เพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 17 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การถวายทานกับพระองค์เอง 100 ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายสังฆทาน 1 ครั้ง ถวายสังฆทาน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายวิหารทาน 1 ครั้ง
    นี่พระพุทธเจ้าท่านพูดอย่างนี้ ท่านตรัสอย่างนี้ อาตมาเป็นลูกท่าน ก็ต้องเชื่อท่าน ถ้าไม่เชื่อพ่อเมื่อไร ก็ต้องเปลื้องจีวรออกนุ่งกางเกงแทน
    แต่มีบางท่านบอกว่า พระนี่ไม่น่าจะทำการก่อสร้าง ควรจะสอนคนให้เป็นพระ หรือสอนคนให้เป็นคน
    ไอ้สอนคนให้เป็นคนนะไม่ต้องไปสอน เขาเป็นคนกันอยู่แล้ว
    ทีนี้สอนให้เป็นมนุษย์น่ะสอนยาก สอนคนให้เป็นพระนี่สอนยาก
    ในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัท เริ่มมีใจเป็นพระขึ้นมา ทำไมต้องริดรอนกำลังใจกัน เพราะการก่อสร้างเป็นความดีของญาติโยม การทำบุญทุกอย่างเป็นเรื่องของพระ คนถ้าจิตใจไม่ถึงพระนี่ทำบุญไม่ได้เลย
    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 2 หน้าที่ 174

    11403155_721507517960994_3417592877427915600_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมว่าด้วยเรื่องทิศที่ตั้งศาลพระภูมิ
    ผู้ถาม :- “ถ้าสมมติจะตั้ง ควรจะหันหน้าศาลไปทางทิศไหนครับ?”
    หลวงพ่อ :- “หันหน้าใคร”
    ผู้ถาม :- “โอ หลวงพ่อนี่ลึกซึ้งละเอียดเหลือเกินนะ”
    หลวงพ่อ :- “อ้าว…เดี๋ยวตอบไป ไม่ใช่ๆ หน้าผมครับ หน้าศาลหรือหน้าคน?”
    ผู้ถาม :- “หน้าศาลครับ”
    หลวงพ่อ :- “หน้าศาลเขาไม่จำกัด เอาแค่เราเข้าบูชาสะดวก แต่ว่าทิศที่ตั้งศาลนี่จำกัด ที่ว่าพระภูมิก็ ไม่ควรตั้งทิศตะวันตก ถ้าตั้งทิศตะวันตกเอาจริงๆ หลวงพ่อปานท่านเคยบอกว่า ทิศนี้ฉิบหายแล้วตายโหง ฉันเคยไปพบที่จังหวัดอุทัยธานี กับจังหวัดชัยนาท เป็นความจริงตามนั้น เศรษฐีนะพังไป ๒ ราย และพังในเหตุที่ไม่ควรจะพัง ไม่น่าจะพัง
    และอีกทิศหนึ่งก็ ทิศใต้ไม่ควรตั้งนะ ทิศใต้นี่ก็เป็นแต่เพียงท่านบอกว่า จะเก็บสตางค์ไว้ไม่อยู่ ทิศที่ควรตั้ง คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก ๓ ทิศนี้นะ แต่ว่าถ้าบ้านมีดาดฟ้า ตั้งดาดฟ้าเลยดีกว่า สบายใจนะ”
    ผู้ถาม :- “หมายถึงส่วนของดาดฟ้านี่นะครับ เราก็ตั้งช่วงที่อยู่ด้านทางทิศตะวันออก”
    หลวงพ่อ :- “ใช่ๆ ให้ถูกทิศ”
    ผู้ถาม :- “หันหน้าไปทางไหนก็ได้ ใช่ไหมครับ?”
    หลวงพ่อ :- “หันหน้าไม่จำเป็น หันหน้าแค่เราบูชาได้สบายนะ แต่ว่านึกถึงตำรา แต่มันก็ไม่มีตำราเขียน หลวงพ่อปานท่านเคยสั่ง ก็เลยบอกคนเขาเขียนไว้ พอถึงปีจริง มีเรื่องตัวเองก็ต้องตาย เงินทองก็เสียหายมาก เสียอย่างมากเลยนะ ไม่ใช่อย่างน้อย”
    ————————————-
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
    ————————————-
    ที่มาจาก….หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้า ๖-๗
    โดย….หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    ### ต้องการบูชาพระเครื่อง หรือหนังสือธรรมะหลวงพ่อ ที่ตึกรับแขกเก่าวัดท่าซุง โทร 056-502506 , บ้านสายลม กทม. โทร 02- 6167177

    11049592_721508277960918_1624233196274203149_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    การแจกพระ บางท่านอาจจะคิดว่าไม่มีผล หรือทำให้คนติดในวัตถุ ถ้าถือว่าเป็นวัตถุก็น่าติ แต่ถ้าคิดเป็นพระก็ต้องคิด ที่พ่อแจก พ่อไม่เคยโฆษณาว่าพระที่พ่อแจกไป มีอานุภาพอะไร มีความต้องการอยู่อย่างเดียว คือให้คนมีความรู้สึกว่ามีพระอยู่ที่ตัว
    อย่างน้อยอารมณ์ที่รู้สึกว่ามีพระที่ตัว อารมณ์ย่อมเป็นกุศล กุศลนิดหน่อยถ้ามีความรู้สึกบ่อย ๆ สามารถทำให้คนที่ตายไป เพราะนึกถึงพระเสมอ ๆ
    อย่างเบา ก็เกิดเป็นเทวดา
    อย่างกลาง ก็เกิดเป็นพรหม
    อย่างสูง ก็ไปนิพพาน
    แบบพ่อค้าที่หวังกำไรน้อย แต่ได้บ่อย ๆ ก็รวยได้ฉันนั้น
    แต่ทว่าความรู้สึกนึกคิด ของคนอื่นเป็นอย่างไรนั้น พ่อไม่คำนึง คำนึงอย่างเดียว คือสงเคราะห์คนที่มีบารมีอ่อน
    คนที่มีบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีนั้นพ่อไม่ห่วง ท่านพวกนั้น ท่านไม่ต้องเกาะราว หรือไม้เท้าก็เดินไหว
    สำหรับคนที่มีบารมีอ่อน ยังต้องเกาะราวและไม้เท้า จึงต้องอาศัยวัตถุ คือพระพุทธรูปสงเคราะห์
    โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 2 หน้าที่ 176 ~ 177

    11267355_721588381286241_3443642043774920332_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อเล่าให้ฟัง เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง ๑ จากหนังสืออ่านเล่มเล่ม ๑๗
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ ท่านที่เคยฟัง เคยอ่านติดต่อกันจะมีความเข้าใจ ทราบว่าการพูดบันทึกนี่ ไม่ได้พูดบันทึกติดต่อกัน ทั้งนี้เพราะอาการป่วยเครียดมาก สำหรับวันที่พูดนี้ คือมันเป็นมาหลายวันแล้ว เป็นโรคประเภท ไม่อยากจะกินข้าว เห็นข้าวเข้าก็เบื่อ อาการแบบนี้ ถ้าขืนเป็นต่อไปอีก ก็คิดว่าไม่ช้าคงตาย
    ทีนี้ก็มาคุยกันถึงว่า วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ ไปที่บ้านของ โยมสันต์ ภู่กร และโยมเกศริน ภู่กร ที่จังหวัดพิษณุโลก เพราะว่าได้ไปเป็นปีที่สอง ทั้งนี้ก็เพราะว่า คณะโยมสันต์ ภู่กรก็ดี คณะโยมเกศริน ภู่กร ก็ตาม ท่านทั้งหมดนี้ ปรากฏว่า เป็นนักบุญจริง ๆ เคยเจริญกรรมฐาน ติดต่อกับอาตมาตั้งแต่สมัย พ.ศ. ๒๕๑๑ – ๒๕๑๒ ในตอนนั้นศึกษากรรมฐานไม่เห็นตัวกัน
    ทั้งนี้ก็เพราะว่าอาตมาไปออกอากาศที่ สถานีวิทยุกองบิน ๔ ไปออกอากาศเรื่องมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านมีความสงสัยข้อไหน ท่านก็เขียนจดหมายถามมา เมื่อเขียนจดหมายตอบไปท่านก็ปฏิบัติตาม แล้วก็เป็นบุคคลกลุ่มใหญ่ ก็ถือว่าเป็นคณะบุญเป็นพิเศษ คือว่า ยากที่จะหาบุคคลประเภทนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ และท่านมีความปรารถนาว่า ๑ ปี ขอให้ไปบ้านท่าน ๑ ครั้ง
    จึงมีกำหนดว่าเดือนมิถุนายน ถ้าเป็นวันอาทิตย์จะไปบ้านของท่าน ทีนี้ พ.ศ. นี้ ลงหมายกำหนดการว่า จะไปเดือนมิถุนายน แต่ก็ลืมลงวันที่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าป่วยมาก ก็ขอสรุปว่า ไปแล้วก็แล้วกัน วันนี้ไปแล้ว วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ คณะที่ไปทั้งหมดรวมกันประมาณ ๔๐ คน ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ทางบ้านโยมสันต์จัดเป็นระเบียบอย่างดีที่สุด
    ยากที่จะพึงเห็นประเภทนี้ สำหรับการทำบุญของท่านในวันนี้ ก็ขออนุโมทนาไว้ในที่นี้ คือ
    ๑. การถวายผ้าป่า ได้ ๗,๘๐๑.๐๐ บาท
    ๒. ผาติกรรมสังฆทาน ได้ ๑๐๔,๔๕๐.๐๐ บาท
    ๓. แก้กรรมหมู ได้ ๕,๐๑๐.๐๐ บาท
    ๔. ทำบุญทั่วไป ได้ ๑๙,๐๖๐.๐๐ บาท
    ๕. สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ๓๕,๔๑๐.๐๐ บาท
    ๖. เงินสงฆ์ หมายถึงว่า ถวายแก่สงฆ์ทั่วไป ๕,๒๑๐.๐๐ บาท
    ๗. เงินมูลนิธิฯ ๑,๐๐๐.๐๐ บาท
    ๘. ถวายส่วนองค์โดยเฉพาะ (ประกาศชื่อ) ๓,๔๖๐.๐๐ บาท
    ๙. เงินใส่ย่าม (เงินใส่ย่ามนี่เป็นเงินสงฆ์) ๔๑๐.๐๐ บาท
    ๑๐. ถวายเป็นส่วนองค์ (ไม่มีชื่อ) ๖,๕๒๒.๕๐ บาท
    รวมแล้วเป็นเงินทั้งหมดที่รับจากบ้านโยมสันต์ ภู่กร จังหวัดพิษณุโลก วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ จำนวน ๑๘๘,๓๓๓.๕๐บาท (หนึ่งแสนแปดหมื่นแปดพันสามร้อยสามสิบสามบาทห้าสิบสตางค์)ก็ขออนุโมทนากับโยมสันต์ และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ที่ร่วมบำเพ็ญกุศลร่วมกันทั้งหมด ขอทุกท่านจงมีแต่ความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล
    และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัย ทั้ง ๔ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ ต่อนี้ไปก็ขอมาเล่าเรื่องส่วนตัว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะหาว่าโอ้ หรือจะหาว่าอวด จะหาว่าเบ่ง จะหาว่าอะไรก็ตาม แต่ความจริงเรื่องส่วนตัวนี่ คนภายนอกรู้ได้ยาก เห็นว่าบรรดาท่านทั้งหลายที่ตาย ๆ ไปแล้ว
    นักเขียนที่เขียนประวัติของท่าน ก็ไม่ค่อยจะรู้ความจริงนัก เป็นอันว่า อาตมาก็ใกล้จะตายแล้ว ก็ขอทำประวัติไว้ ประวัติจริง ๆ ถ้าพูดกันไป มันยาวมาก ก็ขอย่อ ๆ เอาพอได้ความเป็นอันว่า หลังจากไปวัดหลวงพ่อโหน่งกับหลวงพ่อปานแล้วต่อมาตอนเดือนสาม ปลายเดือนข้างแรม การเกี่ยวข้าวของชาวบ้านรู้สึกว่าน้อยลงไป ข้าวเหลือน้อย บางรายก็เกี่ยวหมดแล้ว
    บางรายก็เหลือบ้างเล็กน้อย การออกธุดงค์เวลานั้น ไม่เหยียบข้าวไม่เหยียบปลาชาวบ้านเขา ก็พอไปได้ หลวงพ่อปานจึงมีบัญชาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเธอก็จงไปหา หลวงพ่อโหน่ง ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่งอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าพระแต่ละองค์มีความสามารถไม่เสมอกัน อย่างท่าน ท่านบอก มีความสามารถไปทางหนึ่ง หลวงพ่อโหน่งมีความสามารถไปทางหนึ่ง
    แต่ว่าหลวงพ่อโหน่งนี่มีความสำคัญมากที่สุด ยากที่จะหาพระเหมือนได้ นั่นก็คือว่า ติดต่อกับพระได้โดยตรง คำว่า ติดต่อกับพระหมายความว่า ติดต่อกับพระพุทธเจ้าก็ได้ ติดต่อกับพระอรหันต์ก็ได้ นี่ท่านผู้ฟังฟังตอนนี้คงจะมีบุญหลายคน มีบาปหลายคน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ที่บอกว่า ติดต่อกับพระพุทธเจ้าได้ ติดต่อพระอรหันต์ได้
    หลายท่านคิดว่า นิพพานมีสภาพสูญ ในเมื่อสูญไปแล้วจะพบกันได้อย่างไร นี่นักตำรา แต่ว่านักปฏิบัติที่เขาได้ตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป เขาบอกว่า ไม่ใช่ของเกินวิสัย มันเป็นของทำได้แน่นอน เพราะว่านิพพานนั้นสูญจริง สูญแต่กิเลส สูญแต่ความชั่ว แต่ว่าตัวจริง ๆ คือ กำลังจิตไม่สูญไปด้วย มีความเป็นทิพย์ เขาเรียกว่า ทิพย์พิเศษไม่มีการเคลื่อนไหวไปทางไหนอีก
    คำว่า ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่ได้หมายความว่า ไปนั่งปุ๊บเหมือนตุ๊กตา ไม่ใช่อย่างนั้น คือ หมายความว่า ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กรรมชั่วที่จะสนองให้มีความทุกข์นั้นไม่มีก็เป็นอันว่า หลวงพ่อปานก็มีพระบัญชาบอกว่า วันมะรืนนี้คุณทั้ง ๓ องค์ ไปหาหลวงพ่อโหน่ง ก็ถามท่านบอกว่า หลวงพ่อขอรับไปวันนั้นไปด้วยกันมาก ผมก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้หลวงพ่อโหน่ง นั่งอยู่ไกล ๆ ท่านจะจำได้หรือครับ
    หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ฉันติดต่อกันแล้วว่าวันมะรืนนี้จะให้เธอไป ๓ องค์ ท่านบอกว่า ท่านจัดห้องไว้ให้แล้วสำหรับเจริญกรรมฐาน สำหรับพัก เป็นอันว่า ในเมื่อท่านผู้ใหญ่สั่งก็ต้องทำ และก็ทำด้วยความเต็มใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการเจริญกรรมฐานเป็นหน้าที่ของพระ พระจริง ๆ ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ต้องมีคุณสมบัติ ๓ อย่างครบถ้วน
    ๑. อธิศีลสิกขา รักษาสิกขาบท คือ ศีล มากกว่าฆราวาสและก็รักษาให้ครบถ้วน
    ๒. อธิจิตสิกขา คือรักษาสมาธิให้มีการทรงตัวเป็นฌานอยู่เสมอเป็นการป้องกันนิวรณ์เข้ามารบกวน
    ๓. อธิปัญญาสิกขา นั่นหมายถึงว่า ใช้ปัญญาตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน แต่ว่าจะตัดได้หมด หรือไม่หมด ก็เป็นเรื่องของจิตใจในเวลานั้น
    ก็ไม่ใช่ว่าจะบังคับกันว่าต้องตัดหมด ถ้าตัดหมดได้ก็ดี เพราะการบวชเวลานั้นถือภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า นิพพานัสสะสัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตะวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อปลายพรรษา คิดว่าจะอยู่ หรือจะสึก เมื่อตัดสินใจว่า ไม่สึก คือตอนที่ปรึกษากัน ๓ องค์ว่า
    ถ้าเราอยู่ต่อไป ถ้าเราไปสึกระหว่างกลาง นายจ้างที่เขาเคยจ้างเราเขาก็ไม่จ้างเพราะคนเขาเต็ม ถ้าเราจะสึกเวลานี้ เราก็มีงานทำ เพราะลาเขามาเฉพาะเวลา แต่หากว่าไม่สึกเวลานี้ ไปสึกระหว่างกลาง เราก็แย่ ถ้าบวชตลอดไปได้ก็ดีเป็นอันว่า นั่งคุยกันห่างจากหลวงพ่อปานประมาณครึ่งกิโล อีกสักประเดี๋ยวเดียว พอพูดจบปรากฏว่า หลวงพ่อปานปรากฏขึ้นหน้าบันได
    ไม่ได้ขึ้นไป ท่านเอาไม้ตีบันได ปัง ๆ ๆ ๆ ๓ ที ท่านถามว่า พ่อ ๓ คนนี่จะสึกไปเป็นขี้ข้าเขาอีกหรือ อยู่อย่างนี้ไม่ดีหรือ อยู่อย่างนี้เป็นอิสระถ้าสึกไปต้องเป็นขี้ข้าเมีย เป็นขี้ข้าลูก เป็นขี้ข้าคนหลายคน ก็กราบท่านเรียนถามว่า พวกผมจะอยู่ตลอดกาลตลอดสมัยได้ไหม ท่านบอกว่า ได้แน่นอน ก็ตัดสินใจว่าอยู่รวมความว่าเมื่อตัดสินใจว่าอยู่ ก็ตั้งใจเจริญกรรมฐานหนักขึ้นเพราะการอยู่ต้องใช้กรรมฐานเป็นพี่เลี้ยง
    เพราะถ้าไม่มีกรรมฐาน จิตใจมันก็วอกแวก อารมณ์ไม่เป็นสุข ถ้าจะถามเรื่องกามารมณ์บรรดาท่านพุทธบริษัท ในเมื่อยังไม่เป็นพระอนาคามีเพียงใด กามารมณ์มันต้องมีถ้าถามว่า เคยรักผู้หญิงอยากจะแต่งงานกันไหม ต้องขอตอบว่า เคยเห็นผู้หญิงลักษณะดีดี มารยาทดีดี คิดว่า คน ๆ นี้เป็นคนดี อย่างนี้มีอยู่ แต่ว่าคิดว่า จะแต่งงานจริง ๆ ไม่มี เพราะความรู้สึกมันมีอย่างนั้น
    ก็ขอเล่าลัดตัดใจความ ประเดี๋ยวมันจะไปไกลในเมื่อถึงวันมะรืนตามที่หลวงพ่อปานสั่ง คือสั่งวันนี้ วันนี้ก็เตรียมของ เตรียมกลด เตรียมมุ้ง เตรียมกาน้ำ เตรียมแก้วน้ำ เตรียมย่าม เตรียมผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ ผ้าอาบ อังสะ พอถึงกำหนดวัน ฉันข้าวเช้าแล้วก็ไปลาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานบอก เออ…ไปได้ เดินทางอย่างนี้นะ เดินทางตัดเข้าเขตบางซ้าย ไปข้ามฟากที่บางซ้ายนอกแล้วก็เดินไปถึงองครักษ์ ข้ามฟากที่องครักษ์ เดินทางตัดไปทางบางใหญ่ข้ามฟากที่บางใหญ่
    แล้วเดินทางตัดตรงไป ตอนบ่าย ๆ ก็ถึง เวลานั้นป่ายังมีมากก็ไปตามสบาย ๆ ในที่สุดก็ไปถึงวัดคลองมะดัน เวลาประมาณ ๓ โมงเย็นเศษ ๆ อากาศก็ยังร้อน ก็มีความรู้สึกว่า ถ้าหากว่าเราจะเข้าไปหาหลวงพ่อเวลานี้ ท่านอาจจะมีแขกก็เป็นการไม่สมควร จึงเอากลดวาง แล้วก็นั่งที่โคนต้นพุทรา หลังกุฏิของท่าน พอนั่งเรียบร้อยท่านก็เปิดหน้าต่างออกมา
    ท่านถามว่า มานั่งอยู่ทำไมพ่อคุณ คอยมาตั้งแต่เช้าแล้ว เข้ามาที่นี่ได้เลย ญาติโยมพุทธบริษัทฟังแล้วก็คิดบ้างไหมว่า หน้าต่างของท่านปิด เราไปกันเงียบ ๆ ต้นพุทราห่างจากกุฏิของท่านประมาณ ๒๐ วา นั่งอยู่ที่นั่น พอนั่งเรียบร้อยท่านก็เปิดหน้าต่างออกมา แล้วก็เรียกบอก คอยตั้งแต่เช้าแล้วนี่เป็นอันว่าหลวงพ่อโหน่ง กับหลวงพ่อปาน ติดต่อกันแล้ว เขาเรียกกันว่า ทางใน
    คำว่า ทางใน นี่ก็คือ อภิญญา ก็แสดงว่า พระทั้ง ๒ องค์นี่ เป็นผู้ทรงอภิญญาทั้ง ๒ ท่าน เมื่อเข้าไปก็นมัสการท่านกราบท่านแล้วท่านบอกว่า เดินมาเหนื่อยคุณเอ๊ย อย่าเพิ่งคุยอะไรกันเลย เดินมาตั้งแต่เช้าไม่ได้พักกัน ฉันข้าวเวลาเดียว เข้าไปพักที่พักก่อนเถอะ ฉันจัดไว้แล้ว แล้วท่านก็นำไป นำเข้าห้อง ๓ ห้องติด ๆ กัน เป็นเรือนไทย สมัยนั้นมี ๓ ห้อง แล้วท่านก็กลับ
    ท่านบอกว่า ถ้าอยากจะพบฉัน ก็พบในเวลากลางคืนนะ เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม พบได้เลยพักเสียก่อน อาบน้ำอาบท่าพักผ่อนให้สบาย ก็กราบท่าน ท่านก็กลับ เราก็อาบน้ำอาบท่า นอนพักตามสบายถึงเวลา ๒ ทุ่ม ก็ไปหาท่าน ท่านก็บอกว่า เอ้า…พวกเธอ ๓องค์ หลับตา ใช้กำลังฌานตามลำดับที่ได้มา ทีนี้คณะอาตมาก็พากันหลับตา ใช้กำลังฌานตามลำดับ
    พอถึงที่สุดของฌาน ทั้งหมดก็ลืมตาขึ้นทั้ง ๓ องค์ ก็เป็นการบังเอิญ ลืมตาพร้อมกัน เพราะได้เท่ากันท่านก็ลืมตา ท่านก็หลับตาเหมือนกันท่านก็บอกว่า ในเมื่ออาจารย์ปานสอนขนาดนี้แล้ว จะเรียนอะไรกับฉัน เราเรียนกันโดยมากเขาไม่ทำกันถึงนี่หรอกนะ ที่เขามาเรียนกับฉันน่ะ แค่เขาภาวนาว่า พุทโธ ธัมโมสังโฆ ได้ รู้ลมหายใจเข้าออกได้
    เขาก็เลิกกันแล้วนี่พวกเธอทำขนาดนี้ยังไม่เลิกอีกหรือ ก็ถามว่า หลวงพ่อขอรับทำขนาดนี้ มันจ กิจพระพุทธศาสนาหรือยัง ท่านก็ถามว่า เธอมีความรู้สึกว่า เธอจบกิจพระพุทธศาสนาหรือยังก็กราบเรียนท่านบอกว่า ยังไม่จบขอรับ ท่านก็บอกว่า ในเมื่อเธอมีความรู้สึกว่า ยังไม่จบมันก็ต้องไม่จบ ถ้าจบก็ต้องมีญาณเป็นเครื่องรู้ว่า เวลานี้เราจบแล้ว
    ท่านก็ถามอาตมาว่า คุณปรารถนาพุทธภูมิใช่ไหม
    ก็กราบเรียนว่า ใช่
    ท่านหันไปถามอีก ๒ องค์ว่า ทั้ง ๒ องค์ปรารถนาสาวกภูมิใช่ไหม
    ทั้ง ๒ องค์ก็บอกว่า ใช่
    ท่านก็บอกทั้ง ๒ องค์บอกว่า เออ…สังโยชน์ ๓ นี่เธอตัดได้แล้วนะ นั่นแสดงว่าทั้ง ๒ องค์ เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันหรือสกิทาคามี ท่านบอกว่า สังโยชน์ ๓ นี่ไม่ต้องห่วงพยายามก้าวเข้าไปหาสังโยชน์ ๔-๕ แล้วก็ ๖,๗,๘,๙,๑๐ เลยก็แล้วกันแต่ค่อย ๆ ทำ แต่ว่าวิชานี้หลวงพ่อปานก็สอนมาแล้วใช่ไหม
    ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่
    ท่านก็หันมาถามว่า เธอทำไมถึงปรารถนาพุทธภูมิ
    ก็เลยบอกท่านบอกว่า หลวงพ่อปานท่านชวนปรารถนาพุทธภูมิ ผมเองก็ไม่อยากปรารถนาพุทธภูมิ ผมมีความต้องการจะเป็นสาวกภูมิมากกว่า
    ท่านก็เลยบอกว่า ตั้งแต่สมัยชาติก่อน ๆมา เธอปรารถนาพุทธภูมิไว้ เวลานี้กำลังพุทธภูมิก็มีความเข้มข้นมากใกล้จะจบอยู่แล้ว ก็ควรจะทำให้จบ
    ก็ถามว่า พุทธภูมิของผมนี่ จะจบหรือไม่จบขอรับ จะต้องเกิดอีกกี่ชาติ
    ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปรู้กันปลายมือนะ ถึงเวลาปลายมือ พระจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ถ้าเธอจะลาพุทธภูมิ ถ้าพระอนุญาตเธอก็ออกได้ เป็นสาวกภูมิได้ ในเมื่อเป็นสาวกภูมิ เธอก็สามารถจะตัดสังโยชน์ได้เหมือนเพื่อน ถ้าพระไม่อนุญาต เธอก็ไม่มีโอกาส
    ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า พระ คือใครขอรับ
    ท่านก็บอกว่า พระที่สูงสุดของพวกเรามีองค์เดียว คือพระพุทธเจ้า แล้วพระที่รองลงมาคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวกทั้งหลายนั่นคือ พระ
    ก็ถามว่า หลวงพ่อ เวลาที่หลวงพ่อปฏิบัติแล้วถามพระน่ะ ถามพระองค์ไหน
    ท่านบอกว่า ฉันถามพระพุทธเจ้าองค์เดียว โดยตรงเฉพาะงานธรรมะ ถ้างานอย่างอื่นอาจจะถามพระสาวกบ้าง ถามเทวดาบ้าง ถามพรหมบ้าง
    ก็กราบเรียนท่านบอกว่า การเรียนถามนี่กระผมไม่ทราบขอรับ อยากศึกษา
    ท่านก็เลยบอกว่า ฉันเองฉันก็ตั้งใจจะสอนเธอในด้านนี้เหมือนกัน เพราะการถามพระได้ก็ดี ถามพระอริยสงฆ์ได้ก็ตาม ถามเทวดา ถามพรหมได้ก็ตาม ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านจะแนะนำทางตรงของเรา เราบกพร่องตรงไหน ท่านจะเตือนตรงนั้น
    ก็กราบเรียนถามท่านบอกว่า ถ้าจะถามพระจะทำอย่างไรขอรับ
    ท่านก็บอกว่า พยายามทำจิตให้บริสุทธ์ไว้ ถ้าเวลานั้นจิตใจนิวรณ์ไม่กวนใจก็ดี สังโยชน์ทั้งหลายไม่กวนก็ดี เวลานั้นอารมณ์ใจเป็นทิพย์เต็มที่ ถ้าต้องการเห็นพระ จะพบพระ จะเป็นพระองค์ไหนก็ได้ หรือว่าจะเป็นเทวดา หรือพรหม นางฟ้าองค์ไหนก็ได้ เราจะพบท่าน แล้วก็คุยกับท่านได้ ท่านแนะนำอะไร ปฏิบัติตามนั้น อย่าฝืนต่อไป
    ก็กราบเรียนถามว่า เวลาที่หลวงพ่อเทศน์ตอนเช้า ๆ โปรดโยม นี่หลวงพ่อปานบอกว่า ตอนเช้าเมื่อฉันข้าวเสร็จแล้ว หลวงพ่อเทศน์โปรดโยมทุกวัน วันละ ๑ กัณฑ์ อย่างนี้หลวงพ่อใช้ตำราอะไรขอรับ
    ท่านก็บอกว่า ฉันไม่ได้เรียนนักธรรม แม้แต่นักธรรมตรีก็ไม่ได้เรียนในโรงเรียน ฉันดูวินัยมุข ฉันก็ดูหนังสือ ตามแบบฉบับที่เขาเรียนกันแล้วก็อาศัยพระ ทุกอย่างฉันถามพระหมด ถ้าพระให้เทศน์ ฉันก็เทศน์ ถ้าพระไม่ให้เทศน์ ฉันก็ไม่เทศน์
    กราบเรียนถามท่านว่า ถ้าเวลาพระให้เทศน์พระท่านสอนหรือขอรับ
    ท่านบอกว่า พระท่านสอน แต่สอนทางใจ ไม่ได้สอนทางวาจา คือพระท่านดลใจให้เราพูด เวลานั้นไม่ต้องใช้อารมณ์คิด เมื่อมีความรู้สึกอย่างไร พูดตามนั้น นั่นเป็นลีลาของพระที่ท่านสอน ฉะนั้นวิชานี้ฉันจะสอนพวกเธอ
    ก็กราบเรียนถามท่านว่า แล้วก็ฌานสมาบัติที่พวกผมได้กัน มันจะเสื่อมไหม
    ท่านบอกว่า ถ้าเธอเกาะพระ ไม่มีอะไรจะเสื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ๒ องค์นี่ คำว่าเสื่อมไม่มี หมายถึงเพื่อน เพราะเขาตัดสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว เธอยังเป็นพุทธภูมิ พุทธภูมิยังมีกิเลสเต็มกำลังพยายามระงับนิวรณ์ให้มาก
    ท่านก็เลยถามว่า การอยู่ที่วัดบางนมโคเธออยู่ในป่าช้าใช่ไหม ทั้ง ๓ องค์
    ก็กราบเรียนว่า ใช่
    แล้วเวลานี้ตามปกติก็หากินกับเทวดา กับนางฟ้าใช่ไหม
    ก็กราบเรียนว่า ใช่
    การหากินกับเทวดา กับนางฟ้านี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการแก้สงสัย บางทีท่านจะไปถามชาวบางนมโค ขอรับรองว่า ๑๐๐เปอร์เซ็นต์ ไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องของอาตมาเขาจะเข้าใจไม่ได้ แม้แต่พระก็ไม่มีความเข้าใจ ที่มีความเข้าใจได้องค์เดียวก็คือหลวงพ่อปาน เพราะว่าเวลาเช้าอาตมาก็ไปบิณฑบาตกับพระ ไปบิณฑบาตกลับมา
    แล้วก็บอกว่า ผมฉันเวลาเดียวขอรับ ฉะนั้นจะต้องไม่ฉันพร้อมกัน และก็ไม่แบ่งอาหารเอามา ก็กลับเข้าป่าช้าเมื่อล้างบาตรเช็ดบาตรเสร็จ แห้งดีแล้ว ก็เอาบาตรไปแขวนที่ต้นไม้ ก็ยืนภาวนาว่า พุทโธ อยู่ประเดี๋ยวเดียว ก็ปรากฏว่าเทวดา กับนางฟ้า ท่านก็ใส่บาตรให้ มีดอกไม้สวย ๆ ๑ ดอก เพียงเท่านี้เราก็ได้ข้าวกินอิ่ม และก็มีความสุข ก็ทำอย่างนี้จริง ๆ ประมาณ ๑๐ ปี
    ถ้าจะถามว่า มีพระอะไรรู้เรื่องบ้าง ก็ขอตอบว่า สงวนเป็นความลับ ไม่บอกใครเลย นอกจากหลวงพ่อปาน ถ้าถามว่า ทำไมจึงสงวน ก็ต้องตอบว่า การเจริญกรรมฐานบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราไปกล่าววาจาโอ้อวด พระพุทธเจ้าถือว่าเป็น อุปกิเลส เพราะว่าการแสดงตัวว่า เราเองเป็นผู้เจริญกรรมฐาน ห่มผ้าสีกรัก ทำท่าหลับตา ทำท่าสงบเสงี่ยมเกินไปอย่างนี้เป็นการโอ้อวด
    แสดงออกว่า ฉันเจริญกรรมฐาน พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า เป็นอุปกิเลส ทำไม่ได้ ต้องทำตัวให้เหมือนเขา ฉะนั้นยามปกติทั้งหมด จะทำตัวเหมือนกับชาวบ้าน เหมือนกับพระธรรมดา ๆทั้งหมด จะคุยสนุกสนานเฮฮาตามเรื่องตามราวไป ไม่ขัดจังหวะกัน แต่ว่าถึงเวลาของเรา เราก็ทำของเราหลังจากนั้น หลวงพ่อโหน่งก็พยายามสอน เมื่อถึงเวลาที่พระท่านมา
    ท่านก็บอกว่า เวลานี้พระมาแล้ว ทุกองค์จงกำหนดใจดูพระว่ารูปร่างเป็นอย่างไร ก็บอกรูปร่างกับท่านว่า สีสันวรรณนะเป็นอย่างไรท่านก็ตอบว่า ถูก แล้วก็บอกว่า เวลานี้ฉันจะเทศน์ละนะ ดูพระท่านจะแสดงอย่างไร ก็เห็นว่าพระท่านลอยอยู่เฉย ๆ แต่ว่ามีแสง ๆ หนึ่ง พุ่งลงมาที่จิตหลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อโหน่งท่านก็เทศน์เทศน์ไป ๆ ๆ พอจบลีลาการเทศน์
    แสงนั้นก็ลอยกลับขึ้นไปหาพระ นี่เป็นอันว่า พระท่านสงเคราะห์หรือพระท่านบอก ก็คือใช้แสง หรือฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ประการ สีใดสีหนึ่ง เข้ามาช่วยกำลังใจ ให้หลวงพ่อโหน่งพูดตามความต้องการของท่าน
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็รู้สึกว่า ไม่สบายมาก ข้าวก็ฉันไม่ได้ พบเม็ดข้าวก็เบื่อ แรงก็น้อย ก็หมดเวลาแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสด์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน…สวัสดี…”
    ————————————
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
    ————————————
    ที่มาจาก..หนังสือ หนังสืออ่านเล่นรวมเล่ม ๑๖-๑๗-๑๘ หน้า ๑๒๐-๑๓๑ ..โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    11755150_721778967933849_1661363357847042884_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม~
    ทำสมาธิไม่ได้ดี
    ผู้ถาม : หลวงพ่อขอรับ ผมทำสมาธิทุกวัน ๆ ละ หนึ่ง ชั่วโมง มาเป็นเวลา ๒๐ ปีแล้วครับ มันไม่ไปเหนือไปไม่ไปใต้เลย ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร หรือมีกรรมเวรประเภทไหมมาปิดบัง ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหน่อยเถิดขอรับ?
    หลวงพ่อ : สมาธินี่ถ้าทำเฉย ๆ ก็ไม่ไปไหนนะ มันก็อยู่แค่ ฌาน ถึงฌานหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่ากลัวจะไม่ถึงฌาน น่ากลัว ตะเกียกตะกายอยู่ข้างฌาน มันขึ้นฌานไม่ไหว ไต่บันไดแกร๊ก ๆ แต่ความจริงถ้าเรื่องสมาธิจริง ๆ นะ ถ้าหากว่าได้จริง ๆ ก็อยู่แค่ฌาน ๔ ฌาน ๔ แล้วก็ไม่ไปไหนละ ก็ทรงตัวบ้าง เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ไปข้างหน้า ๑ ก้าว ถอยหลัง ๕ ก้าว ทีนี้ผลการปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่ได้มุ่งสมาธิ ต้องหวังตัด สังโยชน์ ถ้าจะบอกว่า วิปัสสนาญาณก็จะมากเกินไป ความจริงถ้ามุ่งตัดสังโยชน์ ก็ต้องดูอารมณ์ใจตัวตัด ไม่ใช่ดูสมาธิ
    อันดับแรก ความโลภ อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมีในเราหรือเปล่า เบาลงไปไหม
    ประการที่ ๒ ความโกรธ เบาไหม
    ประการที่ ๓ ความหลง เบาลงไหม
    สิ่งที่มีความสำคัญคือ
    1. ลืมความตายหรือเปล่า
    2. เคารพพระไตรสรณคมน์จริงจังไหม
    3. มีศีล ๕ บริสุทธิ์ไหม
    4. หวังพระนิพพานจริงจังหรือเปล่า…?
    เขาดูตรงนี้นะ มุ่งเอาสมาธิกลุ้มใจตาย มันไม่มีการทรงตัว เวลาใดร่างกายดีไม่มีอารมณ์กลุ้ม สมาธิก็ทรงตัวใช่ไหม… ร่างกายอ่อนเพลียหน่อย สมาธิก็ทรุดตัว เอาแต่สมาธิไปไม่รอด
    ผู้ถาม : เมื่อภาวนาไปไม่ได้ อย่างนี้จะมีโอกาสบรรลุธรรมเบื้องสูงหรือเปล่าครับ?
    หลวงพ่อ : ทะลุธรรมแน่ จุดหมายปลายทางเขาคือสังโยชน์
    ผู้ถาม : ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ไปนิพพานเมื่อนั้น พอจะไปได้ไหมครับ… หลวงพ่อ?
    หลวงพ่อ : พอเห็นทาง…แต่ไม่เข้าทาง
    ผู้ถาม : ๒๐ ปีแล้วนะครับ
    หลวงพ่อ : ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ ถ้าเข้าทางจริงต้องคิดว่า ๑.ชีวิตนี้จะต้องตาย ตัวสักกายทิฏฐินะ ๒.วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ๓.มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และก็ ๔.มีจิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน อันนี้ถึงจะได้ อันนี้ถึงจะเข้าทางหรือเข้าเขตเลย
    ~หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง~

    11541912_722254657886280_2747548268523915633_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    คัดลอกเฉพาะบางตอนจากหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    >>
    —————————————————
    “ขันธ์ ๕ มันเป็นทุกข์ แต่ใจของเราจงอย่าทุกข์”

    เรื่องของร่างกายเราต้องคิดว่า ชาติปิทุกขาความเกิดมันเป็นทุกข์ ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ เป็นอันว่าขันธ์ ๕ มันเป็นทุกข์ แต่ใจของเราจงอย่าทุกข์ ใจเราจงอย่าทุกข์ทำยังไง รักษาอารมณ์ใจไว้ ๑๐ ประการ…

    ๑. ทาน การให้ คิดไว้เสมอว่า “เราจะมีจิตเมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นให้มีความสุข” โดยการให้ ให้ของ ให้ความคิด ให้กำลังกายช่วยกิจการงาน เป็นเสน่ห์ใหญ่ทำให้มีความสุข ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ

    ๒. ศีล แปลว่า ปกติ อารมณ์ของเราจะทรงความดี ๕ ประการไว้เสมอ คือ ไม่ละเมิดศีล ๕ ประการ

    ๓. เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช คือบวชใจ คำว่า บวช นี่ไม่จำเป็นต้องโกนหัว ถ้าโกนหัวแล้วจิตไม่ดี ก็ไม่ถือว่าเป็นนักบวช เราบวชใจ คือ

    ๓.๑. ไม่มัวเมาในกามคุณ ๕ ให้คิดไว้เสมอว่า ไอ้รูปสวยน่ะประเดี๋ยวมันก็พัง เสียงไพเราะผ่านหูแล้วก้หายไป กลิ่นหอมผ่านจมุกแล้วก็หายไป รสอร่อยกระทบลิ้นแล้วก็หายไป สัมผัสระหว่างเพศจับแล้ว พอพ้นแล้วห็หายไป และเป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์ รักมากทุกข์มาก รักน้อยทุกข์น้อย ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย

    ๓.๒. ไม่ถือความโกรธความพยาบาทเป็นบรรทัดฐาน ตัดกำลังใจให้อภัยอยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าคนเกิดมาในโลกนี้ ไม่ทำความผิดเลยไม่มี ก็น่าเห็นใจ เพราะความพลั้งพลาดของงาน เขาจะด่าจะว่าก็ช่างเขา ไม่ช้าต่างคนก็ต่างตาย

    ๓.๓. ป้องกันการง่วงหาวนอนขณะที่จิตจะทำความดี

    ๓.๔. ระงับความฟุ้งซ่าน ก็พยายามตั้งไว้ในยามปกติ นึกถึงความดีจุดใดจุดหนึ่ง เราจะไม่ยอมให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทรก

    ๓.๕. เราจะไม่สงสัยในธรรมะปฏิบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน คนที่บวชห่มผ้าเหลืองน่ะ ถ้าระงับเหตุ ๕ ประการที่ว่ามานี่ไม่ได้ เขาเรียกว่า “เถนะ” เถน แปลว่า หัวขโมย ขโมยเอาเพศของสมณมานุ่ง นี่นักบวชจริงๆ อันดับแรกต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการได้ ขอลูกจงระงับใจตามนี้ให้เป็นะรรมดา พิจารณาหาความจริงว่า นี่มันเป็นปัจจัยของความสุขหรือความทุกข์ ทำงานตามหน้าที่ ถือว่าชาตินี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะต้องทำงาน ชาติใหม่ไม่มีสำหรับเรา เราไปนิพพาน ถ้าสงสัยนิพพาน ก็ต้องใช้วิปัสสนาญาณให้เข้มข้น ใช้มโนมยิทธิแป๊บเดียวก็ถึงนิพพาน จับอารมณ์นิพพานได้ว่า มีความสุขแค่ไหน

    ๔. ปัญญา มีความรอบรู้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเป็นโทษ ทำสิ่งที่เป็นโทษแล้ว ใช้ปัญญาหาความจริงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย จริงไหม ถ้ายังเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนี้จะไม่หมดทุกข์ เราจะมีความสุขก็คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอีกต่อไป ได้แก่รักษาธรรมะ ๑๐ ประการนี้ให้ครบถ้วน

    ๕. วิริยะ มีความเพียร ทำกิจการงานฝ่ายโลกและธรรม ต้องอดทนทุกอย่าง เพื่อรักษาความดีให้คงอยู่ เรียกว่า เพียร พังให้มันทะลุไปเลย

    ๖. ขันติ ความอดใจ อดทนต่อความเหนื่อย อดทนต่อความร้อน อดทนต่อความหนาว อดทนต่อความขัดข้องใจ

    ๗. สัจจะ ความจริงใจ ตั้งใจไว้แบบไหนก็ทรงกำลังใจแบบนั้น เช่น ตั้งใจไว้ว่า จะรักษาศีล เราก็ทำจริง ใครมาชวนด่าเราก็ไม่ด่า

    ๘. เมตตา เราจะมีเมตตา ความรักคนและสัตว์เสมอด้วยตัวเรา ใครเขามาชวนโกรธเราก็ไม่โกรธ

    ๙. อธิษฐาน ตั้งใจไว้ว่า การทำอย่างนี้เพื่อทรงคุณธรรมอะไร จะไปไหนมีเมตตาอยู่เสมอ เหมือนคิดว่าเป็นถิ่นของเรา

    ๑๐. อุเบกขา วางเฉยในอารมณ์ต่างๆ ที่ไม่เป็นที่ถุกใจเรา หมายความว่าอะไรก็ตาม ถ้าไม่เป็นที่ถูกใจเรา เราก็เฉยๆ เขาจะด่า เขาจะว่า เขาจะนินทาอะไรก็ช่างเขาประเดี๋ยวก็ตาย จะไปยุ่งอะไรกัน

    11745923_722510767860669_7054796852987791146_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หนังสือ วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองเเบบ
    ง่ายๆ..โดยพระสุธรรมยานเถระ. (พระราชพรหมยานเถระ)หน้าที่3-6
    ….อารมที่ต้องการในขณะปฏิบัติ….
    สำหรับอารมณ์ที่ต้องการในขณะปฏิบัติ
    ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เวลานั้นต้อง
    การอารมณ์ สบาย ไม่ไช่อารมณ์เครียด
    เมื่อมีอารมณ์เป็นสุขถือว่าไช่ได้ อารมณ์เป็นสุขไม่ไช่ดีสนิทจนไม่รู้อะไร เป็น
    อารมณ์ธรรมดา เเต่มีความสบายเท่านั้น
    เอง ยังมีความรู้สึกปกติทุกอย่าง
    ……………เริ่มทำสมาธิ…,…………………
    เริ่มสมาธิวิธีง่ายๆไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก
    ใช้ธูปเทียนเท่าที่มีบูชาพระ ใช้เครื่อง
    เเต่งกายที่ท่านเเต่งอยู่เเล้ว ไม่จำเป็น
    ต้องใชเครื่องเเต่งตัวสีขาว ฯลฯเป็นต้น
    เพราะไม่สำคัญที่เครื่องเเต่งตัว ความสำ
    คัญจริงๆอยู่ที่ใจ ไห้คุมใจไห้อยู่ตามที่เรา
    ต้องการก็ใช่ได้
    …………อาการนั่งถ้านั่งที่บ้านของท่านตามลำพัง ท่านจะนั่งอย่างไรก็ได้ตาม
    สะบาย จะนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ นั่ง
    ห้อยเท้าบน เก้าอี้หรือนอน ยืน เดิน ตาม
    เเต่ท่านจะสบาย ทั้งนี้หมายถึงหลังจากที่
    ท่านบูชาพระเเล้ว เสร็จก็เริ่มกำหนด
    ลมหายใจเข้าออก คำวาากำหนด คือ
    หายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้ ถ้าต้องการ
    ไห้ดีมากก็สังเกตด้วยว่า หายใจูเข้ายาว
    หรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นขณะที่รู้
    ลมหายใจนี้เเละเวลานั้นจิตไม่ คิดถึงเรื่อ
    ง อื่นๆเข้าเเทรกเเซง ก็ถือว่าท่านมีสมาธิ
    เเล้ว การทรงอามรมณ์รู้เฉพาะลมหายใจ
    เข้าออก โดยที่อารมณ์อารมณ์อื่นไม่
    เเทรกเเซงคือไม่คิดเรื่องอื่นในเวลา นั้น
    จะมีเวลามากหรือน้อยก็ตามชื่อว่าท่านมี
    สมาธิเเล้วคือตั้งใจรู้ลมหายใจโดยเฉพาะ
    …..ภาวนา…………
    การเจริญกรรมฐานโดยทั่วไปนิยมใช้คำ
    ภาวนาด้วยเรื่องคำภาวนานี้อาตมาไม่จำกัดต้องภาวนาอย่างไร เพราะเเต่ละคนมี
    อารมณ์ไม่เหมือนกัน บางท่านนิยมถ้อย
    คำสั้นๆบางท่านนิยมถ้อยคำยาวๆทั้งนี้สุดเเล้วเเต่ท่านจะพอใจ อาตมาจะเเนะนำ
    คำภาวนาอย่างง่ายคือ(พุทโธ)คำภาวนานี้ ง่าย สั้น เหมาะเเก่ผู้ฝึกไหม่ มีอานุภาพ
    เเละมีอานิสงฆ์มาก เพราะเป็นพระนามข
    องพระพุทธเจ้า การนึกถึงชื่อของพระ
    พุทธเจ้าเฉยๆพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่อง
    มัฎฐกุณฑลีเทพบุตร ว่าตนที่นึกถึงชื่ท่าน
    อย่างเดียวตายไปเกิดเป็นเทวดาหรือนาง
    ฟ้าบนสวรรค์ไม่ไช่นับร้อยนับพัน พระ
    องค์ตรัสว่านับเป็นโกฏิๆเรื่องนี้จะนำมา
    เล่าสู่กันฟังข้างหน้าเมื่อถึงวาระนั้น
    เมื่อภาวนาควบคู่กับลมหายใจจงทำดังนีเวลาหายใจเข้านึกถึงว่า “พุท “เวลาหาย
    ใจออกนึกถึงว่า “โํธ”ภาวนาควบคู่กับรู้ลม
    หายใจตามนี้เรื่อยๆไปตามสบาย ถ้าอา
    รมณ์ ใจสบายก็ภาวนาเรื่อยๆไป เเต่ถ้า
    เกิดใจหงุดหงิดหรือฟุ้งจนตั้งอารมณ์ไม่อยู่ ก็จงเลิกเสีย จะเลิกเฉยๆหรือดูโทรทัศ
    น์ หรือฟังวิทยุหรือหาเพื่อนคุย ไห้อารม
    ณ์ สบายก็ได้(เป็นการผ่อนคลายอารมณ์)
    อย่ากำหนดเวลาตายตัว ว่าต้องนั่งให้
    ครบเวลาเท่านั้นเเล้วจึงเลิก ถ้ากำหนด
    อย่างนั้นเกิดอารมณ์ ฟุ้งซ่านขึ้นมา จะ
    เลิกก็เกรงว่าจะเสียสัจจะที่กำหนดไว้ ใจ
    ก็เพิ่มการฟุ้งซ่านมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้ บ่อยๆก็จะเกิดเป็นโรคประสาท เป็นโรบ้า
    ขอไห้ทุกท่านจงอย่าทนทำอย่างนั้น


    11666279_722623754516037_7614640732312986789_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ~หลวงพ่อตอบปัญหา~
    รักพระนิพพาน
    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกรักพระนิพพานมาก ก่อนนอนชอบภาวนาว่า “ นิพพานัง ปรมัง สุขัง” แต่ทำสมาธิไม่ดีเลย อย่างนี้ลูกจะไปนิพพานได้ไหมคะ ?
    หลวงพ่อ : คำว่า “ สมาธิ ” นี่มันจำเป็น แต่คนถามไม่รู้จักตัวสมาธิ ไอ้ตัวสมาธิเขาแปลว่าตามนึกถึง ถ้านึกถึงนิพพานเขาเรียกว่า “ อุปสมานุสสติกรรมฐาน ” ทีนี้ถ้านึกถึงพระนิพพานอย่างเดียว เรารักพระนิพพาน ภาวนาว่า ” นิพานัง ปรมัง สุขัง” บ้าง “นิพพานสุขัง” บ้าง “ นิพพานัง สุขัง ” บ้าง แต่ว่าก็ต้องดูอารมณ์ใจ ฝึกไว้อีกส่วนหนึ่ง คนที่จะไปนิพพานได้ต้องไม่ห่วงร่างกาย อันนี้ต้องฝึกไว้ด้วยนะ ต้องฝึกไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายมันเป็นสภาพของความทุกข์ ที่เรามีความทุกข์เกิดขึ้นทุกอย่าง
    ๑. ความหิว ถ้าเราไม่มีร่างกายมันก็ไม่หิว มันหิวเพราะมีร่างกาย
    ๒. หนาวเกินไป ร้อนเกินไป ก็เพราะร่างกาย
    ๓. ป่วยไข้ไม่สบายก็เพราะร่างกาย
    ๔. ต้องมีงานหนักก็เพราะร่างกาย
    ๕. การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ก็เพราะมีร่างกาย
    ๖. ความตายมาถึงก็เพราะร่างกาย ก็ใช้ปัญญาทบทวนไปว่า คนระดับชั้นไหนบ้างที่มีร่างกายไม่ทุกข์ ถ้าเราจะเกิดอีกกี่ชาติ ถ้าเรามีร่างกายอย่างนี้มันก็ทุกข์อย่างนี้ แล้วขึ้นชื่อว่ามีร่างกาย มีขันธ์ ๕ แบบนี้เราจะไม่มีกับมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือ “ นิพพาน ” ทำใจแน่นอนแล้ว ภาวนาว่า “ นิพพานัง ปรมัง สุขัง ” ก็ได้ “ นิพพานัง สุขัง ” ก็ได้ ต้องคิดอย่างนี้ก่อนแล้วภาวนา คิดแล้วก็ภวานาต่อไป อย่างนี้ใช้ได้
    ถ้าเป็นอย่างนี้เวลาใกล้จะตายจริง ๆ อารมณ์จิตที่เราพิจารณามันจะมารวมตัว มันจะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในร่างกาย และวางเฉยในร่างกาย จะมีความรู้สึกว่า การตายมีความสุขกว่า อย่างนี้ก็ไปนิพพาน
    ผู้ถาม : แล้วภาวนาอย่างนี้ล่ะค่ะ มีอยู่คืนหนึ่งพิจารณาความไม่เที่ยง เลยฝันว่ามีคนจะมาเอาลูกไป ลูกหนีแทบแย่ตื่นแล้วยังมีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนจะมาเอาเราไปจริง ๆ ทำไมภาวนาแล้วเกิดเป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ?
    หลวงพ่อ : นี่เเสดงว่ายังไปนิพพานไม่ได้แหง ๆ เพียงแค่เขาลองเขาต้องทดสอบ เทวดาเขาต้องทดสอบว่าเรามั่นคงพอไหม จะเอาไปหมายจะให้ตาย ความจริงบุคคลที่จะเข้าถึงพระนิพพาน เขามีความรู้สึกว่า ถ้าร่างกายตายเมื่อไรเขามีความสุข เขาไม่ห่วงร่างกายนะ มันต่างกันเยอะ!
    ~พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง~

    11737853_722687614509651_2883143818412791511_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    บทความจาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๔ ตอนที่ ๓ (๙)
    >>>>>>>>>>>>
    ◆◆วันที่เทวดาไม่อยู่บนสวรรค์◆◆
    เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๑๐ โมงเช้า เป็นวันหยุดโรงเรียนเพราะเป็นวันมาฆบูชา ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ก็ขึ้นไปบนสวรรค์เหมือนทุกครั้ง ผมกำหนดใจไปที่พระจุฬามณี ผมแปลกใจมากเพราะไม่มีใครมารับผมเลย เพราะทุก ๆ ครั้งจะมีพระและพี่เทวดา พี่นางฟ้ามารับผม ผมจึงไปที่สวรรค์ชั้นที่ ๑ ก็ไม่มีใครอยู่ มีแต่วิมาน
    จึงไปที่ชั้นที่ ๒ ที่ ๓, ๔, ๕, ๖ และชั้นพรหมทุกชั้นก็ไม่มีใครเหมือนกัน เอ… ท่านเทวดา ท่านพรหม คงไปอยู่บนพระนิพพานกันหมดแน่ ๆ จึงตามขึ้นไปบนพระนิพพานก็ไม่มีใครสักคน ท่านพากันอยู่ที่ไหนกันนะ ผมว่างเหงาจังเลย ไปเล่นกับพี่ช้าง พี่ลิงและลุงครุฑที่ป่าหิมพานต์ดีกว่า
    พอไปถึงพี่สัตว์ต่าง ๆ กำลังวิ่งไปไหนกันไม่รู้เป็นแถว ๆ เลย แป๊บเดียวในป่าก็เงียบเชียบ ผมจึงไปเที่ยวแดนนรก ไปเห็นปู่พระยายมราชนั่งอยู่คนเดียว
    ผมก็เข้าไปกราบแล้วถามว่า “วันนี้ทำไมเงียบกันหมดทั้งบนสวรรค์และผู้คุมนรก”
    ท่านปู่บอกว่า “โน่น ไปวัดท่าซุงกันหมด”
    ผมถามว่า “วัดท่าซุงที่ไหนครับ”
    ท่านปู่ก็ว่า “วัดหลวงปู่ฤาษีของแกนั่นไง”
    ผมจึงตามไปดูที่วัดท่าซุง โอโฮ พากันมาอยู่ที่วัดหมดเลย ผมเห็นหลวงปู่ฤาษีทำพิธีอะไรอยู่ที่เจดีย์แก้วสวยงามมาก นางฟ้าโปรยดอกไม้เงินดอกไม้ทองเยอะแยะไปหมด ลงมาถูกคนข้างล่าง
    แต่ดูแล้วคนข้างบนมากกว่าที่อยู่ข้างล่างหลายเท่า คือ ข้างบนเต็มเอี๊ยดหมดเลย แม้แต่บนต้นไม้ก็อยู่เต็มไปหมด ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นที่ไหนมีพระ มีเทวดา นางฟ้า และคนจริง ๆ มากมายอย่างนี้มาก่อนเลย ผมจึงอยากเห็นวัดท่าซุงจริง ๆ พอคุณครูอำไพบอกว่าจะพาพวกผมไปกราบหลวงปู่ฤาษีในวันที่ ๑๔ – ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕ นี้ ผมและเพื่อน ๆ ดีใจมากที่สุดเลยครับ.
    เด็กชายธีรยุทธ จันทร์แดง
    ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๔

    11703197_722893124489100_8603810751649298438_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    คำสอนของ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    ————————————–
    “เรื่องของศีล ๕ นี่ ต้องเข้าใจให้ดีนะ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อ มุสา
    ข้อมุสา ที่เราพูดไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่ไม่ทำลายประโยชน์ของผู้ฟัง เป็นการรักษาผลประโยชน์ของผู้ฟัง
    อันนี้ไม่ชื่อว่า ขาดศีล ๕ ข้อนี้
    อันนี้ ต้องเข้าใจไว้ด้วย
    พระโสดาบัน อาจจะมีลีลาพูด ไม่ตรงกับความเป็นจริง แต่รักษาผลประโยชน์ของบุคคลอื่นมาก
    อย่างเด็ก ถ้าจะเดินไปใกล้ปลายทาง จะตกลงไปข้างล่าง จะถึงอันตรายกับชีวิต เราบอกว่า ถ้าเดินไปชิดปลายทางแล้ว จะเกิดอันตราย เด็กจะไม่เชื่อ
    เราบอกว่า ถ้าเดินไปตรงนั้น มีสัตว์ร้าย ตุ๊กแก หรืองูอยู่ ถ้าหนูเดินไปตรงนั้น จะเป็นอันตราย แล้วเด็ก ก็ไม่ไป
    อย่างนี้ จะถือว่าขาดศีล ๕ ไม่ได้ เพราะรักษาผลประโยชน์ ของบุคคลอื่น
    นี่เป็นอันสังเกตุได้”
    -จากหนังสือ; คำสอนทีบ้านสายลม
    หน้า ๔๖๖
    ————————————–
    (เรื่องนี้ เป็นที่สังสัยกันมากเลย ถามกันมากด้วย
    บางครั้งถ้าเราอ่านแต่เพียงหนังสืออย่างเดียว
    ก็อาจจะทำให้ ไม่เข้าใจตามความเป็นจริงได้
    เพราะปัญญายังไม่ถึง
    หลวงพ่อ ท่านเข้าถึงความจริงแล้ว
    พวกเราเชื่อได้ มอบกายถวายชีวิตได้ เต็มกำลัง)…

    11745698_723277744450638_146908017233018663_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    โอวาทของหลวงพ่อวัดท่าซุง
    “…ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
    ฟังคำแนะนำของพระพุทธเจ้าสักหน่อยหนึ่ง แล้วลองไปปฏิบัติตาม ถ้าทุกท่านที่ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตามได้จริง อาตมาก็ขอยืนยันว่าการเกิดต่อไปข้างหน้าของท่าน ที่มีกี่ครั้งก็ตาม กี่ชาติก็ตาม ขอยืนยันว่า ทุกท่านจะไม่พบกับอบายภูมิทั้ง ๔ คือ การเกิดเป็นสัตว์นรกก็ดี เป็นเปรตก็ดี เป็นอสุรกายก็ดี เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ดี จะไม่มีแก่ท่านทุกชาติที่เกิดต่อไป
    …และการเกิดของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็จะจำกัดการเกิด เอาเฉพาะการปฏิบัติอย่างหยาบ ๆ ท่านทั้งหลายถ้าจะมีการเกิดจริง ถ้ากำลังใจของท่านย่อหย่อน ปฏิบัติได้แต่ว่าไม่เคร่งเครียดนัก คือปฏิบัติได้ไม่ละเอียดนัก พอทำกันได้ เรียกประเภท เช้าชามเย็นชาม แต่ก็สามารถทรงความดีไว้ได้อย่างนี้ถ้าหากว่าท่านจะเกิดใหม่ก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ๗ ชาติ และกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ๗ ชาติ ตามหลักวิชาหลังจากนั้นก็เป็นพระอรหันต์ เข้านิพพาน
    …ถ้ามีกำลังใจอย่างกลางคือไม่เก่งเกินไป ไม่เก่งจนถึงที่สุด คือว่าประเภททำได้ แต่ทำได้อย่างเชื่องช้า มีกำลังใจกลาง ๆ ที่เรียกว่า มีบารมีอย่างกลาง อย่างนี้ท่านจะเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ๓ ชาติ จะเกิดเป็นมนุษย์อีก ๓ ชาติ เท่านี้ก็สามารถเป็นพระอรหันต์เข้านิพพาน
    …ถ้ามีกำลังใจเข้มแข็งทำได้แบบละเอียดจริง ๆ อารมณ์สุขุมทรงตัวได้อย่างดี ถ้ากำลังใจประเภทนี้เราทำได้จะเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมอีกชาติเดียวเท่านั้น กลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์ อีก ๑ ชาติเป็นพระอรหันต์เข้านิพพาน..”
    ******************************
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
    ———————————–
    ที่มาจาก…หนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๒๑
    โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี

    10888486_723278114450601_861774187793581123_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    •√ลุงยกทรงกลับใจ√••
    ขอนมัสการกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณ พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ผู้เป็นอาจารย์องค์แรกและองค์สุดท้ายของยกทรงที่เคารพอย่างสูงสุด

    “……..กระผมยังจำได้ดีเสมอว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นปีที่ความเลวของยกทรงได้มีโอกาสพังพินาศด้วยฝีมือของหลวงพ่อ ทั้งนี้เพราะ นาย วันชัย จรุงเดชากุล ผู้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อได้พยายามตื้อให้กระผมไปนมัสการหลวงพ่อที่ซอยสายลม บ้านท่านเจ้ากรมเสริม กรุงเทพฯ กว่าจะไปได้หลายเดือน

    ……..ทั้งนี้เพราะความเลวของยกทรงยังอุดมสมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะตัวมานะอวดดื้อถือดีของยกทรงที่เคยบวชเป็นเถนะสงฆ์มา ๑๘ ปี เป็นนักเปรตเทศนาทางวิทยุโทรทัศน์หาเบาไม่ เมาลาภยศ สรรเสริญ จนลืมว่าดีแต่สอนเขาอิเหนาขาดปฏิบัติ

    ……..ที่จริงอาจารย์กรรมฐานดีๆ มีมาก แต่คนเลวอย่างยกทรงเจอแต่อาจารย์ปากว่าตาขยิบเลยลงอเวจีไปกันใหญ่ ยังจำความเลวที่ไม่น่าให้อภัยก็คือ สมัยเป็นนักเปรตประจำวิทยุยานเกราะของท่าน เจ้าคุณกิตติวุฑโฒภิกขุ สมเด็จย่าพระราชชนนี ทรงฟังรายการของยกทรง ท่านเรียกว่า หลวงปู่ ตามที่อาจารย์กิตติวุฑโฒ มาแจ้งให้ทราบภายหลัง ดูเหมือนจะครึ้มอย่างบอกไม่ถูก
    มาทราบภายหลังที่ศิษย์หลวงพ่อฤๅษีแล้ว จึงทราบว่า ที่โด่งดังในสมัยนั้นเป็นเพราะพระพรหมเทพ ท่านสงเคราะห์ช่วยเป็นพลังลับๆ ต่างหาก อนิจจา นึกว่าเราแน่ ที่แท้ก็เปรตอาศัยผ้าเหลืองต่างหาก

    คืนที่วันชัยลากคอไปพบหลวงพ่อนั้น ก็ตั้งใจจะไปจับผิดคิดร้ายไปองค์หลวงพ่อ สมัยนั้นคืนวันศุกร์ก็จะมีคนยี่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ไปวันแรกคืนวันเสาร์ ไปช้าเพราะความเลวมันยังล้นกระบาลหัวเลยต้องไปนั่งชั้นบนที่แสนจะเบียดเสียดยัดเยียดเพราะลูกหลานไปกันมากมายนั่นเอง

    พยายามหาความผิดของผู้อื่น นั่นคือสัญลักษณ์ของคนเลวแต่ก็เจอดีจนได้ กล่าวคือลำโพงข้างบนไม่ค่อยดัง นึกในใจว่า ถ้าดังกว่านี้คงดีมาก พอรุ่งขึ้นวันอาทิตย์เปลี่ยนสายและลำโพงดังลั่นชื่นใจ ตอนนี้ชักเอ๊ะใจ แต่ท้ายคืนวันเสาร์หลวงพ่อพูดแกมตลกตกเหยื่อ ล่อยกทรงมั้งว่า บางคนยังชอบรวย ไปซื้อหวยคนละ ๒๐ -๔๐ บาท แฟนยกทรงตาลุกโพลงทันที คืนแรกยกทรงและเมียถวายคนละ ๒๐ บาท คิดในใจว่าถ้าเราถูกหวยจะซื้อที่ดิน ๓,๕๐๐ บาท ถวายอีก ๑ ไร่ เผงๆ ๔๐ เลขท้ายออกพอดี จึงเริ่มศรัทธาและที่ศรัทธาแบบสนิทใจก็คือ

    สมัยโน้นไปวัดท่าซุง งานกฐินครั้งแรกในชีวิต ไม่สามารถเข้าไปในศาลาพระพินิจได้ เลยไปยืนอธิษฐานต่อหน้าพระประธานหน้าโบสถ์วัดท่าซุงว่า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเก่งจริงอยู่แหล่แต่ทว่า คนมาแค่หมื่นๆ ก็ไม่มีสถานที่ต้อนรับน่าจะสร้างศาลาระดับโลกอีกสักหลัง ปรากฏว่ารุ่งขึ้นเดือนต่อมาหลวงพ่อประกาศว่า สมเด็จสั่งให้สร้างศาลา ๒ ไร่ และก็ ๓ ไร่ ๔ ไร่ ๑๒ ไร่ วิหารพระองค์ที่ ๑๐ – ๑๑ วิหารท้าวมหาราช วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร โอ๊ย สร้างกันใหญ่จนกระทั่งทุกวันนี้ เลยครึ้มอกครึ้มใจเคารพนับถืออย่างสนิทใจ แต่ยังไม่ถวายชีวิต
    (ทนอ่านอีกนิดนะ)
    ในคืนวันศุกร์แรกของเดือนตุลาคม ๒๕๑๕ มีคนยังน้อยยี่สิบกว่าคน เป็นรายการคุยกันแบบตามใจท่าน คำแรกที่หลวงพ่อพูดกับยกทรงก็คือ เคยตัดหัวมาหลายชาติ เล่นเอาตกใจเพราะยังไม่รู้ลีลา แล้วหลวงพ่อก็อธิบายว่า เป็นอาจารย์ยกทรงมาหลายชาติ “อายุ ๕๙ ของเก่าจะตามมา”

    ประโยคคำพูดนี้แหละที่ทำให้ปีติของยกทรงปลื้มใจมาหลายวัน เกิดความมั่นใจว่า เราคงได้บวชเป็น แพะที่วัดท่าซุง โดยมีหลวงพ่อฤๅษีเป็นปัจฉิมาจารย์เป็นแน่ ครึ้มจนบอกไม่ถูก แม้เวลาสวดมนต์ตอนเช้า กายทิพย์ก็ไปอยู่ในโบสถ์วัดท่าซุง โดยมีหลวงพ่อเป็นอุปัชฌายะ ถามหลวงพ่อที่ซอยสายลมเกี่ยวกับภาพที่เห็นอย่างนี้ ท่านก็ตอบว่าเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เริ่มศรัทธาถวายหัวแต่ยังไม่ถวายชีวิต

    จนกระทั่ง ครูเตี้ยม นิตยะศรี ท่านเมตตาไปฝึกให้ที่ร้านยกทรง เงินเงิน กล่าวคือ ครูยืนสอนลูกศิษย์ยกทรงนั่งเย็บจักร ที่ไม่ยอมไปฝึกที่ซอยสายลมก็เพราะอายเด็กๆ ที่เป็นครูฝึก เอ๊ะนี่เรามันอาจารย์ยกทรง เกรดอเวจีมีหรือจะไป ยอมให้เด็กเมื่อวานซืนมาเป็นครูฝึก
    ในที่สุดองค์สมเด็จและหลวงพ่อฤๅษีลิงดำก็มีเมตตา ไม่อยากให้ยกทรง ลงใต้ก้นโลกันตร์นรกเลย จึงดลใจครูเตี้ยมไปปราบดาภิเษก เขกหัว ให้วิธีการ ก็คือครูถามว่านี่ยกทรงอยู่กรุงเทพฯ เคยไปวัดพระแก้วมรกตบ้างไหม แหมแหย่ถูกเส้นความเลวของยกทรงเผง
    จึงตอบไปว่า เหม่ๆๆ ชะชะ อย่าว่าแต่เคยไปเลย ผมเคยเป็นพระหนุ่มองค์แรกที่บังอาจเข้าไปเทศน์ในโบสถ์วัดพระแก้ว ครูเลยถามว่า ถ้าไปจริงเทศน์จริง ไหนลองพูดมาซิว่า พระแก้วมรกตเป็นอย่างไร คุณพระช่วยภาพพระแก้วปรากฏชัดเจนแจ่มใส บรรยายฟุ้งให้ครูเตี้ยมฟัง ครูยอยกอย่างรู้ใจ แล้วท่านครูเตี้ยมยืนสอนต่อไปว่า งั้นก็ตั้งใจกราบองค์สมเด็จพระแก้วซี้ อนิจจา…ม้าเลวแสนพยศ ก็ต้องสิโรราบกราบบังคมแพ้ด้วยประการซะนี้
    เมื่อคราวถวายสังฆทานที่ซอยสายลมราวๆ สามทุ่ม หลวงพ่อก็จะขึ้นไปเข้าส้วมแล้วก็มาโต้ตอบอีกครึ่งชั่วโมง โดยยกทรงใช้ปากเปล่ามาเป็นปีๆ ปีต่อมาก็มีโทรโข่งฮัลโหล แล้วก็กลายเป็นไมค์ ในที่สุดหลวงพ่อท่านเมตตา ซื้อเก้าอี้ให้ปฏิบัติการอยู่จนกระทั่ง ปัจจุบันนี้
    ที่ยอมถวายหัวและชีวิตเพื่ออุทิศให้แก่หลวงพ่อก็เพราะว่า..

    ๑. เต็มใจสอนศิษย์ไม่ปิดบัง และไม่กลัวใครจะหาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม

    ๒. มีใจสะอาดบริสุทธิ์ ทำงานเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าแบบถวายชีวิต ทั้งๆ ที่ตัวหลวงพ่อจะฉันก็ยาก จะย่อยก็ยาก จะถ่ายก็ยาก แถมต้องอาเจียนเป็นเสมหะ แบบสาหัสสากรรจ์ทุกๆ วัน ยิ่งใกล้จะถึงวันไปสอนกรรมฐานด้วยแล้วน่าเวทนายิ่ง

    ๓. มีความอดทนต่อมารเหลือง มารผ้าลายเป็นเยี่ยม เป็นยกทรงละก็โป้ง! ไปนานแล้ว

    ๔. นั่งแกร่วทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งสอนทั้งรับสังฆทาน ทั้งให้พรทั้งต้องตอบปัญหาอีกครึ่งชั่วโมง กลางคืนก็ต้องรับสนองงาน ขององค์สมเด็จ เทพ พรหม พระ ว่ากันเกือบไม่ต้องนอนเชียวละ

    ๕. มีความเป็นกันเองอย่างลูกกับพ่อ ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายลูกโดยถ้วนหน้า

    ๖. ไม่คิดลาภยศ ไม่สะสมทรัพย์ แต่ชอบสะสมหนี้ล่วงหน้า แก้ปัญหาโลภะ

    ๗. รักลูกทุกๆ คน ไม่ว่าลูกหญิงลูกชาย จนรวยไม่สำคัญ แต่สำคัญที่จิต สะอาด

    ๘. แนะนำสั่งสอนเพื่อตัดรอนเข้าพระนิพพานในชาตินี้

    ๙. เป็นที่พึ่งทั้งกายเน่าและกายทิพย์เพราะว่าหลวงพ่อช่วยไว้ทั้งคนทั้งผี จนไม่มีที่จะเขียนบันทึกมาบรรยายให้ท่านทั้งหลายอ่าน

    ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกบวชนานพัดยศยอดแหลม ยอดคู้ เป็นครูอภิธรรม นักเขียนนักเผยแพร่ชั้นนำของเมืองไทยบางตัว ที่ชอบปฏิเสธว่า สภาพพระนิพพานไม่มี เพ้อเจ้อเพ้อฝัน จินตนาการเอาเอง มีอย่างหรือ! เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ไหง! ยังมีสภาวะเป็นทิพย์พิเศษอยู่เมืองอเวจีด่าว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ อย่างสาดเสียเทเสีย ไอ้…กาฝากแผ่นดินไทย!
    โอ…ท่านคัมภีร์เปล่าขอรับ ขอนิมนต์ไปอยู่กับพระเทวทัตตามอัธยาศัยเถิด ผมว่าว่างๆ ลองไปยกมือไหว้ถามนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาดูบ้าง บางทีอาจจะพอพ้นจากขุมนรกใหญ่ๆ ได้บ้างกระมั้ง จงถอดหัวโขนหัวสุนัขออกเสียเถิด จะได้ไม่ต้องไปเกิดที่เมืองนรก

    ที่กล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะ “ยกทรง” ผู้พูด เลวบัดซบสมบูรณ์แบบมาก่อน มาเจอคู่ปรับซึ่งผูกพันกันมา ๒๕๓๓ ปี ไม่งั้นจะลงไปนอนร้องตะโกนที่อเวจีว่า สมน้ำหน้าความเลวของตนแล้วที่หลงลาภยศสุขสรรเสริญ ติดไปติดมา เอ..ยกทรงบวชเป็น พระมีศีลครบ ๔ ตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ สาธุ….สาธุ อุกาสะ ขมา มิภันเต รัตตนัตตะ เย สัพพัง
    (ทนอ่านอีกนิดจะจบแล้ว)
    ต้องขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อฤๅษีว่า การสร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาที่วัดท่าซุงโดยมีหลักเกณฑ์ว่า เด็กๆ จะได้มโนมยิทธิเห็นนรก สวรรค์ พรหม และไปสัมผัสที่พระนิพพานได้เสียก่อนจึงเข้าเรียนได้ ถ้าเลวก็ไล่ออก

    ต่อไปเด็กพวกนี้ถ้าเป็นพระก็ชั้นพระอริยเจ้า ถ้ารับราชการบริหารบ้านเมือง ก็เป็นฆราวาสอริยชน โอ..โฮ้ บ้านเมืองขวานทองของไทยจะไปได้สวย ไม่เฮงซวย เหมือนปัจจุบันนี้ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ท่านเปรตผ้าเหลืองและเปรตผ้าลายทั้งหลายเมื่อใดกรรมมันตามมาสนอง จงอย่ามาร้อง ว่า…รู้งี้กูเชื่อ ฤๅษีลิงดำเสียก็ดีแล้ว!

    เป็นอันพูดกันอย่างเต็มปากเต็มเสียงได้เลยว่า ยกทรง (นายวีระ งามขำ) ขอยอมตายถวายชีวิตให้กับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ผู้เป็นปัจฉิมาจารย์แล้วขอรับ จะต่อสู้เพื่อเผยแพร่ พระนิพพานให้ในชาตินี้ให้ไพศาลต่อไป โดยไม่หวั่นเกรงภัยใดๆ ทั้งสิ้น

    ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าน้อยยกทรงได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งหมด แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี และจะทำต่อไปในอนาคตก็ดี ขออุทิศเจาะ จงถวายแด่องค์หลวงพ่อ ขอได้โปรดรับและอนุโมทนาการเพื่อเป็นที่พึ่งแก่คนดีทั้งหลายสืบต่อไปชั่วกาลนานเทอญ

    11220080_723298157781930_9117766699808738373_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    สมเด็จพระพุทธกัสสปพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีรับสั่งกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    สมเด็จพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ของภัทรกัป ทรงมีพระเมตตาให้หลวงพ่อฤาษีฯ เตือนลูกหลานและบริษัทของหลวงพ่อ ซึ่งมีความสำคัญ และเป็นประโยชน์มาก

    สมเด็จพระพุทธกัสสป ทรงตรัสกับหลวงพ่อว่า

    “ เมื่อวานนี้ คุณบันทึกเสียง บอกถึงความดีของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาและลูกหลานทั้งหลายที่เขาทำกันว่า แต่ละคนมีวิมาน นี่คุณยังพูดไม่ครบถ้วนนะ

    คุณต้องบอกเขาซิ บอกเขาว่า ทุกคนที่เป็นบริษัทของคุณน่ะ เขามีวิมานชั้นแก้ว ๗ ประการด้วยกันทุกคนแล้วเป็นอย่างต่ำ ถึงแม้ว่าใครเขาจะทำบุญมากก็ตาม ใครเขาจะทำบุญน้อยก็ตาม แต่ว่าที่ทำ ทำไปด้วยศรัทธาแท้ ไม่ใช่จำใจทำนะ ”

    ” คำว่า บริษัทของคุณ น่ะ หมายความว่า ที่เขามีความเลื่อมใสในคุณจริง ๆ มีความเลื่อมใสในการที่คุณนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาบอกเขา แล้วก็แนะนำเขาให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วเขามีความเลื่อมใสจริงๆ อย่างนี้เรียกกันว่า บริษัท ”

    ” บริษัทแท้ ๆ ที่มีความมั่นใจในตัวคุณจริง ๆ เขามีวิมานแก้ว ๗ ประการกันหมดแล้ว เป็นวิมานอันดับ ๒ สำหรับวิมานอันดับ ๑ นั้น มันเป็นวิมานแก้ว ๙ ประการ ”

    ทีนี้ก็มาว่ากันถึงความผ่องใสของวิมาน ความผ่องใสของวิมานย่อมแตกต่างกัน ด้วยอำนาจบุญบารมี คือ กำลังของใจ แต่ก็ควรจะบอกเขาว่า วิมานแต่ละวิมาน ก็มีความสวยสด ความน่ารื่นรมย์ทั้งนั้น

    เขตวิมานแต่ละวิมาน บริเวณน่ะกว้างขวางไพศาล มีที่อยู่เป็นสุขสบาย มีความเลื่อมสวยสะอาดวิจิตรตระการตา นี่ก็เรียกว่า ความงามของแต่ละวิมานน่ะ พรรณากันไม่ถูก”

    นี่ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะ ความจริงเป็นอย่างนั้น ฉันไปเห็นมาแล้ว ก็เห็นตามนั้น แต่ฉันไม่ได้บอก สมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านให้บอก ท่านตรัสอีกว่า

    “เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเอาไว้นะ บอกว่าตถาคตบอกว่าอย่างนี้ ให้ลูกหลานของเธอทุกคน หรือบริษัทของเธอทุกคน เขาตั้งใจไว้อย่างฉันพูดนะ

    ” การจะไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี เป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างที่นักปราชญ์ในโลก เขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากเขาถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง ”

    ” แต่ฉันเห็นว่านั่นไม่ถูก ถ้าตามคติของฉัน ฉันว่าไม่ถูก เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายนั้นดี และวิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ให้ง่ายที่สุดนั่นแหละดี เรียกว่าทำง่ายที่สุดและได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการที่สอนให้มันยากที่สุดแล้วได้ผลน้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน ”

    ” สัมพเกษี เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะว่า

    ” ให้ทุกคนรู้ตัวว่า มีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เมื่อเวลาเขาทำความชั่วมา ก็ช่างเถิด เวลาก่อนจะนอน ให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดี แล้วเอาใจนี่จับไว้ว่า นี่เรามีวิมานแก้ว ๗ ประการไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราจะตาย เราจะไปอยู่วิมานนั้น

    ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วตั้งใจว่า เราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที

    พวกที่จะไปพรหมโลก ก็เป็นของไม่ยากนะ สัมพเกษี บอกเขานะว่า
    ” คนที่ต้องการไปพรหมโลกน่ะ คืนหนึ่งให้สร้างความดี ๑๐ นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว เอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าออกเท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วเป็นพรหมแน่ ”

    “ที่นี้คนไหนต้องการไปพระนิพพาน ก็เป็นของไม่ยาก สัมพเกษี ให้เขาคิดเห็นว่า โลกนี้ทั้งโลกไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้ร่างกายของเราเอง เราก็ไม่ชอบ ไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน

    แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพทรงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่าโลกนี้ทั้งโลกหาความดีไม่ได้

    แล้วก็หันมาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตาย ยังจะพัง เรายังจะปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปนิพพาน

    เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะ สัมพเกษีนะ ลูกหลานของเธอทุกคนจะพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไปกามาพจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน ”

    นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ ลูกหลานที่รักทุกคน ได้ยินหรือยัง ถ้าได้ยินละก็จำไว้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้ สวัสดี

    หนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ฉบับวัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง อุทัยธานี

    อ้างอิงที่มา :ศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี โทรฯ ๐๘๑-๘๕๓๗๘๐๓,๐๘๑-๙๓๗๐๒๔๔

    11745376_723383267773419_14822307121202593_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    บทความจาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๔ ตอนที่ ๓ (๑๑)
    >>>>>>>>>>>>
    ◇◇เด็กอภิญญามาหา◇◇
    สิ่งที่ข้าพเจ้าจะเขียนต่อไปนี้ เป็นการแนะนำจากท่านพระปลัดวิรัช โอภาโส เพราะท่านทราบว่าเด็กชายบัญชา เด็กหญิงจารุณี มาหาข้าพเจ้า จะเรียกว่าฝันก็ได้ เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับเด็กทั้งสอง คือเด็กชายบัญชา เด็กหญิงจารุณี แห่งโรงเรียนแม่เตาไห จังหวัดเชียงใหม่ เธอเป็นเด็กที่ฝึกอภิญญาได้ เธอมากราบหลวงพ่อที่ตึกรับแขก และเธอได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เธอได้ไปเที่ยวมา มีหลวงปู่ท่านได้นำไปตามที่ต่าง ๆ
    และวันนั้นเธอยังไม่กลับ น้องพรนุชจึงชวนเธอทั้งสองมานอนที่วิหารร้อยเมตร และเราได้คุยถึงการปฏิบัติกรรมฐาน เธอบอกว่าหลวงปู่มาสอนการปฏิบัติให้เธอ ถึงการฝึกจิต เธอบอกว่าหลวงปู่มาแนะนำให้เธอตอนกลางคืน ข้าพเจ้าก็ถามว่าทำจิตอย่างไรจึงไปแบบเต็มกำลังได้ เธอบอกหลวงปู่มาสอนให้เธอทำจิตให้ว่างจากกิเลสทั้งปวง และรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ให้ได้ แล้วภาวนา
    …เธอบอกว่าตัวเธอภาวนา พุทโธ ก่อนสักครู่ แล้วก็ภาวนา นะมะพะธะ เอาจิตจับอยู่ที่ปลายจมูก ไม่สนใจสิ่งใด ตัดทิ้งให้หมดแล้วจิตจะไปได้ พอรุ่งเช้าเธอก็ลากลับเชียงใหม่ และหลังจากที่เธอกลับไปแล้ว ถ้าจำไม่ผิดในราววันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒ค๓๕ คืนนั้นข้าพเจ้าหลับอยู่ จะว่าหลับสนิทก็อาจจะไม่เชิง เพราะมีความรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้องของข้าพเจ้าทั้ง ๆ ที่ห้องปิดใส่กลอนอยู่ ข้าพเจ้าก็พลิกตัวกลับมาก็เห็นเด็กผู้ชายวิ่งแวบเข้าไปแอบอยู่ใต้โต๊ะเขียนหนังสือ ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่าต้องเป็นเด็กชายบัญชาแน่
    ก็เลยถามเธอว่า จารุณีไม่มาด้วยหรือ ก็พอดีจารุณีก็เดินผ่านประตูเข้ามา ในความรู้สึกว่าข้าพเจ้าชวนเธอไปหาน้องพรนุช พอไปถึงเห็นน้องพรนุชกำลังคุยอยู่กับใครอยู่ก็ไม่ทราบ พอหันมาเธอก็กลับไปแล้ว หลังจากนั้นต่อมาเธอก็เขียนจดหมายมาคุยกับเด็กนักเรียนที่เลี้ยงหมา เธอบอกว่าเมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๓๕ เธอมาหาเด็กเลี้ยงหมา และเธอบอกมาแหย่และปลุกเรียกเด็กเลี้ยงหมา แต่ไม่มีใครตื่นเลย เธอก็เลยกลับไป
    ๗ กันยายน ๒๕๓๕
    สวัสดีครับพี่อ้อย
    พี่อยู่ทางนี้สบายดีหรือเปล่า ส่วนผมสบายดี ผมนึกว่าจะไม่ได้รับจดหมายของพี่เสียแล้ว พอนึกไปนึกมา ครูเด็กเล็กก็เอาจดหมายมาให้ผม พี่ครับทีนี้ พี่ไม่ต้องส่งซองจดหมายมาให้ผมอีก เปลืองเงินพี่ วันที่ ๕ กันยายน ผมก็ไปเที่ยวหาพี่ ๆ ผมยังไปยืนข้าง ๆ พี่เลย ผมเลยจับแขนพี่ พี่ก็ยังเฉย คงหลับสนิทซิท่า แล้วผมยังบีบจมูกพี่ตื่น ผมอยากให้ถึงเดือนตุลาไว ๆ ที่พี่เขียนมาว่ารบกวนหรือเปล่า ผมขอตอบว่าไม่รบกวนเลย ฉบับนี้ผมได้ส่งรูปมาให้ด้วย
    รักและคิดถึงมาก ๆ
    น้องบัญชา
    สุดท้ายนี้น้องขอให้พี่สอบตกก็แล้วกัน จะได้พบกันนาน ๆ หรือว่าพี่จะไม่ตกก็ตามใจ สวัสดี ตอบมาด้วย
    บุษพร (จำปี) คืนคงดี
    ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๔

    11737885_723619604416452_1889040375171147379_n.jpg
    11032481_723619637749782_8142674945680348967_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    โอวาทของหลวงพ่อวัดท่าซุงครั้งสุดท้าย
    “…ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2535 เวลาประมาณบ่าย 3 โมง หลังจากท่าน
    รับแขกแล้ว จึงได้ช่วยกันพยุงพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ลงมาจากตึกรับแขก มีหลายคนต้องร้องไห้หลั่งน้ำตา ด้วยความสงสารท่านอย่างจับใจ แม้จะป่วยไข้ถึงเพียงใดท่านไม่เคยสนใจ อุตส่าห์มานั่งทนรอคอยลูกที่จะมาพบ น้ำใจของพ่อช่างประเสริฐสุดจริงๆ..
    …เหตุการณ์ในวันนั้น จึงถือว่าเป็นการมา “รับแขก” ของท่านเป็นครั้งสุดท้าย..
    ด้วยเหตุสถานที่นี้แหละ จึงเกิดมี ปัจฉิมโอวาท เป็นครั้งสุดท้ายของท่านว่า..
    “..ลูกเอ้ย..นี่เป็นธรรมดาของร่างกาย… มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดา
    …สังขารมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงหรอก ทุกขังตอนอยู่มันเป็นทุกข์
    …ผลที่สุด มันก็อนัตตา สลายไปมีแค่นี้.. อย่ามายึดถือสังขารของพ่อเลย.ลูกเอ๊ย.”
    ย้อนอดีตภาพประวัติศาสตร์…หลวงพ่อมรณภาพ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕..
    —————————————————
    ที่มาจาก.เว็ปไซต์มาสเตอร์วัดท่าซุงด็อทคอม..http://www.watthasung.com/ wat/viewthread.php? tid=1162(ลิขสิทธิ์ของเว็ปมาสเตอร์วัดท่าซุง )

    11094324_723623324416080_8510330405045783286_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    “…ขอลูกรักทั้งหมด จงอย่าสนใจกับคำนินทาและสรรเสริญ ลูกรักของพ่อทุกคนจงจำไว้ว่า ถ้าร่างกายมันยังมีอยู่ จงอย่าปรารภว่าตนเป็นคนดี เพราะว่าสิ่งที่เราเกาะอยู่นี่มันเลว คือ ขันธ์ ๕ได้แก่ ร่างกาย มันทั้งสกปรก มันทั้งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการตายไปในที่สุด ร่างกายมันเป็นส่วนรับทุกขเวทนา
    …ฉะนั้น ขอลูกรักทุกคน จงอย่าสนใจกับร่างกายของตนเอง และของบุคคลอื่น คำว่าไม่สนใจหมายความว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงดูมันไปตามสภาพ มันหิวก็ให้มันกิน มันร้อนก็หาของเย็นให้ มันหนาวก็หาของอุ่นให้ และก็จงบอกกับมันว่า เอ็งตายคราวนี้ ข้าเลิกคบเอ็งละนะ ทั้งนี้ เพราะเอ็งไม่ดีเลย เอ็งมันเลวมาก ประคับประคองเท่าไร เอ็งก็ไม่ตามใจข้า …”
    *******************************
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
    ********************************
    ที่มาจาก…หนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑ หน้า ๖

    11703216_723723584406054_5995010460528175550_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    นำมาบอก… งานวันที่ ๓๑ (เตรียมเสื้อชมพู) งานพิธีฉลองชัยชนะพระเจ้าพรหมมหาราช
    วันศุกร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม
    เวลา ๐๗.๐๐ น. ร่วมกันทำบุญใส่บาตร และ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ที่ศาลา ๑๒ ไร่
    เวลา ๐๙.๐๐ น. ทำพิธีบวงสรวง อนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช เสร็จแล้วนักเรียน ร.ร.พระสุธรรมยานเถระวิทยา รำถวายมือ รับสังฆทาน ญาติโยมเวียนเทียนทักษิณาวัตรรอบพระจุฬามณี และ รอบอนุสาวรีย์พระเจ้าพรหมมหาราช ๓ รอบ
    เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล ที่ศาลาพระนอน
    ***เสื้อแดง ออกรบ แดงออกรบ แดงออกรบ
    ***เสื้อชมพู รบชนะ เสื้อชมพู เราชนะแล้ว !!!***
    เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว พระเจ้าพรหมชนะแล้ว
    ลูกหลานนักรบผู้ห้าวหาญของพระเจ้าพรหมมหาราชส่วนมากนิยมใส่เสื้อแดง ชุดแดง คาดผมแดง เพื่อระลึกถึงคราวชนะศึกเชียงแสน ในครั้งนั้น แต่บางท่านก็ใส่เสื้อชมพูชุดชมพูเพื่อยํ้าว่าได้ชนะสงครามแล้ว

    11050812_723848714393541_1962386665846381339_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงปู่คำคนิง แสดงฤทธิ์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
    หลวงปู่คำคะนิงนั้น ท่านเป็นพระที่ไม่เหมือนใคร กล่าวคือท่านเคยผ่านการเป็นฤษีชีไพรมาก่อนถึง ๑๕ ปีก่อนที่จะค่อยบวชเป็นพระ เมื่อบวชเป็นพระแล้วก็มักแสวงหาธรรมอันแปลก ๆ ด้วยการธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยุ่ตามป่าเขานั่นเอง
    และแล้วครั้งหนึ่งที่เมืองเชียงตุง….
    หลวงพ่อปานแห่งวัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านได้พาคณะศิษย์ท่องธุดงค์ในเขตป่าของเมืองแห่งนี้และได้มาปะทะหน้ากับชีปะขาวคำคะนิง หลวงพ่อปานเห็นสารรูปของคนผู้นี้แล้ว ถึงกับตะลึงเลยทีเดียว
    เพราะตอนนั้นหลวงปู่คำคะนิงมีผมยาวถึงเอว หนวดเครารกรุงรัง ห่มผ้าขาดวิ่น มองไม่ออกว่าเป็นสีอะไร
    หลวงพ่อปานท่านได้กล่าวขึ้นลอย ๆ ว่า ” เออ…นี่ พระหรือคนเนี่ย ”
    หลวงปู่คำคะนิงในเพศชีปะขาวได้ยินเกิดอยากลองภูมิกับหลวงพ่อปานดู จึงถามกลับออกไปว่า ” ไอ้พระนั่นมันอยู่ที่ไหนล่ะ ”
    ” ก็เห็นผมยาว เสื้อผ้าขาดปุปะมองไม่ออกว่าเป็นสีอะไร แล้วใครเขาจะรู้ล่ะว่าพระหรือคน ” หลวงพ่อปานโต้กลับ
    หลวงปู่คำคะนิงตั้งคำถามใหม่ ” พระมันอยู่ที่ผมหรือไง ”
    ” ไม่ใช่ ”
    ” พระมันอยู่ที่ผ้านุ่งหรือเปล่า ”
    ” ไม่ใช่ ”
    ” อ้าว แล้วพระมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ ” หลวงปู่คำคะนิงใช้คำถามจี้
    หลวงพ่อปานตอบฉับพลันทันที ” พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาด ”
    หลวงปู่คำคะนิงยิ้มเยาะก่อนบอกออกไป ” แล้วมาถามทำไมว่าพระหรือคน ”
    ” เห็นผมเผ้ายาวรุงรัง ใครจะไปรู้ว่าพระหรือคนกันแน่ ” หลวงพ่อปานก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
    ” พระบ้านพระเมือง พระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดี เห็นทีต้องเห็นดีกัน ”
    หลวงปู่คำคะนิงกล่าวเสร็จก็คว้าหวายยาวร่วมวาเห็นจะได้ ขว้างไปเบื้องหน้าหลวงพ่อปาน จากหวายมันก็กลายเป็นงูใหญ่ท่าทางดุร้ายเตรียมฉกกัด หลวงพ่อปานเห็นเช่นนั้น ท่านก็ทำจิตเป็นสมาธิแล้วหยิบใบไม้ขว้างขึ้นสู่อากาศ กลายเป็นนกอินทรีย์ขนาดใหญ่ โฉบเฉี่ยวเอางูขึ้นไปสะบัดฟัดเหวี่ยงบนอากาศอยู่พักใหญ่
    ในที่สุด งูก็พลัดตกลงดินกลายเป็นช้างตัวมหึมากำลังตกมัน ส่วนนกอินทรีย์ก็ถลาลงสู่พื้นดิน กลายเป็นเสือโคร่งใหญ่มีความดุร้ายไม่แพ้กัน สัตว์ทั้งสองชนิดเข้าโรมรันพันตูจนฝุ่นคลุ้งไปหมด แต่แล้วจู่ ๆ สัตว์ทั้งสองกลับสลายหายไป ฝ่ายหนึ่งกลายเป็นลูกไฟเข้าเผาผลาญ ในขณะที่อีกฝ่ายกลายเป็นพายุฝนเข้าแก้ทางกัน
    ทั้งหลวงพ่อปานและชีปะขาวคำคะนิงต่างหัวเราะด้วยความชอบใจในอิทธิอภิญญาของกันและกัน ต่างฝ่ายชมกันและกันและถ่อมตนใส่กัน แต่ศิษย์ของหลวงพ่อปานที่ร่วมธุดงค์มาด้วย รู้ดีว่าท่านทั้งสองต่างก็มีอภิญญาด้วยกันทั้งคู่….

    11214251_723851564393256_2787405888761974906_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...