สวัสดี พ่อแม่พี่น้อง และเพื่อนๆทุกท่านชาวบอร์ดวัตถุมงคลเว็ปพลังจิตแห่งนี้ครับ กระผมได้ติดตามเว็ปไซต์แห่งนี้มานานเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เนื่องด้วยความผมไม่สมควรแก่เวลา(เนื่องจากผมยังต้องศึกษาเล่าเรียนอยู่)ทำให้ผมไม่ได้สมัครสมาชิกมาคุยกับเพื่อนๆทุกท่านครับ ด้วยความเคารพ จนกระทั่งปัจจุบันผมจบมาทำงานในตำแหน่งหนึ่งทางการสาธารณสุข คอยดูแลพี่น้องประชาชนทางฝั่งภาคใต้ จึงมีโอกาสได้พบกับครูบาอาจารย์ดี มีความรู้ ที่เร้นกายอยู่ในหมุ่บ้านทุรกันดารห่างไกล นี่แหละครับ โบราณท่านเรียกว่า "ช้างเผือกในดง" อย่างไรอย่างนั้น กระทู้นี้กระผมไม่ได้ตั้งใจจะตั้งกระทู้ขึ้นมาเพื่อค้าขายโดยตรงหรอกนะครับ ท่านที่เข้ามาเพื่อหาซื้อของ ขอเรียนก่อนเลยว่าท่านอาจผิดหวังไม่ได้สมใจนักนะครับ 555 เพราะจุดประสงค์คือการแชร์ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องมากกว่าครับ แต่ก็อาจมีการซื้อขายบ้างตามธรรมเนียม คงไม่ว่ากันครับ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างจะดำเนินไปตามกฏที่เว็ปบอร์ดกำหนดทั้งสิ้นครับ:cool:
อารัมภบทเสียนาน หากกล่าวถึงครูบาอาจารย์ที่ผมพบและเกิดความศรัทธามากที่สุด คงจะหนีไม่พ้น คุณพ่อเจือ ทองเสน่ห์ครับ(นามสกุลท่านจริงๆนะครับ ไม่ใช่ฉายาตั้งขึ้นทีหลัง) ผมว่าท่านคืออริยบุคคลผู้ทรงกฤตยาคมจริงๆ เพราะในอดีตอาจารย์ฆารวาสที่สามารถแสดงฤทธิ์ได้มีมากมาย และค่อยๆถดถอยหายไปตามแก่กาลเวลาตามหลักพระไตรลักษณ์ ที่สำคัญคือ ปัจจุบัน(พ.ศ.๒๕๕๗) ท่านได้ถึงแก่อนิจกรรมไป ๔ ปีแล้ว คงเหลือไว้แต่เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ และมรดกขลังของท่านครับ แต่อย่าเพิ่งเสียใจ ปัจจุบันยังมีผู้ที่สืบทอดพระเวทย์ของท่านอยู่หลายคนด้วยกัน รวมไปถึงตัวกระผมเองครับ แม้นวัตถุมงคลของคุณพ่อราคาจะไม่สูง ไม่โด่งดัง ไม่เป็นที่รู้จัก แต่เราคณะศิษย์มั่นใจว่าของที่คุณพ่อสร้าง ไม่เป็นรองสำนักไหนในแผ่นดินแน่นอน!!!! ปัจจุบัน ยังมีท่านอาจารย์กิต ศิษย์เอกของท่านยังคอยสงเคราะห์ลูกศิษย์อยู่แทนท่านที่สำนักครับ จึงมีวัตถุมงคลดีๆยุคหลังสายท่านพ่อสร้างออกมาอยู่เรื่อยแม้จะไม่มากนักก็ตาม
เปิดตำนานฆราวาสจอมกฤตยาคมแดนใต้ : กระทู้แนะนำตัวด้วยครับ
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย pattasema, 8 เมษายน 2014.
หน้า 1 ของ 2
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ประวัติคุณพ่อเจือ ทองเสน่ห์ โดยสังเขป
ย้อนไปเมื่อราวๆเกือบห้าสิบปีก่อน ประเทศไทยมีการเกิดความไม่สงบขึ้นในประเทศ ดุจในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งก็จะมีท่าทีว่าพร้อมที่จะกลายเป็นยุคสงครามโลกอีกครั้งหนึ่ง ในยุคนั้นได้บังเกิดจอมขมังเวทย์ขึ้นมากมายทั่วทุกสารทิศ เนื่องจากประชาชนทั้งหลายต้องการที่พึ่งและที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เพื่อเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ชุ่มจิตชื่นใจมีแรงทำมาหากินต่อไปได้โดยที่ไม่เกรงต่อภัยอันตรายที่เกิดขึ้น แต่ปัจจุบัน ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำสมัย มนุษย์ก้าวไปถึงขอบของระบบสุริยะจักรวาลอันมีระยะทางยาวไกลจนยากที่จะเปรียบเทียบ แต่จิตใจของมนุษย์โลกในทุกวันนี้กลับโสมมลง และไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการพัฒนาขึ้นตามเทคโนโลยีนั้นแต่อย่างใด
ในยุคที่บ้านเมืองเกิดจลาจลขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็มีการกล่าวขานถึงตำนานของสำนักไสยเวทย์หลายๆแห่งในประเทศไทยขึ้น ทั้งที่เป็นอาจารย์ฆารวาสและพระภิกษุสงฆ์ อาจารย์หลายๆท่านเลือกที่จะแสดงตัวออกมาต่อสาธารณชนและรับลูกศิษย์ลูกหาเพื่อหวังช่วยปลดทุกข์ให้กับลูกศิษย์เหล่านั้น โดยการใช้พระเวทย์หรืออาคมที่ตนมีอยู่ ซึ่งเป็นที่น่าสรรเสริญในคุณงามความดีความมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ของท่านเหล่านั้นยิ่งนัก แต่ก็มีคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมไม่น้อยเช่นกันที่เลือกจะเก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเหตุบ้านการเมืองที่ส่อเค้าวุ่นวาย
สำนักไสยศาสตร์ในสมัยดังกล่าวนั้น จึงผุดขึ้นดุจดอกเห็นทั่วทุกสารทิศ แต่ละสำนักต่างงัดวิชาดีวิชาเด็ดมาช่วยเหลือลูกศิษย์ลูกหากัน ซึ่งหากกล่าวไปแล้วก็ล้วนดีทุกสำนัก แต่ดีในทางที่แตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน ในยุคนั้นยังมีหนุ่มใต้ใจแกร่งคนหนึ่ง ซึ่งพื้นเพเดิมเป็นชาวบ้านฉลอง จังหวัดภูเก็ต ได้รอนแรมออกเดินทางเพื่อไปศึกษาเล่าเรียน ณ กรุงเทพมหานคร และได้สำเร็จการศึกษารับราชการเป็นทหารชั้นประทวนซึ่งแม้จะเป็นตำแหน่งที่ไม่โตคับฟ้าแต่ก็มีศักดิ์ศรีและความดีงามในวิชาชีพของตน ซึ่งต่อมาชีวิตก็ได้หันเหให้ชายหนุ่มผู้นี้สนใจและใฝ่หาความพิศวงของวิชาไสยเวทย์วิทยาคม ครั้งแรกได้มีการรอนแรมไปเรียนตามที่ต่างๆในแถบภาคกลาง จะเป็นที่ใดบ้างนั้นไม่อาจทราบได้ เมื่ออายุผ่านพ้นเข้าวัยกลางคนก็ได้เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนทางภาคใต้ และรับราชการเป็นตีนโรงตีนศาลที่อำนวยความสะดวกแก่เหล่าอัยการและผู้พิพากษา ซึ่งในตอนนั้น ชายผู้นี้ได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาในสิ่งที่ตนรักและสนใจต่อ ณ บ้านเกิดเมืองนอนของตน จนได้เข้าสู่สำนักไสยเวทย์ชื่อดังแห่งหนึ่งทางภาคใต้ ภายใต้การสั่งสอนของคุณพ่ออาจารย์ท่าม คุณพ่ออาจารย์พิศาล คุณพ่ออาจารย์เนตร์ ซึ่งหากจะกล่าวไปทุกท่านก็ล้วนเป็นจอมขมังเวทย์ แห่งเมืองใต้ทั้งสิ้น จนกาลล่วงเลยผ่านไปชายผู้นั้นมีครอบครัวและให้กำเนิดบุตร จึงต้องละทิ้งทุกสิ่งอย่างและทุ่มเทชีวิตทั้งหมดให้กับครอบครัวตน และผันตัวมาเป็นชาวบ้านซึ่งมีอาชีพกรีดยางพาราธรรมดาๆจนถึงปัจจุบัน โดยมิได้มีการตั้งสำนักหรือมีลูกศิษย์ลูกหาใดๆทั้งสิ้น สรรพวิชาจึงถูกปล่อยให้รกล้างและเสื่อมสลายไปตามเวลา แต่ก็มิตายเสียทีเดียว
เรื่องราวทั้งหมดดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น เป็นเรื่องราวจากคำบอกเล่าจากปากของคุณพ่อเจือ ทองเสน่ห์ ปราชญ์แห่งไสยศาสตร์วิทยาคมผู้เร้นกายในหมู่ชน แม้นว่าจะเป็นเรื่องที่ดูผิวเผินแล้วธรรมดาๆ แต่หากได้เจาะลึกในประเด็นที่ท่านได้เล่าให้ฟังแล้วนั้น จะทราบได้ว่าเรื่องราวของครูบาอาจารย์สมัยก่อนนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แต่จำเป็นต้องละไว้เสียเนื่องจากจะเป็นการแสดงอุตริชน ซึ่งมิใช่วิสัยที่ผู้รู้จะพึงกระทำ เพราะบางเรื่องก็อาจเชื่อได้ บางเรื่องก็ยากนักที่จะทำใจให้เชื่อ จึงไม่แตกต่างอะไรกับการแต่งนิทานให้ทุกท่านอ่าน จึงขอละในส่วนของประวัติไว้เสียเพียงเท่านี้ฯ
(ภาพคุณพ่อเมื่อครั้งยังรับราชการ ถ่ายประมาณช่วง 2490)ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ไสยศาสตร์และแนวทางกรรมฐานตามแนวของคุณพ่ออาจารย์
(อธิบายโดยคุณพ่อเจือ เมื่อ มกราคม 2551)
ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงยกย่องปาฎิหาริย์ไว้สองประเภท คือ ปาฎิหาริย์อันเกิดจากอิทธิวิธี และปาฎิหาริย์ที่เกิดจากธรรมเทศนาหรือพระธรรมคำสั่งสอน แต่พระพุทธองค์ได้ทรงยกย่องปาฎิหาริย์ประเภทหลังมากกว่า เพราะสิ่งที่สามารถทำให้จิตใจมนุษย์อันประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ และราคะอันเต็มเปี่ยมมาแต่เดิมนั้นหมดสิ้นไป จึงถือว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่จะมีและพึงบังเกิดได้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอิทธิปาฎิหาริย์อย่างแรกเสียทีเดียว
คำว่าไสยเวทย์ ตามที่ข้าพเจ้า(ผู้เขียน)เข้าใจนั้น คือ ศาสตร์ที่ยังหลับใหลอยู่ กล่าวคือ ยากต่อการพิสูจน์หรืออธิบายเป็นปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ ดังนั้นผู้ที่จะสนใจใคร่ศึกษาตำราฉบับนี้ อันดับแรกควรมีความเชื่อถือและเคารพศรัทธาในตำราฉบับนี้เสียก่อน จากนั้นค่อยวางพื้นฐานในการฝึกปฏิบัติสมาธิ เพราะสมาธิจิตหรือจิตที่มีสติสัมปชัญญะสามารถระลึกได้ เห็นได้ กำหนดได้ รับรู้ในสิ่งต่างๆได้โดยที่ไม่มีอารมณ์หรือสิ่งที่ขุ่นข้องหมองใจมาบดบังนั้น จะทำให้เกิดพลังของจิตใต้สำนึกออกมาอย่างมหาศาลสามารถดลบันดาลทุกสิ่งที่เป็นไปตามสภาพที่พึงต้องการได้ ทางหลักไสยศาสตร์การทำสมาธิดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนี้ คงคล้ายกับหลักการทำสมถกรรมฐานในทางพุทธศาสตร์ หากพูดให้ง่ายต่อการปฏิบัติแล้วนั้น ให้ท่านพึงทำจิตของท่านให้มีความสุกใสดุจดวงจันทร์ในวันเพ็ญ แสงนวลผ่องอำไพ เยือกเย็นและไร้ซึ่งก้อนเมฆ หมอกหนามืดมาบดบัง ไร้ตำหนิใดๆบนพื้นผิว จากนั้นให้ทำจิตเปล่งประกายออกมาดุจแสงจันทร์ที่สุกสว่างจากกลางใจไปรอบๆร่างกายเรา ในการฝึกลมหายใจให้พึงระลึกคำว่า “พุทโธ” อยู่เสมอ หายใจเข้าว่าพุท หายใจออกว่าโธ ไปเรื่อยๆ ดูฐานของลมตั้งแต่รูจมูก เพดานปาก โพรงกะโหลกศีรษะ หลอดลม ทรวงอก กระบังลม ช่องท้อง(ที่ตำแหน่งสะดือ) จากนั้นจะตั้งจิต(ความรับรู้)ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในร่างกายดังที่กล่าวไปแล้วก็ได้(ข้าพเจ้าเองมักใช้สะดือหรือปลายจมูกเสียส่วนมาก) อีกประการหนึ่งให้สำรวมความรู้สึกลองสำรวจร่างกายดูว่ายังมีส่วนไหนเกร็งอยู่ให้กำหนดจิตคลายออก หลังจากนั้นให้สำรวมความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ดวงหน้า ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนจิตสงบดีแล้ว จึงให้คงสภาพไว้ ระหว่างการนั่งสมาธิกำหนดจิตอาจจะรู้สึกว่าลมหายใจแผ่วลงเรื่อยๆหรือรู้สึกว่าร่างกายลอยเคว้งคว้าง ขยายใหญ่ขึ้น อย่าได้ตกใจ ขอให้ท่านกำหนดรู้เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว แต่อย่าไปหวั่นไหวกับอาการใดๆทั้งสิ้น จนกว่าจะออกจากสมาธิ การปฏิบัติสมาธิเช่นนี้บ่อยๆจะทำให้ท่านสามารถควบคุมจิตของตนได้ และสามารถสร้างกระแสจิตอันมีผลานุภาพตามที่ท่านประสงค์ดังกล่าวไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พบยอดบรมครู !!!!
ในสมัยตอนที่ท่านอาจารย์ยังดำรงค์สังขารอยู่ ท่านเล่าว่ามีอยู่หนหนึ่งตอนท่านอยู่จังหวัดพัทลุง คืนนั้นท่านจำได้แม่นว่าเป็นคืนที่ท่านกำลังป่วยหนักและนอนซมด้วยพิษไข้ ท่านได้มินิตไปว่า กายท่านย้อนกลับไปตอนเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปี กำลังกวาดลานหน้าบ้านอยู่ ทันใดนั้นได้ปรากฏร่างของชายชราผู้หนึ่งลักษณะผอมสูงชะลูด ผิวคล้ำดำเกร็ง หูกางยาวลงมา ศีรษะล้าน สวมเสื้อผ้าสีขาวมอๆหน่อย บุคลิกสำรวม กำลังทำสมถกรรมฐานด้วยการเดินจงกรมอยู่ใกล้ๆกับที่ท่านกวาด ท่านอาจารย์จึงกล่าวกับผู้เฒ่าท่านนั้นว่า "หนีหน่อยตา ผมกวาดขยะไม่ได้"เมื่อกล่าวจบชายชราผู้นั้นก็กล่าวว่า "สูเป็นใคร กล้าไล่กู มึงหนังเหนียวนักรึไง" ชายชราเงื้อง่ามีดพร้ายาวสง่าที่ไม่รู้เอามาตอนไหน ฟันเข้ากลางศีรษะ ท่านอาจารย์เล่าว่า รู้สึกว่าได้ยินเหมือนฟ้าลั่นดังเปรี้ยง ปวดแสบกลางหัว..... แม้จะเป็นในฝัน ท่านอาจารย์บอกว่ารู้สึกเหมือนจริงจนล้มลงไปคุกเข่า ชายชราหัวเราะร่าด้วยความสะใจ หลังจากนั้นร่างกายของชายชราผู้ลึกลับก็เปลี่ยนเป็นพระภิกษุสงฆ์วัยกลางคน สวมจีวรสีฝาดแปลกๆ ที่บ่ามีย่ามสะพายหนึ่งใบ มือถือไม้เท้าเถาวัลย์หน้าตาแปลกๆ ท่านอาจารย์เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งเพ่งพิศพิจารณา อยู่ดีๆผมที่ศีรษะของพระรูปนั้นก็เริ่มยาวลงมามีสีขาวหม่นๆดุจงาช้าง พระภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า เราคือหลวงปู่เกสาโร เราคือสมณฑูตแห่งพระเจ้าอโศก เราคือครูบาอาจารย์แห่งเจ้า..... ทันใดนั้นท่านอาจารย์ก็พลันน้ำตาร่วงอาบแก้ม ยกมือประนมไหว้แทบบาทองค์หลวงปู่ ความเจ็บปวดที่มีมันหายไปแล้ว !!!องค์หลวงปู่ได้เอามือดึงปอยเกษาของท่านมาหนึ่งปอยแล้วเอาวางบนศีรษะอาจารย์ ผมปอยนั้นเมื่อสัมผัสลงบนศีรษะก็หายไป หลวงปู่กล่าวว่า ครั้งนี้เรามาช่วยเจ้า ไม่ต้องตามหาเรา เราไม่ได้ไปไหน อยากเห็นเรา ต้องเห็นธรรมก่อน สักวันคงได้พบกัน.... แทบจะฉับพลันทันใดท่านอาจารย์ก็ได้ตื่นขึ้น พร้อมกับร่างกายที่กระปรี้กระเปร่า ไข้ที่กินตัวอยู่หายไปหมดสิ้นแล้ว
หลังจากนั้นอีกห้าถึงหกปี ประมาณ๒๕๓๘ ท่านอาจารย์เจือจึงได้แกะบล็อกและกดพระพิมพ์ไว้ชุดหนึ่งด้วยตนเอง โดยใช้มวลสารของท่านทั้งหมด ส่วนใหญ่ประกอบด้วยว่านเครื่องยาเบญจพรรณเขาอ้อ ทำการสุมไปจนสุก จึงเอามาตำกับดินโปร่งช้างโปร่งกระทิงและดินกากยา กดเป็นพิมพ์พระสงค์นุ่งห่มคลุมจีวรประบ่ากำลังนั่งกรรมฐานในซุ้มรัศมี ท่านทำการปลุกเสกนานนับปีก่อนแจกให้ลูกศิษย์ที่มาสักในสมัยก่อนเป็นของแทนครู ก่อประสบการณ์สูงในกาลต่อมา
ปล.รุ่นนี้มีการทำสองวาระ รุ่นสองทำปี๔๒ ซึ่งส่วนมากเป็นเนื้อดิน สีจะจางกว่า สร้างครั้งแรกประมาณ 500 องค์ ครั้งที่สอง มีแบบฝังข้าวสาร ฝังพลอยเม็ดใหญ่สร้างประมาณ 1000 องค์ ครับ (หลังจารเหล็กจาร)ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เรียนวิชาลบผง
ในตำราความเชื่อทางไสยศาสตร์มีหลายแขนงวิชา หนึ่งในแขนงเล็กๆนั้นมีวิชาที่เรียกว่าการลงผง หรือการลบผง อธิบายง่ายๆว่าคือการทำผงวิเศษศักดิ์สิทธิ์นั้นเอง หลายท่านคงมีประเด็นคำถามว่าทำขึ้นมาเพื่ออะไร กระผมต้องขอตอบเลยว่าทำขึ้นมาในหลายกรณี เช่น ลบผงเพื่อสร้างพระเครื่องรางของขลัง ลบผงเพื่อใช้ทาหน้าผัดหน้าแทนแป้งเป็นเมตตา ลงผงเพื่อให้คนอื่นกินแล้วเกิดอาการวิปราสบ้างก็ให้หลงไหลคลั่งไคล้ในตน ลงผงเพื่อผสมน้ำมันว่านลูบตัวให้เกิดคงกระพันเป็นต้น แต่ในขั้นตอนการลงผงหรือลบผงนั้นผู้กระทำจำต้องสำเร็จในคาถาเลขยันต์และสมาธิเสียก่อน เพราะโบราณท่านว่าจะวิปราสเป็นบ้าเอาง่ายๆ ในสมัยของที่คุณพ่อเจือยังอยู่ท่านเคยเล่าว่ามีอาจารย์ของท่านชื่อพ่อก๋งแสง เป็นผู้เชี่ยวชาญพระเวทย์อีกท่านนึงในสายหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ได้เคยสอนเกี่ยวกับการลบผงที่มีชื่อว่า ผงปถมังแปดวรรค อันประกอบด้วย พระเจ้ากำเนิดจนกระทั่งดับเข้านิพพาน เชื่อว่าหาพระเกจิที่มีความสามารถในการลงผงชนิดนี้ได้น้อยท่านนัก ผงปถมังนี้มีคุณวิเศษนานามากมายนัก ประดุจค่าควรเมืองเขียนใส่กระดาษเอามากองท่วมหลังช้างก็หามิได้ ท่านพ่อเจือเคยเล่าว่าขณะที่พ่อก๋งแสงจะทำการลบผงต้องตั้งบายศรี หัวหมู กระยาบวช ต้องปิดประตูหน้าต่างจนมิดชิด เวลาท่านเขียนผงก็จะมีเสียงลั่นเปรี้ยะ ตามพื้นและผนังกระท่อมขนำที่ไว้ใช้ลง ท่านว่าผงที่ลบเสร็จจะทะลุกระดานดำลงไปเอง ท่านพ่อเจือพูดแกมตลกว่า สงสัยกระดานของพ่อก๋งแสงจะผุกระมัง..555 หลังจากที่ท่านพ่อเจือได้เข้าสู่บั้นปลายท่านก็ได้นำผงดินสองปถมังแปดวรรคของพ่อก๋งแสงมาผสมกับผงปูนซีเมนต์ขาวและผงว่าน รวมผงพุทธคุณอื่นๆแล้วมากดพิมพ์เป็นพระทรงเครื่องศิลปะละโว้ประมาณ70กว่าองค์แล้ว ปลุกเสกเป็นเวลา2ไตรมาส เวลาท่านไปปฏิบัติธรรมที่วัดก็จะติดตัวใส่ย่ามไปด้วยตลอด ซึ่งเป็นพระผงอีกรุ่นหนึ่งที่เกิดประสบการณ์มากมายครับ อ้อ พระผงรุ่นนี้ท่านจะแจกกับคนที่มาลงกระหม่อมหรือมาสักยันต์กับท่านเท่านั้นครับ ด้านหลังเรียบครับ เนื้อออกแดงๆส้มๆหยาบมากครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พระพิมพ์ซุ้มเรือนแก้ว เนื้อผงมวลสารผสมว่านและผงพุทธคุณครับ สร้างปี 2554 เป็นพระรุ่นยุคหลังๆก่อนท่านจะมรณกรรมครับ เป็นพระที่สร้างเพื่อแจกเป็นธรรมทานพุทธานุสติ ปลุกเสกหลายอาจารย์มาก เช่น อ.ประจวบ อ.จวง อ.ศรีรัตน์ สายเขาอ้อ และเข้าพิธีใหญ่อีกหลายพิธี รวมถึงพิธีไหว้ครูของท่านอาจารย์เอง ด้านหลังเป็นยันต์กำเนิดเป็นเทวดาผูกกับยันต์หัวใจขุนแผนและนะอิทธิเจ พระรุ่นนี้ท่านปลุกเสกอย่างตั้งใจมากนานหลายวัน ต่อมาได้แบ่งไปบรรจุกรุที่จ.นครศรีธรรมราชส่วนหนึ่ง เอากลับมาแจกส่วนหนึ่งครับ เฉพาะเนื้อสีน้ำตาลเป็นพิมพ์แก่มวลสารพิเศษ หลังฝังข้าวสารหินและข้าวสารดำ จารมือทุกองค์ ที่สำคัญคือท่านอาจารย์ได้นำเฉพาะพิมพ์เนื้อสีน้ำตาลไปแช่และปลุกเสกในน้ำมันอาถรรพ์ เน้นทางเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์โดยเฉพาะครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
:'( PM กันมาเยอะ อยากเรียนให้ทราบว่าวัตถุมงคลดังกล่าวข้างต้น ไม่มีแล้วนะครับ
ปล.เดี๋ยวอันที่ยังพอมีจะมานำเสนอในช่วงถัดไปครับ ปู่เสื่อนั่งรอเลยไฟล์ที่แนบมา:
-
-
รายการนี้ยังมีครับ ไม่ทันท่านปลุกเสก แต่เป็นของสายท่านสร้างครับ:cool: บูชาได้เลยครับ ไม่ต้องจอง องค์ละ 499 บาท
ล็อกเก็ตพระมหาเถระอุปคุต
เมื่อครั้น ก่อนที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้ทรงมีพระพุทธพยากรณ์เกี่ยวกับยุคที่พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งในชมพูทวีป นั่นก็คือสมัยของแผ่นดินแห่งพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม และเป็นผู้ที่อุปถัมภ์และมีการผลักดันให้มีการส่งสมณทูตเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้อย่างกว้างขวางมากที่สุด
นอกจากงานเผยแพร่พระพุทธศาสนาแล้วพระองค์ยังได้สร้างศาสนสถานขึ้นมามากมาย ทั้งพระสถูป เจดีย์ มหาวิชชาลัย ซึ่งได้เล่าว่าในสมัยของพระองค์ได้มีการสร้างพระสถูปขึ้นทั่วชมพูทวีปรวมถึง ๘๔๐๐๐พระสถูป ตามจำนวนแห่งพระธรรมขันธ์ โดยในระหว่างการจัดสร้างและอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุนั้นได้บังเกิดความอัศจรรย์อันประจักษ์ถึงพุทธบารมีอย่างมากมาย
ภายหลังจากการจัดสร้างพระสถูปดังกล่าวนั้น เล่ากันว่ามีการเฉลิมฉลองพระสถูปและเจดีย์เหล่านั้นถึง ๗ ปีกันเลยทีเดียว และเมื่อมีงานมหากุศลอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ต้องร้อนถึงพญามาร ทำให้ต้องลงมาก่อกวนทำลายพิธี นั่นเอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งตำนานพระมหาเถระอุปคุต ผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ ผู้ซึ่งปราบพยศแห่งพญามารจนมีจิตคิดฝักใฝ่ในพุทธภูมิอีกครั้งหนึ่ง ตามพุทธพยากรณ์แห่งองค์พระศาสดา
จากตำนานดังกล่าว นับได้ว่าพระมหาเถระอุปคุตคือหน่อเนื้อเชื้อไขแห่งพุทธวงศ์ และเป็นผู้อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก สมควรแก่การเคารพบูชายิ่ง
พระมหาเถระอุปคุต หรือ พระกีสนาคอุปคุต คือ พระภิกษุที่มีชีวิตอยู่จริงภายหลังพุทธกาล มีตำนานเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์และความน่าอัศจรรย์เกี่ยวกับพระองค์อย่างมากมาย ตามความเชื่อของชาวล้านนาเชื่อกันว่าพระมหาเถระอุปคุตจริงๆนั้นยังทรงดำรงค์ขันธ์อยู่ด้วยกำลังสมาบัติ มิได้ละสังขารไปไหนแต่อย่างใด พระองค์มีวิมานอันเป็นนิวาสถานแห่งการบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่วังผลึกแก้ว กลางสะดือทะเล โดยมีเหล่าฝูงมัจฉา สัตว์วารี และบรรดาเหล่าเผ่าพงษ์วงศ์นาคคอยอุปฐากรับใช้อยู่ และจะทรงออกจากสมาบัติในวันเพ็ญอันตรงกับวันพุธขึ้นมาบนพื้นพิภพกลางดึกในรัตติกาลนั้น เพื่อโปรดเหล่าพุทธศาสนิกชน ในสมณสารูปของเณรน้อย รูปร่างผอม ผิวขาวงามสง่า ครองจีวรสีฝาดสะพายบาตรและย่ามข้างกาย เชื่อกันว่าหากผู้ใดได้มีบุญใส่บาตรแก่พระมหาเถระอุปคุตผู้นั้นจักจำเริญด้วยทรัพย์สินศฤงคาร ธนสารสมบัติตลอดไป และนั่นเอง จึงได้กำเนิด พิธีตักบาตรเป็งปุ๊ด(เพ็ญพุธ) หรือการตักบาตรพระมหาเถระอุปคุตเกิดขึ้นซึ่งหาดูได้ทางภาคเหนือและภาคอีสานของประเทศไทย รวมไปถึงในบางเขตของประเทศลาว และพม่า ก็ยังมีความเชื่อดังกล่าวเช่นเดียวกันให้เห็นได้โดยทั่วไป
ข้าพเจ้าผู้จัดสร้างได้มีความเคารพศรัทธาในเรื่องราวตำนานแห่งพระมหาเถระอุปคุตอยู่แล้ว จึงได้คิดดำริที่จะจัดสร้างขึ้น เพื่อแจกและให้ผู้ที่ศรัทธาในองค์พระมหาเถระอุปคุตได้ร่วมบุญบูชากัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะจุดประสงค์ที่จะจัดหาทุนสร้างพระพุทธพิมพ์เนื้อโลหะตามความประสงค์ของข้าพเจ้าและเพื่อเป็นทุนทรัพย์ในการบริจาคแก่การกุศลต่างๆตามข้าพเจ้าเห็นสมควร โดยจัดสร้างเป็นล็อกเก็ตพิมพ์สี่เหลี่ยมผืนผ้ารูปพระมหาเถระอุปคุตประทับอยู่บนปทุมบัลลังก์ หัตถ์ประคองบาตรและอีกด้านกำลังล้วงลงไปในบาตร(จกบาตร)ผินพระพักตร์ขึ้นบนผิวน้ำดุจคอยปกป้องภัยจากพญามารอยู่ รอบด้านมีเหล่าสัตว์นำน้อยใหญ่คอยถวายการรับใช้อยู่ นับเป็นรูปลักษณ์ที่มงคลมาก
แม้ว่าล็อกเก็ตรุ่นนี้จะไม่มีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างยิ่งใหญ่และเอิกเกริกก็ตาม แต่ข้าพเจ้าผู้จัดสร้าง ได้จัดสร้างด้วยใจ ทำด้วยมือชนิด Handmade ทุกองค์ ดังนั้นพระจึงมีตำหนิอยู่มาก ไม่เหมือนพระที่สั่งทำจากโรงงานซึ่งมีมาตรฐานเหมือนกันทุกองค์ แต่คงจะต่างกันที่กำลังใจในการสร้าง โรงงานคงจะสู้ทำเองไม่ได้ ทั้งในเรื่องของการผสมมวลสารที่ใช้แบบล้วนๆและการอุดด้านหลังเรือนล็อกเก็ต ทำเองทุกขั้นตอน ภาวนาเองทุกครั้งทั้งก่อนและหลังทำ
ภายหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทำการบรรจุมวลสารหลังล็อกเก็ตเสร็จแล้ว เตรียมที่จะส่งทางกรุงเทพฯเพื่อทำการยิงโค๊ตเลเซอร์ เมื่อถึงขั้นตอนการยิงจริงๆ เลเซอร์กลับยิงลงไปในเนื้อมวลสารพระได้น้อยมาก จึงปรากฏยันต์ด้านหลังล็อกเก็ตบางๆ ภายหลังข้าพเจ้าจึงได้นำแผ่นโลหะตะกั่วตอกโค๊ตรูปตัว “อ = อุปคุต”มาติดไว้แทนโค๊ตเก่าที่ยิงไม่ได้ ซึ่งแผ่นตะกั่วโค๊ตดังกล่าวนี้ได้ผ่านพิธีพุทธาภิเษกมาอย่างมากมายก่อนหน้านี้แล้ว
มวลสารสำคัญในการบรรจุจัดสร้างล็อกเก็ตพระมหาเถระอุปคุต
มวลสารทั้งหมดที่ได้นำมาบรรจุด้านหลังล็อกเก็ตพระมหาเถระอุปคุตนี้เกิดจากแรงกายและแรงใจของข้าพเจ้าผู้จัดสร้างและร่วมกับเหล่ากัลยาณมิตรเป็นผู้จัดหามาให้ มวลสารบางอย่างได้มาอย่างไม่คาดฝันก็มี ได้มาอย่างยากลำบากก็มี บางชนิดมีคุณค่ามากและไม่คิดว่าจะได้มาก็มี นับได้ว่าเป็นธรรมะจัดสรรให้คงไม่ผิด
มวลสารเท่าที่ข้าพเจ้าจำได้และมีการจดบันทึกไว้แน่ชัดประกอบด้วย ดังนี้
๑. ผงว่านร้อยแปดชนิด เท่าที่ข้าพเจ้าและกัลยาณมิตรจะพอหาได้ ใช้เวลารวมรวมประมาณ ๔-๕ ปี ซึ่งสามารถจำแนกได้หลายประเภท ทั้งว่านกลุ่มคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม โชคลาภค้าขาย และกลุ่มว่านทนสิทธิ์
๒. ผงแร่โคกยายเหลือง จากเมืองสุรินทร์ มีผู้มอบให้มา(คุณพรเทพ) ซึ่งพระเดชพระคุณเจ้าหลวงปู่หงษ์ แห่งสุสานทุ่งมนต์เคยกล่าวไว้ว่า เป็นแร่เหล็กที่ศักดิ์สิทธิ์มาก มีเทวดารักษาอยู่นับไม่ถ้วน ใช้สร้างวัตถุมงคลจะเป็นกายสิทธิ์มีฤทธิ์มาก ซึ่งแร่ชนิดนี้หากพลีไม่ขึ้นจะกลายเป็นหินธรรมดาเมื่อนำออกมาจากโคกยายเหลือง แต่หากพลีขึ้นจะมีสภาพเป็นเหล็กแม่บดแล้วสีจะออกแดงเลือดนกเล็กน้อยเจือสีน้ำตาล มีกลิ่นคล้ายเหล็ก
๓. ผงแร่เกาะล้าน มีผู้มอบให้มา(คุณพรเทพ) นานพอสมควรแล้ว เห็นว่าเป็นแร่ที่ดี พระเกจิหลายท่านพลีไปสร้างพระเครื่อง วัตถุมงคลกัน จึงได้นำมาผสมใส่ไว้ในล็อกเก็ตรุ่นนี้เป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งปัจจุบันได้ข่าวว่าทางจังหวัดชลบุรีมีการอนุรักษ์แร่ชนิดนี้ไว้ โดยไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปขุดแร่ชนิดนี้บนเกาะล้านแล้ว
๔. ผงแร่สามกษัตริย์ เดิมเป็นสายแร่สามสีที่เกาะอยู่บนหิน เมื่อบดออกมาแล้วมีประกายคล้ายแก้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นของสวยงามดูแล้วเป็นสินแร่มงคล จึงขอซื้อมาจำนวนหนึ่ง
๕. ผงแร่โคตรเศรษฐี มีผู้มอบให้มา เดิมเป็นแร่สีดำ น้ำหนักเบา แข็งมาก มองดูคล้ายอุลกมณีหรือสะเก็ดดาวตก แต่จะต่างกันตรงที่ผิวจะไม่เป็นมันวาว แต่จะกลับคล้ายแก้ว เมื่อบดแล้วจะคล้ายๆกับแร่ผงเปียกน้ำอยู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง เคยกล่าวเมื่อตอนคุณแม่ปทุมนำแร่ชนิดนี้มาสร้างพระว่า เป็นแร่กายสิทธิ์ ดีทางเงินทอง จึงตั้งชื่อพระในรุ่นนั้นว่าพระโคตรเศรษฐี
๖. ผงแก้วขนเหล็ก ได้จากทางภาคเหนือ เดิมเป็นเรือนแก้วขนเหล็ก แต่เมื่อกะเทาะแล้วจึงนำมาบดสร้างพระ คนโบราณกล่าวว่าแก้วขนเหล็กนี้จะดีทางป้องกันภูตผีปีศาจและคุณไสย
๗. ผงแก้วเขี้ยวหนุมาน ได้จากทางภาคเหนือ ข้าพเจ้าเห็นเป็นแก้วที่มีชื่อเป็นมงคลจึงของซื้อมา๒-๓แท่ง และได้บดเพื่อบรรจุล็อกเก็ตครั้งนี้ด้วย
๘. ผงแร่ทรายเงิน ทรายทอง เป็นทรายที่ขุดได้ครั้งลอกเหมืองแถวจังหวัดพังงา ซึ่งมีลักษณะเป็นประกายเลื่อมผิดทรายธรรมดา คาดว่าเดิมน่าจะมีสายแร่ชนิดนี้อยู่ในเมืองแห่งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นมงคลดีจึงนำมาบรรจุล็อกเก็ตด้วย
๙. ผงแร่ทรายดูด เป็นดินทรายที่ขุดได้ในบริเวณถ้ำ มีลักษณะเด่นคือ เมื่อเอาแม่เหล็กดูดดินจะเกาะขึ้นมาจนหมด ไม่ว่าจะเป็นธุลีเล็กๆแค่ไหนก็ตาม ซึ่งหากเป็นการฝนเหล็กแล้วโรยลงในดินเพื่อเป็นการแหกตา ก็คงใช้แม่เหล็กดูดได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
๑๐. ผงดินกากยายักษ์ มีผู้มอบให้มา(คุณพรเทพ) ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นมวลสารที่จะขาดเสียไม่ได้ในการจัดสร้างพระเครื่องวัตถุมงคลสายใต้เรา ดินกากยายักษ์นี้ดีทางกันและแก้คุณไสย นอกจากนั้นยังดีด้านพลิกดวงกลับชะตาได้ด้วย
๑๑. ผงแร่เหล็กน้ำพี้ จากอุตรดิตถ์ คงหาได้ไม่ยาก แต่ก็เป็นแร่มงคล ข้าพเจ้าจึงนำมาบรรจุล็อกเก็ตด้วยเช่นกัน
๑๒. ผงแร่เหล็กไหลตาน้ำ มีผู้มอบให้ ลักษณะคล้ายแร่เหล็กธรรมดา แต่มีสีกลับดำสนิท เชื่อว่าเป็นของทนสิทธิ์มักมีเทวดาชั้นอรูปพรหมรักษาอยู่
๑๓. ผงไหลเพชรดำ ได้จากประเทศลาว แร่ชนิดนี้แปลกมาก เดิมเป็นแท่งๆมีเสี้ยน เมื่อตำจนแหลกไปผสมลงในมวลสารแล้ว กลับยังเห็นผงไหลเพชรดำเกาะตัวกันเป็นเสี้ยนทิ่มขึ้นมาอีก โบราณท่านว่าดีทางคงกระพันยิ่งนัก
๑๔. ผงกะลาตาเดียว มีอยู่เดิมแล้วของข้าพเจ้า ได้นำมาเผาและตำผสมลงไป เพราะกะลาตาเดียวเป็นของทนสิทธิ์ มีฤทธิ์ทางด้านคุ้มดวงชะตา เป็นมหาโภคทรัพย์
๑๗. ผงไม้มงคล เท่าที่ข้าพเจ้าและกัลยาณมิตรจะหาได้ เช่น ไม้ชัยพฤกษ์ ไม้รักซ้อน ไม้มะยมหวาน ไม้ทรงบาดาล ไม้เทพธาโร ไม้กฤษณา ไม้ตะเคียนทอง ไม้งิ้วดำ ไม้โพธินิพพาน(ได้เป็นใบมากจากอินเดีย) ไม้ขบเขี้ยว (ทางใต้เชื้อว่าเป็นไม้ทนสิทธิ์กันอสรพิษและไข้ป่าได้) กัลปังหาดำ(บดยากมาก จึงเปลี่ยนเป็นการฝนตะไบเอา)
๑๘. ผงแป้งธิดาพญานาค ได้จากถ้ำจังหวัดกระบี่ มีลักษณะเป็นแร่ขาวนวลคล้ายแป้งฝุ่นพบในโพรงหินแอ่งลงไป ซึ่งน่าจะเกิดจากเจือน้ำทะเลเข้าไปสะสมและตกตะกอนเป็นแป้งเกลืออยู่นั่นเอง แต่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นแป้งของธิดาพญานาคเจ้าบาดาลที่เนรมิตขึ้นมา ใช้ผสมแป้งฝุ่นทาหน้าเป็นเมตตามหานิยม
๑๙. ผงจากบายศรีและดอกบัวในงานบูชาครูประจำปีที่ข้าพเจ้าได้จัดขึ้น มีการบวงสรวงครูสายพุทธาคมเขาอ้อเสียส่วนใหญ่ และดอกบัวห้าดอกที่ในงานเป็นดอกบัวที่ผ่านการสักการะต่อพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ ทั้งยังมีการอ่านประกาศโองการพระปัญจพุทธเจ้าสนันก้องเวหาแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านว่าดีที่สุดแห่งการดับทุกข์ ดับร้อน และระงับร้ายกลายเป็นดี
๒๐. ผงจักรพรรดิ หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ จังหวัดเชียงใหม่ (คุณรัชชานนท์มอบให้มา)
๒๑. ผงพุทธคุณสายสำนักเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง
๒๒. ผงชานหมาก หลวงปู่สุภา กันตสีโล วัดสีลสุภาราม จังหวัดภูเก็ต
๒๓. ผงชานหมาก หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน จังหวัดสุรินทร์
๒๔. ผงพระชำรุด พ่อท่านนำ แก้วจันทร์ วัดดอนศาลา จังหวัดพัทลุง
๒๕. ผงพระชำรุด อาจารย์ชุม ไชยคีรี สำนักกุญแจไสยศาสตร์
๒๖. ผงพระชำรุด หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน จังหวัดสุรินทร์
๒๗. ผงพระชำรุด หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง
๒๘. ผงพระชำรุด ผงเสากุฏิ ผงผ้าจีวรและเส้นเกศาหลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆษิตาราม จังหวัดชัยนาท (คุณฐิติ มอบให้มา)
๒๙. ผงพระชำรุด หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี
๓๐. ผงพระชำรุด หลวงพ่อทรง ฉันทโสภี วัดศาลาดิน จังหวัดอ่างทอง
๓๑. ผงพระชำรุด หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
๓๒. ผงสร้างพระสายหลวงปู่หงษ์ สุสานทุ่งมน, หลวงปู่โฉม วัดอัมภาราม ได้จากคุณพรเทพมอบให้มา
๓๓. ผงพระชำรุด พ่อท่านนวล วัดไสหร้า จังหวัดนครศรีธรรมราช
๓๔. ผงพระชำรุด พ่อท่านเอื้อม วัดบางเนียน จังหวัดนครศรีธรรมราช
๓๕. ผงพระชำรุด พ่อท่านแปลก วัดปากปรน จังหวัดตรัง
๓๖. ผงพระชำรุด พ่อท่านคล้อย วัดภูเขาทอง จังหวัดพัทลุง
๓๗. ผงพระชำรุด ครูบากฤษดา วัดสันพระเจ้าแดง จังหวัดลำพูน
๓๘. ผงพระชำรุดวัดปากน้ำ กรุงเทพมหานคร
๔๐. ผงพระชำรุดพ่อท่านประสูติ วัดในเตา จังหวัดตรัง
๔๑. ผงอิติปิโสรัตนมาลา หรือผงยาอิทธิเจวัดสัมฤทธิ์ พระนครศรีอยุธยา (คุณฐิติ มอบให้มา)
๔๒. น้ำมันว่านเมตตา หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน จังหวัดสุรินทร์
๔๓. น้ำมันชาตรี หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี
๔๕. ตะกรุดยันต์เฑาะว์ และผ้าอธิษฐานจิต พิธีไหว้ครูพระภรตมุนีและบรมครูสายพุทธาคมเขาอ้อ (ผ้าสีขาวครีมที่ติดด้านหลังล็อกเก็ตชิ้นเล็กๆ) เป็นผ้าดิบที่ดาดไว้บนโรงพิธีเมื่อมีการไหว้ครูกัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของชาวใต้ที่จะต้องดาดผ้าดังกล่าวนี้ไว้ โดยเชื่อว่าจะเป็นเปลที่พักของเหล่าเทพยดาที่เสด็จมาในโรงพิธี ผ้าอธิษฐานผืนนี้ได้นำมาลงยันต์มหากันท้าวเวสสุวรรณตามตำราเขาอ้อ และได้อธิษฐานจิตโดยตั้งไว้บนขื่อบ้าน ตำแหน่งหัวนอนของท่านอาจารย์นานนับปี !!!! ผ้าอธิษฐานชิ้นเล็กๆผืนนี้จึงไม่ใช่ผ้าธรรมดาอย่างแน่นอน ส่วนตะกรุดเป็นของเดิมที่ท่านจารไว้เมื่อสามปีก่อน โดยมีคุณพ่อเจือ(อาจารย์ฆารวาสของข้าพเจ้า)อธิษฐานจิตให้ ผลงานของท่านคือล็อกเก็ตปู่เจ้าสมิงพรายหลังผงว่านและหลังผงพรายปี๒๕๕๓ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นของหายากมากประสบการณ์ไปแล้ว เดิมข้าพเจ้ามีความศรัทธาในสำนักดังกล่าวนี้อยู่แล้ว สำนักนี้ไม่ได้เป็นสำนักหรือตำหนักทรงใดๆทั้งสิ้น ไม่เรียกร้อง มีเรื่องเดือดร้อนสามารถบอกอาจารย์ผู้เป็นเจ้าสำนักได้ (คุณพ่อเจือ)ท่านอาจารย์ผู้นี้ปัจจุบันได้ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว ด้วยความชรา แต่เมื่อตอนที่ท่านยังมีชีพอยู่ได้สร้างความอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้าและลูกศิษย์ไว้มากมาย เช่น ชานหมากของท่านช่วยศิษย์ผู้หนึ่งจากล้อรถสิบล้อที่ชนและลากร่างเธอไปสิบกว่าเมตรได้อย่างหวุดหวิด ไม่มีรอยขีดข่วน เมื่อไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านเพียงแต่บอกว่า พระพุทธคุณรักษา ไม่ใช่ท่าน, มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสนั่งรถยนต์ไปกับท่านและศิษย์คนอื่นๆ เพื่อออกไปธุระกับท่าน จำได้ว่าออกจากบ้านท่านมาตอน18.00 น. ตรงๆ เมื่อรถออกมาท่านได้บอก “วันนี้รถติดจัง ไปไม่ทันแน่ๆถ้าไม่ทำอะไร สงสัยหนึ่งนาทีคงไม่ถึง” ทุกคนในรถได้ยินนึกว่าท่านล้อเล่น เพราะคงปาฏิหาริย์เกินไปแล้ว เดินทางข้ามอำเภอแถมยังตัดเข้าเมืองอีกนับสิบๆกิโลเมตร ไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อขับมาเรื่อยๆถึงจุดหมาย ข้าพเจ้าได้เหลือบตาไปดูนาฬิกาอีกที น่าอัศจรรย์มาก นาฬิกาทั้งในรถและที่ข้อมือของทุกคนระบุเวลาตรงกันว่า 18.03น. นั่นหมายถึงเราใช้เวลาขับรถมาแค่สามนาทีเอง !!!! เพราะนาฬิกาคงไม่เสียพร้อมกันหลายๆเรือน เรื่องน่าประหลาดนี้ท่านอาจารย์ทราบก็ได้แต่ยิ้มๆไม่ออกความเห็นอะไร และข้าพเจ้าคงให้เหตุผลไม่ได้เพราะเป็นเรื่องเหนือโลก , เรื่องพุทธาคมของท่านก็เช่นกัน ไม่เป็นรองใครแน่นอน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีนายจ้างชาวไทยนำคนงานพม่าของตนมาส่งที่สำนักด้วยอาการคุ้มคลั่ง ท่านอาจารย์ได้เข้าสมาธิและแผ่บุญให้ อยู่ๆร่างชายชาวพม่าก็ร้องครวญครางเป็นเสียงแหลมๆเล็กๆคล้ายเสียงร้องของผู้หญิง!!!! ท่านอาจารย์ได้เอาแป้งข้าวเจ้าปั้นผสมกับน้ำพระพุทธมนต์เป็นก้อนกลมๆ ปะตามตัวหลายตำแหน่งและบริกรรมมนต์อะไรสักอย่างไม่อาจทราบได้ ทุกคนที่อยู่ในพิธีวันนั้นสังเกตเห็นแสงคล้ายๆกับประกายไฟ(เมื่อเวลาเหล็กกระทบกับหิน)เล็กๆในช่องปากของท่านอาจารย์แปล็บๆ ครู่หนึ่งชายชาวพม่าก็หยุดทุรนทุราย เมื่อแกะเอาแป้งออก พวกเราสังเกตถึงสีแป้งที่เปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาลไหม้ๆ มีเศษผมเป็นกระจุกใหญ่ๆและเป็นขี้เถ้า น้ำมันสีคล้ำๆติดออกมาด้วยอย่างน่าอัศจรรย์ ท่านอาจารย์พิจารณาดูไม่ว่าอะไร ก็ได้แต่อาบน้ำมนต์ให้ชายชาวพม่าผู้นั้นและเป่ากระหม่อมให้ และอีกหลายๆเรื่องราวที่อธิบายมากมายได้เกิดขึ้น ท่านเป็นฆารวาสผู้เหนือโลกจริงๆเท่าที่ข้าพเจ้าสัมผัสมา ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านเก่งมาจากการปฏิบัติไม่ได้เก่งมาจากคาถาอาคม คงคล้ายๆกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมในอดีต ที่มีอำนาจจิตน่าอัศจรรย์นัก โดยที่คุณแม่ไม่ได้ไปเรียนวิชาอาคมจากที่ใดมาเลย แต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็คงตอบไม่ได้ว่าท่านอาจารย์จะปฏิบัติจนได้อภิญญาเฉกเช่นเดียวกับคุณแม่บุญเรือนหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งเหนือโลกเหนือธรรมดากว่าที่คนธรรมดาอย่างข้าพเจ้าจะหยั่งรู้ได้ ส่วนเรื่องของขลังของท่านอาจารย์ ท่านว่าให้ศิษย์มี “พุทโธ”กับ “นะโมพุทธายะ”ผ่านตลอด ท่านใช้ประจำ นึกอะไรไม่ได้ภาวนาไปเถอะ
รายนามพระเถราจารย์ที่ร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก
๑. หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน จังหวัดสุรินทร์ ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลพิธีไหว้ครูประจำปี ๒๕๕๖ ซึ่งในงานพิธีพุทธาภิเษกได้มีการนิมนต์พระเถราจารย์อีกจำนวนหนึ่งร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกด้วย มีการบวงสรวงอัญเชิญครูบาอาจารย์ของหลวงปู่มาหมด และมีการทำกระทงลอยน้ำเพื่ออัญเชิญพระอุปคุตขึ้นสู่มณฑลพิธีกรรมด้วย(หลวงปู่หงษ์เคยกล่าวว่าพระมหาเถระอุปคุตคือหนึ่งในครูบาอาจารย์ทั้งห้าร้อยองค์ของท่าน)
๒. หลวงปู่โฉม อรุโณ วัดอัมภาราม จังหวัดบุรีรัมย์ ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวให้เป็นเวลาหนึ่งไตรมาส จะกล่าวได้ว่าล็อกเก็ตรุ่นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของหน้าตำนานวัตถุมงคลของหลวงปู่ท่านก็ไม่ผิด เพราะหลวงปู่ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกให้เป็นระยะเวลานานหลายวาระมากเรื่องกฤติยาคมของหลวงปู่โฉมนั้นข้าพเจ้ามีความมั่นใจมากว่า ไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดินนี้ เพราะหลวงปู่โฉมเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่เทิ่ง อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมภาราม พระเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์ระดับตำนานที่สำเร็จอภิญญาสามารถแสดงฤทธิ์เป็นที่น่าอัศจรรย์ได้ ซึ่งแม้แต่หลวงปู่หงษ์ แห่งสุสานทุ่งมน และหลวงปู่แผน วัดหนองติม(ละสังขารไปแล้ว) ยังยกย่องในองค์หลวงปู่ว่า “เก่ง” จริง เหรียญรุ่นเก่าๆยุคแรกๆของหลวงปู่เป็นที่หวงแหนยิ่งนัก และมีการบรรจุไว้ในรายการประกวดพระเครื่องเมืองอีสานแล้วด้วย ตะกรุดยุคเก่าๆที่ท่านจารเองมีราคาหลักหมื่น พระขุนแผน กุมารทอง วัวธนู หน้ากาล และพญาครุฑของท่านกลายเป็นของมีค่าหายากไปเสียแล้ว นอกจากนั้นท่านยังเป็นต้นกำเนิดวิชา พรายเทียนและสีผึ้งแมลงทับของแท้ๆ ซึ่งมีพระเกจิชื่อดังรูปหนึ่งได้ไปเรียนกับท่านแล้วนำมาทำจนมีชื่อเสียงในขณะนี้ แต่ต้นกำเนิดวิชานี้คือ หลวงปู่โฉม ผู้นี้นี่เอง
๓. ครูบากฤษดา สุเมโธ วัดสันพระเจ้าแดง จังหวัดลำพูน ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวให้เป็นกรณีพิเศษ โดยมีคณะของคุณวุฒิพงษ์นำไป ในวันนั้นครูบาได้กล่าวกับคุณวุฒิพงษ์ว่า ปลุกเสกให้หลายรอบแล้ว ซึ่งในพิธีวันนั้นครูบาท่านได้อธิษฐานจิตให้ในโบสถ์ซึ่งประดิษฐานพระอุปคุตองค์ใหญ่ของทางวัดสันพระเจ้าแดงอยู่ด้วย
๔. ครูบาอริยชาติ อริยจิตโต วัดแสงแก้วโพธิญาณ จังหวัดเชียงราย ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวให้เป็นกรณีพิเศษ
๕. ครูบาพรชัย วัดพระธาตุหมอกมุงเมือง จังหวัดเชียงราย ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกสกเดี่ยวให้เป็นกรณีพิเศษ
๖. หลวงพ่อหนุน วัดพุทธโมกข์ จังหวัดสกลนคร ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกให้ร่วมกับ งานพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลไตรมาสวัดพุทธโมกข์ (ในพิธีมีพระเถราจารย์สายกรรมฐานมาร่วมอธิษฐานจิตมากมาย)
๗. คุณแม่อุบาสิกาน้อย สำนักปฏิบัติธรรมศรีสุทโธ ได้เมตตาทำการอธิษฐานจิตให้ร่วมกับวัตถุมงคลพระกริ่ง เพื่อร่วมสร้างสำนักปฏิบัติธรรม (ในพิธีมีอุบาสก อุบาสิกาอีกหลายท่านร่วมอธิษฐานจิต) คุณแม่เป็นอุบาสิกาเหนือโลกอีกท่าน มีเจโตและญาณวิถีที่แจ่มใสมาก หลังพิธีคุณแม่กล่าวกับลูกศิษย์ว่ามีหลวงปู่ใหญ่พระครูเทพโลกอุดรมาอธิษฐานจิตให้ด้วย นอกจากนั้นยังนิมิตเป็นพญานาคาธิบดีศรีสุทโธมาล้อมรอบสถานปฏิบัติธรรมในตลอดพิธี
๘. อาจารย์เม้ง ขุนแผน สำนักสักยันต์พ่อขุนแผน เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ ได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวให้เป็นกรณีพิเศษนานนับครึ่งชั่วโมง ซึ่งเหล่าศิษย์ทั้งหลายทราบดีว่าท่านอาจารย์เม้งโดยปกติจะเสกเพียงห้าหรือสิบนาทีเท่านั้นก็ใช้ได้แล้ว ในกรณีนี้ท่านได้เอากล่องพระขึ้นไปอุ้มวางบนตักพร้อมใช้มือสองข้างพยุงไว้ กายนั่งนิ่งสนิท ได้ยินแต่เสียงสาธยายพระคาถาสำเนียงแปลกๆ(ในความคิดของข้าพเจ้าน่าจะพระคาถาทางครูบาอาจารย์สายพม่า) หลังท่านอธิษฐานจิตเสร็จก็พรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ ท่านอาจารย์กล่าวหลังอธิษฐานจิตให้ว่า เสกตามที่เราถนัดให้หมดแล้ว ดีมากๆ เรื่องเมตตามหาเสน่ห์ มหาลาภ เสี่ยงโชคได้โชคลาภ ปัจจุบันนี้ ในบรรดาอาจารย์ฆารวาสด้วยกันท่านอาจารย์เม้งน่าจะมีชื่อเสียงที่สุด ทั้งในไทยและไกลไปถึงจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เมเลเซีย
๙. พิธีเทวาภิเษกรูปเหมือนอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรี ท้าวศรีสุนทร และวัตถุมงคล ณ โรงเรียนเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต พิธีนี้ดีมากๆครบมากๆ เป็นการรวมเอาศิษย์สายพุทธาคมเขาอ้อทั้งสายบรรพชิตและสายฆารวาส อาทิ หลวงพ่อหรีด วีดป่าโมกข์ จังหวัดพังงา , พระอาจารย์อุทัย วัดวิหารสูง จังหวัดพัทลุง, พระอาจารย์เอียด วัดโคกแย้ม จังหวัดพัทลุง , พระอาจารย์ชัย วัดบางเหรียง จังหวัดพังงา , พระอาจารย์แนบ วัดวิชิตสังฆาราม จังหวัดภูเก็ต , อาจารย์ณัฐเดช สำนักกุญแจไสยศาสตร์ ศิษย์คุณพ่อชุม ไชยคีรี , อาจารย์จวง ศิษย์พ่อท่านนำ แก้วจันทร์ วัดดอนศาลา จังหวัดพัทลุง เป็นต้น หลังพิธีคุณพ่อจวงได้กล่าวว่า ลงให้หมดตามตำราแล้ว พระเครื่องสายเขาอ้อ ที่ได้ชื่อว่าศิษย์เขาอ้อร่วมกันเสก ร่วมกันทำ ร่วมกันบวงสรวง น่าเก็บหาไว้ใช้ไว้บูชาทั้งนั้น และเป็นที่พิเศษอย่างยิ่งเพราะในพิธีมีการอัญเชิญอัฐิหลวงปู่ทองเฒ่า ปรมาจารย์แห่งสำนักเขาอ้อและของขลังคู่มือเจ้าสำนักเขาอ้อ มาเป็นประธานในพิธีด้วย ซึ่งเกจิอาจารย์หลายท่านได้กล่าวว่าอาจารย์ทองเฒ่ามาแน่ นั่งปรกอธิษฐานจิตอยู่หน้ากองวัตถุมงคลเลย ล็อกเก็ตพระมหาเถระอุปคุตรุ่นนี้จึงเป็นรุ่นแรกที่มีการอธิษฐานจิตโดยศิษย์สายสำนักเขาอ้อ เท่าที่ข้าพเจ้าได้ทราบและสืบค้นมา
๑๐. พิธีเทวาภิเษกพระพิฆเณศ รุ่น ๑๐๐ปี กรมศิลปากร วัดพระแก้ววังหน้า กรุงเทพมหานคร โดยฝากย่ามหลวงปู่โฉม เข้าไปเป็นกรณีพิเศษ ในพิธีมีพระเกจิอาจารย์มากมายหลายท่าน อาทิ หลวงพ่อครูบาอินทร วัดสันป่ายางหลวง จังหวัดลำพูน , หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม พระนครศรีอยุธยา , หลวงพ่อสมชาย วัดปริวาส กรุงเทพฯ , หลวงพ่อสาย วัดบางหญ้าแพรก จังหวัดสมุทรสาคร , หลวงพ่อเอื้อน วัดวังแดงใต้ พระนครศรีอยุธยา , หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว พระนครศรีอยุธยา , หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน พระนครศรีอยุธยา , หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา , หลวงพ่อไพบูลย์ วัดอนาลโย จังหวัดเชียงใหม่ , พระมหาสุรศักดิ์ วัดประดู่ จังหวัดสมุทรสงคราม , หลวงพ่อคำบ่อ วัดใหม่บ้านตาล จังหวัดสกลนคร , หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดโพธิ์เทพประสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี , หลวงพ่อสุรเชษฐ์ วัดหนองตาลัย จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้น
๑๑. พิธีเทวาภิเษกเจ้าแม่ทับทิม โรงเรียนแผนที่ทหาร กรุงเทพมหานคร โดยหลวงปู่โฉม อรุโณ ทำการปลุกเสกเดี่ยว โดยภายหลังพิธีหลวงปู่กล่าวอีกว่า ในพิธีนี้มีคนเอาของ(ที่มีอิทธิคุณ)แรง เข้ามาปลุกเสกด้วย !!!!
๑๒. พิธีสักการะพระมหาเถระอุปคุต เพื่อทำการบอกกล่าวและสิ้นสุดพิธีกรรมปลุกเสก เป็นพิธีกรรมที่ข้าพเจ้าผู้จัดสร้างจงใจจัดให้เกิดขึ้นเพื่อทำการสักการะบอกกล่าวแก่พระมหาเถระอุปคุต โดยมีการตั้งราชวัตรฉัตรธงและเครื่องบวงสรวงแก่เทพยดาครูบาอาจารย์ทุกสายที่ข้าพเจ้าผู้จัดสร้างได้ให้ความเคารพนับถือมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้มีการกล่าวโองการและจัดอาสนะเปล่าเพื่ออัญเชิญนิมนต์พระมหาเถระอุปคุตมาเป็นประธานในพิธี สุดท้ายได้มีการทำกระทงใบตองจัดดอกไม้ธูปเทียนลอยตามน้ำทะเลไปเพื่อเป็นสังฆบูชาแด่พระมหาเถระอุปคุตพระองค์นั้น
ติดต่อที่กระผม 084 4426314 กอล์ฟครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ล็อกเก็ตปู่เจ้าสมิงพราย บรมครูแห่งไสยเวทย์ ดีทางเสน่ห์ มหานิยม คุ้มครองป้องกันภัย บวกกับค้าขายครับ องค์นี้ชิ้นพิเศษ ฝังกัณหาชาลีของเก่า อุดผงว่านเสน่ห์เมตตาล้วน ไม่มีผงพรายผสมครับ ทันท่านพ่อเจือเสก บูชา 1200 บาท ครับ (เหลือองค์เดียว)
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
-
ติดตามข่าวสารอื่นๆ พูดคุย เล่นเกมส์กันได้ในเฟสบุคของชมรมนะจระ
https://www.facebook.com/groups/buddhakom/ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
รายการนี้ยังมีอยู่ครับ สนใจติดต่อที่ 0844426314 กอล์ฟครับ
รายละเอียดการจัดสร้างพระผงพระขุนแผนรุ่น “ยอดขุนพลรูปงาม” (ถอดจากคำบอกเล่าอาจารย์กิต สำนักพระภรตมุนี จังหวัดภูเก็ต)
พระพิมพ์ขุนแผนยอดขุนพล เป็นพระเครื่องที่มีความเชื่อกันสืบต่อมาว่า มีพุทธานุภาพทางด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ผู้ที่บูชาหากอยู่ในศีลธรรมที่ดีงามพลังของพระจะส่งผลให้เป็นที่รักใคร่แก่มนุษย์ สัตว์ อมนุษย์และเทพยดาทั้งหลาย ด้วยความเชื่อนี้จึงมีพระคณาจารย์หลายท่านนิยมสร้างพระพุทธพิมพ์ลักษณะนี้ออกมาทุกยุคทุกสมัยและทุกภูมิภาคของประเทศไทย
ในสายพุทธาคมภาคใต้เรานั้น มีประวัติการจัดสร้างพระขุนแผนขึ้นมาในหลายๆที่หลายๆคณาจารย์ด้วยกัน แต่เมื่อนับกับพื้นที่อื่นๆ ก็จัดว่ามีไม่มากนัก ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและมีประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ก็มีปรากฎอยู่มากมาย เช่นพระขุนแผนเสด็จกลับ ท่านพ่อชุม ไชยคีรีสำนักเขาไชยสน จังหวัดพัทลุง ซึ่งมีการจัดสร้างที่พิศดารนัก กล่าวคือ เมื่อพุทธาภิเษกเป็นที่เรียบร้อยมีการนำพระไปทำการจำเริญลอยน้ำ และบริกรรมคาถาสมาธิจิตเรียกพระขึ้นมาจากท้องน้ำ , พระขุนแผน วัดควนนาแค จังหวัดตรัง ซึ่งมีการจัดสร้างจากผงพรายกุมารแท้ๆที่สังขารลอยมาติดในท่าน้ำท้ายวัด แล้วจิตวิญญาณของกุมารได้ไปนิมิตให้พระครูเจ้าอาวาสเห็นและบอกกล่าวให้นำสังขารตนไปทำพระเพื่อมาช่วยคน เป็นต้น ซึ่งการจัดสร้างและมวลสารจะแตกต่างกันไปในแต่ละที่แต่ละพระคณาจารย์ ซึ่งในการจัดสร้างพระขุนแผนรูปงามก็เช่นกัน นับว่าเป็นอีกหนึ่งเนื้อเชื้อไขที่ข้าพเจ้าตั้งใจจัดสร้างและรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อฝากไว้เป็นพระขุนแผนยอดขุนพลเมืองใต้อีกรุ่นหนึ่ง
ในการจัดสร้างพระขุนแผนยอดขุนพลรูปงามของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะจัดสร้างในรูปแบบของพระพุทธพิมพ์ อันจะทำให้ผู้บูชาเกิดพุทธานุสติ ซึ่งจะเกิดอานิสงค์ทั้งต่อตัวผู้บูชา ข้าพเจ้าผู้สร้าง และครูบาอาจารย์รวมถึงดวงวิญญาณหรือจิตของเทพ พรหมที่รักษามวลสารอยู่ เป็นบุญกุศลอันมาก ข้าพเจ้าได้ทำการปั้นบล็อกแกะแม่พิมพ์ด้วยตัวของข้าพเจ้าเองทั้งหมด จึงแกะได้เพียงแม่พิมพ์หน้าเดียว เป็นทรงพระพุทธเจ้าประทับนั่งมารวิชัยเหนือรัตนบัลลังก์ ภายใต้ซุ้มเรือนแก้ว อันแสดงถึงชัยชนะขององค์พระบรมศาสดาที่มีต่อพญามาราธิราช โดยทรงได้จรดพระหัตถ์ลงสู่พระธรณีเพื่อให้ขึ้นมาเป็นสักขีพยานเมื่อครั้งตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
เรื่องของมวลสารการจัดสร้าง ข้าพเจ้าได้แบ่งการจัดสร้างออกเป็น ๒ วรรณะด้วยกัน กล่าวคือ
๑. เนื้อขาวแก่ผงมวลสารว่านยา เป็นพระผงที่ใช้มวลสารเป็นเนื้อว่าน ดิน แร่กายสิทธิ์ อันปราศจากผงอาถรรพ์ใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ข้าพเจ้าได้พยายามหนักว่านที่เป็นยอดทางเมตตามหานิยมทั้งสิ้นรวมไปถึงเครื่องยาแฝด อันเป็นยอดทางเสน่ห์เรียกจิตผู้คน
๒. เนื้อดำแก่ผงมวลสารอาถรรพ์ เป็นพระผงที่ใช้มวลสารว่านยาผสมกับมวลสารอาถรรพ์ที่ได้จากสังขารธาตุ อันประกอบด้วย ผงพรายบุรุษรูปงาม ผงพรายสตรีรูปงาม ผงพรายกุมารตายในครรภ์ รวมกับน้ำมันและสีผึ้งอาถรรพ์ทั้งของอาจารย์ข้าพเจ้าเองและคณาจารย์ท่านอื่นๆที่ข้าพเจ้าให้ความเคารพและเชื่อถือ
รายละเอียดมวลสารที่นำมาจัดสร้างพระขุนแผนยอดขุนพลรูปงาม
มวลสารทั้งหมดที่ได้นำมานี้เกิดจากแรงกายและแรงใจของข้าพเจ้าผู้จัดสร้างและร่วมกับเหล่ากัลยาณมิตรเป็นผู้จัดหามาให้ มวลสารบางอย่างได้มาอย่างไม่คาดฝันก็มี ได้มาอย่างยากลำบากก็มี บางชนิดมีคุณค่ามากและไม่คิดว่าจะได้มาก็มี นับได้ว่าเป็นธรรมะจัดสรรให้คงไม่ผิด
มวลสารเท่าที่ข้าพเจ้าจำได้และมีการจดบันทึกไว้แน่ชัดประกอบด้วย ดังนี้
- ผงว่านร้อยแปดชนิด เท่าที่ข้าพเจ้าและกัลยาณมิตรจะพอหาได้ ใช้เวลารวมรวมประมาณ ๔-๕ ปี ซึ่งสามารถจำแนกได้หลายประเภท ทั้งว่านกลุ่มคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม โชคลาภค้าขาย และกลุ่มว่านทนสิทธิ์
- ผงแร่โคกยายเหลือง จากเมืองสุรินทร์ มีผู้มอบให้มา(คุณพรเทพ) ซึ่งพระเดชพระคุณเจ้าหลวงปู่หงษ์ แห่งสุสานทุ่งมนต์เคยกล่าวไว้ว่า เป็นแร่เหล็กที่ศักดิ์สิทธิ์มาก มีเทวดารักษาอยู่นับไม่ถ้วน ใช้สร้างวัตถุมงคลจะเป็นกายสิทธิ์มีฤทธิ์มาก ซึ่งแร่ชนิดนี้หากพลีไม่ขึ้นจะกลายเป็นหินธรรมดาเมื่อนำออกมาจากโคกยายเหลือง แต่หากพลีขึ้นจะมีสภาพเป็นเหล็กแม่บดแล้วสีจะออกแดงเลือดนกเล็กน้อยเจือสีน้ำตาล มีกลิ่นคล้ายเหล็ก
- ผงแร่เกาะล้าน มีผู้มอบให้มา(คุณพรเทพ) นานพอสมควรแล้ว เห็นว่าเป็นแร่ที่ดี พระเกจิหลายท่านพลีไปสร้างพระเครื่อง วัตถุมงคลกัน จึงได้นำมาผสมใส่ไว้ในพระรุ่นนี้เป็นจำนวนมากด้วย ซึ่งปัจจุบันได้ข่าวว่าทางจังหวัดชลบุรีมีการอนุรักษ์แร่ชนิดนี้ไว้ โดยไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปขุดแร่ชนิดนี้บนเกาะล้านแล้ว
- ผงแร่สามกษัตริย์ เดิมเป็นสายแร่สามสีที่เกาะอยู่บนหิน เมื่อบดออกมาแล้วมีประกายคล้ายแก้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นของสวยงามดูแล้วเป็นสินแร่มงคล จึงขอซื้อมาจำนวนหนึ่ง
- ผงแร่โคตรเศรษฐี มีผู้มอบให้มา เดิมเป็นแร่สีดำ น้ำหนักเบา แข็งมาก มองดูคล้ายอุลกมณีหรือสะเก็ดดาวตก แต่จะต่างกันตรงที่ผิวจะไม่เป็นมันวาว แต่จะกลับคล้ายแก้ว เมื่อบดแล้วจะคล้ายๆกับแร่ผงเปียกน้ำอยู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง เคยกล่าวเมื่อตอนคุณแม่ปทุมนำแร่ชนิดนี้มาสร้างพระว่า เป็นแร่กายสิทธิ์ ดีทางเงินทอง จึงตั้งชื่อพระในรุ่นนั้นว่าพระโคตรเศรษฐี
- ผงแก้วขนเหล็ก ได้จากทางภาคเหนือ เดิมเป็นเรือนแก้วขนเหล็ก แต่เมื่อกะเทาะแล้วจึงนำมาบดสร้างพระ คนโบราณกล่าวว่าแก้วขนเหล็กนี้จะดีทางป้องกันภูตผีปีศาจและคุณไสย
- ผงแก้วเขี้ยวหนุมาน ได้จากทางภาคเหนือ ข้าพเจ้าเห็นเป็นแก้วที่มีชื่อเป็นมงคลจึงของซื้อมา๒-๓แท่ง และได้บดเพื่อนำมาสร้างพระครั้งนี้ด้วย
- ผงแร่ทรายเงิน ทรายทอง เป็นทรายที่ขุดได้ครั้งลอกเหมืองแถวจังหวัดพังงา ซึ่งมีลักษณะเป็นประกายเลื่อมผิดทรายธรรมดา คาดว่าเดิมน่าจะมีสายแร่ชนิดนี้อยู่ในเมืองแห่งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นมงคลดีจึงนำมาเป็นมวลสารด้วย
- ผงแร่ทรายดูด เป็นดินทรายที่ขุดได้ในบริเวณถ้ำ มีลักษณะเด่นคือ เมื่อเอาแม่เหล็กดูดดินจะเกาะขึ้นมาจนหมด ไม่ว่าจะเป็นธุลีเล็กๆแค่ไหนก็ตาม ซึ่งหากเป็นการฝนเหล็กแล้วโรยลงในดินเพื่อเป็นการแหกตา ก็คงใช้แม่เหล็กดูดได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
- ผงดินกากยายักษ์ มีผู้มอบให้มา(คุณพรเทพ) ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นมวลสารที่จะขาดเสียไม่ได้ในการจัดสร้างพระเครื่องวัตถุมงคลสายใต้เรา ดินกากยายักษ์นี้ดีทางกันและแก้คุณไสย นอกจากนั้นยังดีด้านพลิกดวงกลับชะตาได้ด้วย
- ผงแร่เหล็กน้ำพี้ จากอุตรดิตถ์ คงหาได้ไม่ยาก แต่ก็เป็นแร่มงคล ข้าพเจ้าจึงนำมาทำมวลสารด้วยเช่นกัน
- ผงแร่เหล็กไหลตาน้ำ มีผู้มอบให้ ลักษณะคล้ายแร่เหล็กธรรมดา แต่มีสีกลับดำสนิท เชื่อว่าเป็นของทนสิทธิ์มักมีเทวดาชั้นอรูปพรหมรักษาอยู่
- ผงไหลเพชรดำ ได้จากประเทศลาว แร่ชนิดนี้แปลกมาก เดิมเป็นแท่งๆมีเสี้ยน เมื่อตำจนแหลกไปผสมลงในมวลสารแล้ว กลับยังเห็นผงไหลเพชรดำเกาะตัวกันเป็นเสี้ยนทิ่มขึ้นมาอีก โบราณท่านว่าดีทางคงกระพันยิ่งนัก
- ผงกะลาตาเดียว มีอยู่เดิมแล้วของข้าพเจ้า ได้นำมาเผาและตำผสมลงไป เพราะกะลาตาเดียวเป็นของทนสิทธิ์ มีฤทธิ์ทางด้านคุ้มดวงชะตา เป็นมหาโภคทรัพย์
- ผงไม้มงคล เท่าที่ข้าพเจ้าและกัลยาณมิตรจะหาได้ เช่น ไม้ชัยพฤกษ์ ไม้รักซ้อน ไม้มะยมหวาน ไม้ทรงบาดาล ไม้เทพธาโร ไม้กฤษณา ไม้ตะเคียนทอง ไม้งิ้วดำ ไม้โพธินิพพาน(ได้เป็นใบมากจากอินเดีย) ไม้ขบเขี้ยว (ทางใต้เชื้อว่าเป็นไม้ทนสิทธิ์กันอสรพิษและไข้ป่าได้) กัลปังหาดำ(บดยากมาก จึงเปลี่ยนเป็นการฝนตะไบเอา)
- ผงแป้งธิดาพญานาค ได้จากถ้ำจังหวัดกระบี่ มีลักษณะเป็นแร่ขาวนวลคล้ายแป้งฝุ่นพบในโพรงหินแอ่งลงไป ซึ่งน่าจะเกิดจากเจือน้ำทะเลเข้าไปสะสมและตกตะกอนเป็นแป้งเกลืออยู่นั่นเอง แต่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นแป้งของธิดาพญานาคเจ้าบาดาลที่เนรมิตขึ้นมา ใช้ผสมแป้งฝุ่นทาหน้าเป็นเมตตามหานิยม
- ผงจากบายศรีและดอกบัวในงานบูชาครูประจำปีที่ข้าพเจ้าได้จัดขึ้น มีการบวงสรวงครูสายพุทธาคมเขาอ้อเสียส่วนใหญ่ และดอกบัวห้าดอกที่ในงานเป็นดอกบัวที่ผ่านการสักการะต่อพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ ทั้งยังมีการอ่านประกาศโองการพระปัญจพุทธเจ้าสนันก้องเวหาแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านว่าดีที่สุดแห่งการดับทุกข์ ดับร้อน และระงับร้ายกลายเป็นดี
- ผงอิติปิโสรัตนมาลา หรือผงยาอิทธิเจวัดสัมฤทธิ์ พระนครศรีอยุธยา (คุณฐิติ มอบให้มา)
- น้ำมันว่านเมตตา หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน จังหวัดสุรินทร์
- น้ำมันว่านเมตตาหลวงปู่โฉม วัดอัมภาราม บุรีรัมย์
- ผงพระชำรุดของท่านอาจารย์เจือ จำนวนหนึ่งถ้วยแกงที่ลูกศิษย์ในเครือหลายท่านมอบให้มา ซึ่งล้วนเป็นพระผงของคุณตาที่สร้างไว้สมัยท่านยังมีชีวิต
- น้ำมันว่านดอกทองและดอกรักซ้อน ท่านอาจารย์เม้ง ขุนแผน
- สีผึ้งเมตตาหลายคณาจารย์ เช่น สีผึ้งเจ็ดนางฟ้า อาจารย์ชุม ไชยคีรี , สีผึ้งบัวบังใบ ท่านอาจารย์สุนทร เผือกเที่ยง , สีผึ้งเพชรพญาธร สีผึ้งอิ่นแก้ว สีผึ้งแม่เพ็ญศรีสีผึ้งนะอกแตกและสีผึ้งสะท้านโลกีย์ท่านอาจารย์เม้ง ขุนแผน , สีผึ้งจักรพรรดิหลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ , สีผึ้งไก่แก้ว ครูบากฤษดา วัดสันพระเจ้าแดง, สีผึ้งเมตตา หลวงปู่หงษ์ สุสานทุ่งมน , สีผึ้งหลวงปู่โฉม วัดอัมภาราม , สีผึ้งเขียวมหาเสน่ห์ พระอาจารย์โอ พุทโธรักษา ,สีผึ้งสายบน สายล่าง หลวงปู่ครูบาคำเป็ง สำนักสุขาวดี ฯลฯ
และส่วนผสมอีกอย่างที่สำคัญคือ เครื่องยาเมตตาใหญ่ (ยาแฝด) กล่าวคือทางไสยเวทย์มีการกระทำทั้งแบบระยะไกลและระยะใกล้ การกระทำแบบในระยะไกล เช่น การใช้มโนคติบวกกับพระคาถาทางเสน่ห์ที่ใช้บริกรรมเพื่อเรียกเอาเจตภูตของผู้ถูกกระทำให้เป็นไปดังต้องการ หรือแม้กระทั่งการเสกดอกจำปีจำปาเป็นแมลงภู่ทอง ให้พระพายพาบินไปต่อยผู้ถูกกระทำให้เกิดความหลงรัก ส่วนการกระทำในระยะใกล้ เช่น การทำสีผึ้งหรือน้ำมันที่ทำจากผีพราย ใช้ดีด ป้าย ทา ให้ดม หรือกระทั่งให้กินให้เกิดความหลงรัก แต่ถึงกระนั้น ยังมีศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ใช้ว่านยาสมุนไพรร่วมกับการเสกเป่าด้วยคาถาอาคม เพื่อปั้นเป็นยาแล้วใส่ให้คนอื่นกินหรือเป่าใส่ตัวผู้ถูกกระทำให้เกิดความหลงรัก โดยไม่มีการใช้ผีสางใดๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ศาสตร์นี้เราเรียกว่าการทำยาแฝด
การทำยาแฝดมีหลายตำรา หลายที่มา ดังปรากฏในตำนานของพระลอ เมื่อครั้งปู่เจ้าสมิงพรายบรมครูทำการฝังรูปฝังรอย แล้วเสกยาแฝดเป็นแมลงภู่ทองไปต่อยพระลอให้เกิดความรักใคร่ บ้างก็ว่าเสกหมากผสมยาแฝดไปตกในเชี่ยนหมากพระลอ อันเป็นต้นกำเนิดของวิชา สลาเหิน นั่นเอง ทางภาคใต้ในแถบตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราชก็เช่นกัน ยังมีการสืบทอดตำรามหาเสน่ห์ตับล่างเช่นนี้อยู่ แต่มักสืบทอดกันในหมู่ลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้เท่านั้น ในสายวิชาที่ข้าพเจ้าทราบมาและได้เข้าไปเรียนรู้นั้นมีการทำยาแฝดอยู่ด้วย นอกจากยาแฝดแล้ว ยังมีการทำยาจินดามณี ,ผงยามหานิทรา , ผงยาผสมแป้งผัดหน้า เป็นต้น แต่ข้าพเจ้าเห็นว่ายาแฝดเป็นเครื่องยาที่มีแรงครูทางด้านมหาเสน่ห์สูงกว่าเครื่องยาใดๆทั้งหมด ทั้งยังหาผู้รู้ทำได้ยาก ข้าพเจ้าจึงได้นำยาสูตรนี้กลับมาทำใหม่ โดยเพื่อรักษาตำราเดิมไว้ ในตำราระบุว่าจำต้องหาพืชมิรู้นอน ลำโพง เหงือกปลาหมอผู้เมีย สะบ้าลอยน้ำ สวาท หางแมงป่องผู้เมียอย่างละเจ็ดหาง กะโหลกค่าง มะเขือบ้า หิ่งหายผี ใบรักซ้อนลงอักขระยันต์เทพรำลึก ยอดกาหลง พลูร่วมใจ และส่วนผสมที่ข้าพเจ้าขออนุญาตปิดบังไว้ ซึ่งส่วนผสมทั้งหมดนี้เมื่อบดแล้วจะได้ตัวยาประมาณหนึ่งถ้วยแกง ให้เอายามาปั้นกับน้ำ...(บิดบัง)และเส้น...(บิดบัง) ผสมข้าวหุงให้กิน ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำผงชนิดนี้ขึ้นมา เพื่อหวังสืบทอด มิได้ชี้นำให้มีการทำผิดศีลธรรม ในตำรากล่าวว่าแม้ไปที่ใดก็จักจำเริญด้วยเมตตา เป็นที่รักใคร่ มีดวงนารีอุปถัมภ์ โทษถึงตายก็ผ่อนเบา ข้าพเจ้าคิดว่าแค่นี้ก็มีคุณเพียงพอแล้ว เพราะหากบอกวิธีใช้ไปมากกว่านี้คงเป็นการชี้โพรงให้กระรอกเป็นอันแน่ ถึงอย่างไรก็ตา การทำยาแฝดถือเป็นเวทย์มนต์ดำหรือตับล่างประเภทหนึ่ง หากผู้ใดนำไปใช้แล้วปล่อยประละเลย ไม่รับเลี้ยงดูเป็นสามีหรือภรรยาอย่างถูกต้อง ครูบาอาจารย์ท่านแช่งไว้หนักหนาว่าโทษต้องตกโลหิตทางทวารถึงแก่มรณกรรมอันน่าสังเวชเลยทีเดียว ข้าพเจ้าจึงขอเรียกว่าเป็นเพียง เครื่องยาเมตตาใหญ่ แทน ยาแฝด แล้วกัน
ข้าพเจ้าได้นำเครื่องยาเมตตาใหญ่มาผสมลงในพระผงขุนแผนยอดขุนพลรูปงามนี้ด้วยเป็นจำนวนมากทั้งสองเนื้อสองวรรณะ
สำหรับเนื้อดำแก่ผงมวลสารอาถรรพ์จะผสมมวลสารพิเศษจำพวกผงอาถรรพ์ต่างๆลงไปด้วย ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าหลายท่านเคยกล่าวถึงการนำผงอาถรรพ์มาทำให้เป็นของวิเศษได้ เนื่องจากในร่างกายของคนเรานั้นดำรงไปด้วยธาตุสี่ ขันธ์ห้าอาการสามสิบสอง พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าในโลกธาตุนี้ล้วนมีธาตุสี่เป็นองค์ประกอบทั้งหมดทั้งสิ้น การทำวิชาผงอาถรรพ์ในตำราขอข้าพเจ้าก็เช่นกัน เป็นไปเพื่อการสร้างกุศลให้แก่อาทิสมานกายและเจตภูตเหล่านั้นทั้งสิ้น ตามความเชื่อเมื่อธาตุสี่แตกดับแต่วิญญาณธาตุหรือธาตุรู้มิได้แตกดับไปด้วย ล้วนแต่ต้องกลับเข้าวัฎจักรเวียนว่ายตายเกิดตามบุญกรรมของตน -
รวมมวลสารทั้งหมดครับ:cool:
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ค่าบูชา
- เนื้อพิเศษ สีดำพิมพ์ใหญ่ (ผสมผงพราย) ฝังตะกรุดเงิน บูชา 1500 บาท
- เนื้อพิเศษ พิมพ์เล็ก เนื้อผงยาเมตตาใหญ่ โรยตะเคียนตกน้ำมัน กับว่านดอกทอง ฝังตะกรุดเงิน บูชา 599 บาท
- เนื้อธรรมดา พิมพ์เล็ก ผสมแก่ว่านล้วน บูชา 300 บาท
- เนื้อธรรมดา พิมพ์เล็ก ผสมผงพราย บูชา 300 บาท -
มีวัตถุมงคลออกงานไหว้ครูปีนี้2557 (วันที่25 เม.ย.ที่จึงถึงนี้) ให้จับจองชุดพิเศษกันก่อนครับ สำหรับท่านที่ชอบแนวสายพรายเย็นๆ
ขออนุญาตกราบเรียนทุกท่านที่สนใจ เนื่องจากล็อกเก็ตปู่เจ้าสมิงพรายที่จะออกรุ่น 2 นี้ จะจัดสร้างเพียง 100 องค์เท่านั้นครับ และจำสร้างแบบเน้นว่านและมวลสารเสน่ห์จำพวก"ชีวจิต"ครับ แต่มีสหายบางท่านอยากได้ล็อกเก็ตชนิด "อุดมวลสารผงพราย"เต็มสูตร ด้วยเหมือนกัน ทางกระผมก็ยินดีที่จะจัดสร้างให้ จึงอยากเรียนทุกท่านที่ต้องการรบกวนสั่งจองได้ ณ บัดนี้(เฉพาะเนื้อผงพรายนะครับ) จะสร้างตามจำนวนจองเท่านั้น จะตอกพิเศษ3โค๊ต ที่แผ่นโลหะปิดด้านหลังครับ ส่วนว่านและมวลสารธรรมดาจะตอกโค๊ตเดียวเป็นสัญลักษณ์ ใครต้องการชนิดผงพรายล้วน ติดต่อด่วนะนะครับ ปิดจองวันที่20 เมษายน หรือหากครบจำนวน 30 องค์ก่อนจะปิดจองทันที !!!!! (คือสร้างไม่เกิน30องค์) ล็อกเก็ตมีขนาด 3.2 x 4.0 cmครับ กำลังสวย รบกวนแจ้ง ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อกลับ ในอินบ็อกPMโดยตรงที่ผม หรือโทรติดต่อรายละเอียดอื่นๆที่ 0844426314ครับ
ราคาจองตอนนี้ องค์ละ 1000 บาทครับ ชุดกรรมการแถมตะกรุด อิทธิเจไหว สะท้านใจมนุษย์ (ดีทางมหาเสน่ห์สุดๆ) เนื้อตะกั่วตอกโค๊ต 1 ดอกครับ
หลังพิธีวันที่25 เมษายน ไม่ใช่ราคานี้แน่นอนครับ สำนักเราไม่เคยทำสุขเอาเผากินครับ ค่าบวงสรวงและพิธีปลุกเสกก็เหยียบหลักหมื่นแล้วครับ รบกวนโอนเงินหลังจองภายใน 3 วันครับ ไม่เช่นนั้นตัดสิทธิ์ทุกกรณี จะมาเสียใจภายหลังไม่ได้
ปล.ของออกปลายเดือนนี้ครับ วันที่ 30 เมษายน แน่นอน ด่วน !!!!!!
เป็นการจำลองภาพตามเทวตำนานนวนิยายลิลิตพระลอ ในลักษณะเทพบุรุษรูปร่างกำยำล่ำสัน มีศีรษะเป็นพญาเสือโคร่ง รูปกายซีกขวาเป็นเค้าโครงของพญาเสือ (โดยปรากฏลายพาดมือและเท้าซีกนั้นมีเล็บยาวแหลมคม) ส่วนซีกซ้ายมีลักษณะอย่างสามัญบุรุษ
ภาพเขียนอิริยาบถนั่งชันเข่า เพ่งกระแสจิตบริกรรม สีหน้าดุดัน แสดงอำนาจแยกเขี้ยวคำรามอันเป็นวิสัยเสือเมื่อข่มขวัญศัตรู มือขวาคงวางเหนือเข่าขวากำสายประคำ มือซ้ายวางบนหน้าตักทับปลายไม้เท้า
การแต่งกาย เป็นลักษณะของราชปุโรหิตาจารย์ตามราชประเพณีไทย สวมชฎายอกลำโพงขาวขลิบทอง อย่างพระฤๅษีหรือพราหมณาจารย์ผู้สูงศักดิ์ สวมครุยขาวปักทองลายดอกลอย ต้นแขนปลายแขนชายครุยปักสำรด(แถบลวดลาย)สีทอง แต่สวมเสื้อครุยเพียงแขนเดียว แล้วตลบชายเสื้ออีกด้านหนึ่งขึ้นห่มเฉวียงบ่าอย่างห่มสะพัก อันเป็นรูปแบบที่เรียกว่า “ครุยแขนเดียว”และยังคงมีมาจนปัจจุบัน นิ้วชี้ทั้งซ้ายขวาสวมแหวนธำมะรงค์นวรัตน์ นุ่งโจงขาวคาดประคดน่าเลื่อมใส
ด้านหลังล็อกเก็ตอุดมวลสารศักดิ์สิทธิ์ทรงคุณค่าบรรจุตะกรุด “นะเข้าหา” และฉาบปิดด้วยสีผึ้งและน้ำมันเมตตาทุกองค์ ประกบปิดด้วยแผ่นโลหะปั๊มยันต์ นะฉัพพรรณรังสี ตามตำราของท่านพ่อชุม ไชยคีรี ที่ท่านบันทึกว่าเป็นยันต์นะที่ พ่อขุนแผน เข้านิมิตมาบอกกับท่านด้วยตัวเอง ทรงคุณวิเศษทางด้านเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาดยิ่งนัก พร้อมจารึกคำมงคลว่า “ขอครูอยู่เหนือหัว คุ้มทั่วกายข้า” โดยที่ทุกองค์จะลงจารและทำการตอกโค๊ตทุกๆองค์เพื่อเป็นมาตรฐานในการเช่าหาบูชาในอนาคต
ของสวยมากครับ ใครพลาดเสียดายเลย ใครนับถือสายปู่เจ้าต้องมีครับ !!!!!!ไฟล์ที่แนบมา:
-
หน้า 1 ของ 2