เรียนถามท่านผู้รู้การทำสมถะ100ละ100เพ่งจริงเหรอครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ผู้หลง, 24 มิถุนายน 2009.

  1. ผู้หลง

    ผู้หลง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +7
    1.ติดข้อสงสัยอีกแล้ว การทำสมถะเพ่ง100ละ100จริงเหรอคับ
    2.การดูจิตแนวหลวงพ่อปราโมทย์นี้หลุดพ้นได้จริงหรือครับ
    3.แล้วการเพ่งไม่ดีเหรอครับ ผมฟังหลวงพ่อปราโมทย์ มาอ่ะคับ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมฟังบ่อยมากๆเพราะต้องเดินทางไกลทุกอาทิตย์ อยู่บนรถเลยฟังแต่หลวงพ่อปราโมทย์ แต่เดี๋ยวนี้เลิกฟังไปแล้วครับ เพราะผมไปทางหลวงปู่มั่น ก็ไปโหลดของลูกศิตย์หลวงปู่มั่น เช่น หลวงปู่เทศก์ หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ชา หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน ประมาณนี้ ครับ
    คือพอช่วงหลัง มานี้ผมฟังบ่อยๆๆมากครับผมรู้สึกว่าขัดกันมากเลยครับทั้งที่ท่านบอกว่าธรรมะมันลงกันครับ เช่นอย่างหลวงปู่ทาวัดถ้ำซับมืดอ่ะครับ มีคนถามท่านว่าถ้านั่งไปแล้วกิเลศมันหมดตอนไหนท่านก็ตอบว่า เพ่งๆๆไปกิเลศมันกลัวก็ไหม้ไปเอง แค่นี้ก็ขัดกับหลวงพ่อปราโมทย์แล้วอ่ะครับ เพราะท่านไม่ให้เพ่ง ท่านจะบอกว่าให้ดูเหมือนคนอื่นหายใจทำสมาธิอยู่ แต่ผมฟังมาอย่างหลวงปู่ชาท่านก็สอนว่าให้จับที่ลมหายใจนั่นล่ะปล่อยทุกอย่างพุธโธไป อย่างงี้ก็ไหลไปอยู่กับลมหายใจสิครับ ผมก็สับสนตามภาษาคนความรู้น้อย
    แต่ผมมีความเลื่อมใสในสายหลวงปู่มั่นมากครับ
    ท่านผู้รู้ช่วยตอบทีคับ
    ปล.ครับหลวงพ่อปราโมทย์ท่านสำเร็จอรหัตผลแล้วเหรอครับ เห็นท่านพูดไว้ใน
    CD อ่ะครับ ข้อความดังนี้ >>สัมผัสทีแรกเหมือนจะตายนี่ถ้าไม่มีปะนิธารที่ต้องทำงานต่ออยู่ก็จะตายไปแล้ว<<หรือผมเข้าใจผิดไปเองครับ
    เพราะอย่างฟังหลวงตามหาบัวท่านพูดเสมอๆว่าท่านสำเร็จภายใน9ปีแต่ท่านก็พูดว่าเมื่อท่านบรรลุนั้นกิเลศกับธรรม มันฟัดกัน หลังจากพรรษานั้นก็ไม่มีการปรุงต่ออีกเลย ผมไม่เห็นตอนไหนที่ท่านพูดเลยว่าสุขจนจะตายอ่ะครับ

    ยังไงก็เรียนท่านผู้รู้ช่วยตอบทีนะครับ
    ปล.อีก ผมไม่ได้มีเจตนาใดๆๆในการลบหลู่หลวงพ่อปราโมทย์นะครับ
    เพราะผมก็ฟังท่านมานานเหมือนกัน ผมถามแบบคนมีความรู้น้อยจะว่าโง่ก็ได้ครับ เพื่อมีผู้รู้มาชี้แจงจะได้เห็นทางสว่างครับ
     
  2. ผู้หลง

    ผู้หลง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +7
    ตอนอาการนิพพานไม่เห็นมีนะครับ เห็นบอกแต่ตอนโดนพระอาจารย์ทองอินทน์สับท่านตอนที่หลงว่านิพพานมีเข้ามีออก หลังจากนั้นแล้วก็ไม่มีตอนไหนเลยครับที่ท่านกล่าวถึงอาการที่ท่านเข้านิพพานเพราะผมก็ฟังเยอะๆๆมากๆๆเหมือนกันไม่มีตอนไหนอีกเลย
     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    หากต้องการสนทนากันแบบตรงไปตรงมาหน่อยก็บอร์ดนี้ ที่นี่เสรีทางความคิด ไม่ต้องกลัวถูกแบน

     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493


    ที่นี่เลย เสรีทางความคิด แต่อยู่บนฐานของธรรม ทีมีหลักฐานอ้างอิง

     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เรียนถามท่านผู้รู้การทำสมถะ 100 ละ 100 เพ่งจริงเหรอครับ

    คำว่า เพ่ง ภาษาที่พระปราโมทย์พูดกับในตำราไม่ตรงกัน อย่างในตำรา เช่น
    อารมฺมณูปนิชฌาน แปลว่า เข้าไปเพ่งอารมณ์
    ลักขณูปนิชฌาน แปลว่า เข้าไปเพ่งลักษณะ

    ฌานแปลว่า เพ่ง

    ส่วน เพ่งในความหมายของผู้สอนดูจิต ยังไม่เห็นคำนิยามแน่นอน <!-- google_ad_section_end -->
     
  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    2.การดูจิตแนวหลวงพ่อปราโมทย์นี้หลุดพ้นได้จริงหรือครับ


    ยังไม่เคยเห็นพูดว่า หลุดไปไหน หลุดยังไง ยังวนๆเวียนๆ อยู่กับการทำจิตให้เป็นกลางๆ
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    3.แล้วการเพ่งไม่ดีเหรอครับ ฯลฯ
    คือพอช่วงหลัง มานี้ผมฟังบ่อยๆ มากครับผมรู้สึกว่าขัดกันมากเลยครับ ทั้งที่ท่านบอกว่าธรรมะมันลงกันครับ เช่น อย่างหลวงปู่ทาวัดถ้ำซับมืดอ่ะครับ มีคนถามท่านว่าถ้านั่งไปแล้วกิเลศมันหมดตอนไหน ท่านก็ตอบว่า เพ่งๆๆไปกิเลศมันกลัวก็ไหม้ไปเอง แค่นี้ก็ขัดกับหลวงพ่อปราโมทย์แล้วอ่ะครับ เพราะท่านไม่ให้เพ่ง

    ความหมาย เพ่ง กล่าวมาแล้ว

    ผู้ฟังก็ว่าขัดกันแน่นอน เพราะคนหนึ่งบอกให้เพ่ง แต่อีกคนบอกไม่เพ่ง เพ่ง ๆๆๆๆไม่เพ่งๆๆๆๆ

    แต่ก็มีคนบอกว่า ธรรมะลงกันอีก เลยงงไปกันใหญ่

    ธรรมะมีสองระดับ คือ โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม

    โลกียะ เปลี่ยนแปลงได้ตามประเพณีนิยมท้องถิ่น เช่น ทอดผ้าป่า ดังนี้เป็นต้น ผิดเพี้ยนกันได้บ้าง ภาคใต้กับภาคเหนือ อาจถือประเพณีศาสนาไม่ตรงกัน งี้เป็นไปได้

    แต่โลกุตรธรรม ลงกันเมื่อถึงที่สุด

    แต่ที่มันเหมือนไม่ลงกันคนฟังๆดูเหมือนขัดกัน เพราะทิฏฐิของคนระดับต้นๆ ก็อย่างที่ว่า คนหนึ่งบอกเพ่ง แต่อีกคนบอกไม่เพ่ง คนฟังก็งงว่าเอาไงแน่ฟ่ะ

    เลยไม่ต้องไปไหนกันหันซ้ายหันขวา แต่สรุปแล้วทั้งสามคน ยังติดอยุ่แค่ศัพท์หรือแค่ภาษาที่ใช้ เพ่งๆๆๆๆๆๆ ไม่เพ่งๆๆๆๆๆๆ




     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก่อนอื่น ต้องแยกคำว่า สัมมาสมาธิ ออกมาก่อน

    โดยให้ตั้งประเด็นข้อสงสัยไว้ที่ สัมมาสมาธิ ไม่ใช่ สมถะสมาธิ

    พอแยก สมถะสมาธิออกมาได้ ก็จะเข้าใจคำว่า เพ่ง ได้นิดหน่อย

    เสร็จแล้วอาศัย ความรู้สึกที่ว่า เข้าใจคำว่า เพ่ง นิดๆหน่อยๆ นั้นย้อนกลับมาทำ
    ความเข้าใจคำว่า สมถะสมาธิ(ความสงบ) กับ สัมมาสมาธิ(การตั้งมั่นของจิต)

    ก็จะได้ความหนักแน่นอีกนิดหน่อยในการใช้คำศัพท์ เพ่ง กับคำว่า ตั้งมั่น โดย
    อาศัยทำความรู้สึกลงไปในใจตนว่า อะไรแบบไหนคือ เพ่ง แล้วอะไรแบบไหน
    คือความตั้งมั่น สองตัวนี้จะไม่เหมือนกัน แต่อาจจะปรากฏใกล้ๆกัน

    เช่น เราเอาไฟขึ้นมาตั้ง แล้วจ้อง ถ้าใจมันจะละออกจากไฟ เราก็กดจิตไว้ให้
    จ้อง แบบนี้เรียกว่า เพ่ง หรือ สมถะสมาธิ

    คราวนี้เอาใหม่ เอาไฟตั้ง แล้วจ้อง ขณะจ้องจิตมันจะไหลไป จะละไปจากไฟ
    เราไม่ฝืนมัน ไม่ไปต่อสู้กับมัน ไม่กดจิตเข้ามา แต่อาศัยรู้ว่าจิตมันกำลังละไปจาก
    การรู้ดูไฟ แล้วจิตมันระลึกได้ว่าต้องจ้องที่ไฟ แล้วตาเราก็ดีดกลับมาเองโดยความ
    ไม่จงใจ พ้นเจตนา แบบนี้เรียกว่า จิตมันกลับมาตั้งมั่นรู้ อันนี้จะเรียกว่า สัมมาสมาธิ

    จะเห็นว่า เพ่ง มากๆ เพ่งเก่งๆ ก็จะได้ผลของสมถะในกองนั้นๆ ได้อภิญญา แต่ว่าไม่
    ได้โลกุตระปัญญา เพราะขาดลักษณะของ สัมมาสมาธิ

    แต่ถ้าทำสมาธิคล้ายๆ กัน ผลของสมถะได้เหมือนๆกัน แต่ต่างอารมณ์นิดเดียว ตรง
    ที่กดจิตไว้ที่ฐาน(กด คำเขมรคือ กำหนด) กับการตามรู้จิตแล้วมันกลับฐาน(วิปัสสนา)
    หากเป็นสัมมาสมาธิจะได้ทั้ง อภิญญา อันเป็น โลกียปัญญา และได้โลกุตระปัญญาด้วย
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    จากโพสที่แล้ว จะเห็นว่า โลกียะปัญญา หรือ อภิญญา มันได้เหมือนกัน ซึ่งปัญญา
    ตรงนี้มันสูงเกินคนธรรมดาจะหยั่งรู้รสได้ ทำให้มองไป ศึกษาไป ก็แทบจะแยกไม่
    ออกแล้ว ความที่เรายังแยกไม่ออกจึงเกิดคำว่า "มันลงรอยธรรมกัน" ให้เราพอรู้สึก
    แต่จริงๆ มันมีรายละเอียดที่แตกต่าง พอหยั่งไปในรายละเอียดเข้า ก็จะทำให้เกิด
    ความรู้สึกสับสน แต่ตัวนี้อย่าไปมองว่าเป็นความสับสน ขอให้เปลี่ยนเป็นคำว่า
    "กังขาทัศนะ" ก่อน เมื่อเราลองปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองแล้ว พอจะจำแนกแยกแยะ
    ได้แล้ว ก็จะเกิดความวิสุทธิ(มี7) เจ้า กังขาทัศนะ ก็จะกลายเป็น "กังขาทัศนะวิสุทธิ"

    "กังขาทัศนะวิสุทธิ" นี่จำเป็นต้องใช้มาก เป็นองค์ธรรมที่จะทำให้เรามีปฏิภาณ มีไหว
    พริบ มีหลักกาลามสูตรแน่น แล้วสุดท้ายจะทำให้มี โยนิโสมนสิการ ที่พอดี พอมีโยนิโส
    มนสิการที่พอดี ก็จะทำให้เกิดการตัดสินความรู้ได้ด้วยตัวเองได้(ตรัสรู้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2009
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    เลือกที่ถูกกับตนเองค่ะ ฟังใครเเล้วจิตชอบ

    จิตถูกใจ จิตสงบ เเสดงว่า ถูกจริตตนเองค่ะ

    ฟังหลวงพ่อ หรือ ครูบาอาจารย์คนไหน อย่าไปยึดติด

    หาทางที่ถูกจริตตัวเอง เเล้ว เดินไป ในเเบบที่ ใจชอบ

    จิตจะหลุดพ้น เมื่อไม่ทุกข์ เมื่อไม่ติดสุข เเสดงว่า จิตหลุดพ้นค่ะ

    ก็ดูจิต หรือ เพ่งสมถะ จุดประสงค์ เพื่อให้ เห็นว่า จิตไม่ใช่เราค่ะ

    จิตเกิด-ดับ ตลอดเวลา ไม่มีใคร บังคับจิตได้ เเต่ที่เราทำไม่ดี เพราะเรา ขาดสติ

    ดังนั้น ไม่ว่าจะเรียกอะไร หาก เรามีสติ ตามรู้กาย รู้จิต จิตเราจะไม่ถูก ควบคุมด้วยความไม่รู้เองค่ะ

    การรู้มากเกินไป ไม่จำเป็น เราต้องรู้เท่าทันจิต ณ ปัจจุบันเพียงพอเเล้วค่ะ
     
  12. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    ขอตอบเฉพาะข้อ ๒ กับ ๓ นะครับ

    ๒.การดูจิตแนวหลวงพ่อปราโมทย์นี้หลุดพ้นได้จริงหรือครับ

    ตอบ : ตรวจสอบได้โดยหลักการนี้ครับ หากทำให้ศีล สมาธิ ปัญญาให้สมบูรณ์ได้ และสังโยชน์ทั้งหลายหมดสิ้นได้ ก็ถือว่าได้ครับ อาจจะดูพื้นๆ เลยว่า จิตนั้นไม่เกิดกิเลสอีกเลยเมื่อได้รับรู้สิ่งใดที่น่าชอบใจ หรือไม่น่าชอบใจแค่ไหนครับ หรืออาจจะวัดกันสุดท้ายเลยตอนผู้สอนตายแล้ว หรือไปถ่ายเอ็กซเรย์หากกระดูกเป็นพระธาตุ ก็ยืนยันได้ว่ามาปฏิบัติมาถูกทางแล้วครับ

    ๓.แล้วการเพ่งไม่ดีเหรอครับ ผมฟังหลวงพ่อปราโมทย์

    ตอบ : ตามพระไตรปิฏก และอรรถกถานั้นสอนให้เพ่งไม่ว่าจะเป็นการฝึกสมถะหรือฝึกวิปัสสนา ดังนั้นการเพ่งเป็นสิ่งดีครับ แต่หากเพ่งไม่ถูกวิธีเป็นสิ่งไม่ดีแน่ครับ ส่วนการสอนไม่ให้เพ่งเลย แม้ผู้นั้นจะสอนแบบเพ่งถูกก็ตาม อันนี้ไม่ดีแน่ครับ และการปฏิบัติไม่เพ่งเลยนั้น ก็อาจจะเป็นเทคนิคพิเศษไป จะผิดหรือถูกก็ต้องวัดกันที่ผลว่าได้จริงหรือเปล่าอย่างข้อ ๒ ที่กล่าวไปครับ

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กังขาทัศนะวิสุทธิ

    เรามาลองใช้องค์ธรรมนี้ทำงานกัน ก็ไม่ต้องอะไรเลยครับ เอาประเด็น ที่คุณเกิด
    ความกังขาในทางธรรมของหลวงปู่มั่น กับ หลวงพ่อชา ละกัน ส่วนของหลวงพ่อ
    ปราโมทย์นี่วางไว้ก่อน เพราะอุปสรรคสัญญามีเยอะ เราได้ยินได้ฟังความจากเสียง
    ต่างๆมาเยอะ ทำให้มารบกวน เราก็พักไว้ก่อน

    เอาแค่ธรรมะหลวงพ่อชา กับ หลวงปู่มั่นพอ แค่นี้ก็รู้สึกสับสนแล้ว

    กลับมาที่ สมถะสมาธิ(เพ่ง) กับ สัมมาสมาธิ(ตั้งมั่นรู้)

    คุณจะเห็นความแตกต่างของสองสภาวะธรรมนี้แล้ว ไม่มากก็น้อย เรื่องของการ
    เพ่ง ที่เป็นการกดจิตให้นิ่ง บังคับจิตให้นิ่ง เราเอาออกไปก่อน มาสนใจสัมมา
    สมาธิ หรือ การกลับมาตั้งมั่นรู้กัน

    การตั้งมั่นรู้นั้น จะเกิดขึ้นได้สองทาง

    ทางแรกคือ เรากดจิตจดจ่อ เสร็จแล้วจิตมันไม่ไหลไปไหนเลย มันเพียรเพ่งอยู่
    แล้วเราก็ ตามรู้จิตที่เพียรเพ่งนั้นอยู่เป็นสภาวะที่ถูกตามรู้ ตามดู การที่มีจิตอีก
    หนึ่งจิตยกขึ้นเป็นผู้สำรวจ เป็นผู้สังเกตเห็น จิตที่เพียรเพ่งอยู่ ตรงนี้ถึงจะเรียกว่า
    มีความตั้งมั่นรู้ ก็จะเห็นว่า สัมมาสมาธิเกิดจากการตามรู้จิตที่เพ่งนิ่งอยู่

    ทางที่สองคือ เราปล่อยจิตเบาๆ แล้วตามรู้อาการสัดส่ายของจิตไปตรงๆ เมื่อ
    เรารู้ทันสภาวะจิตที่สัดส่ายออกไป มันจะค่อยๆบีบวงการสัดส่ายลงมาทีละน้อยๆ
    จนกระทั่งมันสัดส่ายพอประมาณ แบบว่า จิตที่คอยสังเกตไม่หายไปเลย นี่ก็เรียก
    ว่ามันเริ่มเกิดการตั้งมั่นรู้ จะเห็นว่า สัมมาสมาธิเกิดขึ้นได้ในขณะที่จิตมันสัดส่าย
    อยู่นั่นแหละ โดยผู้รู้ หรือ ผู้สังเกตอาศัยการดูจิตสัดส่ายวิ่งเล่น เหมือนคนวิ่งเล่น
    ในสนามฟุตบอลโดยที่เราเป็นคนดู ตั้งมั่นอยู่ที่การดู

    ถามว่า แล้วทำไมมันเข้าได้สองทาง

    ก็ตอบว่า จิตที่นิ่ง ที่ถูกกดจนนิ่ง แล้วถูกรู้ถูกดูโดยอีกจิตหนึ่ง ส่วนที่นิ่งนั้นคือส่วน
    ขันธ์5 ส่วนที่เป็นผู้รู้ ผู้ดู คือส่วนของ จิตที่ตื่นขึ้นมา ตั้งมั่นขึ้นมา เป็นธรรมเอกขึ้นมา

    อีกแง่ จิตที่สัดส่ายอยู่ แล้วแล้วถูกรู้ถูกดูโดยอีกจิตหนึ่ง ส่วนที่สัดส่ายนั้นคือส่วน
    ขันธ์5 ส่วนที่เป็นผู้รู้ ผู้ดู คือส่วนของ จิตที่ตื่นขึ้นมา ตั้งมั่นขึ้นมา เป็นธรรมเอกขึ้นมา

    ก็จะเห็นว่า ขันธ์5 นั่นเองที่เป็นตัวทำหน้าที่ สงบ ปิติ สุข(เกิดองค์ฌาณ) หรือ
    สัดส่าย ฝุ้งซ่าน(กำจัดกิเลส นิวรณ์ เพราะเมื่อทำไปเรื่อยๆ เนืองๆ จิตสัดส่าย
    ฝุ้งซ่านจะน้อยลง เมื่อ กิเลส นิวรณ์หายไปสนิทก็เกิด ฌาณ)

    ส่วน ผู้รู้ ผู้ดู คือ ส่วนธรรมเอก คือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่เกิดขึ้นเหนือชั้นของ
    จิตแบบชาวบ้าน ( แบบพราหม์ แบบพรหม แบบนิครณฑ์ แบบชฎิล )

    ก็จะเห็นว่า ทั้งหลวงปู่มั่น และ หลวงพ่อชา สอนสัมมาสมาธิเหมือนกัน แต่ต่าง
    กันตรงทางเข้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2009
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    หากพอเข้าใจแล้ว คราวนี้กลับไปดู ธรรมะของหลวงพ่อชา หรือ หลวงพ่อปราโมทย์
    ดูอีกครั้ง ทั้งสองท่านนี้ เน้นที่ สัมมาสมาธิ เป็นหลักเหมือนกัน จึงสอนเหมือนกัน
    โดยส่วนมาก และมักจะเหมือนๆ ละเลยเรื่องการ เพ่ง(อย่าลืมว่า เพ่ง มันคนละตัว
    กันกับ สัมมาสมาธิ) แล้วทั้งสองท่านนี้มีอุบายอะไรที่แตกต่าง

    ความแตกต่าง เป็นเพียง คำสอนที่ปรากฏบ่อยๆ แต่จริงๆแล้ว หากเอาคำเทศน์ใน
    วาระต่างๆ มาดู จะเห็นว่า บางครั้งก็เหมือนกัน บางครั้งก็ต่างกัน แต่คำเทศน์ที่ปรากฏ
    บ่อยๆ หรือ ที่ฆราวาสไปนำมาเผยแผ่นั้น มันมีความต่างกันด้วยความชอบใจของคนเผย
    แผ่

    สิ่งที่เด่นๆ ที่ต่างกัน คือ หลวงพ่อชายังเน้นอยู่ที่การมี การบริกรรมพุท-โธ จิตพุทโธ ซึ่ง
    เป็น พุทธานุสติกรรมฐาน

    ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์นั้น ไม่เน้นองค์บริกรรม หรือ ไม่เน้นวิหารธรรม เลย ...คราว
    นี้ก็อย่าเข้าใจผิดในคำว่า ไม่เน้น ไปเป็นคำว่า ไม่ทำ จริงๆ คำว่าไม่เน้น ก็หมายถึงละ
    ไว้ ใครมีวิหารธรรมเครื่องอยู่สุข(สมถะ)อะไรของตน ก็ทำอันนั้นไป(ขออย่าให้เป็นการ
    เพ่งโดยส่วนเดียว)

    เมื่อแยกแยะความแตกต่าง เรื่อง วิหารธรรม ออกไป ก็จะเหลือ สัมมาสมาธิ ที่เหมือนกัน

    สัมมาสมาธิ นั้นก็ย่อมต้องมีเหตุเกิดจาก สัมมาสติ

    ถ้ามี สัมมาสติ และ สัมมาสมาธิ ก็ย่อมต้องมีเหตุให้เกิด สัมมาปัญญา ได้เหมือนกัน

    ดังนั้น ธรรมะของหลวงพ่อชา หลวงพ่อปราโมทย์ ซึ่งสอนสัมมาสมาธิเหมือนกัน ก็ย่อม
    ทำให้เห็นทางหลุดพ้นได้เหมือนๆกัน เพราะ "สัมมสมาธิ" นี้ก็เป็นองค์ธรรมที่สายพระ
    ไหนก็สอน แต่ถ้าสอนได้ถูกต้องตรงรสธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ ก็ย่อมต้องนำ
    สุขอย่างยิ่งมาให้ เช่นเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2009
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ความแตกต่างอีกเล็กน้อย ของธรรมะหลวงพ่อปราโมทย์

    ก็เนื่องจาก ในตอนเริ่มฝึกการมีสติ หรือ การมีสัมมาสมาธิ หลวงพ่อจะไม่บังคับให้
    คนเปลี่ยนวิหารธรรม(กองสมถะกรรมฐาน)ที่เคยทำมา เว้นแต่จะเป็นกองสมถะกรรม
    ฐานที่เผอิญผู้ฝึกนั้นมีความเข้าใจผิด(ทำผิดอารมณ์ 100ละ100คือไปเพ่งเป็นหลัก
    แทนการตั้งมั่นในการรู้) หลวงพ่อถึงจะดุ แล้วแก้กรรมฐานทันที แต่ถ้าผู้ใดทำกรรม
    ฐานที่ตนทีดีอยู่แล้ว หลวงพ่อจะปล่อยให้ทำไปก่อน โดยให้เอาเป็นอุบายในการ
    ฝึกการตั้งมั่นรู้(สติ+สัมมาสมาธิ) ก่อน เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง หลวงพ่อปราโมทย์
    ถึงจะชี้วิหารธรรมตัวใหม่ให้ปฏิบัติแทน ถ้าวิหารธรรมที่ผู้ปฏิบัตินั้นไม่มีความก้าวหน้า
    ทางอินทรีย์ วิหารธรรมที่เปลี่ยนไป ที่ให้ใหม่ ให้การบ้านใหม่ ก็จะเริ่มกลับไปเหมือน
    สายพระป่า เช่น

    ให้กลับไป

    1.อานาปานสติ หรือ บริกรรมพุทโธ(แบบหลวงพ่อชา - ไม่เน้นการบริกรรมถี่ เร็วๆ)
    สำหรับคนที่ยังมีจิตฝุ้งซ่านเยอะอยู่ [ ยังพอเข็นได้ และพร้อมให้เข็น : ศรัทธาและปัญญาอินทรีย์ไม่เกินกัน ]

    2.ให้กลับไปทำ กายคตาสติ ขยับกาย เดินจงกรม ดูอริยาบท สำหรับคนที่พอทำฌาณได้
    [ พวกที่พอเข็นได้ : ศรัทธาอินทรีย์มีมาก ]

    3.ให้กลับไปทำ กรรมฐานธาตุ4 ธาตุ6 ธาตุ18 กรณีพวกพิเศษ พวกที่มี วสี ในการเข้า
    ฌาณ หรือ มีฌาณจิตเป็นพื้นวาสนา(คนละอันกับ วสี) [ พวกไม่ต้องเข็น ก็ชี้ทางที่ละเอียด
    กว่าให้ : ปัญญาอินทรีย์มีมากและพอดี ]

    4.ให้กลับไปดูจิต อย่างเดิม กรณีที่มีแนวโน้ม ทำอะไรๆ ก็ยังติด วิเคราะห์วิจัยธรรม [ เข็น
    ไม่ขึ้น เพราะจะตั่งถ้าเถียง หรือ ถกธรรม ก็ต้องปล่อยให้ทำอย่างเดิมไปก่อน : อินทรีย์ทั้งหมด
    ยังอ่อน]

    5.คนที่มีอินทรีย์พิเศษ ก็จะให้ กรรมฐานเฉพาะคนไป เช่น ไปดูกระดูก ไปฟังเพลง ไปร้องเพลง
    ไปเข้าป่า ไปเดินธุดงค์ ฯลฯ [ อินทรีย์แก่กล้าทางใดทางหนึ่ง จำทางเดิมของตนได้ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2009
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เมื่อดูภาพรวมๆ ของการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์แล้ว ก็พบว่า คล้ายๆ
    การวางหลักสูตรของพระสมัยโบราณ

    โดยจะเริ่มจาก

    1.การสอนให้รู้จัก องค์ปิติ ที่เป็นสภาพรู้ มีทั้งธรรมดา วิจิตร และ พิศดาร หรือ หนัก
    หม่นหมอง ซึ่งก็จะให้ดูไปเรื่อยๆ โดยไม่ให้ยึดมั่นในรู้ ก็จะรู้จัก ปิติ ไปเรื่อยๆ [ ศีลสิกขา ]

    2.หลังจากเรียนรู้ ปิติ ไปเรื่อยๆ จนมีความเป็นกลางต่อการเห็น ไม่ฉวยมาเอาเป็นตน ก็จะ
    เริ่มสอนถึง ยุคล6 [ อธิศีลสิกขา ]

    แล้วก็จะให้ วนเวียนรู้ อยู่ที่ ข้อ 1. 2. ไปเรื่อยๆ คล้ายๆ ไม่สอนไปถึงไหน วนเวียนอยู่
    ที่เดิม คล้ายๆ ไม่ผลักดันให้ก้าวหน้า [ แต่จริงจะเป็นเรื่องของ จิตสิกขา ]

    3.ครั้นเมื่อเรียน จิตสิกขา ครบหมด ควรแก่การสอนกรรมฐานอย่างจริงๆ จังๆแล้ว ก็จะเริ่ม
    สอนให้ทำ สมถะกรรมฐาน ซึ่งผู้เรียนจะสามารถตรวจอารมณ์กรรมฐานของตนได้โดย
    การดู ปิติ(ข้อ 1 , สับดูปิติ - กรรมฐาน โดยลำดับ สังฆราช สุก-ไก่เถื่อน) แล้วตรวจ
    สอบสมถกรรมฐานทั้งกองด้วย จิตยุคล6 อีกสำทับหนึ่ง ก็จะทำให้เดินสมถะกรรมฐาน
    ได้อย่างลำพัง และถูกต้อง [ อธิจิตสิกขา ]

    4.เมื่อทำได้ 1. 2. และ 3. โดยปราศจากอารมณ์กรรมฐานที่ติดข้องใดๆ แล้วถึงจะสอน
    การวิปัสสนากรรมฐาน [ อธิปัญญาสิกขา ]


    * * * *

    ปล. หลักสูตรสมัยโบราณ ยังคงปรากฏอยู่บ้าง แต่ไม่เหมือนเดิม มักจะไปติดที่ ขั้นที่ 1. ไป
    สร้าง ปิติ แล้วยกดูจิต ยุคล6 ผิดตัว ไปเผลอยกเป็นโลภะเจตนาเข้า ทำให้เหมือนเป็นสำนัก
    ที่เน้นไปในเรื่องของ คำสวดมนต์ มนต์ตรา ตันตระ(พิธีการ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2009
  17. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ดีนะ ^-^
     
  18. สักกะ

    สักกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    3,405
    ค่าพลัง:
    +12,015
    ดูท่าว่าท่านจขกท.จะมีความลังเลสงสัยอยู่มาก ทำไมไม่ไปกราบเรียนถามท่านด้วยตัวเองละครับ มาถามท่านอื่นแล้วจะได้คำตอบหรือ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทีนี้ ก็มาถึง สมถะ100ละ100เพ่ง

    ก็ขอแก้นิดหน่อยเป็น สมถะ100ละ100ติดเพ่ง

    ต้องเพิ่มคำว่า "ติด" ไปด้วย เพราะ สมถะ โดยฐานมันคือการเพ่ง แต่
    "ติดเพ่ง" ไหม นี้จะเป็นอีกเรื่อง

    การที่ทำสมถะ แล้วไม่เพ่ง ก็จะเห็นว่า ทำไม่ได้ ยังไงก็ต้องเพ่ง แต่จะ
    เพ่งอย่างไรไมให้ติดอยู่ที่การเพ่ง ก็ อย่างที่บอก ให้เอา สัมมาสมาธิ
    มาช่วย เอาสมาธิของพระพุทธศาสนาเข้ามาช่วย โดยการระลึกรู้สภาวะ
    ขณะนั้น(ปัจจุบัน)จิตกำลังเพ่งอยู่ หรือไม่เพ่งอยู่ พอทำการระลึกสภาวะ
    เพ่งเป็นองค์ธรรมอีกชนิดหนึ่ง ที่เอามาสังเกต เอามาระลึกดู หากจิตมันแยก
    ออกจากจิตที่เพ่งได้ เกิดสัมมาสมาธิขึ้นมาช่วย ทันทีที่แยกออกมาจะเห็น
    กาย(ทันที) ซึ่งก็มักจะไปเห็น ขิ้วขมวด ปากขมุบ ตากระตุก ตัวเกร็ง นิ้วเกร็ง
    [ ถ้าเห็นทางด้านจิต จะเห็นความ มึนๆ ซึมๆ มืดๆ(ไสย) ห้อมล้อมจิต ]
    [ ถ้าเห็นทางเวทนา จะเห็นสภาวะบีบเค้น ผลักดัน สั่นไหวภายในเกิดกรรม เรียกรวมๆว่า ภพ หรือ กรรมภพ ]
    ซึ่งพอเห็น เราก็จะรู้ว่า เราไม่ได้เพ่งธรรมดา แต่เป็น ติดเพ่ง เข้าให้แล้ว ก็
    แค่ค่อยๆวางอารมณ์แกะส่วนที่เกร็งไปทีละจุด แกะเล่นๆ นะ อย่าไปแกะเพื่อ
    ให้มันหาย มันไม่หายไปหรอก เพราะเรายังทำเหตุอยู่(ทำสมถะ) ดังนั้นเดี๋ยว
    อาการเกร็งก็กลับมาใหม่ ทั้งนี้เพราะ สัมมาสมาธิที่เราเอามาช่วย มันยังไม่ตั้ง
    มั่น หากสัมมาสมาธิของพระพุทธศาสนาที่เราเอามาช่วย มีความตั้งมั่น สมถะ
    ที่ทำอยู่จะไร้ข้อติดขัด และจะไปลิ่วๆ โดยที่ไม่เกิดการยึดติด ไม่เกิดอัตตา พอ
    ไม่เกิดอัตตาก็ไม่พว้าพวง สงสัย หรือ กลัวตนตายขึ้นมา จึงสามารถทะลุฝาก
    ตายได้(ไม่ได้ตายจริงๆ นะ เพียงแต่ทำลายอุปทานขันธ์ - อัตตวาทุปาทาน ลงได้ --
    มันเป็นส่วน นามธรรม ไม่ใช่ กายภาพ )

    ทีนี้ พอเราเห็นประโยชน์ของสัมมสมาธิแล้ว ว่าดีอย่างไร พระท่านก็ว่าไว้ การจะ
    มีสัมมาสมาธิได้นั้น ต้องเพียรเจริญ ไม่ใช่แบ่งเวลาฝึกเฉพาะขณะที่ทำสมถะกรรม
    ฐานเท่านั้น สัมมาสมาธินี้สามารถฝึกได้ในขณะที่จิตฝุ้งซ่าน (หรือ กำลังใช้ชีวิต
    ประจำวันอยู่นั่นเอง -- เป็นทางที่สองในการเข้า สัมมาสมาธิ )

    ดังนั้น ให้เราฝึกการมีสัมมาสมาธิขณะใช้ชีวิตประจำวันไปด้วย ตอนแรกๆอาจจะ
    เกิดการแทรกแซง เกิดความจงใจ ทำให้ขัดขวางชีวิตการงาน ก็ให้ค่อยๆฝึก หาก
    เวลานั้นต้องทำงานให้เสร็จ ไม่คั่งค้าง ก็ต้องทำให้เสร็จก่อน พอเสร็จ หรือ พักเหนื่อย
    ก็สับปิติ ดูยุคล6 ระลึกรู้อารมณ์ปิติอะไรก็ได้ ดูกาย ดูจิต ดูเวทนา ก็ได้ ทำบ่อยๆ เนืองๆ
    ( ขณิกสมาธิ : สามารถให้รสฌาณจิต 1-4 ได้แล้วแต่กำลัง )

    อินทรีย์ถึงจะเริ่มแก่กล้าพอ คราวนี้ เวลากลับมาทำสมถกรรมฐานตามรูปแบบ อาการ
    เกร็ง ขมวด แข็งๆ แน่นๆ หรือ ที่เรียกรวมๆว่า "ติดเพ่ง" ก็จะแก้ได้โดยง่าย เพราะเรามี
    กำลังของ สัมมาสมาธิ สัมมาสติ มากพอใช้งาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2009
  20. dokai

    dokai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +71
    ความหมายของสมถะ แท้จริง คือ ธรรมที่ยังให้จิต สงบระงับจาก กิเลส นิวรณ์
    มิได้มีความเชื่อมโยงกันในนัยยะนี่เลย

    ยิ่งกล่าวว่า "การทำสมถะ แล้ว ไม่เพ่งนั้น เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็ต้องเพ่ง "
    ไม่ทราบว่าเอามาจากที่ไหน.

    อาจจะเป็นไปได้ว่า ในระยะหลายปีที่ผ่านมา มีบางสำนัก ที่ เน้นสอนจี้เน้นลงไป ในเรื่อง เพ่ง กับ เผลอ จึงกลายเป็นประเด็น ว่า การเพ่ง เป็นเสมือน logo ของ สมถะวิธีไป พอกล่าวถึงการ ทำ สมถะ หรือ สมาธิ เมื่อไร ก็จะมีคนจำนวนหนึง บอกว่า ระวังนะ เดี่ยวติดเพ่ง ซึงก็น่าแปลก การจะเพ่ง หรือไม่เพ่ง มิได้ผิดต่อสิ่งใด และ ก็มิได้เป็นข้อห้าม
    หากจะเพ่งแล้ว เกิดความสงบระงับมูลเหตุแห่งกิเลส นิวรณ์ ก็ไม่ผิดแปลก บางคนอาจต้องเพ่ง บางคนก็อาจไม่ต้องเพ่ง กรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ก็มีกอง กสิน อยู่ นั้นก็เป็นการเพ่ง

    เมื่อก่อนโน้น ความรุ้สึกกลัว ๆ กล้า ต่อ การ เพ่ง เวลาปฏิบัติ เพระได้ยินได้ฟังกลอกหู มานัก กับคำที่ว่า ระวังจะติดเพ่ง พอภวานาที่ไร ก็เกิดกังวล โชคดีได้ พบ ครู อาจารย์ดี ท่านกลับ ถามว่า ทำไมไม่เพ่งเข้าไปเลยละ พอฟัง ก็ยังถามย่ำว่า ตกลงจะให้ผม เพ่งใช่ไหม

    กราบขอบพระคุณ มิฉะนั้น คงโง่อีกนาน
    อย่าได้ กังวล การเพ่ง กันนัก "เพ่งให้ติด" เสียก่อน ยังดีกว่า "กลัวติดเพ่ง"
    กลัวแต่ว่า "เพ่งเท่าไร ก็ไม่ติด" จึงต้อง เปลี่ยนไปหาอุบายอื่นแต่กลับหลงยึดติดในสิ่งอื่นอีก ที่แก้ไขยากยิ่งกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...