เมื่อสมเด็จฯเกี่ยว อุปเสโน กล่าวถึงมโนมยิทธิและสติปัฏฐาน 4

เมื่อสมเด็จฯเกี่ยว อุปเสโน กล่าวถึงมโนมยิทธิและสติปัฏฐาน 4

พอถึงเวลา เขาอ่านถวายรายงานพิธีการเปิดสำนักจบลงแล้ว จำได้ติดตาติดใจว่า หลวงพ่อสมเด็จฯกล่าวสัมโมทนียกถาแบบพิเศษ....หลวงตา(วัชรชัยฯ วัดเขาวง ถ้ำนารายณ์ สระบุรี)ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยในชีวิต

"ฟังรายงานแล้ว....ก็รู้ได้ว่า ที่นี่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมสายท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ....แล้วก็คงจะมีพระและฆราวาสในสายอื่นมาร่วมงานอยู่ไม่น้อย เอ้า!!!....ใครปฏิบัติกรรมฐานแบบมโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ให้ยกมือขึ้นหน่อย นั่นแหละ....ยกสูงๆ....ยกไว้นานๆ ....เอ้า!!!....ก็มากมาย....เอาล่ะ.....เอามือลงได้...."

วันนั้น ท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จ(เกี่ยว อุปเสโน)เมตตาให้โอวาท ด้วยลีลาท่าทางสมสมณจริยา แต่จริงจังเป็นพิเศษ สีหน้า สายตามือไม้ของท่าน ออกท่าทางประกอบคำพูดจากใจที่รู้จริงออกมาได้....หลวงตาว่า....ท่านพูดได้สมกับใจที่ท่านปรารถนาจะถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด ความสำคัญมีว่า....

"...การปฏิบัติกรรมฐานนี่ สรุปแล้วก็น่าจะมีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกสำคัญที่สุด ก็คือ "มหาสติปัฏฐาน" ตามที่พวกเราทางอิสานปฏิบัติกันอยู่ ดีอยู่แล้ว....อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การปฏิบัติที่ใช้"กำลังใจพิเศษในด้านอภิญญา"เข้ามาช่วย อย่าง"มโนมยิทธิ"ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำสอนอยู่....ปฏิบัติกันอยู่ในสำนักสายของท่าน เช่น สำนักนี้....มีวัดท่าซุง เป็นต้นแบบ ซึ่งวันนี้ ท่านพระครูปลัดอนันต์ ท่านเจ้าอาวาสก็มานั่งอยู่ที่นี่แล้วด้วย

จากนั้น...หลวงพ่อสมเด็จฯก็กล่าวยกประเด็นเด่นชัดว่า.....

"ทางสายสติปัฏฐานนี่ เรียกว่า สุขวิปัสสโก....ใช้สติปัญญากำหนดกำกับอยู่ในบทพระกรรมฐาน เป็นทางของความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ในปัจจุบัน ถ้าทำถูกดี ถึงดี มีความเพียรเพียงพอ ไม่ต้องสนใจในความเป็นทิพย์ หรือ การพิสูจน์กฎของกรรมใดๆ มุ่งทรงสติเฉพาะหน้าไปจนตายจากร่างกายนี้ไป

แต่การฝึกมโนมยิทธิควบไปด้วย จะทำให้หายสงสัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ในเรื่องกฎแห่งกรรมดีกรรมเลว ว่ามีผลจริง อัยเป็นผลให้หนักแน่นมั่นคงในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพราะสัมผัสได้ รู้ได้ด้วยใจตนเอง ใครก็ตาม ทำเองก็ดี สอนให้ผู้อื่นก็ดี ได้ความหนักแน่นมั่นคงในพระรัตนตรัย มีใจสบายทั้งในส่วนที่ต้องละ และส่วนที่ต้องยึดมั่นเป็นสรณะ ถือว่าปฏิบัติถูก สอนถูก แต่ให้ระวังไว้ให้ดี มโนมยิทธินี้ ถ้าใช้แต่มุ่งรู้เห็นสัมผัสความเป็นทิพย์ และติดพันพอใจอยู่ ก็จะทำให้ฟั่นเฝือ เวียนเพลิดเพลินเกิดต่อ...ไม่จบทุกข์ ต้องเอาความเป็นทิพย์ คือ กำลังใจที่มั่นคงเข้มแข็ง ผ่องใสนั้น กลับมาคุมสติ พิจารณาร่างกาย เจริญวิปัสสนาเป็นงานหลักสำคัญ จึงจะถูกต้อง...พ้นทุกข์ได้"!!!....

 

หนังสืออ่านเล่น

เล่ม ๒๑

โดย พระราชพรหมยาน
..................................

เรื่องหาเนื้อนาบุญ


ขอพูดนอกเรื่องสักหน่อย ทั้งนี้เพราะ ลูกหลานชอบล่าพระที่มีคุณสมบัติดี ตายแล้วลืมที่เคยเกิด เลยกลับมาเกิดไม่ได้ เคยบุ้ยใบ้มาหลายคราว คราวนี้ไม่ใช่แล้ว ขอแนะนำไว้ประจำเลย คือ

๑. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา

๒. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม

ทั้ง ๒ องค์นี้ ถ้าตายก็ไม่ได้กลับมาเกิด คุณสมบัตินี้ท่านได้มาหลายปีแล้ว

๓. สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดปทุมคงคา

๔. สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ

ทั้ง ๒ องค์นี้ พระท่านยืนยันว่า ถ้าตายไม่ได้กลับมาเกิด

9999999999999999999999999999999999999999999999999999


24 กุมภาพันธ์ 2015

บทความโดย ร้านสมบัติพ่อฯ พงศ์พระเครื่อง
........................ฯลฯ...................................

*** วันนี้พงศ์พระเครื่องขอหลบมุมร้อน มาร่วมย้อนระลึกถึง พระสมเด็จฯทั้งหลาย ที่หลวงพ่อฤาษีได้มีความผูกพันธ์แนบแน่น เป็นสายใยที่ลูกหลานรุ่นหลังควรรับทราบด้วยกัน รับรองว่าไม่เคยอ่านจากที่ไหนแน่นอน เพราะผมพิมพ์ด้วยตัวเองทุกตัวอักษรครับ ***

คัดลอกจากหนังสือ "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)" โดยคณะศิษย์พระราชพรหมยาน

...เบื้องต้นแล้ว เราจะเห็นผ่านทางโทรทัศน์สมัยที่พระเดชพระคุณ สมเด็จท่านทรงดำรงชีพอยู่ ว่าท่านมักจะยิ้มอย่างมีเมตตา พูดน้อย แต่วาระหนึ่งหลังจากที่หลวงพ่อฤาษีฯท่านได้ กล่าวย้ำรับรองกับลูกหลานว่า พระดีที่เป็นกระทั่งสมเด็จฯ แต่ไม่รู่องค์ว่าเป็นสมเด็จ ประกอบด้วย

1.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น) วัดสามพระยา องค์นี้หลวงพ่อฤาษีรักเหมือนพ่อครับ
2.สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) วัดสระเกศ องค์นี้หลวงพ่อเปรียบเหมือนสหายธรรม
3.สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาฯ
4.สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดปทุมคงคา

.....เหตุที่แต่ละองค์ไม่รู้ตัวว่าเป็นสมเด็จ เนื่องจาก ท่านไม่ถือว่าท่านเป็นสมเด็จนะ อันนี้หายาก คือพระที่ไม่ถือ ทิฎฐิมานะ ไม่ถือตัว ไม่ถือตน ไม่มีตัวไม่มีตน นี่อรหันตมรรค ในสังโยชน์ 10

หลวงพ่อกล่าวว่า พระพุทธเจ้ารับรองว่า พระสมเด็จฯทั้ง4องค์ในข้างต้น ตายแล้วจะไม่เกิดอีก เป็นพุทธพยากรณ์ พระทั้ง4องค์นี้ เป็นเนื้อนาบุญที่สมบูรณ์แบบที่สุด เราไปดูแต่ละองค์ไม่เหมือนที่เราคิดหรอก ไม่ได้นั่งหลับตาปี๋ทำหน้าเป็นจวัก ใครเขาไปไม่พูดด้วย ไม่ใช่.... แต่ละองค์ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำตัวตามสบายกันเองหมด ลีลาปรกติใครเข้าไปก็ชื่นใจ พระอรหันต์ ต้องเป็นพระ ที่ทำให้ชาวบ้านชื่นใจ แต่เวลาท่านเอางานอย่าไปยุ่งนะ พวกนี้งานเป็นงาน แบบไหนแบบนั้นเลย ทำวัตร สวดมนต์ เอาจริงเลยนะ ทำเล่นๆกันไม่ได้ ถึงเวลาหมดปล่อยปั๊ป เป็นกันเองหมด

ลูกหลานรุ่นใหม่ หลายๆคน อาจไม่ทราบว่า สมเด็จเกี่ยวฯ กับหลวงพ่อเรา ท่านรู้จักกันแต่เมื่อใด แต่จะเห็นได้ว่า แต่ละองค์ ล้วนนอบน้อมกัน กราบกันไป กราบกันมา เคารพในธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีถือมานะ ตัวตน สมเด็จใดๆ แม้แต่ในวันที่หลวงพ่อท่านเข้าพระนิพพานไปแล้ว พระศพอยู่ที่วัดสมเด็จเกี่ยวท่านยังเมตตามาเป็นประธานในงานสวดพระอภิธรรมถวายหลวงพ่อเราในปี 2535

ใจความตอนหนึ่งที่ สมเด็จฯเกี่ยว ท่านได้่แสดงอรรถในเรื่อง "ธรรมะที่ทำให้ชีวิตของบุคคลเป็นอมตะ" ในอรรถนี้ ลองอ่านกันดูว่า สมเด็จเกี่ยว ท่านรู้แจ้งเห็นธรรมตามแบบหลวงพ่อเราอย่างไร รวมถึงที่มาของชื่อราชทินนามว่า พระราชพรหมยาน มีความเป็นมาอย่างไร

------ บัดนี้ อาตมาจะแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง ธรรมะที่ทำให้ชีวิตของบุคคลเป็นอมตะ เพื่อประมวลส่วนแห่งความดี เพื่อถวายแด่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ..... หลวงพ่อของพวกเรานี้ ท่านเปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรม มีเมตตาธรรมอย่างพระพรหม เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นจะยกย่องหลวงพ่อให้เป็นพระราชาคณะชั้นราช เจ้าประคุณสมเด็จฯวัดสามพระยา ก็คิดว่าจะหาชื่ออะไรดีให้ตรงกับคุณธรรมของหลวงพ่อ รวมความว่า ท่านอยากจะใช้คำว่า ยาน ที่ไม่ใช่ญ ผู้หญิง มีที่มาในพระไตรปิฎกที่ไหนบ้าง อาตมาเลยกราบเรียนท่านเดี๋ยวนั้นเลยว่า ยาน ย ยักษ์นั้นมี เขียนว่า ย-า-น หมายถึง พาหนะ แล้วก็เป็นพาหณะอย่างสูงที่จะช่วยบุคคลผู้อื่นขนสัตว์อื่น บุคคลอื่น ให้เข้าถึงพระนิพพาน ขนทั้งมนุษย์ เทวดา ยานอย่างนี้ เรียกว่า "พรหมยาน" เมื่อได้ทราบแน่นอนแบบนี้ ท่านจึงได้กราบบังคมทูลในหลวงว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำนี้ ขอพระราชทินนามเป็น "พระราชพรหมยาน" ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า พระราชทินนามนาม ตรงกับชีวิตจริงของหลวงพ่อทั้งสิ้น เพราะหลวงพ่อได้ปฎิธรรมในทางของท่าน เพื่อต้องการจะช่วยเหลือคนที่มีทุกข์มาก ให้ทุกข์น้อยลง พยายามพร่ำสอนไม่เห็นแก่ความยากลำบาก ท่านจะทราบดีว่า บางครั้งหลวงพ่อไม่สบาย แต่ทราบว่ามีคนมาหาท่าน ก็จะบอกให้พระช่วยพยุงท่านแล้วก็ออกมาพบกับผู้ที่รออยู่ มุ่งหมายแต่เพียงว่า จะช่วยได้อย่างไร ไม่ได้นึกถึงสังขารของตัวท่านเอง นึกถึงแต่เพียงว่า เมื่อมีสังขารอย่างนี้แล้วก็ขอให้เป็นสังขารที่ทรงพรหมยาน คือช่วยคนทั้งหลายให้ได้เป็นสำคัญ บัดนี้ ท่านทั้งหลายได้กราบไหว้ เพียงสังขารเพียงส่วนสรีระร่างกายในโลงแก้วให้ได้เห็น แต่ท่านอย่านึกว่าหลวงพ่อท่านจะไม่ทราบ ขอให้ท่านทั้งหลายนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ตรัสว่า หลวงพ่อท่านจะอยู่ที่ใดก็ตามเวลานี้ หากมีสิ่งที่รวมกันเรียกว่าเป็น ญาณทิพย์ คำสอนนี้มีกล่าวในคัมภีร์ทางพระศาสนา แต่ว่าสัมผัสได้ยาก คนไม่ค่อยสนใจ และบางท่านกล่าวปฎิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ เรื่องเช่นนี้หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านอุตส่าห์พร่ำสอนในเวลา ท่านมีชีวิตอยู่ ให้ท่านทั้งหลายมีทั้ง ตาทิพย์ หูทิพย์ ให้ทำอย่างนี้ๆตามที่หลวงพ่อท่านเคยแนะนำ อาจจะกล่าวได้ว่า แม้ท่านทั้งหลายจะไม่อุทิศส่วนกุศลไปให้หลวงพ่อหลวงพ่อท่านก็มีเพียงพอที่จะสเวยสมบัติตามที่ท่านปราถนา แต่การบูชาพระคุณหลวงพ่อ เป็นจุดสำคัญ เพราะการบูชาพระคุณหลวงพ่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็จะเป็นเหตุให้ท่านทั้งหลายได้รับผลอานิสงค์ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ว่า การบูชาที่ได้ทำถูกต้องแก่ท่านที่ควรบูชาแล้ว ก็จะมีผลเป็นอุดมแก่ผู้บูชาคือพุทธบริษัทเป็นอุดม

อาตมาจึงขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง ที่บรรดาศิษยานุศิษย์ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นลูกของหลวงพ่อทุกคน มีท่านพระครูปลัดเป็นประธาน ไเ้พยายามสืบสานสิ่งดีงามของหลวงพ่อไว้ ไม่ให้เสื่อมคลาย ให้สิ่งที่หลวงพ่อมีอยู่ และสิ่งที่หลวงพ่อเคยสั่งสอน ได้เกิดเป็นอมตะปรากฎแก่ชีวิตของท่านทั้งหลาย อาจจะไปปรากฎอยุ่ใน พรหมโลก อาจจะไปปรากฎอยุ่ในเมืองนิพพาน ด้วยท่านทั้งหลายมีสติปัญญาเพียงพอที่จะหยั่งทราบได้ว่า อะไรเป็นเพชร อะไรเป็นทอง อะไรที่เลอเลิศ เป็นสิ่งประเสริฐจึงได้พยายามประคับประคองให้อมตะของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน ยังปรากฎความเป็นอมตะเปล่งปลั่งรัศมีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของท่านทั้งหลายอยู่ในเวลานี้ -------------

 

สมาธิ

 

ครบรอบ ๕ ปี (๑๐ มีนาคม ๒๕๖๒) พิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ ป.ธ.๙) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
"พระมหาเถระผู้เป็นประวัติศาสตร์ความทรงจำพระพุทธศาสนาโลก"
น้อมถวายกุศลเป็นอาจาริยบูชาคุณ