สวัสดีครับ สบายีนะครับ
เปิดตำนานหลวงพ่อทิม วัดละหารไร่
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย แก้วสว่าง, 17 เมษายน 2011.
หน้า 612 ของ 1117
-
-
-
ยังยุ่งๆเหมือนเดิมครับ คงได้แวะเข้ามาคุยช่วงเย็นครับ -
-
สวัสดีทุกท่านครับ พี่โต้งสบายดีนะครับ<TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 10 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>ติ้งลิงติง, โต้งชลบุรี, beleive, Piont, น้าต๋อย เซมเบ้ </TD></TR></TBODY></TABLE>
-
สวัสดี อาจารย์ แก้วสว่าง และพี่ๆทุกท่านครับ บอร์ดไปเร็วมากครับ แป๊ปเดียว 600 กว่าแล้วติดตามอยู่ตลอดครับแต่ไม่ค่อยได้ โพสเท่าไหร่ อิอิอิ
-
หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
.วันเพ็ญเดือน.......หกเวียน........มาบรรจบ
....หมายถึงครบ.......พระประสุติ......อายุขัย
....พร้อมบรรลุ.......ซึ่งพระธรรม......ติดตามไป
....ปรินิพพาน............ร่างไป............ไว้ความดี
....พระพุทธะ...........ทรงธรรม........คำสอนไว้
....บริสุทธิ์...............ดุจเมฆไกล........กลางเวหา
....ประชาชน...........คนทั่วไป...........ได้บูชา
....ที่พึ่งพา............. ใจชาวพุทธ........ทุกคนเอย
วันวิสาขบูชา ถือได้ว่า เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เพราะชาวพุทธทุกนิกายจะพร้อมใจกันจัดพิธีพุทธบูชาเพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญ ๓ เหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันที่ "ประสูติ" ของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ "ตรัสรู้" เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอรปไปด้วย "พระบริสุทธิคุณ", "พระปัญญาคุณ" ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือความจริงของโลกแก่พหูชนทั้งปวงโดย "พระมหากรุณาธิคุณ" จวบจนทรง "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" ในวาระสุดท้าย ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องในวันเพ็ญเดือน 6 ทั้งสิ้นนี้ ทำให้พระพุทธศาสนาได้บังเกิดและสืบต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน
พรุ่งนี้เป็นวันวิสาขบูชาวันพระวันสำคัญทางพุทธศาสนาขอพุทธศาสนิกชนทั้งหลายน้อมบูชาระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้ากันครับ.....
-
กราบหลวงปู่ครับ
สวัสดีครับทุกท่าน เมื่อวานมีภาพการทำบุญมาฝากบ้างหรือเปล่าครับ -
หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้ นับเป็นปีที่สำคัญต่อพระพุทธศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำคัญต่อปวงชนชาวไทย ในฐานะที่เป็นผู้ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาไว้เป็นศาสนาประจำจิตประจำใจ จนเป็นศาสนาประจำชาติ เนื่องในโอกาสที่พระพุทธศาสนามีอายุมาครบ ๒๖๐๐ ปีนับแต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้บรมศาสดา ผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้ พุทธศาสนิกชนทั่วโลกได้มีการเฉลิมฉลองโดยร่วมกันทำสักการบูชาในพระสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกันทั่วหน้า เพื่อน้อมรำลึกถึงพระคุณูปการที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทานแสงสว่างให้แก่ ชีวิตและโลกด้วยพระมหากรุณาอันหาประมาณมิได้ ปวงชนชาวไทยพุทธเราก็พร้อมจิตพร้อมใจกันทำการฉลองโดยทั่วหน้า
มีคำแปลกใหม่สำหรับหูคนไทยมาคำหนึ่งในการเฉลิมฉลองครั้งนี้คือคำว่า “พุทธชยันตี” แน่นอนว่าคำนี้เป็นภาษาฮินดี (หรือภาษาอินเดีย) เมื่อจะมีคำถามว่าแล้วทำไมต้องไปเอาภาษาฮินดีมาใช้ในการเฉลิมฉลองครั้งนี้ กับชาวพุทธที่เป็นคนไทย คงตอบได้ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่า เพราะที่ประเทศอินเดียเขาจัดงานฉลองโอกาสนี้ก่อนเราและเขาใช้คำนี้กันก่อน แล้ว ไทยเราจึงรับมาใช้ให้ตรงกันเพื่อแสดงออกให้โลกรู้ว่าชาวพุทธมีความเป็น เอกภาพ หากเราใช้เฉพาะภาษาไทยเราว่า “ฉลอง ๒๖ พุทธศตวรรษแห่งการตรัสรู้” ก็คงจะได้ แต่เราจะรู้และเข้าใจง่ายเฉพาะคนไทยเรา ไม่ทั่วไปแก่ชาวโลก แต่เมื่อพูดให้เป็นภาษาเดียวกัน ปัญหาเรื่องการทำความเข้าใจแก่ชาวโลกก็คงจะง่ายขึ้นไม่น้อย แต่ก็มาเป็นปัญหาสำหรับชาวพุทธไทยอยู่เหมือนกันเพราะคนไทยออกจะงงว่า “พุทธชยันตี คืออะไรกันแน่”
ผู้เขียนเริ่มคิดถึงงานฉลอง “๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้” เมื่อปลาย ๆ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ คิดเพิ่มหนักแน่นขึ้นพร้อมกับวางแผนจะจะต้องจัดงานฉลองเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ แล้วก็มาเริ่มดำเนินการตั้งแต่ต้นปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ และก็ได้มาทำจริงจังในขั้นเตรียมการตั้งแต่เริ่มต้นปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้ สำหรับคำว่าพุทธชยันตี ซึ่งได้มีการนำมาใช้เป็นทางการในครั้งนี้ ได้มาทราบในที่ประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อสมัยประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม แต่ครั้งนั้นมี “สัม” นำหน้าออกมาด้วยเป็น “สัมพุทธชยันตี” โดยมีคำอธิบายว่าที่ต้องใช้ “สัม” เข้ามาเพราะเป็นการฉลอง ”การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า” แต่พอเข้าประชุมอีกครั้งหนึ่งก็กลับมาเป็น “พุทธชยันตี” เช่นที่เป็นอยู่บัดนี้
เห็นจะต้องตอบคำถามเสียทีละ ว่า “พุทธชยันตี” คือคำศัพท์คำหนึ่งเป็นคำศัพท์ภาษาฮินดีหรือภาษาอินเดียปัจจุบัน แต่หากจะถามว่าแล้วคำนี้แปลว่าอะไร ก็ตอบได้ว่า ศัพท์ว่า “พุทธชยันตี” นี้เป็นศัพท์ใหม่ที่ชาวพุทธคิดสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นชื่องานฉลองโอกาสพิเศษ ครบ ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในมหามงคลสมัยที่พระพุทธศาสนายืนยาวมาครบ ๒๕๐๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็มีการฉลองอันยิ่งใหญ่ไปบรรดาชาวพุทธทั่วโลก แต่ใช้คำศัพท์เป็นชื่อเฉพาะงานว่า “พุทธชยันตี” เนื่องจากว่านั่นเป็นการนับพุทธศักราช ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ ๘๐ ปี ส่วนการฉลองพุทธชยันตีครั้งนี้ มีความหมายพิเศษระบุเจาะจงถึงปีแห่งการตรัสรู้ ที่ให้เปลี่ยนจากพระฤๅษีสิทธัตถะเป็น “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เพราะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ หรือทรงค้นคว้าแสวงหาจนพบสัจธรรม ในการจัดงานฉลองครั้งนี้เราจึงเรียกขานให้ตรงว่า “งานฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีการตรัสรู้”
คำว่า “ชยันตี” แปลความหมายตรง ๆ ว่า “ชัยชนะ” ก็ได้ และว่า “เกิด” ก็ได้ ซึ่งเมื่อแปลว่าชัยชนะ ก็หมายถึง ๑) ได้ชัยชนะเหนือกิเลสและมารทั้งปวง ๒) ได้ชัยชนะเหนือความไม่รู้คืออวิชชาอย่างเด็ดขาด ๓) ได้ชัยชนะที่ทรงใช้ความเพียรพยายามค้นหาคำตอบเรื่องความทุกข์ได้อย่างครบ สมบูรณ์ เมื่อค้นพบก็ถือว่าได้ชัยชนะ แต่คนไทยเราคงจะคุ้นคำนี้ว่า “ชะยันโต” มากกว่า “ชะยันตี” เพราะเราคุ้นเคยกับภาษาบาลีมากกว่าภาษาฮินดี ส่วน ที่แปลว่า “เกิด” ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า ชนยนฺตี, ชเนตฺตี, อุปฺปาโท, อุปปชฺชนํ, อุปปตฺติ, ซึ่งทุกคำแปลว่าเกิด หรือพุทธภาษิตที่ว่า ปิยโต ชายเต โสโก ความโศกย่อมเกิดจากสิ่งที่รักเป็นต้น แต่เนื่องจากทางประเทศศรี ลังกาและอินเดียเขาเริ่มใช้เป็นชื่องานฉลองโอกาสพิเศษแห่งพระพุทธศาสนามา ก่อนและเขานิยมใช้คำว่า “ชะยันตี” เป็นภาษาฮินดี ไทยเราจึงใช้ตามเขาเพื่อแสดงความเป็นเอกภาพและง่ายในการประชาสัมพันธ์ใน ระดับนานาชาติด้วย ในคราวประชุมหมาเถรสมาคมเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคมศกนี้ จึงมีมติเห็นชอบให้ใช้ชื่องานฉลองพระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลกครบ ๒๖๐๐ ปีครั้งนี้ว่า “งานฉลอง พุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า”
คำว่า “สัมพุทธะ” หรือ “สัมมาสัมพุทธะ” เกิดมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพระฤๅษีโพธิสัตว์สิทธัตถะได้ “ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง” แล้วเท่านั้น นั่นคือหลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ทอดพระ เนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บป่วย คนตาย ทรงเห็นว่าเป็นปัญหาและทรงสรุปเบื้องต้นเป็นสมมติฐานทางการวิจัยว่าสภาพเช่น นั้น “เป็นความทุกข์” จะต้องมีสิ่งที่แก้กันคือ “ความสุข” ครั้นทรงพบเห็นสมณะก็มีพระดำริว่าน่าจะเป็นทางค้นหาให้พบความสุขได้ จึงตัดสินพระทัยออกทำงานวิจัยค้นหาความสุขเพื่อแก้ความทุกข์ให้ได้ ทรงใช้เวลาทำการวิจัยลองผิดลองถูกมาถึง ๖ ปี จากพระชนมายุ ๒๙ ถึงพระชนมายุ ๓๕ จึงวิจัยสำเร็จสมบูรณ์คือได้รู้ชัดว่า อะไรคือความทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งความทุกข์ อะไรคือความดับลงอย่างเด็ดขาดแห่งความทุกข์ และอะไรคืออุบายวิธีให้ถึงความดับทุกข์อย่างเด็ดขาด เมื่อได้พบแล้วพระองค์จึงทรงประกาศว่า “เราได้รู้แล้ว” และได้เสนอผลงานวิจัยของพระองค์สู่สาธารณะชนอันมีผลมาถึงปัจจุบัน แต่การรู้ของพระองค์ไม่ใช่รู้เพียงเท่านั้น หากแต่ได้รู้สิ่งทั้งปวงตามเป็นจริงด้วย รู้ไปถึงเรื่องของจักรวาล พระองค์จึงได้พระนามอีกว่า “พระสัพพัญญู” แปลว่าผู้รู้สิ่งทั้งปวง และว่า “โลกวิทู” ผู้รู้โลกทั้งปวงเป็นต้น เพราะฉะนั้น การฉลองครั้งนี้จึงหมายถึงการฉลอง ๑) ความเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา ๒) ฉลองความเกิดขึ้นในโลกของพระพุทธศาสนา ๓) ฉลองความปรากฏขึ้นในโลกของสัจธรรมที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ๔) ฉลองความที่พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลกมาครบ ๒๖๐๐ ปี
-
สวัสดีครับ รอภาพจากหลายๆๆท่านนะครับที่ผมไม่มีเลย ขออนุโมทนาบุญครับ เสียดายกระจกแตกปลายตอนยกตั้งต้องไปแก้ไข แต่สวยมากครับ ขอให้ทุกท่านประสพความสำเร็จในทุกเรื่องด้วยอานิสงฆ์แห่งบุญที่ได้ถวายแท่นวางบุษษกอัฐิหลวงปู่ครับ
-
-
อนุโมทนากับพี่รักและผู้ร่วมบุญทุกท่านครับ เดี๋ยวทยอยอัพรูปให้ครับ :cool:
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
อนุโมทนาบุญ ด้วยครับ -
มีภาพมาฝากแล้วครับ ค่อยๆดูไปครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ลองวางบุษบก สวยงามมากครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ถ่ายรูปร่วมกับอาจารย์เชย
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ชมกันต่อไปครับ อาจจะไม่ค่อยชัดพอชมได้
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ช่วยยกกระจกขึ้นบนแท่น
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
กราบหลวงปู่ทิม สวัสดีครับอาจารย์แก้วสว่าง น้าต๋อย พี่โต้ง(ที่ยังถามหาภาพที่พี่รักไปทำบุญกันมาเมื่อวานนี้) พี่รัก(ขออนุโมทนาบุญและขอน้อมรับพรที่พี่นำมาฝากด้วยครับ) พี่เดชา พี่ภูและพี่ๆเพื่อนๆลูกศิษย์หลวงปู่ทิมทุกๆท่านครับ สบายดีกันทุกคนนะครับ
-
มีต่อครับ ชมไปเรื่อยกับกล้องของคุณปังปอน
ไฟล์ที่แนบมา:
-
หน้า 612 ของ 1117