เพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 17 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ขอลงรูปให้ผู้ที่ร่วมบุญอนุโมทนาบุญด้วยกันนะคะ
    2728.png วันที่ 6 มกราคม 2562
    นำเงินงานบุญที่ญาติธรรมร่วมบุญมาถวายพระเดชพระคุณหลวงปู่องค์น้อยดังนี้ค่ะ
    2728.png ถวายงานบุญปิดทองคำแท้สมเด็จองค์ปฐมบรมจักรพรรดิ3องค์สูงองค์ละ2.09เมตรจำนวน20,030บาท(สองหมื่นสามสิบบาทถ้วน)
    1f64f.png ขอเชิญทุกท่านอนุโมทนาบุญด้วยกันนะคะ

    49472179_1784933961618339_8635849647820111872_n.jpg
    49739126_1784934054951663_2878743074714943488_n.jpg
    49586420_1784934131618322_5971550738256494592_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    คำสอนหลวงพ่อ เรื่อง “การทรงความดี”..
    .. การปฏิบัติเพื่อเอาดีจริงๆ การเริ่มต้นของการปฏิบัตินอกจากศีลบริสุทธิ์แล้ว ก่อนที่จะภาวนา ให้ใช้ปัญญาพิจารณาความเป็นจริงของร่างกายเสียก่อน คิดว่าการเกิดของเราแต่ละชาติเป็นทุกข์ เรื่องทุกข์นี่ให้มองดูกันเองนะ เพราะเห็นทุกข์กันอยู่ทุกวัน
    คนไม่เห็นทุกข์นั่นหมายถึงว่าตั้งหน้าตั้งตาลงนรก เพราะจิตมันไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริงเราต้องมองเห็นและพิจารณาว่า การเกิดนี่มันเป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ ป่วยไข้ไม่สบายก็ทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ตายก็ทุกข์
    เวลานี้เราพบพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้า คือคำสอนขององค์สมเด็จพระชินวรก็ไปนิพพาน พระอรหันต์ทั้งหลายไปนิพานนับไม่ถ้วนก็เคยปฏิบัติอย่างนี้ ฉะนั้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่มีความอาลัยในชีวิตและร่างกายของเรา เราจะไม่สนใจร่างกายของบุคคลอื่น
    เราจะไม่สนใจในวัตถุธาตุใดๆ เราจะทำจิตของเราให้ผ่องใส มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าบังเอิญมันจะตายในขณะที่เรานั่งนี่ก็เชิญ ร่างกายตายแต่ใจเราไปพระนิพพานตัดสินใจอย่างนี้ไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ภาวนา ..
    (พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

    49525700_1787954427982959_4874799516026404864_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    อานิสงส์ของทาน และการชักชวนคนอื่นทำบุญ…โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    การให้ทานนี้อย่างลืมนะว่าถ้าใจยังไม่หนักแน่นพอ คนที่เรายังไม่ชอบใจอย่างเพิ่งให้ ให้แต่คนที่เรารักหรือคนที่เราไม่เกลียดต่อไปถ้ากำลังใจสูงขึ้น จิตสบาย มีอุเบกขาดี มีเมตตาบารมีสูง ก็ให้ไม่เลือก ให้เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ คือกิเลสของเรา

    กำลังใจในการให้ทานน่ะเป็นจาคานุสสติ ก่อนที่จะคิดให้เป็นจาคานุสสติ อันนี้อนุสสติอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีประจำใจแล้วมันก็ตกนรกไม่ได้ จะยกตัวอย่าง มันก็ยาวเกินไป จะขอพูดถึง อานิสงส์การให้ทาน ที่สมเด็จพระพิชิตมารทรงตรัสว่า สมัยพระพุทธกัสสปท่านเทศน์อย่างนี้ ท่านบอกว่า

    บุคคลผู้ใดให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนคนอื่น ตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดใหม่จะมีทรัพย์สมบัติมาก จะเป็นคนร่ำรวย เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี แต่ว่าขาดเพื่อน ขาดคนเป็นที่รัก มันก็โดดเดี่ยวแย่เหมือนกัน

    บุคคลผู้ใดดีแต่ชักชวนบุคคลอื่น แต่ว่าตนเองไม่ให้ทาน ท่านบอกว่าตายจากชาตินี้ไปแล้วไปเกิดชาติใหม่ มีพรรคพวกมาก แต่ยากจน

    บุคคลใดให้ทานด้วยตนเองด้วยแล้วก็ชักชวนบุคคลอื่นด้วย ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่ เป็นคนรวยด้วย มีพวกมากด้วย

    บุคคลใดไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย แล้วไม่ชักชวนชาวบ้านด้วย จะไม่มีทรัพย์สมบัติเป็นคนยากจนเข็ญใจ เกิดเป็นคนยากจนไม่มีคนคบหาสมาคม ขอทานก็ยาก เป็นยาจก ขอทาน แล้วขอก็ไม่ค่อยจะได้ ไม่มีใครเขาอยากจะให้ มีแต่คนรังเกียจ

    การให้ทานที่ก่อนจะถึงนิพพานน่ะ เราจะต้องมีความสุขในทรัพย์สมบัติก่อน จะไปคิดว่าการให้ทานเป็นการกำจัดโลภะความโลภ หรือมีผลอันน้อยแค่กามาวจรอันนี้ไม่ถูก ถ้าเราจะไปนิพพาน ถ้าเราลำบากมันไปยาก ใจไม่สบาย จะเล่านิทานสักเรื่องหนึ่ง เอาไหม มันจะช้าก็ช้า จะจบเมื่อไรก็ช่าง ก็เล่าสู่กันฟัง

    ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่มีคนหนึ่งเขามาเกิด แต่คนคนนี้น่ะในชาติก่อนๆ เวลาบำเพ็ญบารมีตัดทานบารมีออกจากใจ แต่ความจริงเขาก็ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร เขามีจาคานุสสติกรรมฐานเป็นปกติ ได้จาคานุสสติกรรมฐาน ตัวนี้เขาไม่ได้ให้ แต่จิตเขาละความโลภ คือละความอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นที่ใครไม่ให้เขาโดยชอบธรรมน่ะเขาไม่เอา เขาไม่อยากได้ แต่ว่าเขาไม่ให้ทาน ที่ว่า “ทานัง สัคคโสน ปาณัง” ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ทานเป็นบันไดให้ไปเกิดบนสวรรค์” เขาบอกว่ามันต่ำไป เอาบุญที่เป็นปรมัตถบารมีดีกว่า คือ

    ๑. มีศีลบริสุทธิ์
    ๒. สมาธิตั้งมั่นก็ระงับนิวรณ์
    ๓. มีปัญญาแจ่มใส เพื่อตัดกิเลส

    ก็เป็นการบังเอิญว่าชาตินั้นเขายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าก็ต้องตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดา ก็สงสัยอาจจะเป็นเทวดาคนจนก็ได้ ทิพย์สมบัติอาจจะสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้ ทีนี้ก็กลับมาเกิดใหม่ มาเกิดเป็นลูกหญิงแพศยา เป็นโสเภณี
    โสเภณีเวลานั้นถือว่าเป็นตระกูล เป็นอาชีพอาชีพหนึ่งสังคมหรือสมาคมหนึ่ง แต่ว่าโสเภณีน่ะเขาต้องการเฉพาะลูกผู้หญิง เขาไม่เหยียดหยามเหมือนสมัยนี้ว่าโสเภณีเลวไม่ใช่อย่างนั้น เขาถือว่าโสเภณีก็เป็นตระกูลหนึ่งที่มีศักดิ์ศรี พอออกมาเป็นลูกผู้ชาย เขาไม่ต้องการ เขาก็เลยไปหมกป่าไว้ ทิ้งปล่อยให้ตาย ก็สืบตระกูลเป็นโสเภณีไม่ได้
    เวลานั้นโสเภณีผู้ชายยังไม่มี ถ้าบังเอิญมีโสเภณีผู้ชายอย่างสมัยนี้ บางประเทศก็จะหากินคล่องเหมือนกัน เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของบุคคลแต่ละคน
    ก็รวมความว่าเขาเกิดมาไม่มีความสุข ถูกปล่อย แต่เขาก็ไม่ตาย เขาไม่ตายเพราะอะไร เพราะว่ามีบุญรักษา เขาจะเป็นอรหันต์ในชาตินี้ เขาถูกหมกอยู่อย่างนั้นไม่ตาย ถูกแวดล้อมไปด้วยสัตว์รักษาไว้ จนกระทั่งเป็นหนุ่มเดินไปเดินมา เดินเที่ยวไปก็ไม่มีอะไรจะกิน แต่บุญรักษาเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่ต้องกินอาหาร
    ต่อมาวันหนึ่งเดินเข้าไปชายป่า เห็นคนเขาเอาอะไรมาฝังไว้เป็นลูกเขาออก เอารกมาฝังก็แอบดู พอเขาไปแล้วก็ย่องเข้าไปขุดเห็นรกเด็ก เลยนำรกมากิน ในชีวิตเขาได้กินเท่านั้นอย่างเดียว นี่การขาดทานบารมี หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมาเห็นพระท่านมีความสุข เลยขอบวช พระอุปัชฌาย์ก็ให้บวช
    ในเมื่อบวชแล้วเวลาบิณฑบาตตอนเช้า พระใหม่ก็ต้องเดินข้างหลังตามระเบียบ เพราะเดินตามอาวุโส ชาวบ้านใส่บาตรจากหน้า พอจะถึงองค์หลัง ข้าวหมดพอดี นี่อานิสงส์ของการไม่ให้ทาน ท่านก็เดือดร้อน ไม่ได้กินข้าว อุปัชฌาย์ต้องแบ่งให้ ถึงอุปัชฌาย์จะแบ่งให้ หาเองไม่ได้ ใจก็ไม่สบาย
    วันที่สอง ท่านอุปัชฌาย์บอกว่า “วานนี้เขาใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันนี้คุณเดินข้างหน้า ทุกคนใส่จะต้องถึงคุณ” แต่ความจริงพระอุปัชฌาย์เป็นพระอรหันต์ อย่างต่ำก็ต้องเป็นวิชชาสามหรืออภิญญาหกแน่ เพราะรู้เรื่องในใจดี รู้กฎของกรรมดี ท่านต้องการพิสูจน์ผลว่า คนไม่ให้ทานนั้นมันมีผลเป็นอย่างไร
    วันที่สอง ชาวบ้านว่า “วานนี้ใส่หน้าไม่ถึงหลังวันนี้รวมกันใส่จากหลังมาหาหน้า” พอจะถึงองค์หน้าข้าวหมดพอดี แต่ความจริงเขาตั้งใจจะให้ถึง แต่กฎของกรรมมันบันดาลให้ตักข้าวหมด
    วันที่สาม อุปัชฌาย์บอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณยืนกลาง เขาใส่ทางไหนมันพอทั้งนั้น” เป็นอันว่าท่านยืนกลาง วันที่สาม ชาวบ้านบอกว่า “วันต้นใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันที่สอง ใส่หลังไม่ถึงหน้า วันนี้เราแบ่งเป็นสองพวก ใส่จากข้างหน้ามาหนึ่งพวก ใส่จากข้างหลังมาหนึ่งพวก” เขาก็ทำตามนั้น ปรากฏว่าทั้งสองพวกพอจะถึงองค์กลางข้าวหมดพอดี
    วันที่สี่ พระอุปัชฌาย์บอกว่า “ยืนรองฉัน มันใส่แบบไหนถึงทั้งนั้น
    ในวันต่อมาเขาใสบาตรตามระเบียบ ใส่บาตรที่ ๑ เขาไม่เห็นบาตรที่ ๒ ไปใส่บาตรที่ ๓ พอวันต่อมาอุปัชฌาย์บอกว่า “คุณยืนรองฉัน” ท่านเอามือจับบาตรไว้ เขาจึงเห็นบาตรของท่าน
    นี่การให้ทานถ้าบารมีไม่เต็มจริงๆ ถ้าไปโดนเข้าแบบนี้เราจะถูกความหิวทรมานขนาดไหน แต่นั่นบังเอิญเป็นบารมีของท่านเต็มจะได้เป็นพระอรหันต์ ยังต้องถูกทรมานจิตใจแบบนั้น เห็นโทษเห็นทุกข์แห่งการเกิด อุปัชฌาย์แนะนำไม่นานนักท่านก็เป็นอรหันต์ เมื่อเป็นอรหันต์แล้วชาวบ้านก็เห็นบาตรเพราะเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว

    การให้ทานน่ะมีความสำคัญอย่างนี้นะ จงอย่าคิดว่าเราต้องการเฉพาะนิพพาน เราไม่ให้ทาน เราเอาเฉพาะศีลภาวนาอันนี้ไม่ได้ ท้องไม่อิ่มนี่ มันภาวนาไม่ไหว มันจะตายเอา ดีไม่ดีมันเป็นโจร
    การให้ทานของบรรดาท่านพุทธบริษัทเราจะต้องให้ ถ้าบุญบารมีของเรายังไม่เต็มเพียงใดเราก็เอาละ เราก็จะต้องใช้ต้องกิน แต่ถ้าบุญบารมีเต็ม เราก็จะมีความอุดมสมบูรณ์ อย่างตัวอย่าง ท่านสีวลี

    ท่านพระสีวลีนี้ ชาติหนึ่งเป็นชาวป่า วันนั้นเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระพุทธกัสสปเทศน์ บอกว่า
    – คนใดให้ทานด้วยตนเอง เมื่อตายไปชาติหน้าจะมีโภคสมบัติมากแต่ไม่มีบริวารสมบัติ (ตามที่เล่ามาแล้ว)
    – บุคคลใดชักชวนบุคคลอื่น แต่ไม่ให้ทานเองจะมีพวกมาก แต่ว่ายากจน
    – ให้ทานเองด้วย ชวนบุคคลอื่นด้วย เกิดไปชาติหน้าเป็นคนรวยด้วย มีพวกมากด้วย
    – แล้วก็ไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย ไม่ชักชาวบ้านด้วยเกิดเป็นคนยากจนไม่มีคนคบหาสมาคม ขอทานก็ยาก

    ชาวบ้านจึงตั้งใจถวายทานกันอย่างหนัก มีทุกอย่าง แต่มันขาดน้ำผึ้งสด หาเท่าไรก็ไม่ได้ ตั้งคนไว้ที่ประตูเมือง ๔ ประตูให้เงินไว้ ๑,๐๐๐ กหาปณะ (เท่ากับ ๔,๐๐๐บาทสมัยนี้) บอกว่า “ถ้าใครเอาน้ำผึ้งสดมา นำรวงผึ้งสดมา จะซื้อจาก ๑ กหาปณะ ไปจนถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ”
    พอดีท่านสีวลีเป็นชาวป่า ท่านจะมาหาเพื่อนในเมือง ไม่มีอะไรติดมือมาก็เลยเอาผึ้งมารวงหนึ่ง พอพวกนั้นเห็นเข้าก็ขอซื้อตั้งแต่ ๑ กหาปณะ ถึง ๑,๐๐๐ กหาปณะ
    ท่านบอกว่า “ฉันจะเอาไปให้เพื่อน” ก็สงสัยว่าผึ้งรวงนี้จริงๆ ราคาไม่ถึง ๑ กหาปณะ แต่เจ้าคนนี้ให้มากๆ คงจะสติไม่ดีหรืออาจจะมีเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้นมีความจำเป็น จึงถามว่า
    “ทำไมพวกท่านสติไม่ดีรึไอ้ผึ้งรวงหนึ่งราคาตั้ง ๑,๐๐๐ กหาปณะ ใครเขาซื้อเขาขายกัน ราคามันไม่ถึง ๑ กหาปณะ”
    เขาก็บอกว่า
    “พวกเราจะทำบุญ แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีหมดมันขาดอยู่น้ำผึ้งสดอย่างเดียว เราต้องการมีทุกอย่าง”
    ท่านก็บอกว่า
    “ถ้าซื้อไม่ขาย แต่จะเอาไปให้เพื่อน แต่ว่าท่านจะให้ฉันร่วมบุญด้วย ฉันให้”
    ท่านสีวลีก็ให้เป็นการปิดรายการครบถ้วนพอดี เขาขาดอย่างนั้นท่านปิดพอดี มันก็ปิดให้เต็ม
    หลังจากชาตินั้นมาแล้ว ท่านมาพบองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเกิดในชาตินี้ มาเกิดในชาติหลัง นี่เขาบอกว่า ท่านพระสีวลีไม่เคยมีโรคเลย โรคภัยไข้เจ็บไม่เคยมี เป็นพระที่มีลาภจริงๆ จะไปไหนก็ตาม คนก็ดีเทวดาก็ดีปรารภพระสีวลี ถ้าพระสีวลีไปด้วยไม่มีคำว่าอด จะมีความอุดมสมบูรณ์ แม้แต่เดินเข้าไปในป่าที่ไม่มีบ้าน

    ในสมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะเข้าไปเยี่ยม พระเรวัตในป่าไม้สะแก ที่ว่าเป็นน้องพระสารีบุตร อายุ ๗ ปี เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เวลาเดินเข้าไป ตอนจะไปเจอะถึงทาง ๒ แพร่ง พระพุทธเจ้าจึงได้ถามพระอานนท์ว่า “อานนท์ทางไปหาพระเรวัตไปทางไหน” ความจริงท่านทราบ
    พระอานนท์บอกว่า “ถ้าไปทางอ้อมทางนี้เดินทาง ๖๐ โยชน์ มีบ้านบิณฑบาตตลอด ทางนี้เป็นทางตรงเดินไป ๓๐ โยชน์ ไม่มีบ้านใส่บาตร
    สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงตรัสถามว่า “สีวลีมาหรือเปล่า” แต่ความจริงท่านรู้ว่ามา แต่ต้องการจะประกาศความดี
    พระอานนท์ก็กราบทูลว่า “มาพระพุทธเจ้าข้า”
    “ถ้าสีวลีมาตถาคตจะไปทางตรง”
    พอพระพุทธเจ้าตัดสินใจว่าจะไปทางตรง บรรดารุกขเทวดาและอากาศเทวดาทั้งหลายต่างคนต่างปรารภว่า เวลานี้ หลวงพ่อสีวลี ของเรามา ความจริงพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรก็ไป พระพุทธเจ้าเสด็จด้วย แต่เทวดาไม่ได้ปรารภถึงเลย ปรารภเฉพาะท่านพระสีวลี จึงเนรมิตเรือนแก้ว กุฏิเป็นที่พัก วัดเป็นที่พัก สำหรับพระ ๕๐๐ รูป เป็นเรือนแก้วไว้แต่ละโยชน์ ๑ โยชน์ มี๑ วัด สร้าง ๓๐ วัด เป็น ๓๐ โยชน์
    เมื่อพระพุทธเจ้าไปถึงวัดต่างๆ เขาก็แสดงตนเป็นคนธรรมดา พระพุทธเจ้าท่านรู้ นิมนต์พักวัดท่านก็พัก ตอนเช้าท่านนำอาหารการบริโภคเนรมิตจากจิตใจของเทวดาไม่ต้องหุง ถวายพระอิ่มหนำสำราญ แต่การที่เขามาถวายน่ะเขาปรารภพระสีวลีว่า “เราจะนำอาหารไปถวายหลวงพ่อสีวลีของเรา” เป็นอย่างนี้จนกระทั่งถึงสำนักของพระเรวัต

    นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และญาติโยมพุทธบริษัท ท่านพระสีวลีให้ทานด้วยรวงผึ้งรังเดียวปิดรายการแต่ชาติหลังท่านมีความอุดมสมบูรณ์ คนที่มีความอุดมสมบูรณ์จะปฏิบัติธรรมมันก็ดี ทำอะไรก็ดีทุกอย่าง มีการคล่องตัว รวมความว่ามีความปรารถนาสมหวัง แม้แต่จิตใจคนบางประเภทก็ซื้อได้ แต่บางประเภทเราก็ซื้อใจไม่ได้นะเงินน่ะ แต่บางประเภทเวลานี้ก็ ฟุ่มเฟือยมาก การซื้อก็ซื้อด้วยเงินสะดวกอันนี้มีประโยชน์มาก
    ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัทหรือเพื่อนภิกษุสามเณรจงสนใจในการให้ทานให้มาก เพราะว่าการให้ทานนี่ไม่ใช่จะหวังเฉพาะการร่ำรวยอย่างเดียว การให้ทานเป็นปัจจัยของความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า

    การให้ทานนี่ขอพูดถึงอานิสงส์ของการให้ทานสักนิดหนึ่ง คืออานิสงส์ขอทานในชาติปัจจุบันเราจะเห็นได้ชัดๆ จริงๆ นั่นก็คือว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ คือว่าคนผู้ให้มีโอกาสชื่นใจว่า เราได้ให้ทาน แต่ว่าบางคนนะ บางพวก จอมอกตัญญูไม่รู้คุณคนนี่เยอะเหมือนกันนะ อย่าลืมว่าผมโดนมาแล้ว โดนมาตลอดชีวิต ให้แล้วมันก็กัด แต่ผมก็ไม่ได้ผูกใจเจ็บ ผมถือว่าเป็นความชั่วของเขา ผมไม่ยอมชั่วด้วย ไอ้ผมนั่นก็เลวอยู่แล้ว ถ้าจะไปโกรธเขาเข้า มันจะเลวมากขึ้น มันจะแบกไม่ไหว เอาแค่ความเลวที่มีอยู่มันก็เดินตุปัดตุเป๋ไปแล้ว เวลานี้ผมเดินตุปัดตุเป๋ไม่ตรงทาง หนักความชั่ว ความชั่วมีเยอะมหาศาลแต่ว่าพวกนั้นเขากลั่นเขาแกล้ง เขากินอิ่มเข้าไปแล้ว เขาคิดจะฆ่าผม คิดจะไล่ผม เขาชุมนุมกันเยอะแยะ เวลาที่พูดอยู่นี่ก็ยังมีร้องเรียนไปที่ไหนๆ ไปลงหนังสือพิมพ์ ด่าบ้าง ฟ้องไปทุกระดับ จนกระทั่งสำนักนายก เขาหาว่าคนของผมโหดร้าย แต่ผมไม่เคยแตะต้องอะไรเขาเลย แต่พวกนี้เป็นอย่างไร ได้ประโยชน์จากผมหมายความว่าคนจะมาหาเขา เขาจะร่ำรวย เขานึกว่าผมรวยก่อสร้างต่างๆ นานา ญาติโยมท่านให้สร้าง ญาติโยมท่านให้เก็บ แต่จริงๆ การก่อสร้างนี่เหน็ดเหนื่อยหนักใจหนักกาย แต่เพื่อความดีของญาติโยมผมไม่เหนื่อย ไม่หนัก ผมปลื้มใจ เพราะญาติโยมทำความดี ทุกคนเขาจะพ้นทุกข์กัน ฉะนั้นเราจะกักให้เขาให้อยู่ในแดนความทุกข์ยังไง ต้องสนองสนับสนุนตามที่พระพุทธเจ้าสนับสนุนแบบไหนเราทำกันแบบนั้น

    นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทุกท่าน ต้องจำไว้ว่าการให้ทานน่ะ มันก็มีการสะดุดแบบนี้ แต่เราจงอย่าคิด คิดอย่างเดียวว่าจิตใจของเราเป็นสุข สุขเพราะการเกื้อกูลแก่เพื่อนในเมื่อเราให้เขา ถ้ามีคนรัก ไอ้คนรักเรามากๆ ก็มีไม่ใช่เลว คนเลวมันน้อยกว่าคนดี ให้ทานแก่บุคคลที่รู้คุณคนนี่มี แต่เราอย่าไปคิด คิดอย่างเดียว ให้ทานเพื่อเป็นการสงเคราะห์ เรามีน้อยเราให้น้อย เรามีมากเราให้มาก ให้พอควร อย่าให้เกินพอดี อย่าให้เบียดเบียนตนเอง อย่าให้ถึงกับตัวมีความทุกข์ ผลแห่งการให้ทานจริงๆ มันก็มีประโยชน์ใหญ่ ไปที่ไหนมีแต่คนรู้จัก ความจริงเราไม่รู้จัก จำเขาไม่ได้หรอก จำเขาไม่ได้จริงๆ อย่างพวกท่านก็เคยไปกับผม ไปถึงญาติโยมก็มาหากัน ไปถึงก็หลวงพ่อหลวงปู่ หลวงน้า ผมก็มองหน้า ผมจำไม่ได้แต่ว่าท่านมาด้วยความดี ผมก็ปลื้มใจ ผมก็ดีใจ บางคราวท่านมากันมาก ในบางแห่งจนกระทั่งผมฉันข้าวไม่ได้ ฉันข้าวไม่ได้ไม่ใช่ญาติโยมจะมากวนใจผมหรอก ผมปลื้มใจในความดีของญาติโยม

    นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย การให้ทานน่ะชาติปัจจุบันเราก็มีความสุขมาก ทั้งนี้เพราะอะไร มีคนเขาสนใจเรามาก ประคับประคองเรามาก ป้องกันอันตราย แต่อันตรายถ้ามันจะเกิดจาก กฎของกรรมก็อย่าไปโทษว่าทานไม่ช่วยนะ คิดไว้เสมอว่า กรรมที่เราทำไว้ในชาติก่อนมันตามมาเล่นงานเรายังไงก็ช่างมัน ชาตินี้ทำหนีมันไปให้ได้ อันดับแรกเอาทานบารมีเข้าชนกับมันก่อน เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้เราพอมีความสุข คนที่เขาดีมีความกตัญญูรู้คุณ เขาก็ให้การประคบประหงมเรา ให้ความสนิทสนมกับเรา เป็นที่รักของเรา เราก็ชื่นใจใน

    ความสุข เว้นไว้แต่คนจังไรที่มีความอกตัญญูไม่รู้คุณ เขามีความทุกข์ ปล่อยให้เขาทุกข์ไปฝ่ายเดียว เราอย่าทุกข์กับเขา ถ้ากำลังใจของเราอย่างนี้ก็ถือว่า เป็นทานที่มีกำลังยิ่งใหญ่ ชาตินี้มีความสุข ชาติหน้าจะยิ่งสุขยิ่งไปกว่านี้ ถ้าบังเอิญบารมีของเรายังไม่ถึงที่สุดในชาตินี้ ก็อาจจะไปตกในชาติหน้าอย่างท่าน มณฑกเศรษฐี กับคณะก็ได้

    จากหนังสือ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

    50201708_1787957154649353_1904952389597659136_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    #อัพเดทยอดล่าสุดครับ
    ในนามเพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรมยานวัดท่าซุง
    #ขอเชิญลูกหลานหลวงพ่อฤาษีร่วมกันทำบุญเพื่อสมทบทุนสร้างพระจุฬามณี
    ณ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่
    ตำบล ป่าไผ่ อำเภอ ลี้ จังหวัด ลำพูน
    (โดยหลวงพ่อพระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ)

    #ท่านที่มีความประสงค์จะร่วมทำบุญสามารถร่วมทำบุญได้ที่
    ชื่อบัญชี
    ภูมิพัฒน์ วงค์อินทร์
    ธนาคารไทยพาณิชย์
    เลขที่บัญชี 401-534-395-0
    พร้อมเพลย์ 3501500159379
    ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
    090-9369708 เอ็กซ์

    ขอโมทนาบุญเป็นอย่างสูงกับ ขอให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรง มีโชคใหญ่ลาภใหญ่ไม่ขาดสาย สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลอุดหนุน พระพุทธศาสนา พร้อมทั้งญาติและบริวารได้ ตลอดไปด้วยเถิด และขอให้ได้บรรลุธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยง่าย และได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด
    สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญ

    #เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรมยานวัดท้าซุง

    50790810_1801056336672768_2321434401923137536_o.jpg
    49949060_1801056313339437_2851698520350523392_o.jpg
    50485422_1801056420006093_945402957040451584_o.jpg
    49345207_1801056400006095_8686631936673710080_o.jpg
    50012348_1801056483339420_4416926212379639808_o.jpg
    50196232_1801056493339419_3699186049927348224_o.jpg
    50277589_1801056460006089_3735345757549494272_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ตายโหงและการทำบุญอุทิศ
    ให้ผีตายโหง
    กรรมที่เป็นอุปฆาตกรรม
    คือบรรดาสัมภเวสี ที่เดินอยู่ข้างหน้า
    เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมา
    มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา
    เวลาที่เขาตาย เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหน นุ่งผ้าประเภทไหน
    ก็แต่งตัวแบบนั้น แล้วก็สำรวยต่าง ๆ ท่าทางแข็งแรง แต่ดูเหมือนว่ามีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง คือมีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหน ไม่รู้จะพักผ่อนที่ไหนได้แน่นอน
    บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก
    นี่ถ้าหากว่าบรรดาเขารู้ในด้านการตัดอุปฆาตกรรม เสียได้แล้วละก็เขาจะมีความสุขมาก
    ถ้าญาติของเราตาย ตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือ ไม่สิ้นอายุ
    ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย มดกัดตาย ยุงกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกยิงตาย รถชนตายหรือที่เรียกกันว่า ตายโหง
    แต่ก็ไม่แน่นักนะ บรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่เผื่อเหนียวไว้ก่อน
    สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี
    พอตายไปแล้วไม่ต้องทำบุญมาก
    ทำบุญให้ได้บุญชัด ๆ
    หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป
    เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร
    เอาพระพุทธรูปมา ๑ องค์
    นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน
    ทำเงียบ ๆ อย่าให้มีเหล้ายาปลาปิ้ง
    อย่าทุบแม้แต่ไข่สักหนึ่งฟอง
    เมื่อทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด
    ถ้าทำอย่างนี้ละท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบเมื่อเข้าถึงอายุขัย เมื่อใด
    ก็เป็นอันว่าพวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน
    จากหนังสือ : ไตรภูมิ
    เรื่อง : อสุรกาย พวกที่ ๑-๒ และ สัมภเวสี
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง)

    50783919_1802608656517536_1498578342285148160_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    การไม่เกิดดีที่สุด
    เมื่อมาพิจารณาขันธ์ ๕ พิจารณาร่างกายว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วแล้วใช้ญาณต่าง ๆ ที่เราได้เป็นเครื่องช่วยอารมณ์มันก็ตัดความสงสัยในคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้าเสียได้ ศีลก็บริสุทธิ์ ต่อมาก็เกิดความเบื่อหน่ายในกามคุณ มีผัวมีเมีย มาแล้วเท่าไรมันตายหมด แล้วก็แก่หมด รสชาติไม่เป็นเรื่อง เราก็มาระงับความโกรธ ตัดความมัวเมาในฌานและอรูปฌาน ตัดมานะความถือตัวถือตนว่าคนและ สัตว์เสีย อารมณ์มันก็ทรงอยู่ในด้านของสมาธิ ด้านกุศลตลอดเวลา ในที่สุด ตัดอวิชชา ความโง่ ออกเสียได้ไม่อยากเกิดต่อไป เพราะเห็นพระนิพพานแล้วเห็นว่าพระนิพพานเต็มไปด้วย สภาพของความแจ่มใส
    โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 5 หน้า 16

    50580526_1805845906193811_6557401861027004416_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ♤ รักษาอารมณ์ปัจจุบันไว้
    .
    “สิ่งใดที่ล่วงไปแล้วจงอย่าตามนึกถึง ใช่ไหม
    มันดีหรือมันชั่วมันก็ล่วงไปแล้ว
    อาหารที่เรากินอร่อยหรือไม่อร่อย
    มันก็ผ่านไปแล้ว มันดึงกลับมาไม่ได้ ใช่ไหม
    .
    ฉะนั้น สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ดีหรือชั่วอย่าตามนึกถึง
    สิ่งใดที่ยังมาไม่ถึงก็จงอย่าคิดถึงมัน
    คือจงรักษาอารมณ์ปัจจุบันไว้
    ปัจจุบันให้ทรงความดีไว้
    .
    ข้างหน้าไม่ต้องกลัว
    เพราะข้างหน้าไม่มี ข้างหลังไม่มี
    ถ้าเราไปตามนึกถึงอารมณ์ความชั่ว
    ในอดีตที่เราทำมาแล้ว
    หมายความว่าถอยหลังไป
    อารมณ์นี้มันจะเกาะเพราะเป็นอารมณ์เลว
    จิตมันเกาะง่าย เพราะมันหยาบ
    ถ้ามันเกาะจิต เวลาจะตายไปหวนคิดแป๊ปเดียว
    ดึงลงนรกเลย”
    .
    ที่มา : หนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๕๗ (หน้า ๑๕)

    50584657_1807856325992769_5491770352621060096_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง เคยเกิดเป็นนายพราน

    ต่อมาได้เป็นกษัตริย์ ในสมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกร
    มีเรื่องที่น่าสนใจมากจากพระดำรัสของสมเด็จพระพุทธทีปังกร เรื่อง เวรและกรรม การฆ่ากันด้วยการจองเวรไม่เป็นเหตุให้ลงนรก แต่ก็ต้องชดใช้เวรที่ทำด้วยการถูกฆ่า หมุนเวียนกันไปมาถึง ๕๐๐ ชาติ
    วันนี้นอนๆ ก็ภาวนาไปเรื่อยๆ (พักอยู่ที่เมืองโอ๊คแลนด์ เดือนมีนาคม ๒๕๒๙) ถ้าอยู่คนเดียวไม่ได้ละ ภาวนาไม่ขาด พอจิตสบายก็ขึ้นไปหาสมเด็จองค์ปัจจุบัน ที่พระจุฬามณี ท่านคุยประเดี๋ยว ก็บอกไปนิพพานเถอะ พอไปถึงนิพพาน ท่านก็คุย
    ท่านถามว่า “นึกออกไหม เธอเคยเกิดสมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกรนะ”
    ก็บอกว่า “นึกไม่ออก ไม่เคยคิด พระพุทธเจ้าข้า”
    ท่านบอกว่า “ดินแดนนี้ สมัยนั้นเธอเคยเกิดเป็นนายพรานอยู่”
    สมเด็จพระพุทธทีปังกรองค์นี้ ท่านบอกว่า ถอยหลังจากสมเด็จพระปุทุมมุตตระไป ๓ สมัย หลายอสงไขยกัป ไม่ใช่เล่นๆ นะ
    ท่านบอกว่า สถานที่นี้มีภูเขาไฟเยอะ ท่านเปรียบเหมือนตะเกียง แต่ขอบเขตของแผ่นดินมันไม่ได้อยู่แค่นี้มันยาวไปอีกหน่อย อีตอนนั้นก็เป็นป่าบ้าง ไม่ใช่ป่าบ้าง ถามท่านเรื่องพาหนะ ท่านบอกว่า สมัยนั้นมีธนูยนต์ ธนูยนต์ คือเครื่องบินหรือจรวด
    ตอนนั้นพรานก็ไม่ใช่แต่งตัวนุ่งผ้าเตียว แต่งตัวสวยมีบริวารเป็นแสนเป็นหัวหน้าคน มีคนเคารพนับถือมาก แต่ไม่ใช่เป็นพรานอย่างเดียวนะ ก็ทำการเกษตร มีการทำนาด้วย แต่ว่าการฆ่าสัตว์ ก็เลือกเฉพาะสัตว์แก่ คือ หมายความว่าสัตว์ยังหนุ่มสาวไม่ฆ่า ถ้าสัตว์แก่แล้วมันใช้งานไม่ได้ ไม่เป็นประโยชน์จึงฆ่า
    ต่อมาเขาประกาศว่า เวลานี้พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านเป็นดาบส เป็นนักบวช ก็พบกับท่านอยู่เสมอ อยู่แดนเดียวกัน และท่านก็สอน แต่ว่าเรื่องการฆ่าสัตว์ท่านไม่สอน เพราะอะไรรู้ไหม ขัดคอกัน
    ท่านก็บอกว่า “นายพรานใหญ่ วันนี้พระพุทธเจ้าเสด็จแล้ว”
    ถามว่า “พระพุทธเจ้าเป็นใคร..?”
    ท่านก็คุยบอกว่า
    “พระพุทธเจ้ามีความวิเศษมาก เหาะเหินเดินอากาศได้ นึกยังไง เป็นยังงั้น มีความศักดิ์สิทธิ์ พูดจาไพเราะ”
    ก็ตกลงไปกับท่าน เมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอกราบท่าน ๓ ครั้ง พอเงยหน้าขึ้นมา ท่านถามว่า “สัตว์แก่ไม่มีประโยชน์รึ ?”
    ตกใจเลย ก็กราบทูลว่า
    “ที่ฆ่าสัตว์แก่เพราะสงสารมัน เห็นว่ากินไม่ทันเขา สัตว์แก่ใช้งานไม่ได้แล้ว อยู่ก็ลำบาก ถูกสัตว์หนุ่มสัตว์สาวรังแก แย่งที่ทำมาหากิน”
    ท่านก็ถามว่า
    “สัตว์แก่นี่พอใจในชีวิตไหม และสัตว์แก่ตัวไหนต้องการตายบ้าง หันไปถามคนข้างๆ ซิ ถามญาติผู้ใหญ่ของเธอว่าอยากตายหรือยัง”
    ก็หันไปถามลุง เห็นหน้าชัดๆ ท่านแก่มาก เวลานั้นอายุตั้งแสนปีนะ เป็นเด็กเท่าไร ๒ หมื่น ๕ พันปี ถามผู้ใหญ่ท่านก็บอกว่า ท่านไม่อยากตาย เมื่อแก่แล้ว ท่านก็มีชีวิตอยู่กับลูกหลาน
    พระพุทธเจ้าหันมาบอก
    “ไม่มีใครเขาอยากตายหรอก การที่เธอทำแบบนี้ ถึงว่าเธอทำตามความจำเป็นก็แล้วแต่ แต่ว่าเขายังไม่พอใจในการตาย”
    พูดตามภาษา เราก็ทำไม่ถูก แต่ท่านไม่หักโหม พระพุทธเจ้าไม่หักโหม ยังพูดแนะนำต่างๆ ว่าการประกอบอาชีพ ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าสัตว์ ผักหญ้าเราหากินเองได้
    แล้วท่านก็ถามว่า
    “เธอนึกออกไหม เธอเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนนะ”
    มาแล้ว หมัดหนักเข้ามาแล้ว ทีนี้ต่อยหนัก ท่านบอกว่า
    “ยังอยู่แค่อสงไขยเศษ บารมีเธอก็จะเต็มพุทธภูมิ เขาไม่ฆ่าสัตว์กันนะ”
    ก็กราบทูลท่านว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ”
    แล้วท่านก็ตรัสว่า
    “ถ้าไม่ทราบก็จงทราบเสีย เวลานี้พระพุทธเจ้าบอกเธอนะ เธอเคยเป็นลูกตถาคตมาก่อน เธอเป็นลูกตั้งแต่สมัยเป็นช้าง แล้วตอนเป็นคนก็หลายสมัย ลูกพระพุทธเจ้าเขาไม่ฆ่าสัตว์กันนะ”
    โดนอย่างหนักเชียวนะ ท่านว่าตามตำรับนะ ลูกพระพุทธเจ้าไม่ฆ่าสัตว์ แล้วท่านก็ตรัสต่อว่า
    “พระโพธิสัตว์ย่อมไม่ทำบาป ถ้าหากว่าจะทำบาปก็เพื่อความอยู่เป็นสุขของคนส่วนมาก คนส่วนน้อยรังแกอย่างนี้อาจจะทำเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ทีนี้พระโพธิสัตว์ฆ่าสัตว์แก่ที่ไม่อยากตาย สัตว์แก่ตายไป ๑ ตัว สัตว์หนุ่มสัตว์สาวที่เป็นลูกหลานมันก็จะเสียใจมาก กำลังใจจะเสีย”
    แล้วท่านก็ตรัสต่อว่า
    “วาสนาบารมีเธอมีมาก ที่ฆ่ามาแล้วเป็นสัตว์ที่เนื่องถึงกัน สัตว์ที่เธอเคยฆ่าเขา เขาเคยฆ่าเธอ แลกกันไปแลกกันมา เวลานี้ สัตว์ประเภทนั้นมันหมดแล้ว ถ้าทำต่อไปมันไม่ใช่เวร แต่เป็นกรรม เวรนั้นไม่ลงนรก เกิดมาเพื่อฆ่ากัน ชาตินี้เราฆ่าเขา ชาติหน้าเขาฆ่าเรา เปลี่ยนกันแบบนั้น ต่อไปนี้มันเป็นกฏของกรรมไม่ใช่เวร มันต้องลงนรก”
    ท่านอธิบายเรื่องนรกเสียละเอียดละออเลย ขณะท่านพูดไป ท่านพูดช้าๆ เสียงเพราะมาก ท่านยิ้มตลอด สมเด็จพระสมณโคดม ท่านบอกว่า ท่านยิ้มกับเธอเท่านั้นนะ กับฉันไม่ค่อยยิ้มหรอก (สมัยเป็นดาบส) ท่านบอกว่า
    “ที่ท่านยิ้มมากๆ ก็เพื่อจะเอาชนะพรานแก่ เพราะนิสัยของเธอชอบคนยิ้ม”
    ท่านรู้นิสัย พอท่านพูดจบก็กราบ สั่งลูกน้องเอาธนู หอก ดาบ แร้ว เอามาถวายพระพุทธเจ้าหมด แล้วท่านก็รับประเคน ท่านรับประเคนแล้วถามว่า
    “เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือฆ่าสัตว์ใช่ไหม” ก็บอกว่าใช่
    “เธอถวายตถาคตหรือ” ก็บอกว่าใช่
    ท่านบอก “ตถาคตเป็นพระพุทธเจ้านะ แต่ตถาคตจะรับ” แล้วท่านก็สั่งเผาเดี่ยวนั้น
    ท่านตรัสต่อไปว่า
    “วาสนาบารมีของเธอก็ดี เวลานี้ในเขตนี้ไม่มีกษัตริย์ แต่ว่าเธอก็สามารถคุมคนได้เป็นแสน ควรจะประกาศตนเป็นกษัตริย์เสีย”
    ทุกคนที่นั่งป๋ออยู่นี่ พูดเก่งยกมือถามพระพุทธเจ้าว่า
    “กษัตริย์ต้องเป็นยังไง พระพุทธเจ้าข้า”
    เวลาพูดท่านยิ้มตลอดเวลา ท่านก็อธิบายถึงเรื่องการเป็นกษัตริย์ว่า ต้องปกครองคนโดยธรรม แนะนำลีลาของการเป็นกษัตริย์ และแนะนำว่ากษัตริย์ต้องทรงศีล ๕ มีทศพิธราชธรรม มีทาน มีศีล เป็นองค์ประกอบ ไม่มีการโกรธละทีนี้
    ที่ท่านพูดแบบนั้นนะ ที่แรกก็ไม่เข้าใจ องค์ปัจจุบันท่านอธิบายเมื่อตอนบ่าย ค่อยเข้าใจ ท่านบอกว่าให้ช่วยประกาศพระศาสนา ลูกน้องของเราทั้งหมดก็อยู่ในเขต ต้องช่วยกัน
    ถามว่าเครื่องแต่งกษัตริย์มีอะไรบ้าง ท่านบอกไม่มีความสำคัญ เวลานี้ไม่จำเป็น ไม่มีก็ไม่เป็นไร และท่านก็บอกว่าลีลาของการเป็นกษัตริย์ ต้องมีอะไรบ้าง กษัตริย์ถือว่าเป็นหัวหน้าคน และการเป็นหัวหน้าคนต้องป้องกันมิให้คนเบียดเบียนกัน ให้ตั้งอุดมการณ์ให้ดี
    ต่อมาก็ยอมรับเป็นกษัตริย์ ท่านตั้งชื่อให้ยาวเลย ปัญจสีลาบรมราชา ก็ว่าเรื่อย ทศพิธราชธรรม และลงท้ายว่า ธรรมราชา แปลว่า พระราชา ผู้ทรงธรรมอย่างยิ่ง เสร็จเลย ท่านมุ่งห้ามฆ่าสัตว์กัน ต่อจากนั้นก็ให้พระอรหันต์ ๕ องค์ แต่มีหัวหน้า ๑ องค์อยู่แนะนำกษัตริย์ในการปกครอง มีอะไรก็ถามพระอรหันต์องค์นั้น เป็นอัครสาวก
    เมื่อเป็นกษัตริย์ขึ้นมาแล้ว ก็ต้องสร้างบ้านสร้างเมือง ก็ถามท่านว่าการสร้างบ้านสร้างเมืองทำอย่างไร ที่ไหนจึงจะดี
    ท่านก็บอกหิมวันตประเทศ น่ะดีที่สุด ให้ตั้งพระราชฐานที่นั่น หิมวันตประเทศอย่านึกว่าเป็นป่าซะหมด มันเป็นป่าเขียวชะอุ่มมีต้นไม้มากเป็นป่าที่มีหมอก มีที่ทำมาหากิน หิมวันตประเทศตอนนั้น อยู่ห่างจากที่นี่ให้ล่องใต้ไป ๓๐ กม.
    ทีนี้มาว่ากันถึงคน ผิวพรรณของคนเป็นคนขาวเหลืองหมด และทรวดทรงดี จากนั้นก็ครองราชสมบัติอยู่ ๕ หมื่นปี สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านบอกจริงๆ ตั้ง ๕ หมื่น ๕ พันปี
    การปกครองก็มีความเป็นสุข เพราะกษัตริย์ไม่ใช่นายคน มี อปจายนกรรม คือการอ่อนน้อม เมื่อเจอคนที่มีอายุแก่กว่า ต้องยกมือไหว้ ท่านบอกว่าการแก่กว่าต้องยกมือไหว้ ท่านบอกว่าการเป็นกษัตริย์ต้องทำแบบนั้น จึงจะชนะคนทุกชั้น ทุกประเภท เราชนะด้วยความดี
    พูดถึงอาชีพเวลานั้น ก็ต้องเลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ท่านก็สั่งไว้ว่า ถ้าต้องการกินเนื้อสัตว์ ก็ให้ไปซื้อจากเขา เราจะไม่บาป เพราะเราไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า ไม่ได้ผลัดกันสั่ง
    และท่านก็บอกว่า การเป็นกษัตริย์สมัยนั้น ดินแดนกว้างขวางมาก มีคนเคารพนบนอบมาก การรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันไม่มี รวมความว่ากษัตริย์ในสมัยนั้นไม่รู้จักคำว่า “รบ” รู้จักอย่างเดียวว่า ที่ไหนมีความทุกข์ ทำอย่างไรจะมีความสุข ต่างคนต่างช่วยกัน
    ถามท่านว่าคนจนมีไหม ท่านตอบว่าคนจนไม่มี นอกจากจะมีความเป็นอยู่เป็นสุข ไอ้สิ่งที่เราต้องการ แก้วและทองมีก็มาก ท่านบอกว่า แก้วก็คือเพชรและพลอย เราก็นำไปแลกเป็นสิ่งของ กับชาติอื่น จากเมืองอื่น เมืองอื่นเขามีความสมบูรณ์ แต่ว่าขาดบางอย่าง เขาขาดของที่เรามี ก็เอาไปแลกกับเขา ของที่เราขาดเขามี ก็เอามาแลกกันไปแลกกันมา
    ฉะนั้น คนจนไม่มี มีแต่คนสวย คนสวยนี่ไม่สวยแต่รูปร่าง เห็นหน้ากันมีแต่คนยิ้ม เห็นหน้าก็ยิ้มกันแต่ไกล ยังไม่ทันเห็นยิ้มแล้ว ยังไม่ทันเห็นหน้ายิ้มไว้ก่อน หน้าบึ้งไม่มี
    (แล้วหลวงพ่อก็สรุปว่า)
    จำได้ไหมว่าถอยหลังจากนี้ไป ๑ อสงไขยกับแสนกัปเศษๆ พวกเราเคยเกิด ณ ที่นี้ (เมืองโอ๊คแลนด์ นิวซีแลนด์) สมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกร ท่านบอกว่าต้องการให้ทราบเรื่องนี้ ต้องการให้ทุกคนทราบว่า
    เกิดมาแล้วกี่เที่ยว เกิดมาแล้วเท่าไร จงอย่าลืมว่าเกิดมาแล้วมีตาย ทรัพย์สมบัติที่เราสร้างไว้นี่ เมื่อตายแล้วเราก็หมดสิทธิ์ เกิดมาใหม่ทรัพย์สมบัติมันก็ยังอยู่ แต่เราไม่มีสิทธิ์จะเข้าไป มีหลายแห่งโผล่ไม่ได้ โผล่ถูกผลักใช่ไหม
    ลงท้าย ท่านก็สรุป อริยสัจจ์ แบบง่ายๆ
    การเกิดจะมีฐานะเป็นยังไงก็ตาม ก็ต้องมีทุกข์ หิวข้าวก็ทุกข์ การประกอบอาชีพก็ทุกข์ ถึงแม้จะมีเครื่องบินขี่ก็ทุกข์ จะมีรถนั่งก็เป็นทุกข์ มันอยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ในร่างกายของเราเอง คือ ความหิว ความต้องการของจิตใจ ถ้าไม่ได้สมความปรารถนาก็เป็นทุกข์
    และเวลาที่ทุกคนจะตาย เมื่อตายแล้วทุกคนก็กลับไปสวรรค์และพรหมกันหมด ไม่ไปนรก ท่านบอกว่าที่ไม่ไปนรกเพราะการฆ่าสัตว์ มีเหตุ ๒ ประการ
    ๑.สัตว์ประเภทนั้นเป็นศัตรูกันมาก่อน และก็จองล้างจองผลาญกันมาก่อน เธอฆ่าฉันได้ ชาติต่อไปถ้ามี ฉันจะฆ่าเธอบ้าง อย่างนี้ต้องแลกกัน ๕๐๐ ชาติ จึงจะหมดเวรนะ
    และคราวนั้นไม่ถึง ๕๐๐ ชาติ แค่เพียง ๓๐ ชาติเศษๆ เพราะเดิมที่พบพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ก็ระงับได้ ถ้าไม่พบพระอรหันต์หรือไม่พบพระพุทธเจ้าระงับ ก็ไม่มีทางระงับได้
    อย่างเวร ต้องระงับด้วยการไม่จองเวร แต่ท่านบอกสัตว์ที่จะพึงฆ่าประเภทนั้น มันหมดไปแล้ว และก็หมดตัวจริงๆ ต่อไปถ้าเราไม่ทำเวรไม่ทำกรรม กรรมที่เป็นอกุศลต่างคนต่างระงับ
    ๒.ช่วงหลังทำบุญอย่างเดียว อันนี้เป็นฌาน ในเมื่อเป็นฌาน เวลาตาย ก็นึกถึงบุญอย่างเดียว ก็ไปสวรรค์บ้าง ไปพรหมบ้าง
    สวัสดี แล้วหลวงพ่อกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “แล้วชาตินี้พวกเราจะไปไหนกันละ….?”

    จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๒๒

    51275655_1812715418840193_3045064167129088000_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    คำสอนหลวงพ่อเรื่อง “วิปัสสนาแบบธรรมชาติ”..

    .. นักวิปัสสนาที่ยังต้องอาศัยเวลา
    ที่สงัด ยังต้องยึดแบบนั้น ท่านว่ายังไกล
    ต่อมรรคผลมาก นักวิปัสสนาที่เข้าระดับ
    วิปัสสนาจริง “ท่านเอาธรรมชาติที่ปรากฏ
    เฉพาะหน้าเป็นเครื่องพิจารณา”

    ขั้นแรกจงเข้าใจคำว่า “วิปัสสนา”
    เสียก่อน คำว่า “วิปัสสนา” แปลว่า “รู้แจ้ง
    เห็นจริงตามความเป็นจริง” วิปัสสนาท่าน
    แปลว่าอย่างนั้น หรือจะพูดเป็นภาษาไทย
    แท้ก็ได้ความว่า “ยอมรับมันถือกฎ
    ธรรมดา”

    เมื่อได้ความอย่างนี้แล้วการเจริญ
    วิปัสสนาก็ไม่มีอะไรยาก ความจริงวิปัสสนา
    นี้มีวิธีเจริญง่ายมาก ง่ายกว่าระดับสมาธิ
    มาก คือ “ยกอารมณ์ให้เข้าถึงความเป็น
    จริง คล้อยตามความเป็นจริง ไม่ฝืน
    ความจริง”

    รับรู้รับทราบตามกฎของความ
    เป็นจริงตลอดเวลา และไม่พยายามฝ่าฝืน
    กฎธรรมดาเป็นอันขาด กฎของธรรมดามี
    อย่างนี้ ไม่ว่าอะไรที่เราได้มาหรือเห็นอยู่
    ตามกฎที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็คือ

    เมื่อมันเกิดมาใหม่ มันเป็นของใหม่
    แต่ต่อไปมันจะค่อยๆ เก่าลงทุกทีตามวัน
    เวลาที่ล่วงไปแล้ว ในที่สุดมันก็จะต้องแตก
    ทำลาย สิ่งที่มีชีวิตต้องตาย สิ่งที่ไม่มีชีวิต
    ต้องผุพัง กฎธรรมดามีเท่านี้ จะเป็นใคร
    ก็ตามแม้แต่ตัวเรา ลูกเรา หลานเรา

    ไม่ว่าท่านผู้วิเศษที่ไหนเป็นอย่างนี้
    เหมือนกันหมด จำเข้าไว้และคำนึงไว้เป็น
    ปกติ อย่าคิดเฉยๆ พยายามทำอารมณ์จิต
    ให้เข้าระดับจริงๆ คือคิดแล้วปลงด้วย
    โดยปลงว่า ก็อะไรๆ มันไม่แน่นอนอย่างนี้

    เราควรหรือที่จะยึดจะเกาะสิ่งทั้งหมด
    ที่เห็นที่มีอยู่และกำลังจะมีว่า มันเป็นเรา
    เป็นของเรา ถ้าคิดอย่างนั้นมันก็ผิดถนัด
    เป็นการหลอกหลอนตัวเอง เพราะมันต้อง
    เก่า ต้องทำลายเมื่อมันมีสภาพอย่างนี้
    ทั้งหมด

    การเกิดในโลกที่เต็มไปด้วยความ
    กลับกลอกหลอกหลอนโกหกมดเท็จอย่าง
    นี้มีอะไรเป็นของน่ารัก น่าทะนุถนอม
    น่าปรารถนาบ้าง พยายามคิด คิดให้เห็น
    ว่าความจริงมันน่าเบื่อจริงๆ ไม่ว่าคน
    หรือสัตว์ แม้แต่วัตถุที่ไม่มีวิญญาณ
    หาอะไรคงสภาพไม่มี

    พยายามแสวงหา สะสมกันเสียพอแรง
    แต่แล้วก็ผิดหวัง เมื่อจะหามา เลือกแล้ว
    เลือกอีกเอาสวยๆ งามที่สุดเท่าที่จะหาได้
    ดูทนทานแข็งแรงที่สุดเท่าที่จะมีในโลกนี้
    แล้วมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อได้มาแล้วมันจะ
    ค่อยๆ คลายความสวยลง

    แล้วก็เริ่มคร่ำคร่าลงทุกวันทุกเวลา
    ในที่สุดก็พัง โลกคือความเกิดเต็มไปด้วย
    ความคร่ำคร่าผุพัง น่าเบื่อหน่ายน่าเอือม
    ระอาเป็นที่สุดต่อเมื่ออาการพังทลาย
    ปรากฏ ทำจิตอย่าให้หวั่นไหวเพราะเรา
    ทราบแล้วว่า มันต้องเป็นอย่างนั้น

    ยิ้มรับความสลายตัวของทรัพย์สิน
    ด้วยอารมณ์ชื่นบาน และรับทราบมีอารมณ์
    ปกติเมื่อความตายมาถึงตน มีความ
    ชื่นบานด้วยความคิดว่าดีแล้ว โลกศิวิไลซ์
    ด้วยความปลิ้นปล้อนตลบตะแลง เราสิ้น
    ชาติสิ้นภพกันที

    การสิ้นลมปราณคราวนี้เป็นการสิ้น
    ทุกอย่างเราจะไม่มีทุกข์อีก เพราะเราไม่
    ปรารถนาความเกิดอีก “ขึ้นชื่อว่าชาติภพ
    ความเกิดจะเกิดในแดนใดเราไม่ต้องการ
    มีสถานเดียวคือพระนิพพานเท่านั้น”
    เป็นสถานที่ที่เราปรารถนา

    ทำอารมณ์พอใจในพระนิพพาน
    ให้เป็นปกติ สร้างความรู้สึกตามกฎ
    ธรรมดา รู้เกิด รู้เสื่อม รู้สลายของ ของ
    ทุกชนิด จนมีอารมณ์ปกติไม่หวั่นไหวใน
    เมื่อมรณภัยมาถึงสมบัติ ญาติ บุตร สามี
    ภรรยา ในที่สุดแม้แต่ตัวเรา

    อารมณ์เป็นปกติอย่างนี้ตลอดวัน
    ไม่ดีใจในเมื่อมีลาภ ได้ยศ รับคำสรรเสริญ
    มีความสุข ไม่หวั่นไหว ในเมื่อสิ้นลาภ
    สิ้นยศ ถูกนินทา มีความทุกข์ เท่านี้
    น่าภูมิใจได้แล้ว ท่านสิ้นภาระในทุกขภัย
    แล้ว ต่อไปท่านมีพระนิพพานเป็นที่ไป
    แน่นอน

    นักวิปัสสนาญาณเจริญอย่างนี้โดยที่
    “เห็นรูปกระทบตลอดวัน ท่านจึงจะนับว่า
    เป็นนักวิปัสสนาญาณแท้ และเข้า
    วิปัสสนาญาณจริง” ถ้ายังรอวันรอเวลา
    ที่สงัดอยู่แล้วยังหรอกท่าน ยังไกลคำว่า
    วิปัสสนาญาณมากนัก ..

    (พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

    51037703_1821033854675016_1138624486191398912_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...