ธรรมสวัสดี...อาตมาเข้ามาอ่านพลังจิตนานแล้วตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นนักศึกษา อยากแบ่งปันเรื่องราวที่บางท่านยังไม่รู้...แผ่นดินธรรมที่เลตองคุ
ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ป่าห้วยขาแข้ง และป่าอุ้มผางเป็นผืนป่าขนาดใหญ่ติดต่อกัน ที่ใหญ่ที่สุด และอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
มีความลี้ลับน่าพิศวงมากมายซ่อนตัวอยู่ภายในป่าทึบผืนใหญ่แห่งนี้
ยิ่งส่วนในสุดของผืนป่าใหญ่ที่ติดชายแดนประเทศพม่านับเป็นดินแดนที่ห่างไกลจากความเจริญหรือไกลปืนเที่ยงมากที่สุดของประเทศ
พืชพรรณและสัตว์ป่าหลากชนิดหลายพันธุ์ที่มนุษย์ไม่เคยพบเห็น ดำรงชีพอยู่สงบสุขในป่าใหญ่
เช่นเดียวกับคนที่นี่ซึ่งเป็นคนป่าเขาที่อาศัยอยู่บริเวณนี้มาหลายร้อยพันปีแล้ว พวกเขาเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่มีวิถีชีวิต ความเป็นอยู่และความเชื่อ แตกต่างจากสังคมภายนอกเป็นลักษณะเฉพาะของตนเองที่บริสุทธิ์ปราศจากการแต่งเติมของอารยธรรม ความเจริญจากนอกชุมชน
ที่นี่คือบ้าน เลตองคุ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก
ดินแดนลี้ลับสุดแดนสนธยา เล่ากันมาว่าความเป็นอยู่ผิดแปลกจากชนเผ่าอื่น เพราะปกครองโดยฤาษี
เราเดินทะลุป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ข้ามทิวเขาลูกแล้วลูกเล่าพักแรมตามหมู่บ้านกะเหรี่ยงบ้าง พักแรมกลางป่าบ้าง เพื่อไปรู้จักชีวิตกลางป่าที่บ้าน เลตองคุ
บ้านเลตองคุ เป็นหมู่บ้านขนาดกลาง มี 100 กว่าหลังคาเรือน ประชากรประมาณ 500 คน แยกเป็นกลุ่มบ้านเล็ก ๆ ได้ 8 กลุ่ม
ชาวบ้านทั้งหมดเป็นชาวกะเหรี่ยง มีทั้งกะเหรี่ยงสะกอ ที่เรียกตนเองว่า "ปกาเกอะญอ" และกะเหรี่ยงโปที่เรียกตนเองว่า "โผล่ว" อยู่ปะปนกัน
ชาวบ้านพูดได้ทั้งภาษากะเหรึ่ยงสะกอและกะเหรี่ยงโป น้อยคนนักที่พูดภาษาไทยได้
ผู้ชายไว้ผมยาว แล้วมัดเป็นมวยไว้เหนือศีรษะ ด้านหน้า ส่วนผู้หญิงมัดเป็นมวยไว้ที่ศีรษะด้านหลัง
ผมที่ไว้ยาวแล้วมัดเป็นมวย เป็นเสมือนศรัทธามั่นคงเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ต่อความเชื่อที่มีแต่ยืดยาวออกไป โดยไม่มีการบั่นทอนให้ลดน้อยหรือสั้นลง
ผู้หญิงนุ่งชุดกะเหรี่ยง หากเป็นหญิงสาวจะนุ่งชุดทรงกระสอบยาวสีขาว หากแต่งงานแล้วจะนุ่งผ้าถุงและเสื้อกะเหรี่ยง ซึ่งโดยมากเป็นสีแดง ส่วนผู้ชายนุ่งผ้าผืนแบบผ้าขาวม้าสีเขียว เสื้อเป็นแบบผ่าอกตลอดแบบเสื้อเชิ้ต
เสื้อผ้าไม่ใช่เพียงเครื่องห่อหุ้มร่างกาย หากหมายรวมถึงสัญลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของชายเลตองคุ ที่มีความเชื่อแน่วแน่มั่นคงเช่นเดียวกัน ผู้ถือปฎิบัติในลัทธิฤาษี จะแต่งกายให้ถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณี
....คนกะเหรี่ยงในทุ่งใหญ่รู้ว่าวันหนึ่ง ทุ่งใหญ่จะมีเหตุการณ์สงครามมากระทบ เพราะเกิดภัยพิบัติ และดินแดนทุ่งใหญ่จะกลายเป็นเมือง...ในตำนานชาวป่ากะเหรี่ยงกล่าวไว้ วันข้างหน้า พญานกยูงจะกางปีกแผ่ขยายยังแดนส้งปะไต(สัมปัตติปริเวณ)คือทุ่งใหญ่ นายพรานจะยิงธนูที่สามารถยิงได้ครั้งละมากๆเป็นดั่งฝน และน้องคนสุดท้องผิวขาว จะกลับมาหาพี่ชาย(กะเหรี่ยง)เพื่อคืนหนังสือแผ่นสีทองให้... ตำนานหรือเรื่องจริงคนในทุ่งใหญ่เท่านั้นที่พิสูจน์ถึงความลี้ลับได้
เผย...ดินแดนกุมความลับ
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย พระวิชช, 17 สิงหาคม 2012.
หน้า 1 ของ 2
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ผมชอบป่าครับ
-
-
ป่ามีสิ่งที่ให้เรียนรู้มากมายครับ...
-
เชื่อว่าในป่ามีสิ่งเร้นลับมากมายค่ะ แต่ไม่เข้าใจความหมายตอนท้ายแปลว่าอะไรคะ
-
สาธุ ที่ชนบทๆ เงี่ยบสงบ ดีแล้ว เดี๋ยวนี้หายาก เกรงว่าดังเมื่อไหร่ คนจะแห่เข้าไป แล้วจะเละเทะในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนหลายๆ ที่ๆ เคยสงบ
-
สั่งบูรณะด่วน'พระปรางค์วัดอรุณ'<!-- google_ad_section_end -->
ทั้งนี้หากประชาชนอยากที่จะมีส่วนร่วมบูรณะโบราณสถาน
สามารถสมทบทุนเข้า กองทุนเพื่อการบูรณะโบราณสถาน
เลขที่บัญชี 081-0-09603-6 ธนาคารกรุงไทย สาขาราชดำเนินได้"
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) --> -
Interesting place...
-
ขอบคุณ จขกท.ครับ น่าจะมีรูปให้ชมเกี่ยวกับเผ่ากะเหรี่ยง เพราะที่บรรยายมา คล้ายกับเผ่ามงโกล เรื่องทรงผมชาย เคยคุยกับชาวจีนที่มาจากมณฑลยูนาน ว่ากะเหรี่ยงเป็นชนเดียวกับเผ่ามงโกล ที่อพยพมาอยู่แดนสุวรรณภูมิส่วนหนึ่ง เพื่อหนีสงคราม เผ่าย่อยพวกนี้เขารักสงบ จากที่บอกมีฤาษีปกครอง น่าจะจริง จึงแสดงความเห็นที่ทราบมาครับ...จะคอยติดตามครับ...
-
แปลกแต่จริงนะครับ.....
-
อย่าเล่าต่อเลย บอกตรงๆ ถ้ามีคนต้องการไปจะยุ่งกันใหญ่
-
นกยูง = สัญลักษณ์ของพม่า
น้องคนสุดท้องผิวขาว = อเมริกา / นางอองซานซูจี เป็นลูกคนเล็กของนายพลอองซาน
นายพราน = ทหาร / นักการเมือง
ธนูมากมาย = กระสุน จรวด / เงินซื้อเสียง
แผ่นทอง = รางวัลโนเบลที่นางอองซานซูจีได้รับ / อิสรภาพ -
นกยูง = พม่า
น้องคนสุดท้องผิวขาว = อเมริกาทิ้งบอมที่ญี่ปุ่น อังกฤษคืนดินแดนให้หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2
นายพราน = ทหารญี่ปุ่น
ธนูมากมาย = ระเบิดนิวเคลียที่ฮิโรชิม่า
แผ่นทอง = อิสรภาพที่อังกฤษคืนให้ -
โอ้ววว แค่นี้เองเหรอครับ ผมตั้งใจอ่านมาก มาสะดุดหัวทิ่มเลยครับ
-
น่าสนใจมากเจ้าค่ะ ยังกะนวนิยายที่เคยอ่านสมัยยังเด็ก
คิดว่าประเทศเรายังมีดินแดนที่ลึกลับอยู่อีก.... -
จาก http://thongthailand.igetweb.com/articles/41984552/ฤาษีแห่งเลตองคุ7.ฤาษี ตำนานที่เป็นจริง .html
โดยธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
ผมพาพี่น้องวนเวียนเพื่อให้รู้จักหมู่บ้านเลตองคุ โรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดน ผู้คนที่แตกต่างและคล้ายคลึง วัฒนธรรมการแต่งกายของกะเหรี่ยงเลตองคุ แม้แต่อาชีพที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของกะเหรี่ยง ชนเผ่าที่ทำกินบนผืนดินในรูปแบบ ไร่หมุนเวียน และสวนผสม แต่ใครที่ติดตามอ่านก็คงอยากจะรู้ว่า ฤาษี มีจริงๆไหม ทำไมยังไม่เปิดตัวตนสักที เลี้ยงไข้อยู่ได้
แต่ผู้อ่านของทองไทยแลนด์ [Engine by iGetWeb.com] มารยาทเยี่ยมเลย เงียบ รออ่านอย่างสงบ จนผมรู้สึกว่า น่าจะต้องถึงตอนพระฤาษีเสียที ทั้งนี้ก็ด้วยว่าอยากให้รู้จักหมู่บ้านนี้อย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ครับ
ฤาษีองค์ปัจจุบันต้องสละชีวิตอยู่เป็นโสดไปจนตายเราทราบกันแล้วนะครับว่า พี่น้องกะหรี่ยงบ้านเลตองคุ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง เป็นกะเหรี่ยงที่นับถือ "ลัทธิฤาษี" มีสำนักฤาษีเปรียบเสมือนวัดในพุทธศาสนา ถือปฏิบัติตามคำสอนของฤาษี อันประกอบด้วยบัญญัติ 10 ประการเป็นหลักชัย ดุจเดียวกับที่พุทธศาสนิกชนถือเอาพระไตรปิฎกเป็นสรณะ
บัญญัติ 10 ประการของลัทธิฤาษีศาสดาของฤาษีไม่มีตัวตน การสืบทอดตำแหน่งของฤาษีเป็นนิมิตของฤาษีองค์ก่อนเป็นผู้กำหนดและจะบอกเมื่อ ถึงเวลาเหมาะสม ฤาษีแห่งเลตองคุสืบทอดต่อๆกันมา 9-10 องค์ แต่ก็ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน เคยมีองค์ฤาษีพยายามที่จะส่งเยาวชนไปเรียนหนังสือไทยเพื่อจดบันทึกและสื่อ สารกับคนไทยได้แต่กลับผิดหวังด้วยว่าถูกรังเกียจ จึงสาบานว่าจะไม่ส่งไปเรียนภาษาไทยอีก
แต่ได้หันไปเรียนถึงพม่าๆปฏิเสธอีก จึงได้พระมอญรับสอนหนังสือให้ กะเหรี่ยง 3 คนนั้นจึงได้บวชเป็นสามเณรห่มเหลือง และเมื่อกลับไปยังเลตองคุก็ทำให้ฤาษีคิดจะห่มเหลืองตามไปด้วย แต่ว่า เมื่อไม่มีนิมิตก็เปลี่ยนไม่ได้ จึงนุ่งห่มด้วยชุดเชวาสีขาวขลิบสีชมพูตราบเท่าทุกวันนี้
อาศรมองค์ฤาษีฤาษี ตรงกับภาษาบาลีว่า อิสิ แปลว่าผู้แสวงธรรม ซึ่งเป็นผู้นำจิตวิญญาณและความเชื่อ
ฤาษี ในความหมายของคนไทยเข้าใจว่าเป็นนักบวชนอกศาสนาผู้ที่นิยมห่มเหลืองลายเสือชอบอยู่บำเพ็ญเพียรในป่าดงพงไพร
ฤาษี ในพาราณสี ประเทศอินเดีย เป็นนักบวชที่ห่มผ้าอย่างชาวอินเดีย แต้มหน้าผากด้วยสีแดง ถือขันรับบริจาคจากผู้ใจบุญ ยืนให้ถ่ายรูปเพื่อแลกกับเศษเงินตอบแทนตามบันไดทางขึ้นท่าเรือแม่น้ำคงคา บำเพ็ญเพียรด้วยการนั่งสมาธิ ฯลฯ
จุดไหว้ที่2.ตำนานฤาษีแห่งเลตองคุ เป็นเพียงการเล่าขานสืบต่อกันมา จึงอาจไม่ชัดเจนและสับสน อ่านเพื่อรู้มิได้ทำการศึกษาพฤติกรรมความเชื่อของลัทธิฤาษี ก็ขอให้ทำใจสักนิดนะครับ เรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาคือ กะเหรี่ยงแห่งเลตองคุเรียกฤาษีด้วยคำนำหน้าว่า พืออิสิ............ตามด้วยชื่อของท่าน
จุดไหว้ที่1เรียงลำดับตามที่ค้นหาได้คือ ฤาษีองค์ที่ 1. พืออิสิ กว่อแว ถูกพม่าฆ่าตาย องค์ที่2. พืออิสิโจ่วยุ องค์นี้ต่อสู้กับพม่าจนในที่สุดกระโดดเข้ากองไฟฆ่าตัวตายประท้วงผู้รุกราน องค์ที่ 3. พืออิสิ แจเบอะ องค์ที่4. พืออิสิ เสาะเจี้ยะ
เครื่องเซ่นไหว้องค์ที่5. พืออิสิ แจะแป๊ะ องค์นี้ที่เคยส่งลูกศิษย์ไปเรียนภาษาไทยแล้วถูกรังเกียจจึงส่งไปพม่า แต่ได้เรียนกับพระมอญ เพื่อให้กลับมาจดบันทึกเรื่องราว องค์ที่ 6.พืออิสิ เจ๊ะเคาะ ตามรูปร่างของท่านที่ขาเป๋ องค์นี้มีช้างแสนรู้อยู่ที่สำนัก เมื่อตายลงจึงได้ส่งงาช้างไปแกะสลักรูปพระพุทธรูปทั้งงา
สะพานสวรรค์องค์ที่ 7. พืออิสิ เสาะเทีย นิมิตว่าชุดเสื้อผ้าที่พวกเราชาวกะหรี่ยงสวมใส่กันอยู่นี้ไม่ใช่ของเรา เขาจะมาเอาคืน จึงห้ามใส่เสื้อที่ถักทอเป็นตาตารางเหมือนทุ่งนา ได้สวมใส่ชุดขาวเชวาเหมือนปัจจุบันนี้
องค์ที่ 8. พืออิสิ แจะยะ ซึ่งมาจากบ้านหม่องกั๊วะแต่เด็กโดยได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของพืออิสิ เสาะเทีย ก่อนตายได้สั่งว่า แจะยะ จะสืบทอดต่อ สมัยแจะยะมีคนล้มตายมาก จึงขอสึกไปมีเมียและลูก
องค์ที่ 9. พืออิสิ มอแน่(มุเจ) สมัยนี้ได้นิมิตให้ทุกคนกินมังสวิรัติ(กินเจ) ทุกวันนี้มีชาวกะเหรี่ยงบ้านเลตองคุกินมังสวิรัติ 140 หลังคาเรือน ไม่กินมังสวิรัติ 40 ครอบครัว
ตำนานพืออิสิของลัทธิฤาษีสับสน มีชื่อพืออิสิอีก 2 รายที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน พืออิสิเลอช่วย พืออิสิ เผอแตะ ดังนั้นตำนานก็คือตำนาน มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องเล่าขานกันมา อาจผิดถูกได้ทั้งสองอย่าง
ศาลางาช้างแกะสลักรูปพระพุทธเจ้าทั้งงา ประเพณีที่ลัทธิฤาษีถือปฏิบัติก็มีมากมายหลายประการ อาทิเช่น ประเพณีสรงน้ำองค์ฤาษีในวันสงกรานต์ วันนั้น พี่น้องชาวกะเหรี่ยงบ้านเลตองคุได้แต่งตัวงดงามตามวัฒนธรรมของชนเผ่า อุ้มลูกจูงหลานเดินกันไปที่สำนักฤาษี เครื่องบูชาก็มีจำพวกอาหารมังสวิรัติ ขนมหวานใส่สีสวยงาม เด็กๆผู้หญิงจะเทินหัวเพื่อไปถวายให้องค์ฤาษีและสามเณร
เครื่องเซ่นบนศาลางาช้างฤาษีจะนุ่งห่มด้วยชุดเชวาสีขาวขลิบชมพู คาบไปป์สูบบุหรี่ตลอดเวลา นั่งอยู่บนสำนักนิ่งสงบ มองสาวกไปทั่วๆ สามเณรนั่งหลบๆอยู่ในสำนัก สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวก็มี ไม่สวมเสื้อเลยก็มี แต่ขมวดมวยผมไว้บนกระหม่อมด้านหน้าเรียบร้อย สวมโสร่งสีพื้นๆตามชอบ
องค์ฤาษีและมรรคนายก นั่งกินหมากกันเพลินต่ำลงมาอีกนิดเป็นสาวกใกล้ชิด เหมือนมรรคนายกของวัดพุทธ ผู้ใหญ่บ้านนั่งรวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ถือเป็นสภาผู้แทนของสำนักเช่นนั้น แต่ละคนมีหมากให้กินกันไม่ขาดปาก กลุ่มมรรคนายกจะมีอยู่ราวๆ 10-15 คน
สาวกในศาลาโรงทาน คณุต.ช.ด.และบก.เสียงตากถัดลงมาเป็นสาวกอีกระดับหนึ่ง ทุกคนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น มีร่องกั้นระหว่างสาวกชายและสาวกหญิง เหล่าหญิงสาวทั้งแม่บ้านแม่เรือน และเด็กสาวเด็กหนุ่ม นั่งปะปนกันด้วยท่าทีสงบ เรียบร้อย เหมือนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าของเขา
เหล่ามรรคนายกได้นำทำพิธีไหว้ 7 สถานศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งประกอบด้วยศาลางาช้างซึ่งเป็นศูนย์กลางของพิธีทำบุญและสวดมนต์
จุดไหว้ที่ 1. สัญลักษณ์ของการเกิด เป็นจุดที่ปักไม้ไผ่ลำเล็กๆไว้โดยมีหินล้อมรอบ
กล่มฤาษีหนุ่ม ไม่สวมเสื้อจุดไหว้ที่ 2. เรือนบริสุทธิ์ อันเป็นที่นอนขององค์ฤาษีตอนกลางคืน โดยก่อนนอนจะหวีผมเรียบร้อยพร้อมกับล้างหน้าล้างเท้าก่อนเข้าเรือน มีลูกศิษย์นอนอยู่ด้วย4-5 คน กลางเรือนมีกองไฟก่อไว้ตลอดเวลาไม่มีการปล่อยให้ดับ
จุดไหว้ที่ 3. เสาไม้ติดแผ่นไม้สำแดงตัวตนแห่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
จุดไหว้ที่ 4. เป็นเสาไม้แทนพระรัตนตรัย
อาหารหวานคาวในโรงทานจุดไหว้ที่ 5. เรือนงาช้าง พระพุทธรูป ศูนย์รวมสำคัญของสำนักฤาษี
จุดไหว้ที่ 6. เป็นหีบเก็บพระไตรปิฎกกราบไหว้ขอพรและสิ่งที่ดีงาม
จุดไหว้ที่ 7. เป็นประตูเทวดา ทำด้วยไม้ท่อน 2 ท่อนวางเรียงกัน แต่ไม่ติดกัน เพื่อให้ดักคนเลวลงนรกไป ณ จุดนี้ถือว่าเป็นสะพานเชื่อมต่อที่เทวดาจะมารับคนดีสู่สวรรค์
ก่อนเข้าเขตสำนักฤาษีต้องถอดรองเท้าออก ล้างเท้าแล้วเดินเข้าไปตามร่มศาลาทางเดิน ได้ผ่านเรือนบริสุทธิ์อันเป็นที่พักของฤาษีตอนกลางคืนเรือนเก็บอุปกรณ์ของ การเกษตรกรรมและอุปกรณ์ของช้างของสำนัก ระหว่างปากทางเข้าเขตสำนักจะมีทางเดินมุงหลังคา ราดปูนซีเมนต์ไปจนถึงศาลาหน้าอาศรมฤาษี -
กล้วยคือผลไม้หลักที่นิยมนำมาถวายเมื่อถึงเวลาสรงน้ำองค์ฤาษี ๆจะเดินไปที่ส่วนปลายของท่อไม้ไผ่ รองน้ำที่หยาดมาจากต้นรางไม้ไผ่ด้วยน้ำสะอาดของสาวก ถือเป็นการสรงน้ำองค์ฤาษีในวันสงกรานต์ หลังจากนั้นชาวกะเหรี่ยงฤาษีก็จะรดน้ำดำหัวขอพรกันตามธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นที่สนุกสนาน
สาวน้อยเทินหม้อขนมไปถวายฤาษีส่วนงานบุญตามประเพณีอื่นๆก็เช่นบุญเข้าพรรษา บุญออกพรรษา บุญบูชาไฟเพื่อรำลึกถึง พืออิสิ โจ่วยุ ผู้กระโดดเข้ากองไฟฆ่าตัวตายประท้วงพม่า ในชุมชนคนกะเหรี่ยงลัทธิฤาษีเหล่านี้ ส่วนวัฒนธรรมประเพณีการสู่ขวัญข้าว สู่ขวัญไร่สวน และเรือนที่อยู่อาสัยนั้นไม่มีโอกาสได้เห็น จึงไม่มีเรื่องราวมาเล่าสู่กันอ่าน
สรงน้ำองค์ฤาษีเช่นเดียวกับวัฒนธรรมประเพณีเกี่ยวกับการแต่งงาน การคลอดลูก การทำบุญบ้าน การแสดงความเคารพผู้ตาย หากมีโอกาสคงได้นำมาเล่ากันอ่านต่อไป ขึ้นอยู่กับว่าจะได้เดินทางเข้าไปที่เลตองคุอีกไหม กะเหรี่ยงที่อื่นๆจะเหมือนกันไหม แต่ที่แน่นอนเลย ตั้งแต่เข้าไปในหมู่บ้านเลตองคุไม่เห็นสัตว์เลี้ยงใดๆเลย มีแต่หมา
กะเหรี่ยงเลตองคุสาวกกำลังเดินมาสำนักฤาษีแม้แต่นก หนู ไน่ กระรอก กระแต เก้ง กวาง ฯลฯ ก็ไม่ได้พบเห็นเลย เป็นป่าดงพงไพรพิสดารที่ปราศจากสรรพชีวิต มีแต่ต้นหมาก ต้นมะพร้าว มะไฟ มะปริงต้น แม้กระทั่งบุคคลภายนอกหากนำเนื้อสัตว์เข้าไปในหมู่บ้านก็ไม่ได้ ต้องแยกไปกินกันที่โรงเรียนแค่นั้น เป็นกติกาที่ชนกะเหรี่ยงเชื่อมั่นตามลัทธิบัญญัติ “เคร่ง” อ้อ ฤาษีแห่งเลตองคุทำมาหาหกินเหมือนสาวกทุกคนเช่น ทำนา ปลูกผัก ผลไม้ ไว้รับประทานเอง ไม่ได้รอแต่การตักบาตรอย่างพระสงฆ์
หนุ่มๆเข้าสำนักฤาษีต้องใส่ชุดเชวาสีขาว หญิงสาวและแต่งงานแล้วเข้าเฝ้าในอาศรม โรงเรือนอุปกรณ์การเกษตรและช้าง เหล่าฤาษีหนุ่มแห่งบ้านเลตองคุ พิธีกรรมไหว้จุดต่างๆ
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก ท่องเที่ยวทั่วไทย > ท่องเที่ยวทั่วไทย [Engine by iGetWeb.com] -
แปลกใจ ที่บัญญัติของฤาษี เหตุใดจึงเขียนเป็นภาษาไทย ทั้งที่ชาวบ้านส่วนใหญ่อ่าน พูดภาษาไทยไม่ได้?
-
แม้วัตถุไม่เจริญ แต่จิตใจของคนกลุ่มนี้เจริญกว่าเรามาก สาธุด้วยครับ
-
ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ได้นำความรู้ใหม่ๆมาบอกให้ได้ทราบ ทำให้รู้ว่าแม้ในป่าใหญ่ก็ยังมีหมู่บ้านและชุมชนที่รักสงบ ยังใสซื่อ ไม่มีเลห์เหลี่ยมมากเหมือนคนในเมืองบางคนครับ:cool:
หน้า 1 ของ 2