Thank you K.แอนโทนี่
สาบานได้นะค่ะเรื่องที่เล่าไม่ได้อุปทานหรือแต่งเอง ตัวเองไม่ได้นั่งสมาธิไม่มีฌานหรือไม่มีอำนาจวิเศษ ทุกอย่างได้รับสัมผัสอย่างมีสติสัมปั_ชั__ะ เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ดิฉันก็ไม่ได้เป็นโรคคิดไปเองวาดภาพเอาเองนะคะ เรื่องจริงๆเลยค่ะ ถ้าใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ...ขอบคุณแล้วกันค่ะที่อุตส่าห์อ่านจนจบ
เมื่อวานได้ฌาน ๔ ค่ะ ง่ายมากๆเลยค่ะ สามารถเข้าได้ตลอดเวลาเลยค่ะ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นภาลัย, 14 พฤศจิกายน 2004.
หน้า 3 ของ 3
-
-
Re: อีกทีค่ะ
-
Re: ช่วยดิฉันด้วยคะ ...
คงเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราครับ คงเคยไปทำอะไรไม่ดีกับเขาไว้
ขอให้ทำบุ_อุทิศส่วนกุศลให้เขาเสมอ และก็แผ่เมตตา
พระรัตนตรัยจะเป็นที่พึงของเรา และก็อยากแนะนำให้เจริ_สมาธิภาวนาด้วยนะครับ บุ_กุศลในส่วนนี้อาจจะทำให้เขาลดความอาฆาตลงบ้าง
เดี๋ยวรอให้คนอื่นมาแนะนำต่อนะครับ
-
ฌาณกับการตัดกิเลส
สวัสดีครับ คือว่าไม่ได้มาคัดค้านคุณนภาลัยน่ะครับ เพียงแต่อยากจะถ่ายทอดสิ่งที่ได้รับรู้มาจากการฟังเทศนาของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน โคราชน่ะครับ คือท่านบอกว่า ถ้าจิตของเราอยู่ในองค์ฌาณนั้น เราจะไม่สามารถพิจารณาอะไรได้เลย จิตที่จะยกเอาไตรลักษณ์ หรือเอาข้อธรรมอื่นๆ มาพิจารณาได้นั้น จะเป็นจิตที่อยู่ในขั้นอุปจารสมาธิน่ะครับ คือว่าท่านไม่ได้สอนว่าฌาณไม่ดีน่ะครับ เพราะท่านยังบอกอีกว่า ฌาณนั้นจะเป็นกำลังของจิต หมายถึงว่าถ้าคนไม่ได้ฌาณ แล้วนำเอาไตรลักษณ์ หรือข้อธรรมอื่นๆ มาพิจารณา นั้นยังเป็นการนึกคิดไปเอง แต่ว่าก็สามารถทำได้ คือต้องนึกคิดไปอย่างนั้น แล้วจิตเชื่ออย่างนั้นจริงๆ พิจารณาไป ๆ คิดไปว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วในที่สุดจิตจะเข้าองค์ฌาณเองครับ เพราะการเริ่มต้นพิจารณานั้น ก็เหมือนการเริ่มทำสมาธิน่ะครับ เริ่มแรกก็ต้องมีวิตก วิจารก่อน วิตก วิจารในที่นี้ก็คือการพิจารณาธรรมต่างๆเหล่านั้นเอง
ถ้าท่านจะใช้ฌาณในการตัดกิเลสได้นั้น อย่างน้อยท่านต้องได้ฌาณที่สูงกว่าฌาณ4 ตามที่ผมเข้าใจ อย่างไรก็ตาม การที่ได้ฌาณ 4 ก็เป็นการใกล้ต่อการตัดกิเลสเข้าไปทุกที อย่างที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านบอกว่า ถ้าคุณได้อภิ__า 6 รู้สึกว่าท่านจะบอกว่าได้เป็นโสดาบัน โดยอัตโนมัติล่ะมังครับ ไม่แน่ใจน่ะ แต่ว่าอภิ__า 6 นั้นเป็นอภิ__าที่มีกำลังมาก และใช้ตัดกิเลสได้แน่นอน
สำหรับผู้ทรงฌาณนั้น การทรงฌาณนั้น เป็นเพียงการข่ม ระงับ นิวรณ์ 5 เท่านั้น เปรียบอุปมาเหมือนท่านนำหินก้อนให_่ ไปทับกอห_้า ห_้าก็จะไม่สามารถเจริ_งอกงาม เมื่อหินทับอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่ากอห_้าได้ถูกรื้อถอนออกไปแล้ว เมื่อไรที่ท่านยกหินออก ห_้าเหล่านั้นก็จะสามารถเจริ_งอกงามได้อีก
แน่นอนว่าถ้าท่านได้ฌาณ4 นั้น ย่อมทำให้จิตมีกำลังไปด้วย ทีนี้เมื่อแม้ฌาณ 4 ของท่านยังมีกำลังได้ นับประสาอะไรกับกำลังจิตของท่านในอุปจารสมาธิล่ะ สำหรับประสบการณ์ในการปฏิบัติของผมนั้น ถ้าอยู่ในอารมณ์ฌาณ เน้นว่าอารมณ์ฌาณ ไม่ได้บอกว่าสำเร็จฌาณ ขั้นโน้นขั้นนี้น่ะครับ จะเป็นจิตที่มีกำลัง แต่ไม่ได้เป็นสภาวะจิตที่ทำให้เกิดปั__า จึงต้องลดจิตลงมาอยู่ในอุปจารสมาธิเพื่อพิจารณา พระไตรลักษณ์ หรือธรรมอื่นๆ อย่างนี้จึงเกิดปั__า แต่ทีนี้ว่าฌาณของผมยังไม่ถึงฌาณ 4 เพราะมันกลัวตาย เวลาลมหายใจจะหมด จริงๆไม่ใช่กลัวตาย แต่กลัวว่าลมหายใจจะขาด เพราะว่าลมหายใจ มันละเอียดๆ เข้าทุกที เหมือนกับกำลังจะไม่มีลมหายใจ จิตจึงถอยลงมา นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมยังไม่ถึงไหน แต่อย่างน้อยๆ จิตก็มีกำลังอยู่บ้าง แต่ก็ย้งติดอยู่กับ สุข และเอกัตคตา แค่นั้นเอง
แต่อุปจารสมาธิก็มีประโยชน์มากอีกอย่างหนึ่งคือ ท่านจะสามารถใช้จิตที่อยู่ในอุปจารสมาธิ สัมผัสสิ่งต่างๆได้ เช่นวิ__าณ หรือเทพ หรือแม้แต่พลังของวัตถุมงคล หรือพระเครื่องต่างๆ ได้ จิตที่พระเถระต่างๆใช้ในการปลุกเสกวัตถุมงคลนั้น หลวงพ่อพุธ ท่านบอกว่าเป็นจิตในสภาวะอุปจารสมาธิ เข้าใจว่าคงจะเหมือนกับที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านสอน ในเรื่องการอธิษฐานฤทธิ์นั่นแหละครับ ที่ท่านบอกว่าการอธิษฐานฤทธิ์สามารถทำได้ โดยอธิษฐานไว้ก่อนว่าอยากให้เกิดฤทธิ์อะไรในอุปจารสมาธิ แล้วก็เข้าองค์ฌาณ 1 ถึง 4 ไล่ระดับไป แล้วก็ถอยจาก 4 ลงมาถึงอุปจารสมาธิ แล้วก็อธิษฐานซ้ำ ทำอย่างนี้ซ้ำไป ซ้ำมา แล้วก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ได้อย่างใจ ตามกำลังของจิต และระดับขององค์ฌาณน่ะครับ เวลาพระท่านเสกเครื่องราง หรือวัตถุมงคล ท่านก็คงทำอย่างเดียวกัน คืออธิษฐานไว้ก่อนว่าอยากให้มีพุทธคุณทางไหน อธิษฐานขอเชิ_พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ แล้วก็เข้าฌาณ เข้าๆ ออกๆ อธิษฐาน วิธีเดียวกับที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านสอนวิธีอธิษฐานฤทธิ์น่ะครับ
อย่างน้อยก็ยินดีครับ ที่ยังมีผู้ใฝ่ใจปฏิบัติธรรม แต่การปฏิบัติของแต่ละคน นั้นสิ่งที่ต้องระวังก็คือ อุปาทานครับ
ย้ำว่าไม่ได้มาโต้แย้งคุณนภาลัยน่ะครับ -
ขอโทษทีครับคุณ Kitty พอดีผมหากระทู้นี้ไม่เจอน่ะครับ แต่ผมก็ได้ตามไปตอบคุณในกระทู้อื่นอีกกระทู้หนึ่งที่คุณได้ไปโพสต์ขอความช่วยเหลือน่ะครับ เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันเลยก็แล้วน่ะครับ
อย่างที่ผมบอกไปแล้ว แต่เป็นภาษาอังกฤษน่ะครับ ก็
1. อย่าไปโกรธแค้น และพยาบาทเขา
2. ทำบุ_มากๆ และบ่อยๆ เช่นถวายสังฆทาน ตักบาตร แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาเหล่านั้นทุกวัน
3. การทำบุ_อย่างเดียวคงไม่พอ ในกรณีที่เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวร เพราะว่าการที่เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวร และผูกพยาบาทคุณมาจนถึงป่านนี้ แสดงว่าเขามีความอาฆาตรสูง สิ่งที่ผมจะแนะนำคือ สวดมนต์บ่อยๆ ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอด้วยซ้ำ สิ่งที่จำเป็นต้องทำอย่างยิ่งคือ การเจริ_พระกรรมฐาน แต่ว่าถ้าคุณกลัวสิ่งลี้ลับอยู่ แนะนำว่าอย่าทำคนเดียว ควรจะหาครูบาอาจารย์ที่ เชี่ยวชา_กรรมฐาน เช่นครูบาอาจารย์กรรมฐานสายพระป่าเป็นต้น ปรึกษาครูบาอาจารย์ เช่นหลวงปู่จันทร์(แรม) เขมสิริ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน จ.บุรีรัมย์ แต่ถ้าไม่สะดวก มีอีกที่จะแนะนำคือ ไปปรึกษา หลวงพ่อจรั_ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี อยู่ที่ว่าที่ใดที่ใกล้บ้านคุณ และสะดวกกับการไปนมัสการ และเรียนถามท่าน
ผมไม่ได้เก่งอะไร ก็แค่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม และคำรบนบนอบ และน้อมนำเอาคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาปฏิบัติเท่านั้นครับ
สิ่งที่จะแนะนำอีกอย่างคือ ควรเจริ_กายคตาสติครับ อย่าไปติดยึดกับ นิมิตรต่างๆ เพราะว่าถ้าเราเพิ่งเริ่มต้น ปฏิบัติ บารมียังไม่พอ สมาธิยังไม่แก่กล้า เราอาจจะหลงไปในนิมิตรได้ อาจจะหลงไปในอุปาทานได้ครับ หลวงปู่มั่นท่านก็สอนไม่ให้หลงไปในนิมิตรครับ อาจเกิดวิปัสนูกิเลสได้ครับ
อีกอย่างที่ควรทำก็คือ การสวดมนต์ และแนะนำให้สวดพระคาถาชินบั_ชรครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีวิ__าณที่ประสงค์มาหาน่ะครับ ผมก็เลยเจริ_พระคาถาชินบั_ชร เพิ่งเริ่มท่องแค่ไม่กี่คำเอง และพอดีตอนนั้นผมใส่ พระสมเด็จวัดระ
ฆัง รุ่น 100 ปีอยู่น่ะครับ ก็ปรากฎเป็นลูกไฟ 3 ดวงพุ่งออกไปใส่วิ__าณ ๆ ก็ร้องโหยหวน แล้วหายไป อันนี้เป็นเพียงประสบการณ์ 1 ที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาน่ะครับ ผมเชื่อว่ามีผู้ประสบเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้หลายคนครับ การสวดพระคาถาชินบั_ชร นั้นเท่ากับเป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มครองตนเองครับ เป็นการเชิ_พระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ และพระสังฆานุภาพมาคุ้มตนครับ ไม่มีอะไรจะยิ่งให_่พุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณหรอกครับคุณ
และก็แนะนำให้อธิษฐาน เวลาไหว้พระสวดมนต์ ให้ปฏิ_าณตนว่า ขอถือพระรัตนตรัย เป็นสรณะ และไม่มีสรณะอื่นที่ยิ่งไปกว่า ให้มอบกายถวายชีวิต ให้แก่พระรัตนตรัยน่ะครับ อีกทั้งขอบารมีพระรัตนตรัยคุ้มครองเรา เวลาเดินทางไปที่ใด ให้อาธนาบารมีพระแม่ธรณี และพระรัตนตรัยคุ้มครองเรา ในแผ่นดินนี้ไม่มีใครยิ่งให_่ไปกว่า พระแม่ธรณี และในจักรวาลนี้ไม่มีใครยิ่งให_่ไปกว่า พระรัตนตรัยน่ะครับ ที่เอ่ยถึงพระแม่ธรณีนั้น ก็เพราะว่าท่านมีคุณกับเราอย่างให_่หลวง อีกทั้งท่านยังเกี่ยวข้องกับพระพุทธประวัติ ในขณะที่องค์สมเด็จพระสรรพพั__ู กำลังจะตรัสรู้ ที่มีพ_ามารมาเกี่ยวข้องนั่นเอง
สุดท้ายนี้ก็ขออวยพรให้คุณโชคดีน่ะครับ กุศลผลบุ_ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็_มาก็ขอให้คุณอนุโมทนาเอาเองเถิด และขอแผ่กุศลนี้ให้ถึงแก่เจ้ากรรมนายเวรของคุณ และท่านทั้งหลายด้วย ขอให้เจ้ากรรมนายเวรของท่านทั้งหลาย จงโมทนาในกุศลที่ท่านทั้งหลาย และที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็_มาแล้วนั้น และขอจงอโหสิกรรมและอย่าได้ผูกพยาบาทจองเวร จองกรรมกันต่อไปอีกเลย ขอกรรมทั้งหลายนั้น จงเป็นอโหสิกรรม จนตราบที่ท่านทั้งหลายและข้าพเจ้า จะย่างท้าวเข้าสู่พระนิพพานนั้นเทอ_ฯ
การอธิษฐานและการแผ่เมตตานั้น ได้ผลเป็นที่ยิ่ง ที่ผ่านมา ผมก็มีเพื่อนอยู่ 2 คนที่เจอปั_หาเช่นเดียวกันกับคุณ มีอยู่คนหนึ่งที่เจอหนักกว่าคุณอีกน่ะครับ คือจะเจอแทบตลอด ไม่เพียงแต่เจอกับตัวเอง แต่จะให้คนรอบข้างเจอด้วย มาอำบ้าง มาปรากฎกายให้เห็นบ้าง เอาเล็บมากรีดเพื่อนข้าพเจ้าบ้าง เพื่อนข้าพเจ้าเจอมาสารพัด ก็แนะนำเขาให้ทำอย่างที่ผมแนะนำนี่แหละ และผมก็คอยปฏิบัติ และแผ่เมตตาช่วยเหลือเขาอีกแรงหนึ่ง จนทุกวันนี้ไม่เจอแล้วครับ ทุกอย่างในชีวิตก็ราบรื่น มีความสุขดีครับ ส่วนอีกคนเป็นคนที่ไม่ค่อยจะปฏิบัติ แต่ก็ทำบุ_บ้าง นี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร คือยากน่ะครับที่จะช่วยเหลือคนที่ไม่ค่อยทำบุ_ ไม่ค่อยศรัทธา และเป็นคนที่ไม่ปฏิบัติน่ะครับ
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไปปรึกษา ครูบาอาจารย์สายกรรมฐาน ท่านย่อมให้คำแนะนำที่ดีกว่าผมแน่นอน เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้ทรงคุณธรรม ครับ ผมมันก็แค่มนุษย์เดินดิน ที่ชอบทำกุศล และปฏิบัติธรรมเท่านั้นครับ
ท้ายสุดถ้าอยากได้คาถาดีอีกคาถาหนึ่งผมจะบอกให้ครับ เป็นคาถาอาวุธพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คาถาที่จะใช้ไปทำร้ายวิ__าณน่ะครับ คาถานี้อ้างถึง ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงพิชิตมาร โดยที่พระองค์ทรงอธิษฐาน ถึงบารมีทุกๆอย่าง ที่พระองค์ได้เคยทรงบำเพ็_ไว้แต่อดีตกาล เริ่มกันเลยครับ
ตั้งนะโม 3 จบ
อายันตุโภนโต อิธะทานะ สีลา เนกขัมมะปั__า สหวิริยะขันติ สัจจาธิษฐานะ เมตตุเปกขา ยุทธายะโว คันหะ อาวุธานีติ
เป็นการอธิษฐานบารมีต่างๆ เช่น คุณแห่งการรักษาศีล คุณแห่งเนกขัมมะบารมีเป็นต้น บารมีอื่นๆในพระคาถาน่าจะแปลกันได้น่ะครับ
ขออวยพรให้โชคดีน่ะครับ ขอให้ลุล่วงบ่วงมารน่ะครับ -
To คุณแอนโทนี่ ค่ะ
ขอบพระคุณ คุณแอนโทนี่มากๆค่ะ
ดิฉันจะพยายามปฏิบัติตามที่คุณโทนี่ และ คุณ ธุลีดิน ได้แนะนำมาค่ะ ขอบพระคุณมากๆน่ะคะ จากใจจริง ขอให้พวกคุณทั้งหลายจงพบแต่ความสุขนะคะ -
อุปทาน มากกว่า _าณ นะ
ส่วนมาก ที่บอกว่า มี_าณ จะเป็น ความรู้สึก ที่ไม่เคยเจอมาก่อน แค่นั้นเอง เช่น การนั่งสมาธิ แล้วรู้สึกปลอดโปร่ง เงียบ สนิท ซึ่งโดยปกติถ้า อารมณ์ สบาย ๆ มันก็ทำกันได้ทุกคนแหละครับ เหมือนกับตอนที่เรานอนหลับสนิทงัยครับ ยิ่ง นอนกรน ด้วย ยิ่ง นิ่งสนิทมาก -
ถ้าได้ฌาณ ๔ ให้ถอดจิตมาเข้าฝันสมาชิกทั้งเว็บไซต์เลย 555555555555555555555555555555555555555555555555
-
น่ายินดีด้วย...
ไม่ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ มันจะสำคั_อะไร เขาก็ได้พยายามทำความดี และบ้างคนอาจไม่เคยทำอย่างเขาเลยก็ได้ รู้มามากเรียนมาก็มากแต่ไม่เคยทำเลย ทำผิดยังดีกว่ามิได้ทำ จริงไหม๊ และน่ายินดียิ่งกว่านั้นที่มีผู้เดินทางนี้มาแล้ว( คุณ Antony ) ออกมาแนะนำน้องๆ ดีกว่านิ่งเฉยแล้วปล่อยให้เป็นเหยื่อของพวกอวิชาทั้งหลาย
เป็นกำลังใจให้ทุกๆ ท่านที่เพียรทำความดีทุกชนิด และขอขอบคุณผู้ที่เดินทางทุกท่าน ที่ไม่ปล่อยให้อวิชชาครอบงำผู้หัดเดินทาง เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคั_มาก
เริ่มต้นผิด ดีกว่าไม่เริ่มต้นเลย องคุลีมารสำเร็จเป็นพระอรหัตได้ด้วยนิ้วที่
100 พอดี -
เรื่องนี้ละเอียดอ่อนนะครับคุณนภาลัย ควรหาพระผู้ปฎิบัติสอบอารมณ์ก็จะดีนะครับ อย่างน้อยจะได้แน่ชัดว่าเดินมาถูกแล้ว ผมอนุโมทนาบุ_อย่างมากนะครับในสิ่งที่คุณพยายามหรือได้กระทำดีอยู่ และหากทำแล้วเข้าใจถูกต้องตรงกันในผลปฎิบัติที่ครูบาอาจารย์ได้ผ่านมาแล้วก็ยิ่งดีให_่เลยครับ นะครับอย่างไรเสียควรสอบอารมณ์กับครูบาอาจารย์ดีกว่า อย่างน้อยจะได้ไม่เสียเวลาและจะได้ต่อยอดได้ถูกต้องต่อไป
-
เห็นด้วยกับคุณ ปกรณ์
เดี๋ยวหมดกำลังใจ หรือ เกิด ความไม่มั่นใจ หรือ ลังเลสงสัย เลย เลิกปฏิบัติ
ที่คุณทำได้มานะ อาจเป็น 1 ใน 100 หรือ 1 ใน 1000 ที่ได้ระดับนี้
ถ้าคุณเลิกไม่ทำต่อ เดี๋ยวจะเสียดายนะ -
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ
-
นภาลัย
Member
Registered: Nov 2004
Location:
Posts: 76
ข้อความที่ # 15
อธิบายไม่ค่อยเป็นค่ะ ศึกษามาน้อย เอาตอนที่เข้าใจเลยก็แล้วกันค่ะ
เป็นฌาน ๔ แบบไม่มีฤทธิ์นะคะ ใช้สำหรับตัดขันธ์ห้า เอาความโกรธเป็นตัวอย่างก็แล้วกันนะคะ ปกติที่เขาทำกัน เขาจะให้คอยเฝ้าดู โทสะ ใช่ไหมคะ ดูจนโทสะหายไป เปลี่ยนไป หรือจะคอยควบคุมไม่ให้โทสะเกิดขึ้น ก็นึกว่าตัด โทสะได้แล้ว ความจริงไม่ใช่ค่ะ แบบนี้มันกดไว้ด้วยสมาธิเฉยๆค่ะ
ถ้าจะให้หมดเชื้อเลยต้องใช้ฌาน ๔ ค่ะ คือ จิตผู้รู้ จะต้องแยกออกจาก โทสะ ที่กำลังเกิดขึ้นอย่าเด็ดขาด แล้วพิจารณาว่า โทสะ นี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา จึงจะตัดขาดเป็นตาลยอดด้วนค่ะ ไม่กำเริบอีก
แต่ยังไงก็ต้องใช้พรหมวิหาร ๔ กดกิเลสไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ โทสะเกิด ตอนจะพิจารณาขันธ์ ๕ นะคะ เพราะถ้าตอนนั้นมีโทสะอยู่ ก็ไม่สามารถทรงฌาน ๔ และใช้ปัญญาได้ค่ะ
.............................................................................................
ขอโทษนะคะ ตอนนี้ไม่ว่างเลยค่ะ แม่ป่วยหนัก
การจะละสังโยชน์ ๑๐ ได้นั้นต้องอาศัยฌาน ๔ นะคะ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางบรรลุอรหัตผลค่ะ พอเราพิจารณาขันธ์ห้าแล้ว ก็เข้าฌาน ๔ จิตจะหลุดออกจากขันธ์ห้า เรียกว่า นิพพานดิบนะคะ
ถ้าเราเข้านิโรธสมาบัติ คือใช้ฌาน ๔ นั่นเองค่ะ จะไม่รู้สึกตัวนะคะ อย่างนี่เรียกว่า นิพพานสุกค่ะ
ไม่ยากนะคะ ถ้าได้ฌาน ๔ ทุกอย่างก็ง่ายค่ะ สังเกตุจากที่เมื่อก่อน พิจารณาขันธ์ห้าเหมือนกัน แต่ละสังโยชน์ ๑๐ ไม่ได้สักที แต่พอได้ฌาน ๔ แล้ว จะละสังโยชน์เบื้องบนได้เลยค่ะ -
โอ้ว จอร์จ..... ว่างๆ มาอธิบายอีกนะครับ ....
-
เป็นกันได้จังซี่ทุกยุคทุกสมัย
-
แต่ จขกท ยังกล่าวถึงฌาณ 4 ไม่ถูกต้อง และยังไม่ถือว่าถอนสังโยชน์ได้ เพราะสังโยชน์ตัวแรกคือ สักกายทิฎฐิ นั้นจะต้องเกิดมหาสติ ในขันธ์ 5 และถอนตัวอวิชชาในส่วนนั้น ซึ่งจขกท ยังไม่รู้จัก
ยังต้องศึกษา อาการ สภาวะต่างๆ ให้ตรงกับบัญญัติ แล้วฝึกจิตให้ รู้ให้เห็นสภาวะที่ถูกต้อง จะได้ไม่สับสนปนเป แล้วทึกทักเอาว่า แบบนั้นแบบนี้
แต่ก็ถือว่า พิจารณาได้ถูกต้อง ในส่วนที่บอกว่า จิตผู้รู้ แยกออกจากโทสะ แต่ส่วนอื่นๆยังคลาดเคลื่อนครับ
อาการอะไรเกิดขึ้น ปัญญาใดเกิดขึ้นอย่ารีบด่วนสรุป จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ และค่อยๆศึกษาไปครับ -
อนุโมทนาสาธุคับ
-
ถ้าทำแล้วรู้สึกดีทำไปเถอะคับอย่ากังวลเมื่อจิตสงบลงคงทำอะไรได้อีกหลายอย่างๆ..แน่นอน
หน้า 3 ของ 3