ต้นเหตุแห่งธรรมเรื่องนี้เกิดจาก เพื่อนของผมท่านยกเอาเรื่องของหลวงพ่อที่ท่านเล่าไว้ในอดีตว่า ท่านเมาอยู่ในสมาธิมา ๒๓ ปี
เอาธรรมจุดนี้มาใคร่ครวญในปัจจุบันด้วยปัญญา ก็พบความจริงว่า ขนาดหลวงพ่อยังต้องใช้เวลาถึง ๒๓ ปี กว่าจะชนะกิเลสได้เด็ดขาด (ตัดสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ได้ขาด) แล้วเราเล่าจะต้องใช้เวลาขนาดไหน ยิ่งมีอารมณ์ใจร้อนอยากจะบรรลุเร็ว ๆ อยากมีฤทธิ์มีเดช อยากเด่น อยากดัง ล้วนเป็นอยากเลวทั้งสิ้น หรือล้วนเป็นตัณหา เป็นสมุทัย เป็นต้นเหตุให้จิตขยันหาทุกข์เพิ่มทุกข์ ยึดทุกข์ให้เพิ่มมากขึ้นทั้งสิ้น เมื่อเริ่มต้นผิดเป็นมิจฉามรรคแล้ว ผลมันจะเกิดได้อย่างไร เมื่อฟุ้งมาถึงจุนี้ หลวงพ่อท่านก็เมตตามาสอนให้ว่า
๑. "เออ รู้ตัวไว้บ้างก็ดี แต่ไม่ใช่รู้แล้วปล่อยกรรมฐานให้หลุดไปจากใจ ไอ้ที่จะค้างเติ่งอยู่นาน ก็ตรงอนาคามีมรรคนี่แหละ ไม่ค่อยจะมีใครได้เร็ว ตัดรัก ตัดโกรธ มันต้องใช้ความเพียรสูง ถ้าใจมันสู้เสียอย่างเดียว อารมณ์ไหนมาปะทะ ไม่ถอย ตั้งหน้าลุยมันไปข้างหน้าลูกเดียว"
๒. "จับหลักพรหมวิหาร ๔ ไว้ให้มั่น เอามาคิดพิจารณาให้ครบทั้ง ๔ ตัว วางอารมณ์ของใจไว้ให้ถูก ในขณะจิตถูกกระทบด้วยอารมณ์นั้น ๆ ค่อย ๆ กำราบมันไป เอ็งเกิดได้ข้าก็หักล้างเอ็งได้ ชนะบ้าง แพ้บ้าง ก็ให้รู้ว่าชนะหรือแพ้ แต่ขอให้ได้ชื่อว่าต่อสู้กับมันสุดกำลังใจก็แล้วกัน "
๓. "แพ้รู้ ชนะรู้ แต่คำว่าท้อถอยไม่มีอยู่ในใจ แพ้เวลานี้โอกาสหน้าเราสู้ใหม่ สู้มันเข้าไปทุก ๆ เวลา เขาต้องทำกันอย่างนี้ จึงจะเอาชนะอารมณ์รัก อารมณ์โกรธได้" (ก็คิดว่าที่ตนแพ้อยู่เสมอ ๆ คือ อารมณ์คิดถึงหลวงพ่อ)
๔. ก็อารมณ์รักนั่นแหละ เอ็งมันหลงเปลือกของพ่อ ก็ต้องตัดด้วยพรหมวิหาร ๔ กับ กายคตาและมรณา และอสุภะ นึกถึงสภาพร่างกายว่าไม่เที่ยงซิลูก" (ก็คิดว่า มันทำไม่ได้นาน เดี๋ยวมันก็กลายมาเกาะใหม่)
๕. "เกาะอย่างนั้น มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ล่ะ (ตอบว่าเป็นทุกข์) เมื่อรู้ว่าทุกข์ก็ต้องเลิกเกาะ พยายามวางเฉยในเรื่องที่รู้ทั้งหมด ปล่อยให้กาลเวลาพิสูจน์ธรรม ถ้าปล่อยให้อารมณ์จมทุกข์อยู่อย่างนี้ จะมีประโยชน์อะไร"
๖. "อย่าลืมนะ มันเป็นความเศร้าหมองของจิตที่จะต้องหมั่นลบล้างออกไป จิตของพ่อตั้งมั่นอยู่ที่พระนิพพาน แต่ถ้าเอ็งตายในขณะที่จิตเศร้าหมองอยู่อย่างนี้ เอ็งก็จะไปสู่อบายภูมิแทน อย่างนี้แล้วจะพบกันได้อย่างไร"
๗. "อุตสาห์สอนเอ็งแทบตาย ก็ยังเอาดีไม่ได้ ต้องพยายามตัดอารมณ์เกาะร่างกายของพ่อลงเสียให้ได้ ใช้สัจธรรม ๕ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา ทุกสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง แล้วเอ็งจะมายึดอยู่เพื่อประโยชน์อะไร"
๘. "เอ็งไม่หวังมาเกิดอีก ก็ต้องคิดให้เป็น อย่าทำตัวเป็นคนโง่ ปล่อยให้อารมณ์ฝืนกฎธรรมดามันมาหลอกเอา จมทุกข์อยู่อย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติ ก็เอาดีไม่ได้ "
๙. "อย่าลืม พ่อสอนมาตลอดว่า ห้ามยึดขันธ์ ๕ ห้ามเกาะเสียง ให้ยึดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามพระธรรมนั้น ถ้ายังยึดเกาะขันธ์ ๕ กับเสียงอยู่ ถือว่าเจ้าขัดคำสั่งของพ่อและของพระพุทธเจ้าด้วย อย่าลืมพระองค์สอนให้ละ ปล่อย วางขันธ์ ๕ เวลานี้เอ็งประพฤติปฏิบัติผิดแนวคำสอนของพระองค์"
๑๐. "อยากหมดทุกข์ก็ต้องทำตามคำสั่งสอนของท่าน ถ้าอยากจมทุกข์ก็จงเกาะขันธ์ ๕ ของพ่อต่อไป ทุกอย่างต้องใช้ปัญญาพิจารณาช่วยตนเองทั้งนั้น ถ้าช่วยตนเองไม่ได้คนอื่นก็ช่วยไม่ได้ "
จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
เมาอยู่ในสมาธิ ๒๓ปี เพราะอนาคามีมรรค : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 13 ตุลาคม 2014.
-
-
ก็มีอีกแง่หนึ่ง คือติดความดีของท่าน คิดถึงแต่หลวงพ่อ"ติดพระ"ถ้าตายไปตอนนั้น ความที่จิตเกาะอยู่กับพระ ก็จะไปอยู่กับพระ แล้วพระท่านตอนนี้อยู่นิพพานไงคะ ขออภัยถ้าคิดผิด
กราบหลวงพ่อเจ้าค่ะ
(เออ มันยังดื้ออยู่ เดี๋ยวเขกหัวให้เลย) -
ติดพระ ไม่น่าไปนิพพานได้นะครับ แต่สวรรค์กับพรหมไปได้แน่ ยืนยันครับ
หลวงพ่อท่านใช้คำว่า "เอาจิตเกาะนิพพาน" คือระลึกถึงนิพพานเป็นอนุสสติอย่างนึง
คราวนี้ลองอ่านในหนังสือของท่านที่พูดถึงการตายหลายๆครั้งของท่าน ท่านว่าเมื่อร่างกายมันทนไม่ไหว จิตของท่านก็รวมตัว จิตเป็นสมาธิเร็วมาก วิปัสสนาทุกอย่างที่ท่านเคยพิจารณาก็รวมตัวเข้าหมด ครู่นึงจิตก็ปล่อยทุกอย่างออกหมดเลย คำว่าพ่อก็ไม่มี แม่ก็ไม่มี เราก็ไม่มี เขาก็ไม่มี มันทิ้งทุกอย่าง ความดีก็ไม่เกาะ ความชั่วก็ไม่เกาะ ชาติภพพังทลายลง เหลือแต่จิตดั้งเดิมไม่มีการปรุงแต่งอะไรแล้ว เหลือแต่ตัวผู้รู้ ก่อนที่พระท่านจะมาบอกว่างานของคุณยังไม่เสร็จคุณยังไปไม่ได้ หลวงพ่อก็เลยฟื้น -
ก็ยังดี ไปต่อข้างบน ขอบพระคุณค่ะท่านLLo