เมื่อหลาวันก่อน ผม นั่งสมาฐิ กรรมฐาน จิตไม่ได้นิ่ง แต่ คิดไปเรื่อย คิดไปตาม ความรู้สึก มือและเท้าที่ปวดเมื่อย นั่งประมาณ เกือบชั่วโมง ก็ เลิกนั่ง และ เข้านอน ผมฝันไปว่า ร่างกาย ผมได้แยก ออกจาก ตัว ไม่ใช่แยกตัวเป้นเป้นตัวๆนะครับ หมายถึง ความรู้สึก มันแยกออกจากร่างกาย ในขณะที่แยก คล้ายๆกับหยดน้ำเมือก ไหลออกตาม เส้นประสาท ตามกระดูสันหลัง แล้ว ออกไปตาม เส้นประสาท ฝอย ที่ กระดูกสันหลัง แล้วก็ เห้นว่าเป้นสามส่วน ในฝันคิดไปว่า ส่วนนึงคือ วิญญาณ ส่วนนึง เป้นร่ายกาย และ ส่วนที่รู้สึกนึกคิด อยู่ในขณะนั้น แล้วก็ ตื่นขึ้น อยาก ขอข้อชีแนะจาก ผู้รู้ ทุกท่าน ขอบคุณครับ
เรียนถามท่านผู้รู้เรื่องกรรมฐาน
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย F-5E, 18 มกราคม 2008.
-
โมทนาในความตั้งใจดี และบุญการภาวนาครับ
ขอให้ความเห็นแบบมั่วๆนะครับ มั่วนะ เน้นอีกที 555
ที่ฝัน คงจะทำให้เห็นว่า ทั้งหมดที่เป็นขันธ์ห้า
หรือเรียกง่ายๆว่า ร่างกาย มันไม่ใช่ของเรา
ไม่ว่าจะ ส่วนหยาบคือตัวร่างกาย ส่วนละเอียด คือ
ความรู้สึก การนึกคิด ทั้งปวง เป็นคนละส่วนกับ "เรา"
"เรา" ไม่ใช่ ร่างกาย ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวง
เพราะ ร่างกาย หรือความรู้สึกนึกคิด ทั้งปวง ล้วนอยู่ในอำนาจ
ของไตรลักษณ์ คือ ความไม่แน่นอน ความทุกข์ และไม่ใช่ของของเรา
เพราะร่างกายนี้ ไม่ใช่ของของเรา เมื่อไม่ใช่ย่อมเอาแน่เอานอนไม่ได้
เมื่อเอาแน่เอานอนไม่ได้ การยึดถือร่างกายจึงเป็นทุกข์
"เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา"
หมั่นพิจารณาแบบนี้บ่อยๆนะครับ จะช่วยให้สมาธิรวมตัวเร็ว
และก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมอย่างคาดไม่ถึง -
ขอบคุณที่ชี้แนะ ให้ความเห็นและกำลังใจ ครับ ขอบคุณ และอนุโมทนาด้วย ครับ
-
นั่นแหละผลของกรรมฐาน ทำให้เห็นสัจธรรม คือลักษณะธรมชาติ 3 หรือที่เรียกว่า "ไตรลักษณ์" ทุกสิ่งทุกอย่างในจักวาลนี้ รวบลงมาถึงแต่ละบุคคล สัตว์ ล้วนต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ในที่สุดต้องเสื่อมสลายไปในที่สุด คุณก็เห็นนะ คนตายทุกคนถ้าไม่ฉีดยาหรือเผาไปก่อน น้ำเหลือง น้ำหนอง ของของเน่า ของเหลวในกายไหลนอง แบบนั้นละไม่ผิด อาจะผิดตรงที่หนอนศพใครตัวใหญ่กว่า หรือหนอนขึ้นใครมากกว่ากัน
อีกอย่างฝันของคุณบอกว่า มนุษย์ ประกอบด้วยรูปหรือที่เรียกว่ากาย กับจิต
คือรูปกับนาม
ถ้าแยกรูปแยกนามได้ชัดว่าอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม ก็เท่ากับว่าได้ ญาณที่ 1
มี 16 ญาณ ให้ขับขี่ข้ามวัฏะ
ขับขี่ ญาณ 16 ล่องไปรอบที่ 1 ได้พระโสดาบันหรือพระสกทาคามี
ขับขี่ ญาณ 16 ล่องไปรอบที่ 2 ได้พระอนาคามี
ขับขี่ ญาณ 16 ล่องไปรอบที่ 3 ได้พระอรหันต์
คำว่า "ขับขี่ล่องไป" ในที่นี้หมายถึงการ วิปัสสนา -
ขอบคุณที่ชี้แนะครับ เพราะในความฝัน ไม่ทราบว่า จิตคิดไปเอง หรือ ว่าอย่างไร ไม่ทราบ เพราะเวลาฟังกรรมฐาน จะเปิด คิริมานนทสูตร ฟัง ไปด้วยครับ หลังจาก เลิกนั่งแล้ว ก็ นอนหลับ เลยฝันไป ว่า คล้ายๆ ก่อนที่จะแยกออกนั้น เหมือนกับว่าตัวเองมุดเข้าไปในเส้นประสาท ของตัวเอง แยะความรู้สึก ออกเป็นสองอย่าง บอกไม่ถูกเหมือนกันครับ อย่างนึงคือ ส่วนที่ รับรู้ความเป็นไปในชีวิตประจำวัน ความรักและผูกพันธ์ อีกส่วนก็ มีความรู้สึกในฝัว่า นั่นคือ จิต และอีกส่วนก็อย่างที่ กล่าวไว้ข้างต้นอ่ะครับ ว่าเป็นร่ายกายสังขาร ขอคุณที่ชี้แนะทุกท่าน และอนุโมทนาด้วยครับ
-
ผมก็ชอบฟังคิริมานนทสูตรเหมือนกันชอบมากฟังกี่ครั้งไม่เคยเบื่อ เข้าใจอะไร ๆ เยอะขึ้นเลยนะ ในนั้นมีด้วยนี่ พระพุทธเจ้าท่านว่า ให้ไปเรียนกับครูบาอาจารย์ที่ท่านพ้นแล้วจะได้ไม่หลงจทาง ถ้ามีโอกาสจะได้ไปถามปรึกษาท่านโดยตรงผมว่าดีนะ
-
อาการทำนองนี้ผมเคยเป็นนะ นั่งสมาธิแล้วเห็นตัวเองกำลังเริ่มเน่าไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ผิวคล้ำลง ราขึ้น เริ่มพอง เริ่มเฟะ น้ำเหลืองเยิ้ม เริ่มแห้งกรังมีแต่เส้นเอ็นเส้นเลือดกับเนื้อเกรอะๆติดตัว แต่ใจตอนนั้นไม่นึกกลัวตัวเอง แต่กลับชุ่มชื่นใจ ขนลุก เป็นสุขมากๆครับ
-
อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ
ถูกทางแล้ว ครูบาอาจารย์ก็สอนแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ไปหาอ่านได้เลยครับ ประวัติพระอรหันต์ทุกองค์ ท่านทำกายานุปัสสนา พิจารณาร่างกายของท่านเองที่เปลี่ยนแปลงไปแบบนี้ทุกองค์
จั๊บบางครั้งลองพิจารณาย้อนกลับตั่งแต่เริ่มปัจจุบัน พิจารณาย้อนถอยกลับไปจนกระทั่งตอนเริ่มอยู่ในครรภ์แม่ ได้ความรู้สึกที่ดีและเห็นสัจธรรมมากขึ้น
วิธีที่นายจั๊บทำนี้ได้ผลดีนะ ผมใช้อยู่ เริ่มตั้งแต่ตัวเราเองตายใหม่ ตายแล้วสองวัน 3 วัน.....บวมเขียว ตามน้ำเหลือง นำหนอง เน่า หนอน พอหนอนกินเราหมดแล้ว ก็เริ่มแห้ง ดำ แล้วก็ผุ แล้วก็สลายไปกับดิน
บางทีพิจารณาตั้งแต่แรกเกิด จน เจ็บ แก่ และ ตาย ไปเลย
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวใจความว่า "ร่างกายเรานี้เสมือนเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่บรรจุสรรพวิชาตำราไว้มากมายสุดที่จะประมาณ" ท่านคงจะหมายความว่า การคิดค้นร่างกายเรานี้ทำให้เกิดปัญญาเห็นตามจริงนะ -
อันที่จริงร่างกายนี้เป็นแต่ธาตุดินเปลือกที่ห่อหุ้มดวงธรรมญาณ
เป็นร่างเทียม ที่จิตเรามายึดถือครอง แต่แรกๆก่อนมาอาศัยเขาอยู่
เราก็รู้ว่าเรามาจากไหน แต่พออาศัยนานวันเข้าก็ไปหลงยึดเป็นตัวตนของเรา
จริงๆซะนี่ ต่อมาเมื่อมาถือปฏิบัติขัดเกลา ความโลภ ความโกรธ ความหลงออก
ไปเสียบ้าง สัญญาเก่าความจำได้หมายรู้ก็จะผุดขึ้น ว่าต่างอันต่างจริงคนละ
ส่วน ไม่ใช่ของสิ่งเดียวกันอย่างที่กิเลสมันปิดปังเอาไว้ แท้จริงแล้วเป็นของ
หลายสิ่งหลายอย่างประชุมรวมกันเป็นรูปร่างกายนี้ขึ้นมา
มีคำถามเนินนานมาแล้ว ว่าโลกมีที่สิ้นสุดไหม
ถ้าท่านสามารถพิจารณาเห็นความเสื่อมของสังขารร่างกายอยู่ทุกขณะจิต
ท่านได้คำตอบไปแล้ว ว่าโลกย่อมมีวันถึงกาลแตกดับสลายอย่างแน่นอน
จิตส่วนหนึ่ง ร่ายกายส่วนหนึ่ง แยกออกจากกันอย่างเอกเทศ
แยกจิตออกจากกายทำจิตให้เหนือกว่าอารมณ์จะพบเราท่านไม่มีในที่ใดๆ -
-
http://www.fungdham.com/download/sound/prasit-thavaro/50.pdf
ลองอ่านดูครับ