับได้นอนทั้งวันทั้งคืน หมุนติ้ว ๆ เลย ปัญญาทำงาน พอหมุนติ้วเป็นลำดับเห็นผลเป็นลำดับลำดา ฟาดกิเลสขาดสะบั้น เฉพาะอย่างยิ่งกามกิเลสที่เกี่ยวกับร่างกายนี้หนักมากนะ สติปัญญานี้หมุนติ้ว ๆ จะว่าอัตโนมัติหรือไม่อัตโนมัติไม่ได้คำนึงกัน มันชุลมุนกันในขั้นนี้ พอจากนี้แล้วมันก็รู้ได้ชัดเจน

    พอเรื่องกามกิเลสเกี่ยวกับเรื่องร่างกายนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว โลกนี้ว่างไปหมด ข้าศึกศัตรูเหมือนไม่มี ก็มีตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้นเป็นเครื่องหนักหน่วงถ่วงจิตใจ ทรมานจิตใจมากที่สุด สัตว์โลกได้รับความทุกข์มากที่สุดเพราะตัวนี้เอง ประมวลมาได้หมดไม่ต้องไปถามใครเลย พอตัวนี้ขาดกระเด็นลงไปจากใจแล้วไม่มีอะไร โลกนี้ว่างไปเลย ว่างในขั้นนี้ ไม่มีกองทุกข์อะไรที่จะมายุแหย่ก่อกวน ให้เราได้รับความทุกข์ความทรมาน มีแต่ความดูดดื่มทางด้านจิตใจ เพื่อมรรคผลนิพพานขั้นสูงขึ้นไปละเอียดขึ้นไปยิ่งกว่านี้ นี่ละมันเป็นอัตโนมัติที่นี่นะ

    เรื่องสัญญาอารมณ์ที่คิดปรุงต่าง ๆ ร่างกายมันหมดความหมายแล้ว มันอิ่มตัวแล้วมันพอแล้วมันไม่พิจารณานะ ร่างกายเมื่อพอในกามกิเลส ขาดสะบั้นลงไปแล้วร่างกายจะปล่อยเอง มันอิ่มมันก็เป็นอย่างนั้น ให้รู้เจ้าของเองซิ ไม่ใช่จะพิจารณานี้ตลอดไป ถึงขั้นมันปล่อยบังคับให้พิจารณาก็ไม่ยอมพิจารณา ก็มันรู้แล้ว แน่ะ มันเอานี้มาดันทันทีแล้วก็ยอมรับกันทันที จะก้าวทางด้านนามธรรม ด้านนามธรรมดูดดื่มไปเรื่อย ๆ เมื่อยังมีเชื้อไฟอยู่ที่ไหนไฟจะลุกลามไปเรื่อย ๆ เชื้อไฟในส่วนร่างกายหมดแล้ว ไฟคือสติปัญญาก็หยุดตัวไปเองผ่านไปเอง พอถึงขั้นไหนที่ยังมีเชื้อไฟคือกิเลสอย่างกลางอย่างละเอียด มันมีตรงไหนนั่นละเชื้อไฟ มันก็ตามกันไปเผากันไปเรื่อย ๆ

    พิจารณาอสุภะอสุภัง เอากิเลสตัวนี้เป็นเครื่องฝึกซ้อมไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่เสร็จแล้วแล้วนะ มันหากฝึกซ้อมไปในตัวของมันเอง ฝึกซ้อมเรื่องกามกิเลสทั้ง ๆ ที่มันรู้แล้วขาดสะบั้นไปแล้วก็ตาม มันเอานี้ฝึกซ้อมเสียก่อน นิมิตนอกนิมิตในมันเอามาฝึกซ้อมภายในจิตใจ จนกระทั่งนิมิตนี้ไม่มีเหลือ ส่วนร่างกายนี้มันหมดปัญหาของมันไปแล้ว แต่ยังมีนิมิตอันหนึ่งที่อยู่ภายในจิต ที่จะให้เป็นเครื่องเล่นของปัญญาขั้นนี้ ให้กามกิเลสนี้ละเอียดลออสุดขีดเข้าไป ขั้นลำดับที่สอบได้มี เช่นอย่างเราสอบได้ ๕๐% เรียกว่าสอบได้ นี้ขั้นกิเลสขาดลงไป ๕๐% ได้แล้วที่นี่ ระดับของอันนี้จะละเอียดเข้าไป เหมือนที่ว่าอนาคามี นั่นละละเอียดขึ้นไปอย่างนั้น

    อนาคามีคือผู้สิ้นกาม ความละเอียดลงไปอีกโดยลำดับ ฝึกซ้อมอันนี้ให้ละเอียดลงไป ๆ เรื่อย ๆ ถึงขั้นกามกิเลสที่สิ้นไปแล้ว นิมิตอันนี้เป็นเครื่องฝึกซ้อมจิตให้มีความชำนิชำนาญในด้านนามธรรม ทีนี้อะไรเกิดขึ้นมา ๆ เมื่อเวลาเราพิจารณาทางนิมิตอันนี้หมดจริง ๆ แล้วมันไม่มีนะ นิมิตตั้งขึ้นพับดับพร้อม ๆ ตั้งขึ้นมันก็รู้เลยว่าตั้งขึ้นไปจากภายในใจ ไปเป็นภาพอะไรขึ้นมามันก็ออกจากภายในใจ มันรู้แล้ว ๆ ทีนี้ดับลง ๆ จิตก็มีแต่ความว่างว่าง ๆ เรื่อย สัญญาอารมณ์คิดปรุงขึ้นมาอะไรก็ดับพร้อม ๆ ตามกันไปเรื่อย ๆ นี่ละเชื้อไฟคือสัญญาอารมณ์เกี่ยวกับเรื่องนามธรรม เป็นเชื้อไฟส่วนนี้ สติปัญญาตามต้อนเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าถึงจุดใหญ่ อย่างนั้นซิพิจารณา

    อะไรเกิดขึ้นที่ไหนมันก็ออกมาจากจิต ๆ ไม่ว่าปรุงดีปรุงชั่วหมายอะไร ๆ มันก็ออกมาจากจิต ๆ ตามเข้าไปก็ไปถึงจิต ๆ ก็เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็เข้าถึงจิตจุดใหญ่ล่ะซิ มันออกมาจากอันนี้ ๆ หมุนเข้าไปก็ถึง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา โอ๋ ตัวใหญ่จริง ๆ อยู่ที่ตรงนั้น นั่นเห็นชัดเจน เข้าไปถึงนั้นแล้วก็พังกันลงตรงนั้นเลย อ๋อ มันเข้าตรงนี้ ๆ พิจารณาเข้าในจุดนั้น จุดที่มันเกิดของสัญญาอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อพิจารณาเข้าไปตรงนั้นก็ถึงจุดนั้น ๆ พังกันลงแล้วขาดสะบั้นลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว ถามหาทำไมนิพพาน ก็อันนี้เองปิดนิพพาน พอเปิดจ้าขึ้นมาแล้วนิพพานถามหาอะไร

    จอกแหนมันปิดน้ำไว้นี้ พอเปิดจอกเปิดแหนออกจากน้ำที่ถูกจอกแหนปกคลุมหุ้มห่อไว้ออกหมดแล้ว ถามหาน้ำทำไม น้ำอยู่ในสระนั้นบึงบ่อนั้นเต็มอยู่แล้ว นี้ถามหานิพพานทำไม กิเลสนั่นเองปิดพระนิพพาน เหล่านี้เป็นกิเลสทั้งหมด เปิดออกหมดแล้วจ้าทันทีเลย ถามพระพุทธเจ้าทำไม แม้ประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม เพราะเป็นของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ประจักษ์ภายในหัวใจแล้วถามท่านหาอะไร

    สิ่งที่เคยเป็นข้าศึกก่อให้เกิดภพเกิดชาติ ก็ตามสะกดรอยมันมาตั้งแต่ต้น พิจารณาร่างกายนี้สะกดรอยมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่สมถกรรมฐานบริกรรมภาวนา นั้นเรียกว่าสะกดรอยแห่งความเกิดตายของตัวเอง เข้ามาเป็นสมาธิ เข้ามาเป็นปัญญา คลี่คลายออกมา นี่สะกดรอยของกิเลสตัวพาให้เกิดคืออวิชชานี้ มันวางข่ายไว้หมด เหล่านี้เป็นข่ายของอวิชชาทั้งนั้น เวลาพิจารณาเข้าไปเผาเข้าไป ตปธรรมคือสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เผาเข้าไป ๆ จนกระทั่งอะไรก็พังลงไปแล้วก็ผ่านไป อันไหนที่ยังมันก็ตามเผากันไปเรื่อย ๆ ดังที่ว่านี่ ปัญญาส่วนหยาบ ส่วนกลาง ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติมันก็หมุนตัวของมันไปเองเผากันไปเอง จนกระทั่งเป็นมหาสติมหาปัญญา ไปจากสติปัญญาอัตโนมัติที่ชำนาญตัวแล้วนั่นแหละ ไปเป็นมหาสติมหาปัญญา จากนั้นแล้วเราก็พูดไม่ถูกนะ

    นี่เวลามันประจักษ์ในจิตนี้ไปหาพระไตรปิฎกที่ไหนมาวะ มันประจักษ์ในจิต แล้วไม่ถามใครอีกด้วยนะ ออกจากมหาสติมหาปัญญาแล้วมันคืออะไรอีก ที่ละเอียดกว่ามหาสติมหาปัญญานั้นคืออะไร เห็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีในคัมภีร์ก็ตามก็มันเห็นอยู่อย่างนั้นจะว่ายังไง ประจักษ์อยู่ในหัวใจนี้แล้ว นี่ละความละเอียด พอถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วยังมีอันหนึ่งอีกที่ละเอียดกว่านั้น นั่นละจะเผากิเลสที่ละเอียดสุด คืออันนั้นเอง เผาเข้าไป ๆ ละเอียดซึมซาบ ซึมซาบคือว่าเผาแบบซึมซาบ สุดท้ายก็พังทลายหมดไม่มีเหลือเลย

    เมื่อกิเลสพังทลายหมดแล้ว เรื่องความเกิดตายก็ตามรอยมันมาจนถึงตัวมันคืออวิชชา นี้ละตัวพาให้เกิดให้ตาย มันติดมากับจิต ตามเข้าไปจนกระทั่งถึงจิต ถอนพรวดออกไปแล้ว ทีนี้อะไรจะมาพาให้เกิดให้ตาย ตัวพาให้เกิดให้ตายพังลงไปแล้วเห็นประจักษ์ต่อหน้าต่อตา แล้วอะไรจะมาเกิดมาตายอีก เหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วสว่างจ้าครอบโลกธาตุ จะมาเกิดตายที่ไหนอีกก็รู้อีก อันนี้ไม่ใช่ผู้เกิดตาย ผู้เกิดตายคือเชื้อของมันที่ฝังจิตมานั้นคืออวิชชา ตัวนั้นพาให้เกิดให้ตาย ตัวนี้พังลงไปแล้วไม่มีอะไรเกิดตาย มันก็เห็นชัด ๆ อย่างนั้นซิผู้ปฏิบัติ นี่ละการปฏิบัติ

    ธรรมะพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ นะ อย่าเอากิเลสมาหลอกนะว่า ธรรมะสมัยนั้นสมัยนี้ กิเลสมันมีสมัยที่ไหน เกิดมากับหัวใจของสัตว์โลกกี่กัปกี่กัลป์ ใครรู้เงื่อนต้นเงื่อนปลายของมันที่ไหน แล้วมันแก่ชราไปเมื่อไรกิเลส มันก็เป็นกิเลสวันยังค่ำตลอดเวลา เหตุใดมันจึงมาตำหนิธรรมว่าคร่ำคร่าชราครึล้าสมัยไปได้ นั่นเห็นไหมกิเลสหลอกคน ธรรมะฟาดหัวมันลงไปซิ กิเลสมันมีมากี่กัปกี่กัลป์ทำไมไม่เห็นครึไม่เห็นล้าสมัย แต่ธรรมทำไมครึล้าสมัย ฟัดกันลงตรงนี้ซิ กิเลสแตกลงไปแล้วไม่มีอะไรว่าครึว่าล้าสมัย มีกิเลสอย่างเดียวมาว่า เอามันอย่างนั้นซิการปฏิบัติธรรม

    นี่ผมสงสารหมู่เพื่อนนา ยิ่งเฒ่ายิ่งแก่มาการเทศนาว่าการให้หมู่เพื่อนฟังก็หยุดมาหลายปีแล้ว นี้ก็เพราะช่วยโลกช่วยสงสารด้วยความเมตตาโลกนั่นเองจะทำยังไง จึงได้บึกบึนทำอย่างนี้เวลานี้ นี่ละการปฏิบัติเมื่อถึงจุดนี้แล้วหมดปัญหา ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า ถึงนี้แล้วเหมือนกันหมดถามกันหาอะไร ของอันเดียวกันเท่านั้นพอ กระเทือนถึงกันหมดเลย นี่ละจิตดวงนี้ละเราแยกออกมาพูดนะ แยกออกมาตามหลักธรรมชาติของจิตที่มันรู้มันเห็นประจักษ์ใจนี้ เราไม่ได้เอาออกมาจากคัมภีร์ไหนแหละ เอาออกมาจากความจริงที่ปรากฏกับหัวใจตนเอง

    พอมาถึงขั้นผึงกิเลสพังขาดสะบั้นลงไป เหลือแต่ธรรมชาตินี้ล้วน ๆ แล้ว อ๋อ ที่เราเคยคาดว่านิพพานเห็นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขาดสะบั้นไปหมดเลย อันนี้กับนิพพานที่เราคาดนี้กับธรรมชาตินี้เข้ากันไม่ได้เลย แต่ก็ให้ชื่อว่านิพพานนั้นแหละ จากนั้นก็แยกไปอีก ให้มันถนัดใจจริง ๆ แล้วคือว่าเป็นธรรมธาตุแล้ว จิตอันนี้เป็นธรรมธาตุ พระพุทธเจ้ากระเทือนหมดทั่วแดนโลกธาตุ เป็นอย่างเดียวกันนี้ เป็นธรรมธาตุเรียบร้อยแล้ว พระอรหันต์องค์ไหนตรัสรู้ปึ๋งเข้าไปเป็นธรรมธาตุอันเดียวกัน

    เหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร สายไหน ๆ ก็เรียกชื่อได้ว่าสายนั้น ๆ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง เป็นต้น เวลาไหลเข้าถึงมหาสมุทรแล้ว เรียกมหาสมุทรคำเดียวเท่านั้นกระเทือนถึงกันหมดเลย จะเรียกว่าแม่น้ำสายไหนอีกไม่ได้ นี่เหมือนกันจิตของผู้บำเพ็ญทั้งหลายไม่ว่าใคร ๆ ก็ตาม ผู้บำเพ็ญเทียบกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลลงมา คือว่าละเอียดเข้าไป ๆ ใกล้เข้าไป การบำเพ็ญบารมีของตัวเองใกล้เข้าไป ๆ พอถึงนั้นปึ๋งเท่านั้น นั่นละเรียกว่าเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลเข้าสู่มหาสมุทร

    อันนี้แม่น้ำแห่งความรู้ของเราเมื่อเต็มภูมิแล้ว ผึงเข้าไปเรียกว่าตรัสรู้ธรรม นั่นละถึงมหาวิมุตติมหานิพพานแล้ว หรือเป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมด กระเทือนพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ว่าพระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี ตัวนี้เป็นเครื่องยืนยันแล้ว กระเทือนพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ มีมากขนาดไหน พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มาแล้วกี่กัปกี่กัลป์ใครนับได้เมื่อไร เบื้องต้นเบื้องปลายของพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้นี้ใครนับได้ นี้เป็นธรรมธาตุด้วยกันหมด

    พระอรหันต์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์มีจำนวนมากขนาดไหน เมื่อเข้าถึงนี้แล้วเป็นมหาสมุทรทะเลหลวงเหมือนกันหมด หรือว่าเป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน หรือเป็นธรรมธาตุเหมือนกันหมด นี่ละสูญไปไหนพิจารณาซิ ธรรมธาตุนี้สูญไปไหน แล้วน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงเวลาแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลไปถึงนั้นแล้ว แม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงสูญไปไหน

    อันนี้ก็เหมือนกันผู้บำเพ็ญจิตนี้เข้าถึงจุดมหาวิมุตติมหานิพพานแล้ว เท่ากับแม่น้ำถึงมหาสมุทรทะเลหลวงแล้วสูญไปไหน นั่นมันเห็นประจักษ์อย่างนั้น จะสูญไปไหน แล้วพระพุทธเจ้ามีหรือไม่มี จะสงสัยไปไหน มันประจักษ์อยู่อย่างนั้นนะผู้ปฏิบัติ ไม่ได้เหมือนที่เราเรียนท่องบ่นสังวัธยายตามคัมภีร์ใบลาน เรียนไปเท่าไรสงสัยไปเท่านั้น ผมเป็นมาแล้วไม่ใช่เอามาคุยเฉย ๆ เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนนรกสงสัยนรก เรียนสวรรค์สงสัยสวรรค์ เรียนไปที่ไหนสงสัยไปที่นั่น ๆ จนกระทั่งถึงนิพพาน ก็ไปตั้งเวทีต่อสู้กับนิพพาน มีหรือไม่มีนะ

    นี่ละคือความเรียนเฉย ๆ จำได้เฉย ๆ ไม่ได้เห็นตัวจริง จำได้แต่ชื่อไม่เห็นตัวจริง มีแต่ความสงสัยแบกความสงสัยไป จบพระไตรปิฎกก็แบกแต่ความสงสัย เพราะฉะนั้นผู้เรียนมากเรียนน้อยถ้ายังไม่ได้ปฏิบัติแล้วไม่มีหลักมีเกณฑ์ จะเรียนขนาดไหนก็ตาม จบพระไตรปิฎกก็จบแต่ความจำ เป็นมรรคผลนิพพานไม่ได้ ต้องเอามาปฏิบัติ แยกออกมา

    ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนกับว่า พระไตรปิฎกนั้นคือแปลนแห่งมรรคผลนิพพาน เหมือนกับแปลนบ้านของเราชนิดต่าง ๆ ถ้ามีแต่แปลนเฉย ๆ วางไว้เต็มห้องเต็มหับมันก็เป็นแปลน ไม่สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา ถ้าต้องการเป็นบ้านเป็นเรือนตึกขนาดไหนหลังใดแล้ว เอาแปลนนั้นออกมากางและปลูกสร้างไปตามแปลนนั้น ทีนี้จะปรากฏเป็นผลขึ้นมา ตั้งแต่เริ่มวางรากฐานก็เห็นแล้ว ท่านว่าปฏิเวธ ๆ ก็เหมือนกันกับว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นั่นเอง ปริยัติได้แก่แบบแปลนแผนผังของมรรคผลนิพพาน ปฏิบัติได้แก่การก้าวเดินเพื่อจะสร้างตัวจริงขึ้นมา ให้เป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมา

    เริ่มตั้งแต่จิตเป็นสมาธิก็เห็นแล้ว จิตของเราสงบ นี่เริ่มเป็นรากเป็นฐานขึ้นมาแล้วในขั้นของสมาธิ ร่างของสมาธิได้ปรากฏขึ้นแล้ว สมาธิประเภทใดหนาแน่นขนาดไหนปรากฏขึ้นมา ๆ เหมือนกับสร้างบ้าน ตั้งแต่เริ่มวางรากวางฐานวางคานขึ้นมา จนกระทั่งตึกรามบ้านช่องสำเร็จลงไปแล้ว นี้บ้านสำเร็จโดยสมบูรณ์

    อันนี้ก็เริ่มต้นตั้งแต่สมาธิ ศีลเราก็ประจักษ์ในตัวของเราแล้ว นี้คือภาคปฏิบัติ ศีลก็ปฏิบัติให้มีศีล อย่าสักแต่ว่าเป็นพระหัวโล้น ๆ อวดตัวว่ามีศีลนะ ไม่รักษาไม่มีนะศีล ดีไม่ดีสังหารศีลให้ขาดสะบั้นไป ศีลไม่ติดหัวโล้นเลยก็มีเยอะ พระเราอย่าเข้าใจว่าจะมีศีลทุกองค์ไป พวกเปรตพวกผีพวกสัตว์นรก พวกไม่มียางอายต่อศีลต่อธรรมนั้นละพวกทำลายศีลของตัวเอง แล้วก็เอาผ้าเหลืองครอบหัวโล้นมาประกาศตนว่าเป็นพระ ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีศีลสักตัว นี่เพียงเรียนเฉย ๆ ไม่ปฏิบัติตามแล้วยังทำลายศีลของตนอีกด้วย มีศีลที่ไหน ความจำมีความหมายอะไร ใครก็รู้นี่ว่าศีล ๒๒๗ มันทำลายหมดแล้วจะเหลืออะไรแม้ตัวเดียว ศีลข้อเดียวก็ไม่มีเหลือ

    ความจำเฉย ๆ มันทำลายได้นะ ไม่เป็นมรรคเป็นผลอะไร เรียนขั้นใดภูมิใดก็ตาม เรียนสมาธิก็มีแต่ความจำ เรื่องปัญญาขั้นใดมีแต่ความจำ ตลอดมรรคผลนิพพานมีแต่ความจำแล้วเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่ได้มีอะไรเป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเอง ผู้เรียนมากเรียนน้อยถ้าไม่ได้ปฏิบัติแล้วอย่าอวดว่างั้นเลย เราเรียนมาแล้วจึงกล้าพูด เราก็บอกว่าเราเป็นหนอนแทะกระดาษอยู่ ๗ ปี เรียนมาเท่าไรมันก็ไม่ได้เรื่องได้ราว แต่นี้ยังมีภาคปฏิบัติอยู่นะเราก็ดี เรียนหนังสือเราก็ปฏิบัติ หากไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ความสงสัยนั้นแหละเป็นหนอนแทะกระดาษมาตลอด

    จนกระทั่งออกปฏิบัติเริ่มมาตั้งแต่ ศีลเราก็บริสุทธิ์เต็มที่แล้วอบอุ่น ประจักษ์ในหัวใจของเรา เพราะเรารักษา รักษาคือการปฏิบัตินั่นเอง ปฏิบัติรักษา สมาธิก็ปรากฏขึ้นมา เมื่อเราตั้งใจปฏิบัติแล้วก็เหมือนเขาปลูกบ้านปลูกเรือน ร่างสมาธิก็เริ่มปรากฏ สมาธิขั้นใดสูงขึ้นขนาดไหน ละเอียดขนาดไหนปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการสร้างขึ้นเรื่อย ๆ ได้แก่การบำเพ็ญ จากนั้นก็เป็นปัญญา ปัญญาขั้นใดก็รู้ ๆ นี่เรียกว่าสร้างขึ้นเป็นภาพของปัญญา เป็นเรือนร่างของปัญญาขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นปัญญา ปัญญาขั้นใดมันก็รู้ขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งมหาปัญญาก็รู้ชัด ๆ สูงขึ้นไป ๆ เรียกว่าสร้างมรรคผลนิพพาน

    สร้างขึ้นไปตั้งแต่สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ ขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นจนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญา นี่จวนเสร็จแล้วนะนี่นะมรรคผลนิพพาน บ้านอันสมบูรณ์คือสำเร็จถึงมรรคผลนิพพานจวนเสร็จแล้ว พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว นี้เป็นบ้านอันสมบูรณ์ มรรคผลนิพพานเต็มหัวใจแล้ว นี่ปฏิเวธ ๆ ความรู้แจ้งมาเป็นลำดับ ตั้งแต่เริ่มศีลบริสุทธิ์ก็รู้แจ้งในตัวเอง สมาธิขั้นใดปรากฏขึ้นมาจากการปฏิบัติของตัวเองก็รู้แจ้งในตัวเอง แล้วปัญญาขั้นใดที่เราพิจารณาแยบคายขนาดไหนก็รู้แจ้งในตัวเอง จนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญาก็รู้แจ้งในตัวเอง กระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ขาดสะบั้นไปหมดกิเลสไม่มีอะไรเหลือ ประจักษ์แจ้ง นี่เรียกว่าครอบโลกธาตุเลย ก็รู้ประจักษ์ในตัวเอง ถามพระพุทธเจ้าทำไม นี่ละปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ กลมกลืนกันมาอย่างนี้

    ศาสนาถ้ามีแต่ปริยัติศาสนาไม่เต็มบาทเต็มเต็งนะ มีแต่ความจำอย่างเดียวปฏิบัติไม่มี ปฏิเวธก็ไม่มี ธรรมดาต้องให้มีทั้งสามอย่างนี้ศาสนาจึงจะสมบูรณ์แบบ ทรงมรรคผลนิพพานไว้ได้ ถ้ามีแต่ความจำไม่ทรง มีแต่ความจำ เขากับเราไม่ผิดกันอะไรเลย เรียนมากเรียนน้อยไม่เห็นเป็นสารประโยชน์อะไร ดีไม่ดีเรียกว่าหนอนแทะกระดาษ ไม่ได้มีภาคปฏิบัตินี่นะ เรียนเฉย ๆ

    พระไตรปิฎกท่านถูก ท่านไม่ผิดไปไหน แต่มันผิดผู้ที่เป็นหนอนแทะกระดาษ เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เชื่อตามหลักความจริงที่ท่านสอนไว้ในหนังสือนั่นซิ เลยเอากิเลสตัณหาเข้าไปแทรก ๆ สงสัยนั้นสงสัยนี้ สุดท้ายก็เอากิเลสไปลบว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก ไม่มี ทั้ง ๆ ที่ท่านสอนไว้ในตำราว่ามี กิเลสมันก็เข้าไปลบล้างเสียหมดว่าไม่มี ๆ สุดท้ายก็เป็นโมฆบุรุษ โมฆภิกษุไปอย่างนั้น เต็มบ้านเต็มเมืองเวลานี้เห็นไหม ดูเอา ทั้งท่านทั้งเรามันเหมือนกันหมดนั่นแหละ ถ้าลงกิเลสมีในหัวใจแล้ว เมื่อมีภาคปฏิบัติแล้วจะรู้กันเป็นลำดับลำดาไปไม่สงสัย

    ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ ผมนี้เป็นห่วงหมู่เพื่อนมาก การเทศนาว่าการต่อหมู่ต่อเพื่อนไม่ว่าสถานที่ใดก็ตามผมไม่ได้สงสัย ไม่ว่าจะเทศน์แบบไหนขั้นใดภูมิใด ถอดออกมาจากหัวใจมาเทศน์นะ ไม่ได้ไปหาเอาคัมภีร์ สาธุ ไม่ได้ประมาทคัมภีร์นะ แต่คัมภีร์ในนี้มันประจักษ์แจ้งแล้ว ท่านสอนอยู่คัมภีร์นอกก็สอนเข้ามาหาคัมภีร์ในนี้ แล้วมันก็เป็นขึ้นในคัมภีร์ในแล้วไปถามที่ไหนอีก การสอนถอดออกมาจากหัวใจมาสอน สอนด้วยตำรับตำราเป็นอย่างหนึ่งนะ ผิดกันมาก

    สอนเอามาจากตำรับตำรามาจากความจำ เจ้าของเองก็สงสัย การสอนผู้อื่นก็สงสัย หาความแน่ใจไม่ได้ ทีนี้ผู้ฟังจะเอาผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยมาจากไหน ทีนี้เมื่อเวลาเรารู้เราเห็นภายในจิตใจของเรานี้ ถอดออกมานี้ด้วยความรู้จริงเห็นจริงทุกอย่าง ไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใด ถอดออกมาจากหัวใจ ๆ เต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่สงสัย ๆ ผู้ฟังก็ได้รับประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยน่ะซิ

    นี่ละพระพุทธเจ้าสอนสัตว์โลก ท่านถอดออกจากหัวใจ เอาธรรมออกมาจากหัวใจท่านจริง ๆ มาสอนโลก พระอรหันต์ท่านถอดเอาธรรมมาจากหัวใจจริง ๆ มาสอนโลก พวกเราถอดออกมาจากความจำตามตำรับตำรามาสอน เจ้าของก็งม ลูบ ๆ คลำ ๆ ทีนี้สอนคนอื่นก็ลูบ ๆ คลำ ๆ ไปตาม ๆ กันหมด เลยหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ งู ๆ ปลา ๆ ไปอย่างนั้นนะ นี่หลักความจริงของธรรมที่เกิดขึ้น ศาสนาแท้ ๆ อยู่ที่หัวใจ ความจริงทั้งหมดอยู่ที่หัวใจ เมื่อรู้ในนี้รอบโลกธาตุแล้วสงสัยอะไรในโลกอันนี้ ไม่สงสัย ประจักษ์

    นี่ละศาสนาพระพุทธเจ้าคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ นะ อกาลิโก อกาลิโก ฟังซิ ธรรมพระพุทธเจ้ามีกาลสถานที่เวล่ำเวลาที่ไหน อยู่กับผู้ปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติแล้วแม้จะเกาะชายจีวรพระพุทธเจ้าอยู่ก็เป็นโมฆะอยู่นั้นแล ถ้าปฏิบัติแล้วพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปไหนก็ตาม สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว นั้นละคือทางเดิน นั้นละคือแบบแปลนที่ถูกต้องทุกอย่าง ให้นำมาปฏิบัติในจุดนี้ให้ดี แล้วเราจะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลขึ้นในตัวของเรา ประหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าตลอดเวลา ถ้าเดินไปตามร่องรอยที่ทรงแสดงแล้ว เหมือนกับจับชายจีวรพระพุทธเจ้าไปตลอดนะ ถ้าปล่อยการปฏิบัติให้เขวไปจากหลักสวากขาตธรรมนี้แล้ว อยู่กับพระพุทธเจ้าก็ไม่มีความหมาย ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นโมฆบุรุษ โมฆภิกษุอยู่นั้น ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ เอาจริงเอาจัง

    นี้ผมก็จวนตายมาแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมะที่สอนโลกคราวนี้รู้สึกมันจะเป็นอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกันนะ เป็นดวงชะตาวาสนาของโลกก็อาจเป็นได้ หรือเป็นอะไรกับเราก็อาจเป็นได้ เรื่องความเมตตาสำคัญมาก ที่เราจะได้ไหวตัวออกมาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย แต่ก่อนเราไม่เคยคิดว่าธรรมประเภทเหล่านี้ ที่เราจะนำมาแสดงให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายเราได้ทราบนะ มันก็ออกมาด้วยความดลบันดาลดังที่เห็นนี่แหละ เมื่อออกสนามแล้วขึ้นเวทีแล้วต้องต่อยซิ อยู่เฉย ๆ ไม่ต่อย มีความสามารถขนาดไหนก็ไม่ต่อย อยู่ภายในนั้น นี่ความรู้นี้เต็มหัวใจมาแล้ว ก็ได้เคยพูดให้หมู่เพื่อนฟังแล้ว ยกจนกระทั่งถึงสถานที่วันเดือนปีโน่นนะไม่ใช่ธรรมดา เคลื่อนคลาดที่ไหนมา

    ฟาดตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม นั้นเป็นเวลาเผาศพกิเลส ประหนึ่งว่าโลกธาตุสะเทือนสะท้านไปหมดเลย เป็นอยู่ในหัวใจนี่แหละ ประหนึ่งว่าหัวใจนี้กับกิเลสพรากจากกันนี้ ประหนึ่งว่าโลกธาตุสะเทือนไปหมด ธรรมดามันก็อยู่อย่างนี้แหละ ต้นไม้ ภูเขา ก็อยู่ตามธรรมชาติ แต่ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันขาดสะบั้นจากกันนั่นซิ นี่ละเวลากิเลสขาดสะบั้นหงายลงไปได้เผาศพกิเลสนี้ ประหนึ่งว่าโลกธาตุนี้หวั่นไปหมดจริง ๆ

    จนเกิดความอัศจรรย์ โอ้โห ๆ น้ำตาร่วงพรากลงทันทีเลย โอ้โห หาธรรมหาที่ไหน ๆ ธรรมอยู่ที่ไหน ๆ อุทานขึ้นมานะ เราก็ว่าเราหาธรรม แบกกลดสะพายบาตรขึ้นเขาลูกนั้นลูกนี้ เราก็ว่าเราหาธรรม ๆ ธรรมอยู่ที่ไหน คือเวลามันรู้แล้วธรรมอยู่ที่นี่ ที่เราดำเนินนั้นก็ถูก ถูกเป็นระยะ ๆ ไป ทีนี้เรามาเอาอย่างจัง ๆ ว่าธรรมอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ เห็นแล้วที่นี่ อ๋อ เราก็มีวาสนาอยู่บ้างพอประมาณหนา เราไม่เคยคิดเคยคาดว่าเราจะรู้จะเห็น แม้นิพพานเราก็เคยคาดว่าเห็นจะเป็นอย่างนั้น ทีนี้เป็นยังไงเรื่องนิพพานกับธรรมชาติอันนี้เข้ากันได้หรือไม่ หายสงสัยทันที

    ธรรมชาติที่เป็นอยู่ในหัวใจของเรานี้กับคำว่านิพพาน นิพพานนั้นรู้สึกว่าหยาบมากนะ ธรรมชาตินี้คาดไม่ได้เลย แต่ก็ต้องเอาชื่ออันนั้นละมาใส่ มหาวิมุตติมหานิพพานเลยเป็นเรื่องหยาบไปหมดเลย ถ้าว่าธรรมธาตุอย่างนั้น เอ้อ เข้ากันได้สนิทนะ นี่มันประจักษ์ในหัวใจ พอว่าธรรมธาตุเท่านั้นเข้ากันได้สนิทหมด บรรดาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ สาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายทุก ๆ องค์ พอถึงขั้นนี้แล้วปั๊บเป็นธรรมธาตุด้วยกันหมด แต่ก็ต้องใช้ชื่อ เพราะโลกนี้มีสมมุติก็ต้องชื่อว่านิพพาน หรือมหาวิมุตติมหานิพพาน แต่ถ้าว่าธรรมธาตุไม่ค่อยมีใครพูด เราถอดออกมาพูดโดยไม่สงสัย อ๋อ นี่ธรรมธาตุแล้วเป็นอย่างนี้ นี่ละผลของการปฏิบัติ

    ตั้งแต่วันนั้นมาแล้วผมไม่เคยปรากฏว่ากิเลสตัวใดเท่าเม็ดหินเม็ดทราย ที่จะมาแทรกให้ได้เกิดความสงสัยว่า หือ กิเลสเรานึกว่าเผาศพมาแล้วตั้งแต่วันนั้น มันยังโผล่ให้เราเห็นอีกนี้ไม่เคย เราก็ไม่เคยสงสัยอีกด้วย เพราะเรื่องสงสัยนี้มันเป็นเรื่อง
     

แชร์หน้านี้

Loading...