เปิดบันทึกตำนาน ตอน หลวงปู่สุภา เขารัง จ.ภูเก็ต
เปิดบันทึกตำนาน (OFFICIAL)
Published on Jul 6, 2015
พระอริยสงฆ์ 5แผ่นดิน ที่สร้างพระขุนแผนแล้วนำไปพลีกลางทะเล และทำพิธีเรียกกลับมาได้ เป็นที่ต้องการของบรรดาประชาชน
เปิดบันทึกตำนาน ตอน หลวงปู่สุภา เขารัง จ.ภูเก็ต
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 3 ตุลาคม 2017.
-
-
หลวงปู่สุภา ผจญผีสองพี่น้อง ฤทธิ์ควายธนู
Konklung klungvicha
Published on Apr 4, 2017
สุดยอดเคล็ดวิชา แมงมุมดักทรัพย์ ตำราหลวงปู่ศุข รับถ่ายทอดโดย หลวงปู่สุภา กันตสีโล
LEXX KITTI
Published on Aug 1, 2017
-
อริยสงฆ์ ๕ แผ่นดิน : หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
นมัสการหลวงปู่สุภาอายุ 115 ปี ที่วัดสีลสุภาราม อ.เมือง จ.ภูเก็ต
เท่าที่ทราบ..ขณะนี้พระสงฆ์ผู้มีอายุเกิน 100 ปีมีไม่กี่รูปครับ แต่ที่อายุมากที่สุดและยังแข็งแรงที่สุดรูปหนึ่งนั้น ก็ต้อง "หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล" ปัจจุบันท่านอายุ 115 ปี และทางจังหวัดภูเก็ต โดยผู้ว่าราชการจังหวัด ได้จัดงานแสดงมุทิตาเนื่องในวันเกิดของหลวงปู่เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา
ประวัติของหลวงปู่สุภานั้น ผมขออนุญาตเล่าเพียงคร่าว ๆ มีดังนี้นะครับ
หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีวอก พุทธศักราช 2439 (ตรงกับวันที่ 17 กันยายน พุทธศักราช 2439) ที่บ้านคำบ่อ ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร โยมบิดา คือ ขุนพลภักดี ผู้ใหญ่บ้าน คำบ่อ ชื่อเดิม คือ นายพล วงศ์ภาคำ โยมมารดา ชื่อ นางสอ วงศ์ภาคำ มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน คือ
1. นางสี วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
2. นายเสน วงศ์ภาคำ (บวชเป็นพระภิกษุ - มรณภาพ)
3. นางผม วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
4. นางเกตุ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
5. นายจันทร์เพ็ง วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
6. หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
7. นางมาลีจันทร์ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
8. นางกา วงศ์ภาคำ (ยังมีชีวิตอยู่)
หลวงปู่สุภา เป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว เมือตอนเป็นเด็กท่านอ้วนท้วนสมบูรณ์ผิวขาว หน้าตาน่ารักน่าชัง ท่านใช้ชีวิตอย่างเช่นเด็กทั่ว ๆ ไปในสมัยนั้น คือ เที่ยววิ่งซุกซนไปตามประสา จะมีโอกาสเรียนเขียนอ่านก็ต่อเมื่อพ่อแม่พาไปฝากวัดให้พระท่านสอน หรือไม่ก็ให้พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ ที่รู้หนังสือสอนให้ วัดจึงนับเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เด็กชายจะสามารถไปแสวงหาความรู้เช่นเดียวกัน คนอีสานส่วนใหญ่ในสมัยนั้นคือ มักจะให้ลูกบวชเป็นสามเณร
เมือหลวงปู่สุภาอายุได้ 7 ขวบ วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านและเพื่อนๆ ออกไปวิ่งเล่นที่ริมทุ่งชายป่าได้พบ กับพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดพักอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ เด็กคนอื่นๆ ที่เห็นพระรูปนั้นไม่ได้สนใจ ต่างพากันวิ่งเล่นกันต่อ เว้นไว้แต่เด็กชายสุภา ซึ่งมีจิตใจโน้มมาทางธรรมตั้งแต่อายุยังน้อยจะเห็นได้ จากการที่ชอบเข้าใกล้พระ ชอบไปวัดดังนั้น เมื่อท่านเห็นพระธุดงค์รูปนั้นปักกลดพักอยู่ก็แยกตัว ออกจากเพื่อนๆ ตรงเข้าไปกราบ เมื่อพระภิกษุชราที่นั่งพักอยู่ภายใจกลดเห็นเด็กชายหน้าตาน่ารัก เข้ามากราบอย่างสวยงาม เหมือนกับได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี จึงมองเด็กน้อยคนนั้นด้วยความ เมตตา เพ่งดูลักษณะอยู่ครู่เดียวจึงบอกเด็กน้อยว่า ต่อไปภายหน้าจะได้บวช เมื่อบวชแล้วอย่าลืมไปหา ท่าน พระภิกษุรูปนี้ คือ หลวงปู่สีทัตต์ จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าอุเทน จังหวัดนครพนมนั่นเอง แต่ในเวลา นั้น เด็กชายสุภายังไม่ได้นึกอะไร ได้แต่นั่งคุยกับหลวงปู่สีทัตต์ครู่หนึ่ง จึงนมัสการกราบลาไปวิ่งเล่น กับเพื่อนๆ ต่อ
บวชเณรเรียนมูลกัจจายน์
หลังจากได้พบกับหลวงปู่สีทัตต์ที่ชายป่าในครั้งนั้นแล้วเป็นเวลา 2 ปี บิดามารดาของหลวงปู่ได้ ตกลงใจให้หลวงปู่ซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องบวชเป็นสามเณร ในขณะที่ท่านอายุได้ 9 ขวบ โดยมี พระอาจารย์สวน เจ้าอาวาศวัดแห่งหนึ่งในหมู่บ้านตำบลคำบ่อเป็นพระอุปัชฌาย์
สามเณรสุภาได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับพระอาจารย์สวนอยู่เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้น ในปี พุทธศักราช 2449 ท่านได้เดินทางไปเรียนมูลกัจจายน์ 5 เล่ม ที่วัดไพรใหญ่ จังหวัด อุบลราชธานี ที่นั่นมีอาจารย์สอนมูลกัจจายน์อยู่ 2 ท่าน คือ พระอาจารย์พระมหาหล้า และอีกท่าน เป็นฆราวาส ชื่อ อาจารย์ลุย สามเณรสุภาได้ใช้เวลาศึกษามูลกัจจายน์ 5 เล่มอยู่ที่วัดไพรใหญ่เป็น เวลานานหลายปีกว่าจะจบมูลกัจจายน์ 5 เล่ม เมื่อจบหลักสูตรแล้ว ก็มีความคิดที่จะหาความรู้ เพิ่มเติมจึงได้กราบลาอาจารย์ออกจากวัดไพรใหญ่ โดยที่ขณะนั้นได้ทราบข่าวว่ามีพระอาจารย์รูป หนึ่งเก่งทางวิปัสสนาและทรงวิทยาคมอยู่ที่วัดท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม มีชื่อว่า พระอาจารย์สีทัตต์ สามเณรสุภาจึงนึกขึ้นได้ว่า เคยได้ยินชื่อนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว และจำได้ว่าเคยกราบ ท่านที่ใต้ต้นตะแบกเมื่อตอนเป็นเด็กๆ และท่านยังสั่งไว้ว่าเมื่อบวชแล้วให้ไปหาท่าน ในครั้งนั้น สามเณรสุภาอายุใกล้ครบอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว จึงออกเดินทางไปนมัสการหลวงปู่สีทัตต์ ที่วัดท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนนครพนม ขณะนั้น หลวงปู่สีทัตต์อายุมากแล้ว ท่านเป็นพระป่า ที่มีชื่อเสียงมากทางวิปัสสนากรรมฐาน ขณะที่สามเณรสุภาเดินทางไปพบ หลวงปู่สีทัตต์กำลังก่อสร้างพระธาตุอยู่องค์หนึ่ง คือ พระธาตุท่าอุเทน ในปัจจุบัน หลวงปู่สีทัตต์ได้รับสามเณรสุภาไว้เป็นศิษย์ด้วยความยินดี นับว่าหลวงปู่สีทัตต์เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานองค์แรกของหลวงปู่สุภา
ฝึกกรรมฐานออกธุดงค์กับหลวงปู่สีทัตต์
สามเณรสุภาได้เริ่มฝึกกรรมฐานและออกธุดงค์เป็นกิจจะลักษณะกับหลวงปู่สีทัตต์ ซึ่งได้พาสามเณร สุภาออกธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว เพราะวัดพระธาตุท่าอุเทนนั้น อยู่ในเขตจังหวัดนครพนมใกล้กันกับ แม่น้ำโขง สมัยนั้นการเดินทางไปมาสะดวก อีกทั้งยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก มีภูเขา ป่าไม้และถ้ำมากมาย ผู้คนศรัทธาในพระพุทธศาสนาบ้านเมืองสงบร่มเย็นดี ไม่วุ่นวายเหมือนในปัจจุบันพระสงฆ์ทั้งไทยและ ลาวจึงมักจะธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมอยู่กับพระลาวที่เก่งทางวิปัสสนา หลวงปู่สีทัตต์เองก็ได้พาสามเณรสุภา ไปธุดงค์ฝั่งลาวอยู่เสมอ ๆ ที่ชอบไปพักมากที่สุด คือ ถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งสวยงามน่าอยู่ ในถ้ำนั้นมีเขาควายใหญ่วางอยู่คู่หนึ่ง ยาวข้างละประมาณ 8 ศอก มีภูเขาลักษณะโค้งงอนเหมือนกับเขาควาย ชาวบ้านฝั่งลาวจึงเรียกว่า ถ้ำภูเขาควาย ในถ้ำแห่งนี้มีพระสงฆ์ไปปฏิบัติธรรมกันมาก บางครั้งก็อยู่กัน คราวล่ะหลายรูป บางปีก็มีพระสงฆ์ไทยไปจำพรรษาอยู่เช่นกัน เนื่องจากในสมัยนั้น สร้างวัดกันได้ ง่ายกว่าในปัจจุบันไม่ว่าจะฝั่งไทย ฝั่งลาว ส่วนใหญ่วัดตามป่าตามเขาไม่ต้องขอวิสุงคามวาสี ก็สามารถสร้างเป็นวัดได้
อุปสมบทที่ถ้ำภูเขาควายประเทศลาว
สามเณรสุภาได้ติดตามหลวงปู่สีทัตต์ไปธุดงค์จนอายุครบอุปสมบท ในปีพุทธศักราช 2459 หลวงปู่จึงได้อุปสมบทให้สามเณรสุภาภายในถ้ำภูเขาควายนั้น โดยท่านเองเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระเถระที่ไปปฏิบัติธรรมอยุ่ที่ถ้ำภูเขาควาย เป็นพระกรรมวาจารย์และอนุสาวนาจารย์ รวมทั้งพระนั่งอันดับสามเณรสุภาได้รับฉายาว่า กนฺตสีโล
ที่ถ้ำภูเขาควายนั้น จะมีพระวิปัสสนาจารย์ที่รอบรู้ในสรรพวิชาไปพักปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก หลวงปู่สีทัตต์ต้องการให้ลูกศิษย์ท่านได้มีโอกาศรู้จักกับพระวิปัสสนาจารย์เหล่านั้น เพื่อจะได้ศึกษาวัตรปฏิบัติของท่าน หลังจากอุปสมบทแล้วก็ปฏิบัติธรรมอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้นท่านก็ติดตามหลวงปู่สีทัตต์ซึ่งกลับมาจำพรรษาที่วัดพระธาตุท่าอุเทน เพื่อดำเนินการสร้างพระธาตุเมื่อมีเวลาว่าง หลวงปู่จะพาลูกศิษย์รวมทั้งพระสุภาออกธุดงค์อีกเช่นนี้ ไปจนกระทั่งสร้างพระธาตุท่าอุเทนเสร็จ เรียบร้อย
เรียนพระคัมภีร์ท้งห้าและการปฏิบัติวิปัสสนากับพระอาจารย์สีทัตต์
พระภิกษุสุภาได้พำนักอยู่กับหลวงปู่สีทัตต์เป็นเวลานานถึง 8 ปี โดยศึกษาพระปริยัติธรรมทั้ง 5 และปฏิบัติวิปัสสนากรรฐาน ท่านได้ใช้เวลา 4 ปีแรก ศึกษาพระคัมภีร์ปริยัติทั้ง 5 และการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อขึ้นปีที่ 5 หลวงปู่สีทัตต์ได้แนะให้ท่านออกธุดงค์ ในครั้งแรกอนุญาตให้มีเพื่อนติดตามอีก 3 รูป โดยมี 2 รูปเป็นพระอีกรูปเป็นสามเณร เดินธุดงค์ออกจาก ถ้ำภูเขาควายขึ้นไปทางผาต้อหน่อคำ แขวงคำม่วน อำเภอเซโปน จังหวัดเซโปน ประเทศลาว เพื่อทดสอบสมาธิและอุปนิสัยของพระภิกษุสุภา จนกระทั่งเห็นว่าท่านมีสมาธิแน่วแน่ในการปฏิบัติธรรมและวิปัสสนากรรมฐานดีแล้ว
หลวงปู่สีทัตต์ตั้งใจอบรมสั่งสอนทั้งทางด้านวิปัสสนากรรมฐานและวิทยาอาคมต่างๆ รวมทั้งสอนวิชา วิธีถอดกายทิพย์ให้ด้วย จนถึงขั้นจะให้เรียนภาษานกได้รู้เรื่อง แต่ท่านได้พิจารณาดูวัตร ปฏิบัติของท่านแล้ว เห็นว่าชอบออกธุดงค์มากกว่าจึงขอออกธุดงค์ ไม่ได้เรียนภาษานก ก่อนออก ธุดงค์ หลวงปู่สีทัตต์ ได้แนะและอบรมสั่งสอนท่านไปว่า ไปให้ดีนะลูกนะ เดินให้สม่ำเสมอ อย่าเร็ว อย่าช้า ให้ค่อยไป ให้ค่อยมา โบราณเขาว่าอยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่ง
เดินทางไปพบหลวงปู่ศุข เกสโร (วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
เมื่อปีพุทธศักราช 2463 พระภิกษุสุภาได้กราบลาหลวงปู่สีทัตต์เพื่อออกธุดงค์วัตร และออกจากถ้ำ ภูเขาควายไปตามทางที่หลวงปู่สีทัตต์ได้เมตตาแนะนำ คือ ให้วิ่งจากถ้ำภูเขาควายไปท่าเดื่อ และจาก ท่าเดื่อไปหนองคาย ให้ไปสละธุดงค์ที่หนองคาย พร้อมทั้งแนะนำว่า อย่าเดิน เพราะจะช้าเกินไป เรียนอะไรจะไม่จบ และยังชี้แนะอีกว่าจะได้พบอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งหากแต่ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ใด
พระภิกษุสุภาออกเดินทางไปตามเส้นทางที่หลวงปู่สีทัตต์แนะนำ พอถึงหนองคายก็ออกธุดงค์ และให้เดินทาง ไปทางเหนือจะได้พบกับ พระอาจารย์องค์หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญด้านกสิณและวิชาแปดประการ มีอภิญญาสูงมาก พระภิกษุสุภาได้วิชาอาคมจากท่าน และนั่งรถยนต์เข้ากรุงเทพฯ เพื่อให้ทันเวลาตามที่หลวงปู่สีทัตต์ได้บอกไว้ เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ท่านก็ได้ถามหาเกจิอาจารย์ที่สามารถสอนทางพุทธศาสตร์ที่ลึกลับ ลึกซึ้ง หรือสอนทางวิปัสสนากรรมฐาน มีคนเล่าลือว่ามี อาจารย์ศุข (หลวงปู่ศุข เกสโร) อยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ท่านจึงออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เดินทาง นั่งรถบ้างจนถึง จังหวัดชัยนาทตามที่หลวงปู่สีทัตต์ได้บอกท่าน ก่อนกราบลาจากถ้ำภูเขาควาย
เมื่อเดินทางไป ที่วัดอู่ทอง พอเห็นกุฏิ หลวงปู่ศุข ก็จะขึ้นไปนมัสการ ก็ได้รับคำทักทาย ว่า...มาถึงแล้วหรือพ่อเณรน้อย กำลังรออยู่พอดี ล้างเท้าแล้วขึ้นมาเห็นหน้าเห็นตากันหน่อย
มีแต่ เสียงทักทายที่นอกชาน แต่เมื่อมองขึ้นไปไม่เห็นใคร จึงได้คิดในใจว่า... นี่คือพลังปราณผู้ที่สำเร็จ สามารถออกเสียงให้ดังค่อย หรือไกลใกล้แค่ไหน ก็ได้ หรือว่าท่านมีพลังในการโปร่งแสง (หายตัวได้) (ในช่วงที่หลวงปู่สุภาไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ศุขนั้น กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ “เสด็จเตี่ย” ได้ศึกษาวิชาจาก หลวงปู่ศุข จบและเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ประมาณ 4 ปี)
ท่านได้คลานเข้าไปกราบหลวงปู่ศุขซึ่งขณะนั้นท่านทราบแล้วว่าจะมีพระภิกษุมาจากประเทศลาว จึงถามท่านว่ามาจากประเทศลาวใช่หรือไม่ ท่านจึงตอบรับและกราบเรียนว่า มีความประสงค์จะมาขอให้หลวงปู่อนุเคราะห์ให้ท่านได้อยู่ศึกษา เล่าเรียนด้วย หลวงปู่ศุขจึงรับพระภิกษุสุภาไว้เป็นศิษย์ ท่านพำนักอยู่กับหลวงปู่ศุขเป็นเวลา 3 ปี ได้ศึกษาวิชาต่างๆ ที่หลวงปู่ศุขได้ถ่ายทอดให้ หลวงปู่ศุขเองก็ได้ให้ความรัก ความเมตตาต่อลูกศิษย์ ท่านเป้นอย่างมาก ถึงแม้พระภิกษุสุภาได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุมานานเกือบ 4 พรรษาแล้วก็ตาม แต่หลวงปู่ศุขก็ยังคงเรียกท่านว่า เณรน้อย เช่นเดียวกับหลวงปู่สีทัตต์เคยเรียก หลวงปู่ศุขย้ำเสมอว่า พระภิกษุสุภาคือ เณรน้อย ลูกศิษย์สุดท้องของท่านเนื่องจากในขณะที่พระภิกษุสุภาเริ่มเข้าไปกราบ หลวงปู่ศุขนั้นท่านอายุมากแล้วแต่ยังขยันปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ ทุกวัน พระภิกษุสุภามีความเคารพนับถือและรักใคร่หลวงปู่ศุขอย่างยิ่งเช่นกัน หลวงปู่ศุข จึงนับเป็นพระอาจารย์องค์ที่ 2 ของท่านต่อจากหลวงปู่สีทัตต์
เรียนวิชากับหลวงปู่ศุข เกสโร (วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
หลวงปู่ศุขเป็นพระที่มีชื่อเสียงมาก มีผู้คนไปกราบนมัสการมิได้ขาด ด้วยความศรัทษารักท่านเป็น เสมือนพระผู้วิเศษเฉกเช่นเทพเจ้า เป็นที่เคารพบูชาของคนทุกชนชั้น ตั้งแต่เจ้านายลงมาถึงไพร่ หลวงปู่ศุขประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้พระภิกษุสุภา เมื่อหลวงปู่ศุขท่านนั่งกรรมฐานท่านก็นั่ง กรรมฐานไปด้วย หากติดขัดปัญหาธรรมที่ใด ก็ไปกราบเรียนถาม ท่านก็เมตตาแนะนำให้ทุกครั้ง วิธีการสอนของหลวงปู่ศุข ไม่ได้สอนแบบสำนักที่เปิดสอนกันทั่วไป ส่วนใหญ่ ท่าจะปฏิบัติให้ดูเป็น ตัวอย่าง แล้วให้ลูกศิษย์ ศึกษาทำความเข้าใจเอาเอง
ในเรื่องเกี่ยวกับวิทยาคมนั้น ท่านค่อยๆ ศึกษาดูว่า หลวงปุ่ศุขทำอย่างไร ส่วนใหญ่พวกลูกศิษย์ที่ ศึกษาอยู่กับท่าน ต้องช่วยท่านอยู่แล้ว ในเวลาที่ท่านปลุกเสก ก้ได้ไปคอยสังเกต พระคาถาต่างๆ หลวงปู่ศุขก็สอนให้บ้าง จดจำเองบ้าง และไปขอท่านบ้าง อย่างไรก็ตาม ไม่มีลูกศิษย์คนใด จะปฏิบัติ จนบรรลุได้เหมือนหลวงปู่ศุข บางครั้ง เวลาลงยันต์ทำตะกรุดต้องลงไปทำใต้ท้องน้ำ ไม่มีใครเห็น จะเห็นได้ก็ต่อเมือตอนท่านขึ้นมาจากน้ำแล้ว
พระภิกษุสุภา ได้ปฏิบัติธรรมอย่างขยันหมั่นเพียรตลอดเวลากับหลวงปู่ศุข ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับ ใคร ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือกับพระภิกษุด้วยกันเพราะหลวงปู่ศุขไม่ชอบให้วุ่นวาย ท่านจึงมุ่ง แต่ปฏิบัติไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ พวกลูกศิษย์ก็ไหว้พระพร้อมกับหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านได้ให้ โอวาททบทวนธรรมะ หากมีข้อขัดข้อง ก็ถามท่านได้ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติขั้นตอนใด ท่านจะ แนะนำให้จนกระทั่งได้เวลาพอสมควร ท่านก็กลับไปทำกิจของท่าน ลูกศิษย์อื่นต่างก็แยกย้ายกัน ไปพัก และ ปฏิบัติต่อเอง นอกจากนี้ พระภิกษุสุภา ยังคอยสังเกตเรื่องวิทยาอาคม จากการอ่าน ตำราที่ท่านเที่ยวจดเที่ยวเขียนไว้บ้าง ดูจากกรรมวิธีที่ท่านทำบ้าง เรียนถามท่านบ้าง ท่านก็แนะนำ ให้ตามสมควรใครสนใจมากก็ได้ไปมาก ใครไม่สนใจก็ไม่ได้อะไรไปเลย แต่ส่วนใหญ่ หลวงปู่ศุข จะเน้นเรื่องการรักษาศีลและการปฏิบัติมากกว่า เพราะท่านสอนว่าถ้า ศีลบริสุทธิ์ คุณวิเศษต่างๆ ก็จะมีมาเอง พระภิกษุสุภา กนฺตสีโล ได้ศึกษาธรรมและวิทยาคมต่างๆ กับหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลอง มะขามเฒ่าเป็นเวลากว่า 3 ปี ถือได้ว่าเป็น 3 ปีที่มีค่าที่สุดในชีวิตเพระาได้ความรู้ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะความรู้ในทางธรรมและวิทยาคมต่างๆ ครั้งนั้น มีพระภิกษุไปปฏิบัติธรรมและเรียนวิชาอยู่ กับหลวงปู่ศุขด้วยกันประมาณ 30-40 รูป ซึ่งปัจจุบันมรณภาพกันไปหมดแล้ว เท่าที่ทราบใน เวลานี้ จะมีเพียงหลวงปู่สุภาเพียงรูปเดียวในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน
เมื่อท่านเดินทางไปถึงแห่งหนตำบลใดก็มักจะสร้างประโยชน์สุขให้แก่ชุมชนนั้นๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็น การก่อสร้างพุทธสถาน หรือสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ท่านก็ยินดีทำให้ด้วยความเต็มใจและ เห็นใจผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากเสมอ พุทธศาสนิกชนที่รับทราบจึงเคารพศรัทธาท่านเป็นอันมาก ไม่เพียงแต่ ในประเทศไทยเท่านั้นที่ท่านเดินทางไป ในแถบทวีปเอเชียท่านก็ธุดงควัตรไปเกือบทุกประเทศ ไม่ว่า จะเป็น ลาว เวียดนาม สิงค์โป มาเลเซีย ฯลฯ ไปถึงจีน อินเดีย และประเทศในทวีปยุโรป
หลวงปู่สุภาธุดงค์มาทางภาคใต้ของประเทศไทย และนิยมชมชอบสถานที่ใน จ.ภูเก็ต คราแรกท่านมาปักกลดที่เขารัง จากนั้นจึงนั่งเรือข้ามฝั่งไปเกาะสิเหร่ปักกลดแสวงหาความวิเวกจนมาพบพื้นที่ แปลงหนึ่ง เจ้าของที่ชื่อ “แป๊ะหลี” ซึ่งมีความเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ จึงถวายที่ดินเพื่อ สร้างวัด เป็นวัดแรกบนเกาะ เรียกว่า “วัดเกาะสิเหร่” เป็นการก่อสร้างที่มีความยากลำบากมาก เพราะอยู่บนเกาะ การเดินทางไปมาไม่สะดวก บวกกับชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็น ’ชาวเล’ ซึ่ง ไม่ซึมซาบในศาสนาพุทธ ท่านหลวงปู่ต้องใช้ทั้งปัญญา และกุศโลบายมากมายก่อนที่จะทำให้ชาวบ้าน ยอมรับ และซึมซับเอาพุทธศาสนาเข้าไปอยู่ในจิตใจ และปฏิบัติตามได้ สุดท้ายก็สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยมีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่เป็นพระประธาน รวมเวลาก่อสร้าง 6 ปีเต็ม ได้ถวายเป็นพระราช กุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรม ราชินีนาถ การนี้ได้ทรงโปรดเกล้าพระราชทานแววพระเนตรมาประดิษฐานไว้ที่พระเนตรขององค์ พระพุทธไสยาสน์ด้วย จากนั้นท่านยังคงแบกกลดออกเดินทางต่อไป ด้วยจิตใจใฝ่สันโดษ จนกระทั่งท่านย้อนกลับมายังดินแดนภูเก็ตอีกครั้ง เมื่อมีอายุได้ 84 ปี สังขาร เริ่มโรยราและอาพาธอยู่บ่อยครั้ง ลูกศิษย์ของท่านจึงอยากให้ท่านปลดกลดละธุดงค์เสียจึงร่วมกันคิด และเห็นพ้องกันว่าควรตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นที่เขารัง และตั้งชื่อตามนามเจ้าของที่ดินว่า “สำนักสงฆ์เทพขจรจิต” และก่อสร้างพระพุทธรูปปางประทานพรไว้บนยอดเขามีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดภูเก็ต สามารถมองเห็นได้แต่ไกล บ่อยครั้งเมื่อหลวงปู่อาพาธต้องเข้าทำการรักษาที่ รพ.วชิระ ท่านเห็นว่า พระสงฆ์ที่อาพาธต้องรักษาอยู่รวมกับคนป่วยทั่วไป ทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่พระสงฆ์ เมือท่าน เห็นดังนั้นจึงสร้างตึกสงฆ์อาพาธขึ้นที่ รพ.วชิระ ทำให้การรักษาพยาบาลพระสงฆ์ทำได้ดีขึ้น นับ เป็นผลงานของท่านเมื่ออายุได้ 100 ปีพอดี สำนักสงฆ์เทพขจรจิตแห่งนี้นับเป็นสถานที่ที่ท่าน หลวงปู่พักอาศัยยาวนานที่สุด ด้วยความที่ท่านเป็นพระภิกษุที่ตั้งจิตอุทิศตนอยู่ภายใต้ร่มเงา ในพุทธศาสนาจึงคิดสร้างวัดขึ้นอีก แต่ด้วยเหตุว่าอาณาบริเวณบนยอดเขารังมีเนื้อที่ไม่เพียงพอท่านจึง เสาะหาสถานที่สร้างวัดแห่งใหม่ที่ตำบลฉลอง ดำเนินการเพียงสองปีก็สามารถก่อตั้งเป็นวัดได้ โดยได้ รับการโปรดเกล้าพระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ว่า “วัดสีลสุภาราม” ได้จัดงานบุญสมโภชป้ายชื่อวัดเมื่อวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2546
ขอบพระคุณที่มา :- http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=25154 -
(ต่อ)
แม้ว่าวัยจะล่วงเลยมานานถึง ๑๑๓ ปี แต่ตลอดหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมาหลวงปู่สุภา กนฺตสีโล เจ้าอาวาสวัดสีลสุภาราม ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต
ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคหลายสมัยผ่าน เหตุการณ์ ผ่านสังคมที่เปลี่ยนแปลงมามากมาย เห็นทั้งความดีและความชั่วมาหลายครั้ง สาธุชนหลายท่านได้ให้คำยกย่องเป็น"พระอริยสงฆ์ห้าแผ่นดินผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี"
หลวงปู่สุภา ผ่านกาลเวลามา๕ รัชสมัย๕ แผ่นดินได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งดีและไม่ดี อีกทั้งเรื่องราวต่างๆ ประสบการณ์ต่างๆ มามากมาย อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านเป็นทั้งผู้ "ให้" และผู้ "สร้าง" หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวพุทธเสมอมา ขณะเดียวกันท่านยังคงรักษาศีลภาวนาปฏิบัติธรรมตามภารกิจของสงฆ์ดังเช่นปกติ
"สุภา วงศ์ภาคำ" เป็นชื่อและสกุลเดิมของหลวงปู่สุภา เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๔๓๙ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก ณ บ้านคำบ่อ อ.วาริชภูมิ จ.อุบลราชธานี บิดาชื่อ ขุนภักดี หรือผู้ใหญ่บ้านพล มารดาชื่อ นางสอ
การพยากรณ์จากปากของพระธุดงค์ที่มาปักกลดใต้ต้นตะแบกใหญ่ท้ายหมู่บ้านคำบ่อ ตอนนั้นหลวงปู่สุภาอายุ ๗ ขวบ คลานไปกราบแทบตักของพระธุดงค์ มือของพระธุดงค์ลูกศีรษะด้วยความเอ็นดู พร้อมทั้งกล่าวว่า
เด็กน้อยเอ๋ยต่อไปเจ้าจักได้บวชเรียนถวายตัวในพระพุทธศาสนา บวชเมื่อไรแล้วจงอย่าลืมไปเสาะหาหลวงพ่อให้จงได้ อย่าลืมนะ พบกันในวาระที่เจ้าได้ครองผ้าเหลืองเหมือนหลวงพ่อนี่แหละ
สองปีต่อมาหลวงปู่สุภาอายุ ๙ ขวบ บอกกับบิดาว่า อยากออกบวชเป็นสามเณร หลายคนไม่ขัดข้อง เพราะเห็นว่าหลวงปู่สุภาเป็นผู้เอาใจใส่ในการเล่าเรียน จึงนำไปให้พระอาจารย์สวนบรรพชาเป็นสามเณร และสั่งสอนอบรมอยู่หนึ่งปีเต็ม กระทั่งพระอาจารย์สวนบอกกับหลวงปู่สุภาว่า อย่างเณรต้องก้าวหน้ากว่านี้ ฉันจะพาเข้าเมืองอุบลไปเล่าเรียนต่อให้แตกฉาน อยู่กับฉันก็แค่นี้แหละเณร
พ.ศ.๒๔๔๙ หลวงปู่สุภาได้รับการนำตัวลงมาจากบ้านคำบ่อ มาฝากไว้ในสำนักเรียนของ พระมหาหล้าแห่งวัดไพรใหญ่ จ.อุบลราชธานี โดยพระมหาหล้าได้ทดสอบความรู้เบื้องต้น พบว่าหลวงปู่สุภาเมื่อเป็นสามเณรมีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดีมาก เรียนต่อก็ไม่ยากลำบากอะไร จึงร่วมกับอาจารย์ลุยผู้เป็นฆราวาสเปรียญธรรม อบรมสั่งสอนให้เล่าเรียน "มูลกัจจายน์" ห้าเล่มอย่างเอาเป็นเอาตาย หลวงปู่เล่าเรียนด้วยความมานะพยายาม จนเรียนจบมูลกัจจายน์ในขณะอายุได้ ๑๖ ปี
พ.ศ.๒๔๕๙ หลวงปู่สุภาเป็นสามเณรที่อายุครบอุปสมบท โดยมี พระอาจารย์สีทัตต์จัดหาเครื่องบริขารจนครบและนำสามเณรสุภาข้ามไปยังประเทศลาว รอนแรมไปจนถึงถ้ำภูเขาควาย โดยมีพระวิปัสสนาหลายรูป เดินทางไปสมทบ พร้อมด้วยพระภิกษุที่เป็นศิษย์
จากนั้นพระอาจารย์สีทัตต์ ได้อุปสมบทสามเณรสุภา โดยมีพระอาจารย์สีทัตต์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวิปัสสนาจารย์ร่วมเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ ศิษย์ในพระวิปัสสนาจารย์ที่ติดตามมาเป็นพระอันดับ ได้รับนามฉายาว่า "กันตสีโล"
หลังจากอุปสมบทแล้วก็ปฏิบัติธรรมอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้นท่านก็ติดตามหลวงปู่สีทัตต์ซึ่งกลับมาจำพรรษาที่วัดพระธาตุท่าอุเทน จ.นครพนม ต่อมาได้เรียนพระคัมภีร์ทั้งห้า และการปฏิบัติวิปัสสนากับหลวงปู่สีทัตต์ พระภิกษุสุภาได้พำนักอยู่กับหลวงปู่สีทัตต์เป็นเวลานานถึง ๘ ปีโดยศึกษาพระปริยัติธรรมทั้ง ๕ และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานท่านได้ใช้เวลา ๔ ปีแรก ศึกษาพระคัมภีร์ปริยัติทั้ง ๕ และการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อขึ้นปีที่ ๕ หลวงปู่สีทัตต์ได้แนะให้ท่านออกธุดงค์ไปทางผาต้อหน่อคำแขวงคำม่วน อ.เซโปน จ.เซโปน ประเทศลาว เพื่อทดสอบสมาธิและอุปนิสัยของพระภิกษุสุภา
จนกระทั่งเห็นว่าท่านมีสมาธิแน่วแน่ในการปฏิบัติธรรมและวิปัสสนากรรมฐานดีแล้ว หลวงปู่สีทัตต์ตั้งใจอบรมสั่งสอนทั้งทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน และวิทยาอาคมต่างๆ รวมทั้งสอนวิชาวิธีถอดกายทิพย์ให้ด้วย จนถึงขั้นจะให้เรียนภาษานกได้รู้เรื่อง
แต่ท่านได้พิจารณาดูวัตรปฏิบัติของท่านแล้วเห็นว่าชอบออกธุดงค์มากกว่า จึงขอออกธุดงค์ ไม่ได้เรียนภาษานก และเดินทางไปพบหลวงปู่ศุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง
ที่มาจากหนังสือพิมพ์ : คม ชัด ลึก
http://www.krusiam.com -
สายตรงวิชาเดินธาตุในดง...
ถ้าเป็นองค์เดียวกัน
ท่านคือ ผู้ที่เขียน
เทคนิคการตั้งธาตุต่างๆครับ
ปล.ถ้าจำไม่ผิด จะมรณะภาพทางภาคอีสาน -
หลวงปู่สุภา ท่านมีพลังจิตสูงมากครับ
มีข่าวโคมลอยว่า ท่านเคยหุงเหล็กไหล ด้วยกณิณไฟ จนไฟไหม้กุฏิไปถึง2ครั้ง