ผู้เล่าที่ทันเหตุการณ์บอกกับผมว่า "ฉันเล่า เท่าที่ฉันได้รู้ ได้เห็น สิ่งไหนที่ฉันไม่เห็น ฉันไม่รู้"
ผมหยิบพระห้าเหลี่ยมมาหนึ่งองค์ ท่านบอกว่า "นี่คือพระโยนคลองเหมือนกันนี่"
จริงๆ ผมทราบอยู่แล้วว่า ทำไมถึงเรียกแบบนนั้น จึงสอบถามที่มาของคำว่า "พระ
โยนคลอง" ด้วยความที่พระเนื้อขาว เป็นพระที่เริ่มสร้างกันเอง ในครั้งแรก การผสม
สูตรผงต่างๆ ยังมีการลองผิดลองถูกกันอยู่ แต่จะมีการพัฒนามาอยู่ตลอด จึงมีพระ
ให้เห็นในรูปแบบ และสูตรต่าง เมื่อหลวงปู่ท่านเห็นแล้ว ท่านก็เสกให้ โดยมิได้เลือก
ว่าพระไม่สวย บิดเบี้ยว ท่านไม่เสก แต่ถ้าเราสังเกตจากพระเครื่องและเครื่องรางตางๆ
ของท่าน จะทราบได้ว่า ท่านเน้นเรื่องจิต การเสก เหนือกว่าสิ่งอื่นใด และได้แจกจ่าย
ให้กับญาติโยมที่มาหาท่านอยู่เช่นกัน หลวงปู่ทิมท่านดังในจังหวัดระยองมานานแล้ว
แต่คนทั่วประเทศรู้จักท่าน ส่วนหนึ่งมาจากหนังสือที่เขียนเมื่อยุคปี 2517-18
แต่ยุคก่อนนั้น จึงไม่ค่อยมีคนรู้จักท่านมากนัก ทำให้มีผู้พบเห็นกันได้น้อยกับพระเครื่องที่สร้างกันมาแต่ก่อนนั้น
ท่านเคยบอกกับลุงสายว่า พระแบบนี้ เอาไปโยนคลองดีกว่า ผู้เล่าท่านบอกว่า
หลวงปู่ท่านไม่ได้สั่งให้เอาไปโยนนะ แต่กล่าวเชิงเปรียบเทียบ ว่าไม่สวย ไม่มีคนเอา
เอาไปโยนคลองเสียดีกว่า ลุงสายได้ฟังดังนั้น จึงคิดว่า พระก็เสกแล้ว จะให้ไปโยนน้ำ
ก็ไม่กล้าทำ จึงเก็บพระชุดนี้ไว้ แต่ลุงสายก็เคยนำพระนี้ มาให้ผู้คนเช่นกัน (ถึงแม้
ลุงสาย จะหวงพระชุดนี้มาก) แต่คนกลับบอกว่า แบบนี้ไม่ใช่ ต้องแบบที่เขาเล่นกันสิ
ถึงจะจริง เมื่อได้ยินดังนั้น จึงเก็บพระชุดนี้ต่อไป ยาวเรื่อยมา
จนพอเรามาได้เห็น ก็ไม่คิดว่าจะมีจริง หรือเป็นเรื่องจริงที่น่าจะเกิดขึ้น ที่เหลือก็แล้วแต่
เราๆ ท่านๆ ลองพิจารณาตามเหตุและผลดูครับ
ส่วนรูปที่นำมาให้ชมนี้ เป็นพระบล๊อคที่เริ่มผสมสูตรได้ที่แล้ว จึงมีความสวยงามขึ้นมามาก
องค์นี้ เป็นมรดกตกทอดจากปลัดเจริญ เพชรนคร สู่ลูกหลานของท่าน
เปิดตำนานหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย แก้วสว่าง, 4 ธันวาคม 2014.
หน้า 6 ของ 12
-
-
มาอ่านนิทานเรื่องเล่าสอนใจกันนะครับ......
มีครอบครัวอยู่สองครอบครัว ครอบครัวหนึ่งคนในครอบครัวนั้นใจดี มีความเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ส่วนอีกครอบครัวนั้นใจร้าย มีแต่ความคิดอิจฉาริษยา เห็นแก่ตัว มีเทวดาองค์หนึ่งอยากทราบถึงสภาพชีวิตจิตใจของคนในเมืองมนุษย์ว่า มีจิตใจดีหรือใจร้ายอยู่มากน้อยเพียงใด จึงได้เสด็จลงมายังเมืองมนุษย์โดยแปลงเป็นพระธุดงค์ เมื่อถึงเมืองมนุษย์ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายแล้ว ก็ตรงไปยังบ้านของคนใจร้าย พบสองสามีภรรยาอยู่ที่บ้านพอดี จึงเอ่ยขึ้นว่า
"โยม อาตมาขอน้ำฉันสักขันหนึ่งเถอะ อาตมาเดินทางมาไกลรู้สึกกระหายน้ำจังเลย"
"น้ำที่บ้านฉันไม่มีเลยท่าน นิมนต์ไปขอที่บ้านอื่นเถอะ"
"อย่างนั้นขออาตมาปักกลดอยู่ในบริเวณบ้านของโยมหน่อยจะได้ไหมโยม"
"คงไม่ได้หรอกท่าน เพราะบริเวณบ้านของฉันมันคับแคบ ไม่มีที่พอจะให้ท่านปักกลดได้หรอก"
"งั้นก็ไม่เป็นไร อาตมาลาก่อนละนะโยม" ว่าแล้วพระธุดงค์ก็เดินออกจากบ้านสามีภรรยาใจร้ายไปด้วยความผิดหวัง คิดในใจว่า "นี่หรือน้ำใจของมนุษย์ที่มักแสดงตนว่าตนเองเป็นสัตว์ประเสริฐ"
พระธุดงค์ก็เดินทางต่อไป จนถึงบ้านของคนใจดีสองสามีภรรยาเห็นพระธุดงค์เข้า ก็รีบลงจากบ้านมายกมือไหว้ แล้วพูดกับพระธุดงค์ว่า
"พระคุณเจ้าจะไปไหนหรือครับ นิมนต์ขึ้นบนบ้านก่อนครับ" สามีพูด
"ขอบใจมากโยม อาตมาธุดงค์มาเพื่อโปรดญาติโยมนี่แหละ"
"ขอบพระเดชพระคุณท่านมาก ที่ได้เมตตามาโปรดถึงที่นี่ ขอท่านได้ฉันน้ำแก้กระหายก่อนครับ" สามีพูดพร้อมกับยกน้ำขึ้นถวาย แล้วพูดต่อไปว่า
"คืนนี้ ผมขอนิมนต์ท่านปักกลดอยู่ที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งธุดงค์ไปไหนนะครับ เพื่อผมสองคนจะได้มีโอกาสได้ทำบุญบ้าง"
"ขอบใจมากจ้ะโยม โยมมีน้ำใจต่ออาตมามากเหลือเกิน อาตมาจะไม่ลืมบุญคุณของโยมเลย" พระธุดงค์พูด
คืนนั้นพระธุดงค์ได้ปักกลดอยู่ในบริเวณบ้านของสามีภรรยาผู้ใจดีนั้น ครั้นถึงรุ่งเช้า สองสามีภรรยาได้นำอาหารมาถวายพระธุดงค์ เมื่อพระธุดงค์ฉันอาหารเสร็จแล้ว ก้ได้ให้พรสองสามีภรรยา และท่านได้พูดกับสองสามีภรรยาผู้มีน้ำใจว่า
"โยม ก่อนที่อาตมาจะจากโยมไป อาตมาไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนในน้ำใจอันประเสริฐของโยม นอกจากต้นไม้ต้นนี้ ขอให้โยมนำไปปลูกดูแลให้ดีเถิด" พระธุดงค์พูดแล้วก็ส่งต้นไม้นั้นให้สามีคนใจดี
เมื่อพระธุดงค์จากไปแล้ว สองสามีภรรยาแห่งบ้านคนใจดีก็นำต้นไม้นั้นไปปลูกไว้ใกล้ๆ บ้านของตน ชั่วเวลาเพียง ๗ วันเท่านั้น ต้นไม้วิเศษต้นนั้นก็โตวันโตคืน โตจนโอบไม่รอบ สองสามีดีใจมากจึงปรึกษากันว่าจะอาต้นไม้นั้นไปทำอะไรดี
ในที่สุดก็ตกลงโค่นต้นไม้นั้น แล้วนำมาทำครกกับสากตำข้าว พอทำเสร็จแล้วก็เอาข้าวมาตำ ข้าวกระบุงหนึ่งตำมาออกได้หลายสิบกระบุง ยิ่งตำข้าวมากก็ยิ่งออกมามากออกมาไม่หยุด ทำให้สองสามีภรรยาแห่งบ้านคนใจดีร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นคนมีอันจะกิน มีฐานะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
เรื่องครกตำข้าวของบ้านคนใจดี ได้ลือไปถึงบ้านของคนใจร้ายสองสามีภรรยา บ้านคนใจร้ายจึงคิดอยากจะได้ครกวิเศษลูกนั้นมาตำข้าว จะได้ร่ำรวยอย่างครอบครัวของคนใจดีบ้าง
เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงตรงไปยังบ้านของคนใจดีทันที ครั้นถึงภรรยาของบ้านคนใจร้ายก็เอ่ยขึ้นว่า
"นี่ท่านทั้งสอง ฉันขอยืมครกกับสากของท่านไปตำข้าวที่บ้านของฉันสักวันจะได้ไหมจ้ะ"
"ได้สิจ้ะ อย่าว่าแต่วันเดียวเลย จะยืมกี่วันก็ได้ ตำข้าวเสร็จเมื่ไรก็นำเอามาคืนก็แล้วกัน ฉันไม่หวงหรอก" ภรรยาบ้านคนใจดีพูด
"อย่างนั้นก็ขอบใจท่านทั้งสองมาก ที่ได้ให้ครกกับสากฉันขอยืม ฉันลาก่อนละนะ อีกสองสามวันจะเอามาคืน" ภรรยาบ้านคนใจร้ายพูด แล้วก็ช่วยกันกลิ้งครกไป
เมื่อถึงบ้านของตน ทั้งสองสามีภรรยาบ้านคนใจร้ายก็รีบนำข้าวเปลือกมาตำ ตอนแรกทดลองใส่ข้าวไปหนึ่งกระบุงก่อนแล้วก็ลงมือตำ
ตำไปได้สักพักปรากฏว่าข้าวหดตัว ลดเหลือเพียงครึ่งกระบุง จึงใส่ข้าวเปลือกลงไปสองกระบุง ตำแล้วข้าวหดตัวเหลือเพียงหนึ่งกระบุง ยิ่งเอาข้าวมาตำมากเท่าไหร่ ข้าวก็หดลดน้อยลงเท่านั้น จนทั้งสองสามีภรรยาไม่กล้าเอาข้าวมาตำอีก
ด้วยความโกรธสองสามีภรรยาแห่งบ้านคนใจร้าย จึงช่วยกันเอามีดมาผ่าครกกับสากที่ขอยืมมาจากบ้านคนใจดีจนแหลกใช้การไม่ได้
ฝ่ายสองสามีภรรยาแห่งบ้านคนใจดี เมื่อทราบข่าวว่า ครกกับสากของตน ที่คนใจร้ายขอยืมไปนั้น ถูกฟันทำลายจนแหลกใช้การไม่ได้ ก็เดินทางไปยังบ้านของคนใจร้าย พบเศษครกกับสากทิ้งอยู่เกลื่อนก็เก็บเอาทั้งหมด แล้วนำกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้านแล้ว สองสามีภรรยาบ้านคนใจดีก็ปรึกษากันว่า จะนำเศษไม้มาทำอะไรกันดี ในที่สุดก็ตกลงว่าจะทำหีบใส่ของ ชั่วเวลาไม่นาน ทั้งสองสามีภรรยาก็ช่วยกันทำหีบไม้ได้สำเร็จดังใจ
เมื่อได้หีบไม้มาแล้วก็นำเอาเงินและทองที่เก็บสะสมมาเป็นเวลานาน ซึ่งมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นใส่ลงไปในหีบ
ครั้นวันรุ่งขึ้น ได้นำหีบมาเปิดดูก็พบทองคำเต็มหีบ ทั้งสองสามีภรรยาบ้านคนใจดีจึงร่ำรวยยิ่งขึ้น
เรื่องหีบวิเศษของบ้านคนใจดีได้ลือไปถึงบ้านของคนใจร้ายอีกเช่นเคย สองสามีภรรยาบ้านคนใจร้าย จึงคิดอยากจะได้หีบวิเศษนั้นมาใส่เงินทองของตน จะได้ร่ำรวยอย่างครอบครัวของคนใจดีบ้าง
เมื่อคิดดังนั้นแล้วจึงตรงไปยังบ้านคนใจดีทันที ครั้นถึงภรรยาของบ้านคนใจร้ายก็เอ่ยขึ้น
"นี่ท่านทั้งสอง ฉันขอยืมหีบของท่านไปใส่เงินใส่ทองบ้างจะได้ไหม๊ ฉันอยากจะรวยอย่างท่านทั้งสองบ้าง"
"ได้สิจ้ะ ฉันไม่หวงหรอก แต่อย่าทำลายหีบของฉันอีกก็แล้วกัน" ภรรยาบ้านคนใจดีพูด
"จ๊ะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก ถ้าท่านให้ฉันขอยืม"
"เอ๊า นี่หีบ เมื่อเธอเสร็จธุระแล้วก็รีบนำมาส่งฉันก้แล้วกัน" ภรรยาบ้านคนใจดีพูด พร้อมส่งหีบไม้ให้กับภรรยาบ้านคนใจร้าย ทั้งสองสามีภรรยาบ้านคนใจร้ายเมื่อได้หีบแล้วก็รีบนำกลับมายังบ้านของตน ทันที
เมื่อถึงบ้านก็รีบนำเงินและทองที่เก็บสะสมมาทั้งหมดใส่ลงในหีบ แล้วปิดหีบนำไปเก็บไว้
พอรุ่งเช้าก็รีบนำหีบมาเปิดออกดู ในใจทั้งสองคนคิดว่าคงจะมีทองคำเต็มหีบอย่างแน่นอน แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม ปรากฏว่าในหีบใบนั้นมีแต่ก้อนหินเต็มไปหมด
ทั้งสองสามีภรรยาบ้านคนใจร้ายเห็นดังนั้น ต่างหน้ามืดจะเป็นลมด้วยความโกรธ จึงหยิบหีบใบนั้นทุ่มลงกับพื้นจนหีบแตกกระจาย เพราะหีบวิเศษทำให้เขาประสบหายนะล่มจม เงินทองที่หามา
ได้ตลอดชีวิตไม่มีเหลือเลย กลายเป็นหินไปหมดนั่นเอง
ข้อคิดคติสอนใจนั้นมีอยู่ว่า.......
๑. คนที่มีความเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ทำสิ่งใดก็จะประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง
๒. คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ไม่เคยเป็นผู้ให้ จิตใจคับแคบ ทำสิ่งใดก็จะประสบแต่อุปสรรคและความหายนะ
๓. ความโลภอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน จะนำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัว -
"ชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายเกิดมาได้พบกับสิ่งทั้งหลาย ซึ่งก็หมายความถึงทุกสิ่งด้วย ทุกสิ่งที่เกิดมีอยู่ เป็นไปอยู่ ทุกสิ่งที่ว่านี้มันก็คือธรรม ชีวิตจึงอยู่กับทุกสิ่งตลอดเวลา การรู้อยุ่กับทุกสิ่ง ก็เรียกว่า รู้ธรรม ธรรมที่มันเป็นธรรมดา....ธรรมคือทุกสิ่ง เราอยู่กับทุกสิ่ง จึงต้องรู้ธรรม"
จะเห็นว่าคนไทยเรานั้นผูกพันยึดมั่นในความเชื่อเรื่องพระเครื่องกันมายาวนาน การแขวนพระนั้นก็ เพื่อที่จะเตือนสติให้คนเรานั้นกระทำความดี จะได้ไม่ไปพลั้งเผลอทำในสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่ชั่วร้ายใดๆ ซึ่งเมื่อได้ห้อยพระเครื่องตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการตามความเชื่อกันแล้ว โบราณเรานั้นจะถือกันว่าเป็นการห้อยพระเป็นโดยที่มีพุทธคุณหรือพุทธานุภาพเป็นการบ่งบอกอย่างเชื่อมั่นได้และในอีกด้านหนึ่งนั้นนอกจากวัตถุประสงค์หลักดังกล่าวแล้ว พระเครื่องก็ยังเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจและคอยยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจให้ยึดมั่นกันอีกด้วย เราจะเห็นว่าพระเครื่องในพิมพ์หรือปางต่างๆที่เห็นกัน นั้น ยังแฝงนัยแห่งความเชื่อตามหลากหลายพิมพ์ซึ่งมีทั้งพิมพ์นั่งสมาธิ พิมพ์ปางมารวิชัย พิมพ์ลีลา หรือพิมพ์พระนอน เป็นต้นฯลฯ ซึ่งแต่ละพิมพ์นั้นอาจมีความหมายตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงแสดงอากัปกิริยาต่างๆไว้แต่หลักการที่สำคัญคงหนีไม่พ้นหลักของกรรม และ การมีสติระลึกเสมอว่า เรามีพระนำหน้าอยู่ทีคอที่หน้าอก จะไปทำชั่ว ก็ควรละอายกับพระที่แขวนบ้าง ถ้าทำได้แบบนี้พระก็ศักดิ์สิทธิ์ คนก็ขลังครับ ก็เปรียบเสมือนกับเหล่าต้นไม้ต่างๆนั้นมันจะขึ้นได้ต้องมีดิน มีปุ๋ย พระเครื่องจะสถิตอยู่ได้ต้องอยู่กับคนดี คนไม่ดีก็เหมือนหิน เหมือนปูน เอาเมล็ดพืชวิเศษแค่ไหนไปเพาะไปปลูกก็คงโตเป็นต้นไม้ไม่ได้ ก่อนจะห้อยพระเครื่องเพื่อขอพลานุภาพที่ดีอย่างเชื่อมั่นนั้นตัวเราเองต้องมีใจและกายให้บริสุทธิ์พร้อมด้วย ก่อนที่จะรองรับกับสิ่งเป็นมงคลนั้นไปด้วย.....
คงตอบโจทย์ได้แล้วว่าเราแขวนพระไว้ทำใม และความศักดิ์สิทธิ์มันอยู่ตรงไหน
ฉะนั้นเราคววรหมั่นทำบุญทำทานเพื่อระลึกถึงคุณพระพุทธคุณพระธรรมคุณพระสงฆ์ เพื่ออานิสงฆ์ผลบุญแก่ตัวเอง เพื่อให้ตนเองบริสุทธิ์ทางกายวาจาใจ ทานที่ให้หรือบุญที่จะทำจะได้มีผลมีอานิสงส์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งในการทำบุญด้วยจิตศรัทธาที่แท้จริงจึงได้ประสบผลบุญตามปรารถนาตลอดมาสังคมนั้นจะมีแต่ ความสงบสุขอย่างแท้จริง สังคมจะอยู่ด้วยความรักความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และเป็นมิตรกันได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงเชื้อชาติและศาสนาได้ ดังนั้นการใช้พระให้เกิดผลที่ดีเพื่อให้ได้อานิสงฆ์ที่มากหลายและความสุขเจริญในชีวิตนั้นเราควรทำบุญทำทานรักษาศีลด้วยจิตศรัทธาอย่างแท้จริงและเชื่อมั่นได้ก็จะเกิดผลประโยชน์ที่ดีและสำเร็จดั่งปรารถนาทุกประการได้
-
ตัวอย่างส่วนแบบหนึ่งของลูกอมหลวงปู่ทิมในยุคที่ปั้นทำกันในหลายแบบโซลเพื่อนำมาแจกและบูชา -
ศรัทธาเป็นความเชื่อของบุคคลต่อสิ่ง ต่างๆ สำหรับพุทธศาสนาจะกล่าวถึง "ศรัทธา 4" คือ เชื่่อกฏแห่งกรรม เชื่อผลแห่งกรรม เชื่อว่าสรรพสัตว์มีกรรมของตนเอง และความเชื่อในการตร้สรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งศรัทธาที่เป็นคุณสมบัติประจำของชาวพุทธนี้เอง ก่อให้เกิดการปฏิบัติในการให้ทาน การรักษาศีล และการปฏิบัติภาวนา/สมาธิ เพื่อให้ตนพ้นทุกข์ก้าวสู่สายธารแห่งธรรม นำจิตวิญญานให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร
การทำ จิตให้สงบ คือการวางให้พอดี ตั้งใจเกินไปมากมันก็เลยไป ปล่อยเกินไปมันก็ไม่
ถึง เพราะขาดความพอดี ธรรมดาจิตเป็นของไม่อยู่นิ่ง เป็นของมีกิริยาไหวตัวอยู่เรื่อย ฉะนั้นจิตใจของเราจึงไม่มีกำลัง
ความมี สติระลึกได้ในเหตุในผลในเรื่องทั้งปวง ที่เกิดขึ้น ที่ประสบพบผ่าน และที่พูดที่ทำด้วยตนเอง ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ย่อมเป็นเหตุให้รอบคอบใคร่ครวญก่อนที่จะพูดจะฟังจะทำการทั้งปวง
เพราะสติ ความระลึกได้ ย่อมจักทำให้ระลึกได้ว่า การพูดการทำสิ่งใดเป็นคุณหรือโทษอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการพูด การทำของตนเอง หรือการพูดการทำของผู้อื่นใดที่ตนประสบพบผ่านก็ตาม
ความ มีสติระลึกได้ จะทำให้เว้นจากการพูดการทำสิ่งที่เป็นโทษจะพูดจะทำแต่สิ่งที่เป็นคุณ เป็นการไม่ทำให้ความไม่ดีเกิดซ้ำรอย เป็นการทำให้ความดีเกิดเนืองๆ
ความ มีสติระลึกได้ จะทำให้เว้นจากการพูดการทำสิ่งที่เป็นโทษไม่เป็นประโยชน์จะพูดจะทำแต่สิ่ง ที่เป็นคุณเป็นประโยชน์สติความระลึกได้เช่นนี้มีคุณนัก เปรียบได้ทั้งหางเสือเรือคอยบังคับเรือชีวิตให้สวัสดี และเป็นได้ทั้งครูอบรมสั่งสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักพาล รู้จักบัณฑิต คือรู้จักคนชั่วดี.....
-
-
ลูกอมชุบบล็อนที่เกิดจากอายุและกาลเวลาการเก็บจึงเกิดการลอกผิวตัวในลักษณะการทำ โดยมีการสร้างทำในหลากหลายรูปแบบซึ่งมีทั้งที่การเอาทองมาทาและการเอามาคลุกกับผงบล็อกทองเลยหรือที่เรียกกันว่า บล็อนฝุ่น ซึ่งการแยกแยะลักษณะของการเคลือบนั้นต้องมีความถูกต้อง ระหว่างการชุบ การทา และการคลุก -
-
หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
สำหรับผู้ที่ได้รับพระไปขอให้ติดตัวเก็บรักษาไว้ให้ดี หมั่นทำแต่ความดี คิดดี พูดดี ทำดี แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรื่องดีๆก็จะมีแต่ท่านเสมอ เรื่องร้ายๆที่เข้ามาจากหนักก็จะกลายเป็นเบาแล้วแต่พรมลิขิตของแต่ละคน ใครที่เคยทำกรรมอะไรที่ไม่ดีไว้ ก็ขอให้ระลึกเอาไว้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีเพื่อที่เราจะได้หลีกเลี่ยง ต่อไปนี้ขอให้เราทำแต่ความดีด้วยใจที่แท้จริง ด้วยสัจจะปณิธานที่เราตั้งไว้ ประกอบกับเราได้นับถือหลวงพ่อทิม อิสริโก และได้ใช้วัตถุมงคลของท่านอันบริสุทธินี้ ขอให้ทุกท่านเป็นคนดีมีสัจจะ จงทำจิตให้นิ่ง ตามคำสอนของหลวงพ่อทิม วัดละหารไร่ ที่ท่านได้พร่ำสอนแด่ลูกศิษย์ลูกหาอยู่เสมอ หมั่นทำบุญ ระลึกถึงคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คุณพระมหากษัตริย์ คุณผู้ใดที่ทำให้เราเป็นคนดี ให้เราระลึกอยู่เสมอ ด้วยบุญกุศลที่ทุกท่านได้สร้างบารมีสะสมความดีและทำบุญตามเจตนารมณ์ที่ดีขอจงประสิทธิ์
"ขอเราหมั่นทำความดีสร้างบารมีไว้เถอะครับ สักวันสิ่งที่ท่านปรารถนาก็จะตามมาเอง"
__________________ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ท่านได้ศึกษาและเรียนรู้ถึงหลักของพุทธศาสนาที่ดี เพื่อดำเนินตามหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อประโยชน์อันดีที่จะนำหลักธรรมคำสั่งสอนไปเผยแพร่หรือได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีที่ให้คนเรานั้นได้เข้าใจในจุดมุ่งหมายหลักสำคัญของหลักธรรมที่ดีได้ การศึกษาและเรียนรู้ในวิชาอาคมและไสยศาสตร์ซึ่งถือเป็นศาสตร์สำคัญอย่างหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาเรียนรู้ควบคู่กับหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่ดีเพื่อให้เข้าใจกัน เมื่อศึกษาเรียนรู้เข้าใจกันอย่างลึกซึ้งและสื่อสัมพันธ์กันได้ดีแล้ว เมื่อคนเราได้นำไปปฏิบัติตามหลักแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาและสามารถเข้าใจในศาสตร์สำคัญต่างๆได้ตามความเชื่อถือก็จะเกิดผลในสิ่งที่ดีๆได้ เมื่อเป็นเช่นนี้การถือวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังก็จะมีอิทธิพลสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิตคนเราเป็นอย่างมาก การถือครองวัตถุมงคลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตคนเราที่ถือเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าที่จะนำพาชิวิตมนุษย์ที่เกิดศรัทธาจากใจให้ไปสู่จุดมุ่งหมายในสิ่งที่ดีและที่ต้องการได้ เราจะเห็นว่าการสร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังนั้นคนที่จะสามารถปลุกเสกได้จะต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์สามารถเรียนรู้เข้าใจในหลักของพุทธศาสนาโดยถ่องแท้ได้ เพื่อให้ผู้ที่ได้นำไปใช้สามารถเข้าถึงพระพุทธเจ้าตามหลักคำสอนโดยแท้จริงได้
" มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาบนโลกนี้ ต่างก็มีกรรมเก่าที่ติดมาจากภพชาติก่อนๆ ในชีวิตที่มาเกิดใหม่นี้ เป็นโอกาสและทางเลือก ที่เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไร จะปล่อยไปตามเวรตามกรรมหรือจะเกิดมาเพื่อสร้างสมบารมี สร้างสมบุญกุศล อันนี้ก็สุดแล้วแต่เราจะเลือกเอาเอง
แต่....จำไว้เสมอว่า ทุกสิ่งที่เราคิด ทุกสิ่งที่เราพูด หรือ ทุกสิ่งที่เรากระทำไปนั้น นั่น คือ..... กรรม "
ไฟล์ที่แนบมา:
-
%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A11.jpg
- ขนาดไฟล์:
- 26.4 KB
- เปิดดู:
- 1,200
-
-
หลวงปู่ทิมท่านเคยกล่าวกับลูกศิษย์อยู่เสมอให้ทุกคนมุ่งมั่นในการทำความดี ท่านไม่ได้สอนให้ยึดติดในเรื่องของพระเครื่อง ท่านจะสอนในเรื่องของการทำจิตให้นิ่งเพื่อที่จะต้องดำเนินชีวิตที่ดีต่อไปในวันข้างหน้า สอนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ พระเครื่องนั้นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าโดยมีพระอริยะเจ้าเป็นผู้สืบสานหรือสืบต่อเพื่อให้ทุกคนยึดมั่นในการทำความดี ถ้าทุกคนยึดมั่นทำความดีพุทธคุณของคุณพระก็จะคุ้มครองในความดีที่ได้ปฏิบัติ แต่ถ้าผู้นั้นกระทำตนไม่ดีคุณพระก็ย่อมไม่คุ้มครองถึงแม้จะแขวนพระต่างๆมากมายหลายองค์ก็ตามที หลวงปู่ทิมท่านได้สอนในเรื่องกฎแห่งกรรม เมื่อเราตายไปมันก็ย่อมจะตกเป็นมรดกของคุณรุ่นหลังหรือของแผ่นดิน คนมีปัญญาย่อมจะใช้จ่ายให้เกิดสาระได้ สิ่งที่เหมือนเงาตามตัวเราไปในชาติหน้านั้น มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น สิ่งอื่นหามีติดไปมิได้เลย จงห่วงตัวเองเถิดว่าตายแล้วมันจะไปนรกหรือสวรรค์ เมื่อเราอยู่ในภพนี้เราทำดีแล้วหรือยัง! การได้เกิดมาเป็นคนนั้นถือว่าเป็นต้นทุนเพื่อการสร้างบุญสร้างกุศลให้เป็นกำไรชีวิตเพื่อผลบุญในวันข้างหน้า พยายามสร้างชีวิตของตัวเองที่ว่า “มองข้างหน้ามีความหวัง มองข้างหลังมีความสุข” ดีกว่า เหมือนกับการสร้างความดีจะมีความสุขภายหน้า ถ้าสร้างความชั่วจะมีความทุกข์ภายหน้า ดั่งคำกลอนที่ว่า “มนุษย์เราเอ๋ย อย่าหลงนักเลย ไม่มีแก่นสาร อุตส่าห์ทำบุญ ค้ำจุนเอาไว้ จะได้ไปสวรรค์ จะได้ทันพระเจ้า จะได้เข้านิพพาน” ฉะนั้น เกิดมาชาติหนึ่งแล้วจึงควรมุ่งสร้างแต่ความดี เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ชนรุ่นหลังปฏิบัติเจริญรอยตาม ซึ่งเป็นกุศลค้ำจุนตัวเองให้พบแต่ความสุขทั้งในภพนี้และภพหน้า และใคร่ขอให้ทุกคนพิจารณาด้วยความไม่ประมาท......
เรามีความแก่เป็นธรรมดา...หนีความแก่ไปไม่พ้น.
เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา...หนีความเจ็บไปไม่พ้น.
เรามีความตายเป็นธรรมดา...หนีความตายไปไม่พ้น.
เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่ชอบใจ เป็นธรรมดา...เราหนีจากกฎเกณฑ์ข้อนี้ไปไม่พ้น.
เราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว...เราจะหนีจากผลที่เราได้ทำไว้ไม่ได้เด็ดขาด.
“การทำตามคำสอนของตถาคต ก็คือ ไม่โกรธในการประทุษร้ายของโจรคนนั้น แม้เขาจะเลื่อยขาเราก็ยังไม่โกรธ เรามีความควบคุมจิตใจได้ เราอดได้ เราทนได้ เรายิ้มรับกับเหตุการณ์ได้ นั่นแหละชื่อว่าได้ ปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า.”
สิ่งที่ควรรู้ไว้ที่จริงมีอยู่ไม่กี่อย่างครับ เรื่องพลังและอภินิหารย์ของวัตถุมงคลนั้นน่าสนใจอยู่มาก โดยเฉพาะของที่มีพรายมีภูติยิ่งชวนให้อยากเห็นอยากลอง
แต่จะมีสักกี่คนที่ได้เห็นได้รู้ว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่เที่ยงแท้ เป็นทุกข์ หาตัวตนมิได้และไม่ใช่ของเรา "มะอะอุ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พุทโธ พุทโธ" นี่คือความหมายโดยสรุปในคาถาหลวงปู่ทิม
เคยสังเกตุบ้างไหม คาถาต่างๆที่หลวงปู่ทิมให้พวกเรามา?
ถ้าสังเกตุกันให้ดี คาถาของหลวงปู่ทิม ที่ท่านสอนศิษย์นั้น แต่ละคาถาจะมีความหมายไม่เกิน "พุทธคุณ" และ "มรรคผล" เพราะนี่คือแก่นแท้ของศาสนาพุทธ
ผมเคยแนะนำว่าให้ลองภาวนา คาถา "มะอะอุ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พุทโธ พุทโธ" ไปเรื่อยๆแล้วจะเห็นอะไรดีๆ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเห็นอะไรกันแล้วบ้าง
หากพิจารณาคาถานี้ให้เห็นได้ด้วยจิตเมื่อมีกำลังมากพอ ก็ไม่แน่ว่าท่านอาจเป็นคนที่ได้รับทรัพย์สมบัติอันประเสริฐยิ่งกว่าสมบัติของพระเจ้าจักพรรดิ์ คือ "อริยทรัพย์" คือสำเร็จได้พระโสดาปัตติผล เป็นรางวัลใหญ่ ไม่ต้องลงอบายภูมิอีกต่อไป เป็นผู้แน่นอนแล้วว่าถึงกระแสพระนิพพาน และจะเข้านิพพานได้ในไม่เกิน 1 ชาติเป็นอย่างน้อย หรือ 7 ชาติเป็นอย่างมาก
"มะอะอุ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พุธโธ พุธโธ นี่คือคำกล่าวที่หลวงปู่ท่านสมัยที่ท่านยังดำรงค์ขันธ์อยู่ได้เอ่ยกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดอยู่เสมอ รูปและนาม ขันธ์5การเกิดแล้วดับ อนิจจังสังขารไม่เที่ยง ขอให้พึงระลึกสังวรณ์อยู่เสมอ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่ทุกคนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขอให้ทุกคนหมั่นทำแต่ความดีละเว้นความชั่วไว้ สิ่งที่จะติดตัวไว้ไปจนดับขันธ์ก็คือความดีกับความชั่วที่ทุกคนได้สร้างไว้บนโลกมนุษย์แห่งนี้"ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เรามีความแก่เป็นธรรมดา...หนีความแก่ไปไม่พ้น.
เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา...หนีความเจ็บไปไม่พ้น.
เรามีความตายเป็นธรรมดา...หนีความตายไปไม่พ้น.
เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่ชอบใจ เป็นธรรมดา...เราหนีจากกฎเกณฑ์ข้อนี้ไปไม่พ้น.
เราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว...เราจะหนีจากผลที่เราได้ทำไว้ไม่ได้เด็ดขาด.
ความจริงที่หนีไม่พ้น สาธุครับ -
ผู้มีปัญญา เห็นค่าของตนที่ฝึกแล้ว ย่อมยินดีที่จะเผชิญกับความยาก
ความยาก แม้มากมายเพียงไรก็ตาม ย่อมให้ผลเป็นความมีค่าแห่งจิตใจตน
เป็นความมีค่าแห่งตนเอง เป็นผลที่คุ้มกับความยากลำบาก ที่ต้องต่อสู้เพื่อให้การฝึกตนเป็นไปด้วยดี
คนมีปัญญาย่อมพร้อมที่จะรับความยาก เพียงเพื่อจะได้มีโอกาสฝึกตน
ผู้ที่เป็นคนดีแล้ว ย่อมสามารถฝึกคนไปสู่ความดีงามต่างๆได้
นำตนไปสู่ความเจริญรุ่งเรื่องได้ และสามารถนำผู้อื่นไปสู่ความดีงามต่างๆ ได้ด้วย
ท่านจึงกล่าวว่า
ตนที่ฝึกดีแล้ว เป็นแสงสว่าง
ตนที่ฝึกดีแล้ว เป็นเครื่องนำชีวิต
ตนที่ฝึกดีแล้ว เป็นเครื่องยังชีวิตให้สว่าง
การทำความดีในปัจจุบันย่อมได้รับความสุขในอนาคต และผู้ที่ทำบุญหรือกระทำความดีนั้นยังได้รับความสุข ได้รับผลดีตอบแทนในขณะที่ทำนั้นด้วยความปิติยินดี ความสุขใจสบายใจที่ได้กระทำความดี การได้รับคำยกย่องสรรเสริญว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม การได้รับการปฏิบัติตอบที่ดี ความเป็นผู้มีบุญได้กระทำไว้ก่อน อุปมาด้วยการเรียนหนังสือจนสำเร็จ ได้ประกาศนียบัตรหรือปริญญาบัตร อันเป็นเครื่องแสดงคุณวุฒิให้เข้าทำงานได้ เมื่อทำงานเจริญก้าวหน้า มีตำแหน่งสูงขึ้น มีหลักฐานมั่นคง ก็ได้รับความสุขตามสมควรแก่อัตภาพ ความสุขนั้นเป็นผลของความดี คือการเรียนหนังสือที่ได้กระทำไว้ในอดีต สำหรับความสุขที่ได้รับนี้ เกิดจากการตั้งตนไว้ชอบมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน การคบกับสัตบุรุษเป็นเหตุให้ได้ฟัง ได้ศึกษา รู้จักบาปบุญ และละบาปบำเพ็ญบุญเป็นการตั้งตนไว้ชอบ ซึ่งจะได้รับความสุขอันเป็นผลของบุญในกาลต่อมา ได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้ทำบุญไว้แล้วในกาลก่อน
ทำอย่างไรจึงจะเป็นคนดี.....
มนุษย์ทุกรูปทุกนามมีความรักตนเองมากที่สุด รักตนเองยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก แม้นว่าชายหญิงบางคนที่หวังแอบอิงกัน จะบรรยายกับคนรักของตนเองว่า ฉันรักเธอยิ่งกว่าชีวิตฉัน ฉันพร้อมที่จะสละทุกสิ่งแม้ชีวิตนี้เพื่อเธอได้ แต่ในความจริงนั้น เหตุที่ทุ่มเทความรักให้คนอื่นก็เพื่อมุ่งหวังให้เขารักตนนั่นเอง ยังมีความจริงอีกสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้คนเรารักและเข้าข้างตนเองก็คือ หาก ตนเองทำผิดในสิ่งที่รู้อยู่ว่าผิดเช่น ติดการพนัน ติดเที่ยวกลางคืน ติดสุรา ติดชู้ ก็มักจะมีความรู้สึกฝืนความผิดชอบชั่วดี มีแต่การให้อภัยตนเองอยู่ร่ำไป ไม่คิดจะแก้ไขในสิ่งผิด ใครที่คิดแต่จะทำสิ่งที่ผิดซ้ำซากอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าไม่รักตัวเอง จึงสมควรที่จะต้องแก้ไขตนเองด้วยการงดเว้นจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งปวง จึงจะชื่อว่าเป็นคนที่รักตัวเองอย่างแท้จริง
เมื่อ รักตัวเองจึงจำเป็นต้องสร้างตนเองให้สามารถเป็นที่พึ่งของตนเองได้ ด้วยการขยันหมั่นเพียร ศึกษาหาความรู้ ขยันทำมาหากิน ประกอบอาชีพที่สุจริต คิดสร้างฐานะตนเองให้มั่นคงเพื่อดำรงตนให้เป็นที่พึ่งของตนเองได้ทุกเมื่อ ถ้า เราไม่ฝึกตนให้เป็นคนดี ไม่มีวิชาความรู้ ไม่มีความประพฤติดี ไม่มีความขยันหมั่นเพียร ไม่มีศีลธรรมประจำใจ ชีวิตก็ไปไม่รอด ช้างม้าวัวควายถ้าไม่ได้รับการฝึกก็ไม่สามารถนำมาใช้งานได้ คน เราถ้าพิจารณาเห็นตามที่กล่าวแล้วแล้วว่า ตัวเองยังขาดตกบกพร่องอยู่อย่างไร ก็ต้องรีบแก้ไขในสิ่งผิด ฝึกตนใหม่ให้ดีขึ้นตามลำดับ ก็จะสามารถนำชีวิตไปสู่ความสุขได้ความเจริญได้ อย่าอยู่ไปวันๆ โดยไม่มีความหมาย เกิดมาทั้งทีต้องเอาดีให้ได้
การ ฝึกตนนั้นเป็นสิ่งยากเพราะคนเรามักตามใจตัวเอง เข้าข้างตนเองเสมอ อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากทำอะไรก็ต้องทำ ทั้งที่ตนเองก็รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งผิด สิ่งนั้นชั่ว ทำไปแล้วตนเองจะเดือดร้อนแต่ก็ยังจะทำ คนประเภทนี้เรียกว่า คนมีกิเลสหนาปัญญาต่ำ ย่อมกระทำสิ่งที่ผิดทำนองคลองธรรมได้ทุกอย่าง บางครั้งทำผิดไปแล้วก็รู้ตัวว่าทำผิด แทนที่จะคิดแก้ไขลดละเลิกการกระทำนั้นก็ไม่ยอมทำเช่น คนติดยาเสพติด ติดสุรา ติดบุหรี่ ติดการพนัน เป็นต้นก็ยังไม่ยอมละลดเลิกสิ่งผิดอยู่ดีแล้วจะเป็นคนดีได้อย่างไร เหมือนคนเดินไปเหยียบอุจาระและอาจม ถ้าไม่ล้างออกเท้าจะสะอาดได้อย่างไร
คนเรานั้นถ้าไม่หมั่นพิจารณาตนด้วยตนเอง ไม่คิดจะปรับปรุงตนเองให้อยู่ในศีลในธรรมในระเบียบวินัย อนาคตก็ไปไม่รอด
1.หากรู้ว่าตนเองมีความรู้น้อยก็ต้องฝึกตนเองให้รักการศึกษา
2.หากรู้ว่าตนเองเกียจคร้านก็ต้องบังคับตนเองให้ขยันขันแข็ง
3. หากรู้ว่าตนเองโลเลก็ต้องปรับตนเองให้เป็นคนมั่นคงไม่อ่อนไหวง่าย
4.หากรู้ว่าตนเองบกพร่องสิ่งใดก็ต้องพยายามแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่บกพร่องนั้นให้หมดไป
การ ปรับปรุงตนเองให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ ก็จะสามารถนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จได้ ถ้าไม่ฝึกตนปล่อยตนเองให้เป็นแบบเรือที่ปราศจากหางเสือก็เชื่อได้ว่า เกิดมาชาตินี้เอาดีไม่ได้ (อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม. การฝึกตนเองเป็นของยาก)
หาก เราไม่สามารถเอาชนะกิเลสตัณหาที่ครอบงำจิตอยู่ได้ จิตใจก็จะใฝ่ต่ำชักนำไปในทางชั่วร้าย กล้าทำในสิ่งที่ผิดศีล ผิดธรรม ผิดกฎหมายบ้านเมืองได้ หากเราไม่สามารถบังคับควบคุมจิตใจให้ดีได้ก็จะมีแต่ความทุกข์ความลำบาก
1. หากเอาชนะจิตใจที่โลภได้ ย่อมไม่อยากร่ำรวยในทางทุจริตผิดกฎหมาย
2.หากเอาชนะใจที่โกรธได้ ก็จะไม่ก่อเหตุประทุษร้ายต่อใครให้บาดเจ็บล้มตาย
3.หากเอาชนะจิตที่กำลังหลงงมงายได้ ก็จะไม่มัวเมาประมาท ทำผิดพลาดคิดผิดพลาดในกิจการทั้งปวง
บุคคลที่สามารถชนะจิตใจได้แบบนี้ ย่อมไม่มีเวรมีภัยกับใคร ดีกว่าไปชนะคู่อริด้วยอาวุธ ชนะ ด้วยกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ทำให้ผู้อื่นได้รับได้รับความเสียหายเจ็บแค้น การชนะแบบนี้มีแต่จะนำความพ่ายแพ้มาให้กับตัวเราในที่สุด เป็นชัยชนะที่อาจกลับเป็นผู้พ่ายแพ้ในทีหลัง การชนะกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราได้เป็นการชนะที่ดี อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย การชนะกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตของตนเองได้เป็นความดี
"ความตายเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับทุกๆ ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ คนโง่หรือฉลาด เศรษฐีหรือยาจก ต่างมีสิ่งหนึ่งที่เสมอเหมือนกันหมด ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ นั่นคือความตายนั่นเอง ไม่เพียงแต่บนโลกมนุษย์นี้เท่านั้น ที่จะต้องเผชิญหน้ากับพญามัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ แม้ชาวสวรรค์ทุกชั้นฟ้าที่เสวยทิพยสมบัติ หรือพรหมผู้วิเศษที่เสวยสุขด้วยฌานสมาบัติในพรหมโลกก็ตาม สุดท้ายต่างต้องจุติเหมือนกันหมด มีเพียงพระนิพพานเท่านั้น ที่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ"
-
เมื่อกล่าวถึง พระเครื่อง เมืองระยอง
คนหมายปอง ต้องจิต ให้คิดถึง
มากล้นด้วย เมตตา พาตะลึง
เป็นที่พึ่ง พาใจ ให้เห็นธรรม
พระของท่าน เก็บไว้ ใครไม่สน
บุญของคน มากน้อย คอยส่งถึง
ได้ของดี เก็บไว้ ไม่คำนึง
จิตติดตรึง มายา พาอ่อนกาย
พระเนื้อผง มากมาย หลากหลายพิมพ์
ที่ได้ยิน ได้ฟัง เก็บไว้หลาย
ให้ลูกหลาน ได้มี ไว้คู่กาย
ที่ลุงสาย เก็บไว้ ให้พวกเรา
หลวงปู่ทิม ท่านเสก ด้วยมนต์ขลัง
อีกทั้งยัง ผงวิเศษ อีกมากหลาย
ให้คุ้มครอง ผู้นับถือ ไว้คุ้มกาย
ไม่เสียหาย จากภัยพาล มารผจญ
ปาฏิหาริย์ เกิดแก่ ผู้ศรัทธา
ด้านเมตตา การงาน พาส่งผล
มีพระท่าน อยู่กับตัว ไม่อับจน
จะส่งผล ดลบันดาล งานมากมี
มะอะอุ ทุกขัง อนิจัง อนัตตา
จะนำพา ชีวิต มีสุขขี
ไม่ไปอยู่ ในนรก และโลกี
ชัวชีวี มีสุข ทุกคืนวัน
น้อมดวงจิต ระลึก คุณของท่าน
ความดีนั้น คงอยู่ ไม่รู้หนี
เราลูกศิษย์ หลวงปู่ อยู่ตรงนี้
บุญที่มี บูชาคุณ หลวงปู่ทิมไฟล์ที่แนบมา:
-
-
"พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงจิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งนี้แล้ว ไม่มีอะไรตั้งอยู่เลย"
"จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย"
"จิตหนึ่งเท่านั้นที่เป็นพระพุทธะ ดังคำตรัสที่ว่า :-
"ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นเรา
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"
ขออนุญาติเล่าประสบการณ์ส่วนตัวหลังจากได้รับลูกอมนะครับพอดีผมเคยฝึกจับพลังอิทธิคุณในพระเครื่องมาครับ ต้องบอกตรงๆว่าลูกอมนี้แรงมากมีพลังครอบจักรวาลออร่าที่เห็นจะกว้างกว่าวัตถุมงคลอย่างอื่นอยู่นิดหน่อยและจะเป็นสีฟ้าๆกึ่งม่วงขอบเป็นเส้นสีทอง แต่จะมีความพิเศษเพิ่มมาหนึ่งอย่าง คือเวลาตั้งจิตเพื่อจับพลังรู้สึกได้ชัดเจนว่าลูกอมมีการเคลื่อนไหวอุปมาคล้ายกับจับลูกอมที่เปลือกเป็นยางแล้วข้างในมีการเคลื่อนไหวกลิ้งไปมาหรือจะให้เทียบอีกอย่างคือรู้สึกเหมือนเวลาจับหน้าท้องของผู้หญิงตั้งครรภ์ที่เด็กกำลังดิ้นอยู่ข้างในครับผมพูดตรงๆว่าเคยสัมผัสพระที่มีพลังมามากแต่ลูกอมนี้มีความพิเศษจริงๆประกอบกับตัวผมเองศรัทธาหลวงปู่มากจึงตั้งใจว่าจะนำไปเลี่ยมเพื่อพกติดตัวเลยครับ
มีบางอย่างที่เหนือเหตและผล แต่ทุกอย่างไม่เหนือกฏแห่งกรรม
ผมอยากบอกว่าพระหรือวัตถุมงคลของหลวงปู่ทุกชิ้นมีเทพไท้เทวารักษาอยู่ มีคนที่เคยได้รับลูกอมเนื้อขาวแบบมีห่วงจากผมไปเขาบอกว่าพวกที่เล่นคุณไส ย์มืด ไม่สามารถจับได้เลยจับแล้วต้องวิงเวียนหรือมึนหัวตลอดหนักๆถึงขั้นต้อง อาเจียนออกมาเลยทีเดียว
คราวนี้มาถึงหลักการบูชาพระหรือวัตถุมงคลของหลวงปู่ที่ผมใช้อยู่เสมอ เอาเป็นว่ามาบอกเล่าเก้าสิบให้ฟังกันซึ่งก็อาจจะตรงกันกับพี่ๆหลายๆท่านนะ ครับ หลักสำคัญคือการใช้จิตสร้างมโนภาพหรือจินตนาการเช่นสร้างภาพว่าเป็นเมตตามหา นิยมให้เห็นภาพว่าไปไหนคนก็ให้ความเมตตายิ้มแย้มแจ่มใสให้เป็นอย่างดีแล้วก็ อธิฐานขอหลวงปู่ และหลักที่สำคัญที่อาจารย์แก้วสว่างย้ำบอกเสมอเรื่องการใช้ของให้ขึ้น สิ่งที่สำคัญคือ "เราต้องเป็นคนดี มีสัจจะ" ถ้าทำได้แล้วคราวนี้เราจะใช้วัตถุมงคลหลวงปู่ชิ้นไหนก็จะสัมฤทธิ์ผลและนำพา เราไปสู่ความสำเร็จตามบุญกรรมที่เราทำมา(ของของหลวงปู่มีเทพไท้เทวารักษาทุก ชิ้น)
ปล.หากเน้นอิทธิฤทธิ์ให้ใช้เครื่องราง หากเน้นความร่มเย็นให้บูชาพระเครื่องครับ
หวัดดีครับ ผมว่าการคล้องพระ ที่ให้ได้ผลกับตัวเรา ควรจะคล้องพระที่เรานับถือศรัทธาเป็นที่ตั้ง จะดีที่สุด เพราะถ้าคล้องตามแฟชั่น ตามค่านิยม มักจะไม่ได้อะไรเลย จะได้แต่กลุ่มเพื่อนฝูงเป็นหลัก แต่ผลตามมาจะไม่มีอะไร สู้ที่เราเคารพศรัทธา และยึดมั่นในครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อมั่น และคล้องใช้เฉพาะท่าน จะกี่องค์ก็ได้ จะเห็นผลได้ดีกว่า ในเรื่องเมตตา แคล้วคลาด ปลอดภัย จะส่งผลให้แน่นอน ไปไหนมาไหน สะดวกสบายครับ ในเรื่องลูกอมของหลวงปู่ ที่มีพรายประจำอยู่ ผมว่ามีอยู่จำนวนมากครับ หลวงปู่ได้ดึงดวงจิต ดวงวิญญาณของเด็กที่ตาย จากผงพราย จากดวงจิตที่เร่ร่อน มาประจุไว้ในลูกอม เป็นจำนวนมาก เพื่อให้เขาได้สร้างบุญสร้างกุศล ให้กับตัวเขา เพื่อจะได้มีภพภูมิที่ดีต่อไป ในลูกอมไม่ว่าของวัดละหารไร่ ลูกอมสีขาวที่มีห่วง ที่ อ.แก้วสว่าง ได้แจกให้กับสมาชิกไปนั้นจะมีพรายกุมาร ประจำอยู่แทบทั้งสิ้น ผมยังแปลกใจเลยว่า ในลูกอมสีขาว(ผงพุทธคุณ) ทำไมมีพรายกุมารด้วย ได้สอบถามอาจารย์ผมและเพื่อนที่สายปฏิบัติ ว่าหลวงปู่ได้ดึงมาประจุอย่างที่กล่าวไปแล้วครับ ในลูกอมสีขาวแบบมีห่วง เป็นพรายกุมารกึ่งพรายกึ่งเทพ มีชุดครบเครื่อง แสงทองเหลืองอร่าม เลยครับ เป็นเด็กน่ารักครับ ใครมีก็ถือว่าโชคดีครับ เขาจะคอยช่วยเหลือในยามคับคันหรือเพศภัยต่างๆ ถ้าใครสื่อกับเขาได้ จะดีมากๆ เพราะรู้อะไรก่อนทุกครั้ง -
อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป
พุทธะบูชา มหาเตโช
ธัมมะบูชา มหาปัญโญ
สังฆบูชา มหาโภคาวะโต
อานิสงส์ของการสร้างพระพุทธรูปนั้น จะสร้างด้วยวัตถุใด ๆ ก็แล้วแต่ ย่อมมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ จะเกิดในภพใดภูมิใดไม่ว่ามนุษย์และเทวดา อินทร์พรหมทุกหมู่เหล่าจะได้เป็นประมุข ประธาน มียศ วาสนา อำนาจ และบริษัทบริวารมาก เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ จะได้เกิดเป็นบรมกษัตริย์ สมบูรณ์ด้วยสมบัติบริวาร และจะได้เกิดเป็นพระบรมจักรพรรดิติดต่อกันถึง 10 ชาติ บริบูรณ์ด้วยลาภยศสรรเสริญทุกประการ จะไปในทิศหนตำบลใดย่อมมีเทวดาและมนุษย์บูชาในที่ทั้งปวง ถ้าปราถนาเป็นสาวกบารมีญาณ สาวิกาบารมีญาณ ปัจเจกภูมิและพระพุทธภูมิสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมสัมฤทธิ์สำเร็จตามความปราถนาทุกประการ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณอันงดงาม เหมือนทองคำชมพูนุท เป็นผู้มีเสียงไพเราะ เป็นผู้มีทรวดทรงดี เป็นผู้มีรูปสวยงาม เป็นใหญ่ในที่ทั้งปวง ไม่ว่าจะเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้มีบริวารมากและบริวารเคารพในที่ทุกสถานในกาลทุกแห่ง เป็นพระราชามหากษัตริย์ เป็นพระเจ้าบรมจักรพรรดิ เป็นพระราชาแห่งเทพยดาในเทพนิกายทั้งหลาย เป็นท้าวสักกะเทวราชและท้าวมหาพรหม สมบัติอันพึงรื่นรมย์ในเทวโลกและมนุษย์โลก ความที่อาศัยคุณเครื่องถึงพร้อมด้วยมิตรแล้ว เป็นผู้มีปัญญาตั้งมั่นในสัมมาทิฎฐิ เป็นผู้ชำนาญในวิชาและวิมุติ มีปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ และวิโมกข์ ๓ และสาวกบารมีญานสาวิกาบารมีญาณ ปัจเจกโพธิญาณ พุทธภูมิ อิฐผลทั้งปวงนั้น เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมได้ด้วยบุญนิธินั้น คุณเครื่องถึงพร้อมคือบุญนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่อย่างนี้
โปรดอย่าลืมว่า การทำบุญที่ได้บุญมากนั้น “เจตนา” นั้นสำคัญมาก เป็นแรงส่งชั้นดี การทำบุญด้วยวัตถุอันเลิศ โดยปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใดๆ ทำไปด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่มั่นคง ประกอบด้วยศรัทธาอันดี ถึงพร้อมด้วยปิติเบิกบานใจ ผลบุญที่ได้ย่อมไพบูลย์ฉันนั้น.......
การให้ทานทำบุญ มันติดอยู่ที่ใจ ซึ่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ไม่สามารถทำอันตรายกับจิตใจ ซึ่งมีอริยทรัพย์ คือ ศรัทธา เป็นต้น มีความเชื่อมั่นในการให้ทานเป็นต้น ทั้งผู้ให้ทาน ทั้งผู้รับทาน ย่อมมีความเอิบอิ่ม เบิกบาน เป็นทิพย์อยู่เสมอ ล่วงไปหลายเดือน หลายปี หลายสิบปี นึกขึ้นมาคราใด ใจก็เป็นสุขสบายทุกครั้งที่ระลึกถึงการให้ทานทำบุญนั้น เพราะฉะนั้น นิพพานก็คงอยู่ที่ใจนั้นเอง เพราะใจไม่ต้องอาศัยพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนักขัตฤกษ์ ไม่ต้องมีฤดูกาล เป็นอกาลิโก ไม่ประกอบด้วยเวลา เป็นธัมโมปทีโป สว่างทั้งกลางคืน กลางวัน เห็นได้รู้ได้ที่ใจ นิพพานได้ที่ใจ ที่วิมุติหลุดพ้นทั้งอัตตาและอนัตตา
-
วันพระนี้ขอกราบบูชา ครูบาอาจารย์ที่เคารพและศรัทธา ด้วย พวงมาลัย ครับ
กราบกราบกราบ
-
"อย่ามีความหลงใหลใฝ่ฝันในชีวิต
จงอย่าคิดว่า เราไม่ตายเราไม่แก่
ให้คิดถึงอริยสัจเสียก่อนเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะทุกขสัจ
พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ว่าสอนใครทั้งหมด
เมื่อขึ้น สุดท้ายท่านก็ลงอริยสัจ
คิดให้เข้าใจเพียงแค่ทุกขสัจอย่างเดียวให้เข้าใจจริงๆ
ถ้าเห็นทุกข์ตัวเดียว อีก3 ตัวปรากฏ
คำว่าสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ในเมื่อเรารู้ทุกข์ เราก็รู้ว่าใครทำให้เราทุกข์
อะไรทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่ต้องไปนั่งคิด
ถ้าเราเห็นทุกข์และเข้าใจในทุกข์แล้ว
ก็มีความเบื่อหน่ายในทุกข์ เพราะการเกิด
นิโรธความดับมันก็เกิด เมื่อนิโรธความดับเกิดขึ้นมาแล้ว
ก็ชื่อว่า ถึงที่สุดแห่งพุทธศาสนาคือ ความเข้าใจถึงที่สุดที่พระพุทธเจ้าทรงสอน"
เมื่อกล่าวถึงหลวงปู่สังข์เฒ่าวัดจันทอุดมหรือวัดเก๋งนี้ท่านเป็นพระที่เรืองอาคมมากมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย โดยท่านจะเป็นครูสอนหนังสือแก่พระเณรหรือกุลบุตรที่มาศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จกันได้จนมีเรื่องเล่ากันว่าท่านเป็นพระที่ระเบียบมากเมื่อใครทำผิดท่านจะใช้ไม้เรียวนั้นตีเพื่อให้หลาบจำจนไม่มีใครกล้าที่จะทำผิดกัน ซึ่งในเรื่องของการถ่ายทอดวิชาอาคมนั้นกล่าวกันในตำนานของเมืองระยองว่ามีพระสงฆ์อยู่รูปหนึ่งที่ได้มาศึกษาวิชาอาคมกับหลวงปู่สังข์เฒ่าของวัดเก๋งจนหมดสิ้นและพระสงฆ์รูปนั้นก็ คือหลวงพ่อหิน ถาวโรแห่งวัดหนองสนม ซึ่งหลวงพ่อหินนี้เป็นพระเกจิที่มีชื่อเสียงมากในยุคสงครามอินโดจีนเมื่อครั้นที่ญี่ปุ่นมาลุกล้ำเมืองไทย โดยมีอยู่เหตุการณ์หนึ่งกล่าวกันว่าเมื่อมีทางฝ่ายทหารของญี่ปุ่นมาจับหญิงเพื่อไปข่มขืนแต่ทันใดนั้นก็ได้มีทหารไทยไปช่วยไว้แต่ขณะนั้นเองก็ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อทหารไทยนั้นโดนปืนยาวของทางฝ่ายทหารญี่ปุ่นยิงเข้าอย่างจังจนทหารไทยล้มลงจากนั้นทหารไทยก็ได้ลุกยืนขึ้นมาสู้โดยปรากฏว่าลูกปืนนั้นไม่สามารถระคายผิวหนังได้ซึ่งก็ได้สร้างความตะลึงให้กับทหารญี่ปุ่น และทหารไทยเองนั้นก็มีวัตถุมงคลของหลวงพ่อหินนี้ติดตัวไว้อยู่ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ประสบการณ์ชื่อเสียงนั้นต้องยกให้หลวงพ่อหินแห่งวัดหนองสนมนี้ หลวงพ่อหินท่านเก่งและเชี่ยวชาญมากคือเรื่องการสักยันต์ซึ่งในยุคนั้นใครๆก็ต้องมาให้หลวงพ่อหินท่านสักเพราะยอมรับถึงพุทธคุณที่เชื่อถือกันได้ หลวงพ่อหินท่านเป็นพระนักพัฒนาและเก่งกล้าในเรื่องของอาคมมากจนมีตำนานกล่าวขานกันว่า
...หมู่บ้านนี้ยังพอมีของดีเล่า
คือเรื่องราว”หลวงปู่หิน”ถิ่นสถาน
สร้างศาลาวัดให้เจริญอยู่เนิ่นนาน
ทั้งชาวบ้านต่างนับถือระบือไกล...
...เป็นเรื่องเล่าจากปากคำชาวระยองว่า “วัดหนองสนม” ซึ่งสมัยนั้นมีเจ้าอาวาสชื่อ “หลวงพ่อหิน ถาวโร” ลูกศิษย์พระเกจิอาคมขลังของชาวระยองที่ชื่อ”หลวงปู่สังข์เฒ่า”ด้วยความรักในลูกศิษย์องค์นี้ หลวงปู่สังข์เฒ่าท่านได้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้กับหลวงพ่อหินจนหมดสิ้น...
นี่เป็นตำนานเรื่องราวที่กล่าวขานกันมายาวนานจนมาถึงณ.ปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึงหลวงพ่อหินแห่งวัดหนองสนมจะต้องกล่าวถึงหลวงปู่สังข์เฒ่า ซึ่งเมื่อครั้งในอดีตกาลหลวงพ่อหินท่านได้มาร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆจากหลวงพ่อสังข์เฒ่า และหลวงพ่อหินท่านได้ศึกษาวิชาอาคมและไสยเวทต่างๆโดยเรียนรู้ควบคู่กับตำราของวัดเก๋งซึ่งเป็นตำราใบลานเก่าแก่ของเมืองระยองที่ทรงคุณค่ายิ่ง โดยตามตำนานกล่าวกันว่าหลวงพ่อหินท่านได้ศึกษาเรียนรู้จนแตกฉานและเมื่อครั้งที่ท่านเรียนรู้และศึกษากับตำราของวัดเก๋งนั้นหลวงพ่อหินท่านก็ได้คัดลอกตำราของวัดเก๋งมาเขียนลงบนตำราสมุดข่อย ซึ่งต่อมาตำราใบลานเก่าแก่ของวัดเก๋งนั้นก็ได้ผุพังลงตามยุคกาลเวลา จึงทำให้หลวงพ่อหินท่านได้สืบทอดวิชาอาคมและตำราวิชาการต่างๆของวัดเก๋งนั้นเรื่อยมา และโดยต่อมาวิชาอาคมและไสยเวทต่างๆที่หลวงพ่อหินท่านได้สืบทอดมาจากหลวงปู่สังข์เฒ่านั้นก็เป็นที่ประจักษ์ตาและเป็นที่ยอมรับเชื่อมั่นกันได้ จึงได้มีเกจิอาจารย์และผู้เรื่องอาคมต่างๆมาขอร่ำเรียนวิชาจากตำราของหลวงปู่สังข์เฒ่านี้กัน ต่อมาวัดเก๋งก็ได้ยุบลงเหลือไว้เพียงเจดีย์เก่าแก่ที่ภายในบรรจุพระพิมพ์ตะกั่วต่างๆที่หลวงปู่สังข์เฒ่าได้สร้างไว้เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่สืบไป ซึ่งเจดีย์ของวัดเก๋งนี้ก็ได้เป็นตำนานสถานเก่าแก่ของเมืองระยองที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มากเมื่อใครไปบนบานก็สำเร็จตามความประสงค์แต่ถ้าใครลบลู่หรือกระทำไม่ดีก็เกิดโทษได้ มีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้งตอนที่กำลังรื้อวัดมาสร้างเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดนั้นต้องเกิดเหตุมากมาย จึงต้องมาทำพิธีบวงสรวงถึงจะสร้างได้และจะเหลือเพียงเจดีย์อันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่เป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่า เคยมีการเล่าขานกันเมื่อมีเหตุการณ์หนึ่งนั้นเคยมีคนไปเห็นเจดีย์นั้นไฟไหม้และได้เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งรูปร่างเล็กๆสันทัดกำลังเดินอยู่บริเวณเจดีย์นั้นแล้วหายไป ซึ่งเมื่อคนที่เห็นเหตุการณ์ได้เข้าไปดูใกล้ๆเจดีย์กลับเป็นปกติเหมือนเดิมไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งพระสงฆ์ที่เห็นกันนั้นก็คาดว่าน่าจะเป็นหลวงปู่สังข์เฒ่า ซึ่งเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นจะเห็นว่าเกจิอาจารย์ที่ทรงอภิญญาหรืออำนาจฌานบารมีนั้นสามารถแสดงปาฏิหาริย์ขึ้นเพื่อให้เป็นที่นับถือและศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มีความเชื่อที่ดีและถูกต้อง ซึ่งเมื่อมีความเชื่อที่ดีแล้วสิ่งที่ดีๆนั้นก็จะตามมา และปาฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้เมื่อใจเราศรัทธาและยึดมั่น...
ธรรมะก็ คือธรรมชาติของทุกสิ่งในโลกที่เกิดขึ้น มีความเสื่อมและดับสิ้นไปในที่สุด มันคงเป็นของมันอย่างนั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตเราเป็นแค่ผู้อาศัย สังขารเขาให้เรายืมมารับกรรมเก่าและประกอบกรรมใหม่ มันเป็นแค่ธาตุทั้ง 4เท่านั้น หมดลมก็แตกสลาย แต่ระหว่างที่ยังไม่หมดลมซิอีก 4 ตัว มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญานมันช่วยกันปรุงแต่งจนมันหยดตลอดเวลาให้เห็นผิดเป็นถูก ว่าสังขารจากของเน่าเหม็นมีแต่ของเสียกลายเป็นของสวยงามน่ารักน่าใคร่ น่าทะนุถนอม -
เรื่องผงพรายกุมารนั้นเป็นตำนานที่เล่าขานกันมานานมันเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ ความสนใจกันมากเพราะเป็นสิ่งที่เชื่อกันว่าสามารถมีอานุภาพที่จะคอยคุ้มครองปกป้องและที่สำคัญคือเชื่อว่าผงพรายกุมารนั้นมีจิตวิญญาณที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและเป็นสื่อต่างๆที่จะคอยหนุนนำให้เกิดแต่เรื่องที่ดีและสามารถดลใจให้รับรู้เหตุก่อนได้เมื่อเกิดภัยหรือเหตุการณ์ต่างๆที่จะมาถึงตัว ซึ่งเรื่องราวต่างๆนี้จึงเชื่อว่าเป็นอานุภาพของผงพรายกุมาร แต่ถ้าจะกล่าวถึงวิชาสำคัญๆในสมัยก่อนนั้นเป็นวิชาที่สามารถที่จะมีฤทธานุภาพให้เกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้นและมีวิชาที่สามารถทำให้เกิดอานุภาพมีดวงจิตวิญญาณขึ้นมาได้ อยู่ที่เกจิอาจารย์ที่ได้รับการเรียนรู้ถ่ายทอดมาแล้วนำมาใช้ให้เกิดผลขึ้นอย่างไร นายสาย แก้วสว่างลูกศิษย์ของหลวงปู่ทิมท่านเล่าว่าหลวงปู่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมมาหลายอาจารย์และแต่ละอาจารย์นั้นก็ใช้เวลาร่ำเรียนนาน ซึ่งถ้าไม่เกิดผลท่านก็จะยังไม่ยอมละทิ้งเด็ดขาด โดยเฉพาะวิชาในสมัยก่อนเมื่อได้รับการถ่ายทอดถ้ามีจิตไม่เชื่อมั่น หรือจิตสมาธิไม่มั่นคงๆจะรับการถ่ายทอดได้ยาก นายสายท่านเล่าว่าหลวงปู่ทิมท่านสำเร็จในเรื่องของจิตที่สามารถใช้จิตได้เปรียบดั่งเหมือนแก้วสารพัดนึกที่ปรารถนาในเรื่องใดก็ย่อมต้องได้ในสิ่งนั้น แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้กันอาจจะอยู่ที่ข้อปฏิบัติหลายๆอย่าง และคนเรานั้นเมื่อการนำพระมาใช้ให้สมดังปรารถนาได้ก็อยู่ที่ใจเราศรัทธาและเชื่อมั่น และถ้าเป็นคนดีมีศีลสัตย์ความปรารถนานั้นย่อมตามมาได้เสมอเมื่อเรามีใจที่มั่นคง การที่จะเชื่อว่ามีผงพรายนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่สำคัญอยู่ที่ใจเรานั้นมี ความตั้งมั่นและเชื่อมั่นมากน้อยเพียงใด ซึ่งนายสายเองท่านก็เคยกล่าวปรารภกับข้าพเจ้าไว้ว่า อันผงพรายนั้นถ้าใจเราคิดว่ามีก็มีได้ถ้าใจเราคิดว่าไม่มีก็เป็นได้ มันไม่ใช่จุดประสงค์หลักสำคัญ สำคัญอยู่ที่การกระทำของเราที่ดีมีใจเป็นกุศลตามความประสงค์ของหลักธรรมะก็จะเกิดแต่สิ่งที่ดีในชีวิตเราได้ ซึ่งก็ตรงกับดั่งเจตนาการห้อยพระของหลวงปู่ทิมให้ได้ผลดังปรารถนาคือขอให้เป็นคนดีมีสัจจะครับ......
-
เราจะเห็นว่าในเกจิอาจารย์ หรือ ครูบาอาจารย์ที่เรืองวิชาในยุคเก่าก่อนนั้นซึ่งโดยวิชาอาคมต่างๆที่เห็นกันประจักษ์ตานั้นเขาจะหวงแหนกันมากเพราะถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดก็จะถือเป็นบาปอย่างมาก ฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านจะเล็งเห็นถึงความสำคัญอย่างเชื่อมั่นที่จะได้ถ่ายทอดวิชาอาคมให้กับลูกศิษย์ที่ต้องการร่ำเรียนอย่างแท้จริงกันสืบไป วิชาอาคมจึงเป็นสิ่งที่จะต้องมีใจที่มั่นคงเสมอดีเป็นอย่างยิ่ง และมีจิตวิญญาณในความรู้ดีและรู้ชอบกับวิชาอาคมที่ร่ำเรียนกันไป ด้วยเหตุฉะนี้ครูบาอาจารย์จึงต้องมีการตั้งสัจจะวาจากันเป็นหลักยึดมั่นเพื่ออานุภาพของผลวิชาอาคมที่ต้องการให้มีความเชื่อถือกันได้ เราจะเห็นว่าเมื่อประวัติศาสตร์ยุคสมัยขอมที่เรืองอำนาจทางวิชาอาคมจนระยะกาลเวลาที่ขอมได้เริ่มกลายลงจนมาเป็นชนชาติเขมรที่เข้ามาอาศัยกันในยุคต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาอาคมที่เป็นหัวใจหลักของขอมนั้น อาจจะเป็นได้ที่ชนชาติเขมรได้ร่วมสืบทอดวิชาอาคมมาจากขอมในช่วงต่อมา ซึ่งวิชาอาคมที่แฝงด้วยความศักดิ์สิทธิ์และอานุภาพอย่างเชื่อมั่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่มนุษย์เราให้ความสนใจกันอย่างมากเพราะเป็นเรื่องของความมีจิตยึดมั่นและศรัทธาที่จะสนองกับชีวิตของมนุษย์ในการพึ่งพาอาศัยหรือที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยและความอยู่เย็นเป็นสุขกันได้
หลวงปู่ทิม อิสริโก ท่านได้ใฝ่เรียนรู้และศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อกราดแห่งวัดชากกอไผ่เกจิอาจารย์ผู้เรืองอาคม โดยหลวงปู่ท่านได้ศึกษาอาคมและไสยเวทต่างๆจนเชื่อมั่นได้ จากนั้นหลวงพ่อกราดท่านได้เอ่ยกล่าวปรารภกับหลวงปู่ทิมในเรื่องของวิชาอาคมต่างๆที่เรื่องลือมากโดยเฉพาะอาคมและใสยศาสตร์ของทางสายเขมร ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ที่หลวงพ่อกราดท่านอาจจะได้เคยไปศึกษาวิชาอาคมมาจากครูบาอาจารย์ทางสายเขมรด้วยโดยเฉพาะเรื่องคุณไสยและยาสั่งหรือวิชาที่ลึกลับนั้นต้องยกย่องให้กับทางสายนี้ เมื่อหลวงปู่ทิมท่านได้ศึกษาเรียนรู้และได้รับคำแนะนำต่างๆกับหลวงพ่อกราดมาจนจบกระบวนสิ้น สิ่งที่จะต้องทำคือการนำวิชาความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์หรือให้เกิดผลเป็นที่ประจักษ์อย่างเชื่อมั่นได้ซึ่งการได้ทศสอบเพื่อการเห็นผลเป็นที่ประจักษ์อยู่เสมอนั้นก็จะทำให้ตัวเองมีความเชื่อมั่นและเชี่ยวชาญกับวิชาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมานั้นได้ โดยเฉพาะเรื่องจิตสมาธิหรือการทรงอำนาจของฌานสมาบัติที่จะต้องเจริญสติให้มั่นกับวิชาอาคมที่จะต้องใช้ควบคู่กันเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงอานุภาพที่ต้องการได้
เราจะเห็นว่าวิชาอาคมต่างๆนั้นมีมากหลายที่ทรงคุณค่าและการเรียนรู้สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์เราได้ ฉะนั้นวิชาอาคมและใสยศาสตร์จึงเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และสืบทอดกันได้ เมื่อหลวงปู่ทิมท่านได้ร่ำเรียนวิชาอาคมมาจากครูบาอาจารย์ต่างๆจนสามารถที่จะนำมาใช้ให้เห็นผลได้ จะเห็นว่าในยุคสมัยก่อนเกจิชื่อดังของเมืองระยองนั้นต่างก็มีชื่อเสียงกันมาก โดยชื่อชั้นและชื่อเสียงที่กล่าวขานกันในแต่ละยุคแต่ละสมัยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เล่าลือกันเป็นตำนานเรื่องเล่ากล่าวขานกันมาคือหลวงปู่สังข์เฒ่าซึ่งถือเป็นปรมาจารย์ชื่อดังของเมืองระยองที่ท่านได้สร้างกำเนิดลูกศิษย์ของท่านจนมีชื่อเสียงกันมาตราบเท่าทุกวันนี้ได้ อย่างอาทิเช่นหลวงพ่อวงศ์แห่งวัดบ้านค่ายซึ่งจะเห็นได้จากชื่อเสียงอันโด่งดังของท่าน และประวัติที่กล่าวขานกันมาได้ หลวงปู่สังข์เฒ่านั้นเมื่อครั้นที่ท่านมาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดจันทอุดมหรือวัดเก๋งนั้นกล่าวกันว่าท่านจะมีชื่อเสียงทางด้านอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์มากมายตามที่ได้ร่ำลือกันโดยกล่าวกันว่าหลวงปู่สังข์เฒ่าท่านมีวาจาอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อถ่มน้ำลายลงบนพื้นพื้นนั้นจะแตกทันทีนั่นย่อมแสดงได้ถึงอำนาจอาคมที่แก่กล้า และมีอยู่คราวหนึ่งเกิดไฟไหม้ที่ตัวเมืองระยองซึ่งไฟนั้นก็กำลังโหมกระหน่ำยากแก่การที่จะหยุดได้จากนั้นเหตุการณ์ ก็ได้ไปทราบถึงหลวงปู่สังข์เฒ่า จากนั้นหลวงปู่สังข์เฒ่าท่านก็ได้ทำพิธีพรมน้ำมนต์ว่าคาถาบริเวณที่กุฏิของท่านปรากฎว่าไฟที่ไหม้ก็เริ่มดับลงอย่างอัศจรรย์ได้ซึ่งก็เป็นตำนานของเมืองระยองที่เล่าลือกันมา และต่อมาท่านก็ได้สร้างพระพิมพ์เนื้อตะกั่วหรือตามที่เราเรียกกันว่าพระพิมพ์วัดเก๋ง ซึ่งแต่ละพิมพ์นั้นมีมากมายหลายพิมพ์ ซึ่งหลวงปู่สังข์เฒ่าท่านสร้างบรรจุไว้ที่เจดีย์ของวัดเก๋ง ต่อมาก็มีคนนำไปใช้ก็เกิดอภินิหารต่างๆมากมายกัน
เมื่อสิ้นยุคของหลวงปู่สังข์เฒ่าแห่งวัดจันทรอุดมหรือวัดเก๋งจีนแล้ว ต่อมาหลวงพ่อหินแห่งวัดหนองสนมผู้ที่ได้สืบสานวิชาสำคัญๆต่างๆ โดยในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้นหลวงพ่อหินท่านถือว่ามีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะอาคมที่เลื่องลือกันและกล่าวกันว่าท่านสามารถมีอิทธิฤทธิ์เสกผ้าอาบน้ำฝนให้เป็นสัตว์ต่างๆได้หรือมีอำนาจจิตที่สามารถเสกสิ่งของต่างๆให้เป็นสิ่งที่ต้องการได้ และเมื่อกล่าวถึงหลวงพ่อทิมหรือท่านพ่อทิมแห่งวัดไร่ ซึ่งตามแต่จะเรียกกันในยุคนั้น เมื่อชื่อเสียงของหลวงพ่อหินท่านดังกระฉ่อนด้วยความที่ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่สังข์เฒ่าแห่งวัดเก๋งจีน หลวงพ่อทิมท่านจึงสนใจและได้เดินทางมาถึงยังวัดหนองสนม โดยที่หลวงพ่อหินท่านรับรู้ด้วยฌานท่านจึงได้ออกมารอต้อนรับมาเป็นพิเศษ จากนั้นเมื่อหลวงพ่อทิมแห่งวัดไร่กับหลวงพ่อหินแห่งวัดหนองสนมท่านก็ได้พบปะและสนทนากันและก็ได้เป็นสหธรรมิกกันตั้งแต่บัดนั้น และเมื่อตำนานกล่าวกันว่าหลวงพ่อทิมท่านได้ลองวิชาอาคมกับหลวงพ่อหินอยู่หลายครั้งจนหลวงพ่อหินซึ่งถือเป็นเกจิชื่อดังในยุคนั้นถึงกับทึ่งอาคมของหลวงปู่ทิมที่ได้ทศสอบวิชากัน จากนั้นด้วยความที่ท่านทั้งสองสนิมสนมกันหลวงพ่อหินท่านได้มอบตำราของวัดเก๋งจีนที่ได้คัดลอกและศึกษามาจากหลวงปู่สังข์เฒ่าให้กับหลวงพ่อทิมแห่งวัดไร่ได้ศึกษาวิชาการอาคมและตัวยันต์ต่างๆที่บันทึกไว้ และด้วยความที่หลวงพ่อทิมท่านมีพื้นฐานในการศึกษาอาคมที่แน่นหนาสามารถเรียนรู้สรรพวิชาอาคมต่างๆได้ไวมาก จนหลวงพ่อหินท่านให้การยอมรับกับฝีมือชื่อชั้นของหลวงพ่อทิม แห่งวัดไร่นี้
มีตำนานเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ในแถบวัดหนองสนมและลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อหินว่า ในยุคสมัยนั้นหลวงพ่อหินแห่งวัดหนองสนมท่านมีชื่อเสียงมากต่างก็มาขอของดีกับท่านเพื่อนำไปใช้ติดตัวกันเพราะเชื่อในพุทธคุณและอานุภาพที่เชื่อมั่นกัน และมีลูกศิษย์คนสนิทของหลวงพ่ออีกคนหนึ่งคือกำนันผล แสงจันทร์ ท่านเล่าว่า ได้มีคนกลุ่มหนึ่งได้เดินทางกันมาจากหมู่บ้านต่างถิ่นโดยมีจุดประสงค์เพื่อมาขอวัตถุมงคลต่างๆกับหลวงพ่อหิน ซึ่งเมื่อกลุ่มคนพวกนั้นได้มากราบนมัสการและต่างก็ได้เอ่ยปากขอของดีกับท่าน ซึ่งหลวงพ่อหินท่านก็ถามกลุ่มคนพวกนั้นว่า “มาจากไหนกัน” ซึ่งกลุ่มคนพวกนั้นก็ได้ตอบว่ามาจาก “ทางบ้านค่ายกันครับ” เมื่อหลวงพ่อหินท่านได้ยินเช่นนั้นไซร์ท่านก็ได้บอกแก่กลุ่มคนพวกนั้นว่าให้ไปขอของดีกับ “ อ้ายเสือที่วัดไร่ซิ “ ซึ่งทุกคนที่มาต่างก็งงกัน และหลวงพ่อหินท่านก็กล่าวย้ำอีกว่า “ ให้ไปขอกับอ้ายเสือที่วัดไร่ซิอาคมท่านเก่งมากนะ" เมื่อทุกคนที่ต่างได้ยินกันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอ้ายเสือวัดไร่ที่หลวงพ่อหินท่านกล่าวถึงนี้ก็คือ “ท่านพ่อทิมแห่งวัดไร่นั่นเอง” จากนั้นทุกคนที่มาก็ไม่ได้ของดีกับหลวงพ่อหินกันแต่หลวงพ่อท่านกลับให้ไปหาหลวงพ่อทิมที่วัดไร่กัน ซึ่งมันเป็นเรื่องราวที่กล่าวขานกันมา เราจะเห็นว่าแม้กระทั่งหลวงพ่อหินแห่งวัดหนองสนมท่านยังให้การยอมรับกับอาคมของหลวงพ่อทิมแห่งวัดไร่หรือวัดละหารไร่ จากการที่หลวงพ่อหินท่านได้รับทราบถึงอำนาจจิตและอิทธิฤทธิ์ต่างๆของหลวงพ่อทิมที่ต่างก็ได้พิสูจน์ให้ทราบกัน โดยเฉพาะวิชาสำคัญๆต่างๆที่หลวงพ่อทิมท่านได้เรียนรู้และศึกษาจากตำราของวัดเก๋งจีนที่ถือเป็นตำราเก่าแก่ของเมืองระยองแห่งนี้ และในการนี้ผมจะขอนำรูปหลวงพ่อหินแห่งวัดหนองสนมเกจิชื่อดังในยุคนั้น กับตำราดังกล่าวที่ท่านได้คัดลอกมาจากตำราเก่าแก่ของวัดจันทรอุดมหรือวัดเก๋งจีนซึ่งเป็นของสมัยหลวงปู่สังข์เฒ่าครับ
หน้า 6 ของ 12