เพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 17 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    การดับความโกรธ
    ถ้าเราไม่ฆ่าเขา เขาจะตายไหม ตาย! ไม่มีใครมันอยู่ค้ำฟ้าหรอก แล้วจะไปนั่งฆ่ามันให้มันเมื่อยมือทำไม ใช่ไหม มันไม่อยากทำให้ดีก็เป็นความเลวของมัน มันทำให้เราโกรธ แต่เราไม่โกรธ แล้วความโกรธมันเป็นของเลว แต่ใหม่ๆ ก็อดโกรธไม่ได้นะ
    เพราะฉะนั้นเราก็นิ่งเสีย บอกมันจะเลวก็เลวไปคนเดียว มันมาด่า เหวยๆ ๆ เราก็อดใจ มันโกรธเราก็อดใจ ช่างมันเถอะ! ทีนี้ถ้ามันเก่งจริงมันต้องด่าไม่เลิก ถ้ามันเลิกเมื่อไหร่ มันแพ้เราเมื่อนั้น ใช่ไหม อีตอนนี้ใหม่ๆ ก็ฝืนยากหน่อย แต่ฝืนบ่อยๆ น่ะ อารมณ์มันจะชิน
    ทีนี้การตัดความโกรธ พระพุทธเจ้าท่านให้ทรง “พรหมวิหาร ๔” พอตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าคิดว่าตั้งแต่เช้าจนกว่าจะหลับ เราจะไม่มีจิตคิดเป็นศัตรูกับใคร ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเป็นศัตรูกับเราก็ตาม เราจะไม่คิดตามนั้น เราจะถือว่าคนและสัตว์ทั้งหมดในโลกนี้ เป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเรา แต่ทว่าใจเราเป็นยังงั้น บังเอิญเขาเลว เราก็ต้องวางอุเบกขาพ่วงท้าย เฉย! ไม่คบหาสมาคม
    แต่ไม่ได้โกรธนะ ใช่ไหม ต้องถือตาม “มงคลหมวดที่หนึ่ง” ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    “อเสวนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง” ท่านบอกว่า
    จงอย่าคบคนพาล คือไม่คบคนชั่วหนึ่ง
    คบแต่บัณฑิตหนึ่ง
    จงบูชาบุคคลที่ควรบูชาหนึ่ง
    ทั้ง ๓ ประการ จัดว่าเป็นอุดมมงคล ใช่ไหม!
    ทีนี้ในเมื่อเรามี “พรหมวิหาร ๔” เราดีกับเขา แต่เขาเลวกับเรา เขาคิดเป็นศัตรูเรา เราไม่คบ เราแยกออกมา วางเฉยเสีย ด้วยตัวอุเบกขา ใช่ไหม
    ทีนี้ถ้าหากว่าจะถามว่า ถ้ายังงั้นไม่เป็นการถือตัวถือตนรึ! ไม่ใช่เราถือ ถ้าเขาดีเราก็คบ เพราะอะไร
    เพราะหากว่าเราขืนคบหาสมาคมกับคนเลว เราก็จะเลวไปด้วย ถึงแม้ว่าเราไม่เลว กลิ่นเลวมันก็ติด
    ท่านอุปมาไว้ในมงคลบอกว่า ถ้าเราเอาใบตองมาห่อของเน่า ไอ้ของเน่านี่มันไม่ซึมลงไปในเนื้อของใบตอง แต่ทว่ากลิ่นเหม็นมันจะติดใบตอง โยนของเน่าทิ้งไป เอาใบตองมาดมมันยังเหม็น ใช่ไหม!
    ถ้าเราคบหาสมาคมกับคนพาล เขากินเหล้า เราไม่กินเหล้า เขาสูบเฮโรอีน เราไม่สูบเฮโรอีน เขาลักเขาขโมย เราไม่ลักเราไม่ขโมย เขาไปข่มเหงชาวบ้าน เราไม่ไปแต่เราถือว่าเป็นเพื่อนกัน เราเดินด้วยกัน คนเขาเห็นเข้าเขาจะหาว่าเราเป็นคนชั่วเท่ากับคนนั้น อย่างกลิ่นติดที่ใบตอง ใช่ไหม!
    ทีนี้เราก็ต้องใช้วางอุเบกขา วางเฉยไว้ก่อน ในเมื่อเขาเลวเราไม่ใช่เกลียด แต่ว่าเราก็วางเฉย ยังไม่คบ คบไม่ได้เพราะเขายังเลวอยู่ ถ้าเขาดีเมื่อไหร่เราคบเมื่อนั้น.
    จากหนังสือ หลวงพ่อเล่าให้ฟัง เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๒๐ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    10590400_625191140925966_3423814574074091438_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    admin ในนามลูกศิษย์ของหลวงพ่อท่านคนหนึ่งขอขอบคุณลูกหลานหลวงพ่อฤาษีลิงดำทุกท่านที่ช่วยกันแชร์คำสอนของพ่อท่าน ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายนี้ถึงพระนิพพานในชาตินี้ ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏกับข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายนี้ตั้งแต่บันนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน ขอให้ทุกท่านจงบรรลุมรรผมตามที่ได้ตั้งใจใว้ นิพพานัง ปรมัง สุขัง สาธุ สาธุ สาธุ

    10906325_635255056586241_365196525243905258_n.jpg
    10882104_635255123252901_7560134596173126309_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ” ลูกรัก พ่อรักลูกทุกคน พ่อจำลูกของพ่อได้ทั้งหมด พ่อรู้ว่า
    เราตามกันมานานแสนนาน พ่อรู้จักผมทุกเส้นของลูก พ่อรู้นิสัย
    ของลูกทุกคน พ่อเตรียมทุกสิ่งไว้พร้อม เพื่อจะพาลูกของพ่อ
    กลับบ้าน พ่อรู้จักเส้นทางกลับบ้านดี และพ่อเตรียมเส้นทางไว้แล้ว
    เพียงแต่สังขารของพ่อ มันไม่อาจจะทรงตัวอยู่ได้จนถึงลูกคนสุดท้าย แต่พ่อก็เตรียมทุกอย่างไว้ให้ลูกหมดแล้ว ระหว่างที่ลูกยังไม่ถึงเวลาที่จะกลับบ้าน
    หากลูกคิดถึงกายสังขารของพ่อ ก็ไปหาพ่อ พ่อจะนอนรอลูกอยู่ที่วัดท่าซุง ธรรมใดที่องค์สมเด็จให้พ่อไว้ พ่อให้ลูกหมดแล้วปฏิปทาใดที่ชอบ และไม่เหลือวิสัยขอลูกจงทำ อีกไม่นานเราคง
    ได้พบกันบนพระนิพพาน
    พ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน สังขารของพ่อมันพังไปแล้วมันทน
    ไม่ไหว ยังรออะไรอยู่ลูก กลับบ้านกันได้แล้ว พ่อรอลูกคนสุดท้าย
    อยู่นะ อย่ามัวหลงเดินเล่นวิ่งเล่นกันอยู่เดี๋ยวจะมืด พ่อก็ไม่อยู่
    หนทางข้างหน้าลูกจะจำไม่ได้ มันจะหลงทางนะลูก กลับบ้านกันเถอะ ”

    (พระราชพรหมยานเถระ)

    10308127_643693119075768_4761285650955386976_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เรื่อง พรหมวิหาร4 ต้องมี

    “พรหมวิหาร ๔ ก็คือ
    ๑. มีความรัก รักในคน รักในสัตว์ เสมอด้วยตัวเรา
    ๒. สงสาร เห็นคนและสัตว์มีความสงสาร เสมอด้วยสงสารตัวเราเอง
    ๓. มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษาใคร เห็นใครได้ดีพลอยยินดีด้วยและปฏิบัติดีตามเขา
    ๔. เห็นใครเพลี่ยงพล้ำมีความทุกข์ไม่ซ้ำเติม จิตพร้อมจะช่วยอยู่เสมอถ้ามีโอกาส นี่ลักษณะของพรหมวิหาร ๔ มี ๔ อย่างแบบนี้ ได้บอกไว้แล้วว่า คนที่จะให้ทานได้ต้องมีพรหมวิหาร ๔ เมื่อพรหมวิหาร ๔ มีแล้ว ศีลก็มีได้ เมตตา ความรักก็มี กรุณา ความสงสารก็มี จิตอ่อนโยนก็มี อุเบกขาวางเฉยก็มี เฉยเพราะอะไร อย่างสัตว์เดินมา พอที่จะฆ่าได้ เราก็ไม่ฆ่า ปล่อยไป จัดเป็นอภัยทาน เห็นของพอที่จะขโมยได้เราก็ไม่ขโมย อุเบกขาก็เฉย เห็นคนที่น่ารักพอที่จะยื้อแย่งความรักเขาได้ เราก็ไม่ทำเฉย คนพอที่จะโกหกได้ เราก็ไม่โกหก เฉย หรือว่าดื่มสุราเมรัยมันล่ออยู่ข้าง ๆ หน้า เราก็ไม่ดื่ม เฉย อย่างนี้ก็ได้ หรือมีความรักเสียอย่างหนึ่ง ฆ่าเขาไม่ได้ ทรมานเขาไม่ได้มีความรักเสียอย่างหนึ่ง คดโกงเขาก็ไม่ได้ ขโมยเขาก็ไม่ได้ มันทำไม่ได้มี ความรักเสียอย่างหนึ่ง แย่งความรักเขาก็ไม่ได้ มีความรักเสียอย่างหนึ่งโกหกมดเท็จก็ไม่ได้ โธ่…คนรักกันจะโกหกกันอย่างไร นี่ลักษณะของคนที่มีพรหมวิหาร ๔ ดีอย่างนี้

    ฉะนั้นการรักษาศีลก็เป็นการรักษาไม่ยาก ถ้ามีพรหมวิหาร ๔ แล้ว ศีลไม่ยากเลยอยู่กับตัวแน่นอน”

    คำสอน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง

    11002617_654771744634572_2341505373942439665_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    “..มันมีปัจจุบันอย่างเดียว ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
    ความรู้สึกของเรามันมีคำว่าเดี๋ยวนี้เป็นปรกติ
    ถ้าเดี๋ยวนี้ของเราดีเสียแล้ว เวลาไหนที่มันจะชั่วมันไม่มี..”
    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
    ที่มา สอนอานาปานุสสติกรรมฐาน ๑๒

    10646826_689216104523469_5804570077079679440_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อานิสงส์การบวชชีพราหมณ์
    เรื่องการบวชชีนี้มีบางคนก็รักษาศีล ๘ ห่มผ้าขาว โกนหัว บางคนก็ไม่โกนหัวเพียงแต่นุ่งขาว ห่มขาว รักษาศีล ๘ เหมือนกัน อย่างนี้เป็นที่นิยมกันมากเรียกว่า “ชีพราหมณ์” เรื่องนี้จึงมีผู้หญิงคนหนึ่ง กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า
    ผู้ถาม : “ลูกได้บวชชีพราหมณ์มา ๗ ครั้ง ๆ ละ ๓ วัน พระท่านเทศน์ว่าการบวชชีพราหมณ์จะได้อานิสงส์มาก อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า อานิสงส์จะได้สักประมาณเท่าไรเจ้าคะ…?”
    หลวงพ่อ : บวชชีพราหมณ์ บวชชีพุทธ บวชชีเจ๊ก ก็เหมือนกันแหละ มันอยู่ที่เรารักษาศีลบริสุทธิ์ไหม…เขาให้ชื่อว่า บวชชีพราหมณ์ ก็หมายความว่าไม่ต้องโกนหัว ศัพท์นี้ท่านวิริยังค์ท่านตั้งขึ้น ไม่ผิดอะไรหรอก คือว่าในอันดับแรก เรารักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ รักษาได้ดีขนาดไหน…ถ้ารักษาได้ดี ถือว่าเป็นผู้ทรง สีลานุสสติกรรมฐาน ได้เป็นอันดับหนึ่ง
    และประการที่ ๒ ขณะที่บวชชีพราหมณ์ เราสามารถ ระงับนิวรณ์ ไหวไหม…เรากังวลใจมากหรือเปล่า…บางขณะไม่กวนใจเลย ขณะนั้นเป็นปฐมฌาน และหลังจากนั้นมีปีติ มีความเอิบอิ่มก็เป็นทุติยฌาน คือฌาน ๒
    ต่อไปถ้าจิตสงัดดีมาก เวลาภาวนาอยู่ได้ยินเสียงภายนอกเบา จิตทรงอารมณ์ดี เวลานั้นเป็นฌานที่ ๓ ต่อไปไม่รู้ลมหายใจเข้าออก จิตโพรงสว่างเป็นฌานที่ ๔ แบบนี้เป็นฌานสมาบัติ
    เวลาที่บวชชีพราหมณ์ บวชมาแล้วกี่ครั้งก็ตาม ถ้าจิตสามารถทรงอารมณ์ได้ ๓ ประการ คือ
    ๑.เห็นว่าร่างกายจะต้องตาย
    ๒.เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
    ๓.ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์
    และแถมอีกนิดหนึ่ง “มีนิพพานเป็นอารมณ์” อย่างนี้เขาเรียก “พระโสดาบัน”
    ผู้ถาม : “อย่างนี้ถ้าไม่ไปวัด จะบวชที่บ้านได้ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ : “ได้”
    ผู้ถาม : “ไม่ต้องนุ่งขาว ห่มขาว หรือครับ…?”
    หลวงพ่อ : “นุ่งเขียวได้ ใส่แดงได้ คือว่ามันอยู่ที่การรักษาศีลเป็นอันดับแรกนะ รักษาศีลก็ได้อานิสงส์ของศีล
    ๑.สีเลนะ สุคติง ยันติ เรามีศีล ใจเราก็เป็นสุขในปัจจุบัน ตายแล้วเราก็เป็นสุข
    ๒.สีเลนะ โภคสัมปทา ถ้ามีศีลแล้วทรัพย์มันไม่เปลือง
    ๓.สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลทำให้อารมณ์สงบ คือดับจากกิเลสชั่วคราวนะ
    นี่อานิสงส์ของศีลนะ แล้วมีสมาธิไหมล่ะ…?
    ถ้ามีสมาธิ ตัดอารมณ์นิวรณ์ได้ ก็มีอานิสงส์สูงขึ้นไป ถ้าเป็นฌานสมาบัติก็เป็นขั้นของพรหม ถ้าหากว่าเรามีจิตนิยมการตัดสังโยชน์ เป็นพระอริยเจ้าเป็นขั้นๆ อยู่วัดก็ได้ ถ้าไปอยู่วัดออกมาด่ามากกว่าเก่าก็ลงนรก”
    ผู้ถาม : “เพิ่ม ๒ เท่าหรือครับ…?”
    หลวงพ่อ : “หลายเท่า มีโยมคนหนึ่งแกไปประชุมพุทธสมาคมที่วัด เสร็จแล้วแกยังไม่กลับ แกบอกว่าเคยเข้ากุฏิกับเขา เขาเข้ากัน ๑ เดือน แกเข้า ๑๓ เดือน กลับออกมาแกบอกว่ากิเลสมากขึ้นกว่าเดิม ถามว่าทำไมล่ะ…แกบอกกลุ้ม
    แต่นี่อยู่ที่ใจนะ คือว่าจะบวชที่บ้านหรือที่วัดก็ได้ ถือการรักษาศีลดีกว่านะ ถ้าที่บ้านรักษาแค่ศีล ๕ ก็พอ เมื่อมีศีล ๕ แล้วก็ทรงสมาธิ สมาธิก็อย่าเคี่ยวเข็ญให้มันมาก เอาแค่จิตสบาย ข้อสำคัญ สังโยชน์ ๓ ละให้ได้”
    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๘๒ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    10422911_689218034523276_3271631232572446996_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ควรหันหน้าพระบูชาไปทางทิศไหน
    ผู้ถาม : หลวงพ่อค่ะ ถ้าเรามีพระไว้บูชาควรจะหันหน้าไปทางทิศไหนค่ะ….?
    หลวงพ่อ : ” พระบูชา ที่นิยมกัน เขาหันหน้าไปทาง ทิศตะวันออก ถ้าหันหน้าไปทาง ทิศใต้ กับ ทิศตะวันตก สตางค์ไม่เหลือใช้ ลองดูก็ได้ ”
    ผู้ถาม : เป็นเพราะเหตุใดค่ะ….?
    หลวงพ่อ : ” อันนี้ฉันไม่รู้ละ รู้แต่ว่าสมัยหลวงพ่อปาน ถ้าลูกศิษย์ท่านหันหน้าพระพุทธรูปไปทาง ทิศตะวันตก หรือ ทิศใต้ ท่านบอกว่าควรหันไปทาง ทิศตะวันออก หรือ ทิศเหนือ ”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    __________________________________________
    จากหนังสือ หลวงพ่อ ตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๑ หน้า ๔ โดยหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง ) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    จัดทำโดยเจ้าหน้าที่ธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง ๖๑๐๐๐ โทร (๐๕๖) ๕๐๒ ๕๐๗ มือถือ ๐๘๔ ๖๑๖๙๑๖๔

    11390112_704757682969311_2991928043218634489_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ผู้ที่บนแล้วจำไม่ได้
    เมื่อวันวิสาขบูชาที่ผ่านมานี้ (๘ พ.ค. ๓๓) หลวงพ่อได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ท่านได้เตือนผู้ที่เคยบนไว้แต่ลืมแก้บน และจำไม่ได้ว่าบนอะไรไว้บ้าง ต่อมามีผู้มาถามกันมากว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร หลวงพ่อท่านได้แนะนำไว้ว่า ให้จัดแก้บนดังนี้
    ๑. บายศรีปากชาม ๗ ชั้น (ยอดเสียบด้วยไข่ต้ม)
    ๒. ข้าวปากหม้อ (ใส่ในกรวยยอดบายศรี)
    ๓. ไก่ต้ม ๑ ตัว
    ๔. หัวหมู ๑ หัว
    ท่านให้ปูผ้าขาวตั้งเครื่องสังเวยเหล่านี้บนโต๊ะกลางแจ้ง จุดธูปเทียนอธิษฐานว่า
    “ขอให้ท่านผู้มีพระคุณได้โปรดรับเครื่องสังเวยที่ข้าพเจ้าได้เคยบนไว้ และขอให้อดโทษแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานั
    _________________________________________________
    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้า ๔๑ – ๔๓
    โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ..,รวบรวมโดย..พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต จัดทำโดยคณะธัมมวิโมกข์วัดท่าซุง อุทัยธานี .สมัครสมาชิกนิตยสารธัมมวิโมกข์รายปี ราย ๖ เดือนส่งฟรี (๑ปี ๑๒ เล่ม = ๓๖๐ บาท, ๖เดือน ๖ เล่ม = ๑๘๐ บาท)ส่งตั๋วแลกเงินหรือธนาณัติ สั่งจ่าย ปท.อุทัยธานี ในนาม พระครู ภาวนาธรรมนิเทศก์(อาจินต์ ธัมมจิตโต) สำนักงานธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี ๖๑๐๐๐
    โทร..(๐๕๖) ๕๐๒ ๕๐๗ .., ๐๘๔ ๖๑๖ ๙๑๖๔

    11425200_704759306302482_678692059393401154_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ปฏิปทาของพระโสดาบัน ตอนที่ ๑ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ” ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับคืนนี้ ก็เป็นคืน วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๒๖ แต่ว่ามองดูเวลา ถ้าทางราชการเขาจะถือว่าเป็นวันที่ ๑๐ แล้ว

    แต่ว่าทางพระ ก็ยังถือว่าเป็นวันที่ ๙ เพราะยังไม่ได้อรุณดูวันเวลา มันสว่างใกล้จะสว่างเข้ามาทีละน้อยๆ ร่างกายมันไม่อยากจะหลับ อาการทางร่างกายมันเครียดจริงมา ๔ วันเศษ ใกล้จะถึงวันเกิด ก็ดูเหมือนว่าพอจะใกล้จะถึงวันตาย จะเกิดหรือจะตายก็ช่าง

    มองดูเวลา ๓ นาฬิกาเศษๆ ก็ช่างปะไร เรื่องของร่างกายใจเราไม่เกี่ยว ร่างกายอยากจะหลับก็เชิญหลับ ไม่อยากจะหลับก็แล้วไป มันอยากจะกินก็เชิญมัน มันไม่อยากจะกินก็ช่างมันก็หมดเรื่อง เราตอนนี้ก็ไปนั่งมองดูเวลา มันใกล้จะสว่างนี่
    เมื่อตอนก่อนๆ ทุกท่านก็ได้ศึกษาอริยสัจ เฉพาะเรื่องของทุกข์ แล้วก็ศึกษา บารมี ๑๐ ตอนนั้นเขาถือว่าเป็นการเตรียมตัวเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า มาวันนี้เราก็มาฝึกกันเพื่อความเป็นพระอริยเจ้ากัน

    สำหรับการฝึกเป็นพระอริยเจ้านี่ บรรดาเพื่อนภิกษุ สามเณรทั้งหลาย จงอย่าหลงตนว่าเป็นพระอริยเจ้าแล้ว และก็จงอย่าเข้าใจว่าตนเป็นพระอริยเจ้า
    การจะเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่เป็นไม่สำคัญ เอาแต่เพียงว่าท่านมีปฏิปทาแบบไหน เรานำปฏิปทาแบบท่านมาใช้ก็หมดเรื่องใจเราจะได้เป็นสุข อย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นคนตกนรกยาก หรือว่าดีไม่ดีเราก็เกิดไม่อยากตกเสียเลยก็ยังได้ นรกน่ะ
    นิพพานจะไปได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่ความตายเข้ามาถึง ถ้ายังไม่ตายเราก็ยังไม่ควรพูดกันว่า เราจะไปนิพพานในชาตินี้ แต่เราก็พร้อมเตรียมตัวเพื่อจะไปในชาตินี้อยู่เสมอ ถ้าชาตินี้ไปไม่ได้ ชาติหน้าก็ไปได้ ชาติหน้าไปไม่ได้ ชาติต่อไปก็ไปได้ เป็นอันว่าเราสร้างความสุขใจไว้ก่อนดีกว่า

    การฝึกฝนตนคล้ายคลึงพระอริยเจ้า จะเป็นหรือไม่เป็นอย่าเข้าไปยุ่ง อย่าไปนึกว่า เวลานี้เราเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ถ้าไปนึกอย่างนั้นเข้า ถ้าไม่เป็นจริงๆ จะยุ่งใหญ่

    เพราะว่า..พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า

    “ความอิ่ม ความเต็มจงอย่ามี จงเป็นผู้ไม่มีความอิ่ม ความเต็มในตบะ เป็นเครื่องเผาผลาญกิเลส”

    ทีนี้เรามาศึกษาเรื่องความเป็นพระโสดาบันกัน พระโสดาบันท่านเป็นกันอย่างไร บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายเคยมาบอกว่าไปถามพระท่านแล้ว พระท่านบอกว่า พระโสดาบันน่ะเป็นยากแสนยาก แล้วญาติโยมทำไมไม่ถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ พระพุทธเจ้าดูบ้าง

    พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยบอกเลยว่าพระโสดาบันเป็นยาก พระโสดาบันตามปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ไว้เป็นง่ายจริงๆ ง่ายมาก คือถ้าเราจะตำน้ำพริกสักครก ถ้าเป็นแม่ครัว เป็นพระโสดาบันง่ายกว่าตำน้ำพริกหนึ่งครก เพราะตำน้ำพริกจิ้มหนึ่งครกนี่ ถ้ามือไม่ดี ปรุงไม่ดีจริง รสมันไม่อร่อย แต่พระโสดาบันนี่ไม่ต้องเปลี่ยนรส ใครจะเป็นพระโสดาบันก็รสเดียวเหมือนกันหมด

    รสที่จะเป็นพระโสดาบันได้มี ๓ รส รสอาหารน่ะ หรือจะเป็นรถขับขี่ก็ตามใจ คือ:-
    ๑. รสสักกายทิฏฐิ
    ๒. รสวิจิกิจฉา
    ๓. รสสีลัพพตปรามาส
    มีเท่านี้เอง พระโสดาบันมีเท่านี้ แล้วพระสกิทาคามีก็มีเท่านี้ แต่ละเอียดกว่ากันนิด

    ตอนนี้จะพูดเรื่องพระโสดาบันเสียก่อน พระโสดาบันก็ลองคิดดูว่าถ้าเป็นยากจริงๆ ท่านวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านเป็นเด็กอายุ ๗ ปี ท่านฟังเทศน์จบเดียว ท่านก็เป็นพระโสดาบัน

    ทีนี้ตามแบบท่านเขียนบอกว่า คนที่จะเป็นพระโสดาบันได้ ต้องตัด สักกายทิฏฐิ ได้เด็ดขาด คือมีความรู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเราความจริงแบบท่านเขียนไปไม่ผิด แต่ว่าท่านผู้ร้อยกรองเข้าใจผิด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอารมณ์นี้เป็นอารมณ์พระอรหันต์ไม่ใช่อารมณ์พระโสดาบัน

    อารมณ์พระโสดาบันมีความรู้สึกตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มีสมาธิเล็กน้อย และมีปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์อารมณ์พระโสดาบันมีความรู้สึกแต่เพียงว่า ร่างกายนี้จะต้องตามแล้วก็ยังไม่ถึงกับรังเกียจร่างกาย ถ้ารังเกียจร่างกายนี่เป็นอารมณ์พระอนาคามี

    ตัวอย่างจะเห็นได้ชัดอย่างกับท่าน วิสาขามหาอุบาสิกา ท่านเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ ๗ ปี พออายุ ๑๖ ปี ท่านเป็นสาวท่านก็แต่งงาน นี่ถ้ารังเกียจร่างกายจริง ๆ จะแต่งงานทำไมเมื่อแต่งงานแล้วก็ไม่ได้แต่งกับตุ๊กตา ท่านแต่งกับคน ท่านก็มีลูกผู้ชายถึง ๑๐ คน ลูกผู้หญิง ๑๐ คน ท่านมีลูกของท่านจริง ๆ ๒๐ คน ก็ลองคิดดูว่า ถ้าคนรังเกียจร่างกายมีลูกตั้ง ๒๐ คน ได้ไหมหรือว่าจะมีลูกสัก ๑ คนได้ไหม ในเมื่อเรามีความรู้สึกว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่สนใจกับร่างกายเลย ถ้าไม่สนใจกับร่างกายเลยนี้ ใครเขาแต่งงานกันบ้าง ก็เป็นอันว่า เข้าใจว่าพระโสดาบันมีอารมณ์ไม่สูง ยังมีความรักร่างกายเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ร่างกายตนเองก็รัก ร่างกายคนอื่นก็รัก แล้วก็ไม่ใช่รักเฉย ๆ รักวิ่งกระโดดเข้าเป็นคู่ครองกันเสียเลย

    อย่าง ภรรยาของท่านพรานกุกกุฏมิตร เป็นลูกมหาเศรษฐีเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่อายุ ๗ ปี เหมือนกัน เห็นพรานที่เป็นเนื้อคู่เก่าในชาติก่อน ทนไม่ไหว เดินไปดักหน้าทางเกวียนเขา ไม่ได้ตาม ดักเลย นี่อารมณ์พระโสดาบันก็เหมือนคนธรรมดา แต่ไม่มีโทษทางศีล

    ตอนนี้ก็มาคุยกันเล่นๆ ถ้าหากว่าท่านคิดจะฝึกตามแบบฉบับทรงอารมณ์ของพระโสดาบัน ทำแบบสบายๆ อย่ารุกรานกำลังใจ ถ้ารุกรานกำลังใจเป็น อัตตกิลมถานุโยค อย่าลืมนะจะไม่มีผลในทางปฏิบัติ ถ้าจิตใจอยากได้เกินไปเป็น กามสุขัลลิกานุโยค จิตฟุ้งซ่าน ตกในลักษณะของนิวรณ์ ทำใจให้เป็นสุขเอาแค่

    ๑. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย

    ๒. ถ้าชีวิตจะต้องตาย ก่อนจะตายจะต้องเอาที่พึ่งให้ได้แน่นอน คือยอมรับนับถือความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยอมรับพระธรรม ยอมรับพระอริยสงฆ์ ทั้ง ๓ ไตรสรณคมน์นี้ จะไม่ยอมปรามาส จะไม่ยอมดูถูก ดูหมิ่น ไม่เหยียดหยาม แล้วก็

    ๓. จะทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ สำหรับฆราวาส
    ภิกษุ สามเณร จำเป็นอย่างยิ่ง ภิกษุทรงศีล ๒๒๗ สิกขาบทที่เป็นทุกกฎและอภิสมาจาร อาจจะละเมิดบ้างเป็นของธรรมดา แต่ตั้งแต่ปาราชิก ๔ ถึง ปาจิตตีย์ ควรจะยับยั้ง อย่าให้ละเมิด และอาจจะพลาดพลั้งไปได้ ถึงไม่มีเจตนาก็ได้

    สามเณรศีล ๑๐ ไม่พอ ต้องมีเสขิยวัตรอีก ๗๕ ไม่ยังงั้นความเป็นเณรไม่มี ที่วัดนี้ที่ไม่ต้องการรับเณรก็เพราะเหตุนี้แหละ หลายวัดบอกว่าเณรก็คือเด็ก เด็กก็คือเณร ถ้าอย่างนั้นจะบวชให้ทำไม มันลงนรก จะไปแนะนำให้เด็กลงนรกมันมีประโยชน์อะไร

    ตอนนี้เราก็มาคุยกันเล่นๆ แต่ว่าทำจริงๆ มันก็มีผลจริงๆ นะ สมมุติว่า สักกายทิฏฐิ เรามีความเข้าใจว่าชีวิตนี้ต้องตาย แต่ความตายนี่มีจริง แต่ว่าท่านญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง และเพื่อนภิกษุสามเณร แต่คนมักจะมองเห็นคนอื่นตาย แต่ก็ไม่ได้มองดูความตายของตัวเอง อันนี้มีเป็นปกติ

    อย่างนี้มีเป็นปกติธรรมดาๆ แล้วเราทำไมถึงจะไม่ลืมความตายล่ะ เรามานั่งคุยกัน เราคุยกันแบบธรรมดาๆ ของคนปัญญาโง่ๆ อย่างพวกเรา อย่าลืมว่าเวลานี้กำลังพูดตามสายแนวของ อุทุมพริกสูตร ในแนวของพระพุทธเจ้า

    ผมยอมรับนับถือองค์เดียว ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียว คนอื่นจะมายุ่งกับผมไม่ได้ ใครจะประกาศตนเป็นพระอรหันต์ แล้วพูดแหวกแนวสวนทางกับพระพุทธเจ้า ผมจะไม่ยอมรับฟังเด็ดขาด ผมฟังแล้ว ผมก็โยนทิ้งลงส้วมไป แต่ว่าผมเลิกวิธีขากถุยเสียแล้วนี่

    เมื่อสมัยผมเป็นเด็กๆ ผมไม่ชอบใจ ผมขากถุยเลย เวลานี้ผมแก่แล้ว ผมขากไม่ไหว ถุยไม่ไหว แต่ก็จะยอมทิ้งส้วมไป อรหันต์ประเภทเดินสวนทางกับพระพุทธเจ้าน่ะ ผมไม่ยอมรับนับถือ ผมถือว่าคนนั้นเป็นเปรต หรือเป็นสัตว์นรกของพระพุทธศาสนา ตามคติของเราคิดอย่างนั้น เขาจะเป็นอรหันต์ของเขาก็ช่างปะไร
    ที่คุยกันนี่เราคุยกันตามแนว อุทุมพริกสูตร อย่าลืมว่า อุทุมพริกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่เขาเข้าถึง กระพี้ นั่นคือ ระลึกชาติได้ ที่เรียกกันตามภาษาบาลีว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

    หากเราคิดว่าเราจะลืมความรู้สึกว่าเราตาย ก็ใช้กำลังปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติ ถอยหลังลงไปว่า เราเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ ลองนับทีแรกสัก ๑๐ ชาติ เป็นอะไรบ้าง ถ้าคล่องตัวดี คราวนี้ไม่ต้องนับแล้ว ปั๊บเดียวเคยเกิดเป็นอย่างนั้นไหม เคยเกิดเป็นอย่างนี้ไหม ภาพจะเกิดทันทีทันใด อันนี้จะต้องฝึกฝน

    ผมถือว่าทุกองค์ฝึกฝนได้แล้วเพราะครูสอนไว้แล้ว นี่ทำไมเราจะทำไม่ได้ ถ้าทุกท่านทิ้งความดี ผมก็เสียใจ ไม่ใช่เสียใจอย่างที่ชาวบ้านเขาเสียใจ เสียใจนิดหนึ่งว่าความดีมันน้อยสำหรับท่านไป ท่านทั้งหลายนิยมความชั่วที่ผมไม่รู้จะทำยังไงได้

    เป็นอันว่าความดีท่านมีไว้ก็แล้วกัน เขาสอนแล้ว วัดนี้ก่อนที่จะเข้ามานี่เขาสอนกันแล้ว ก่อนที่จะบวชก็สอนแล้ว ทำได้หรือไม่ได้ ทรงได้หรือทรงไม่ได้เป็นความดีความชั่วของท่าน เราก็ใช้กำลังปุพเพนิวาสานุสสติญาณดูชาติต่างๆ เกิดเป็นคนบ้าง เกิดเป็นสัตว์บ้าง มันก็ตายทุกชาติ มีฐานะดีขนาดไหนก็ตาย มีอำนาจวาสนาดีขนาดไหนก็ตาย ยากจนเข็ญใจขนาดไหนก็ตาย เป็นเพศหญิงเพศชายก็ตาย เป็นภิกษุสามเณรก็ตาย

    เป็นคนหรือสัตว์ตายยังไม่พอ ถอยหลังไปดูความเป็นเทวดาหรือพรหม ทุกคนที่นั่งฟังอยู่นี่ผมขอยืนยัน ถ้าทุกท่านจะใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เวลานี้ท่านจะได้ทราบว่าตัวของท่านเองน่ะ เคยเป็นเทวดา หรือพรหมมาแล้ว นับชาติไม่ถ้วน เอ้า! ใครแน่ใจก็ลองดู เมื่อเป็นมาแล้ว ดูสิมันเป็นเท่าไรมันถึงต้องจุติ ความจริงสภาพของโลกนี่ไม่มีอะไรดีเลย มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลกไม่ดี ไม่มีการทรงตัว มนุษย์เรียกว่า ตาย เทวดาหรือพรหมเรียกว่า จุติ มันก็ตัวตายเหมือนกัน นั่นแหละตัวไป

    คำว่า “ตาย” ในพุทธศาสนามีศัพท์ว่า มรณัง แต่คนตายจริงๆ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า กาลังกัตวา แต่ในอุทุมพริกสูตร ท่านเรียกว่า จุติ เหมือนกัน เคลื่อนหมด ไม่ใช่ตาย มันเคลื่อนไป อยู่ที่นี่ไม่ได้ก็ไปอยู่ที่โน่น เป็นมนุษย์ไม่ได้ก็ไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นสัตว์นรกไป

    นี่รวมความว่าถอยหลังไปจริงๆ เราก็จะเบื่อการเกิด แล้วก็จะมั่นใจจริงๆ ว่าชาตินี้มันตาย ตายถ้าพลาดท่าพลาดทาง หันเข้าไปดูอีกสองอัน วิจิกิจฉา กับ สีลัพพตปรามาส

    บางชาติมีความเคารพในพระไตรสรณคมน์ดี ตายปุ๊บปั๊บไปสวรรค์ ไปเป็นพรหม
    บางชาติมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ ตายปุ๊บปั๊บไปเป็นเทวดา ไปเป็นพรหม แล้วก็จุติจากเทวดา พรหมมาเป็นคน มีความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด รูปร่างหน้าตาก็สะสวยบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน มีแต่ความสุข

    บางชาติมีความปรามาสในพระไตรสรณคมน์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือปรามาสในพระธรรม ปรามาสในพระอริยสงฆ์ พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ไว้อย่างนี้ ยักย้ายถ่ายเทไปเทศน์อย่างโน้น ถือมติของตนเองเป็นสำคัญ

    อย่าง พระกบิล ตายจากความเป็นพระลงอเวจีมหานรก น่ากลัวว่าจะเทศน์ว่าเทวดาไม่มี เทวดาไม่มีความสำคัญ อะไรตามนั้น นี่ตามมติของท่านนะ แต่ในเมื่อพระอรหันต์ทั้งหลายตักเตือน ท่านก็โกรธ แล้วแม่กับน้องสาวก็พาลโกรธด้วย ช่วยกันด่าพระ คือว่าด่าพระที่ตักเตือน เมื่อตายแล้วพากันไปอเวจีทั้ง ๓ คน พระกบิลก็ไปอเวจี แม่กับน้องสาวก็ไปอเวจี

    นี่การปรามาสพระรัตนตรัย ดัดแปลงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้มติลัทธิของตนเข้าสอนแทน ตายแล้วก็ต้องไปอบายภูมิอย่างนี้ บางชาติของเราละเมิดศีลก็ลงนรกเช่นเดียวกัน…”

    (((ติดตามตอนที่ ๒ ปฏิปทาของพระโสดาบัน )))

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    ____________________________________
    จากหนังสือ ทางสายสู่พระนิพพาน โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ. อุทัยธานี

    11351481_704868102958269_5444734078034405257_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ” การที่จะหนีนรกให้ครบทุกชาติ ไม่ยอมตกนรกอีกเลย ไม่ว่าจะเกิดชาติไหนทั้งหมด และจะเกิดอีกกี่ชาติก็ตาม ไม่ยอมลงนรกแน่นอน ส่วนบาปเก่า ๆ ที่ทำมาแล้ว ก็ไม่มีอำนาจที่จะดึงลงนรกได้อีก ต้องเพิ่ม ศีล ๕ และกรรมบท ๑๐ ให้ครบถ้วนในอารมณ์ใจ และปฏิบัติได้ครบบริบูรณ์ ”
    วิธีปฏิบัติศีล ๕ และกรรมบท ๑๐ แบบง่าย ๆ
    ” ท่านที่มีอาชีพหนักมีเวลาน้อย จะไปนั่งรักษาศีลและกรรมบท ที่วัดที่ว่า หรือไปจำศีลภาวนานาน ๆ ที่ไหนนั้นไม่ได้แน่ เพราะท้องมันหิว ต้องหากินเป็นประจำวัน ให้ทำอย่างนี้ คือตั้งใจว่า ”
    ” เราจะรักษาศีลและประพฤติกรรมบท ๑๐ ให้ครบถ้วนบริบูรณ์
    วันละ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ ชั่วโมงจะเอาเวลาเท่าไหร่ เมื่อไร
    จัดเวลาเอาเอง แล้วก็ตั้งใจรักษาตามเวลานั้นให้เคร่งครัด
    ทำอย่างนี้ไม่เกิน ๓ เดือน อารมณ์จิตจะชินจะรักษาศีล ๕ ประพฤติในกรรมบท ๑๐ ได้ครบถ้วน ตลอดเวลา ”
    ” อย่างนี้มีผลไม่ลงนรกทุกชาติ จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน ”
    ” มีหลายท่านมาบอกว่า การรักษาศีลหรือกรรมบท ๑๐ นั้นอยากทำแต่โอกาสไม่มี เพราะทำนาทำไรต้องใช้ยาฆ่าแมลง ”
    ” อย่างนี้ก็เห็นใจ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันปฏิบัติตามทุกอย่างที่กล่าวมาแล้วในอนุสสติให้ครบถ้วน เวลาที่ไม่ฉีดยาฆ่าแมลง ก็ขอให้ทรงศีล ๕ กรรมบท ๑๐ ให้ครบเป็นประจำ วันใดที่มีความจำเป็นต้องฆ่าแมลงก็ต้องทำเพราะไม่ทำท้องมันหิว ทางอื่นก็ไม่มีทางเลือก แต่เมื่อไปฉีดยากลับมาแล้วรีบสมาทานศีลทันที
    คำว่าทันทีก็คือ รอให้หายเหนื่อยสบายใจเสียก่อน
    แล้วบูชาพระ ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่เราทำประจำวัน
    ให้แก่แมลงที่ต้องตายเพราะยาฉีด
    และกล่าวคำขออโหสิกรรมแก่แมลงทั้งหลายที่ต้องตายนั้น
    ขอให้อดโทษแก่ตนจนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน ”
    ” เมื่อทำบุญอะไรก็ตาม หรือบูชาพระ ทำกรรมฐานเสร้จ ให้อุทิศให้เธอทุกครั้งที่ทำบุญ และขอให้แมลงเหล่านั้นอดโทษให้ ทำอย่างนี้เป็นประจำกำลังใจจะเบา คิดไว้เสมอว่า เธออภัยให้เราแล้วจิตจะเป็นสุข
    เมื่อถึงวาระที่จะตายใจจะไม่มีอกุศลรบกวน
    อำนาจพระพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ
    ผลของศีล และ กรรมบท และผลของทาน จะเข้าครอบงำจิตท่านก่อนตายเพราะผลของความดีที่ท่านทำทุกวัน จะกีดกันอารมณ์ที่เป็นบาปให้ห่างออกไปเมื่อตายจะไม่พบนรกแน่นอน ”
    ” ถ้ามีอารมณ์หวังเพื่อพระนิพพานเป็นปกติประจำวัน
    เมื่อพบพระศรีอาริยเมตไตรตรัสเมื่อไร เราเป็นเทวดาหรือพรหม ได้ฟังเทศน์จบเดียวอย่างนี้ก็เป็นพระโสดาบันตัดกำลังบาปได้หมดแล้ว ”
    ” แต่ทว่า คนที่มีอนุสสติและทานเป็นประจำมีศีล( ๕ )และกรรมบท (๑๐ ) เป็นปกติ พร่องบ้างตามความจำเป็นอย่างนี้ตามที่ปรากฎมาในพระสูตร เมื่อไปเป็นเทวดาหรือพรหม ฟังเทศน์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบเดียวเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานกันหมด ”
    เรื่องการหนีบาป ขอจบชั่วคราวเพียงเท่านี้……
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    ______________________________________
    จาก หนังสือหนีนรก หน้า ๙๘ – ๑๐๐ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ. อุทัยธานี

    22504_704968396281573_5377955176968001510_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    1f33c.png โอวาทธรรม หลวงพ่อพระราชพรหมยาน 1f33c.png
    คนที่เป็นพระโสดาบันนี่จะสร้างบาปอกุศลมาแล้วสักเท่าไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าทุกคนไม่สามารถลงอบายภูมิได้ (ขณะที่ตายนะ ฮื่อ เคยลงมาบ่อยๆ ลงไม่ได้น่าเสียดายไหม เสียดายนะ ตายลงไปอีกที เอ้า) หรือว่าบาปอกุศลมากเท่าไหร่ก็ตามจะไม่สามารถดึงลงอบายภูมิได้ ทั้งนี้เพราะอะไร พอลงไปนรกขุมไหนไฟขุมนั้นดับ เขาเลยกีดกันไม่ให้ลง ก็มีทางเดียวเดินเข้าไปหานิพพาน จึงขอย้ำอีกทีว่าคนที่เป็นพระโสดาบันจริงๆ น่ะ เขาทรงคุณธรรม จิตเขาทรงแบบนี้คือ
    ๑. เคารพพระพุทธเจ้าจริง
    ๒. เคารพในพระธรรมจริง เชื่อพระธรรม
    ๓. เคารพพระอริยสงฆ์จริง อย่าลืมนะท่านใช้ศัพท์ว่า พระอริยสงฆ์ ไม่ใช่คนห่มผ้าเหลืองแล้วจะเป็นทุกคน ต้องเป็นพระอริยเจ้าแล้วก็
    ๔. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ๕. จิตต้องการจุดเดียวคือนิพพาน เพียงแค่นี้ท่านเรียกว่าพระโสดาบัน เป็นของไม่ยาก ถ้าทุกคนสามารถทรงอารมณ์เป็นพระโสดาบันได้ ก็ขอยืนยันว่าถ้าตายจากชาตินี้จากความเป็นคน ถ้าไปนิพพานไม่ได้ทันทีทันใด จะไม่ตกอบายภูมิ
    ที่มา: รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม๙

    11393062_704989686279444_8759355705301538772_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ” ก่อนจะเลิกกรรมฐาน พระท่านบอกว่าคนที่มีความจำเป็นในการทำบาป ปาณาติบาต มีอยู่ ท่านบอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เพื่อความสบายใจทำก็ทำเพื่ออาชีพ แต่ว่าเมื่อเวลาบูชาพระก็ดีทำบุญก็ดี ให้อุทิศส่วนกุศลให้แก่สัตว์ที่เราฆ่า ขอให้ อโหสิกรรม ท่านบอกใจจะได้สบาย มีอารมณ์สบาย ทำทุกวันเลยนะ
    ทุกครั้งก่อนจะหลับบูชาพระนึกถึงพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้แก่สัตว์ที่เราฆ่า หรือไข่ที่เราทุบก็ตาม
    ว่าขอทุกท่านจงมาโมทนา และจงมีความสุข ความเจริญตามความประสงค์ แล้วก็ขออโหสิกรรมตั้งแต่วันนี้จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน
    ก็ถามท่านว่า ถ้าทำแบบนี้คนไม่ทำกันใหญ่หรือ ท่านบอกว่า เขาก็ทำกันอยู่แล้ว
    ก็ทำให้ใจสบายขึ้น ไม่ช้าจิตก็เป็นสุข จิตเริ่มเป็นสุขเพราะคิดว่าเราชำระหนี้แล้ว อารมณ์ห่วงอกุศลเรื่องนี้มันไม่มีเมื่ออารมณ์ห่วงอกุศลตัวนี้ไม่มี เวลาเราจะตาย อกุศลตัวนี้เข้ามาไม่ทัน กุศลเข้าก่อนพอพ้นทุกข์ไปได้.”
    *** หมายเหตุ ท่านคือ พระ ,สมเด็จองค์ใดองค์หนึ่งครับ โดยปรกติแล้วหลวงพ่อท่านจะถาม สมเด็จองค์ปฐม สมเด็จองค์ปัจจุบัน และสมเด็จพระพุทธกัสสป ***
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    _________________________________________
    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๓ หน้าที่ ๘ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธา

    11141725_705312569580489_3918547810538465478_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ” บางท่านอาจจะมีความสงสัยว่า ทำไมการนอนก็ดี การนั่งก็ดี การยืนก็ดี การเดินก็ดี ทำไมมันจึงเป็นประโยชน์แก่การเจริญสมาธิ คำว่าสมาธิได้แก่การตั้งใจ หรืการนึกขึ้นไว้ได้ ไอ้การตั้งใจหรือที่เรียกว่าการทรงตัวนั้นเอง ทรงจิตไว้ในอาการที่เราทรงอยู่
    รู้การเดิน
    เวลาเราเดิน เรารู้ว่าเดิน
    เราก้าวเท้าซ้าย รู้ว่าก้าวเท้าซ้าย
    ก้าวเท้าขวา รู้ว่าก้าวเท้าขวา
    ก้าวเท้าสั้นหรือยาว ก็รู้ว่าก้าวเท้าสั้นหรือยาว
    จะเดินไปข้างหน้า ก็รู้ว่าเดินไปข้างหน้า
    จะถอยมาข้างหลัง ก็รู้ว่าถอยมาข้างหลัง
    นี่ไปๆมาๆ ไปเล่นเอาสัมปชัญญะเข้ามาบวกอีกแล้ว เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วให้ทำสติทรงจิตไว้ว่าเราควรจะรู้ว่าเวลานี้เราอยู่ในสภาพเช่นไร และการเดินการยืนการนอนการนั่งเรามีเป็นปกติ แต่ทว่าจิตของเราลืมคิดท่านเคยคิดบ้างหรือเปล่า
    ขณะที่เดินอยู่ท่านมีความรู้สึกว่าเวลานี้เราเดิน ท่านเคยคิดบ้างไหม หรือว่าเรานั่งอยู่เรามีความรู้สึกว่าเวลานี้เรานั่ง หรือนอนหรือเดินหรือยืนก็เหมือนกัน
    ส่วนมากไม่ค่อยสนใจกัน
    โดยมากเราไม่ได้เอาจิตเข้าไปคิดในเรื่องนี้เป็นสำคัญ เราทำความรู้สึกอยู่อย่างเดียวนั่นคือ เราจะนั่งเพื่อทำธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่าเราจะยืนเพื่อทำธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง เราเดินเพื่อไปธุระที่ไหน เรานอนเพื่อพักผ่อนร่างกาย ความรู้สึกมันรู้สึกตอนปลายไม่ใช่ตอนต้น ไม่ใช่รู้ว่าเรายืนเราเดินเรานอน เรารู้สึกเอาตอนธุระที่เราจะพึงทำ
    อันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นว่าอารมณ์อย่างนี้ของท่านหรือบรรดาพวกเราทั้งหลายยังหยาบอยู่องค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ทรงแนะนำให้ใช้เวลายืน เวลาเดิน เวลานอน เวลานั่ง ให้ทำความรู้สึกไว้ด้วยว่าเวลานี้เราทำอะไรนี่เป็นจุดแรก ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ก็ชื่อว่าอารมณ์ฝึกการทำสมาธิในลักษณะแห่งการเคลื่อนไหวของทางร่างกาย.”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    ___________________________________________
    จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๒๐ หน้าที่ ๘๙ โดย…หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง อุทัยธานี

    11407116_705440002901079_4091923197149117244_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    สมเด็จพระพุทธกัสสปบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..ทรงสอนวิธีหนีนรก ไปเกิดบนสวรรค์ พรหม และพระนิพพานแบบง่าย ๆ…
    วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๕
    สมเด็จพระพุทธกัสสป พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทรงสอนวิธีหนี อบายภูมิอย่างง่าย
    “” ลูกหลานที่รักทั้งหลาย วันนี้ลูกหลานคงแปลกใจ เพราะว่ามีทั้งการบวงสรวง การชุมนุมเทวดา แล้วมีการตั้งนะโม แต่ความจริงเรื่องการบวงสรวง การชุมนุมเทวดา การตั้งนะโมนี่ ของฉันมีเป็นปกติ แต่บางขณะที่ต้องการจะทำอะไร ฉันจะตั้งของฉันในใจ เอาจิตน้อมถึงบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย และมีพระพรหมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าและพระอริยะสาวกเป็นสำคัญ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของฉันนะ…….”
    ” ฉันจับอารมณ์วิปัสสนาญาณ ชำระใจพอสบาย เมื่อชำระใจพอสบายแล้วก็ไปจุฬามณีเจดีย์สถาน วันนี้ไปเฝ้าพบ พระพุทธกัสสป ท่านประจำอยู่ที่นั่น
    มีพระอรหันต์เต็มไปหมด ฉันก็ยกมือไหว้ตั้งแต่หน้าพระจุฬามณี
    ขึ้นไปพอเข้าไปกราบ ๆ ท่าน ท่านก็ท้วงว่า
    ” คุณ เมื่อวานที่คุณบันทึกเสียง บอกถึงความดีของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาลูกหลานทั้งหลาย ที่เขาทำกันว่าแต่ละคนมีวิมาน นี่คุณยังพูดไม่ครบถ้วนนะ วันพรุ่งนี้
    คือวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๕ คุณต้องย้อนพูดใหม่น่ะ เวลาจะพูอะไรก็พูดให้มันครบซี ทำอะไรก็ทำให้มันพอดี ๆ อย่าให้มันขาดตกบกพร่อง คุณไม่ต้องไปเกรงใครในเมื่อ เราพูดตามความเป็นจริง “…..
    ” …..ที่นี้ฉันก็สงสัยว่าบริษัทของฉันไม่ใช่พระอริยะเจ้าหมดทุกคน….ฉันคิดว่าสมมติว่าบริษัทของฉัน ลูกหลานของฉันยังเป็นปุถุชน คนธรรมดาอยู่ ถ้าหากว่าเขามีวิมานแล้ว ในอันดับกามาวจรสวรรค์ก็ดี อันดับพรหมโลกก็ดี เลยไปก็ดี ที่เลยไปนะเมืองมหาเศรษฐี สมมติว่าคนทุกคนเกิดมาแล้วไม่ทำความชั่วไม่มีความผิดมันไม่มี ความชั่วที่ท่านเรียกว่าบาป การผิดศีลมันย่อมปรากฎ อย่างนี้ย่อมจะมีกับคนทุกคน ตรงนี้ฉันห่วงมาก ห่วงมากเพราะเกรงว่าจะพลัดที่อยู่
    จึงกราบทูลถาม สมเด็จพระบรมครูว่า
    ” ภันเต ภควา ข้าแด่องค์สมเด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยที่องค์พระจอมไตรทรงชี้แจงให้ข้าพระพุทธเจ้า ทราบว่า ลูกหลานของข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนมีวิมาน ๗ ประการก็ดี วิมานอยู่พรหมก็ดี วิมานอยู่นิพพานก็ตาม แต่คนทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า แต่ใครจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ สมมติว่าเขายังไม่เป็นพระอริยเจ้ากันทุกคน คนทุกคนย่อมมีความผิด ย่อมตกอยู่ในความชั่ว เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องบีบบังคับ ถ้าบังเอิญว่าเขามีจิตชั่ว วาจาชั่วในบางขณะ แล้วตอนกลางวันเขาชั่ว ตอนกลางคืนเขาชั่ว แล้วอย่างนี้เขาไม่ไปตกนรกก่อน หรือพระพุทธเจ้าข้า ”
    เมื่อกราบทูลถามท่าน ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ ตรัสว่า
    ” สัมพเกษี วิธีป้องกันนะ การยึดเหนี่ยว สถานที่หรือบุญกุศลที่ได้แล้ว มันเป็นของไม่ยาก พวกเธอจะเรียนกันมากไปนะ เวลาที่เธอเทศน์ก็เทศน์มากไป สอนชาวบ้านก็สอนมากไป แต่การสอนมากก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของคน ก็เป็นของธรรมดานะสัมพเกษีนะ แม้แต่ ตถาคตเองก็เหมือนกัน ต้องสอนถึง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทั้งนี้ก็เพราะอัธยาศัย ของคนไม่เหมือนกัน คนกลุ่มนี้พูดอย่างนี้รู้เรื่อง คนกลุ่มโน้นพูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง ต้องพูดกันใหม่ เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเข้าไว้นะ บอกว่าตถาคตบอกว่าอย่างนี้
    ” ให้ลูกหลานของเธอทุกคน หรือบริษัทของเธอทุกคน ตั้งใจไว้อย่างฉันพูดนะ การไปสวรรค์ก็ดี การไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดีเป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยาก อย่างที่นักปราชญ์โลกเขาพูดกัน เวลานี้เวลานี้นักปราชญ์ทั้งหลาย นิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูก ถ้าตามคติของฉัน ฉันว่าไม่ถูกต้อง เพราะสอนคนหรือพูด ให้คนเข้าใจง่ายนั่นดี และก็วิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ให้ง่ายที่สุดนั่นแหละดี เรียกว่าทำง่ายที่สุดได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการที่สอนให้มันยากที่สุดแล้วได้น้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน สัมพเกษี เตือนบริษัท และลูกหลานของเธอว่า ”
    ” ให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีวิมาน อยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจร เวลาที่เขาจะทำความชั่วอะไรมาก็ช่างเถิด เวลาก่อนนอนให้นึกถึง ความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลาย ปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดี แล้วเอาใจนี่จับไว้ว่านี่เรามี วิมานแก้ว ๗ ประการไว้บนสวรรค์ ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราจะตาย เราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธรูปก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้สิ่งก่อสร้างก็ได้อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วก็ตั้งใจว่า เราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีแล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามวจรทันที ”
    ” พวกที่จะไปพรหมโลก ก็เป็นของไม่ยากนะ สัมพเกษี บอกเขานะว่าคนที่ต้องการไปพรหมโลกน่ะ คืนหนึ่งให้สร้างความดี ๑๐ นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว เอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง ๑๐ นาที ให้รูลมหายใจเข้าหายใจออก เท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วเป็นพรหมแน่ ”
    ” ที่นี่คนไหนคนไหนต้องการ จะไปพระนิพพานเป็นของไม่ยาก สัมพเกษี ให้เขาคิดเห็นว่าโลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร ไม่ชอบอะไรในโลกนี้แม้แต่ร่างกายของเราเองเราไม่ชอบไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือ ไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดเวลาหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่าโลกนี้ทั้งโลก หาความดีไม่ได้ แล้วก็หันมาคิดถึงกายของตัวเองว่า กายของเรานี้มันยังจะตาย ยังจะพัง เรายังจะปรารถนา อะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปพระนิพพาน เขาคิดเท่านี้น่ะเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะ สัมพเกษี ลูกหลานของเธอทุกคน พ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไป กามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหม อย่างดีก็ไปพระนิพพาน ”
    นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ ลูกหลานที่รักทุกคนได้ยินหรือยัง ถ้าได้ยินละก็จำไว้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้ เป็นการสั่งสอนแบบง่ายๆ นี่เป็นความดีของพระ ของเทวดา ของพรหมนะ ลูกหลานจงจำไว้นะ…..
    …ลูกหลานเข้าใจแล้วใช่ไหม จำไว้นะ ทำตามที่พระท่านสั่งนะ ทำแบบสบาย ๆ อย่าลืมนะ
    ” เวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องไปนึกถึงอะไรนึกถึงวิมานบนสวรรค์ นึกถึงวิมานบนพรหม นึกถึงพระนิพพาน อย่างใดอย่่างหนึ่งก็ตามใจ ไม่ว่าอะไรหรอก ไม่ว่าอะไรหรอก แล้วทุกสิ่งทุกอย่างสิ่งที่เป็นสถานที่อยู่ก็ดี จะเป็นเหตุมีทรัพย์สินมาก หรือทิพย์สมบัติมากก็ดี สิ่งที่เป็นตาทิพย์ หูทิพย์ก็ดีฉันเอาเงินของลูก ของหลานมาสร้างไว้ครบแล้ว นะ ”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    _____________________________________________
    จากหนังสือประวัติหลวงพ่อปานโดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า ๑๖๕ – ๑๖๗ วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    ((ในภาพคือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ที่วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร วัดท่าซุง ค่ะ ))

    11390069_705441529567593_1559643025348483080_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ให้ทรงความดีไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม
    อันดับแรก หนึ่งมีความกตัญญูรู้คุณ เพราะคนที่มีความกตัญญูรู้คุณ ใครเขาสงเคราะห์เคารพคนนั้น ปฏิบัติตามคนนั้น ตามคำแนะนำของเขา ทุกคนจะมีเสน่ห์ เป็นที่รักของคนทั้งหมด ไปไหนไม่อดตาย จะพบแต่ความยิ้มแย้ม แจ่มใส
    ประการที่ 2 ให้เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สำหรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติ ครั้งแรกก็คือ กรรมบถ 10
    1 มีเมตตาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์ หรือคน
    2 ไม่ลักไม่ขโมยของใคร
    3 ไม่แย่งความรักของคนอื่น (นี่ทางกาย)
    ทางวาจามี 4 คือ
    ไม่พูดปด ไม่พูดคำไม่จริง, ไม่พูดวาจาหยาบ, ไม่ยุยงให้เขาแตกร้าวกัน, ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์
    ทางด้านจิตใจ
    ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติคนอื่น โดยไม่ชอบธรรม แล้วก็ไม่คิดประทุษร้ายใคร สร้างความเห็นถูกตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    แล้วเวลาที่ต้องการให้จิตเป็นทิพย์ ต้องการจะไปไหน โลกอื่นก็ตาม ให้พยายามระงับอารมณ์ชั่ว 5 ประการ
    1 ความสวยสดงดงามของโลก ถือว่ามันไม่ใช่ของจริง
    2 อารมณ์ไม่พอใจโกรธคนอื่น
    3 ความง่วง
    4 อารมณ์ฟุ้งเกินไป จับภาพพระไม่มั่นคง แจ่มใส
    5 สงสัยอารมณ์ที่เกิดขึ้น
    เพียงเท่านี้ ถ้าเธอปฏิบัติได้อย่างนี้เป็นปกติ เธอสามารถจะไปไหนก็ได้ ถ้าไม่แน่ใจ จะไปไหนได้ ก็นึกถึงฉัน ฉันจะช่วยทันที
    จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 16 ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง หน้าที่ 11

    11401166_705735092871570_508146747938512005_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เรื่อง พระจุฬามณีเจดีย์สถาน

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อนได้นำท่านพุทธบริษัทมาปล่อยไว้ที่จุฬามณีเจดีย์สถาน หวังว่าพุทธบริษัททั้งหลายคงจะนั่งคอยอาตมาจนครบ ๗ วัน ถ้าวันนี้มีเสียกรอกๆ แทรกละก็ขออภัยด้วย เมื่อวันก่อนนี้เสียงขาดไปนิดหนึ่งกำลังนั่งบันทึกเสียง เกิดมีคนเขามารายงานเข้ามาในระหว่าง ความจริงมันผิดระเบียบไม่รู้ว่าเขาทำยังไงของเขาก็เลยต้องหยุดไปนิดหนึ่ง

    สำหรับวันนี้มาว่ากันใหม่ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทนั่งอยู่ที่เชิงบันไดพระจุฬามณีเจดีย์สถาน คงจะได้เห็นบรรดา?และพระเจ้าทั้งหลายพากันมานมัสการพระจุฬามณีกันแล้วกระมัง เพราะมันผ่านวันพระมาแล้ว จะได้ดูหรือไม่ได้ดูก็ช่าง วันนี้ เราขึ้นกันไปบนพระจุฬามณี ขึ้นไปบนเชิงพระจุฬามณีรองๆ บริเวณ ข้างล่างจะประดับประดาไปด้วยมณี ๗ ประการพื้นที่เหยียบอยู่ กำแพงทุกด้านของพระจุฬามณีเป็นทองคำ องค์พระจุฬามณีเป็นแก้ว ๗ ประการ ตามตำนานท่านกล่าวว่าพระจุฬามณีมีประตูสำหรับเข้าถึง ๑,๐๐๐ ประตู ความจริงจะมีเพียงใดไม่ต้องสนใจ จะสนใจไปทำไม ทีนี้ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องราวต่างๆ จะอธิบายอะไรก็ตามควรที่พุทธบริษัทจะเดินชมเสียก่อน ที่พระจุฬามณีนี่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเวชยันต์วิมาน หรือว่าเป็นวิมานของพระอินทร์ ทีนี้เราเดินเข้าไปอีกหน่อย ขอโทษไม่ใช่ทิศเหนือ เป็นทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน เดินเข้าไปทางด้านทิศตะวันตก ใต้ลงไปนิด เราจะเห็นสวนสำคัญเป็นที่รื่นรมย์ ที่เที่ยวของเทวดา มีความสุขมาก คล้ายๆ กับสวนสามพราน แต่ความจริงที่นั่นมีต้นไม้เต็มไปด้วยแก้วระยิบระยับเต็มไปหมด มีทั้งไม่ดอกไม้ผลไม้ใบอย่างดี สวนนี้มีนามว่านันทวันและก็ทางด้านทิศตะวันตกของเวชยันต์วิมานอันนี้มีสวนดอกไม้โดยเฉพาะเรียงรายระยิบระยับเป็นแก้วแพรวพราย เรียกว่าสวนจิตรลดาวัน ที่นี้ออกไปทางด้านเหนือของเวชยันต์วิมาน มีสวนอีกสวนหนึ่งเรียกว่าสวนมิสกวัน นี่มีต้นไม้สวยเหมือนกัน แล้วก็ทางด้านทิศใต้มีสวนอีกสวนหนึ่งเรียกว่าสวนปารุสกวัน ที่รัฐบาลให้นามวังหนึ่งว่าวังปารุสก็เห็นจะเอานามชื่อนี้มาใช้ แล้วอีกจุดหนึ่งที่สำคับ ก็คือพระจุฬามณีเจดีย์สถานที่เรายืนอยู่ที่นี่ และจากพระจุฬามณีเจดีย์สถานไปทางทิศตะวันตก อันนั้นเหนือสวนนันทวันนิดหน่อยเขตติดๆ กันกับพระจุฬามณีเจดีย์สถาน นั่นคือเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีเป็นสวนใหญ่มีกำแพงล้อมรอบ ๔ ด้าน อยู่ทางด้านตะวันออกของเวชยันต์วิมาน แล้วตรงกลางมีแท่นแก้ว ที่เรียกว่าแท่นแก้วมณีคือแก้วอะไร บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ หมายความว่าเป็นแก้วกัมพลมีสีแดง เป็นที่ประทับของพระอินทร์มีบริเวณกว้างมาก แก้วนี้มีสภาพคล้ายๆ กับเก้าอี้สปริง แท่นแก้วนะ มีสภาพคล้ายๆ เก้าอี้ของพระอินทร์แล้วก็ต่อแต่นั้นไปทางด้านทิศใต้ มีศาลาอยู่หลังหนึ่งเป็นที่ประชุมของเทวดา เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงล้อมรอบมีที่ระรื่นมีที่สำหรับพระอินทร์ประทับ อันนี้มีนามวาศาลาสุธรรมา เป็นที่ประชุมของเทวดา แล้วมาทางด้านทิศใต้ข้างหน้าของเวชยันต์วิมาน คือว่าใกล้ๆ กับจิตรลดาวัน-สวนลดาวันน่ะนะ มีสระอันหนึ่งเขาเรียกกันว่าสระโบกขรณี นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวชยันต์วิมานเป็นวิมาน ๙ ยอด มีแก้ว ๗ ประการเป็นวัตถุสำหรับทำวิมาน แล้วก็เป็นวิมานที่สูงใหญ่มาก ท่านบอกว่ามีถึง ๑,๐๐๐ ชั้น มีนางฟ้าเป็นบริวารของพระอินทร์อยู่ในวิมานนั้นถึงแสนคน แหมมากเหลือเกิน แล้วก็รอบๆ เวชยันต์วิมาน มีวิมานสวยๆ ล้อมรอบอยู่ถึง ๓๒ วิมาน แล้ววิมานทั้งหลายเหล่านี้ อะไรเป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานทั้งหลายที่กล่าวมา อันนี้ ก็จะขอยับยั้งไว้ก่อน นี่บอกให้ฟังว่ามีอะไรกันบ้าง คือจากพระจุฬามณีมาไล่กันง่ายๆ มีสวนนันทวันอยู่ทางทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน สวนจิตรลดาวันอยู่ทางตะวันตกของเวชยันต์วิมาน แล้วก็มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เป็นพระแท่นแก้วสำคัญ เป็นสวนเหมือนกัน อยู่ทางด้านทิศตะวันออกแต่ว่าติดกับพระจุฬามณีมาก ตะวันออกของเวชยันต์วิมานนะ แล้วก็มีธรรมเทวสภาเรียกว่า เทวสภา กับศาลาสุธรรมาประดับประดา คือทำด้วยแก้ว ๗ ประการมีพระแท่นแก้ว ๗ ประการ สำหรับพระอินทร์ประทับแสดงธรรม แล้วก็มีสระโบกขรณีอยู่ทางด้านทิศใต้ของเวชยันต์วิมาน ติดกันกับสวนจิตรลดาวัน นี่ ของที่น่าเที่ยวนี่ชมมีอย่างนี้นะ พูดมาแล้วแค่นี้ขอถอยหลังกลับไปถอยหลังกลับไปอีกนิด ไปหาพระจุฬามณี ตามที่กล่าวมาแล้วว่าพระจุฬามณีทำด้วยแก้ว ๗ ประการ อันนี้เป็นที่บรรจุพระจุฬามณี คือผมของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ เวลาที่ออกบวช ตัดผมเมื่อไหร่ พระอินทร์เอาผอบทองไปรับมาเมื่อนั้น แล้วก็เป็นที่บรรจุของพระเขี้ยวแก้ว ถึงเวลาวันพระ บรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายพากันเข้ามานมัสการอย่างคับคั่ง ท่านที่ได้อภิญญาหรือมโนมยิทธิ สำหรับมนุษย์ที่ได้ฌานก็พากันมาถวายนมัสการพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เมื่อเข้าไปที่นั่นแล้ว ถ้าตาดีนะ ถ้ามีญาณพิเศษดีจะเห็นว่ามีพระอยู่องค์หนึ่ง สวยสดงดงามมาก มีรัศมีพวยพุ่งออกจากพระวรกายแสดงธรรมเป็นประจำ แต่ทว่า ถ้าคนตาไม่ดี สมาธิไม่ดีก็เห็นเป็นพระพุทธรูปไป บางคนไม่เห็นพระทอง แต่ปาไปเห็นเป็นพระพุทธรูปขนาดไหนล่ะ ขนาดทำด้วยอิฐทางสีขาว นี่เป็นเรื่องราวของที่นี่ แล้วก็พระจุฬามณีก็เหมือนกัน บางคนก็เห็นเป็นปูนบ้าง บางคนก็เห็นเป็นสีทองบ้าน อันนี้เรียกว่าสมาธิดีไม่พอ ถ้าสมาธิดี จิตสะอาดดีจะเห็นเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งองค์ อันนี้ขอเลยไป

    ตานี้ เรามาว่าถึงเรื่องอะไร อ๋อ จะเลยไปเสียก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวจะมีคนถามว่าพระจุฬามณีเจดีย์สถานนี่น่ะ บรรจุพระเขี้ยวแก้วกับพระเมาลี คือผมของพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ ก็ขอตอบว่าบรรจุทุกพระองค์ ถ้าถามว่าสร้างขึ้นมาเมื่อไร ใครเป็นคนสร้างอีตรงนี้ไม่ต้องตอบ ทำไมจึงไม่ต้องตอบ? ก็เพราะว่าตอบไม่ได้ ไม่รู้ว่าสร้างเมื่อไหร่ใครเป็นคนสร้าง บนสวรรค์นี้ไม่มีนายช่างสร้างของในเมืองมนุษย์เป็นตึกเป็นรามก็ตาม บนเทวดานี่เขาไม่สร้างกัน เกิดขึ้นจากอำนาจบุญ เป็นบุญของใคร? เป็นบุญของพระพุทธเจ้าองค์แรก แล้วพระพุทธเจ้าองค์แรกมีพระนามว่ายังไง? ไม่ตอบ ทำไมจึงไม่ตอบก็ของบอกว่าเกิดไม่ทัน ถ้าจะถามว่าตำรับตำราไม่มีรึ ก็ตอบว่าตำรานี่ซีทำยุ่ง เพราะเรียงชื่อพระพุทธเจ้าไม่เป็นไปตามลำดับ ในที่แห่งนี้เรียงแบบนี้ ที่แห่งโน้นเรียงแบบโน้น เป็นอันว่าเอาแน่นอนไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกคือใคร พูดไปก็เป็นเรื่องเถียงกัน ไม่ม่ประโยชน์ เอาละ เที่ยวกันลัดๆ ออกจากพระจุฬามณีเจดีย์สถานเรามาแวะบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์กันก่อน

    ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้ มีบริเวณล้อมรอบไปด้วยกำแพงแก้ว ๗ ประการ พื้นก็เป็นแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้ว เป็นศิลานะ ศิลาอาสน์ อาสนะทำด้วยศิลา ใหญ่มาก แล้วก็รอบๆ นั้น ทางด้านทิศใต้และทิศเหนือก็มีสวนสวย บริเวณกว้าง อันนี้เกิดด้วยอำนาจบุญบารมีของพระอินทร์กับเพื่อนที่พากันปลูกต้นทองหลางเข้าไว้ แล้วก็เอาหินมาวางเป็นแท่นไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ พระอินทร์องค์นี้ก็คือมาฆะมานพในสมัยนั้นปลูกเข้าไว้เพื่อตั้งใจว่าคนทั้งหลายที่เดินไปเดินมาระหว่างทางเป็นระยะทางไกล มีความร้อนจะได้นั่งพักให้สบาย ต้นทองหลางบันดาลให้เกิดความเย็น แล้วก็แท่นที่วางไว้เป็นแท่นหินจะได้นั่งพักให้สบาย หายเมื่อยหายขบแล้วก็เดินต่อไป เวลาที่ท่านตายจากมนุษย์ อานิสงส์ที่ท่านปลูกต้นทองหลาง กลายมาเป็นต้นปาริชาต มีกลิ่นหอมมากเวลาที่มีดอกผุดขึ้นมาพื้นที่วางเรียงรายอยู่รอบต้นทองหลาง กลายมาเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ นี่พูดถึงอานิสงส์ให้ฟัง ว่าการทำบุญน่ะไม่เสียเปล่า เวลาตายแล้วจะได้รู้ ว่าอะไรมันดีไม่ดี แล้วมาอีกที่หนึ่งมาเวชยันต์วิมาน เวชยันต์วิมานนี่เป็นวิมานใหญ่มาก เป็นที่ประทับของพระอินทร์แล้วก็มีวิมานรอบๆ เวชยันต์วิมานอีก ๓๒ หลัง รวมทั้งเวชยันต์วิมานเป็น ๓๓ หลังด้วยกัน วิมาน ๓๓ หลังนี้เกิดด้วยอำนาจอะไร? ก็เพราะว่าในสมัยนั้น ท่านมาฆะมานพกับพวกอีก ๓๒ คนรวมเป็น ๓๓ คนด้วยกัน เห็นว่าการสร้างต้นไม้ไห้เป็นที่พักมีความสบายจริงแล แต่ทว่าสบายไม่พอ สร้างศาลา คนเดินไปเดินมานี่ เขาจะได้พัก เขาจะได้นอนสบาย ก็เลยร่วมมือร่วมใจกันสร้างศาลาขึ้นเต็มหลัง เวลานั้น ก็มีนายช่างอีกคนหนึ่ง มีช้างตัวหนึ่งที่พระราชาให้เป็นพาหนะ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เป็นที่พักของคนเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ คนก็ได้พักพาอาศัย เพราะอานิสงส์แห่งการสร้างศาลาเป็นสาธารณประโยชน์ คณะของท่านพากันตายหมด (คงไม่ใช่ตายพร้อมกัน) ท่านมาฆะมานพตายขึ้นมาเป็นพระอินทร์ มีเวชยันต์วิมานตั้งอยู่กลางเพื่อน เพื่อนอีก ๓๒ คนขึ้นมาเป็นเทวดา มีวิมานล้อมรอบเวชยันต์วิมานคนละหลังๆ แทนที่จะเข้าไปอยู่ยัดเยียดกันหลังเดียว ๓๓ คน เปล่า เมืองเทวดานี่ให้กำไรมาก สร้าง ๑ หลัง ๓๓ คน เมื่อตายไปเป็นเทวดาแล้วก็ได้ ๓๓ หลัง แล้วสำหรับนายช่าง วัฒกีคือนายช่าง ก็มาเกิดเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร มีวิมานอีกหลังหนึ่ง สำหรับช้างที่ช่วยเป็นพาหนะบรรทุกไม้ ลากไม้ เป็นเครื่องทุนแรง ก็มาเกิดเป็นเทวดามีนามว่าเอราวัณเทพบุตร นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังแล้วก็จำอานิสงส์ไว้ จะได้เป็นประโยชน์ว่าการทำความดีน่ะไม่เสียผล ไม่ใช่ทำบุญสูญเปล่า ไหว้เจ้าดีกว่า กลับมาได้กิน

    ตานี้นอกจากเวชยันต์วิมานแล้ว เหลียวไปดูอะไรข้างหน้า ทางด้านทิศใต้ ข้างหน้านั้น เราจะพบสระโบกขรณี นี่เรามองข้างสวนจิตรลดาวันไปเสียหน่อยหนึ่งก่อน ข้ามไปตั้งใจข้ามนะ ไม่ใช่ลืม มองข้ามสวนจิตรลดาวันไปเห็นสระโบกขรณี เป็นสระใหญ่มาก มีท่าเป็นที่ลงมากมาย น้ำในสระก็แพรวพราวใสสะอาด มองแล้วคล้ายๆ กับแก้วต้องแสงอาทิตย์แลดูระยิบระยับ สระนี้เกิดขึ้นได้จากผลอะไร จะขอพูดให้ฟังอย่างย่อๆ คือเกิดขึ้นจากอำนาจของท่าน ๓๓ คนนั่นแหละ มีมาฆะมานพเป็นประธาน พากันสร้างศาลาแล้วมาคิดว่า คนเรามานั่งที่ศาลา เดินมาร้อน ต้องการน้ำ ปลูกต้นไม้ยังไม่พอ ทำแท่นนั่งสบายไม่พอ ทำศาลา ทำศาลาแล้วก็มาคิดต่อไปว่าคนที่มาพักศาลานี่เขาเดินร้อน เขาก็ต้องการน้ำ จะอาบน้ำอาบท่า จะกินน้ำก็ตามใจ จะได้เกิดความสบายให้มากขึ้น ท่านก็พากันปลูกสระ ขุดสระ พูดผิดไป สระนี่มันปลูกไม่ได้ หลวงตาแก่นี่อดเพ้อไม่ได้ พากันขดสระขึ้นให้เป็นที่อาศัยของบรรดาประชาชน ขุดแล้วมีตาน้ำ น้ำใสขึ้นมา คนที่มาพักที่ศาลาก็ได้อาบได้กินมีความสุข ฉะนั้น เมื่อเวลาที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตายขึ้นมาเป็นเทวดา สระในเมืองมนุษย์ก็ตามมา แต่เป็นสระที่ใหญ่กว่า มีน้ำใสสะอาดกว่ามีความสุขสวยสดงดงามกว่า เป็นที่สบายของบรรดาเทวดาและนางฟ้าทั้งหลายชอบเล่นน้ำในสระนี้ นี่ว่ากันถึงเรื่องราวของผู้ชาย ทีนี้ ว่ากันถึงเรื่องราวของผู้หญิงบ้าง ท่านมาฆะมานพในสมัยที่เป็นมนุษย์มีเมีย ๔ คน ความจริงท่านก็ทำถูกแล้วนี่นา ๔ ทิศ หรือว่าธาตุ ๔ มีเมียอยู่ ๔ คน คนต้นชื่อว่านางสุธรรมา คนรองชื่อว่าสุจิตรา คนรองมาอีกคนชื่อสุนันทา และคนสุดท้ายชื่อว่าสุชาดา เวลาที่ท่านทำบุญ อาศัยที่ท่านมีเมียมาก เมียคงจะทะเลาะกันมาก น่ากลัวนะ อดไม่ได้ ท่านคงจะรำคาญผู้หญิง เบื่อผู้หญิง คิดว่าต่อแต่นี้ไปเราทำบุญอะไรก็ตาม ไม่ให้ผู้หญิงร่วม เราจะไม่ขอร่วมกับผู้หญิงต่อไปเพราะสร้างความรำคาญไม่หยุดหย่อน ก็ปาไปมีเมียตั้ง ๔ คน แต่เพียงคนเดียวก็รำคาญหูทนไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว นี่ล่อเข้าตั้ง ๔ คนมันก็ยุ่งน่ะซี ในเมื่อท่านไม่ให้ทำ ท่านเมียใหญ่เขาฉลาด เมื่อนายช่างทำศาลายังทำไม่เสร็จดี ไปจ้างนายช่าง ๑ พันบาท บอกว่าทำช่อฟ้าให้ฉันทีเถอะ ไอ้ศาลานี่มันต้องใช้ช่อฟ้ามันจึงจะสวย ฉันให้แก ๑ พันบาท นายช่างก็ทำให้บอกว่าทำให้พอเหมาะกับศาลานะ แล้วสลักชื่อไว้ว่าศาลาสุธรรมา เอาเข้าแล้ว มาแล้วผู้ชายมักอดเสียท่าผู้หญิงไม่ได้ สลักชื่อไว้ว่าศาลาสุธรรมา นายช่างก็ทำให้ แล้วก็บอกว่าต่อไปสร้างศาลาเสร็จ ถ้าพวกผู้ชายเขาต้องการช่อฟ้าละก็แกอย่าทำให้นะ มาเอาช่อฟ้าของฉันนี่ไปใส่ จำไว้ให้ดี ฉันให้เงินพิเศษ ๑ พันกหาปณะ เงินนี่มันเข้าใครออกใครที่ไหน มาเจอะกันเข้ามันก็เป็นแบบนี้ นายช่างทำแล้วก็ปิดปากเงียบ เมื่อทำศาลาเสร็จบรรดามาฆะมานพกับเพื่อนฝูงก็จะทำช่อฟ้า นายช่างบอกทำไม่ได้ไม้มันสด ช่อฟ้าต้องมีไม้แห้งๆ ทำ ถ้าเอาไม้สดๆ ไปทำละก็มันจะเกิดเรื่อง เพราะว่าต่อไปช่อฟ้าแห้งมันจะมองดูไม่สวย ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นก็ไปหาซื้อ ที่อื่นก็ไม่มีขาย หาไปหามาก็หาไม่ได้ นายช่างก็แนะนำบอกบ้านของนางสุธรรมามีช่อฟ้า ท่านมาฆะมานพก็บอกว่าไปจอซื้อเขา เมื่อไปถึงนางสุธรรมาบอกไม่ขาย ถ้าไม่ให้ร่วมบุญร่วมกุศลไม่ขายแน่ ทีนี้ทำยังไง เมื่อซื้อเขาไม่ขาย ท่านมาฆะมานพก็ไม่ยอมรับ เพราะไม่อยากคบผู้หญิง ผู้หญิงยุ่ง นายช่างก็บอกว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ต่อไปเมื่อบำเพ็ญบารมีดีแล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องบริจาคทาน ๒ ประการ คือให้ลูกเป็นทานให้เมียเป็นทาน ถ้าหากว่าท่านมาตัดผู้หญิงเสียเวลานี้แล้วละก็อีตอนที่มีบารมีใกล้จะเต็ม ท่านก็จะขาดทาน ๒ ประการคือให้ลูกเป็นทานให้เมียเป็นทาน ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังไงๆ ท่านก็จะต้องคบผู้หญิงตลอดกาล เป็นอันว่าท่านมาฆะมานพจนใจยอมรับ เอาช่อฟ้าของนางสุธรรมาไปสวมกับศาลาก็พอดี แต่ว่าตอนนี้ซิเสียที ๓๓ คนรวมทั้งช่างอีกคนหนึ่งกับช่างเป็น ๓๕ ทำกันเกือบตายไม่มีชื่อ ไปมีชื่อนางสุธรรมาเพียงคนเดียว ใครๆ ไป ใครๆ มาเขาก็เห็นเขียนชื่อนางสุธรรมา ศาลาสุธรรมา แล้วก็ศาลาสุธรรมานี่เป็นอำนาจบารมีของนางสุธรรมา เมื่อยางสุธรรมาตายจากคนก็มาเป็นชายาพระอินทร์ ศาลาหลังนั้นก็ตามขึ้นมา มีชื่อบนสวรรค์ว่าศาลาสุธรรมาเหมือนกัน แล้วก็เป็นที่ประชุมของเทวดา เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแท่นเป็นที่ประทับของพระอินทร์สวยสดงดงามมาก

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ประเดี๋ยวก่อน ออกจากศาลาสุธรรมาไปก่อน ไปโน่นซิ ไปสวนจิตรลดาวันภรรยาคนที่ ๒ ไปดูสวนจิตรลดาวัน อ๋อ สวนจิตรเวลานี้พระเจ้าแผ่นดินประทับอยู่ที่เมืองมนุษย์ แต่ว่าคนละสวน ไปว่าถึงนางสุจิตรา คิดว่านางสุธรรมานี่เขาเป็นคนฉลาด เมื่อผัวทำศาลาเขาทำช่อฟ้า ก็ดีแล้วเราไม่มีโอกาส ผู้ชายไม่ชวนเรา แต่ว่าคนมาพักที่ศาลาก็ดี อาบน้ำก็ดี อาจต้องการความสวยงาม ความสดชื่นจากดอกไม้และใบไม้ ฉะนั้น นางจึงใช้คนไปปลูกสวนสาธารณประโยชน์ เมื่อต่างตายจากความเป็นคนก็มาเป็นชายาของพระอินทร์ เกิดมีสวนจิตรลดาวันขึ้นข้างสระโบกขรณี นี่ว่ากันถึงรายที่ ๒

    คราวนี้ลัดๆ กันไปว่ารายที่ ๓ รายที่ ๓ คือนางสุนันทา นางสุนันทานี่เห็นนางสุจิตราปลูกสวนดอกไม้ เธอก็เอาบ้าง บอกว่าไอ้คนที่มาตามทางมันอาจจะหิว ในเมื่อมีน้ำอาบ มีศาลาพัก มีดอกไม้ทัดทรง แต่ยังไม่มีผลไม้ นางจึงได้ปลูกสวนใหญ่มีผลไม้ทุกประเภทขึ้น ให้เป็นที่อาศัยของคนเดินไปและเดินมา เมื่อเดินมาหิวก็มากินลูกหมากรากไม้ได้หรือไม่อยากนั่งพักในศาลาจะไปเดินเล่นในสวนก็ได้ เป็นที่สบายใจของคนทั้งหลายที่ผ่านไปผ่านมา เมื่อนางสุนันทาตายแล้วก็ขึ้นมาเป็นชายาของพระอินทร์ แต่ละคนก็มีวิมานคนละหลังๆ เหมือนกัน แล้วก็สวนสุนันทาก็ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกของเวชยันต์วิมาน

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับสกวันก็ดี ปารุสกวันก็ดี ไม่ปรากฏในบาลีว่ามาจากไหน หรือว่าปรากฏ แต่อาตมาไม่ทราบก็รู้ไม่ได้ เพราะค้นหนังสืออาจจะไม่หมด เป็นอันว่าพูดกันแค่รู้ ว่าอานิสงส์ของความดีทีทำในสมัยเป็นมนุษย์ ปรากฏผลเป็นดังนี้

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท มองดูเวลามันก็ใกล้จะหมด หรือว่าย่องหมดไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ไม่ทราบ เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ติดตามมาก็ดี หรือว่าอยู่ข้างล่างที่รับฟัง เวลานี้ท่องเที่ยวไปในดินแดนของพระอินทร์พลางๆ ก่อน วันพุธหน้าอาตมาจะมาพาท่านพุทธบริษัทไปชมต่อไป สำหรับวันนี้หมดเวลาแล้วก็ต้องขอลากลับ

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพที่กำลังรับฟัง จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา สวัสดี

    11350581_705737872871292_1136729479803912605_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ๏ หลวงปู่สุ่นสอนหลวงปู่ปาน ๏
    “บวชแล้วต้องทำใจให้เป็นพระ”
    “..แล้วท่านก็สอนต่อไปว่า การบวชเป็นพระไม่ว่าใครทั้งหมด หนึ่ง ถ้าปรารถนาความร่ำรวยสะสมทรัพย์สินที่บรรดาพุทธบริษัทมาถวาย แล้วก็เอาไปใช้ในทางที่ไม่เป็นพระ หมายความว่าเอาไปลงทุนค้าขายเอาไปซื้อไร่ เอาไปซื้อนา จะตั้งใจเอาเงินไปหมั่นสาวๆ จะแต่งงาน อะไรก็ตามอันเป็นเรื่องของฆราวาส พระองค์นั้นแม้จะบวชอยู่สักกี่ร้อยปีก็ไม่เป็นพระ
    เพราะว่าการเป็นพระนี่มันเป็นที่ใจการที่จะโกนหัวห่มผ้าเหลืองอธิษฐานว่าว่าตนเป็นพระน่ะไม่ใช่ นั้นเป็นผีหลอกชาวบ้าน เรียกว่าเอาผ้าเหลืองมาห่มเปรตเข้าไว้ ในตอนต้นเป็นเปรตก่อน เพราะเปรตช่วยตัวเองไม่ได้ต้องอาศัยโมทนาบุญจากคนอื่น
    นักบวชก็เหมือนกัน นักบวชที่บวชเข้ามาแล้วก็บิณฑบาตข้าวจากชาวบ้าน ชาวบ้านถวายเงิน ชาวบ้านให้ผ้าผ่อนสไบชาวบ้านให้ที่อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ทรัพย์สินที่ตนหามาได้ โดยชอบธรรม เรียกว่าเป็นทรัพย์สินของชาวบ้านเขา พระก็มีสภาพเหมือนเปรต เห็นไหมลูกหลาน มีสภาพเหมือนเปรตนะ นักบวชน่ะ
    เปรตถ้าทำตัวไม่ดีเวลาตายก็ไปนรก นี่ถ้าอยู่อย่างเปรต เราบวชเข้ามาแล้วมีสภาพเหมือนเปรต คือต้องอาศัยชาวบ้าน ก็ต้องทำทรัพย์สินของชาวบ้านให้เป็นประโยชน์จริงๆ ใช้ในฐานะที่เรียกว่าสมณวิสัยจริงๆ คือวิสัยของพระ
    วิสัยของพระนี่น่ะ จะทำยังไง ก็เอาเงินของชาวบ้านมาใช้มากิน อะไรมันไม่มีก็ซื้อใช้สอยตามความสุขอย่างพระ ไม่ใช่ความสุขอย่างชาวบ้าน เรียกว่าตามสมควรไม่โอ่โถงนัก
    ถ้าเงินมันเหลือก็เอาเงินจำนวนนั้นไปก่อสร้างสาธารณะประโยชน์ จะก่อสร้างวิหารการเปรียญก็ตาม หรือจะสงเคราะห์คนที่มีความทุกข์หิวโหยเข้ามาให้มีความสุขก็ตาม หรือว่าจะสร้างส่วนใด ที่เป็นไปตามธรรมของพระพุทธเจ้าก็ตาม ทำให้หมดนะลูกปานนะ อย่าสะสมเงินให้เป็นกองใหญ่ ใจจะไม่ใช่พระ
    ถ้าลงใจไม่ใช่พระเสียแล้วละก็ตอนนี้ลงนรก นรกที่จะไปก็คืออเวจีมหานรก ใช่ไหม
    ลุงพุฒิแหงนหน้าขึ้นมา พยักหน้าบอกว่าใช่ เวลาพูดนี่ลุงพุฒิเขาคุมอยู่ข้างๆ นะ เขาคุมอยู่ พูดตอนนี้น่ะเขาสะกิดข้างบอกให้พูด(พระยายม) หลวงพ่อท่านก็รับรอง หลวงพ่อท่านก็มาอยู่ด้วยนะตอนนี้นะ ทั้งสองหลวงพ่อนั่นแหละ ทั้งหลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อปาน ท่านยิ้ม
    พอบอกว่าท่านมาอยู่ด้วย ท่านยิ้มหลวงพ่อสุ่นท่านบอกว่า เออ..ดีแล้ว บอกว่าข้ามาอยู่ด้วยยังงี้ดีแล้ว ข้าเป็นพยาน นี่เอาพยานผีนะ
    เอ้า..ลุงพุฒิอย่างนี้มันถูกไหม ถามจริงๆ เถอะพระที่ทำความชั่วอย่างนี้แกเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เขาว่ายังไงรู้ไหม เขาบอกว่ามีที่เก็บแห่งเดียวคืออเวจีมหานรก…”
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี
    ______________________________________
    จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๓๑ ฉบับที่ ๓๔๗ ประจำเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ หน้า ๔๑-๔๒ นิตยสารธัมมปฏิบัติ จัดทำโดยคณะธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง อุทัยธานี

    1606872_705741986204214_5079194603383234252_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ชอบสวดมนต์
    ผู้ถาม :- “หลวงพ่อเจ้าขา คนที่ชอบสวดมนต์ แต่ไม่เคยเจริญพระกรรมฐานเลย แต่อธิษฐานว่า ตายเมื่อไรขอไปนิพพานทันที อย่างนี้เขาจะไปได้หรือเปล่าเจ้าคะ…?”
    หลวงพ่อ :- “ถ้าเขากำลังใจดี เขาไปได้นะ ถ้านั่งสวดมนต์ก็กรรมฐานนี่ สวดมนต์อย่างต่ำเป็นอุปจารสมาธินะ ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิเราสวดไม่ได้ กรรมฐานไม่ใช่ว่าต้องนั่งหลับตาเสมอไป
    ที่เขาอธิษฐานจิตว่า ถ้าเขาต้องการไปนิพพานชาตินี้ การสวดมนต์ถือว่าเป็นสมถภาวนาด้วยนะ ถ้าเขาเกิดมีปัญญา คิดว่าการเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ไม่สบายก็ทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ทุกข์ ความตายก็ทุกข์ ความทุกข์อย่างนี้ไม่ต้องการมีต่อไปอีกในชาติต่อไป อย่างนี้ตายแล้วไปนิพพานได้แน่ ปัญญาถึง”
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม

    11400979_705743312870748_726146313205044933_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ~สมเด็จองค์ปฐม~
    ทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ดังนี้
    อากาศร้อน จิตจงอย่าร้อนไปกับอากาศ
    แม้มีเรื่องกระทบกระทั่งใจจากเหตุการณ์ต่างๆ ก็พึงวางอารมณ์จิตให้เยือกเย็น
    อย่าแก้โลก อย่าไปแก้คน ให้แก้อารมณ์จิตของตน
    เพราะเราตั้งใจจักไปนิพพาน ก็จงปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้
    ค่อยๆฝึกไป ให้พิจารณาตามหลักของความเป็นจริง
    โลกนี้ที่สุดไม่มีอะไรเหลือ
    คน-สัตว์-วัตถุธาตุ ตายเหมือนกันหมด
    แม้ร่างกายที่จิตเราอาศัยอยู่ก็เช่นกัน
    เพราะฉะนั้นพึงเร่งมรรคทางจิตให้มาก
    เพื่อจักให้ถึงผลของการที่จักไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
    จิตใครที่ไหนอื่นก็ไม่สำคัญ สำคัญที่จิตของตน ใครจักเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขาสุดแล้วแต่กฏของกรรมจักทำให้เป็นไป
    อย่าไปขวางทางกรรมของเขา ปล่อยวางไม่รับ แผ่เมตตาจิตให้มาก
    แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างจักคลี่คลายเอง
    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่มที่ 11
    พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง

    1493181_705833506195062_5300845220797824588_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...