ผู้ที่จะสร้างประโยชน์จริงๆ ควรที่จะนำเสนอสิ่งที่มีผู้ถาม แต่คุณมัวแต่ยึดติดในตัวตน
ไม่ว่าจะของตัวคุณเอง หรือ แม้แต่ตัวผม คุณจึงรีบมองดูที่โพสของผมก่อน ที่จะอ่านกระทู้
ชัดเจนดีไหมครับ อัตตาได้เกิดขึ้นแล้ว ด้วยนึกคิดว่าตนเองนั้นคือผู้รักษากฎ
สาธุครับ
เรียนถามท่านผู้หยั่งรู้ฟ้าดินทุกท่าน
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิหคอิสระ, 18 สิงหาคม 2012.
หน้า 2 ของ 4
-
-
สาธุครับ -
ลองไปเรียนดูก่อนก็ได้
เพราะจะทำให้คุณเขียนกระูทู้ได้ดีขึ้น
และให้ประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่นค่ะ -
สาธุครับ -
-
สาธุครับ -
เพราะว่า ดิชั้นก็แยกแยะพอได้ค่ะ
ไปก่อนนะคะ -
สาธุครับ -
อย่าทะเลาะกันๆ ,,,,,,,
-
มีคนแอบคิดว่า ดูเด็กทะเลาะกัน ไม่ใช่คิดว่าทะเลาะกันแบบเด็กๆนะ แต่ดูเด็กทะเลาะกัน^^
-
ไม่มีใครสมบูรณ์ในทุกสิ่ง ทุกอย่าง แม้คนไม่ดียังดีได้ในวันรุ่ง
สาธุครับ -
หนูยังไม่ถึงไหนเลยคะ นั่งดูแต่แต่วงกลมหมุนรอบเหรียญไปมา เศร้า ชาตินี้คงไม่มีญาณ
หรือฌาณกับเข้าหรอกคะ พอแค่หลับตาดูเหรียญก็พอ -
ไม่ต้องเศร้าครับ ใช่ว่าเห็นมาก รู้มาก แล้วจะดีเสมอไป ผู้ที่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากจิต
ผู้นั้นกลับเข้าสู่การหลุดพ้นได้ง่ายกว่าครับ ศาสนาพุทธสอนให้หลุดพ้นครับ
สาธุครับ -
ผู้หยั่งรู้ฟ้าดินมีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นแหล่ะ
1...อารมณ์ตั้งแต่ฌาณ 1ถึงฌาณ8แต่ละอารมเปนไงต่างกันยังไง
ตอบ ไม่ตอบเพราะฌาณ 8 ยังไม่ได้
2...แล้วถ้าสมมุติเราถึงฌาณ5 ถ้าเลิกนั้งสมาธินานๆๆ ฌาณจะหายไหม
ตอบ หายแน่นอนเพราะเป็นแค่ฌาณโลกีย์ ถ้ากำลังใจทรงตัวฌาณก็จะกลับมาใหม่ หลวงพี่เล็กท่านเทศน์และผมก็เป็นแบบนั้น
3...แล้วการนั้งสมาธิให้ได้ฌาณกับได้ญาณมั่นต่างกันยังไง แล้วนั้งแบบถึงได้ฌาณ นั้งแบบไหนถึงได้ญาณ
ตอบ ต่างกัน ฌานแปลว่า ชิน (เป็นอารมณ์) ญาณแปลว่ารู้ นั่งแบบไหนถึงจะได้ฌาณ ก็นั่งจนกว่าจะชิน (อิทธิบาท 4 ครบและอารมณ์ปราศจากนิวรณ์เมื่อไร ฌาณ1 หรือสมาบัติ1 ได้เมื่อนั้น)
4...แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเราเหมาะกับวิธีแบบไหน
ตอบ ตัวเองเท่านั้นแหล่ะที่จะรู้เอง ครูบาอาจารย์เค้าเพียงแค่แนะแนวทาง ตัวเราเองต่างหากที่ต้องเดิน พูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ชอบวิธีการฝึกแบบไหนเอาแบบนั้นใช้ปัญญาประกอบ แบบไหนเราทำแล้วกำลังใจทรงตัวที่สุดเอาแบบนั้น
5..แล้วญาณกับฌาณมันต่างกันยังไง เกี้ยวข้องกันยังไง
ตอบ กลับไปดูข้อ 3
6..นั้งสมาธิถึงขั้นไหนกระดูกถึงจะเป็นแก้ว
ตอบ ตาม rep ที่1
ผู้ตอบเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา มิใช่ผู้หยั่งรู้แต่ประการใด -
ตอบ จขกท ครับ
ขอออกตัวให้ล้อฟรีก่อนว่า ผมไม่ใช่คนที่เก่งรึรู้มาก ตอบตามที่รู้นะครับ ถ้าท่านใดรู้มากกว่านี้ สามารถเสริมรึแก้ความที่เห็นว่าผิดได้ครับ
1...อารมณ์ตั้งแต่ฌาณ 1ถึงฌาณ8แต่ละอารมเปนไงต่างกันยังไง
- ถ้าไล่จากเริ่มต้น
เมื่อเราเริ่มต้นการฝึกหัดสมาธิลำดับแรกที่นิยมทำกันก็ทำตามกรรมฐาน 40 กอง เลือกเอาตามที่ชอบที่ทำแล้วเกิดสมาธิง่าย ทำการวิตกในกรรมฐานนั้น คือเพียรรักษาการบริกรรม หรือกำหนด ในกรรมฐานนั้นๆไว้อยู่เนืองๆ โดยมีสติระลึกรู้คอยกำกับ(อารมณ์ประมาณให้การบริกรรมหรือการกำหนดเป็น background ให้สติระลึกรู้เป็น foreground/เป็นตัวที่เห็นชัดเจน) ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เมื่อจิตที่เคยเป็นลิงถูกล่ามไว้แล้ว ก็ให้วิจารณ์ดูธรรมชาติของกรรมฐานนั้นๆ เช่น ดูลมหายใจ ก็ดูว่าลมหายใจเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้เป็นธรรมชาติอย่างนั้น เป็นธรรมชาติอย่างนี้
เมื่อเห็นธรรมชาตินั้นๆบ่อยก็จะเิกิดความเข้าใจ เกิดความสุข เกิดปิติ ความตื้นตัน ว่าธรรมชาติมันอัศจรรย์ เมื่อชื่นชมได้สักพัก จะเห็นว่า ปิติความสุขนี้เรารักษาไว้ตลอดไม่ได้ มันมีเหตุถึงเกิด ยิ่งอยากรักษาเสียดายมีแต่จะทุกข์ไปกับการดิ้นรน แล้วจิตจะคลายตัว เพราะไม่ยึดในความสุข ไม่ยึดในปิติ
เมื่อจิตคลายตัว เกิดสิ่งที่เรียกว่าอุเบกขา เป็นอารมณ์ที่ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไมได้เข้าไปยึดเกาะ ปรุงกับสิ่งต่างๆที่เกิด และ อุเบกขาเมื่อ นิ่งแล้วจะเหลือเพียงจิต ล้วนๆ ที่ท่านผู้ผ่านมาก่อน ท่านเรียกว่าเอกคตา
ทีนี้เมื่อท่าน กขจท ฝึกแบบนี้้เกิดแบบนี้บ่อยๆ วิตกจะหายไปอัตโนมัติ ไม่ก็อาจจะวิตกแค่แว่บเดียว
เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก
วิจารย์ก็จะหายไปอัตโนมัติเหมือนวิตก
เมื่อฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีก ปิติสุขก็จะถูกมองข้ามไปอัตโนมัติ เหลือเพียงอุเบกขา แล้วก็เข้าเอกคตาเลย
เมื่อยังรักษาความเพียรอย่างสม่ำเสมอ ทุกอย่างได้เกิดบ่อยๆ จนเป็นความชำนาญ เอกคตาจะกลายเป็นอัตโนมัติในที่สุด นั่งปุ๊ปจิตก็ดิ่งนิ่ง สงบ
ทุกอย่างอยู่ที่ความเพียร ทำจนเกิดพฤติกรรม จนเป็นนิสัย
ผมเล่าได้ถึงแค่นี้นะครับ สูงกว่านี้ยังไม่รู้
2...แล้วถ้าสมมุติเราถึงฌาณ5 ถ้าเลิกนั้งสมาธินานๆๆ ฌาณจะหายไหม
แค่ฌาณ4 ก็หายยากอยู่ครับ สูงกว่านี้คงเช่นเดียวกัน แต่ธรรมชา่ติของมนุษย์มีอย่างนึงคือ อะไรที่ไม่ใช้จะเสื่อมและหายไป เหมือนแขนขาที่ไม่ใช้นานๆก็จะลีบ ความรู้ที่ไม่ใช้นานๆก็จะลืม ความคุ้นเคยเก่าๆหายไปความคุ้ยใหม่เข้ามาแทนเป็นปกติ
ฌาณ เลยยังเป็นของที่ต้องรักษา
3...แล้วการนั้งสมาธิให้ได้ฌาณกับได้ญาณมั่นต่างกันยังไง แล้วนั้งแบบถึงได้ฌาณ นั้งแบบไหนถึงได้ญาณ
ฌาณ เกิดจากการเจริญสมถะ
ญาน เกิดจากการเจริญวิปัสสนา
ญานต่างจากความรู้และความเข้าใจในระดับทั่วๆไป ตรงญานคือความรู้แจ้ง เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เห็นอย่างแจ่มแจ้ง
รู้แจ้งในอริยสัจ ในความการเกิดดับ
ในพระไตรฏิฎก มีบรรยายไว้เกี่ยวกับ ญาณ16 (โสฬสญาณ) ที่เกิดกับผู้เจริญวิปัสนา
ศึกษาได้ครับ ทุกอย่างรู้เพื่อล่ะ
4...แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเราเหมาะกับวิธีแบบไหน
วิธีในที่นี่ ผู้ถามคงหมายถึง วิธีเจริญสมถะ ในบรรดากรรมฐาน40 วิธีไหนเราทำแล้วเกิดสมาธิง่าย จิตสงบเร็ว ก็ให้ฝึกวิธีนั้นมากกว่าแบบอื่น แต่การจะรู้ว่าแบบไหนเหมาะที่สุดก็ต้องลองดูทุกแบบ คิดว่าคงไม่เยอะกับกินเวลานักปฏิบัติจนเกินไป สำคัญคือ มีสติคอยระลึกรู้ ในขณะปฏิบัติทุกวิธี ไม่หลง ไม่ไหลไปตามสิ่งที่เกิด
5..แล้วญาณกับฌาณมันต่างกันยังไง เกี้ยวข้องกันยังไง
ฌาณ เป็นไปตามข้อ1 ญาน เกิดจากการเจริญวิปัสนา เราเจริญวิปัสสนาเมื่อจิตควรแก่งาน ไม่จำเป็นต้องรอให้ทำฌาณ คล่อง รึชำนาญก่อนก็ได้ แค่มีสมาธิเบื้องต้น จนวางต่อารมณ์ จิตไม่ไหว ก็จะเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจน เมื่อเห็นชัดเจนถึงความเกิดมา ตั้งอยุ่ ดับไป คงสภาพเดิมไว้ไม่ได้ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สุดท้ายก็ไม่สามารถ ระบุเป็นตัวตน ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งนั้น สิ่งนี้คือสิ่งนี้ เกิดจากเหตุ ดับไปเพราะเหตุ เมื่อจิตควรแก่งาน การเห็นการเข้าใจก็จะชัดเจน เห็นแบบตรงๆ ไม่ได้จินตนาการ เกิดเป็นมหาสติปัฐาน ตามลำดับ
6..นั้งสมาธิถึงขั้นไหนกระดูกถึงจะเป็นแก้ว
ขอตอบตามที่ได้ยินได้ฟังได้อ่านมา ว่าผู้สิ้นอาสวะแล้วเท่านั้น เริ่มจากจิตที่ใสบริสุทธ์ ส่วนต่างๆในร่างกายก็ใสสะอาดบริสุทธ์ตาม เหตุหนึ่งนั้น เพราะโพชฌงค์ทั้ง7เกิดแล้วแก่ท่านผู้สิ้นอาสวะ
ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยครับ
-
แต่ละท่านตอบนี้กระจ่างเลยขอบคุณมาก ถึงจะมีแตกต่างกันเล็กน้อยcatt3
จริงๆยังสงสัยอีกเยอะแต่ไม่กล้าถามและ -
ถ้าถามถึงอารมณ์ขณะปฏิบัติสมาธิ หรือนั่งสมาธิ แล้วเกิด ฌาน(ชาน) (อันนี้ต้องอ่านช้าๆ แล้วทำความเข้าใจให้ดี)
อารมณ์โดยรวมเรียกว่า "กิเลส" คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มีผลตามมา คือ ตัณหา คือความอยาก ฯลฯ อารมณ์โดยแยก คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข จนถึงความมีสมาธิ หรือ ความมีจิตใจตั้งมั่น แม้จะมีกิเลสอยู่ แต่จะสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง คือ ความมีสติ สัมปชัญญะ เกิดขึ้น
๒.ถ้าคุณปฏิบัติสมาธิ หรือฝึกสมาธิ หรือนั่งสมาธิ จนจิตมีความเป็น เอกัคคตา มีจิตใจแน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วิตก วิจาร ปีติ สุข หรือความเป็นจิตตั้งมั่นดีแล้ว แม้จะไม่ได้นั่งสมาธินานๆๆ ความมีจิตตั่งมั่น หรือความมีสมาธินั้น ก็ยังคงอยู่ ทั้งนี้เพราะเป็นธรรมชาติที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด แต่อาจจะมีความหย่อนลงบ้าง หากไม่หมั่นฝึกฝนเสมอเสมอ เพราะคุณก็จะถูกคลื่นกิเลสไหลเข้าครอบงำได้ขอรับ
๓.การนั่งสมาธิ แล้วเกิด ฌาน(ชาน)ไม่ใช่ ให้ได้ ฌาน(ชาน) ส่วนคำว่า ญาณ(ยาน) คือ ความรู้ทั้งหลายที่คุณสามารถระลึกนึกถึง หรือสามารถนำออกมาใช้ได้ในทุกกรณีที่เกี่ยวข้อง
ญาณ(ยาน) ก็ต้องศึกษาหาความรู้ ทำความเข้าใจให้เป็นไปตามหลักความจริง และจดจำไว้ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยสมาธิ เป็นเครื่องมือประกอบ ส่วน ฌาน(ชาน) คือ ธรรมชาติ ที่เกิดจากการ ฝึกสมาธิ หรือปฏิบัติสมาธิ ที่กล่าวว่า ธรรมชาติ ก็เพราะถึงคุณจะไม่ปฏิบัติสมาธิ คุณก็จะเกิด วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ได้เช่นกัน
๔. วิธีไหนก็เหมาะกับทุกคนอยู่แล้ว มันขึ้นอยู่กับตัวคุณ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับวิธีการ
๕. ให้ย้อนกลับไปอ่าน ข้อ ๓(สาม)
๖. นั่งสมาธิถึงขั้น มีจิตใจแน่วแน่ คือมีจิตเป็น เอกัคคตา มีจิตตั้งมั่น และต้องฝึกอยู่เป็นประจำ ๒๐ ปีขึ้้นไป และจะต้องฝึกชนิดที่เรียกว่า ใครสวย ใครแก่ ใครงาม ใครหล่อ ใครรวย ใครจน ก็รู้สึกเฉยๆ และ แก้วที่คุณกล่าวถึง ก็จะปรากฏมีประมาณ เม็ดถั่ว หนึ่งเมล็ด หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ขอรับ -
แล้ว พอเฉยได้แล้ว มันจะตกลงมา สวยหล่อ ได้อีกไหมครับ -
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 254
[๓๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้
ว่าอย่างนั้นตลอด ๗ ปี ผู้นั้นพึงหวังผลทั้ง ๒ ผลอันใดอันหนึ่ง คือ พระ-
อรหัตตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยังเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑
..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ๗ เดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้อย่างนั้น ตลอด ๖ เดือน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒
ผลอันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑......
.... ดูก่อนภิกษุทั้งหลายกึ่งเดือนยกไว้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่ง
พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้อย่างนั้น ตลอด ๗ วัน ผู้นั้น พึงหวังผลทั้ง ๒ ผล
อันใดอันหนึ่ง คือพระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑ หรือเมื่ออุปาทิ ยัง
เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ๑...
หน้า 2 ของ 4