เรียนท่านที่ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ แต่สนใจเรื่องพระโพธิสัตว์

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Tanakorn, 23 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
    เรียนท่านที่ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ แต่สนใจเรื่องพระโพธิสัตว์ครับ

    ห้องนี้เป็นห้องรวมตัวคิดดี ทำดี พูดดี แต่บางทีก็มีแบบที่ไม่ธรรมดา
    เพราะพวกปรารถนาพุทธภูมิ มักจะคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขา
    แต่คิดเรื่องดีๆนะ เรื่องช่วยคนให้พ้นทุกข์ เรื่องความมีเมตตา เป็นต้น

    เพราะฉะนั้น โปรดอย่าเพิ่งนึกว่าพวกเราไม่ปกตินะ ^_^
     
  2. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
  3. hydraxis

    hydraxis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +529
    ผมกำลังสงสัยอยู่มากเรืองแดนสุขาวดี พอมีใครรู้เรื่องนี้มั้งไหมครับขอคนมีญานสื่อสารกับโลกทิพย์ได้ยิ่งดีสำหรับคำตอบ ในใจผมต้องการเป็น พระโพธิสัตว์ แต่ผมสงสัยว่าสุขาวดี กับ นิพพาน นั้นต่างกันเพียงใด ขอคนรู้ลึกและมีสัมผัสนะครับสำหรับคำตอบไม่เอาคำบอกเล่าหรือ ก้อบมาจากเน็ตนะครับ
     
  4. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    นิพพาน นั้น ถ้ายังไม่ถึงระดับพระโสดาบันคงยากจะเข้าใจได้ตรง ส่วนพระนิตยโพธิสัตว์เอง อาจเข้าใจได้ในบางช่วงเวลา ที่วิบากกรรมและโมหะไม่ครอบงำหนัก แต่ทั้งสองระดับผมก็ยังไม่ถึง การเข้าใจนิพพานแบบคนปุถุชนแบบเราคงต้องอาศัยการศึกษาและอนุมานจากการศึกษาไปก่อน ศึกษาพระไตรปิฎกเป็นหลัก จากนั้นศึกษาจากตำราชั้นรอง(ประเภทคัมภีร์คำอธิบายของพระภิกษุในยุคเก่าแก่ แล้วจึงศึกษาจากคัมภีร์คำอธิบายของพระภิกษุยุคปัจจุบัน) จึงอาจเกิดความสับสนได้เป็นธรรมดา

    ต่อไปนี้ เป็นการสรุปย่อของปุถุชนที่ศึกษา "นิพพาน" ให้ท่านเป็นแนวทางไปศึกษาทำความเข้าใจต่อ

    แบบแรก นิพพาน ชื่อว่าดับทุกข์สนิทเพราะดับกิเลสในใจสนิท ความหมายแบบนี้ ไม่ต้องไปพุ่งเป้าไปที่ภพ มิติ โลกอื่นใดอะไรอีกทั้งสิ้น เพราะสายปฏิจจสมุปบาทมีอย่างนี้

    อวิชชา - สังขาร - วิญญาณ - นามรูป - สฬายตนะ - ผัสสะ - เวทนา - ตัณหา - อุปาทาน - ภพ - ชาติ - ชรามรณะ - โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

    กล่าวโดยรวบรัดเมื่อดับกิเลสทั้งมวลถึงต้นตอถึงราก คือ ดับอวิชชาเสียแล้ว ภพ ย่อมไม่มี ภพ มีสองนัยยะ นัยยะที่หนึ่ง โลกที่อยู่ของสัตว์ ภาวะชีวิตของสัตว์ นัยยะที่สอง ภาวะที่จิตถูกครอบงำโดยอุปาทาน(ความยึดมั่นถือมั่นของจิต)

    ความเข้าใจแบบแรกหมายเอาเฉพาะ ภาวะที่จิตดับกิเลสสนิท ภพในจิตไม่มีวันถูกสร้างได้อีก ส่วนปัญหาอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการดับทุกข์ดับกิเลส เป็นเรื่อง ตถตา เป็นอย่างนั้นเอง ซึ่งจะเห็นว่าเป็นอย่างไร ก็รอดับกิเลสก่อน

    อย่างไรก็ตาม อาจมีการขยายความในเชิงปฏิเสธคำอธิบายนิพพานแบบ ภพ หรือโลก หรือแดน ไป เพราะการเกิดภพใหม่ของสัตว์โลกก็เป็นเพราะภพในใจ เมื่อดับภพในใจลง ในเมื่อการเข้านิพพานคือ การดับภพ (ว่าโดยรวบรัด) สิ่งใดที่เรียกว่า ภพ จึงไม่อาจอธิบาย นิพพานได้ ถ้าจะเข้าใจต้องปฏิเสธภาวะแบบภพ ภูมิโดยสิ้นเชิง ไม่อาจใช้ภาวะที่เราเข้าใจแบบมีภพ ไปอธิบายแบบมีภพได้

    แบบที่สอง นิพพาน มีการขยายความการอธิบายออกไป โดยพยายามอธิบายสภาวะ แดนนิพพานเอาไว้ โดยมีการอธิบายแบบชัดเจนคล้ายในแบบพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยพิจารณาจากการอธิบายตรีกายของพระพุทธเจ้าว่า

    ธรรมกาย (พระคุณของพระพุทธเจ้า เช่น พระปัญญา พระเมตตา) นิรมาณกาย (กายเนื้อ) สัมโภคกาย (กายทิพย์ภาวะจะเห็นเฉพาะพระโพธิสัตว์)

    แบบที่สอง จึงกล่าว นิพพาน ในความหมายของ แดน โลก ภาวะ ตามจริง เช่น เป็นเมืองอมตะมหานคร แต่แม้จะอธิบายเป็น ภพ เป็น แดน เป็นโลก ก็ปราศจากกิเลสและทุกข์ บางทีกล่าวในเชิง ธรรมาธิษฐาน คือ แดนแห่งธรรม (ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า คำกล่าวนี้ในพระไตรปิฎก จึงอาจตีความได้หลายนัย ในเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าได้ แม้พระองค์ปรินิพพานแล้ว ก็ต้องสามารถเห็นแดนนิพพานได้)

    ในหลายครั้ง จะรู้สึกคำสอนขัดแย้งกัน แต่ถ้าเข้าไปศึกษาแม้ในแบบที่สอง ก็ได้รสพระนิพพานเหมือนกัน เพราะสอนให้ดับกิเลส ความยึดมั่นถือมั่น เช่นกัน

    แดนสุขาวดี จัดเป็น พุทธเกษตร หนึ่งเท่านั้น เนื่องจากเป็นแดนบารมีของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ไม่จัดเป็น นิพพาน เมืองนิพพาน พุทธเกษตร เป็นโลกทิพย์ที่สาวกภูมิของพระอมิตาภะพุทธใช้บำเพ็ญก่อนนิพพาน (ละเว้นการกล่าวถึง นิพพาน แบบภพภูมิเช่นกัน) ใช้เวลาบำเพ็ญเร็วสุด 5 กัป ช้าสุด 12 กัป แดนสุขาวดี มีการอธิบายสองแบบเหมือนเรื่อง นิพพาน คือ เป็นแดนธรรมาธิษฐาน กับเป็นภพแดนจริงๆ

    แล้วจริงๆ เป็นอย่างไร

    ต่อไปเป็นการบอกเล่าแบบปัจจัตตัง ไม่เสนอความจริงหรือความเท็จ แต่บอกเล่าตามความเป็นจริงของผู้เล่าซึ่งปรารถนาพุทธภูมิ(จัดเป็นพระโพธิสัตว์ได้)

    คราวหนึ่ง เมื่อเรานอน เมื่อจิตสร้างกาย แยกจากร่างกายเนื้อนี้ กายลอยอยู่ในห้วงจักรวาลอันไพศาล มีดำริในใจโดยพลันจะไปแดนสุขาวดี พลันมีปีกแห่งพญาครุฑปรากฏกระพือปีกแค่ครั้งเดียว ข้ามมหาทะเลอันนิ่งสนิท ผ่านระยะทางอันไกลแสนไกลด้วยเวลาแค่ชั่้วกระพือปีกครั้งเดียว ถึงแดนสุขาวดี แต่แรงกลับลดลงอย่างกระทันหันเมื่อใกล้ถึงแล้วร่วงลง แดนสุขาวดีตั้งอยู่บนเหนือต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ร่างเราเล็กและนั่งลงบนใบโพธิ์เพียงใบเดียว ที่ข้างบนเป็นยอดต้นโพธิ์คือ แดนสุขาวดี

    อีกคราวหนึ่ง เมื่อเรานอนหลังจากเราสวดมนต์ และภาวนาเมตตา บูชาเจ้าแม่กวนอิม จนวันหนึ่ง เมื่อจิตสร้างกาย แยกจากร่างกายนี้ เรา(ร่างกายสตรีหญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น สวมอาภรณ์ขาวทั้งร่าง)ได้เดินขึ้นตามเจ้าแม่ และได้ฟังเจ้าแม่สอนธรรม

    มีคราวหนึ่ง นั่งสมาธิจน จิตสร้างกาย แยกจากร่างกายนี้ ร่างนี้ลอยอยู่ในพระพุทธรูปที่กราบไหว้เหนือที่นั่งสมาธิ มีเสียงสั่งสอนธรรม

    มีคราวหนึ่ง นั่งสมาธิแล้วนอน พอนอน จิตสร้างกายนี้แยกจากร่างกาย กายขยับมานั่งสมาธิ พลันรู้สึกมีคนกึ่งนกมาอุ้มไปโยนที่แดน แดนนั้นมีงูใหญ่มากมาย ขอขมางูใหญ่ที่ีเฝ้าต้นผลไม้หนึ่ง แล้วเราวิ่งไปหยิบผลไม้ทาน ร่างกายรู้สึกสดชื่นเหมือนมีชีวิตชีวาเพื่มขึ้น (ช่วงนั้น วิบากกรรมหนัก จิตตก แต่พยายามเพียรภาวนา)

    เรากล่าวโดยสรุปรวบรัด หลังจากได้พิจารณาการปฏิบัติและสภาวะจิตในแต่ละครั้ง อย่างนี้ว่า

    เมื่อท่านสงบระงับนิวรณ์ 5 อุปกิเลสไม่จรมา เป็นผู้มีความเบากายเบาใจ หมั่นประกอบภาวนา คือ สวดมนต์ แผ่เมตตา นั่งสมาธิสมถะวิปัสสนาตามสมควร จนสามารถยกจิตถึงอัปปนาสมาธิแค่ชั่วแว่บได้(แต่ยังใช้ไม่ค่อยเป็น) จนจิตเข้าถึง กายในกาย (มโนมยิทธิแบบอัตโนมัติสำหรับผม) จะน้อมจิตไปแดนสุขาวดี ฟังพระอมิตาภะพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ได้

    ผมเรียน มโนมยิทธิของหลวงพ่อฤษีลิงดำ ที่ซอยสายลมตอนเด็กช่วง 10 - 12 ขวบ แต่เรียนแบบไม่กี่ครั้ง(คุณพ่อพาไป) จึงได้แบบงูๆ ปลาๆ แต่เผอิญว่า มโนมยิทธิเป็นของติดตัวแต่เกิด

    ต่อมาหลังเหตุการณ์นี้ ถ้าจำไม่ผิด ได้ยินเฉพาะกรณีเหมือนได้ยินสมเด็จพระสังฆราชท่านตรัสทำนองว่า แดนสุขาวดี นี้ก็มีจริง (คือ เราผู้ปฏิบัติสามารถสัมผัสและเข้าถึงได้ ส่วนจริงๆ จะเป็น แดนจริงๆ หรือ ธรรมาธิษฐานก็ได้ทั้งนั้น เพราะยังไง ก็อยู่ที่ี จิต นั้นเอง)
     
  5. hydraxis

    hydraxis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +529
    ขอบพระคุณสำหรับคำตอบครับ


    สาธุสำหรับความรู้ทางธรรมปัญญา สำหรับ ข้าพเจ้าแล้วคิดว่า แดนสุขาวดี นั้นเป็นดินแดนของพระโพธิสัตว์ ซะส่วนใหญ่
     
  6. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    "เรียนท่านที่ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ แต่สนใจxxxพระโพธิสัตว์"


    ถ้าถามถึงผู้หญิง ผมจะตีความหมายของคำถามนี้ไปอีกอย่างเลยนะครับ
     
  7. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
  8. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ไม่จำกัด คับแคบอย่างนั้นครับ

    แดนสุขาวดี คนธรรมดาเข้าไปได้ ด้วยพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ แล้วเหนี่ยวนำอารมณ์นิพพานเป็นที่หมายครับ คือ มีโพธิจิต (จิตที่ต้องการหลุดพ้น)

    คนธรรมดาเมื่อภาวนาถึง พระอมิตาภะ ท่องสวดเป็นประจำ ชื่อว่า ได้ทำกรรมฐานพุทธานุสติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้นั้นเองแหละ เหนี่ยวนำอารมณ์นิพพานไว้ ย่อมเข้าถึงแดนสุขาวดี แล้วนิพพานในที่สุด (ตามหลัก ถ้าจิตไม่ดึงกลับมาฝั่งนีั้ เมื่อตายคนที่ตายแล้วถึงพุทธานุสติที่มีอารมณ์เหนี่ยวนำนิพพาน ย่อมนิพพานในขณะห้วงความเป็นตาย แต่เนื่องจากกาลเวลาในทางจิตไม่ขึ้นกับกาลเวลาทางโลก ช่วงที่จิตจะเหนี่ยวนำไปถึงนิพพาน จึงมีกระบวนการของพุทธานุภาพ หมายถึง จิตต้องเรียนรู้ จนดับอวิชชา สนิท จึงนิพพานได้ เป็นธรรมาธิษฐานที่จิตเมื่อได้พุทธานุสติแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา จะฝึกฝนในแดนสุขาวดี หรือในความเป็นจริง คนที่ศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก ในที่สุดก็จะเรียนธรรม ปฏิบัติธรรมจนหลุดพ้นนั้นเอง)

    ดังนั้น ชาวบ้านที่จิตเป็นกุศล ท่อง อมิตภะ ทุกลมหายใจ ชื่อว่า ได้พุทธานุสติ และกรรมฐานลมหายใจไปในตัว เป็นทำนองอุปมาคล้ายคลึงดั่งเรื่องที่หลวงพ่อฤษีลิงดำท่านสอนเรื่อง อุมาฑันตี

    ทั้งนี้ ในฝ่ายมหายาน มีหลายตอนกล่าวว่า มีคนตกจากสุขาวดี มาเกิดที่โลกมนุษย์แทนที่จะนิพพานไปในแดนสุขาวดี ซึ่งพระโพธิสัตว์ อาทิ เจ้าแม่กวนอิมก็จะลงมาโปรดให้บำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าถึง สุขาวดี อีก เพื่อให้นิพพานในแดนสุขาวดีในที่สุดนั้นเอง แต่ถ้าใครแก่กล้าก็นิพพานที่โลกนี้เลยก็ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2016
  9. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ศาลาพักร้อน แดนสุขาวดี
     
  10. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    ในมหาสุขาวตีวยุหสูตร ได้กล่าวถึงการชุมนุมของพระสงฆ์และพระโพธิสัตว์หมู่ใหญ่ โดยมีพระเมตไตรโพธิสัตว์เป็นหัวหน้า ที่ภูเขาคิชฌกูฎในนครราชคฤห์
    .
    พระพุทธองค์ ได้กล่าวถึงกำเนิดพระอมิตาภพุทธเจ้าและสวรรค์อันเลอเลิศสุด คือ ดินแดนสุขาวดี อันเกิดจากบุญบารมี ตามปณิธานของพระอมิตาภพุทธเจ้า (พระอมิตาภพุทธเจ้ามีอายุและแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด) มีมหาปณิธานที่จะโปรดสัตว์ที่ระลึกถึงพระองค์ ผู้ใดปฏิบัติธรรมมีความแน่วแน่ในพระองค์จนวาระสุดท้ายจะได้ไปเกิดในดินแดนของพระองค์ ได้ฟังธรรมได้ปฏิบัติธรรมและหลุดพ้นในดินแดนของพระองค์
    .
    อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระองค์คือ พระมหาสถามปราบมหาโพธิสัตว์ ในเมื่อพระอวโลกิเตศวร(กวนอิม)มหาโพธิสัตว์ เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระองค์ ทำหน้าที่เปรียบเป็นธรรมกายหรือตัวแทนพระอมิตาภพุทธเจ้าในการโปรดสัตว์ในอนันตจักรวาลทั้งสิบทิศ
    .
    ส่วนจุลสุขาวตีวยุหสูตร กล่าวถึงการชุมนุมของคณะสงฆ์ พระโพธิสัตว์ และทวยเทพทั้งหลายที่เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี และพระพุทธองค์ทรงเทศนาถึงที่ตั้งชีวิตอันอุดมเป็นอมตะ และความสวยสดงดงามอันหาที่เปรียบปานมิได้ ในดินแดนสุขาวดีของพระอมิตาภพุทธเจ้า (หรืออมิตายุ คือ พระพุทธเจ้าที่มีอายุไม่มีวันสิ้นสุด)
    .
    ใน อมิตายุรธยานสูตร ได้กล่าวถึง พระนางเวเทหิ อัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ทรงโศกเศร้าพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่พระเจ้าอชาติศัตรู พระราชโอรสของพระองค์ทำปิตุฆาต ทรงขังพระองค์ในห้องส่วนพระองค์ในพระราชวังหันหน้าไปภูเขาคิชฌกูฎ อันพระพุทธองค์ประทับอยู่น้อมระลึกถึงพระพุทธองค์และตรัสทูลขอพระพุทธองค์ ได้โปรดส่งพระอานนท์และพระมหาโมคัลลานะมาช่วยตอบปัญหาความทุกข์ของพระองค์
    .
    พระพุทธองค์ ทรงทราบด้วยญาณแล้ว ได้ปรากฏพระองค์ต่อหน้าพระนางเวเทหิ มีพระโมคคัลลานะอยู่เบื้องซ้าย (ซึ่งแสดงว่าเบื้องซ้ายมีฐานะสูงกว่า) พระอานนท์อยู่เบื้องขวา พระนางเวเทหิทรงร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศกผิดหวังของพระองค์ ไม่ประสงค์มาเกิดในโลกใบนี้อีก แต่ขอไปเกิดในโลกใบอื่นที่ไม่มีความชั่ว มีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย สัตว์นรก
    .
    พระพุทธองค์ทรงเมตตาบันดาลให้ พระนางเวเทหิได้เห็นสวรรค์ชั้นต่างๆในโลกนี้ และโลกอื่นเป็นอเนกอนันต์ ในที่สุดพระนางเวเทหิทรงเลือกที่จะไปเกิดในสวรรค์สุขาวดีของพระอมิตาภพุทธเจ้า และทรงถามถึงการปฏิบัติธรรมที่จะไปเกิดในดินแดนดังกล่าว พระพุทธองค์ทรงพระกรุณาให้พระนางเวเทหิได้เห็นพระอมิตาภพุทธเจ้า โดยมีพระมหาสถามปราบโพธิสัตว์ยืนอยู่เบื้องซ้าย พระอวโลกิเตศวร (กวนอิม)โพธิสัตว์อยู่เบื้องขวา (ตามคติของจีนเบื้องซ้ายมีฐานะสูงกว่าเบื้องขวา) พระนางเวเทหิได้เข้ากราบแทบพระบาทพระอมิตาภพุทธเจ้า ขอเข้าถึงพระอมิตาภพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งสองและจากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงสอนวิธีการเจริญสมาธิที่จะให้ไปเกิดแดนสุขาวดี

    ในพระสูตรนี้ บอกถึงลักษณะและคุณวิเศษของพระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) โพธิสัตว์ และพระมหาสถามปราบโพธิสัตว์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว น้อมจิตไปเกิดในแดนสุขาวดี เมื่อจิตใกล้จะดับจะเห็นพะอมิตาภพุทธเจ้า พร้อมกับพระโพธิสัตว์ทั้งสองและบริวารมานำพาไปแดนสุขาวดี หรือมิฉะนั้น ก็จะมีพระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์มารับ หรือเมื่อจิตดับจากโลกมนุษย์แล้วผุดขึ้นในแดนสุขาวดี เมื่อผุดออกมาจากดอกบัวในแดนสวรรค์สุขาวดีก็จะได้พบพระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ทรงให้ความเมตตาสั่งสอนธรรมจนสามารถขจัดกิเลสทั้งหลายได้สิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2016

แชร์หน้านี้

Loading...