เพื่อการกุศล :::(เปิดจอง)ล็อกเกตพระแก้วมรกต"ภูริทัตตเถรานุสรณ์-สมเด็จองค์ปฐมอมฤตศุภมงคลญาณสังวร":::

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย dekdelta2, 13 พฤศจิกายน 2009.

  1. สายครูบา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    4,224
    ค่าพลัง:
    +22,130
    แต่ละแบบราคาเท่าไรบ้างครับ
     
  2. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ขอบคุณที่ช่วยกันตอบนะครับ เรื่อง จำนวน การจอง และราคา สอบถามคุณ Krit eng99 นะครับ เพราะผมไม่ทราบเลยเหมือนกัน
     
  3. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ 3 ชื่อว่า อรหันต์แห่งเขาถ้ำบุนนาค

    เรื่องนี้ไม่เขียนไม่ได้ เพราะล็อกเกตรุ่นนี้สำเร็จได้ส่วนหนึ่ง เพราะบารมีหลวงปู่สี ท่านเป็นพระเพียงองค์เดียวในรุ่นนี้ที่มีครบเครื่องที่สุด ทั้ง ผงสรีระ เกศา สังฆาฎิ ผงมหาภูติทั้งสี่ สีผึ้ง ผงพระอายุยืนแตกหัก และ ล็อกเกตที่ไม่ใช่ฉากทอง มีปิดตามหาลาโภ ชื่อเล่นก็คือ ปิดตานะมิ ติดอยู่ด้านหลังทุกองค์ พุทธคุณคงไม่ต้องกล่าวถึง เพราะท่านระดับสหธรรมิกกับ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ขนาดหลวงปู่มั่น ยังเรียกท่านหลวงพี่ หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่แหวน หลวงปู่บุดดา หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค หลวงพ่อทบ วัดชนแดน หลวงพ่อเย็น วัดสระเปรียญ หลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ต่างก็เลยเรียนวิชาจากหลวงปู่สีทั้งสิ้น

    ขนาดหลวงปู่ดู่ ยังกล่าวว่า แกรู้จักหลวงปู่สีมั๊ย ฉันคุยกับท่านทุกคืน
    หลวงพ่อกวย บอกว่า หลวงปู่สี เป็นพระอรหันต์
    หลวงปู่แหวน เคยกล่าวว่า ฮาเสกสามเดือน บ่เท่าหลวงปู่สีซาว 3 ที ฮายังบ่เคยสัมผัสกับพระเลย
    หลวงพ่อฤาษีกล่าวว่า หลวงปู่เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณขั้นพิเศษ

    แค่นี้สุดยอดมั๊ย กราบพระครูวิสิษฎ์สมโภช(พระครูนุ่ม ผู้สร้างพระชุดอายุยืน) ขอบคุณน้านันท์ ที่เปิดโอกาสให้ผมได้มวลสารเชิงลึกของหลวงปู่มากขนาดนี้ ขอบคุณครูบาตรัยเทพที่มอบมวลสารผงมหาภูติทั้งสี่ ที่หลวงปู่ลบถมเอง

    เคยเอาไปตรวจสอบพบว่าหลวงปู่สี เป็นพระที่มีพลังจิตตานุภาพสูงจริงๆ

    รูปประกอบคือ ปิดตานะมิ หลวงปู่สี ปี 2517 ที่นำมาบรรจุหลังล็อกเกตครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0461.JPG
      ขนาดไฟล์:
      222.4 KB
      เปิดดู:
      265
  4. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ประวัติ หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค

    ชาติภูมิ หลวงปู่สี ท่านเป็นชาวอำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์ ท่านเกิดเมื่อปีจอ พ.ศ.๒๓๙๒ ตรงกับสมัยของรัชกาลที่ ๔ ส่วนเกิด วัน เดือน ใด ท่านไม่เคยบอก เมื่ออายุ ๒๑ ปี ท่านถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร เมื่อปลดจากการเป็นทหารแล้วท่านก็มายึดอาชีพค้าวัว ค้าควาย และเป็นพรานอยู่แถว ช่องแค-ตาคลี ซึ่งแต่เดิมมีสภาพเป็นป่าดงดิบ และยังไม่ได้ตั้งเป็นอำเภอตาคลี เมื่อมีการใช้นามสกุลขึ้น ตระกูลของท่านก็ใช้นามสกุลว่า “ดำริ” ชีวิตตอนเป็นหนุ่ม ท่านเป็นคนจริงไม่เคยเกรงกลัวใคร
    หลวงปู่สี ท่านใช้ชีวิตความเป็นหนุ่มอยู่นานหลายปี จนกระทั่งบังเกิดความเบื่อหน่ายทางโลก จึงได้อุปสมบท โดยท่านบอกว่า ท่านบวชที่วัดบ้านเส้า อำเภอบ้านเส้า (อำเภอบ้านหมี่ ในปัจจุบัน) โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนคู่สวดท่านไม่ได้บอกว่ามีพระอาจารย์รูปใดบ้าง เมื่อบวชได้ระยะหนึ่งท่านได้เดินทางมาจำพรรษาอยู่ที่ ถ้ำเขาเสียบ เขตตำบลช่องแค อำเภอตาคลี เพราะว่าก่อนบวชท่านเคยอยู่ในเขตนี้มาก่อน
    หลวงปู่สี ท่านถือปฏิบัติในการออกธุดงค์ ตลอดเวลาที่ท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง หลวงปู่สี ท่านบอกว่าท่านธุดงค์ไปทั่วประเทศไทย จากเหนือถึงใต้ ตะวันออกถึงตะวันตก ท่านไปมาทั้งหมดเคยธุดงค์ไปฝั่งประเทศลาว จำพรรษาอยู่ในประเทศลาวหลายปี ธุดงค์เข้าประเทศพม่าเลยไปประเทศอินเดีย ไปนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ท่านยังเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านธุดงค์ไปภาคเหนือ เพื่อจะไปนมัสการพระบาทสี่รอย เมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ท่านเดินหลงป่าไม่ได้ฉันอะไรเลยเป็นเวลา ๗ วัน จนรุ่งเช้าของวันที่ ๘ มีช้างป่านำหัวบัว และอ้อยมาถวายท่าน (ไม่ทราบว่าเป็นเทวดา หรือว่าเทวานุภาพดลใจให้ช้างนำมาถวาย ?) ท่านจึงนำหัวบัวต้มกับน้ำอ้อยฉัน และช้างยังเดินนำทางท่านไปจนพบกับบ้านของชาวบ้านป่า ท่านเล่าว่า ท่านเดินธุดงค์อยู่ในป่าแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ พบชายหญิงกำลังกินอะไรกันอยู่ ท่านจึงเดินไปถามว่า ทำอะไรกันอยู่หรือ ทั้งสองก็ตอบหลวงปู่สีว่ากำลังกินยาอายุวัฒนะกันอยู่แต่หลวงพ่อมาช้าไป ยาหมดเสียแล้วจะมีเหลืออยู่ก็ตามใบไม้เท่านั้นเอง และทั้งสองคนก็เก็บยาที่ติดอยู่ตามใบไม้ให้ท่านฉัน ซึ่งมีอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ท่านบอกว่าที่ท่านมีอายุยืนก็เพราะยานี้แหละ และยานี้ยังทำให้ท่านมีร่างกายแข็งแรง ไม่หลงลืมเหมือนคนแก่ทั่วๆไป

    ในการออกธุดงค์ของหลวงปู่สีนั้น หลานชายของท่านคนหนึ่งเคยติดตามไปด้วย ได้เล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นยังเป็นสามเณรได้ติดตามหลวงปู่สีไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี ค้างคืนที่พระพุทธบาท รุ่งเช้าพอฉันอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่สีก็พาออกเดินทางกลับตาคลีทันที โดยหลวงปู่สีบังคับให้ผู้เล่าเดินออกหน้าตลอดเวลา หลวงปู่สีจะเป็นคนเดินท้ายปรากฏว่ามาถึงตาคลีเป็นเวลาฉันอาหารเพลพอดี ซึ่งระยะทางจากพระพุทธบาทมาถึงตาคลีให้เดินเก่งอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะเดินถึงได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน แต่หลวงปู่สีพาเดินได้
    ในระหว่างที่เดินธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือภาคอีสานนั้น หลวงปู่สี ท่านได้รู้จักกับพระเกจิอาจารย์ดังมากมาย อาทิเช่น หลวงปู่แหวน แห่งดอยแม่ปั๋ง เพราะมีคนจากตาคลีขึ้นไปกราบหลวงปู่แหวน แล้วหลวงปู่แหวนพูดถึงหลวงปู่สีให้เขาเหล่านั้นฟัง พ่อค้าในตลาดตาคลีชวนพวกรวม ๔ คนขึ้นไปกราบหลวงปู่แหวน เพื่อขอวัตถุมงคล แต่หลวงปู่แหวนไม่ยอมให้ โดยหลวงปู่แหวนบอกกับคนทั้งสี่ว่า ที่มากันนั้นดีๆ ไม่เอากัน มาเอากันถึงที่นี่ ทั้งหมดจึงถามหลวงปู่แหวนว่า ที่หลวงปู่พูดถึงน่ะหลวงพ่ออะไรครับ หลวงปู่แหวนจึงตอบว่าในคอพวกเอ็งก็ยังคล้องกันมาเลย ปรากฏว่าทั้ง ๔ คนที่ไปมีคล้องพระไปเพียงคนเดียว และพระที่คล้องไปคือเหรียญหลวงปู่สี เมื่อทั้งหมดกลับมาถึงตาคลีก็รีบพากันมาที่วัด เช่าเหรียญหลวงปู่สีกันเป็นการใหญ่ ทั้ง ๔ คนนี้ข้าพเจ้ารู้จักดี จะเขียนชื่อ นามสกุลลง แต่ก็ได้รับการขอร้องไว้
    ก่อนที่จะมาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลีนั้น หลวงปู่สีท่านอยู่ที่วัดหนองลมพุก อำเภอโนนสังข์ จังหวัดอุดรธานี ในปีพ.ศ.๒๕๑๒ พระครูนิวิฐปริยัติคุณ พร้อมด้วยชาวบ้าน ได้พากันไปนิมนต์หลวงปู่สีให้มาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค เพื่อช่วยสร้างวัดให้เจริญ ซึ่งขณะนั้นมีเพียงกุฏิเก่าๆเพียงสองสามหลังเท่านั้น หลวงปู่สีท่านก็เต็มใจมา เนื่องด้วยเพราะท่านเคยอยู่ในแถบนี้มาก่อน ในวันที่คณะผู้จะไปนิมนต์หลวงปู่สีจะไปถึงนั้น หลวงปู่สีท่านทราบล่วงหน้าแล้วว่าจะมีคนไปนิมนต์ท่าน ท่านเก็บของเครื่องใช้จำเป็นรอเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และสั่งที่วัดหนองลมพุกว่า วันนี้จะมีคนมารับให้ไปอยู่ที่ตาคลีเพื่อช่วยสร้างวัด ซึ่งก็เป็นไปตามที่ท่านบอกไว้ทุกประการ
    ในระยะแรกที่หลวงปู่สีมาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาคนั้น ท่านจำพรรษาอยู่ที่กุฏิไม้ หลังเล็กๆหน้าปากทางขึ้นถ้ำ (ปัจจุบันรื้อไปแล้ว) ในขณะนั้นคนในตลาดตาคลียังไม่ค่อยมีใครรู้จักหลวงปู่สี และท่านก็ไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์อันใดให้ใครรู้ วันหนึ่งๆท่านจะนั่งตะบันหมากฉัน การฉันหมากของท่านก็ไม่เหมือนใคร เพราะท่านไม่ได้ฉันเปลือกไม้ที่มีขายตามท้องตลาดเหมือนที่คนกินหมากทั่วไปซื้อมากิน หลวงปู่สี ท่านจะฉันแก่นไม้คูนแดงซึ่งจะมีคนตัดมาถวายตลอด ท่านจะนำมาฟันเป็นชิ้นๆ แล้วนำลงตำให้ละเอียดแล้วจึงฉันกับหมากแทนเปลือกไม้
    ในราวปลายปี พ.ศ.๒๕๑๓ ข้าพเจ้าได้ทราบจากเพื่อนว่า มีพระเป็นหลวงปู่แก่ๆ มาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ข้าพเจ้าจึงชวนเพื่อนๆมาหา จุดประสงค์ที่มาหามิใช่ที่จะต้องการเครื่องรางของขลังแต่ประการใด แต่เพราะต้องการจะมาหาเลขเด็ด เพราะเพื่อนบอกว่าท่านบอกหวยได้แม่นยำมาก ในวันแรกที่มาหาท่านก็ไม่ได้แจกอะไรให้ แต่บอกใบ้หวยให้ ซึ่งหวยก็ออกตามที่ท่านบอก นับตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็จะไปหาหลวงปู่สีเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งข้าพเจ้าเห็นหลวงปู่สีมีอารมณ์ดี ข้าพเจ้าจึงถามหลวงปู่สีว่ามีของดีอะไรบ้าง ผมอยากจะได้เอาไว้ป้องกันตัว หลวงปู่สี ท่านขณะนั้นกำลังกินหมากอยู่ ก็คายชานหมากออกมาใส่ผ้าเหลืองที่ท่านใช้ทำเป็นผ้าขี้ริ้ว แล้วผูกส่งให้ข้าพเจ้าพร้อมทั้งบอกว่า”ห้ามแก้ออกนะ” หลวงปู่สี ท่านยังบอกอีกว่าหากใครเขาอยากยิงมึง มึงก็ถ่างก้นให้มันยิงเลย สามวันสามคืนก็ไม่ถูกมึง
    (คำพูดอันนี้มีนัยยะ คือคนที่เขามีของขลัง หรือสักยันต์กินว่าน ที่ว่าหนังเหนียวตีไม่แตกนั้น ถ้าจะฆ่าเอาชีวิตกันก็จะต้อง ใช้ไม้รวกทะลวงก้น เหมือนในเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน ที่แสนตรีเพชรกล้า แม่ทัพเชียงใหม่ ฆ่าฟันเท่าไรก็ไม่ตายจนขุนแผนต้องเอาหลาวทะลวงก้นจึงถึงแก่ความตาย... หลวงปู่สี ท่านมีความมั่นใจมากในการอธิษฐานจิตของท่าน ถึงแม้คนที่ใช้ของๆท่านจะโดนยิงที่จุดตายจุดสำคัญก็ตาม ท่านรับรองว่าปลอดภัย)
    ข้าพเจ้ารับมาแบบไม่ค่อยเชื่อถือเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็นั่งคุยกับเพื่อนๆถึงเรื่องนี้ ขณะนั้นมีพ่อค้าวัว-ควาย เป็นชาวปาทานอยู่ในตาคลีนั่งฟังอยู่ด้วย ซึ่งเขาบอกว่าเขาอยากลองยิงดู ข้าพเจ้ามอบชานหมากของหลวงปู่สีให้เขาไป เขานำไปคล้องคอไก่แล้วยิงปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .๓๘ ระยะห่างประมาณ ๑ วาเศษเท่านั้น เขายิงหมดไป ๖ นัดไม่เคยถูกไก่เลย สักนัดเดียว ทั้งๆที่เขาเป็นคนที่ยิงปืนได้แม่นยำมากคนหนึ่ง นับแต่นั้นมาข้าพเจ้าจึงเชื่อถือใน ชานหมากหลวงปู่สี
    หลังจากที่ชาวป่าทานยิงไก่ได้ประมาณสัก ๑ อาทิตย์ ได้มีนายทหารอากาศกองบิน ๔ ชื่อ เรืออากาศโทครรชิต บัวอำไพ (ปัจจุบันยศนาวาอากาศเอก ข้าพเจ้าขอกราบประทานอภัยที่ต้องเอ่ยนามของท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย) ได้มาคุยกับข้าพเจ้าเรื่องชานหมากของหลวงปู่สี ในลักษณะที่ท่านไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ที่จะยิงไม่ถูก ข้าพเจ้าจึงมอบชานหมากที่มีอยู่ให้ไป ๑ ก้อนเพื่อให้ไปทดลอง เที่ยงวันรุ่งขึ้น เรืออากาศโทครรชิตฯ ได้มาหาข้าพเจ้าที่บ้านพร้อมกับเพื่อนนายทหารอากาศอีก ๕-๖ คนโดยขอให้ข้าพเจ้าช่วยพาไปวัดหน่อย ต้องการจะได้ชานหมากอีก พร้อมทั้งเล่าให้ฟังว่า เมื่อได้รับชานหมากไปจากข้าพเจ้าแล้วจึงได้นำไปทดลอง โดยนำไปคล้องคอเป็ดแล้วยิง แต่ยิงเท่าไรก็ไม่ถูก ใช้ปืนถึง ๔ กระบอก และคนยิงก็เป็นมือปืนของกองบินทั้งนั้น ครั้นนำเป็ดออกเอาก้อนหินไปวางแทน ยิงก้อนหินกระเด็นเลย แต่ยิงเป็ดยิงเท่าไรก็ไม่ถูกเป็นที่มหัศจรรย์ใจมาก จึงพาเพื่อนทหารที่อยู่ในเหตุการณ์มาหาข้าพเจ้า เพื่อให้ช่วยพาไปพบหลวงปู่สี ซึ่งข้าพเจ้าก็พาไปพบ และก็ได้ชานหมากกันมาทุกคน ส่วนก้อนที่นำไปทดลองยิงเป็ดนั้น เรืออากาศโทครรชิตได้นำไปเลี่ยมทองคล้องอยู่จนทุกวันนี้

    หลังจากนั้นมาทหารอากาศกองบิน ๔ ตาคลี ต่างก็หลั่งไหลมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สีอย่างมากมาย สถานีวิทยุกระจายเสียงทหารอากาศกองบิน ๔ ก็ออกอากาศเรื่องของหลวงปู่สีทุกวัน ทำให้หลวงปู่สีเป็นที่รู้จักกันทั่วไป และใครๆ ก็อยากได้ชานหมาก และวัตถุมงคลของหลวงปู่สี ทำให้หลวงปู่สีต้องเคี้ยวหมากแจกทั้งวัน ...... (ท่านสามารถอ่านเรื่องของหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค เพิ่มเติมได้ จากหนังสือ ”สู่แสงธรรม” ของท่าน พลอากาศตรี มนูญ ชมพูทีป (ยศเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยงข้องกับหลวงพ่อฤาษีฯ ของเราด้วย ซึ่งที่ซอยสายลมยังมีวางจำหน่ายอยู่ครับ)
    กระผมขอกราบนมัสการ แทบเท้าหลวงปู่สี ฉันทสิริ ด้วยความเคารพอย่างสูง ธรรมใดที่ท่านบรรลุแล้ว ขอให้กระผมได้เข้าถึงธรรมนั้น โดยเร็วพลันด้วยเทอญ .....
    และกระผมขอกราบอาราธนาบารมี ของหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค หลวงพ่อฯ รวมทั้งครูบาอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงทุกๆท่าน ได้โปรดคุ้มครอง ปกปักรักษาให้ทุกๆ ท่านโชคดี มีความสุข และได้บรรลุธรรมตามที่ท่านปรารถนาทุกประการ...ครับ
    ขออภัยครับ กระผมมีข้อมูลมาเพิ่มเติมอีกครับ เนื่องจากประวัติของหลวงปู่สี มีนักเขียนหลายท่านที่เขียนไว้ และแต่ละท่านก็อ้างว่าได้รับฟังมาจากหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค หรือศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิด มีทั้งส่วนที่คล้ายคลึงกัน และแตกต่างกันบ้าง เพื่อให้เรื่องของท่านมีความสมบูรณ์ กระผมก็ขอนำเรียนเสนอเท่าที่พบ หากข้อความใดไม่เป็นความจริง กระผมขอกราบแทบเท้าหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค กรุณาอดโทษให้แก่กระผมผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยเถิดครับ...
    ท่านนักเขียนที่ใช้นามว่า เต๋อ บางตัน เล่าว่า
    หลวงปู่สี ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ ในปลายสมัยรัชกาลที่๔ ที่ อ.รัตนะ จังหวัดสุรินทร์ ท่านใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอย่างโชกโชน จนอายุ ๒๙ ปีจึงเข้ารับราชการเป็นทหารเรือ อยู่ในกรุงเทพฯหลายปี แล้วออกจากราชการ ไปมีอาชีพค้าวัวค้าควายอยู่ระยะหนึ่ง จวบจนอายุได้ ๓๙ ปี ก็เกิดความเบื่อหน่ายในโลกีย์วิสัย เห็นว่าชีวิตที่ผ่านมาไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ท่านจึงตัดสินใจทำการอุปสมบทที่วัดบ้านเส้า ซึ่งอยู่ใน อ.บ้านหมี่ในปัจจุบัน โดยมีพระครูธรรมขันธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชได้ประมาณ ๕ วันได้เดินธุดงค์มาจำพรรษาที่ถ้ำเขาไม้เสียบ ต.ช่องแค จ.นครสวรรค์ เป็นเวลา ๓ ปี
    ขณะที่อยู่ถ้ำเขาไม้เสียบนั้น ท่านพยายามฝึกฝนสมาธิจิต จนมีความกล้าแข็งพอสมควรแล้ว(แสดงว่าท่านพอมีพื้นฐานทางด้าน คาถาอาคม และการฝึกจิตมาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส) ท่านก็ได้เริ่มออกเดินธุดงค์สู่สถานที่ต่างๆ พร้อมทั้งเสาะหาอาจารย์ที่เก่งกล้าในเวทย์วิทยาคมเพื่อขอศึกษาเล่าเรียน โดยเดินขึ้นเหนือบ้าง อีสานบ้าง บางครั้งก็เข้าประเทศลาว ท่านเคยเดินธุดงค์จากพม่าเข้าไปประเทศอินเดีย ถึง ๒ ครั้ง ท่านเคยหลงอยู่ในป่าดงดิบแถบประเทศพม่าหลายวัน โดยไม่ได้ฉันอาหารเลย จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ด้วยสมาธิจิตที่กล้าแข็ง วันหนึ่งหลวงปู่สีก็เดินไปพบกับชาวบ้าน ๒ คนผัวเมียกลางป่า...
    สองผัวเมียนั้นบอกท่านว่า แถบนี้ไม่มีบ้านผู้คนอยู่เลยสักหลังเดียว อีกทั้งเสือ สาง ช้างป่า ก็ชุกชุม มีคนหลงป่าตายในป่าแถบนี้หลายรายแล้ว พร้อมทั้งมอบยาให้ท่าน ๑ เม็ด บอกว่าเป็นยาสมุนไพร ปรุงจากรากไม้หลายชนิด เมื่อฉันแล้วจะทำให้อายุยืน ร่างกายแข็งแรง และทำให้ไม่หิวข้าว หิวน้ำ เมื่อท่านลองฉันดูก็เป็นจริงดังที่ชาวบ้าน สองผัวเมียบอก จึงคิดจะขอบใจแต่ปรากฏว่าหายไปแล้ว จึงรู้ว่าที่แท้แล้วเป็นเทวดามามอบยาทิพย์ให้ท่านนั่นเอง เพราะแถบนั้นไม่มีบ้านคน ซึ่งจากยาที่ท่านฉันนี่เองกระมัง ท่านจึงมีอายุยืนยาวถึง ๑๒๘ ปี
    เมื่อพบกับเทวดาแล้ว ท่านก็เดินหาทางออกจากป่าลึก ไม่นานก็พบกับช้างป่าโขลงใหญ่ ท่าทางดุร้าย แต่แปลกที่ช้างทั้งหมดคุกเข่าลงชูงวงแสดงความเคารพหลวงปู่สี เป็นที่อัศจรรย์ ท่านจึงขึ้นขี่คอช้างจ่าฝูง ให้มันพาออกจากป่าไปส่งที่ชายแดนพม่า ชาวบ้านป่าเห็นเข้าก็ตกอกตกใจกันใหญ่ ถามว่าเพราะเหตุใดช้างป่าจึงไม่ทำร้าย เพราะช้างป่าโขลงนี้ ปกติหากพบคน ไม่ว่าชาวบ้านหรือพระธุดงค์ มักจะเหยียบจนตาย แต่มันไม่ทำอะไรหลวงปู่สีทั้งยังพากันมาส่งถึงชายป่า ท่านก็ไม่ว่ากระไร หัวเราะหึๆ แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย
    คราวหนึ่งมีชาวบ้านตาคลีเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่แหวนที่วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ พอหลวงปู่แหวนรู้ว่ามาจากตาคลี ท่านก็ไล่ให้กลับ บอกว่า “มีเพชรอยู่ในบ้าน ยังไม่รู้จักอีก หลวงปู่สีน่ะ เป็นอาจารย์ของฉันเอง ฉันจะเก่งกว่าท่านได้อย่างไร” ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็เดินทางกลับตาคลี มากราบหลวงปู่สีถามถึงเรื่องนี้ว่า จริงเท็จประการใด หลวงปู่ฯเล่าว่าหลวงปู่แหวนมาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านนานแล้ว ก่อนที่จะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์มั่น โดยท่านพบกับหลวงปู่แหวนที่จังหวัดเลย ขณะนั้นหลวงปู่แหวนยังเป็นพระหนุ่มๆ อยู่
    หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า กับหลวงปู่สีมีความสนิทสนมกันมาก บางครั้งหลวงปู่สีจะมาจำพรรษาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า และแลกเปลี่ยนวิชาบางอย่างกัน วิชาของทั้งสองท่านจะมีลักษณะคล้ายๆ กัน เช่น การย่นระยะทาง การเสกใบไม้ เป็นต้น หลวงปู่ศุขมีอายุมากกว่าหลวงปู่สีประมาณ ๒ ปี ฉะนั้นหลวงปู่สีจึงมักเรียกหลวงปู่ศุขว่า หลวงพี่
    หลวงปู่สี เล่าให้ศิษย์ฟังว่า ในวันออกพรรษาท่านมักจะออกจากวัดที่ท่านจำพรรษา เพื่อธุดงค์ต่อไปที่อื่นๆ ในคราวที่จำพรรษาอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่านั้น หลังจากออกพรรษาแล้วหลายวัน ท่านก็คิดว่าจะเดินธุดงค์ต่อไป แต่หลวงปู่ศุขขอให้ท่านรั้งอยู่ที่วัดก่อนรอให้ท่านกลับมาแล้วค่อยไป แต่ท่านอาจจะเห็นว่าเลยกำหนดมาหลายวันแล้ว พอหลวงปู่ศุขออกบิณฑบาต ท่านก็เก็บของ แล้วออกเดินทางทันทีไม่ยอมอยู่ตามคำขอ เมื่อหลวงปู่ศุขกลับจากบิณฑบาต ถามพระเณรในวัดก็รู้ว่าหลวงปู่สีไปแล้ว ท่านจึงสั่งให้พระเณรฉันข้าวไปก่อน แต่ให้ฉันรอท่านด้วย แล้วหลวงปู่ศุขก็เข้ากุฏิหอบเอาคัมภีร์ไสยศาสตร์ ๓ เล่มตามหลวงปู่สีไป ปรากฏว่าไปทันกันที่อ.ตาคลี จึงมอบคัมภีร์ทั้ง ๓ เล่มให้หลวงปู่สี แล้วจึงกลับมาที่วัด ปรากฏว่าพระเณรที่วัดเพิ่งฉันข้าวได้ไม่กี่คำเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะระยะทางจากวัดปากคลองมะขามเฒ่า ไปอ.ตาคลี ประมาณ ๔๐-๕๐ กิโลเมตร นั่งรถยนต์ยังต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง แสดงว่าหลวงปู่ศุขใช้วิชาย่นระยะทาง พวกลูกศิษย์ก็ถามหลวงปู่สีว่า ชั่วเวลาที่หลวงปู่ศุขไปบิณฑบาต หลวงปู่สีเดินจากวัดปากคลองมะขามเฒ่ามาถึงตาคลีได้อย่างไร ท่านนิ่งไม่ตอบ แล้วล้มตัวลงนอนทันที ลูกศิษย์เลยไม่กล้าซักต่อ
    หลวงปู่สีท่านเดินธุดงค์ไปหลายจังหวัด หลายประเทศเกือบตลอดระยะเวลาที่ท่านบวช จนท่านอายุได้ประมาณ ๙๐ ปี ครั้งสุดท้ายท่านไปสร้างวัดหนองลมพุก อ.โนนสังข์ จ.อุดรธานี ท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณ (สมบูรณ์) จึงไปนิมนต์ท่านลงมาช่วยสร้างวัดเขาถ้ำบุญนาค ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒
    หลวงปู่สี ท่านเป็นพระที่ไม่สะสม ไม่ยึดติดในความสะดวกสบาย ท่านอยู่กุฏิไม้เก่าๆ หลังเล็กๆ ท่านพระครูฯเจ้าอาวาสจะสร้างกุฏิหลังใหม่ให้ แต่ท่านไม่ชอบ บอกว่าจะไม่ไปอยู่ พอช่างก่ออิฐเสร็จจะฉาบปูน ปรากฏว่าตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงฉาบไม่ติด จนต้องเลิก พระรักษ์ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากของหลวงปู่สีจึงไปเรียนถามหลวงปู่สีว่า ทำไมไปแกล้งช่างปูน หลวงปู่สีว่าท่านไม่ได้แกล้งเพียงแต่ท่านไม่อยากอยู่กุฏิใหม่ พระรักษ์จึงบอกว่า หากหลวงปู่ไม่อยากอยู่ก็ไม่เป็นไร ให้ช่างปูนเขาสร้างให้เสร็จเถิด หลวงปู่สี จึงบอกให้ช่างมาทำใหม่ และทำเสร็จในวันนั้น แต่ท่านก็ไม่เคยใช้เลย จนท่านมรณภาพแล้ว จึงนำร่างของท่านบรรจุในโลงแก้ว แล้วประดิษฐานไว้ที่กุฏินี้
     
  5. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948


    ประมาณปี ๒๕๑๙ ทาง วัดโพธิ์ทอง อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ต้องการหารายได้ เพื่อก่อสร้างถาวรวัตถุ จึงมาขอบารมีท่านหล่อรูปเหมือนขนาด ๓ นิ้ว ของท่านเพื่อให้ประชาชนเช่าบูชา แต่ปรากฏว่าท่านอาพาธอยู่ที่โรงพยาบาล จึงขออนุญาตจากเจ้าอาวาส ต่อมาข่าวนี้ออกทางวิทยุ หลวงปู่ท่านได้ยิน ท่านลุกจากเตียงทันทีแล้วถามว่า ใครเอารูปกูไปหล่อ พระรักษ์ตอบว่า วัดโพธิ์ทองครับหลวงปู่ มาขอกับเจ้าอาวาสแล้ว ท่านบอกว่า ”มันไม่เคารพกู หล่อรูปกูไป ถ้าไม่เอามาให้กู ก็จำหน่ายไม่ออก” ปรากฏว่าจำหน่ายไม่ออกจริงๆ จนต้องนำมามอบให้หลวงปู่สี ๘๐๐ องค์ เก็บไว้ที่วัดโพธิ์ทอง ๒๐๐ องค์ ส่วนที่ถวายหลวงปู่สีนั้นมีคนมาเช่าบูชาเกือบหมด แต่ที่วัดโพธิ์ทองไม่มีคนไปเช่าบูชาเลย นับว่าวาจาของหลวงปู่สีศักดิ์สิทธิ์จริงๆ

    เมื่อต้นปี ๒๕๑๙ ทางวัดเขาถ้ำบุญนาค มีงานประจำปีตรงกับวัดหนึ่งทางชลบุรี ซึ่งมานิมนต์หลวงปู่สีไปเป็นประธาน โดยท่านรับปากว่าจะไปในวันที่ ๑๘ มีนาคม พอถึงวันที่กำหนด พระเณรก็เห็นท่านอยู่ที่วัดไม่ได้ไปไหน แต่วันที่ ๑๙ มีนาคม ชาวชลบุรีที่ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่ ก็เหมารถตามมาที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ถามหาหลวงปู่สี แล้วถามว่า เมื่อวานนี้หลวงปู่ใช่ไหมที่ไปพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมที่ชลบุรี พระเณรที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับงง ถามว่าหลวงปู่ไปกับใคร หลวงปู่ไม่ตอบ ล้มตัวลงนอนตามเคย พอถึงเพล ชาวชลบุรีก็นำอาหารที่เตรียมไปมาถวาย ท่านก็ลุกขึ้นมารับประเคน แล้วนั่งยองฉันอาหาร มีแมวหมาล้อมหน้าล้อมหลัง ชาวชลบุรีเห็นอย่างนั้นก็หมดศรัทธา ว่าท่านไม่ค่อยสำรวม ได้เดินทางต่อไปวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อฤาษีฯ และได้เล่าให้หลวงพ่อฤาษีฯ ฟังถึงหลวงปู่สี ว่าเป็นพระไม่น่านับถือ หลวงพ่อฯ กลับตอบว่า กราบฉันแสนครั้งยังไม่เท่าได้กราบหลวงปู่สีครั้งเดียว ต่อมาศิษย์ชาวชลบุรีกลุ่มนี้กลายมาเป็นศิษย์ที่นับถือหลวงปู่สีมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง
    ที่อำเภอตาคลีมีเด็กคนหนึ่ง พ่อแม่นับถือหลวงปู่สีมากได้เอาเหรียญของท่านให้เด็กห้อยคอ ต่อมาเด็กเป็นหัดแล้วตาย พ่อแม่ก็จัดการเผาตามประเพณี ปรากฏว่าเผาศพหมดถ่านไป ๒ กระสอบ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไหม้ จึงลองเขี่ยดูตามตัว พบเหรียญผูกเชือกร่มห้อยคออยู่ จึงนำมาดูด้วยความแปลกใจเพราะแม้แต่เชือกร่มก็ยังไม่ละลาย ต้องนำเหรียญออกจึงเผาได้ตามที่ต้องการ
    ศิษย์ของท่านคนหนึ่ง มีบ้านเดิมอยู่ที่จังหวัดพิจิตร เป็นเจ้าของวงดนตรี และเป็นนักร้องรูปหล่อ (หากบอกชื่อ นักฟังเพลงทุกคนจะต้องรู้จัก) เคยมาหาท่านแล้วปรับทุกข์ว่า เงินที่ขายที่ทางได้หลายล้านนั้น เลี้ยงลูกวงไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่แสนบาท ขอให้หลวงปู่แนะนำว่าควรจะเลิกวงดนตรี หรือเล่นต่อไป หลวงปู่สีบอกว่าให้เล่นต่อเพราะว่าต่อไปนี้จะดังไปทั่วประเทศ ศิษย์คนนั้นก็ให้สัจจะว่า ถ้าดังทั่วประเทศเหมือนหลวงปู่ว่าจริง จะมาเล่นฟรีให้วัดปีละครั้งทุกปี ต่อมาก็ปรากฏว่าวงดนตรีนี้มีชื่อเสียง ระดับเดียวกับวงดนตรีสายัณห์ สัญญา รับงานแสดงทั่วประเทศ สร้างความร่ำรวยให้เป็นอย่างมาก และเขาก็นำวงมาแสดงตามสัญญาทุกปี จนกระทั่งหลวงปู่สีมรณภาพ ก็ยังมาเล่นให้ฟรีจนถึงปี ๒๕๒๕ ก็ไม่มาเล่นเช่นเคย พอปี ๒๕๒๖ ชื่อเสียงของวงก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ จนในปี ๒๕๒๗ จึงกลับมาขอขมาเล่นให้ฟรีอีก ปัจจุบันนี้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาอีกครั้ง (ตอนเขียนเรื่องนี้ปี ๒๕๒๘ นะครับ) ใครเคยให้สัจจะไว้กับหลวงปู่สี ถ้าไม่รักษาสัจจะ จะต้องมีอันตกต่ำไม่มีความเจริญ
    ปกติหลวงปู่สีท่านชอบหมอลำมาก (เข้าใจว่าเป็นแหล่เทศน์ แต่ลูกศิษย์เข้าใจว่าเป็นหมอลำ) เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วทุกปีในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ทางวัดจะจัดงานครบรอบวันมรณภาพของท่าน โดยมีหนังกลางแปลง ๑ จอ และหมอลำ จัดมาได้สองปี ปีต่อไปงดหมอลำ ให้มีหนังกลางแปลงอย่างเดียวเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ปรากฏว่ารถฉายภาพยนตร์ไปเสียกลางทาง จน ๓ ทุ่มจึงได้ตั้งจอ พอจะฉายไฟดับ ต้องแก้ระบบไฟฟ้า และฝนตั้งเค้ามาทันทีทันใด แล้วตกอย่างหนัก เป็นอันว่าฉายภาพยนตร์ไม่ได้ จนต่อมาต้องมีหมอลำ (แหล่เทศน์)ถวายท่านด้วย (นี่แหละครับ ถือเป็นบทเรียน ลูกศิษย์เวลาจะทำอะไรต้องเคารพครูบาอาจารย์ ต้องขออนุญาตท่านก่อน เมื่อคราววัดโพธิ์ทองหล่อรูปหลวงปู่สี ก็ครั้งหนึ่งแล้ว น่าจะจำกันไว้ พวกเราลูกศิษย์หลวงพ่อฯ ก็ขอให้ถือเป็นแบบอย่าง อะไรไม่แน่ใจให้เรียนถามท่านก่อน มโนมยิทธิก็ได้กันเยอะแยะ จะทำอะไรเรียนถามท่านก่อนจะปลอดภัยที่สุดครับผม)
    หลวงปู่สีท่านป่วยด้วยโรคต่อมลูกหมากบวม โดยเข้าโรงพยาบาลเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ และเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่ ๒-๓ ครั้ง พอถึงปลายเดือน ๓ ท่านก็บอกกับพระเณรในวัดว่า เดือน ๔ ท่านจะไปแล้ว ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ท่านมรณภาพในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๐ เวลา ๓ โมงเย็น ตรงกับ วันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ อายุ ๑๒๘ ปี

    ก่อนท่านมรณภาพ ท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณ ถามท่านว่า หากหลวงปู่สีไปแล้วใครจะสร้างศาลาต่อล่ะ เพราะยังสร้างค้างอยู่ ท่านบอกว่า เสร็จแน่ จะมีคนช่วยสร้างเยอะ อย่าเอาศพท่านไปเผาก็แล้วกัน ซึ่งต่อมาศพของหลวงปู่สี ก็ไม่เน่าเปื่อย มีผู้คนศรัทธาไปร่วมทำบุญสร้างศาลากันมาก จนศาลาเสร็จเรียบร้อย และยังมีเงินเหลือพอที่จะสร้างหอสวดมนต์ได้อีก ๑ หลัง ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ หลังจากท่านมรณภาพแล้ว ๓ ปี คณะศิษย์ได้นำศพท่านออกมาจากโลงแก้ว เพื่อจะเปลี่ยนผ้าครองให้ท่านใหม่ ช่างภาพในอำเภอตาคลี มาขอกรรมการถ่ายรูปท่านไป ๕ รูป เมื่อล้างฟิล์มออกมา ปรากฏว่าไม่ติดสักรูปเดียว รูปอื่นๆ อีก ๓๑ รูป มีภาพทุกใบ เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก เพราะแม้แต่ศพของท่านยังถ่ายรูปไม่ติด หากผู้ใดจะถ่ายรูปศพท่าน จะต้องจุดธูป ๙ ดอก ขอต่อท่านก่อน มิฉะนั้นจะถ่ายรูปไม่ติดเพราะเป็นเช่นนี้หลายรายแล้ว ชาวตาคลีรู้เรื่องนี้ดีทุกคน
    มีบางคนไปนมัสการพระศพของหลวงปู่สี แล้วนำเอาเถ้าขี้ธูป และก้านธูปในกระถางหน้าศพท่าน กลับไปเลี่ยมห้อยคอแทนพระเครื่อง ปรากฏว่ามีอานุภาพดีมากทางป้องกันอันตรายต่างๆ อีกทั้งโชคลาภค้าขายก็ไม่ใช่ย่อย ฉะนั้นก้านธูป และขี้ธูปในกระถางธูปหน้าศพท่าน จึงมักไม่ค่อยมีเหลือ หากผู้ใดไปนมัสการท่าน ลองจุดธูปแล้วอธิษฐานขอจากหลวงปู่สี แล้วดึงเอามาบูชาเพียงก้านเดียวก็พอ อย่าโลภมากเป็นอันขาด รับรองว่าใช้แทนวัตถุมงคลของท่านได้เป็นอย่างดี
     
  6. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948


    วัตถุมงคลโดดเด่น

    1. สมเด็จก้นย่าม ไม่ทราบว่าหลวงปู่ได้มาจากไหน แต่อย่าลืมว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพุฒาจารย์โต ย่อมมีควมสัมพันธ์กับสมเด็จนี้ไม่มากก็น้อย สมัยนั้นหลวงปู่ให้ทำบุญองค์ละ 10000 บาท นับว่าแพงมากสมัยนั้น










    ขอบคุณแหล่งที่มาของรูป เป็นวิทยาทานครับ
     
  7. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    2. ชานหมากห่อจีวร






    ลงให้ดูหลายๆสภาพครับ ของเก๊ระบาดเหลือเกิน
     
  8. ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,558
    การสร้างครั้งนึ้ตั้งใจกันจริงๆครับ เกศาครูบาอาจารย์ที่ว่าหายากที่สุด ห่วงที่สุดก็สละนำมามอบให้ล็อกเกตรุ่นนึ้ครับ เช่น เส้นเกศาหลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร บิดาหลวงปู่บุดดาในอดีตชาติ ในวงการจะรู้ว่าหายากมาก เส้นเกศาหลวงปู่สาม เส้นเกศาท่านพระอาจารย์ฝั่น อาจาโร เส้นเกศาหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เส้นเกศาศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นแรกจนถึงท่านพระอาจารย์โส อัฐิหลวงพ่อประยุทธ 1 ผอบใหญ่ พระอรหันต์ขุนโจรอีสมาแอร์เป็นต้น อังคารหลวงพ่อเมตตาหลวง 2 ถ้วยกาแฟ อังคารครูบาอาจารย์รวม 1 ถ้วยกาแฟ ครับ แม้แต่ครูบาอาจารย์ชั้นผู้ใหย่ในสายหลสวงปู่มั่นในปัจจุบันเห็นแต่ความตั้งใจจริงท่านก็เมตตานำของเข้าพิธีให้ด้วยองค์เอง เช่น ท่านพระอาจารย์ไม อิทธสิริ เป็นต้น ถามคุณเดลต้าได้ครับ
     
  9. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    3. พระชุดหลวงปู่ขาว วัดหลักสี่


     
  10. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    4. เหรียญอายุยืน
    5. เหรียญมหาลาภ
    6. เหรียญหน้าแก่
    7. เหรียญพรหมวิหารธรรม
    8. เหรียญจตุรพิธพรชัย
    9. มีดหมอ ตะกรุด
    10. สมเด็จจตุรพิธพรชัยฐานเก้าชั้น
    11. รูปหล่อทั้งสองรุ่น
     
  11. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่สี่ เรื่อง ความประทับใจในหลวงปู่เปรี่ยม วัดบ้านคลองทรายเหนือ



    สำหรับผมรู้สึกศรัทธาท่านมากๆเพราะ หลวงปู่เปรี่ยมท่าน "เปรี่ยม" สมเชื่อจริงๆครับ เปรี่ยมด้วยเมตตาจิตมากๆ ไม่ว่าใครไปหาขอความเมตตาท่าน หากท่านทำได้ท่านทำให้หมดครับ โดยไม่เลือกชนชั้น หน้าตา ตำแหน่ง เลยจริงๆ ทุกคนที่ไปหาท่านจะได้รับความเมตตาเสมอกันหมด
    สมัยก่อนท่านจำพรรษาอยู่ที่ วัดกำแพงบางจาก ท่านดังมากเรื่องตะกรุดลอยน้ำครับ มีคนถูกหวยรวยโชคกันนับไม่ถ้วน ตอนหลังได้ข่าวว่า มีคนไปหาท่านมาก จนท่านไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน ร่างกายก็เลยอ่อนแรงลง เลยต้องย้ายมาอยู่วัดโพธิ์เรียง เพื่อช่วยทางวัดหาปัจจัยสร้างโบสถ์ แต่ก็ยังมีลูกศิษย์ที่ทราบข่าวตามมาทำบุญ และพึ่งพาบารมีของท่านอยู่ไม่ขาดระยะ แต่ก็ยังน้อยกว่าตอนที่อยู่วัดกำแพงบางจากครับ
    สำหรับเรื่องวัตถุมงคลของท่านนั้น กล้ารับรองได้เลยครับว่า เยี่ยม..!! โดยเฉพาะด้าน เมตตา โชคลาภ มาอันดับหนึ่งเลยละครับ เพราะหลวงปู่ท่านเดินจิตทางเมตตาบารมีครับ สุดยอด และที่สำคัญวัตถุมงคลส่วนใหญ่ของหลวงปู่เน้นสร้างเองกับมือท่านครับ โดยเฉพาะตะกรุดท่านจะจารเองทุกดอกเลยครับ เพราะ(สมัยก่อน)ผมเองก็เคยไปนั่งดูท่าน ยามว่างๆ(ที่ไม่มีแขก) หลวงปู่ท่านจะหยิบแผ่นโลหะ มานั่งจารเองทุกดอก จริงๆ เคยถามท่านว่าหลวงปู่ยังจารไหวหรือครับนี่ไม่น่าเชื่อ.? ท่านตอบว่า ไหวสิ เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย สมัยก่อนจารวันนึงได้หลายสิบดอก แต่ตอนนี้ เริ่มได้น้อยลงๆ แต่ก็ต้องทำ คนเขายังเดือดร้อน ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวอีกมาก พอเหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยก็ทำต่อ ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า หลวงปู่เปรี่ยมองค์นี้น่าศรัทธามากๆ อายุก็ราวๆ 90กว่าๆแล้วยังเมตตามานั่งจารตะกรุดเองอีกครับ:cool: อย่างนี้สิครับของจริงมั่นใจได้ครับ

    เคยได้ยินมาจากคุณพี่ที่ผมให้ความยอมรับในเรื่องตรวจพลังพุทธคุณ..(ขอสงวนนามนะครับ) พี่ท่านนี้บอกกับผมว่า....เคยเอารูปหลวงปู่เปรี่ยมไปให้พระอาจารย์ตรวจ(ขอ)ดูบารมี พอพระอาจารย์เอาไปนั่งดูพออีกวันนึงก็บอกมาว่า โอ้โห..บารมีสุดยอดมากๆ ทะเลบุญ ซ้อนทะเลบุญเลย.....!! พระองค์นี้อยู่ที่ไหนกัน ให้รีบไปทำบุญ ไปบ่อยๆเลยนะ เนื้อนาบุญที่ดีมาก ว่างๆก็ไปเช่าหาวัตถุมงคลของท่านมาด้วยนะ น่าจะมีวิชาแปลกๆเหมือนกันนะเนี่ย น่าจะเป็นพระอริยะสำเร็จขั้นสูงเลยนะ....พอผมฟังพี่ท่านนั้นพูดก็เลยอยากจะไปกราบท่าน(ครั้งแรก)บ้าง แต่ก็ฟังหูไว้หูนะครับ ในใจก็คิดจินตนาการไปต่างๆนาๆ ว่าท่านต้องเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ แต่พอไปหาท่าน(ครั้งแรก) ท่านกลับไม่ค่อยมีอะไร เหมือนพระหลวงตาธรรมด๊า ธรรมดานี่เอง แต่มีสิ่งหนึ่ง สิ่งที่ได้รับจากท่านก็คือ ความเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้จริงๆเลยเอ้า..ก็ทำให้พอใจระดับหนึ่งครับ แหม..แต่ของอย่างนี้มันก็ต้องใช้เวลากันหน่อยใช่ไหมล่ะครับ ก็ต้องอาศรัยการคลุกคลีกันสักระยะถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่แน่ๆ ได้รับคำตอบในใจแล้วว่า...พระองค์นี้ ทำบุญได้สนิทใจแน่นอน
    ทำให้หวนระลึก(คิด) ถึก คำกล่าวของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ท่านกล่าวสอนเอาไว้ว่า..พระอริยะเจ้านั้น ไม่มี(ถือ)ตัว(ถือ)ตน จะเหมือนพระ ธรรมดาๆทั่วไป ไม่ต้องวางมาท ไม่ต้องมีอะไร ง่ายๆ ไม่ว่าจะ นั่ง นอน ยืน เดิน ก็สบายๆ แต่มีสติ แต่ถ้าดูตาเปล่า เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ท่านนั้นๆเป็นพระอริยะระดับใด แต่หากเราได้ฟังคำเทศนาของท่าน อาจจะทำให้เราพอทราบได้ว่า ท่านเป็นพระอริยะเจ้าระดับไหน เพราะพระอริยะเจ้า เวลาท่านสอน ท่านจะไม่สอนอะไรที่เกินความรู้ของท่าน เช่นหากพระอริยะเจ้าระดับพระโสดาบัน ท่านก็จะสอนอยู่ในระดับของพระโสดาบันเป็นต้น แต่หากจะให้เรารู้ลึกยิ่งไปกว่านั้น ก็ต้องคลุกคลีอยู่กับท่านนานๆ สักวันท่านก็อาจจะบอก หรืออาจจะมีเหตุทำให้ทราบได้ เช่นมีพระอริยะเจ้าระดับเดียวกันหรือสูงกว่า บอกรับรองในคุณวิเศษ หรือคุณธรรมของท่านก็น่าจะเชื่อถือได้ดีที่สุด
    แต่องค์หลวงปู่เปรี่ยมนี่เท่าที่ผมสังเกตุ คุณสมบัติหลายประการของท่าน จากประสพการณ์ของผมที่ได้พบเจอมานั้น ประกอบกับท่านที่ได้ธรรมบางประการแล้วบอกต่อๆกันมา ทำให้ผมพอจะทราบได้ว่า พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านน่าจะเป็นพระอริยะเจ้าขั้นสูงมากจริงๆครับ แต่ท่านดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีอะไร บางคนไปหาท่านกลับมาบอกว่า ธรรมดาๆ ก็แล้วแต่วาสนา บารมีของแต่ละบุคคลนะครับ ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟังแต่..เอาไว้มาเล่ากันต่อนะครับ

    สุดยอดครับ.. เรื่องตะกรุดลอยน้ำนี่หลวงปู่เคยเล่าว่า เรียนมาจาก หลวงปู่หิน วัดระฆังครับ กริ่งรุ่นที่ว่านี้ก็ดีมากเลยครับ

    เออ..เมื่อประมาณปลายปีที่ผ่านมา หลวงปู่เปรี่ยมท่านอาพาธ เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสงฆ์ครับ ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมและดูแลท่าน เลยมีโอกาสได้สนทนากับท่านเป็นกรณีพิเศษ เลยได้รับรู้ประสพการณ์ตอนที่หลวงปู่ธุดงค์ โดยมีหลวงปู่หินเป็นผู้นำคณะ หลวงปู่เล่าว่า.... หลวงปู่หินท่านมีวิชาดี(สุดยอด) มีปาฏิหาริย์มาก ธุดงค์ท่องเที่ยวกับท่านแล้วไม่ต้องกลัวอันตราย ท่านดูแลทั่วถึงหมด มีอยู่ครั้งหนึ่ง เดินเข้าป่าไปพบกับฝูงวัวกระทิงป่าหลายสิบตัว กำลังหากิน พอมันเห็นพระธุดงค์เดินผ่านมาก็เกิดอาการฟึดฟัด อาจเป็นเพราะสีของจีวรที่อาจบาดตาบาดใจ ตัวหัวหน้าฝูงก็นำพาลูกน้องวิ่งเข้ามาเพื่อจะชนคณะของพระธุดงค์ หลวงปู่หินท่านก็บอกคณะของพระที่ติดตามให้ขึ้นไปหลบอยู่บนจอมปลวก ด้วยความตื่นตระหนก พระทุกองค์ก็รีบขึ้นไปบนจอมปลวกเพื่อหลบภัย มีแต่เพียงหลวงปู่หินเท่านั้นที่เดินจงกรมรอบจอมปลวกสูงลูกนั้น อย่างสงบสำรวม และบอกให้คณะพระที่ติดตาม สวดบทแผ่เมตตา ต่างองค์ก็สวดช้าบ้างเร็วบ้าง เพราะความตื่นเต้นตกใจ แต่ปาฏิหาริย์ก็พลันบังเกิดให้เห็นโดยฉับพลัน ฝูงวัวกระทิงดุก็กรูกันเข้ามาขวิดเอายังร่างของหลวงปู่หิน แต่ถึงจะไล่ขวิดอย่างไรก็ไม่อาจจะโดนร่างของหลวงปู่หินได้เลย แม้แต่ชายจีวรก็ตาม ขวิดพลาดซ้าย พลาดขวา พลาดหน้า พลาดหลัง อยู่เป็นเวลาหลายสิบนาที แต่หลวงปู่หินก็ยังคงเดินจงกรมแบบสำรวมอิริยาบทตามปกติ จนกระทั่งฝูงวัวดุก็พลันหมดเรี่ยวแรงถอยหลังกลับไปเอง พอพ้นเขตอันตรายแล้วหลวงปู่หินก็สั่งให้พระที่ขึ้นไปอยู่บนจอมปลวกลงมาได้อย่าปลอดภัย หลวงปู่เปรี่ยมสมัยนั้นยังเป็นพระหนุ่มมาก ก็บังเกิดความเลื่อมใสในองค์หลวงปู่หินเป็นล้นพ้น และถามถึงเหตุการณ์ความระทึกที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้กับหลวงปู่หินผู้เป็นอาจารย์ว่า ทำอย่างไรจึงสยบเจ้าฝูงวัวเพชรฆาตเหล่านั้นได้..? หลวงปู่หินก็เมตาตอบให้พระทุกองค์ฟังว่า....ก็ใช้เมตตาธรรม อธิษฐานจิตแผ่ไปให้ผูงวัวป่าเหล่านั้น ว่า "ถ้าหากเราเคยมีเวรมีกรรมต่อกันเราก็ขอชดใช้ให้และขอให้จบสิ้นเวรกรรมกันแต่บัดนี้ หากว่าไม่เคยก่อเวรกรรมต่อกันมาก็ขอให้อย่าทำอันตรายแก่คณะเราได้ ชีวิต และเลือดเนื้อ กายของเราขอมอบถวายเป็นพุทธบูชา" แล้วก็สวดบทแผ่เมตตาพร้อมกับสำรวมอิริยาบท เท่านั้น....นี่จึงเป็นปฐมเหตุให้ องค์หลวงปู่เปรี่ยมสนใจที่จะศึกษาศิลปะ วิชชา และคาถาอาคมกับหลวงปู่หินละครับ

    เอาแค่นี้ก่อนละกันนะครับ หลวงปู่ยังเมตตาเล่าเรื่องราวสนุกๆ สมัยออกธุดงค์กับหลวงปู่หินและคณะให้ฟังอีกมาก และเรื่องบางเรื่อง ก็เกินกว่าจินตนาการของเราที่จะคาดคิดเสียด้วยครับ หากเป็นคนอื่นเล่าผมอาจจะคิดใครครวญดูก่อน แต่หากเป็นทุกๆเรื่องที่องค์หลวงปู่เปรี่ยมท่านเมตตาเล่าให้ฟังผมฟังผมเชื่อเต็มที่ครับ ขอเชิญทุกๆท่านบ้างนะครับ กระทู้นี้จะได้ไม่เงียบเหงานะครับ ร่วมกันเผยแพร่กิติคุณขององค์หลวงปู่ครูบาอาจารย์ครับ....<!-- google_ad_section_end -->

    เล่าโดย คุณ ทุเรียนทอด web Palungjit
     
  12. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ขอเล่าต่อให้จบตอนนะครับ ผมเพิ่งเอาล็อกเกตไปให้หลวงปู่ปลุกเสกเมื่อวานครับ

    จริงๆท่านอยู่ที่วัดบ้านคลองทรายเหนือ สระแก้วครับ เพิ่งย้ายมากรุงเทพ เพื่อรักษาอาการอาพาธ ปัจจุบันท่านรักษาที่ โรงพยาบาลจุฬาฯ เข้าเรื่องนะครับ ท่านเมตตาสมคำร่ำรือจริงๆ ตอนแรกหลวงปู่ท่านไม่ปลุกเสกให้ เพราะผมไม่ได้ตั้งเครื่องบายศรีบูชาครู พอจัดหาพลางๆได้ ท่านก็ให้จุดธูป เทียน บูชาพระรัตนตรัย จุดเทียนทำน้ำมนต์ การอธิษฐานจิตท่านลงอิติปิโสแปดทิศ และวิชาแก้วทั้งสี่ เพราะเห็นเป็นพระแก้วมรกต โดยผมอาราธนาให้ท่านลงเมตตาโชคลาภอย่างเดียว ท่านปลุกเสกด้วยการสะเดาะประคำ หลังจากเสร็จพิธีประมาณ 10 นาที ท่านก็ถอนจากสมาธิ เริ่มสวดคาถา จนสุดท้ายได้ยินท่านพูดว่า
    "พญานาค" กับอะไรพึมพัมๆ ผมคิดไปเองว่า ท่านเชิญพญานาคมาคุ้มครองหรือเปล่า หรือว่าท่านเห็นอะไรดีๆในปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ ท่านเมตตามอบคาถาแก้วสี่ดวงเพื่อประจำล็อกเกตนี้ และแนะนำให้ผมเอาไปภาวนา โดยการสะเดาะประคำครับ เพราะเหมาะกับจิตที่ยังมีพื้นฐานสมาธิไม่มั่นคง ผมคิดในใจว่า ผมจะไปเอาประคำมาจากไหน ถ้าได้จริงๆ ขอให้ได้ง่ายๆละกัน ขี้เกียจไปซื้อ (วันรุ่งขึ้น วันนี้เลยผมได้ประคำมาฟรีๆ ได้มาอย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไป)
    หลวงปู่ท่านเก่งด้านคุมธาตุครับ ท่านว่าเดี๋ยวสร้างเสร็จให้เอามาฝากท่านอธิษฐานอีก ผมโอเคอยู่แล้ว พระที่เมตตาขนาดนี้หายากแล้ว......กราบหลวงปู่ครับ


    ผมถามหลวงปู่ว่า ล็อกเกตยังขาดอะไรต้องเสกอะไรเพิ่มเติม ท่านบอกว่า ดีแล้ว อธิษฐานได้ตามปรารถนา คุมทุกด้าน โยมตั้งพิธีที่ไหนนี่ ทำไมพระถึงเป็นแบบนี้ ก็ชี้แจงท่านว่า พิธีหมู่ก็จัดที่วัด หลวงปู่ใสย ปัญญาพโล เป็นประธานพิธี ส่วนอธิษฐานจิตเดี่ยว หลวงปู่เป็นองค์ที่ 90 กว่าแล้วครับ
    *ในรูปจะเห็นผมใส่ mask ตอนนี้เป็นหวัด กันไม่ให้ไปติดหลวงปู่ครับ ขากลับแท็กซี่ยังถามว่า น้องใส่หน้ากาก เป็นโรคติดต่อรึเปล่า ทำไมไม่ไปหาหมอ ผมตอบขำๆว่า หมอน่ะมาหาผมทุกวันอยู่แล้ว ไปหาก็จะได้ยาแก้อักเสบ(ATX) ซึ่งมีโอกาสรักษาผิดพลาด 80%
    เพราะพวกนี้มันเป็น viral syndrome ต่างหาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0464.JPG
      ขนาดไฟล์:
      192.9 KB
      เปิดดู:
      200
  13. krit_eng99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    791
    ค่าพลัง:
    +2,228
    1.ล็อกเกตฉากสีทอง(กรรมการ) บูชาองค์ละ 3,700 บาท (หมดแล้วครับ)

    2.ล็อกเกตฉากธรรมดา มี 3 สี ขาว ดำ เขียว บูชาองค์ละ 1,200 บาท
    ล๊อกเกต ฉากสีเขียว
    (หมดแล้วครับ)
    ฉากสีขาว เหลือ 75 องค์
    ฉากสีดำ เหลือ 65 องค์

    โอนได้ 2 บัญชีครับ

    กองทุนเพื่อสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยปราสาท ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 959-201-6901
    หรือ
    บัญชี พระบัวพรรณ เบิกบาน ธนาคารกรุงเทพ สาขาย่อยปราสาท สะสมทรัพย์ เลขที่บัญชี 301-4794-121
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. นิโรธสมาบัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +2,562
    แวะมาอ่านเรื่องราวการเสก ฟังแล้วปีติครับ

    รออย่างใจจดใจจ่อ ที่จะได้ของดีดี ครับผม

    เป็นกำลังใจให้ผู้สร้างครับ ยืดเวลาออกไปแต่ได้ของดี ยินดีเสมอครับผม
     
  15. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ห้า ไม่ใช่อยุธยาที่ไม่สิ้นคนดี อ่างทองก็ไม่สิ้นพระดีเหมือนกัน

    วันที่ไปอ่างทอง ไปหาหลวงปู่สม วัดโพธิ์ทอง ก่อนอันดับแรก ท่านติดกิจนิมนต์ที่กรุงเทพฯ จึงแวะเข้าไปที่วัดคำหยาดครับ วัดนี้เป็นวัดของหลวงปู่บุญลือ ซึ่งท่านเป็นพระลูกศิษย์หลวงปู่คำโป๋ ที่อยู่ประเทศลาวครับ ผมก็ค่อนข้างเกรงบารมีท่าน ว่ากันว่าท่านไม่ใชพระอริยะธรรมดา เพราะท่านจะพูดเล่นว่า ไอ่เซ่อ มีนักการเมืองมาหลวงปู่ บ่นเรื่องอะไรไม่รู้ ผมเลยถามกลุ่มนั้นว่า จะสมัครเป็น สว หรือครับ หลวงปู่สวนมาเลยว่า ไอ่นี่มันจะได้เป็น สว. ผมก็คิดขำๆครับ ถ้าสมัครเอา สส ดีกว่า มีทางหาแหล่งรายได้มากกว่าครับ หุหุ ผมเลยนำวัตถุมงคลให้ท่านอธิษฐานจิตให้ ท่านอธิษฐานโดยเริ่มนำมือวนรอบวัตถุมงคลสามครั้ง แล้วพนมมืออธิษฐานจิตประมาณ 3 นาทีแล้วก็บอกว่าใช้ได้แล้ว ที่ข้าไม่สบายก็เพราะลูกศิษย์ชอบให้เสกเป่าของพวกนี้ล่ะ ผมจึงกราบลาท่านออกมา ไปหาหลวงพ่อผาด วัดไร่ ซึ่งท่านจำวัดอยู่ พระที่ดูแลท่านไม่ค่อยชอบให้โยมนำวัตถุมงคลมาอธิษฐานจิต ผมเลยเล่นเอาพระทิ้งไว้ที่กุฎิห้องกระจกของหลวงปู่เลย และก็ทำทีออกไปเช่าวัตถุมงคลมาอีกเป็นกระบุง ระยะเวลาเป็น 20 นาที ผมคิดว่าหลวงปู่น่าจะทราบว่าพระที่ทิ้งไว้น่าจะขอเมตตาหลวงปู่ปลุกเสก พอได้วัตถุมงคลมาก็ให้หลวงปู่เสกเป่าอีกครั้ง พร้อมกับล็อกเกตอีกทีนึง ต่อจากนั้นก็ไปวัดหลวงพ่อเสียน ท่านเพิ่งกลับจากนิมนต์ ก็ขอให้ท่านอธิษฐานให้ ท่านว่า พระนี้ดีทุกทางอยู่แล้ว เลยถามทางท่านไปวัดรางฉนวน แน่นอนว่าหลงทาง จึงกลับไปที่ใกล้ๆที่เดิม ผ่านวัดศาลาดิน เลยแวะไปหาป้าวาสนา วันนั้นป้าใจดีเล่าเรื่องหลวงพ่อทรงให้ฟังหลายอย่าง และอนุญาตให้ผมนำอังคารหลวงพ่อไปบูชา และนำไปผสมสร้างพระรุ่นนี้ได้ ขากลับแวะไปหาหลวงพ่ออุดม วัดพิชัยสงคราม แต่ท่านไม่อยู่ไปอยู่ที่ รพ พญาไท เพื่อนัดผ่าตัด CABG ขากลับมาไม่ต้องพูดถึงครับ เหนื่อยหมดแรงมากๆ
    ยังไงที่อ่างทอง ต้องไปกราบหลวงพ่อมี วัดม่วงคัน หลวงพ่อสม วัดโพธิ์ทอง หลวงพ่อเกลื่อน หลวงพ่อเล็ก วัดทำนบ เจ้าคุณ วัดปลดสัตว์ ให้เมตตาอธิษฐานอีก ในโอกาสหน้านะครับ อีกที่ๆคิดถึง คือ หลวงพ่อชวน วัดเขาแก้ว แต่วัดไกลอยู่เหมือนกัน ท่านก็เคยเสกมวลสารให้เราแล้ว ที่พิธีที่ กพ. เลยไม่ไปดีกว่า จบเรื่องอ่านขำๆ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ภาพ0017.jpg
      ขนาดไฟล์:
      155.6 KB
      เปิดดู:
      107
    • ภาพ0018.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.5 KB
      เปิดดู:
      128
    • 080.jpg
      ขนาดไฟล์:
      166.2 KB
      เปิดดู:
      241
  16. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ 6 อึ้งนิดๆกับหลวงพ่อเณร วัดทุ่งเศรษฐี

    ประวัติวัดทุ่งเศรษฐี
    วัดทุ่งเศรษฐี ตั้งอยู่เลขที่ 48 หมู่ 8 ถนนบางนา-ตราด กม.8 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ 25 ไร่ 83 ตารางวา ปัจจุบันพระพิศาลพัฒนาทร (หลวงพ่อเณร ญาณวินโย) เป็นเจ้าอาวาส และมีพระภิกษุ 28 รูป

    สถานที่ตั้ง บริเวณที่ตั้งวัดนั้นเดิมเป็นท้องนา ซึ่งทำนาได้ผลดีจนมักเรียกกันติดปากว่า ทุ่งเศรษฐี ต่อมาในปีพุทธศักราช 2528 คุณครูแสวง พัฒบุญมา ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้มีจิตศรัทธาเป็นมหากุศล ได้บริจาคที่นาของตนส่วนหนึ่ง เนื้อที่ 18 ไร่ 83 ตารางวา เพื่อถวายให้เป็นที่สร้างวัด และนายผิว นางฟื้น เมืองจันทร์ ได้ถวายเพิ่มเติมอีก จำนวน 6 ไร่ เพื่อเป็นที่สร้างวัดเช่นกัน

    วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไปวัดนี้ ในใจต้องการไปกราบครูบาสิงโต วัดดอยแก้วที่ปีนี้ท่านมาจำพรรษาที่นี่ โดยนำวัตถุมงคลมาปลุกเสกด้วย ไปถามทางพระลูกวัด ท่านบอกว่าไปกราบหลวงพอ่เณรเจ้าอาวาสก่อน ในใจผมจริงๆเฉยๆ ออกจะ negative ด้วยซ้ำ ก็เลยลองดูก็ได้ เตรียมวัตถุมงคล(บรรจุในถุงผ้าทึบ) ใส่พาน เตรียมดอกไม้ ธูปเทียน ไปขอท่านลงให บอกว่าเน้นด้านเมตตาหลวงพ่อ ท่านอธิษฐานทั้งคาถาอะไรไม่รู้ ประมาณ 5 นาทีก็เสร็จ ออกจากสมาธิมาถามผมว่า พระแก้วเหรอ เหรียญหรือล็อกเกตล่ะ ผมประหลาดใจมาก โอกาสเดาถูกเป็นเรื่องบังเอิญค่อนข้างน้อย ถ้าเดาผิดโอกาสหน้าแตกอีก เลยถามต่อว่า พระนี้ดีด้านอะไร พระดีใช้ได้แล้ว ไม่ต้องเสกอีกต่อไป ครบทุกทางจริงๆ นับว่างงๆ พอดีเมื่อวานได้คุยกับพี่ JumboA พี่เค้าว่า ท่านดังมานานแล้ว คุณสมัคร สุนทรเวศ ก็เป็นลูกศิษย์
     
  17. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ 7 ประคำเส้นนั้น (เรื่องต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว)
    ความเดิมตอนที่แล้ว คือ หลวงปู่เปรี่ยม บอกผมว่าให้หาลูกประคำทำสมาธิดู ลองสวดคาถาแก้วทั้งสี่ อย่างละ 108 คาบ ผมก็ขี้เกียจไปหาซื้อตามวัดสุทัศน์หรืออะไร ก็ลืมๆมันไป พอดีวันรุ่งขึ้นไปกราบครูบาสิงโต ที่วัดทุ่งเศรษฐี ไปถึงประมาณ 6 โมงครึ่ง พระบอกว่าหลวงปู่จำวัดแล้ว ผมก็ไม่สนใจ เพราะต้องกราบให้ได้ ถ่อสังขารมาถึงที่นี่แล้ว เคยไปเจอกันที่เชียงใหม่ ประทับใจที่หลวงปู่ยังทำอะไรเองได้ ทั้งล้างจาน ซัดจีวรเอง เมตตาท่านนี่สุดๆจริงๆ ใครขออะไรไม่เหลือบากกว่าแรงให้หมด ผมถือวิสาสะเปิดเข้าไปในกุฏิท่านเลย ปรากฏว่าหลวงปู่นั่งอยู่ครับ เลยไปเรียนท่านว่าจะขอให้ปลุกเสกวัตถุมงคล หลวงปู่แต่งตัวพาดสังฆาฏิเรียบร้อย ก็ไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ทำเทียนน้ำมนต์ จากนั้นก็ปลุกเสกโดยการใช้คาถาดงกระเหรี่ยงที่ท่านร่ำเรียนมา ผมบอกว่าเอาด้านโชคลาภ เมตตาอย่างเดียวเด้อ อย่างอื่นตึงบ่เอา หลวงปู่เป็นอันรู้กัน

    พอเสร็จแล้วหลวงปู่ก็เดินไปหยิบเหรียญ และประคำในบาตรของท่านมาให้ ในบาตรมีกระคำอยู่สองเส้น ตอนนั้นผมเฉยๆ อยากได้ประคำในคอหลวงปู่มากกว่า
    แต่พอกราบลามาแล้ว พระอุปัฎฐากบอกผมว่า โยมโชคดีมากเลยนะ อาตมาเคยขอประคำท่าน ท่านไม่ให้ว่ามีเจ้าของแล้ว อย่าลืมวันลอยกระทง เอาพระมาเสกด้วย จะจัดพิธีใหญ่ ครูบาคำเป็ง อาศรมสุขาวดี จะมาช่วยลงด้านพลังมหาดูดด้วย

    หรือประคำเส้นนี้ จะเกี่ยวข้องกับประคำที่หลวงปู่เปรี่ยมกล่าวไว้ ?????
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0472.JPG
      ขนาดไฟล์:
      113.6 KB
      เปิดดู:
      161
    • IMG_0474.JPG
      ขนาดไฟล์:
      91.6 KB
      เปิดดู:
      176
    • ภาพ0042.jpg
      ขนาดไฟล์:
      197.4 KB
      เปิดดู:
      156
  18. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ชาติกำเนิดการบวช ปฏิบัติและศึกษาพระเวทย์

    หลวงปู่สิงห์โตปัจจุบันอายุ ๙๐ ปีเกิดที่ ต.ดอยแก้ว อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ เป็นบุตรชายคนโตและคนเดียวในพี่น้อง๕ คน ของพ่อคำ แม่ปุ้ด ทิพย์พรหมา บ้านของท่านมีอาชีพทำนา และโยมพ่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน ต่อมาเมื่อท่านอายุ ๑๐ขวบ หลวงปู่แก้ว หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ ได้รุกขมูลมาจากอีสานแล้วมาปักหลักปฏิบัติธรรม ณ.ดอยโมคคัลลาน์ ซึ่งไม่ห่างไปจากบ้านของหลวงปู่มากนัก เป็นเหตุให้โยมพ่อของท่านได้มีโอกาสรู้จักกับหลวงปู่แก้ว หลวงปู่แก้วจึงขอเด็กชายสิงห์โตไปอยู่อุปฐากหลวงปู่แหวน เมื่อไปอยู่แล้ว หลวงปู่แหวนท่านก็สอนให้นั่งปฏิบัติธรรมอยู่กว่าขวบปีจนทำให้เด็กชายสิงห์โต เกิดความชอบ ปฏิบัติรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะเด็กนั้นยังมีใจที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากอกุศลจิต ต่อมาเมื่อหลวงปู่แหวนได้จาริกไปที่อื่น หลวงปู่จึงขอให้โยมพ่อพาไปบวชเณรที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง เมื่ออายุ ๑๒ ปีโดยมีพระครูพุทธศาสตร์สุประดิษฐ์ วัดพระธาตุศรีจอมทอง เป็นผู้บรรพชา บวชแล้วก็อยู่ปฏิบัติ กับครูบาคันธา ณ.วัดดอยแก้ว กระทั่ง๒ปีถัดมาครูบาคันธา( เจ้าอาวาสวัดดอยแก้วภายหลังไปปกครองวัดวังจำปา) ก็พาท่านขึ้นไปสร้างทางขึ้นดอยสุเทพและปฏิบัติธรรมร่วมกับครูบาเจ้าศรี วิชัย ทำให้ท่านได้มีโอกาสเรียนปฏิบัติตามแนวทางของครูบาเจ้า จนกระทั่งแล้วเสร็จจึงกลับมาเรียนอักขระล้านนา ค้นคว้าปั๊ปสา(คัมภีร์พระเวทย์)ก่อนเดินทางไปเรียนอาคมอีสานกับหลวงปู่แก้ว เรียนอาคมสายเหนือไทยใหญ่กับครูบาจินา วัดท่าข้ามใต้ ที่ อ.ฮอด พอกลับมาพ่อหนานตันฆราวาสเรืองเวทย์แห่งดอยแก้วซึ่งเฝ้าดูสามเณรสิงห์โตอยู่ นานแล้วก็ได้ตัดสินใจถ่ายทอดสรรพวิชาทางเสน่ห์เมตตามหานิยมให้ทั้งหมด ส่วนวิชามหาอำนาจหลวงปู่ฯได้รับการถ่ายทอดวิชาเสือเยน(เสือสมิง)มาจากพราน กระเหรี่ยงสบเตี๊ยะ ต่อมาจึงได้อุปสมบทที่วัดพระธาตุศรีจอมทองโดยมีพระสุวรรณโมลี เป็นอุปํชฌาย์ จากนั้นก็ได้ไปเรียนปฏิบัติวิปํสสนาชั้นสูงกับครูบาพรหม วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ. ลำพูน สำเร็จแล้วได้ออกปฏิบัติธรรม ณ.ดอยอินทนนท์ โปรดชาวเขาให้เลิกนับถือผีมานับถือพุทธศาสนาเป็นเวลา ๔ ปี พอกลับมาก็ได้เป็นเจ้าอาวาสและพัฒนาวัดดอยแก้วจนบริบูรณ์ดังปัจจุบัน

    พระผู้นำในการพัฒนา


    สร้างโรงพยาบาลประจำอ.จอมทอง สมัยที่ท่านได้รับการแต่งตั้ง เป็นพระอธิการสิงห์โต เจ้าอาวาสวัดดอยแก้ว ขณะนั้นทางราชการกำลังพัฒนาสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอ หลวงปู่ครูบาสิงห์โตได้เห็นความสำคัญดังกล่าวเช่นกัน จึงได้รวบรวมศรัทธาประชาชนวัดดอยแก้วร่วมจัดหาสถานที่เพื่อสร้างโรงพยาบาลอ. จอมทองจนสำเร็จ


    สร้างถนนขึ้นดอย ท่านริเริ่มก่อสร้างถนนไปสู่หมู่บ้านแม่เตี้ยะ เพื่อให้ชาวเขาได้มีโอกาสลงมาทำมาค้าขาย และรักษาพยาบาลตอนเจ็บป่วย รวมทั้งเด็กๆนั้นจะได้รับการศึกษา เป็นผลงานที่ทำจากหมู่บ้านสู่หมู่บ้าน หมู่บ้านสู่ตำบล จนทางราชการเข้าร่วมช่วยเหลือให้เป็นถนนลาดยาง


    สร้างสะพานคอนกรีต ข้ามแม่น้ำแม่กลางสู่ตัวอำเภอจอมทอง


    สร้างเตาเผาศพ โดยเปลี่ยนจากการเผากลางแจ้งแบบชาวบ้านเป็นเตาเผาไฟฟ้า
    การพัฒนาดังกล่าวข้างต้น นับว่าเป็นคุณประโยชน์ต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทางราชการและคณะสงฆ์ ร่วมกันถวายสมณศักดิ์ให้ท่านเป็น พระครูสีหธรรมจารี และขอให้ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลดอยแก้วแต่ท่านปฏิเสธ

    <CENTER></CENTER>วัตรปฏิบัติและปฏิปทา


    วัตรปฏิบัตร แม้ วัยจะล่วงเลยเข้าอายุ ๙๐ ปีแล้วก็ตามหลวงปู่ยังเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติ ตื่นตีสามทำวัตรสวดมนต์ปฏิบัติสมาธิสม่ำเสมอ ออกเดินบิณฑบาตรทุกเช้าแม้กระทั่งมาอยู่จ.อยุธยาก็ยังเดินบิณฑบาตรทุกวัน ชาวบ้านเห็นแล้วศรัทธาใส่บาตรกันมาก มีแม่ค้าปลาดุกในตลาดเจ้าพรหมใส่บาตรหลวงปู่เสร็จร้องไห้โฮเลย คนก็หันไปมองนึกว่าแกถูกปลาดุกยัก แกเห็นคนมองกันมาก ก็เลยบอกว่าปลื้มใจที่มีพระอริยสงฆ์อายุพรรษาสูงขนาดนี้มาบิณฑบาตรโปรดถึง ที่ และอีกอย่างที่หลวงปู่ไม่เคยขาดคือท่านไปที่ใดหากเห็นรูปเคารพพระพุทธเจ้า เป็นอันต้องยกมือไหว้และสวดงึมงำทุกครั้ง การขบฉันของท่านปกติจะฉันอาหารอ่อนๆมื้อเช้ามื้อเดียวแล้วฉันน้ำผึ้งกับนมสด มะนาวแต่ถ้าต้องไปงานก็อนุโลมฉันเพลด้วย บางครั้งท่านฉันน้ำผึ้งนมสดแก้วเดียวอยู่ไป๕ วันโดยไม่ฉันอะไรอีกเลย และร่างกายก็ยังสดชื่นเหมือนเดิม มีคนเคยถามท่านว่าไม่ฉันข้าวเพิ่มหรือ ท่านบอกร่างกายมันไม่รับ รับแค่นี้


    ปฏิปทา ใครก็ตามที่ได้กราบหลวงปู่ครูบาสิงห์โตต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าท่าน เป็นพระที่ความชุ่มเย็น มากเมตตา ตามใจลูกศิษย์ทุกประการไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกยากดีมีจน ใครขออะไรหลวงปู่ให้หมด ให้จนบางครั้งบรรดาลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดปฏิบัติท่านเดือดร้อนไปตามๆกัน แต่ท่านก็ยังมีเมตตาต่อไปดังสายน้ำที่ไหลชุ่มฉ่ำตลอดปี อย่างเช่นหลายกรณีที่เล่าต่อไปนี้


    พระขี้ขอ ครั้งหนึ่งที่หลวงปู่ลงรถไฟมาที่สถานีอยุธยา มีพระที่ไม่รู้จักการสมควร เข้าไปขอย่ามท่านเป็นที่ระฤก หลวงปู่ท่านก็มอบให้ จากนั้นพระอุปฐากก็ต้องเดือดร้อนไปซื้อเป้แบบของโยมจากร้านค้าใกล้ๆแถวนั้น มาใส่สิ่งของของท่านแทนย่าม เรื่องราวก็น่าจะจบลงแล้ว แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระองค์เดิมเดินกลับมาขอเงินอีก ถ้าเป็นเราพระรูปนั้นคงโดน....แล้ว แต่นี่อะไรหลวงปู่ก็เมตตาถวายปัจจัยให้ไป หลังจากได้ปัจจัยแล้วพระองค์นั้นก็ขอประคำในคอหลวงปู่ท่านอีก หลวงปู่ท่านก็ถอดถวายให้ พระอุปฐากของหลวงปู่ที่ไปด้วยท่านเล่าให้ญาติโยมฟังอย่างมีอารมณ์ว่าภาพที่ เห็นในวันนั้นคล้ายๆกับหลวงปู่ถูกปล้นมากกว่า....แต่หลวงปู่บอกว่าเขาอยาก ได้ก็จะถวายให้เขาไป เหล่าบรรดาสานุศิษย์ที่ได้ฟังเรื่องนี้ต่างกล่าวตรงกันว่าท่านคือหลวงปู่ สิงห์โตหรือพระเวสสันดรกันแน่


    โยมขี้ขอ ด้วยว่าคณะศิษยานุศิษย์ได้สร้างพระขุนแผนหลังติดจีวรเอาไว้สำหรับแจกตอบแทน หัวหน้าคณะผู้นำบุญที่จะสร้างหอบูรพาจารย์ในภายภาคหน้าและได้นำเอาไปไว้ใน ห้องท่าน ให้ท่านค่อยๆลงยันต์หัวใจขุนแผนไว้ที่หลังจีวรไปที่ละองค์และก็เรียนกำชับ หลวงปู่ไว้ว่าห้ามแจกไปก่อน เพราะเจตนาสร้างไว้เป็นพิเศษกับผู้นำบุญเท่านั้น เวลาผ่านไปหลายวัน ปรากฏว่าหลวงปู่เพิ่งเขียนไปได้ไม่เท่าไรก็มีคนผู้ไม่รู้การอันสมควรบุกเข้า ไปกราบหลวงปู่ถึงในห้องให้หลวงปู่ทำโน่นทำนี่ให้เสร็จแล้วก็ขอโน่นขอนี่จน กระทั่งจะลากลับก็เหลือบไปเห็นพระขุนแผนนี้เข้าก็ขอ ทีแรกก็ขอองค์เดียวพอได้แล้วก็ขออีก๓ องค์หลวงปู่ท่านก็ให้ไป ทั้งๆที่คณะศิษย์ย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าแจกท่านก็แจก และในวันนั้นปัจจัยที่มีคนถวายให้หลวงปู่ก็หายไปด้วยแต่ท่านกลับไม่อาทรร้อน ใจอะไร ทำให้ศิษย์ใกล้ชิดเดือดร้อนต้องคอยระแวดระวังและหามาตรการจัดระบบป้องกัน ปัญหาเหล่านี้


    ชาวเขาขอหม้อ ที่วัดดอยแก้วนั้นมักจะมีชาวเขาลงมาขออาหารสิ่งของเครื่องใช้ในถังสังฆทาน กับหลวงปู่เป็นประจำแต่มีรายหนึ่งมาขอเครื่องครัวที่เป็นหม้อ กระทะชุดใหม่ๆยังไม่ได้ใช้ (มีคนซื้อมาถวายหลวงปู่) แทนที่หลวงปู่จะอิดออดบอกว่าให้ไม่ได้จะไว้ใช้ในกิจการของวัด หลวงปู่กลับบอกชาวเขาผู้นั้นให้รีบนำกลับไปเร็วๆก่อนที่ลูกศิษย์ท่านจะกลับ มาเห็น เดี๋ยวจะอด


    ขอทานตลาดเจ้าพรหม ตอนที่หลวงปู่ไปบิณฑบาตที่ตลาดเจ้าพรหมมีแม่ค้าประชาชนใส่บาตรกันมากมาย มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเดินผ่านขอทาน ขอทานพนมมือขอตังค์ท่าน หลวงปู่ก็หยุดคุ้ยเขี่ยหาปัจจัยในย่ามท่าน พวกพ่อค้าแม่ค้าที่เห็นเหตุการณนี้คงเฝ้าดูด้วยความลุ้นระทึกและต่างนึกในใจ ว่าหลวงปู่คงจะหาเหรียญหรือแบงก์ ๒๐อยู่เป็นแน่แท้ แต่ที่ไหนได้หลวงปู่เขี่ยหาจนเจอแบงก์ร้อยส่งให้ขอทานไป เท่านั้นหล่ะเสียงสาธุดังลั่นตลาดทีเดียว ส่วนขอทานถึงกับน้ำตาซึม


    ขอให้ตามลูกตามผัวตามเมีย หลาย คนที่ประสบเคราะห์กรรมครอบครัวมีปัญหาลูกหนี ผัวทิ้ง เมียจาก เดือดเนื้อร้อนใจกินไม่ได้นอนไม่หลับมาขอให้หลวงปู่ช่วย ท่านก็สงเคราะห์ให้ถ้วนทั่วทุกรายไปจนกระทั่งปัจจุบันอายุท่าน ๙๐ ปี สุขภาพร่างกายท่านเริ่มอ่อนล้าทำมากไม่ค่อยไหวแล้ว ท่านจึงนำวิชาที่เรียนมาทำตะกรุดเทพรำจวนเป็นสื่อให้ไปเรียกกันเอง ตะกรุดนี้โด่งดังมากมีคนเอาไปเรียกแม้กระทั่งลูกหนี้ให้มาชำระหนี้


    ขอให้ครอบหัวบรมครูปู่ฤๅษี ๑๐๘ หัวบรมครูปู่ฤๅษีนี้เป็นหัวศักดิ์สิทธิ์ได้รับการปลุกเสกประสาทพรจาก๑๐๘เกจิ อาจารย์สายหลักของเมืองไทยผู้ใดได้ครอบแล้วราวกับว่าได้รับการครอบจากเกจิ อาจารย์ ๑๐๘ รูปในเวลาเดียวกัน ดังนั้นระหว่างครอบตั้งใจอธิษฐานให้ดีประสพความสำเร็จทุกราย ทำให้วันหนึ่งๆมีผู้เดินทางมาขอให้ท่านครอบเป็นจำนวนมาก เวลาหลวงปู่ท่านครอบต้องเอื้อมมือยืดหลังเป็นเหตุให้ร่างกายวัย ๙๐ปีของท่านเมื่อยล้า แต่หลวงปู่ก็ยังคงอดทนทำให้กับทุกคนอยู่ตลอด ทำให้คณะศิษย์ขอร้องหลวงปู่ให้เมตตาทำเฉพาะพิธีสำคัญเท่านั้นเพื่อเป็นการ รักษาสุขภาพ ปรากฏว่าหลวงปู่ยืนยันว่ายังทำไหวและจะทำทุกวันจนกว่าจะไม่ไหว

    <CENTER></CENTER>ขอให้นั่งหนัก ด้วยว่าพระเก๋ผู้อุปฐากหลวงปู่เป็น ชาวอยุธยารู้จักเชื่อมโยงกับวัดอโยธยาผ่านโยมคนหนึ่ง ไวยาวัจกร วัดนี้ต้องการพระอริยสงฆ์มาจำพรรษาเพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาดึงดูดญาติ โยมเข้ามาร่วมสร้างบุญกับวัดจึงอาราธนาหลวงปู่มาจำพรรษา หลวงปู่ก็ได้มีความเมตตาตอบตกลงมานั่งหนัก(นั่งเป็นประธานพัฒนา)ที่วัดอโยธยา จ.อยุธยา


    ความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิปาฏิหารย์ในหลวงปู่ฯ


    ตาทิพย์ พระ เก๋ผู้อุปฐากหลวงปู่เล่าว่า เห็นคนมาขอเกศาหลวงปู่กันมาก ตนเองจึงอยากได้บ้าง จึงวางแผนจะยักเก็บขึ้นไว้ขณะที่ปลงผมหลวงปู่ พอถึงวันโกณ จึงทำตามที่คิดไว้คือยืนข้างหลังหลวงปู่แล้วปลงจากนั้นทำทีเป็นเอามีดโกน เคาะขันน้ำ เพื่อล้างเอาผมออกแต่ความจริงแอบเอากระดาษชำระห่อไว้ ปรากฏว่าหลวงปู่ท่านพูดขึ้นมาโยมเขาขอเอาไว้ ให้โยมเขาไปก่อน จึงสรุปว่าท่านนั่งหันหลังอยู่จะรู้ได้อย่างไรถ้าไม่มีตาทิพย์ ส่วนเหตุการณ์อีกทำนองหนึ่งที่พบเป็นประจำคือหลวงปู่บอกใบ้ เช่นนัดญาติโยมที่มาขอของศักดิ์สิทธิ์นัดให้มารับวันไหน เลขวันนั้นหล่ะถูกแน่นอน หรือการให้วัตถุมงคลโยม บางทีตอนแรกให้ ๒ ชิ้น เดี๋ยวเรียกมารับอีก ๓ ชิ้น นั่นหล่ะเลขสองหลัก บางทีใครมาถวายปัจจัยให้ท่าน ท่านก็ทอนคืนฝากไปทำบุญให้วัดอื่น ตัวเลขที่ฝากไปทำบุญนี่หล่ะ สำคัญนักได้กันมามากแล้ว ที่ดินบางแห่งทำมาค้าขายไม่ดีหลวงปู่ไปสวดมนต์แก้ให้ พอขึ้นรถกลับหลวงปู่จะเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ที่นั้นมีอะไร แล้วหลวงปู่แก้อย่างไร......



    หูทิพย์ ปัจจุบัน ด้วยวัยอันชราภาพของหลวงปู่ หูของท่านเริ่มตึง ถ้าใครสนทนากับท่านด้วยน้ำเสียงปกติท่านจะไม่ได้ยิน แต่เกือบทุกครั้งที่พวกศิษย์ใกล้ชิดจับกลุ่มคุยกันอยู่ห่างๆแต่มีเรื่องไป พาดพิงถึงท่านปรากฏว่าท่านกลับได้ยิน แล้วพูดตอบโต้ออกมาพวกศิษย์จึงไม่กล้านินทาหลวงปู่ เพราะท่านใช้หูทิพย์ฟัง....



    กายทิพย์ มีอยู่ครอบครัวหนึ่งศรัทธาหลวงปู่เป็นอย่างมาก มากราบเกือบทุกวัน ศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่จึงสอบถามว่ารู้จักหลวงปู่ได้อย่างไร ตัวภรรยาเลยเล่าให้ฟังว่า ปกตินั่งสมาธิเป็นประจำอยู่ทุกวันแต่มีคืนหนึ่งเห็นหลวงปู่ในสมาธิ พอรุ่งขึ้นมีเพื่อนเอารูปภาพบูชาที่หลวงปู่แจกกับญาติโยมไปโชว์ให้ดู พอเห็นแล้วถึงกับขนลุกทีเดียวเพราะเพิ่งเห็นเมื่อวานในสมาธิ จึงรีบให้เพื่อนพามากราบหลวงปู่ จากนั้นก็มาเองเกือบทุกวัน นับถือหลวงปู่มากเพราะหลวงปู่มีกายทิพย์



    วาจาสิทธิ์ หลาย ท่านเดินทางมาแสนไกลเพราะต้องการเพียงน้ำลายไอปากจากหลวงปู่ อยากได้ยินคำพรที่หลวงปู่บอกให้รวยๆๆกันทั้งนั้น บางคนไม่เคยถูกหวยพอฟังแล้วก็กลับไปถูกหวย บางคนกิจการไม่ดีพอฟังกลับไปแล้วก็ดี บางคนทำงานมานานขั้นไม่เคยได้เลื่อนกลับไปก็ได้เลื่อน ยิ่งโดยเฉพาะหลวงปู่ฯท่านให้พรเวลาครอบหัวบรมครูปู่ฤาษี๑๐๘ ด้วยแล้ว ยิ่งศักดิ์สิทธิ์นัก



    ฝนตกไม่เปียก พระ อาจารย์จ่อยวัดคณะเวฬุวัน(อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าหนองหล่ม)ศิษย์เอกหลวงปู่หมุน วัดป่าบ้านจานและหลวงปู่สรวงเทวดาเดินดิน เล่าว่าหลวงปู่หมุนเคยบอกว่าทางเชียงใหม่มีหลวงพ่อองค์หนึ่งชื่อสิงห์โต ฝนตกไม่เปียกเหมือนอาจารย์ของเขา (คงหมายถึงครูบาศรีวิชัย)ให้พระอาจารย์จ่อยไปเรียนวิชาเพิ่มเติมกับท่าน พระอาจารย์จ่อยจึงได้ติดตามจนพบ เหตุการณ์ฝนตกไม่เปียกแบบนี้มีผู้คนเห็นกันเป็นประจำ



    หุงสีผึ้งเดือดโดยไม่ใช้ไฟ ทุก ครั้งที่หลวงปู่สิงห์โตจะเคี่ยวสีผึ้งหม้อใหญ่ท่านจะทำหัวสีผึ้ง ๑ ถ้วยตะไลไว้เป็นหัวเชื้อ โดยหุงอยู่บนฝ่ามือ ใช้นิ้วโป้ง ชี้ ก้อยเป็นสามเส้า ขาตั้งถ้วย พับงอนิ้วกลาง นาง มาเป็นฟืนแล้วเพ่งจนขี้ผึ้งในถ้วยละลาย บางครั้งท่านเผลอเพ่งนานไปหน่อยถ้วยแตกกระจายเป็นอันว่าต้องทำใหม่



    สะเดาะห์กุญแจ ใน ช่วงหลังมานี้หลวงปู่เริ่มเกิดอาการหลงลืมบ้างตามวัย ท่านทำลูกกุญแจหายบ่อย แต่ทุกครั้งท่านก็เปิดเข้าห้องได้ไม่รู้ท่านทำอย่างไร มีคนเคยแอบดูบอกว่าท่านเป่าแม่กุญแจกระเด้งเลย



    เลี้ยงสัตว์ประหลาด กุฏิหลวงปู่ที่ วัดดอยแก้ว มีสัตว์ประหลาดที่ท่านเลี้ยงไว้เช่นจิ้งจก(จั๊กกิ้ม) คางคก ตุ๊กแก(ตั๊กโตว) อ่านแล้วอาจจะรู้สึกพิกลแต่เป็นความจริง สัตว์เหล่านี้เวลาหลวงปู่ไม่อยู่มันจะหายไป แต่พอหลวงปู่กลับมา มันจะมาอยู่ให้เห็นอีกทันที ที่แปลกที่สุดคือพวกมันไม่รู้จักตายจากไป สอบถามลูกศิษย์ที่เฝ้ากุฏิอยู่บอกเห็นมานานนับสิบปีแล้ว เขาว่าเป็นหุ่นพยนต์ที่ท่านผูกขึ้น พิจราณาไปมาก็น่าจะจริงเพราะหลวงปู่มีวิชาจิ้งจก ที่แปลกไม่เหมือนใคร คาถาพิสดารเหลือเกิน ต้องใช้ไม้เป้าด้วย


    เพ่งเหรียญรุ่นแรกละลาย พระลูกศิษย์เข้าไปเก็บของ ในห้องของหลวงปู่ แล้วท่านบังเอิญแอบเห็นเหรียญรุ่นแรกที่หลวงปู่ฯเสกไว้ละลายติดกับถุง พลาสติก เลยหยิบไปขายโยม ๑๐๐ บาทโดยนึกว่าหลวงปู่ไม่รู้ ที่ไหนได้พอกลับเข้าวัดเท่านั้นหล่ะ ถูกท่านยึดปัจจัยไปทำบุญและสั่งให้เข้ากรรม ๗ วัน พร้อมกับกำชับห้ามพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่พระองค์นี้ท่านก็อดเล่าไม่ได้ท่านบอกว่ามันตื่นเต้นที่ได้พบเห็นอำนาจจิต ขนาดนี้



    รู้วาระปาฏิหารย์ ในคืนหนึ่งเวลา ราว ๒ ทุ่มหลวงปู่นั่งชมสัตว์เลี้ยงประหลาดหน้ากุฏิของท่าน

    อยู่ๆท่านก็ออกคำสั่งให้ลูกศิษย์นำรถไปวัดพระธาตุศรีจอมทอง ลูกศิษย์ถามว่าดึกป่านนี้ วัดก็ปิดแล้วจะไปทำไม ท่านก็ไม่ตอบ พอถามท่านหลายๆครั้งท่านก็บอกว่าเอากล้องไปด้วย พอไปถึงตำรวจป้อมยามหน้าวัดพระธาตุ พระเณรเจ้าหน้าที่วัดก็วิ่งมาเปิดประตูกันให้วุ่นไปหมด ราวกับหลวงปู่ฯเป็นเจ้าพ่อสิงห์โต พอประตูเปิดแล้วหลวงปู่ก็นำหน้าเข้าไปยังพระธาตุแล้วสั่งให้ลูกศิษย์ถ่ายรูป พระธาตุประเดี๋ยวนั้น ทันทีที่ภาพปรากฏบนจอกล้องดิจิตอลก็เห็นรังสีพุทธคุณเต็มภาพเลย เสร็จแล้วท่านก็สั่งให้ถ่ายรูปกระดานเขียนผ้าบริจาคห่มพระธาตุให้เอามาทำที่ อยุธยา



    หยุดรถไฟ ศิษย์รุ่นเก่าๆของท่านเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่จะลงมากรุงเทพ แต่ไปขึ้นรถไฟที่สถานีไม่ทัน ลูกศิษย์ที่ไปส่งจะเบนเข็มมาขึ้นรถ บขส.แต่หลวงปู่บอกให้ไปที่สถานีรถไฟ หลวงปู่บอกว่าทัน เมื่อไปถึงสถานีปรากฏว่ารถไฟขบวนนั้นเกิดขัดข้องไปไม่ได้กระทั่งหลวงปู่ขึ้น ไปแล้วรถไฟจึงแก้ไขเสร็จ ราวกับว่าหลวงปู่หยุดรถไฟไว้ เพราะคงไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ๆ เนื่องจากตอนหลวงปู่บอกว่าทันแล้วท่านก็นั่งชักประคำตลอดทางจนถึงสถานีรถไฟ



    โทรจิต ตั้งแต่หลวงปู่สิงห์โตท่านไปรู้จักกับ หลวงปู่ครูบาครอง ปรากฏว่ามีหลายครั้งที่หลวงปู่ทั้งสองพบกันแล้วคุยกันต่อเนื่องได้ไนเรื่อง ที่ไม่มีใครเริ่มหัวเรื่องมาก่อน พอลูกศิษย์เห็นพิรุธก็เริ่มสังเกตุดูพบว่าบางครั้งท่านเหมือนเข้าสมาธิคุย กันแต่ไม่รู้คุยกับใครทางครูบาครองก็เช่นกันท่านรู้หลายอย่างล่วงหน้าราวกับ
    ว่าคุยกับหลวงปู่สิงห์โตมาก่อนทั้งที่หลวงปู่ทั้งสองไม่เคยคุยโทรศัพท์กัน เลย



    ไล่ผีทางไกล ตอนที่หลวงปู่มาอยู่อยุธยา มีชาวบ้านหลังวัดพนันเชิงเข้ามากราบ เรียนว่าที่บ้านมีผีที่เกิดจากหมออาคมแถวบ้านผูกไม่อยู่ ทำหลุดมาสิงสู่อยู่บ้านตนทำให้เดือดร้อนไปหมด คนในบ้านป่วย มีอาการแบบโดนเข้า นอนไม่หลับวิญญาณเดินไปมาวูบวาบ นิมนต์พระไปปราบหลายรูปแล้วแต่พระโดนมันเล่นงานจนแย่ทุกองค์ จนไปเจอพระเกจิองค์หนึ่ง ท่านแนะนำให้มาหาหลวงปู่สิงห์โต เลยจะขอนิมนต์หลวงปู่ฯไปช่วยที่บ้าน พอหลวงปู่สิงห์โตพิจราณาเรื่องสักคู่ก็นั่งหลับตาชักประคำสักพักใหญ่พอท่าน ลืมตาขึ้นมา ท่านก็บอกว่าไม่มีอะไรแล้วให้กลับบ้านได้ พอกลับไปถึงบ้านพบชิ้นหน้าผากกระโหลกมนุษย์ตกอยู่กลางบ้าน จึงเอาไปบังสกุลไว้วัดตั้งแต่นั้นก็ไม่พบวิญญาณผีตนนั้นอีก



    ย่นระยะทาง คน ขับสามล้อและชาวตลาด อ.จอมทองทุกคนรู้จักหลวงปู่ดีเพราะทุกเช้าหลวงปู่จะไปบิณฑบาตองค์เดียวโดย ไม่มีพระและศิษย์ฆราวาสติดตาม(ท่านไม่ให้ตาม) พอมีคนใส่บาตรจนท่านถือไม่ไหว ท่านจะรวมกองไว้ ให้พวกสามล้อที่นับถือท่านขนไปให้ที่วัด แต่เกือบทุกครั้งที่หลวงปู่เดินบิณฑบาตรกลับถึงวัดก่อนสามล้อเสมอ เป็นไปได้อย่างไรที่พระอายุ ๙๐ เดินเร็วกว่า สามล้อ ถ้าไม่ใช่ย่นระยะทาง พวกคนขับสามล้อกล่าว

    วัตถุมงคลที่โดดเด่น คือ เหรียญรุ่นแรกเท่านั้น



    มีลงในหนังสือ เหรียญดี 24 อำเภอ เรื่องน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์นัก


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="26%" bgColor=#f7f7f7></TD><TD vAlign=top width="74%" bgColor=#f7f7f7><CENTER></CENTER><TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD><CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ครูบาอาจารย์ พระเกจิอาจารย์ สหธรรมิกของหลวงปู่เจือ ในภาพมีหลวงปู่สิงโต วัดอโยธยา หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว
     
  19. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ 8 ผงสะหลีพันต้น ของแท้ๆ คือไฉน

    ตั้งใจว่าจะมาเขียนวันละตอน ถึงวันนี้ติดฝน วันนี้กรุงเทพฝนตกหนักมาก ก็ยังมาเขียนครับ ตามความตั้งใจ

    ผงสหรี๋พันต้น คือ ผงใบโพธิ์จำนวนพันต้นพันวัด โดยไม่ได้จำกัดนะครับ ว่ามาจากวัดไหน แล้วนำมาปลุกเสกตามคาถาล้านนา

    อันนี้คือตำราของ ครูบาอินโต พะเยานะครับ ว่ากันว่าผงนี้จะมีอำนาจ เมตตา มีพลังลึกลับ มีพุทธคุณสูงมาก เพราะต้องใช้ความวิสาหะในการสะสม และหาต้นโพธิ์ที่ถูกต้องตามตำราถึง หนึ่งพันต้น

    ถ้าท่านเคยเห็นหนังสืออุณนิมิต เคยสร้างพระผงจากใบโพธิ์ชนิดนี้ โดยผู้รวบรวม คือ พระอ.ประกอบบุญ วัดมหาวัน สร้างพระผงสหรี๋พันต้นถวายหลวงปู่ครูบาคำ วัดศรีดอนต้น

    มวลสารผงนี้ผ่านการอธิษฐานจิตต่อหน้าพระสักขี อันเป็นแม่ผู่กำเนิดพระรอดอายุกว่า 1300 ปีคู่กับอุโบสถวัดมหาวัน ลำพูน และผ่านการเสกแบบบินเดี่ยว ทั้งจาก ครูบาคำ วัดศรีดอนตัน ครูบาอ้าย วัดศรีคำชมภู ครูบาอ่อน วัดสันต้นหวีด ครูบาครอง วัดท่ามะเกว๋น ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี ครูบาดวงดี วัดบ้านฟ่อน ครูบาจันทร์แก้ว วัดศรีสว่าง ครูบาอินตา วัดวังทอง ครูบาตุ๊เจ้าสิงห์ วัดถ้ำป่าไผ่ ฯลฯ

    พุทธคุณจึงสูงมากด้วยประการฉะนี้ พระอาจารย์ประกอบบุญนำมามอบให้ด้วยตัวท่านเอง ทั้งๆที่ท่านหวงเอาการ เพราะการรวบรวมใบโพธิ์ 1000 วัด เรามักจะถอดใจตั้งแต่วัดที่ร้อยแล้ว
     
  20. dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    ตอนที่ 9 จากผงสลี๋พันต้นถึงหลวงปู่ครูบาคำ วัดศรีดอนตัน


    ความเดิมตอนที่แล้ว เป็นเรื่องราวของผงสลี๋พันต้น ซึ่งในดินแดนล้านนา ยุคปัจจุบัน ถ้าพูดถึงผงนี้ใครๆก็คิดถึงครูบาคำ วัดศรีดอนตัน พระที่มีเกศาแปรเป็นพระธาตุตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่


    คอลัมน์จากจากหนังสืออุณนิมิต

    เขียนถึงเรื่องหลวงปู่คำแล้วก็ติดลมครับ เพราะข้อมูลเอยะจริงๆ ช่วงงานบำเพ็ญกุศลอุทิศช่วงเจ็ดวันแรกที่หลวงปู่มรณภาพ ผมไปร่วมงานเกือบทุกวัน โชคดีได้เจอแฟนพันธ์แท้ท่านหนึ่ง คือคุณอนุพงษ์ แก้วมา ซึ่งต่อมาได้มาเป็นศิษย์ของหลวงปู่ และมาทำบุญกับท่านบ่อยๆ ช่วงบำเพ็ญกุศลผมเจออยู่สองสามวัน คุณอนุพงษ์หรือคุณอู๊ดท่านนี้เป็นคุณครูสอนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ครูอู๊ดได้บันทึกภาพหลวงปู่ไว้มากพอสมควร และได้กรุณามอบภาพที่บันทึกเป็นซีดีให้ผมไว้ชุดหนึ่ง เป็นภาพปาฏิหาริย์ต่างๆ ตลอดจนเหตุการณ์ช่วงก่อนหลวงปู่ท่านมรณภาพ โดยบันทึกเป็นคลิ๊ปวีดีโอ มีอยู่ภาพหนึ่งผู้ถ่ายไม่ได้สังเกต ผมเห็นแปลกตาเลยนำมาขยายดูในจอคอมพิวเตอร์ ปรากฏว่าเป็นภาพขณะหลวงปู่ละสังขาร โดยมีพระอาจารย์สุบิน สุเมโธ นั่งถ่ายคู่กับสังขารของหลวงปู่ ปรากฏว่าบริเวณจีวรของหลวงปู่มีดวงลูกแก้ว มีลักษณะเป็นสีทอง เมื่อขยายดูก็พบดวงแก้วมีลักษณะเป็นรูปธรรมจักร นับเป็นเรื่องแปลกจริงๆ



    สำหรับผู้เขียนเองก็ได้ถ่ายภาพเอาไว้ มีอยู่สองรูปที่ชวนให้คิด คือรูปแรกเป็นรูปคุณสุนันท์ ถ่ายหน้าโลงแก้ว ปรากฏว่ามีดวงแก้วอยู่สองดวง เป็นสีขาว ส่วนตัวผมเอง ได้ถ่ายภาพร่วมกับพี่เล็ก สุรชัย นราองอาจ ปรากฏว่ามีดวงแก้วสีเขียวติดอยู่บริเวณแขนเสื้อของผม เมื่อนำมาขยายเห็นเป็นลูกแก้วมีสีขาวนวลตาอยู่ในดวงแก้วสีเขียวนั้น



    เรื่องแบบนี้นักเลงกล้องจะบอกว่า กล้องเกิดขัดข้องหรือเออร์เร่อร์ก็ใช้ดุลพินิจเอาเอง แต่เรื่องของหลวงปู่คำนั้น เกิดจากการบันทึกด้วยกล้องสามตัวครับ โดยเฉพาะภาพก่อนคืนมรณภาพหนึ่งคืนยิ่งแปลก มีชาวบ้านจับภาพลักษณะคล้ายงูหรือพญานาคมาห้อมล้อมหลวงปู่เต็มไปหมด ผมขยายรูปนี้ในคอมก็คล้ายงูจริงๆ ชาวบ้านวิจารณ์กันว่าพยานาคมาเฝ้าหลวงปู่ อีกภาพเป็นภาพที่มีลักษณะคล้ายแสงออร่า เป็นหมอกทองคลุมร่างหลวงปู่ ผู้เขียนต้องขอขอบคุณครูอู๊ด ที่กรุณามอบภาพซีดีเหล่านี้ให้ผม


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 5px; PADDING-TOP: 5px"></TD></TR></TBODY></TABLE>
    คอลัมน์ “พระเวทย์ล้านนา”




    พูดถึงเรื่องภาพถ่ายนี้ ผมเคยนำภาพเก่าๆ ที่ถ่ายเอาไว้มาตรวจดูในคอมพิวเตอร์ พบภาพแปลกๆ เยอะพอควรเลยครับ เช่นในงานพระราชทานเพลิง ส่งสังขารครูบาอิ่นคำ วันข้างแท่นหลวง สหธรรมิกผู้ใกล้ชิดครูบาคำหล้า วัดป่าลาน ในพิธีนั้นมีทั้งพระอาทิตย์ทรงกลด และผมยังได้ภาพเปลวเพลิงลุกท่วมนกหัสดีลิงค์ ในเปลวเพลิงปรากฏมีสายรุ้งลอบอยู่ในเปลวเพลิงด้วย สุดจะแปลกเลยครับ อีกภาพเป็นรูปของครูบาพรชัย วัดพระบาทสี่รอย ผมถ่ายเอาไว้เมื่อสองปีก่อนที่วัดศรีดอนมูล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ในพิธีนิโรธกรรมของครูบาน้อย ผมนำตะกรุดของหลวงปู่คำ รุ่นสะท้านฟ้าที่ทำใช้เองไปขอครูบาพรชัยท่านอธิษฐานจิต ปรากฏว่าพอดูในภาพท่านยกมือขึ้นจับที่วัตถุมงคล มีไอหมอกขึ้นคลุมถุงใส่วัตถุมงคลของผมเห็นชัดเจนเลยครับ นอกจากนี้บริเวณทรวงอกของท่าน ก็มีภาพดวงแก้วปรากฏอยู่ ส่วนอีกรูปนั้น มีชาวบ้านมาขอครูบาเป่าศีรษะ ผมบันทึกเอาไว้ เมื่อมาขยายดูจากคอมพิวเตอร์ ปรากฏว่ามีแสงสีเขียวขึ้นบริเวณอกของชายผู้นั้น



    เรื่องดวงแก้วนี้ นักเทววิทยาจะรู้กันดีว่าเป็นภาพดวงโอปาติกะ แต่จะเป็นเทวดาหรือสัมพะเวสีเร่ร่อนก็อยู่กับสถานที่ถ่ายภาพได้ครับ ผมเคยถ่ายเจอในงานศพ และในป่าช้าก็เคยพบ ต้องแยกให้ออกว่ามันต่างกัน เช่น ถ้าเจอในงานพุทธาภิเษกละก็เทวดาแน่นอนครับ

    ปูทางจากคนอื่นแล้วเข้าเรื่องต่อ
    หลวงปู่เริ่มเป็นที่รู้จักก็จากท่านปุ้ย วัดร้องขุ้มแหละครับ คือประมาณปี 2547 ท่านปุ้ยได้เป็นแม่งานพุทธาภิเษกครูบาศรีวิชัย ปรากฏว่าพระสงฆ์ที่นิมนต์มาเป็นประธาน ท่านมาไม่ได้กระทันหัน พระอาจารย์ปุ้ยเลยอธิษฐานวันนั้นเลยว่า ถ้ามีใครที่เป็นศิษย์ที่ทันครูบาศรีวิชัยจริงๆ ขอให้ท่านมาเป็นประธานในงานนี้ ปรากฏว่าหลวงปู่นั่งรถตู้มาเฉย แบบไม่มีใครนิมนต์มา นั่งหนักเป็นประธาน เพราะวัดท่านอยู่ไกลพอสมควร แบบเก็บตัวเงียบไม่มีใครรู้จัก
    ต่อมาอีกไม่นาน มีลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ ได้นั่งสมาธิไปพบแสงสว่าง จากที่นี่ จึงตามมาพบหลวงปู่ จนในที่สุดได้จัดสร้างรูปหล่อถวายหลวงปู่ร่วมกับกองทุนหลวงพ่อปาน โสนันโท คณะศิษย์พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง และคณะศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก พุทธาภิเษกครั้งแรกที่วัดพุทไธสวรรค์

    ผมเองก็ไม่ทันท่านเหมือนกันครับ ตอนท่านละสังขารปี 49 ผมยังสอบเอนทรานซ์ไม่ติดเลย เพิ่งจะรู้จักตอนมรณภาพไปแล้ว แต่พอไปกราบสังขารท่านที่วัด รู้สึกศรัทธาบอกไม่ถูก เอาเป็นว่า วัตถุมงคลที่ค้างในวัดผมเช่าไปกระบุง วัดท่านอยู่ในซอยลึกลับซับซ้อน ขนาดผมขับรถเวลากลางคืนไม่ค่อยเก่ง ก็ลองเสี่ยงๆไป ที่วัดเงียบมากๆ มีพระอาจารย์ประดิษฐ์ (หลวงพี่อู๊ด) เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ปกครองตัวเอง เพราะที่วัดมีพระอยู่เพียงรูปเดียว
    ผมไปขอผงเพื่อนำมาสร้างพระ หลวงพี่ได้มอบ ผงของครูบาคำ ที่ทั้งคณะศิษย์หลวงปู่ดู่ได้นำมาถวาย (เป็นผงของกองทุนคุณพระ สุดยอดมากเหมือนกัน) ผงสลี๋พันต้น เท่ากับว่าได้ทั้งจากต้นแหล่งและปลายแหล่ง และผมเองก็ทราบอยู่แล้วว่าก่อนจะมาอุปัฎฐากครูบาคำวัดศรีดอนตัน ท่านเคยอยู่กับหลวงพ่อชื่น วัดตาอีมาก่อน จึงได้ ผงอาถรรพณ์หัวเชื้อ ของหลวงปู่ชื่น วัดตาอี มาอีก ผงเหล่านี้นับว่าเป็นยอดของยอดเลยทีเดียว




     

แชร์หน้านี้