เผชิญดวงไฟประหลาด แสงสีเลือด!!

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ภูผาปักษา, 20 มกราคม 2017.

  1. ภูผาปักษา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    46
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +107
    ครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง จากการที่ได้เดินทางไปค้างแรมยังป่าโปร่งแห่งหนึ่ง ของจังหวัดตาก (ขออนุญาตสงวนนามสถานที่..) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ต่อหน้าวงสนทนาในยามค่ำคืน จนนำไปสู่การหวนกลับมาเยือน...เพื่อการพิสูจน์อีกครั้ง....


    ป่า...ขึ้นชื่อว่า...ป่า...ไม่ว่าจะเป็น..ป่าดงดิบ ป่าทึบ หรือป่าโปร่ง...ล้วนแต่มีอาถรรพ์ หรือพลังแห่งธรรมชาติแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ เช่นเดียวกับตัวผม ที่ได้เผชิญอาถรรพ์แห่ง...ป่าโปร่ง...ครั้งนี้

    ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ช่วงแห่งเทศกาลการเดินทางท่องเที่ยว กับการหลบลี้หนีผู้คน เนื่องจากในสถานที่แหล่งท่องเที่ยวหลักของหลายๆอุทยาน ล้วนคราคร่ำไปด้วยผู้คน เต็นท์เล็ก เต็นท์ใหญ่ สะท้อนแสงหลากสีละลานตา กับผู้คนมาจากหลากหลายทิศทาง ผมกับสหายผู้รู้ใจรวมสองคน จึงตกลงกันไปหาพักค้างคืนยังสถานที่ ที่เราไม่เคยไปเยือนเลย ซึ่งเป็นหน่วยพิทักษ์ป่า หน่วยย่อยของอุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่งของจังหวัดตาก

    เส้นทางจากถนนหลักสายตาก - แม่สอด เราเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังที่หมาย ไปตามถนนลูกรังฝุ่น บางช่วงของเส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่อ ผ่านไร่สตรอเบอรี่ ไร่เกษตรกรรมและตัดผ่านกลางหมู่บ้านชาวเขาหลายหมู่บ้าน...จนกระทั่งมาถึงที่หมายเวลาราวๆบ่ายห้าโมงเย็น ทันทีที่ได้สัมผัสบรรยากาศ...อากาศหนาวเย็นจับใจทีเดียว ไม่น่าแปลกเลย...มีเพียงเราคณะเดียว รถคันเดียว ในสถานที่แห่งนี้ (สมใจหมาย) ดื่มด่ำกับสภาพบรรยากาศแบบ..ป่า..ขุนเขา..เสียงไก่ป่ากู่ขันร้องรับกันระหว่างช่วงหุบเขา ธรรมชาติรายล้อมยังคงความเขียวขจี ต้นไม้ใหญ่บริเวณที่เราพัก ขึ้นยืนต้นห่างกันได้ระยะพอดี ไม่หนาทึบ เข้าลักษณะแบบ..ป่าโปร่ง ประกอบกับลมหนาวพัดกรรโชกมาเป็นระยะและต่อเนื่องตลอด นำพาความหนาวเหน็บตามติดมาด้วยทุกครั้ง

    รีบจัดการกับสถานที่พัก จอดรถบังทิศทางลม..กันหนาว อันดับแรกเลย..จัดการก่อไฟในเตาถ่านที่หิ้วมาด้วย ลมแรงมาก ทำเอาถ่านที่ติดไฟแล้วมอดดับเร็วมาก ต้องคอยเติมถ่านตลอด จังหวะกำลังนั่งผิงไฟคลายหนาวสุนัข...สีน้ำตาล..วิ่งเข้ามาใกล้ ลักษณะเป็นสุนัขพันธุ์พื้นบ้านอาจจะมาจากหมู่บ้านที่เราขับผ่านมา ทำท่าจดๆจ้องๆอยู่ คงจะดูท่าทีของแขกผู้มาเยือน พอดีมีอาหารห่อติดมาด้วย เลยโยนแบ่งปันให้มันนิดหน่อย ทำเอามันคุ้นเคย นั่ง นอนหมอบอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมไปไหน ก็เลยตั้งชื่อให้ซะ....เจ้าน้ำตาล ตามลักษณะสีของมัน
    กำลังนั่งชมบรรยากาศเพลินๆ จู่ๆ..เจ้าน้ำตาล ซึ่งนอนหมอบอยู่ข้างๆ ก็หุนหันพลันแล่น ลุกขึ้นวิ่งไปยัง..โคนต้นไม้..ต้นหนึ่งบริเวณนั้น มีลักษณะเป็นต้นไม้ลำต้นขนาดกลาง เป็นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามป่าเขาทั่วไป ไม่รู้จักชื่อ สูงพอประมาณ ขึ้นอยู่โดดเดี่ยวใกล้ๆที่พักของเรา มันเห่าแบบขู่ลดตัวกึ่งหมอบ ถอยเข้าถอยออก ทำอยู่อย่างนั้นนานพอประมาณกินเวลาหลายนาที เหมือนมันเจออะไรอยู่ใต้โคนต้นไม้นั้น มองตามไปดูก็ไม่เห็นมีอะไรเคลื่อนไหว จึงลุกไปดูว่ามีอะไร หรือตัวอะไรอยู่โคนต้นไม้ ในใจคิดว่าอาจจะเป็น..งู จึงหยิบได้ไม้แห้งท่อนหนึ่ง เผื่อได้ใช้ไล่งู..ป้องกันตัว ค่อยๆย่องเบาเข้าไปใกล้ๆ เจ้าน้ำตาลก็ยังทำกิริยาแบบเดิม หนำซ้ำยังเห่าขู่ดังยิ่งกว่าเดิมอีก เหมือนกับว่าเราเนี่ย มาช่วยมันอีกแรง ได้ใจใหญ่...ฉลาดนะ..เจ้าเนี่ย เดินเข้าไปใกล้...เอ๊ะ...! แปลกใจ ไม่เห็นมีอะไร จึงเดินอ้อมตรวจดู ก็ไม่เห็นมีอะไร รูหรือโพรงก็ไม่มี หญ้าก็เรียบโปร่ง..มองเห็นผิวดิน ไม่มีบัง มันก็ยังเห่าไม่ยอมหยุด ...เอ...!.. เจ้าน้ำตาลมันหลอกเรารึเปล่า พลางนึกขันในใจ แต่อดที่จะคิดไม่ได้...ยามเย็นๆ ตะวันใกล้ที่จะตกดินแบบนี้....มันเห็นอะไร...

    หลังจากวุ่นวายอยู่กับเจ้าน้ำตาลพักหนึ่ง กลับมาจัดแจงกับเสบียงอาหาร จัดการการกางโต๊ะปิกนิค นั่งรับลมชมวิว ตากอากาศให้เต็มที่ สำหรับผมชอบที่จะถอดเสื้อโต้ลมหนาว ปรับสภาพร่างกาย จนรู้สึกสบายตัวชินกับความหนาว เหลือบดูเวลาก็เคลื่อนคล้อยเข้าไปราวๆหนึ่งทุ่ม ยามนี้ไม่มีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้า มีก็เพียงแสงจากพระจันทร์ แสงสว่างจากเตาไฟถ่านและจากโคมไฟเดินป่าที่ติดตัวมาด้วย นั่งจิบน้ำดีกรีเค้าคลอด้วยเสียงกีต้าร์ สลับกับการพูดคุยกันสัพเพเหระ ชมพระจันทร์บนฟ้ายามนี้ช่างสุกสว่างสดใส สีน้ำผึ้งงดงามมาก จนเวลาล่วงเลยมาประมาณสองทุ่มกว่าๆ พระจันทร์ขึ้นเฉียงเลยศรีษะ ในป่ายามนี้มืดสลัวๆแต่วังเวงจริงๆ ได้ยินก็เพียงเสียงลมพัดกับเสียงพูดคุยของเรา ส่วนเจ้าน้ำตาลก็นอนหมอบหลับอยู่ข้างๆ สบายซะจริงๆ

    (กลุ่มแนวต้นไม้ที่เกิดปรากฏการณ์แสงสีแดงสด ลูกไฟประหลาด)
    ทิศทางที่เรานั่งหันไปหาแนวกลุ่มไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ตามขอบลานกางเต็นท์ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานจัดไว้ให้ ...ขึ้นในระยะห่างกันพอประมาณ เป็นไม้ใหญ่ที่มีอยู่ตามป่าทั่วไป มีขนาดความสูงเต็มที่แล้ว ลำต้นใหญ่ประมาณหนึ่งคนโอบ คาดคะเนความสูงและความใหญ่ของลำต้น น่าจะพอๆกับไม้สักขนาดกลาง ขึ้นอยู่ห่างจากเราประมาณสามสิบเมตรเห็นจะได้ กำลังนั่งหันหน้ามองพอดี จู่ๆ....แสงไฟแบบสีแดงอมชมพูหรือคล้ายๆสีบานเย็นหรือสีเลือดสด ไม่ใช่สีแดงแบบที่เราพบเห็นทั่วไป สว่างขึ้นวาบแดงสด..เป็นแสงที่มีขนาดความกว้างคลุมกลุ่มแนวต้นไม้ที่ขึ้นห่างกันอยู่ประมาณสามต้นตั้งแต่แนวยอดไม้ลงมาถึงแนวพื้นดิน สว่างแดงเรื่อท่ามกลางความมืดค้างอยู่อย่างนั้นราวๆ ๖-๘ วินาทีเห็นจะได้
    สายตาทั้งสองคู่หันหน้าไปในทิศทางที่เกิดปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือด...นั้นพอดี ต่างงุนงง..ตะลึง..เงียบ..หยุดการทำกิจกรรมรวมทั้งหยุดการพูดคุย เหลือบมองเจ้าน้ำตาล มันก็ยังนอนเป็นปกติ ไม่มีแสดงปฏิกิริยาใดๆ พอความมืดกลับคืนมาอีกครั้ง ผมพลางเอ่ยปากกับสหายที่ร่วมป่ากันในค่ำคืนนี้ เอ...! สงสัยเจ้าหน้าที่ป่าไม้คงจะมาดูหรือมาอำนวยความสะดวกเรา แต่...! แปลกแฮะ นั่งรอเจ้าหน้าที่ป่าไม้ มองไปตามแนวทางเดินที่ติดกับแนวต้นไม้ที่เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด ไม่เห็นมีใครเดินมาซักคน พร้อมกับอดสงสัยไม่ได้ว่า...ถ้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาจริงๆ ใช้ไฟอะไรนำทางถึงมีสีและสว่างเป็นวงกว้างแบบนั้น ความเงียบกลับมาครอบงำเหมือนเดิม...ไม่มีใครมาเยือน..ทิ้งความสงสัยให้เราเฝ้ามองติดตามอีก

    นั่งครุ่นคิด...พร้อมกับพากันจ้องไปยังแนวกลุ่มต้นไม้แหล่งกำเนิดปรากฏการณ์ประหลาดอย่างไม่ลดละสายตา เวลาผ่านไปราวๆสองนาที ปรากฏการณ์เดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แสงสีแดงสดแบบเดิมแผ่ขยายขึ้นคลุมแนวต้นไม้ใหญ่สามต้นกลุ่มเดิม ผมพยายามมองหาแหล่งกำเนิดของแสงประหลาดนั้น มันโผล่วาบขึ้นรวดเร็วมาก จนหาที่มาของแหล่งกำเนิดไม่ได้ ไม่ทราบว่ามันมาจากทิศทางใดหรือต้นกำเนิดอยู่ ณ จุดใด พลัน..ทันใดนั้นเอง....ปรากฏ..ลูกแสงแห่งดวงไฟ..ลักษณะเป็นวงกลมสีขาวนวล ขนาดประมาณลูกกะลามะพร้าวน้ำหอม จำนวน ๑ ดวง ลอยไปมา จากต้นไม้ต้นหนึ่ง เคลื่อนที่ลอยไปมาระหว่างต้นไม้อื่นๆที่ถูกแสงสีแดงสดแผ่ปกคลุม โดยไม่ออกจากแนวแสงสีแดงสดนั้นเลยและลอยอยู่ไปมาเฉพาะลำต้นเท่านั้น ปรากฏการณ์แบบนี้กินเวลานานประมาณเท่าเวลาเดิม กับที่เกิดขึ้นครั้งแรกหรือราวๆ ๖-๘ วินาที
    "เอ็งเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือเปล่าวะ" ยิงคำถาม ถามเพื่อนร่วมป่าแห่งค่ำคืนนี้ ...."ข้าง่วงนอนแล้วว่ะ..." เสียงตอบกลับจากสหาย จากนั้นเพื่อนเราจึงผละลุกเดินจากไป เปิดประตูเข้าไปหลบนอนในรถ มารู้ทีหลังตอนรุ่งเช้า...เพื่อนบอกว่า...ในป่า..ผู้เฒ่าผู้แก่บอก..เห็นอะไรห้ามพูดห้ามทัก ก็เลยตอบไปอย่างนั้น.."ข้าก็กลัวเหมือนกันแหละ"....เพื่อนเอ่ยตอบกลับ....

    หลังจากที่เพื่อนผมผละหลบไปตั้งหลักอยู่ในรถ ทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียวแบบเสียววาบๆเหมือนกัน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงข่มจิตข่มใจไม่ให้กลัว อดทนนั่งอยู่คนเดียวสายตาทั้งคู่มองจดจ้องไปยังที่เดิม แนวต้นไม้สีเลือด เจ้าน้ำตาล...ก็ยังคงนอนอยู่ข้างเตาถ่าน หลับสบายเลย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งอยู่คนเดียว เครื่องรางในคอก็ไม่มี สร้อยพระเครื่องก็ถอดวางไว้ที่คอนโซลหน้ารถ เว้นช่วงเวลาไม่นานนัก ราวๆซักประมาณสี่นาทีเห็นจะได้ หลังจากเกิดปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือดครั้งที่สองพร้อมกับดวงไฟสีขาวนวล แนวต้นไม้กลุ่มเดิมก็เกิดแสงสีแดงสดแบบเดิม...วาบขึ้นมาทันที..อีกครั้ง...ไม่มีเสียงผิดปกติใดๆเช่นเดิม ไม่มีดวงไฟสีขาวนวล มีเพียงแสงสีแดงสดเท่านั้น เพ่งมองอยู่นานกินเวลาประมาณเท่าเดิม ๖-๘ วินาที จึงอันตรธานหายไป เหลือแต่ความมืด หากมีอะไรเดินออกมา เห็นทีต้องเปิดแนบขึ้นรถเหมือนกัน เตรียมประตูรถเแง้มไว้รออยู่แล้ว..
    ความมืด ความวังเวงกลับมาเยือน ไม่มีเสียงผิดปกติใดๆ กลุ่มหมู่ดาวเริ่มปรากฏเต็มท้องฟ้าตามแนวกลุ่มก๊าซของทางช้างเผือก ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แต่ก็ยังเฝ้ารอคอยมองอีกครั้ง จนเวลาล่วงเลยมาสี่ทุ่มกว่าๆ ...เห็นทีจะต้องเข้าไปนอนในรถซะแล้ว จัดการเติมถ่านให้เต็มเตา ..หวังว่า..เจ้าน้ำตาลคงอยู่เป็นเพื่อนเราตลอดคืนนะ ...ก่อไฟให้แล้ว...
    กลับเข้ามานอนในรถ จังหวะทิศทางของหัวรถหันไปยังทิศทางที่เกิดปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือดพอดี ปรับเอนเบาะเล็กน้อย ตาจ้องเฝ้ามอง.....เผื่อจะได้พบเจออะไรแปลกๆอีก ...จนเวลาล่วงเลยไปเกือบตีหนึ่ง ทุกอย่างปกติ....เผลอหลับไปในที่สุด

    รุ่งเช้า..แสงสีทองของพระอาทิตย์ขึ้น ส่องกระทบใบหน้าราวๆเกือบหกโมงเช้า ตื่นขึ้นมา..มองสอดส่ายหาความผิดปกติก่อนจะก้าวลงจากรถ..เจ้าน้ำตาลโผเข้าหา ออกอาการส่ายหางไปมาด้วยความดีใจ แหม..! เจอกันวันเดียวคุ้นเคยดีจังนะเอ็ง...สำรวจพื้นที่...ทุกอย่างเป็นปกติ เตาถ่านเหลือเพียงขี้เถ้า ...หลังจัดการกับกาแฟร้อนๆ ก่อนจะตามด้วยมื้อเช้า ยามสายพอประมาณจัดการเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางกลับ เดินสำรวจเก็บภาพถ่ายอีกครั้ง พร้อมกับเดินไปสำรวจยังจุดกำเนิดปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือดเมื่อคืน ทุกอย่างปกติ ไม่มีร่องรอยผิดปกติอะไร รอยกองไฟก็ไม่มี รอยเหยียบย่ำก็ไม่มี พบว่าเป็นกลุ่มต้นไม้ป่าทั่วไป สูงชัน ขนาดลำต้นและความสูงพอๆกับต้นไม้สักขนาดกลาง ขึ้นอยู่บนเนินดิน ฐานรากมีหญ้าคลุมผิวดินมองเห็นหน้าดิน ทุกอย่างเป็นปกติ สำรวจอยู่นานจนพอใจ ไม่พบสิ่งใดบ่งบอกถึงความผิดปกติ จึงเดินทางกลับ....พร้อมเอ่ยในใจ.."ผมกลับล่ะนะครับ"เป็นการบอกกล่าวในใจเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ

    กลับมา...เล่าเรื่องราวเหตุการณ์แปลกประหลาด เรื่องต้นไม้สีเลือด ลูกไฟสีขาวนวล ให้ชาวคณะในตัวเมืองตากฟัง พร้อมกับเอะใจ เอ....!ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในวันค่ำคืนนั้น ตรวจดูปฏิทินถึงกับตกใจ....มันตรงกับวันพระใหญ่ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ตามความเชื่อเรื่องวันโกน....วันพระ ผมจึงอยากกลับมาพิสูจน์อีกครั้ง.....

    หลังจากตกลงปลงใจที่จะหวนกลับมาพิสูจน์อีกครั้ง แต่ไม่ได้เป็นไปด้วยเจตนาลบหลู่หรือท้าทาย คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างในหนังผีหรือที่เคยอ่านเคยฟังมา จึงอยากจะมาชมให้เป็นบุญอีกซักครั้ง พร้อมด้วยเพื่อนสมาชิกมาเป็นพยานเพิ่มอีกคน รวมเป็นสามคน รถขับเคลื่อนสี่ล้อจำนวนสองคัน ออกเดินทางในวันธรรมดา ไม่ใช่วันพระหรือวันโกน..
    ครั้งนี้คณะเราทั้งสาม เดินทางมาถึงยามใกล้ค่ำ แล้วเข้าพักยังสถานที่เดิม ไม่มีนักเดินทางรายอื่นเลย นอกจากพวกเราสามคนเท่านั้น ส่วนผมเช่นเคย...จอดรถหันทิศทางเหมือนเดิม รถเพื่อนสมาชิกอีกคัน จอดหันหัวต่อท้ายด้วยระยะห่างพอประมาณ...อันดับแรกเช่นเดิมครับ จัดการให้ความอบอุ่นกับร่างกายด้วยการก่อไฟในเตาถ่าน ส่วนผมถอดเสื้ออาบลมห่มฟ้า ปรับสภาพร่างกายให้ชินกับความหนาวเย็นเช่นเคยทำเหมือนทุกป่า ระหว่างกำลังจัดแจงกับโต๊ะ เก้าอี้ เสบียงอาหาร เจ้าน้ำตาล..วิ่งไต่เขาขึ้นมา เห็นแต่ไกล พอมาถึงไม่รั้งรีรอ วิ่งตรงเข้ามาเคล้าคลอเคลีย กระดิกหางไปมา...มันยังจำได้ ราวกับคุ้นเคยกันมานาน แต่ครั้งนี้ทำตัวเป็นปกติแฮะ...รอกินอย่างเดียว ไม่หลอกเราเหมือนคราวที่แล้ว...

    กลางวงสนทนาในยามค่ำคืนนี้ เราสนทนากันในเรื่องทั่วไป ไม่มีใครเอ่ยถึงเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือด ลูกแสงไฟสีขาวนวลที่รอคอย..อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ส่วนผมเองปากก็สนทนาไป พลางจิบน้ำดีกรีย้อมใจทีละนิด ส่วนสายตาก็พยายามแอบมองไปยังแนวกลุ่มต้นไม้ที่เคยเกิดเหตุต้นไม้สีเลือด จวบจนเวลาล่วงเลยปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม เหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติ เพื่อนสมาชิกแต่ละคน ขอตัวเข้าไปนอนในรถหลบหนาวทีละคน ผมจัดแจงเก็บข้าวของกันน้ำค้าง กันสัตว์ พร้อมกับเติมเชื้อไฟในเตาถ่านให้เจ้าน้ำตาลที่มานอนหลับเฝ้าเหมือนเช่นเคย....ก่อนจะหลบเข้านอนในรถ...เป็นลำดับท้ายสุด

    เอนเบาะนอนในระดับที่ยังพอมองตรวจการณ์ไปข้างหน้าได้ ใจยังไม่อยากหลับแต่ด้วยความหนาวเหน็บ เหลือบดูนาฬิกาเวลาก็ราวๆเที่ยงคืนกว่าแล้ว สายตาจดจ้องมองไปยังแนวต้นไม้ที่เคยเกิดปรากฏการณ์ต้นไม้สีเลือด ลูกไฟสีขาวนวล ก่อนจะค่อยๆเคลิ้มคล้อยแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น คล้ายๆว่าตกอยู่ในภวังค์หรืออำนาจมนต์สะกดยังรู้ตัวเองว่ายังหลับไม่สนิททันใดนั้นเอง....จู่ๆก็มี....หญิงสาวทรวดทรงองเอวดี เดินออกมาจากแนวด้านหน้าของเนินต้นไม้กลุ่มนั้นลักษณะคล้ายๆว่าเดินแบบกึ่งลอยออกมา แบบไม่เห็นจังหวะการก้าวเท้า มองเห็นในระดับประมาณกลางหน้าขาขึ้นไป ส่วนแขนก็มองเห็นปรากฏเฉพาะช่วงกึ่งกลางแขนท่อนล่างเท่านั้น จังหวะการมาแบบเดินลอยทิ้งแขนข้างลำตัว นางนั้นเดินเข้ามาในระยะเกือบใกล้ด้านหน้ารถ ภายใต้แสงจันทร์แบบสลัวๆ แต่ก็สามารถมองเห็นได้ในระดับที่ถือว่าชัดเจนมาก ไม่น่ากลัวอย่างที่เคยรับรู้มา กลับดูว่ามีลักษณะสวยเกินคาด คงจะเป็น "นางไม้" อย่างที่หมู่พรานหหรือหมู่คนตัดไม้เคยเล่าสู่กันมาถึงความสวยงามของนาง
    ...เงียบ...เงียบกริบ...เจ้าน้ำตาลก็ไม่ส่งเสียงอะไรซักอย่าง คิดในใจว่า เอ..! มันคงวิ่งกลับบ้านไปนานแล้ว ....

    นางไม้...นั้นย่างกรายใกล้เข้ามาด้านหน้าตัวรถ สังเกตุได้ชัดเจนถึงใบหน้าอันสวยงาม ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าที่เรียวเล็ก คางสอบ หวานแบบสาวเมืองเหนือ และไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด กลับชวนให้น่ามอง น่าหลงไหลเป็นอย่างยิ่ง ผมยาวสีดำสยายหลบลงพ้นบ่าไหล่ ผิวพรรณช่วงแขนลักษณะขาวนวล ..แปลก....การแต่งกายไม่เหมือนอย่างที่คาดไว้ อย่างที่เคยได้รับรู้ ได้เคยฟัง ได้เห็นตามภาพยนตร์ ว่า...เสื้อผ้าจะต้องขาดวิ่น เลอะเทอะเปรอะเปื้อนหรือนุ่งห่มโจงกระเบน พาดเฉียงด้วยสไบ แต่...นางนั้นสวมเสื้อยืดที่ดูทันสมัย ลักษณะแบบมีลายเส้นสีเหลืองสดตัดกับเนื้อผ้าสีขาวสะอาด ดูใหม่สดใสมาก สวมกางเกงขายาวสีทึบ คล้ายๆกับกางเกงยีนส์ทั่วไป ไม่มีเครื่องประดับหรืออาภรณ์ปรุงแต่งเพิ่มแต่อย่างใด
    นางนั้นเดินมาหยุดตรงข้างตัวรถ ข้างกระจกประตูฝั่งด้านคนขับซึ่งผมกำลังนอนตัวแข็งทื่ออยู่ แบบที่เขาเรียกว่า..."ผีอำ"...หญิงสาวนางหันใบหน้ามามองผม ทำให้เห็นความสวยงามของนางได้ชัดเจน นึกในใจ อายุของนางหากเทียบกับคนทั่วไปแล้วน่าจะราวๆยี่สิบตอนปลายหรือประมาณสามสิบต้นๆ....."ไฟติ๊ดก่อจ๊าาาาววว..."เสียงอันกังวาน เอื้อนไพเราะเสนาะหู เป็นแบบสำเนียงภาษาถิ่นทางภาคเหนือหรือภาษาล้านนาคล้ายแบบเมืองเชียงใหม่ น้ำเสียงนั้นนุ่มนวล ลอยมาน่าชวนฟังมาก แต่แปลก...ไม่เห็นริมฝีปากของนางขยับเลย ประโยคที่นางเอ่ยทัก ซึ่งแปลความหมายตามภาษาทางภาคกลางหมายความว่า...ไฟติดหรือเปล่า......ทำให้ผมคิดถึงเตาถ่าน คิดถึงเจ้าน้ำตาลขึ้นมาทันที..สงสัยไฟมอดหมดแล้วหรือ...หรือว่านางเป็นห่วงเรื่องความหนาวเหน็บของสภาพบรรยากาศ....

    เอ่ย..กล่าวทักทายผมเพียงประโยคเดียวด้วยน้ำเสียงอันเป็นมิตรไมตรี จากนั้น..นางจึงเดินผละจากไปทางด้านท้ายรถซึ่งมีรถเพื่อนสมาชิกอีกคันจอดต่อท้าย สักพักได้ยินเสียงเพื่อนสมาชิกที่นอนในรถอีกคัน ส่งเสียงแบบอึกๆอักๆ ไม่เป็นภาษา ผมจึงพยายามเอื้อมแขนเพื่อที่จะไปหยิบพระเครื่องที่วางอยู่คอนโซลด้านหน้ารถ แต่ก็ยังขยับตัวไม่ได้ สักครู่นางก็ปรากฏกายอีกครั้ง ตำแหน่งด้านซ้ายของรถผมด้านกระจกประตูผู้โดยสาร พร้อมกับหันหน้าเข้ามา ก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสำเนียงเดิมว่า..."มาจากไหนจ๊าาาววว...." ใจอยากจะตอบแต่ตอบไม่ได้เลย เอ่ยริมฝีปากตะโกนก็ไม่ได้ จากนั้นนางก็ผละ เดินไปด้านหน้ารถ เดินลอยหันหน้ากลับไปยังทิศทางที่ผ่านเข้ามา ก่อนจะหายวับไป....

    ตะลึงอยู่สักพักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัว ขยับแขนขาได้ สภาพบรรยากาศเงียบ วังเวงเป็นปกติ ลมพัดโชยในบางช่วง สองใบหูพยายามฟังเสียงแปลกผิดปกติ ....เงียบ...ไม่มีเสียงใดๆ เหลือบมองข้างรถ เตาถ่านมอดแล้ว โอ้...เจ้าน้ำตาลยังอยู่ ลักษณะหลับสนิทสบายอารมณ์มาก...แต่เราก็ยังไม่กล้าก้าวลงจากรถ นึกทบทวนเหตุการณ์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเอนเบาะเอนกายนอน ...คิดว่าไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยสอบถามเรื่องราวจากเพื่อนสมาชิกคนอื่นๆ....

    ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ปาเข้าไปเจ็ดโมงกว่า เพื่อนสมาชิกคนอื่นตื่นกัน นั่งผิงไฟข้างเตากันหมดแล้ว เหลือเราคนเดียว จะว่าตื่นสายเพราะหลับดึกกับเหตุการณ์เมื่อคืนก็ว่าได้ ...ก้าวเท้าลงจากรถ ทำตัวเป็นปกติ ก่อนจะหันมานั่งชงกาแฟร้อนๆกลั้วคอก่อน ยังไม่เล่าเรื่อง ไม่สอบถามเรื่องราวใดๆจากเพื่อนสมาชิก คอยดูท่าทีไปก่อน จวบจนกระทั่งย่างเข้าเกือบสิบโมงเช้า จึงตัดสินใจบอกเรื่องราว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเราเมื่อคืน พร้อมสอบถามเรื่องราวจากเพื่อนสมาชิก ...ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า....ปกติ หลับสบายเป็นปกติ...อ้าววว...! นี่เราโดนคนเดียวหรือว่าเรารับรู้ได้คนเดียวเหรอเนี่ย....

    หลังฟังเรื่องราวจากผมเล่าแบบสดๆร้อนๆ ก่อนเพื่อนสมาชิกจะช่วยกันเก็บข้าวของ เตรียมตัวกลับ ส่วนผมผละตัวขอเดินไปสำรวจแนวต้้นไม้เดิมอีกครั้ง พร้อมกับสำรวจรอบๆตัวรถ รอบๆบริเวณ ทุกอย่างเป็นปกติ ...เอ...! สงสัยจะขออนุญาตกลับมาสัมผัสใหม่อีกซักครั้ง......


    ที่มา: ร้อยป่า ร้อยเรื่องราว หลากเรื่องเล่า
     
  2. บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ความสว่างเป็นบารมีของใครของมัน
    สิ่งสร้างสะสมมาเองมากน้อยไม่เท่ากัน
    นี่ถ้าเจอระดับพระปัจจเจกพุทธเจ้า
    ซักองค์หนึ่งนะ ประกันว่าเห็นจนท้องฟ้าสว่างโน่น
    สีจะออกคล้ายทองๆ เหลืองๆ มีแดงปนบ้าง
    นึกภาพตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกได้ไหม คล้ายๆกัน

    สว่างมากบารมียิ่งมาก
    สีเป็นสิ่งที่สะสมมาที่เด่นทางด้านนั้นๆ
    ถ้าแดงออกชมพู
    แสดงว่ามีฤิทธิ์ด้วยมีเมตตาด้วย
    สีขาวทางธรรม สีเขียวรักษาโรคได้
    สีน้ำเงินสมาธิ สีม่วงกำลังจิต
    สีทองเมตตารักษาโรคได้
    บางทีก็อาจมีหลายสีปนกัน
    แต่ที่เด่นน้อยจะอยู่ขอบๆ
    สีดวงทวาร เห้ย! ไม่เกี่ยวมั่วแระ
    นี่มันโรคชนิด ๕๕๕
     
  3. devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    มีริดซี่(ดวง)ด้วย น่ากลัวตรงที่เดินเหมือนไม่เดินพูดปากไม่ขยับนี่แหละ โอย เจอเองคงอยากจิเป็นลม ถ้าโดนเองคงบอกไม่ว่างนอนหลับอยู่อย่ากวน คร้อกฟี้:D:D:D(ตลกอีกแระ)เชิญป้ายหน้าสถานีถัดไปเลยจ้า
    แล้วที่พี่นบบอกว่าสีนั้นสีนี้ในทางกลับกันฝ่ายที่เห็นเราจะเห็นเราเป็นสีนั้นสีนี้เหมือนอย่างเขาไหมค่ะ(เจ้าหนูจำไมอีกแล้ว)

    เคยเห็นแต่ลูกไฟแดงๆสูงเท่ายอดมะพร้าว ลอยช้าๆสว่างแบบสลัวๆวาบๆ(ช้า)จากยอดมะพร้าวยอดนึงไปอีกยอดนึง ลูกขนาดใหญ่กว่าลูกบอลหรือมะพร้าว(ถ้ากะโดยระยะทางและสายตา) ตอนนั่งตากลมหน้าบ้านยายราวๆสามทุ่ม เอียงคอมองอย่างสงสัยตามระเบียบ(แม่บอกเจออะไรกลางค่ำกลางคืนอย่าทัก) มันลอยๆหยุดๆพอเพ่งๆมันหยุดเหมือนรู้ว่าโดนมอง ลอยไปสามสี่ยอดมะพร้าวก็หายไปดื้อๆ
     
  4. วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ดวงเท่าไข่เป็ด สว่างเหมือนเปิดไฟ แต่ช่วงด้านบนออกใสคล้ายแสงดาว

    กับอีกแบบ ดวงมีหางสีแดงออกส้ม เหนือยอดไม้ 1 วินาที เห้ย!!ๆๆ"

    ปล. สีดวงทวาร คงเด่นด้านฤทธิ์ เฮ้ย!! ต้องบอกว่า ตกลิดไป คริคริ... อันนี้ขอบาย เสียสละให้เลย 555
     
  5. Thipnara956 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +6
    สวัสดีค่ะ :) ครั้งหนึ่งเคยเห็นไฟดวงกลมขนาดไม่ใหญ่นักสีออกส้มๆ ค่ะค่อยๆเคลื่อนตัวในแนวดิ่งจากสูงระดับยอดไม้ลงสู่พื้นดินในเขตที่ดินตรงข้ามบ้านเลยค่ะ แต่แปปเดียวนะคะก็ลอยขึ้นที่สูงแล้วหายไป จนป่านนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคืออะไร o_O

    แถวบ้านเคยมีพูดกันเรื่องมีคนเป็นกระสือ มีคนเคยเจอและทราบว่าเป็นใครด้วย ยิ่งไปกว่านั้นตอนเป็นเด็กเคยไปบ้านเขาด้วยไปอยู่เป็นเพื่อนยายเพราะไม่มีใครอยู่ นานหลายชั่วโมงเลย ตอนนั้นไม่รู้ค่ะแต่ท่านแม่รู้นะ o_O:eek::confused: แต่เท่าที่ทราบมาและเห็นภาพในกระทู้เก่าๆในเว็บพลังจิตดวงไฟวูบวาบออกสีเขียว ท่านแม่เล่าให้ฟังอีกทีว่าลุงเคยไล่ตามจับสมัยยังเปรี้ยว แต่จับไม่ทันค่ะ วูบทีไปไกลละ
     
  6. นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +796
    เคยเห็นดวงแก้ว 4 ครั้ง ที่บ้านค่ะ บ้านอยู่ติดเขา แต่ละครั้งดวงแก้วจะมีลักษณะต่างกัน คือ ครั้งแรก นั่งสมาธิอยู่ในห้อง เหมือนมีอะไรมาแยงตา เลยลืมตาขึ้น เห็นเป็นดวงแก้วสีขาวสว่าง มีแสงแตกออกเป็นแฉกๆ มาอยู่ตรงยอดต้นมะขาม เหมือนจงใจมาหยุดอยู่ตรงนั้น เราเห็นก็อึ้งๆ แต่ก็ภาวนาแผ่เมตตาไปให้ท่าน สักพักก็หายไปเฉยๆ
    ครั้งที่สอง เห็นเป็นดวงแก้วสีขาว มีรัศมีรอบเป็นสีชมพู ลอยจากเขาอีกลูกไปยังอีกลูก (เห็นวันโกน)
    ครั้งที่สาม เห็นวันพระ (หลังออกพรรษา)เป็นดวงแก้วสีส้มอมทอง รัศมีเป็นแฉกเหมือนกัน ลอยอยู่กลางอากาศ สูงระดับเท่าๆกับภูเขา
    ครั้งที่สี่ วันพระที่ผ่านมานี้เองค่ะ เห็นเป็นดวงแก้วสีขาวแต่มีรัศมีเป็นสีรุ้ง ดวงนี้คือสว่างมากกว่า สามดวงที่เคยเห็น แฉกมีความสว่างจนแสบตา ท่านมาหยุดอยู่สักพักให้เราเห็นได้นานพอควร จากนั้นก็คล้อยๆลงเขา เมื่อลงเขาไปแล้ว ยังปรากฎความสว่างขึ้นมาบนฟ้าเลยค่ะ แสดงว่าบุญบารมีนั้นมากมายจริงๆ ครั้งนี้ก็เกิดปิติน้ำตาไหลด้วย 555 บางท่านก็ว่าเป็นพระธาตุ บางท่านก็ว่าน่าจะเป็นดวงจิตของเทวดาในระดับสูง แต่เรารู้สึกดีมากๆที่ได้เห็น เป็นอีกหนึ่งกำลังใจในการปฏิบัติ
    ทั้งหมดนี้เห็นตอนประมาณ 1 - 3 ทุ่ม ส่วนมากจะเห็นวันโกนและวันพระ
    และมีอีกครั้งหนึ่งเห็นตอน ตีห้า เป็นดวงแก้วสีขาวสว่างทรงกลมไม่มีรัศมี ลอยจากฟากหนึ่งในระดับต่ำ แล้วค่อยๆเคลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆเฉียดฟ้า ลอยไปเรื่อยๆ ไอ้เราก็ดูว่าจะไปถึงไหน เพราะลอยไปยาวไกลมาก สักพักก็หายไปเลย 555 ไม่รู้ว่าอันนี้เป็นแก้วอะไร
    แบ่งปันเรื่องเล่าจ้า:D:D:D:D
     
  7. ภูผาปักษา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    46
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +107
    เห็นด้วยขอรับกับท่านnop ^_^ สีสัน ขนาดขึ้นอยู่กับบารมีและบุญที่สร้างไว้ แต่คนเห็นต้องแยกดีๆว่าเป็นของวิเศษ เรียกว่า " ดวงแก้ว " รึ จิตวิญญาณ ที่ทางตอนใต้เรียกว่า "ชิน "
    มาดูนักวิชาการท่านหนึ่งที่ศึกษาหาข้อมูลเรื่อง "ชิน" กันขอรับ ^_^


    เล่าเรื่องดวงไฟประหลาด.........เมื่อ 50 ปี ก่อนที่บ้านคลองเรียน หาดใหญ่

    เคยเห็นกันมาบ้างรึเปล่าครับ กลุ่มดวงไฟประหลาดสีแดงขุ่น ลอยไปลอยมาอยู่บนต้นไม้ใหญ่เวลาค่ำคืน(โดยเฉพาะในคืนเดือนมืด) หลายคนอาจจะนึกหรือจินตภาพเป็นรูปของดวงไฟขนาดเท่าลูกฟุตบอล สีแดงๆ เข้มๆ กำลังลอยไหลเวียนอยู่บนกิ่งก้านต้นไม้อย่างน่าพิศวงงงงวยว่ามันคืออะไร มันเป็นสัตว์ มันเป็นผี หรือมันเป็นตัวอะไรกันแน่ อย่ามัวรอช้าอยู่เลยขยับเข้ามาใกล้ๆสิผมจะเล่าให้ฟัง...........จากประสบการณ์ออกเดินทางทั้งเพื่อท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ทั้งเพื่อออกเก็บเสาะแสวงหาข้อมูลทางไทยศึกษา หรือแหล่งองค์ความรู้ใหม่ๆอันนำพามาซึ่งการทราบถึงประวัติความเป็นมาของแหล่งประวัติศาสตร์ ความเชื่อที่แตกต่างกันไป จนครั้งหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสออกเก็บข้อมูล ออกเก็บประวัติความเป็นมาของอำเภอเหนือ(อำเภอหาดใหญ่)จึงทำให้พอที่จะทราบถึงเรื่องราวทางความเชื่อเกี่ยวกับลูกไฟประหลาด หรือดวงไฟประหลาดจำนวนหนึ่งที่คนในบ้านคลองเรียน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาในอดีตล่วงเลยผ่านมากว่า 50 ปี แล้วต่างขนานนามให้ว่า......“ชิน” ชินมีรูปร่างลักษณะยังไง จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ภายในพื้นที่ที่อายุเกิน 60 ปี ทำให้พอที่จะทราบได้ว่า ชิน มีรูปลักษณะเป็นดวงไฟสีแดงขุ่นเข้ม บ้างก็ว่าเป็นสีแดงมากๆ มีปลายหางยาวประมาณ 50 เซนติเมตร ชินมีอยู่หลายขนาด อย่างเล็กๆว่ากันว่ามีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล แต่ถ้าใหญ่ขึ้นมาหน่อยน่าจะมีขนาดเท่ากับตะแกรง หรือฝาครอบพัดลมเลยก็ว่า ชินจะล่องลอยอยู่บนต้นไม้ใหญ่อย่างช้าๆคล้ายกับฝูงงูเขียวต้นไม้ที่เลื้อยไหลไปมาระหว่างกิ่งก้านใบของไม้ใหญ่อย่างละมุนนุ่ม เคลื่อนไหวไปมาจากต้นหนึ่งไปสู่อีกต้นหนึ่ง
    ซึ่งในเรื่องนี้คุณพ่อระนอง ไชยโรจน์(อายุ 62 ปี)ได้เล่าถึงประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านเลยมากว่า 50 ปีเอาไว้ว่า “สมัยเมื่อ 50 ปีก่อนเมืองหาดใหญ่ยังไม่สู้เจริญนักเหมือนในปัจจุบัน วัดคลองเรียนบ้างก็ว่าคลองเวียน เนื่องจากเคยมีคลองเวียนล้อมรอบวัดมาก่อน(คำบอกเล่าของพ่อท่านแก้ว เจ้าอาวาสวัดคลองเรียนรูปปัจจุบัน) ถนนสายคลองเรียน 2 ยังเป็นเพียงถนนสายดินลูกรังที่สมัยก่อนมีสัตว์จำพวกกวาง เสือ หรืองูบองหลา(งูจงอาง)เที่ยวเลื้อยเพ่นพานเป็นจำนวนมาก บริเวณเปิดท้ายกรีนเวย์ยังเป็นแอ่งน้ำขนาดย่อมๆที่เรียกกันว่า “วังน้ำดำ” ซึ่งมีเหล่าสัตว์ร้ายนานาพันธุ์อาศัยอยู่ บริเวณวัดคลองเรียนก็เช่นกันยังไม่มีตัวอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างในแบบปัจจุบันมากนัก กำแพงวัดก็ยังไม่มีแต่ชาวบ้านก็ยังคงให้ความเคารพและศรัทธาหลวงพ่อปาน(ลิ้นดำ)อันถือเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของชาวบ้านที่นี่กันอย่างยึดมั่นถือมั่น โดยเฉพาะเมื่อใดก็ตามที่มีกิจกรรมของทางวัด อาทิ งานเวียนเทียน จะมีชาวบ้านราว 300-400 คนมาร่วมงานเป็นประจำ โดยเฉพาะเวลามาเวียนเทียนในยามพลบค่ำนี่เองทำให้หลายๆคนที่มาร่วมงานภายในวัดได้มีโอกาสเห็นดวงไฟประหลาดเหล่านั้น ดวงไฟ หรือลำแสงสีแดงขุ่นราว 3-4 ดวง ขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล ลอยอยู่หลังวัดคลองเรียน ห่างจากวัดไปทางหมู่บ้านร่มเย็น(ปัจจุบัน)ราว 700 เมตร ดวงไฟเหล่านั้นลอยอยู่บนต้นยางใหญ่ขนาดสูงเท่าตึก 4 ชั้น เหล่าดวงไฟ หรือลูกไฟก็ว่า ลอยไปลอยมาอยู่บนต้นยางจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งอย่างช้าๆ หลายคนเรียกมันว่า “ชิน” และไม่แน่ใจว่ามันเป็นผี หรือเป็นสัตว์กันแน่ แต่ผู้คนที่มาร่วมงานเวียนเทียนภายในวัดคลองเรียนก็เห็นมันแทบทุกปี”
    จากที่มีการกล่าวอ้างถึงต้นยางใหญ่ในอดีต(เข้าใจว่าน่าจะเป็นต้นยางป่า) ผู้เขียนจึงทำการค้นคว้าหาข้อมูลถึงสถานที่ตั้งของต้นยางใหญ่ว่าอยู่ที่ไหน จึงทำให้พอที่จะได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าต้นยางใหญ่ที่ว่านั้นมีกันอยู่หลายต้น กระจุกตัวกันเป็นป่ารก แต่ที่จัดว่ามีลำต้นใหญ่กว่าเพื่อนนั้นมีอยู่ต้นหนึ่ง เป็นต้นยางที่ยืนต้นอย่างสง่าในผืนดินของทวดปาน พัฒโน และทวดแดง ทวีรัตน์ซึ่งในขณะนั้นสถานที่ดังกล่าวยังมีสภาพเป็นทุ่งร้าง และรกชัน ต้นยางใหญ่ที่เป็นที่อยู่ของดวงไฟประหลาด(ชิน) เชื่อกันว่าเป็นต้นยางที่ยืนต้นกลางดินของทวดทั้งสอง ปัจจุบันน่าจะเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านร่มเย็น ซึ่งไม่สามารถระบุ หรือกำหนดพิกัดที่ตายตัวได้เสียแล้ว อนึ่ง ใกล้กับต้นยางใหญ่ดังกล่าว ว่ากันว่ามีบ้านปลูกสร้างอยู่เพียงหลังเดียวเท่านั้น คือ บ้านของ “หมอเวียง” ซึ่งเป็นครูหมอตั้งศาลพระภูมิ หมอเวียงมีน้องชายอยู่คนหนึ่งมีชื่อว่า “หมอสิน” ปลูกบ้านอยู่แถวที่ดินถนนสามสิบเมตร ชาวบ้านเชื่อกันว่าทั้งหมอเวียง และหมอสิน ต่างเป็นลูกศิษย์ของครูโนราห์ยาน อินสุวรรณโน แห่งบ้านทุ่งเสา ผู้ชำนาญคาถาอาคม จึงไม่แปลกที่หมอเวียง จะมาปลูกสร้างบ้านภายในบริเวณป่ายางดังกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับดวงไฟประหลาดแต่ประการใด ยังมีชาวบ้านอีกหลายคนเชื่อว่าดวงไฟประหลาด หรือชิน นั้นเป็นผีที่หมอเวียงเลี้ยงเอาไว้เฝ้าบ้านก็ว่า จึงเป็นความเชื่อของคนอีกกลุ่มหนึ่งว่า ชิน นั้นจัดเป็นผีประเภทหนึ่ง พูดถึงเรื่องชิน แล้วผู้เขียนจึงลองจินตนาการดูเอาว่ามันเป็นไปได้รึเปล่าที่จะมีฝูงหิงห้อยฝูงใหญ่ๆสัก 3-4 ฝูง ออกหากิน เปล่งแสงพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน ปรากฏว่าคนเฒ่าคนแก่หลายคนท้วงมาว่า หิงห้อยมันสีขาวขุ่น แต่ที่พวกเขาเห็นเมื่อราว 50 ปีก่อนนั้นมันเป็นดวงไฟสีแดงขุ่นขนาดใหญ่ ที่สำคัญไม่ได้เห็นคนเดียวแต่เห็นกันหลายร้อยคน ข้อสันนิษฐานว่าชินเป็นหิงห้อยนี่เลยตกไป หรือถ้าจะสันนิษฐานเอาไว้แบบพิสดารว่ามีคนคิดอุตริปีนต้นไม้แล้วเอาคบเพลิงไปโบกเล่น 3-4 อันในยามค่ำมืดก็คงเป็นความคิดที่สู้จะไม่ปกติดีนัก บริเวณดังกล่าวเป็นป่ายางรกมาก แถมต้นยางป่าก็สูงราวตึก 4 ชั้น คงจะมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหล่ะที่จะกล้าปีนแล้วเอาคบเพลิง หรือคบไฟขึ้นไปโบกเล่น ดีไม่ดีปีนพลาดตกลงมาคอหักตายมันจะคุ้มหรือเปล่านี่ยังคงเป็นข้อสงสัยกันอยู่
    คราวนี้เลยไปถามคุณปู่ไข่ ไชยโรจน์(อายุราว 92 ปี)ท่านเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องชินว่า “เมื่อราว 80 ปีก่อนต้นตระกูลของคุณปู่และคุณย่าคือ คุณทวดเอี้ยง ทวีรัตน์ และทวดแดง ทวีรัตน์(บุญโชติ)ทั้งสองท่านนี้เป็นต้นตระกูลของผู้เขียน ครั้งหนึ่งท่านทวดทั้งสองได้ออกเดินทางไปซื้อที่ดินของ “ลุงเจี้ยน” ซึ่งเป็นดินที่อยู่ในบริเวณป่าข้างทางขึ้นควนเจดีย์(เขาคอหงส์) ปัจจุบันคาดว่าที่ดินดังกล่าวคือบริเวณใดบริเวณหนึ่งตรงส่วนหน้าของบ้านทุ่งรี หลังจากซื้อที่ดินเสร็จแล้วท่านทั้งสองก็ได้ออกสำรวจที่ดังกล่าวจนถึงเวลาพลบค่ำ ปรากฏมีฝูงชิน หรือลูกไฟประหลาดราว 2-3 ดวงลอยไปลอยมาระหว่างยอดต้นมะพร้าวจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง ลักษณะเป็นดวงไฟมีสีแดงขุ่นขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล มีหางยาวราวครึ่งเมตร ยืนมองชินเหล่านั้นอยู่ได้สักครู่จนลูกไฟกลุ่มนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่ามันไม่มีตัวตนอยู่ในอากาศธาตุ เห็นกันทั้งสองคนในแบบเดียวกัน”
    นอกจากนี้คนโบราณล้วนเชื่อว่าเวลาเจอชิน แล้วอย่าชี้นิ้วมือไปทางที่มันลอยอยู่ เพราะมีคติโบราณว่าชินจะนำพาสิ่งไม่ดี หรือความซวยมาเข้าตัวผู้ชี้ได้ แต่ก็มีความเชื่อของชนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ ชาวบ้านบริเวณเขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี ที่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องดวงไฟประหลาดว่าหากเจอดวงไฟดังกล่าวบนต้นไม้ แล้วปรากฏว่าดวงไฟนั้นเลื้อยลงมาสู่พื้นดิน หรือดวงไฟลอยอยู่เหนือพื้นดินเพียงเล็กน้อย หมายถึงจะมีความโชคดีเข้ามาเยือน ให้วิ่งตามดวงไฟ(ชิน)ให้ทันว่าดวงไฟเหล่านั้นจะไปหยุด หรือหายไปในบริเวณใด.......คนโบราณเขาเชื่อกันว่ามักจะมีทรัพย์สมบัติฝังซ่อนอยู่ภายในบริเวณนั้น ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ออกเดินทางเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรม ไทยคดีศึกษา และคติชาวบ้านภาคใต้ในจังหวัดต่างๆ และในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ในหมู่ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอันเรียกตนว่า “ไทยสยาม” (ไทรบุรี กลันตัน และปะลิต) จึงได้เก็บข้อมูล และเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งว่า หลายคนเชื่อกันว่า ชิน เป็นดวงวิญญาณชั้นต่ำอีกประเภทหนึ่งที่พวกหมอเข้าทรงโนราห์ โนราห์โรงครู หมอไสยศาสตร์ และหมอตั้งศาลมักนิยมเลี้ยงเอาไว้เพื่อเฝ้าบ้าน บ้างก็ว่าชิน จะเสริมดวงชะตาราศีให้แก่ผู้เลี้ยงได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โดยมากนิยมเลี้ยงชิน เอาไว้ภายนอกบ้าน บ้างก็ว่าใครที่มีบ้านยกพื้นสูงมักนิยมเลี้ยงไว้ใต้ถุนเรือนต่างหมาเฝ้าบ้าน ให้อาหารหรือเครื่องเซ่นวันละครั้ง แต่ชินก็ใช่จะมีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียว ว่ากันว่าหากใครเลี้ยงไม่ดี หรือควบคุมชินเอาไว้ไม่อยู่ ชินจะกลับมากินเจ้าของหรือคนเลี้ยงให้ถึงแก่ความตายได้ เป็นต้น
    เขียนบันทึกมาจนถึงตรงนี้คงทำให้หลายคนรู้จักกับ “ชิน” หรือผีชนิดหนึ่ง(สันนิษฐานของผู้เขียน)ได้ในระดับหนึ่ง ชิน ถือเป็นความเชื่อโบราณที่มีมาคู่กับชาวบ้านคลองเรียน มาเป็นเวลาช้านานแล้ว เมื่อ 80 ปีก่อน หรือเมื่อ 50 ปีก่อน ไม่ว่าสิ่งที่ชาวบ้านคลองเรียนในอดีตเห็นจะเป็นอะไร จริงหรือเท็จประการใด แต่มันก็กลายเป็นตำนานประจำถิ่นไปเสียแล้ว



    เขียน/เรียบเรียง : คุณาพร ไชยโรจน์
     
  8. ภูผาปักษา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    46
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +107
    สุดยอดมากขอรับ:eek::eek::)
    " ไปแอบดูรูปของท่านnop ในปถุชนคนช่างสงสัย ใน หลุดดำ สุดยอดมากขอรับ ถ่ายติดด้วย "
     
  9. นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +796
    อันนี้เห็นด้วยในลักษณะการพิจารณาดวงไฟค่ะ เพราะถ้าเป็นดวงไฟที่มีสีขุ่น ไม่สว่างบ่งบอกถึงดวงจิตที่เศร้าหมอง อันนี้ก็อันตราย เช่น สีแดงขุ่นๆหมองๆแบบนี้น่ากลัว อาจเป็นดวงวิญญาณ หรือเกี่ยวกับพวกคุณไสยก็ได้เนาะ
     
  10. นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +796
    มีลิงค์ไหมคะ อิอิ อยากเข้าไปดู
     
  11. ภูผาปักษา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    46
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +107
  12. ภูผาปักษา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    46
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +107
    จัดไป ตามลิ้งด้านบนเลย :):)
     
  13. นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +796
    เข้าไปดูแล้วนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
     
  14. บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    กรณีที่ถ่ายติดด้วยกล้อง ดูพอฮาๆก็พอเน้อ
    เพราะว่า อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้
    แม้ว่าส่วนตัวจะเคยถ่ายติดได้มาพอสมควร
    แต่ก็ไม่ได้ยึดอะไรมากมาย
    ที่ถ่ายแบบมีดวงๆเต็มรอบตัวเต็มฟ้าก็มี
    บางทีบ่ายๆแก่ๆ ทำให้ขึ้นบนมือก็มือ
    ทุกอย่างที่พูดมีหลักฐานแต่ลงเล่นๆในเฟส
    และก็ไม่ได้ยึดเป็นจริงอะไร..

    แต่ถ้าเป็นดวงจิตเลย ถามว่ามีไหม
    มีอยู่แล้วเป็นธรรมชาติของเค้า
    เพียงแต่เราไม่สามารถทำให้ปรากฏตามใจเราได้
    ไม่สามารถบังคับให้คงอยู่อย่างนั้นตามใจเราได้
    ดังนั้นเราจึงไม่สามารถไปยึดอะไรได้เลย..
    ถ้าเอาพอฮาๆ เป็นประสบการณ์ พอขำๆ ได้อยู่
    ไม่มีไรหรอก..
     
  15. devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    อ้า มีกระทู้คนช่างสงสัยเหมือนเราด้วย อิๆๆตามๆ
     
  16. นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +796
    เห็นด้วยนะคะ เพราะบนท้องฟ้ามีอะไรหลายอย่าง ทางวิทยาศาสตร์ก็มี เช่น ดาวเทียม เห็นทุกวันเลย 555 ลอยวิ่บๆเป็นเส้นตรงเร็วมาก บางทีก็ลอยพร้อมๆกันหลายดวง เห็นแล้วตาลาย แล้วก็พวกสถานีอวกาศนานาชาติที่จะดูได้ด้วยตาเปล่าอะคะ จะมีแสงเหมือนบนท้องฟ้าคล้ายกับดาวและเคลื่อนที่ได้

    ขอเล่าอีกนิดค่ะ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ คุณอาเป็นคนเจอค่ะ นอนอยู่บนไร่ น่าจะตอนที่เราเด็กๆ คือ ประมาณ 20 กว่าปีได้แล้วค่ะ ใกล้ๆที่ไร่บนภูเขา มีลำธาร รู้สึกจะเป็นวันพระช่วงออกพรรษา แกเห็นลูกไฟหลากสี เขียว แดง ขาวและอื่นๆ พุ่งจากลำธารขึ้นสู่ฟ้า ลักษณะคล้ายๆบั้งไฟพญานาคแต่มีหลายสี คนสมัยก่อนเราว่าน่าจะเจอบ่อยๆ ค่ะ แม่เรานี่เจอบ่อยมาก ตั้งแต่สมัยยังสาวๆ แม้แต่สมัยนี้ก็เจอเหมือนกัน บางดวงแก้วมีมาหยอกล้อเล่นกับคนด้วย 555 น่าจะประมาณ 3-4 ปีที่แล้วเองค่ะ เป็นแม่ของเพื่อนมาจากไร่ตอนค่ำๆ เจอจะๆ ดวงแก้วสีขาว ลอยมาใกล้ๆตรงหน้าเลย พากันวิ่งหนีฝุ่นตลบ 55 คือเขากลัวอ่ะ ไม่รู้เป็นดวงแก้วอะไร วิ่งไว้ก่อน แต่บางคนไม่กลัวเลย บอกว่าสวยดี ไล่จับก็มี เอาสวิงที่จับปลาครอบเอา555 แต่จับไม่ได้หรอกค่ะ แก้วก็ลอยวนๆเหมือนหยอกล้อคน อันนี้เป็นเหตุการณ์จริงค่ะ เกิดขึ้นไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง
     
  17. บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ลักษณะที่มองดูแล้วเป็นวงกลมได้
    หรือคล้ายๆวงกลมได้ บางทีก็ได้ยิน
    คนเรียกว่า ดวงธรรม ดวงจิต แล้วแต่จะเรียก
    ส่วนลักษณะเดียวกันแล้วพุ่งขึ้นฟ้า
    คนมักเรียกว่าดวงไฟพยานาค
    เพราะส่วนมากคนจะเห็นว่าพุ่งขึ้นจากน้ำ
    เลยตั้งชื่อเรียกไปตามสภาพแวดล้อมที่เห็น

    แต่พวกนี้มีทั้งที่ใช่และไม่ใช่ บางทีใช้การ
    ตั้งกล้องตั้งค่า iso 400-600 และใช้แฟลทร่วม
    ถ่ายออกมาก็เป็นกลมๆได้ คนมักเรียกว่า น๊อยส์
    บ้างก็ว่าฝุ่น เห็นมีบางคนพิสูจน์ด้วยการเอาฝุ่นแป้ง
    มาโรยแล้วถ่ายติดก็มี ดังนั้นเรื่องพวกนี้ก็แล้ว
    แต่จะคิดแล้วกัน

    ยกเว้นว่า จะเห็นด้วยตาตัวเอง พอเห็นด้วยตา
    ก็ไม่ได้ถ่ายรูปอีกหละ ๕๕๕ พอเห็นเป็นดวงๆบ้าง
    สีก็ไม่มี บางคนก็ยึดติดเกิ๊น คิดว่าเป็นโน้นนี่นั้นไปเรื่อย
    ทั้งๆที่อาจจะเป็นแค่ฝุ่นก็ได้ บางคนถ่ายตอนกลางวัน
    เห็นออกสีน้ำเงิน แดง ชมพู ก็คิดว่าเป็นดวงทั้งๆที่
    มันเป็นเพียงแสงที่ผ่านเข้ามาหน้าเลนส์ตอนที่เรา
    กำลังจะถ่าย...ที่เล่ามาจะสื่อให้เห็นว่า
    นามธรรมอะไรก็ตาม ถ้าเรายังไม่สามารถพิสูจน์
    หรือทำให้ปรากฏได้นะเวลาที่ต้องการ
    หรือรักษาให้คงอยู่ได้ตามที่เราต้องการ
    แม้ว่ามันจะมีจริงๆหรือไม่มีจริง
    มันยึดอะไรไม่ได้เลย...
    ถ้ายึดรับรองว่า มีความขัดแย้งกันแน่นอน

    แม้จะเชื่อว่ามี ก็ยึด เพราะยึดว่ามี
    แม้จะเชื่อว่าไม่มี ก็ยึด เพราะยึดว่าไม่มี
    ที่เถียงกันจนคอเป็นเองไก่ เพราะต่างฝ่ายต่างยึด
    พอมีอีกฝ่ายเห็นไม่เหมือนตน นั่นหละคือต้นปัญหา..จบ...


    ทั่วๆไป ลูกไฟ อะไร ตามวัดที่มีสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญ
    ก็มักจะพบเห็นได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องขึ้นจากน้ำอย่างเดียว
    ขึ้นจากน้ำก็มี ยิ่งวัดที่มีพระสงฆ์เก่งๆ ก็มีเรื่อยๆนั่นหละ

    ส่วนดวงกลมๆนั้น ก็มีเรื่อยๆ เห็นได้แบบทั้งหลับตาและลืมตา
    และอาศัยการถ่ายรูปด้วยการใช้แฟลทเอา ยกเว้นว่า
    ตอนกลางวันที่ไม่ได้ใช้แฟลท แล้วมีสี ก็น่าสนใจ
    ว่าตอนถ่ายมีแสงผ่านเข้าหน้าเลนส์ไหม และถ้าไม่มี
    ก็ต้องดูว่าใช่ฝุ่นไหม แต่ก็ยึดไม่ได้อีก

    มีข้อคิด รู้ไหมว่า ทำไมเวลาเห็นดวงพุ่งๆขึ้นข้างบน
    มักจะเป็นสีน้ำเงิน. ตอบให้ก็ได้ เพราะสีน้ำเงินคือ
    สีของจิตที่ยังติดในสมาธิ เกทเนาะ..

    ทำไมเวลาเห็นสีขาว แล้วเราถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับร่างกาย
    เพราะสีขาว เป็นสีของลักษณะดวงจิตที่ปฏิบัติธรรมมา

    ทำไมเห็นสีแดงเข้มๆ เราถึงรู้สึกกลัว ยิ่งเห็นแดงปนเขียว
    ก็รู้สึกกลัว เพราะว่า เป็นลักษณะที่เน้นทางฤิทธิ์ มีวิชา..

    แต่เห็นสีแดงปนชมพูแล้วกลับรู้สึกสบายใจ
    พอเห็นสีทองแล้วถึงรู้สึกยิ่งสบายใจ....
    และยิ่งเห็นสีขาวแบบไม่มีรูปร่าง แล้วเฉยๆ
    ไปเลยไม่รู้สึกอะไร(เพราะเป็นดวงจิตที่พ้นแล้วนั่นเอง)

    ที่เรารู้สึกได้ เพราะว่ามันเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง
    ที่ส่งออกมาจากจิตดวงนั้นๆ มากระทบกับใจเรา

    ส่วนตัวนอกจากที่โม้ไปก่อนหน้านี้
    ยังมีภาพถ่ายกับดวงจิตกว้างประมาณ ๑ เมตร
    วิ่งเป็นแนววงกลม มาจากข้างบนลงล่างผ่านลำตัว
    โค้งขึ้นไปข้างบนก็มี และมีภาพถ่ายแบบนี้
    ขนาดที่คลอบทั้งตัวได้ สีออกแดงปนขมพู
    อยู่ข้างๆตอนถ่ายรูปก็มี แต่อย่างที่บอก
    เคยเอาลงแค่พอฮาๆ เพราะว่าพิสูจน์ได้ยาก..
    แต่ถ้าถามว่า ลึกๆรู้ไหมว่าคืออะไร
    ก็พอรู้แต่ว่าไม่ได้ยึด...

    ประเภทเจอดวงจิต สีออกแดงๆหน่อยขนาด
    ประมาณเกือบเมตร ลืมตามองจ๊ะๆ ห่างกัน
    ในระยะไม่ถึงฟุต ก็พอมีประสบการณ์มาบ้าง
    ประกันได้ว่า ไม่ได้แบบสีขาวหรือสีอื่นๆแน่ๆ
    ถ้าได้เจอแบบนี้ จะเข้าใจในเรื่องพลังงาน
    ที่ออกจากดวงจิตได้เป็นอย่างดี..
    เรื่องพวกนี้ มันก็แล้วแต่สภาพแวดล้อม
    แล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
    แต่โดยความรวมแล้ว มันยึดอะไรไม่ได้เลย
    เหมือนเดิมนั้นหละ..
    แค่ฮาๆ พอได้อยู่
     
  18. นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +796
    ขอบคุณสำหรับคำอธิบายนะคะ จริงๆแล้วก็เป็นคนเล่นกล้องเหมือนกัน ถ้าตอนกลางคืนนี่ยิ่งถ่ายชัตเตอร์ต่ำๆ กดชัตเตอร์จะไม่ค่อยลงแล้วจะช้า ค้าง พอรูปที่ออกมาก็เป็นวงๆก็มี หรือเป็นแสงก็มีอันนี้พอเข้าใจได้

    แต่ถ้าเห็นด้วยตาเนื้อนี่ละก็อีกแบบหนึ่ง 555 หรือแสงไฟเวลาคนไปส่องกบนี่ก็อีกอย่าง555 บ้านติดทุ่งนานี่เห็นประจำเลย ฮาๆ
    อะคะ ดวงแก้วที่สีขาวๆเราก็จะไม่รู้สึกอะไรนะคะ อย่างทีีคุณนพบอกมา สีแดงจะทำให้เรากลัว สีทองดูแล้วสวยสบายใจและรู้สึกปลอดภัย ชมพูก็ดูสบายใจและทำให้เรารู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเช่นกัน ขอบคุณความรู้ดีๆนะคะ

    ภาพที่คุณนพฯว่าถ่ายได้ก็อยากเห็นเหมือนกันค่ะ 555
     
  19. บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    พูดอย่างนี้เข้าทางนะเนี่ย ๕๕๕
    เคยถ่ายภาพได้แบบพิเศษๆ
    เคยเอาลงในเฟสอยู่ แต่ตอนนี้รู้สึกเฉยๆ
    มีแบบที่ตั้งใจทำแล้วอยากถ่ายรูปไว้ดูก็มี

    เรื่องแบบนี้นะ ถ้าบอกว่าเป็นโน้นนี่นั่น คนเชื่อก็ยึดติดอีก
    คนไม่เชื่อก็จะอคติอีก เรียกว่า ซวยทั้งขาขึ้นและขาลง..
    การแนะหรือบอกอะไรใครให้ยึดติด
    ในเรื่องนามธรรมแบบยึดนะ
    มันจะเป็นวิบากกรรมที่จะย้อน
    มาสู่ตนเองในเรื่องทางด้านปัญญาทางธรรมนะนั้น....
    และการที่ไม่เชื่ออะไรเลยอีก
    ก็จะส่งผลทางด้านความเข้าใจทางด้านนามธรรม
    ตลอดจนความสามารถในการเข้าถึงและทำได้
    ของเราอีกนะนั่น เห็นไหมมีแต่แจ๊กพอต..
    ถึงได้บอกว่า มันยึดอะไรไม่เลยนั่นหละ..



    ตรงนี้พูดแบบทั่วๆไป. รูปที่แบบเป็นวงๆ หรือคล้ายๆวงๆ
    ส่วนมากที่ถ่ายติด จะอยู่ตรงบริเวณ
    ไม่สถานที่สำคัญก็ ตรงที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่
    ซึ่งวิถีการเคลื่อนไหวของสิ่งที่ติดมาในภาพ
    มันก็จะแตกต่างจาก การเปิดระยะเวลาซัทเตอร์นาน
    หรือแตกต่างจากแสงดวงอาทิตย์หรือแสงจากหลอดไฟ
    ที่ผ่านเข้ามาที่หน้าเลนส์อยู่ เพราะหลายภาพมักจะถ่าย
    ตอนกลางคืน (ส่วนตัวชอบไปวัดตอนดึกๆ หมายถึง
    หลังเที่ยงคืนนะ สนุกดี..) หรือกรณีที่เป็นภาพซ้อน
    ที่เกิดจากการถือกล้องไม่นิ่ง ก็จะต่างจากภาพปกติทั่วไป
    คือยังเห็นมีมิติของสิ่งที่เคลื่อนไหวแยกกันได้ชัดเจน ไม่ได้เป็น
    เส้นสาย เหมือนกรณีที่วัตถุนั้นเคลื่อนที่เร็วหรือมือเราไม่นิ่งพอ
    หรือความเร็วชัทเตอร์มากไปทำให้ถือกล้องได้ไม่นิ่ง
    หรือบางภาพไม่สามารถบอกรูปร่างสิ่งที่ปรากฏได้ชัดเจนก็มี
    ส่วนรูปแบบถ่ายทั่วไป มักจะมีใบหน้าที่ไม่ปรากฏสัญชาติ
    เช่นกัน ไม่ใช่น้องหมา น้องแมวนะ ๕๕๕
    แต่มีอยู่ภาพหนึ่งที่เผลอลบไป คือภาพคล้ายๆ วัตถุไม่ปรากฏ
    สัญชาติว่าแล้วก็เสียดายอยู่...ตอนนั้นคิดว่า
    อย่าพึ่งให้โลกนี้ รับรู้เลย ณ เวลานี้ คงยังไม่เหมาะ ๕๕๕

    แต่ทุกภาพอย่างที่บอก คือ มันไม่สามารถพิสูจน์
    ให้ปรากฏชัดได้ ในเวลาที่เราต้องการนั้นหละ
    ถึงได้มองว่า ไม่ต้องยึด ให้เฉยๆไว้ดีกว่า
    ประมาณนี้หละ ทั่วๆไป ไม่มีไรหรอก พอขำๆ
     
  20. นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +796
    ได้ความรู้ดี
    ได้ความรู้ดีๆอีกแล้วค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ คือโดยส่วนตัวก็ชอบดูภาพเหล่านี้นะคะ 555
    คือ ดูแล้วได้พิจารณาศึกษา ภาพไหนน่าเชื่อว่าจะเป็นจริงหรือไม่จริง บางทีได้หาข้อมูลเพิ่มเติมก็สนุกดีไปอีกแบบค่ะ ก็มีหัวหน้าเก่าเคยไปที่วัดแถวมุกดาหาร ตอนนั้นเป็นกล้องถ่ายรูปธรรมดาๆ พอถ่ายออกมา 555 ปรากฎใบหน้าของวิญญาณเต็มไปหมด มีกุมารทอง แล้วก็อะไรอีกมากมาย มันดูลางๆ น่าค้นหาดี
    ถ้าว่างๆรบกวนด้วยนะคะ 555 ภาพต่างๆที่ว่าอยากดูเหมือนกัน ก็แล้วแต่สะดวกนะคะ
     

แชร์หน้านี้