เรื่องจริง...ประสบการณ์อันมหัศจรรย์ที่ได้เข้ามาอยู่วัดระฆังโฆสิตาราม

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย เพชรฉลูกัน, 13 มกราคม 2011.

  1. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 20 - เหตุเกิดแต่กลิ่นดอกชมพู่

    ในขณะที่ต่อรองกันอยู่นั้นนักหมากฮอสประหลาดอีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเณรได้มาถึงร้านกาแฟและเข้ามาดู ได้ทักทายกับนายเป๋อย่างสนุกสนาน ผมรู้แล้วว่าสองคนนี้สนิทสนมกันและอาจจะเป็นพวกทำมาหากินในเรื่องการพนันด้วยกัน แต่ก็ยังมั่นใจว่าอุบายที่เตรียมไว้นั้นจะยังได้ผล จึงไม่หวั่นใจประการใด

    นายเป๋และนายเณรทักทายกันอย่างสนุกสนานอยู่ครู่หนึ่ง ยังไม่ทันที่จะตกลงกันประการใดก็มีนักหมากฮอสประหลาดที่ใบหน้าสีหยกซึ่งเคยเห็นเมื่อวันก่อนและทราบชื่อในภายหลังว่ากำธร ทำงานอยู่ที่เทศบาลกรุงเทพฯเดินเข้ามาสมทบอีกคนหนึ่ง

    นายเป๋เห็นนายกำธรเดินเข้ามาก็ทักทายด้วยเสียงอันดัง นายเณรได้ยินเสียงทักทายก็หันกลับไปทักทายกับนายกำธรด้วย ทั้งสามคนทักทายกันแล้วก็พยักเพยิดกันอย่างมีเลศนัย

    ผมเป็นคนช่างเฉลียว พอเห็นท่วงท่าดังนั้นก็รู้ว่านักหมากฮอสทั้งสามคนนี้พยักเพยิดกันอย่างมีเลศนัย จึงระแวงอยู่ในใจว่าตัวเรานี้กำลังถูกมองจ้องว่าเป็นหมู ดังนั้นบรรดาสามคนประหลาดซึ่งเปรียบประดุจดังเสือย่อมกระหยิ่มใจที่จะได้กินหมูให้มันปากในวันนี้ ระแวดระวังดังนั้นแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าทั้งสามคนนี้เป็นพวกหัวพนันอย่างเดียวกัน คงจะร่วมไม้ร่วมมือกันเป็นแก๊งค์ทำมาหากินในเรื่องการพนันหมากฮอสด้วยกันเป็นแน่แล้ว

    แม้ว่าจะรู้สึกนึกคิดเช่นนั้นแต่ก็ยังข่มใจทำให้เป็นปกติ ผมทำหน้ายิ้มแย้มทักทายกับคนชื่อเณรและคนชื่อกำธรด้วยไมตรีบ้าง สองคนนั้นเห็นผมหน้าตาซื่อ ๆ และมีท่าทีเป็นมิตรก็ยิ้มให้เป็นทีรับไมตรีอยู่ส่วนหนึ่ง นี่แหละที่เขาเรียกว่าไมตรีที่ให้กับคนอื่นนั้นไม่สูญหายไปไหน ย่อมมีผลสนองกลับไม่มากก็น้อยไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

    พอทักทายกันตามสมควรแก่อัชฌาสัยแล้ว ผมบอกกับนายเป๋ว่าอย่าเพิ่งพนันกันเป็นเงินมาก ๆ เลย เอากันเพียงกระดานละ 10 บาทก็แล้วกัน ไว้วันหลังพอรู้มือกันดีแล้วค่อยเพิ่มเดิมพันเล่นกันกระดานละ 200 บาทก็ได้

    ทั้งนี้เพราะผมคิดว่าหากพลาดท่าเสียทีนายเป๋ก็ไม่ต้องควักเนื้อเพราะเอาเงินนายเป๋คืนให้นายเป๋เอง แต่ผมก็มั่นใจว่าการตั้งค่าเดิมพันในอนาคตถึงกระดานละ 200 บาทนั้นจะทำให้นายเป๋ต้องอ่อนข้อให้ผมในคราวนี้ และจะทำให้ผมชนะนายเป๋อีกครั้งหนึ่ง

    นายเป๋ได้ฟังเงื่อนไขดังนั้นก็พยักหน้าและตกลงพนันกันกระดานละ 10 บาท ด้วยท่าทีที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วครวญเพลงแหล่ด้วยความเบิกบานสำราญใจ พลันได้ยินคนชื่อเณรเอ่ยขึ้นว่าไอ้เป๋มึงมัวแต่ร้องเพลงประเดี๋ยวก็แพ้เขาหรอก และได้ยินคนชื่อกำธรพูดว่าไอ้เป๋ท่าจะแพ้แน่

    ผมได้ยินคนชื่อกำธรพูดดังนั้นก็ประหวั่นใจและคิดว่าในบรรดาคนประหลาดสามคนนี้ เห็นทีคนชื่อกำธรจะมีสติปัญญามากกว่าเพื่อน เพราะถ้อยคำที่พูดมานั้นฟังได้เป็นสองนัย นัยแรกเหมือนหนึ่งจะล่วงรู้ความคิดผมว่าต้องการเป็นหมูกินเซียนให้เซียนอย่างนายเป๋ได้รู้สำนึก ส่วนอีกนัยหนึ่งก็เหมือนจะทำให้ผมตายใจว่านายเป๋มีฝีมือสู้ผมไม่ได้ แต่เมื่อสังเกตจากน้ำเสียงและมองหน้าสบกับแววตาของนายกำธรแล้วดูเหมือนว่าคนชื่อกำธรจะมีไมตรีกับผมอยู่มาก เพราะเมื่อสบตากับผมแล้วนายกำธรได้ยิ้มให้กับผมเป็นนัยอยู่ในที

    ผมเล่นหมากฮอสกับนายเป๋อีก 3 กระดาน คราวนี้ผมชนะ 2 กระดาน แพ้ 1 กระดาน จึงได้เงินมาอีก 10 บาท นายเป๋ควักเงินออกมาฟ่อนใหญ่เป็นทีว่ามีเงินพร้อมจะแพ้พนันจำนวนมาก และทำท่าทีจะเล่นต่อไปอีก ผมก็รู้ทีว่านี่เป็นอุบายชนิดหนึ่งที่เรียกว่าอุบายเอาทรัพย์ล่อ เพื่อทำให้เกิดความโลภอยากได้ทรัพย์ของคนอื่น และเมื่อความโลภเข้าครอบงำแล้วย่อมทำให้สติปัญญามืดมัวไปและหลงเข้าบ่วงกลได้โดยง่าย นั่นคือหลงเพิ่มจำนวนเงินค่าพนันให้สูงขึ้น แล้วถูกเขากินรวบหัวรวบหางต่อภายหลัง

    นายกำธรเห็นกิริยาอาการของนายเป๋เช่นนั้นก็พูดว่าไอ้เป๋มันรวย แพ้พนันวันนี้ก็ไม่หมดตัวหรอก ผมได้ฟังก็ยิ่งสะดุ้งใจว่านายกำธรพูดเป็นสองนัยเช่นเดิมอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ครั้งนี้ชัดขึ้นว่านายกำธรยังคงคาดหมายล่วงหน้าว่าถ้าหากเล่นหมากฮอสเดิมพันกระดานละ 10 บาทต่อไปผมจะต้องชนะนายเป๋อีก

    ระหว่างที่ผมยังไม่ตอบประการใดนั้นก็ได้ยินเสียงนายกำธรพูดขึ้นอีกเป็นทีเตือนนายเป๋ว่า เฮ้ย! ไอ้เป๋ วันนี้มีนัดสำคัญ อย่าเล่นหมากฮอสจนเสียนัด แล้วมองหน้ามาที่ผมเป็นนัย ผมเห็นอากัปกิริยานายกำธรดังนั้นก็ยิ้มให้ เพราะผมเริ่มมั่นใจแล้วว่านายกำธรส่งสัญญาณให้ผมในลักษณะช่วยเหลือโดยไม่ให้ใครรู้ตัว

    ผมรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วบอกว่าวันนี้ขอพอแค่นี้ ผมต้องขอตัวก่อนเพราะต้องตามพระไปกิจนิมนต์ ผมกล่าวแล้วรีบลุกขึ้นแล้วบอกว่าวันหน้าค่อยพบกันใหม่ ผมมั่นใจแล้วว่าพอสู้กันได้ คราวหน้าค่อยขึ้นค่าเดิมพันกันให้เต็มที่เลย

    นายเป๋ยังทำท่าทีจะรั้งตัวผมเล่นหมากฮอสต่อไป ผมมองไปที่หน้านายกำธรก็เห็นพยักหน้าและยิ้มให้ด้วยไมตรี ผมรู้ทีว่านายกำธรคนนี้มีความเป็นมิตรและแอบส่งสัญญาณช่วยเหลืออยู่เป็นแน่แท้ก็รู้สึกซึ้งใจในไมตรีแล้วยิ้มตอบด้วยความรู้สึกที่ขอบคุณ นายกำธรรีบชวนนายเป๋ว่าวันนี้เลิกเท่านี้เถิด นายเป๋ก็รับปากนายกำธร

    นายเณรถามผมว่ามาอยู่ที่วัดระฆังนานหรือยังและมาจากที่ไหน ผมก็ตอบไปแต่ตามตรง นายเณรก็บอกว่าวันหน้าถ้าผ่านมา มาเล่นหมากฮอสด้วยกันบ้าง ผมก็บอกว่าขอบคุณ กล่าวแล้วผมก็รีบเดินเข้าประตูคณะหนึ่งไป

    ผมตามพระไปบิณฑบาตรทุกเช้า เส้นทางบิณฑบาตรปกติจะไปตามซอยวังหลังเรื่อยไปจนถึงบ้านช่างหล่อ พอขากลับก็กลับทางซอยต้นจันทร์หรือซอยฉางเกลือ

    พระมหาทรงธรรม์มีญาติโยมที่ใส่บาตรเป็นประจำ เป็นญาติโยมจากภาคใต้บ้าง ญาติโยมจากภาคอื่น ๆ บ้าง แต่พระมหาทรงธรรม์นั้นมีกำหนดกฎเกณฑ์ในการออกบิณฑบาตรคือได้เท่าไหนพอเท่านั้น คือถ้ามีผู้ใส่บาตรเต็มบาตรแล้วก็จะกลับวัดโดยจะไม่ถ่ายเทของใส่บาตรแล้วบิณฑบาตรต่อไปอีก

    พระมหาทรงธรรม์สะพายบาตรออกบิณฑบาตร ไม่ได้อุ้มบาตรเหมือนกับพระฝ่ายธรรมยุต ส่วนผมซึ่งทำหน้าที่เด็กวัดตามพระไปบิณฑบาตรก็สะพายย่ามสำหรับใส่ผลไม้และอาหารที่เป็นถุงใบเดียวและมีปิ่นโตอีกสองสำรับ

    ในการรับบิณฑบาตรนั้น ถ้าบาตรเต็มแล้วถึงแม้ย่ามและปิ่นโตจะไม่เต็มพระมหาทรงธรรม์ก็จะกลับวัดทันที หรือถ้าย่ามเต็ม ปิ่นโตเต็ม และในบาตรเต็มพอประมาณก็จะกลับวัดเหมือนกัน ไม่มีการหาคนติดตามไปถ่ายข้าวถ่ายของให้เป็นที่น่าเกลียดเหมือนกับที่เห็นเป็นอยู่ในหลายที่หลายแห่งในทุกวันนี้ ซึ่งทำให้ถูกดูแคลนได้ว่ามุ่งแสวงหาส่วนล้นเกินโดยไม่รู้จักความพอดี แล้วเสื่อมเสียมาถึงพระศาสนา เสื่อมศรัทธาของญาติโยม

    ที่สำคัญคือบรรดาข้าวและอาหารที่ญาติโยมถวายนั้นพระมหาทรงธรรม์จะไม่นำไปจำหน่ายหรือขายโดยเด็ดขาด แต่จะนำมาฉันรวมกันกับพระอื่น ๆ พระฉันเสร็จแล้วก็ให้เป็นอาหารของเด็กวัด เด็กวัดกินแล้วหากมีเหลือก็แบ่งให้หมา หรือถ้าไม่พอก็ต้องลดสัดส่วนของคนให้น้อยลง แล้วเผื่อแผ่แบ่งไว้สำหรับหมาด้วย

    ดังนั้นอาหารบิณฑบาตรของพระมหาทรงธรรม์จึงเกื้อกูลทั้งพระ ทั้งเด็กวัด และทั้งหมา ที่เป็นเช่นนี้ก็เกิดจากคติที่พระมหาทรงธรรม์เห็นว่าบรรดาข้าวปลาอาหารที่ญาติโยมถวายพระนั้นเป็นของสูง เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เพราะชาวบ้านเขาตั้งจิตอธิษฐานอุทิศให้กับพระสงฆ์เพื่อสืบทอดพระศาสนา ไม่ใช่ให้เอาไปขายหรือไปแสวงหาประโยชน์ในทางอื่น

    ผมมีหน้าที่ตามพระไปบิณฑบาตรทุกวัน ดังนั้นจึงมีความคุ้นเคยกับเส้นทางในย่านนั้นเป็นอย่างดี กระทั่งจำได้ว่าบ้านไหนเป็นคนภาคใต้ บ้านไหนเป็นคนภาคอีสาน บ้านไหนเป็นคนกรุงเทพฯ บ้านไหนมักจะถวายอาหารประเภทใด จึงเป็นเหตุให้ผมนอกจากจะรู้จักเส้นทางดีแล้วยังรู้จักคนมากด้วย

    วันหนึ่งบิณฑบาตรไปถึงบ้านโยมทุเรียนที่ซอยวังหลัง เห็นลูกสาวแสนสวยของโยมทุเรียนเดินตามโยมทุเรียนออกมาใส่บาตรทั้ง ๆ ที่ปกติไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน ซึ่งทราบภายหลังว่าลูกสาวแสนสวยของโยมทุเรียนนี้ปกติอยู่ที่โรงเรียนประจำ ไม่ได้กลับมาบ้าน วันนี้คงเป็นวันพิเศษจึงกลับมาบ้านแล้วมาใส่บาตร

    โยมทุเรียนตักข้าวใส่บาตรพระ ส่วนลูกสาวของโยมถือถ้วยแกงสำหรับถวายพระ จึงเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องเปิดปิ่นโตเพื่อให้สาวเจ้าใส่แกง ในเช้าวันนั้นอากาศค่อนข้างดี กลิ่นดอกชมพู่จากต้นชมพู่ต้นใหญ่ในบ้านนั้นโชยมาระรวยริน

    ในขณะที่สาวเจ้ากำลังเอาถ้วยแกงเทใส่ปิ่นโตนั้น ผมได้กลิ่นหอมของดอกชมพู่โชยมาตามลมจึงสูดอากาศหายใจลึก ๆ ในทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสาวเจ้าพูดขึ้นแต่แผ่วเบาพอได้ยินแต่เพียงสองคนว่ากลิ่นดอกชมพู่ไม่หอมดอกเพราะเหม็นกลิ่นหมาวัดมากลบไปหมด

    ผมได้ยินดังนั้นก็โกรธจนหน้าแดงเพราะคำพูดเช่นนั้นเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามผมโดยเฉพาะ เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยถูกดูถูกดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อนเลย แต่ไม่กล้าแสดงท่าทีอะไร เพราะน้ำเสียงที่ได้ยินนั้นพอรู้ว่าทั้งพระและโยมทุเรียนไม่ได้ยิน เป็นการจงใจพูดเพื่อดูหมิ่นผมคนเดียวเท่านั้น ผมจึงทำเป็นไม่ได้ยิน และได้แต่นึกในใจว่าสาวน้อยผู้นี้ช่างมีถ้อยทีหมิ่นน้ำใจคนนัก กระไรเลยเพียงเท่านี้สิหมิ่นหาว่าเหม็นกลิ่นหมาวัด นี่เป็นการดูถูกว่าผมเป็นหมาวัดชัด ๆ

    ผมทราบภายหลังว่าสาวน้อยลูกโยมทุเรียนนี้มีชื่อว่าชมพู่ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าเมื่อสาวเจ้าเห็นผมสูดหายใจลึก ๆ เป็นทีได้กลิ่นหอมดอกชมพู่ จึงเข้าใจว่าผมแสดงท่าทีเกี้ยวพาราสีเป็นทีใช้กลิ่นหอมดอกชมพู่กระทบเปรียบเป็นเชิงกลิ่นแก้มสาวเจ้าชมพู่ก็ได้ ดังนั้นจึงมีเหตุผลเพียงพอที่สาวเจ้าจะโมโหและดูหมิ่นเอาฉะนี้ ทั้ง ๆ ที่ด้วยความสัตย์จริงแล้วในขณะนั้นผมหาได้ทราบชื่อสาวงามว่าชื่อชมพู่แต่ประการใดไม่

    ผมนึกขึ้นในใจในบัดนั้นว่าคนผู้นี้แม้จะมีฐานะดีกว่าคนอื่นในละแวกนั้นแต่ก็หาใช่ถึงขนาดเป็นลูกเศรษฐีหรือลูกท่านหลานเธอแต่ประการใดไม่ อายุยังน้อยเพียงเท่านี้ไฉนมีน้ำใจหมิ่นน้ำใจคนหนักหนาถึงปานนี้ ทั้งยังมีวาจาคมกล้าเชือดเฉือนใจคนนัก เห็นทีเบื้องหน้าชะตาเจ้าจะไม่รุ่งเรืองเป็นแน่แท้

    ผมคิดเช่นนั้นก็เพราะนึกถึงคำแม่ที่เคยสอนแต่น้อยว่าคนเราเป็นสัตว์ประเสริฐยิ่งกว่าสัตว์ทั้งปวง ฐานะในตอนเกิดมีเหตุมาแต่บุรพกรรมในปางก่อน แต่ความประเสริฐของคนสามารถพลิกฟื้นฐานะของตนเองได้เสมอ บางคนเกิดมาเป็นลูกยาจกแต่กลับเป็นศาสดาของโลกก็มี เป็นเศรษฐีหรือเป็นพระราชาก็เคยมีปรากฏ ดังนั้นต่อผู้คนแล้วจะหมิ่นไม่ได้ หยามไม่ได้ เหยียบไม่ได้ ข่มไม่ได้โดยเด็ดขาด ไม่ว่าในสถานการณ์ไหน ๆ ต่อผู้คนนั้นให้หมั่นยกย่องผูกไมตรีไว้ดีกว่าที่จะผูกความเจ็บแค้นขุ่นเคือง เพราะคนเรามีมิตรร้อยคนก็ยังไม่จัดว่ามาก แต่หากมีศัตรูแม้เพียงคนเดียวนั่นสิมาก ซึ่งเรื่องนี้แม่ได้ย้ำว่าสำคัญนัก ขอให้ลูกจดจำคำแม่ไว้ให้จงดี

    หลังกลับจากบิณฑบาตรวันนั้นแล้วผมยังเก็บความขุ่นใจที่ถูกเขาดูหมิ่นในวันนั้นไว้ในใจอยู่หลายวัน กลายเป็นไฟที่เผาอยู่ในใจกรุ่นอยู่ แม้ถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยลืมเลือนการที่ถูกดูหมิ่นในวันนั้นเลย

    และเมื่อมองความเป็นไปในปัจจุบันที่ได้ทราบว่าสาวชมพู่ผู้นี้ต่อมาได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ จบออกมาก็ได้สามีเป็นนายทหาร แต่เหตุการณ์พลิกผันให้ตกอับ ลำบากยากจนอยู่ทุกวันนี้ก็อดนึกสงสารไม่ได้ และทำให้เห็นว่าสิ่งที่แม่เคยพร่ำสอนแต่น้อยนั้นได้พิสูจน์ความจริงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งแล้ว

    วันเวลาผ่านไปไม่หยุดยั้ง จนถึงวันเวลาที่โรงเรียนเปิดเทอมแล้ว

    ลูกผู้น้องของผมแต่งตัวในชุดเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ไปเรียนหนังสือแต่เช้าทุกวัน ผมกลับยิ่งร้อนรนใจมากขึ้นเพราะรู้ดีว่าบัดนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้ว ผมสิยังคงเป็นเด็กวัดที่ตามพระไปบิณฑบาตร ปรนนิบัติพระทั้งค่ำเช้า แต่ยังไม่มีที่เรียน และไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นประการใด ทั้งความหวังที่รอคอยจากลุงว่าจะช่วยให้ได้เข้าเรียนก็ไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏเป็นความจริงขึ้นมา

    วันเวลาผ่านไปอีก ผมเห็นจนท่าแล้วเพราะโรงเรียนเปิดเทอมมาร่วมครึ่งเดือนแล้วก็ยังไม่รู้ว่าอีกเมื่อใดจะได้ที่เรียน จึงมีความกลัดกลุ้มหม่นหมองใจยิ่งนัก ยามค่ำคืนหลังจากปรนนิบัติพระและเข้านอนแล้วได้แต่เอามือก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดกังวลถึงอนาคตการเรียน

    คืนหนึ่งในขณะที่ความทุกข์กังวลครอบงำใจจนน้ำตาไหลริน ๆ ใจก็หวนรำลึกขึ้นได้ถึงคำพระอาจารย์ที่เคยย้ำเตือนว่าถ้าหากขัดข้องขัดสนจนปัญญาถึงที่สุดประการใดแล้วอย่าท้อแท้ท้อถอย ให้ไปบอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จเถิด.
     
  2. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 21 - เรียนมนต์ประจำตัวสมเด็จโต


    ค่ำวันนั้นผมนอนด้วยความกระสับกระส่ายเพราะร้อนใจเกี่ยวกับการหา สถานที่เรียนจนหาความสงบไม่ได้ ครั้นนึกถึงคำของพระอาจารย์ที่เคยย้ำเตือนว่าหากขัดสนแล้วให้ไปบอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จใจก็ค่อยชื้นขึ้นมา

    ผมลุกขึ้นดูนาฬิกา เห็นเป็นเวลาสี่ทุ่มเศษยังไม่ดึกจัดนัก แต่ด้วยความร้อนใจจึงคิดไปบอกกล่าวเจ้าประคุณเสียแต่ค่ำนี้ ผมเดินออกจากกุฏิไปยังวิหารสมเด็จ แต่ไม่ได้เข้าไปถึงวิหารเพราะเห็นว่ามืดมากแล้ว

    ผมหยุดยืนอยู่ที่บริเวณกำแพงพระอุโบสถตรงบริเวณหน้าประตู คุกเข่าลงกับพื้น หันหน้าไปทางวิหารสมเด็จแล้วยกมือขึ้นประนม น้อมรำลึกถึงพระคุณเจ้าประคุณสมเด็จแล้วกราบบอกกล่าวในใจว่าเวลาบัดนี้โรงเรียนเปิดเทอมมาครึ่งเดือนแล้ว ผมยังมิรู้ที่จะเรียนแห่งใดเลย มีความรุ่มร้อนในอกเป็นอันมาก ไม่เห็นใครใดเป็นที่พึ่ง จึงมากราบขอบารมีเจ้าประคุณเป็นที่พึ่งให้แก่ศิษย์ผู้ยากได้มีที่เรียนด้วย เสร็จแล้วผมจึงก้มลงกราบกับพื้น และเดินกลับมาที่กุฏิแล้วเข้านอนดังเดิม

    ในคืนวันนั้นได้บังเกิดความฝันประหลาดว่าผมแต่งตัวในชุดนักเรียนแล้วไปที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นโรงเรียนอะไร เห็นแต่ว่าเป็นโรงเรียน มีอาคารเรียนเป็นตึกคอนกรีต มีลักษณะเป็นแถวยาว สูงขนาด 4 ชั้น

    ในความฝันนั้นว่าผมยืนมองอาคารเรียนด้วยความมั่นใจและรู้สึกอย่างแน่ชัดในใจว่านี่คือที่เรียนซึ่งกำลังแสวงหาอยู่ ผมจดจำลักษณะของโรงเรียนและอาคารเรียนดังกล่าวได้อย่างชัดเจน เป็นแต่ว่าไม่ถึงกับสะดุ้งตื่น คงหลับต่อมาจนสว่าง

    ครั้นตื่นขึ้นยังจำความฝันได้แม่นยำ ผมนึกสงสัยในใจว่าความฝันในครั้งนี้บังเกิดขึ้นในยามที่ร้อนรุ่มในจิตใจ และเกิดขึ้นหลังจากที่ได้ไปกราบไหว้บอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จแล้ว เห็นทีว่าเจ้าประคุณสมเด็จคงจะเมตตาศิษย์วัดน้อยจากแดนไกล และบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น จึงเชื่อว่าคงจะเป็นนิมิตดีว่าในครั้งนี้เห็นจะได้ที่เรียนแล้ว

    แต่ทว่าโรงเรียนในกรุงเทพฯ ที่เคยได้ยินชื่อก็มีแค่ 3 แห่งเท่านั้น คือโรงเรียนสวนกุหลาบซึ่งไม่มีความหวังที่จะได้เรียนอยู่แล้วแห่งหนึ่ง โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ซึ่งคอยความหวังจากลุงอยู่แห่งหนึ่ง และโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ซึ่งไม่มีโควต้าที่จะได้เรียนอีกแห่งหนึ่ง จึงได้แต่ครุ่นคิดสงสัยว่าโรงเรียนที่เห็นในความฝันนั้นจะเป็นโรงเรียนไหนกันแน่

    ผมครุ่นคิดพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้แล้วก็เข้าใจเอาเองว่าเห็นทีจะได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ เพราะยังไม่เคยได้ยินและไม่เคยสัมผัสถึงความไม่มีโอกาสเหมือนกับโรงเรียนทั้งสองแห่งนั้นเลย

    ดังนั้นพอตกสายผมจึงรีบเดินทางไปที่กองทะเบียน กรมตำรวจ ซึ่งขณะนั้นตั้งอยู่ที่ปทุมวันเพื่อไปพบกับลุงและโชคดีที่ได้พบสมกับที่ได้ตั้งใจไว้

    ลุงเป็นหัวหน้ากองทะเบียน กรมตำรวจ มีอำนาจดูแลเกี่ยวกับเรื่องงานด้านทะเบียนต่าง ๆ ไม่ว่าโรงแรมหรือรถยนต์ จึงมีผู้คนไปพบและรอคอยพบอยู่มากหน้าหลายตา

    พอลุงทราบว่าผมไปขอพบก็ให้ตำรวจหน้าห้องรีบนำตัวผมเข้าไปหาถึงห้องทำงานซึ่งกว้างขวางใหญ่โตโอ่โถง มีเครื่องใช้ไม้สอยและเครื่องดินเผาตลอดจนของโบราณเต็มไปหมด ดูไปแล้วก็เห็นได้ว่าอำนาจวาสนาของลุงช่างไม่น้อยเลย

    ลุงได้ทักทายด้วยลักษณะอาการที่ห่วงหาอาทรเป็นอย่างมาก ซึ่งผมก็พอทราบความน้ำใจลึกของลุงอยู่บ้าง เพราะลุงเป็นลูกกำพร้า อยู่กับยายของผมมาตั้งแต่น้อยยังแบเบาะ ยายอุปการะเลี้ยงดูส่งเสียลุงจนกระทั่งลุงเดินทางเข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ

    เพราะเหตุดังกล่าวนี้ ลุง แม่ผม และน้าสาวจึงมีความสนิทสนมใกล้ชิดราวกับว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่เป็นเรื่องแปลกเพราะนับแต่วันเวลาที่ลุงเดินทางมาศึกษาในกรุงเทพฯ แล้วก็ไม่เคยเดินทางไปเยี่ยมเยือนยายหรือญาติพี่น้องอีกเลย คงมีแต่ญาติพี่น้องเดินทางมาเยี่ยมลุงที่กรุงเทพฯ แต่เกือบทั้งหมดต้องพบกับความไม่สบายใจอันเกิดจากกิริยาอาการตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์ของผู้เป็นภรรยาของลุง ดังนั้นนานวันเข้าจึงห่างเหินกันไป และไม่มีญาติคนไหนอยากจะไปเยี่ยมหาลุงอีกเลย

    ลุงทักทายผมด้วยท่าทีสนิทสนมผิดไปจากวันที่ผมไปหาที่บ้านราวกับว่าเป็นคนละคน

    จากนั้นลุงได้ถามผมว่าได้ติดต่อที่เรียนที่ไหนไว้บ้างแล้ว ผมก็บอกว่าถึงวันนี้ยังไม่มีที่เรียนเลย คงรอความหวังจากลุงว่าจะได้เรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์หรือไม่ แต่กลับได้รับคำตอบว่าลุงเองก็ยังรอฟังคำตอบอยู่ แล้วปลอบใจว่าขอให้ผมรอไปอีกสักระยะหนึ่ง

    ผมได้ฟังดังนั้นก็ใจหายเพราะไม่รู้ว่าจะรอไปอีกนานเท่าใดเนื่องจากโรงเรียนได้เปิดเทอมไปกว่าครึ่งเดือนแล้วจึงกราบลาลุงกลับมาวัด ในระหว่างทางได้บังเกิดความรู้สึกว่าสถานที่เรียนนั้นเห็นจะไม่ใช่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์เป็นแน่แท้ และคงเหลือแต่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ แต่ไม่รู้ที่จะทำประการใดเพราะไม่เห็นโอกาสใดหรือช่องทางใดที่จะได้เข้าเรียนเลย

    ผมลงรถเมล์ที่ข้างสนามหลวงฝั่งตะวันออกแล้วแวะไปหาหมอปาน ปรารภความทุกข์ร้อนในใจให้ฟังว่าโรงเรียนเขาเปิดเทอมกว่าครึ่งเดือนแล้ว แต่ผมยังร่อนเร่พเนจรอยู่ มิรู้ว่าจะได้เรียนที่ไหนเลย ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอะไรกันนี่

    หมอปานได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าเป็นทีรับทราบ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่าจะทุกข์ร้อนไปทำไมเพราะไม่เกิดประโยชน์อันใด ความกังวลทุกข์ร้อนและความกลัวมีแต่ทำให้เกิดความเสื่อม เพราะทำให้สติปัญญาเสื่อมถอยและบดบัง ความคิดให้ตีบตัน จึงไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจให้ความทุกข์ร้อนวุ่นวายครอบงำจิตใจ ควรทำจิตใจให้ผ่องใสจะดีกว่า สติปัญญาจะแกล้วกล้าขึ้น

    แล้วหมอปานได้พูดให้สติแบบแปลก ๆ ว่าคนเราเกิดมาอาจเรียนรู้วิชาอะไรได้เสมอกัน แต่วิชาหนึ่งซึ่งไม่อาจเรียนได้เสมอกันคือวิชาหน้าด้าน

    ผมได้ฟังหมอปานพูดดังนั้นก็แปลกใจ ถามว่าลุงหมอหมายถึงอะไร หมอปานก็บอกว่าเมื่อเหลือโรงเรียนที่รู้จักชื่อคือโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์แต่แห่งเดียว ทั้งโควต้าก็ไม่มี คนฝากก็ไม่มีก็ต้องใช้วิชาหน้าด้าน บากหน้าไปขอเรียนเอาเอง ดีก็ได้ ร้ายก็เสมอตัว จงตั้งหน้าพยายามไปเถิด

    หมอปานยังกำชับว่านี่คือวิชาหน้าด้านที่ทำให้คนเราสามารถประสพความสำเร็จในทางที่ดีที่ชอบได้ แต่ต้องใช้ในทางที่ดีที่ชอบด้วย เพราะเมื่อใช้ในทางที่ดีที่ชอบแล้วจะมีแต่ได้ ไม่มีเสีย นี่แหละที่โบราณให้คติเตือนใจไว้ว่าด้านได้อายอดหละ

    ผมได้ฟังคำหมอปานก็ได้คิดเพราะสิ้นทางแล้ว เนื่องจากอับจนหนทางไปทุกทาง แต่ยังมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าความระกำลำบากนี้ใช่ว่าจะสิ้นที่ผู้ฝากฝัง ความอันบังเกิดเป็นนิมิตปรากฏในความฝันนั้นก็บ่งบอกอยู่ว่าเจ้าประคุณสมเด็จมิได้ทอดทิ้ง อาจเป็นเพราะตัวเราเข้าใจความหมายแห่งนิมิตไม่ถูกต้องเองต่างหาก นึกขึ้นได้เช่นนั้นก็มีกำลังใจเพิ่มขึ้นเป็นอักโข ความหม่นหมองในใจก็คลายลงในบัดนั้น

    ต่อมาภายหลัง เมื่อได้ร่ำเรียนวิทยาการต่าง ๆ มากขึ้นแล้ว ผมจึงรู้และเข้าใจกระจ่างเกี่ยวกับวิชาหน้าด้านที่หมอปานว่าในครั้งนี้ ดังตัวอย่างที่มีมาในเรื่องสามก๊ก

    ครั้งหนึ่งสุมาอี้ยอดขุนพลผู้เจนจบพิชัยสงครามและชำนาญการศึกแห่งแคว้นเว่ยปราชัยแก่ขงเบ้งอัครมหาเสนาบดีผู้แจ้งฟ้าจบดินแห่งแคว่นฉู่ส์ในการศึกที่ต่อสู้กันด้วยค่ายกลพยุหะ ขงเบ้งจับทหารสุมาอี้ได้เป็นอันมาก แล้วเอาดินหม้อประหน้าทหารของสุมาอี้และปล่อยกลับไป พร้อมกับให้ทหารเอากระบะใส่ผ้าถุงผู้หญิงเดินสารไปมอบให้กับสุมาอี้เพื่อเยาะเย้ยถากถาง หวังจะให้สุมาอี้ตรอมใจตาย เช่นเดียวกับที่เคยใช้กลวิธีนี้สังหารจิวยี่และโจหยินมาแล้ว

    สุมาอี้เห็นทหารที่ถูกปล่อยมาถูกประหน้าด้วยดินหม้อดำปี๋ เห็นจดหมายเยาะเย้ยถากถางของขงเบ้งพร้อมกับผ้าถุงผู้หญิงที่มอบมาแล้วก็เจ็บปวดรวดร้าวในใจ แต่ในพลันนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นกลอุบายใช้วิชาฆ่าคนของขงเบ้ง

    สุมาอี้นึกได้ดังนั้นก็หัวเราะดังสนั่นแล้วหยิบเอาผ้าถุงผู้หญิงนั้นขึ้นมานุ่ง และร่ายรำเริงระบำเคล้ากับเสียงหัวร่อจนทหารที่เดินสารก็แปลกใจ และหลังจากวันนั้นแล้วสุมาอี้ก็ไม่ยกทหารออกไปสู้รบกับขงเบ้ง คงตั้งค่ายมั่นไว้ ถึงจะถูกทหารขงเบ้งมาด่าว่าเหยียดหยามประการใดก็ทำเป็นไม่ได้ยิน จนในที่สุดขงเบ้งก็ป่วยถึงแก่ความตาย

    นักยุทธศาสตร์ในชั้นหลังจึงวิจารณ์สุมาอี้ว่าด้วยวิชาปัญญาคุณแล้ว สุมาอี้ไม่มีทางเทียบกับขงเบ้งได้ แต่ที่สามารถยืนหยัดต่อสู้จนขงเบ้งซึ่งทรงภูมิปัญญาวิชาคุณ เป็นเอกแต่ผู้เดียวในแผ่นดินต้องป่วยตายไปเองนั้นก็เพราะอาศัยวิชาหน้าด้านนี่แหละ

    ผมยกมือไหว้ลาหมอปานด้วยความขอบคุณ แล้วเดินไปที่ท่าช้างวังหลวงลงเรือข้ามแม่น้ำมาที่ท่าวัดระฆัง เดินตรงไปที่วิหารสมเด็จหมายจะบอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จถึงการที่ได้ไปมาในวันนี้

    พอไปถึงวิหาร แม่ชีเฒ่าเห็นผมเข้าก็ทักทายว่าหนูเอยวันนี้ทำไมหน้าตาหม่นหมองนัก ทั้งๆที่ในขณะนั้นความทุกข์ร้อนในใจผมสร่างคลายไปมากแล้ว แต่อาจเป็นเพราะแม่ชีเฒ่ามีภูมิธรรมในใจสูงจึงสามารถหยั่งรู้วาระจิตของผมที่ยังเหลือรอยแห่งความหม่นหมองเศร้าสร้อยอยู่ก็เป็นได้จึงทักทายผมเช่นนั้น

    ผมได้เล่าความทุกข์ร้อนให้ฟัง แล้วบอกว่าไม่เห็นใครใดเป็นที่พึ่ง มีแต่เจ้าประคุณสมเด็จเท่านั้น ไปหาลุงมาในวันนี้เห็นทีจะผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง จึงมุ่งหน้ามาที่วิหารเพื่อกราบบอกกล่าวเจ้าประคุณให้ช่วยเหลือ

    แม่ชีเฒ่าได้ยินคำผมเช่นนั้นก็พยักหน้าในขณะที่ยังเคี้ยวหมากอยู่ในปากด้วยสีหน้าที่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แล้วบอกว่าให้ผมเข้าไปบอกกล่าวเจ้าประคุณเถิด ท่านคงไม่ปล่อยให้ลูกศิษย์วัดของท่านเดือดร้อนไร้ที่เรียนดอก เมื่อเสร็จแล้วให้ออกมาหายายด้วย

    ผมเข้าไปข้างในวิหาร คุกเข่าลงตรงหน้ารูปหล่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ถ้วนสามทีแล้วภาวนาพระคาถาชินบัญชร จบแล้วจึงน้อมใจรำลึกบอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จว่าได้เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือ แต่บัดนี้โรงเรียนเปิดเทอมไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว ยังมิรู้ที่จะเรียนที่ไหนเลย ถึงคราวอับจนจริง ๆ แล้ว มิรู้ที่จะทำประการใด จึงคิดว่าในวันพรุ่งนี้ผมจำจะบากหน้าไปที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์เพื่อขอเรียนหนังสือแบบซื่อ ๆ ด้าน ๆ แต่ไม่มีความมั่นใจเลยเพราะไม่รู้จักใครแม้แต่สักคนเดียว จึงขอบารมีเจ้าประคุณเป็นที่พึ่งดลจิตบันดาลใจให้ครูใหญ่ได้เมตตาให้ได้เข้าเรียนด้วยเถิด

    ผมบอกกล่าวขอบารมีเจ้าประคุณเป็นที่พึ่งแล้วจึงกราบลาออกมานั่งคุยกับแม่ชีเฒ่าที่ส่วนหน้าของวิหาร และบอกแม่ชีเฒ่าว่าวันพรุ่งนี้ผมจะไปหาครูใหญ่โรงเรียนวัด มกุฏกษัตริย์เพื่อขอเรียนหนังสือ ยายมีอะไรจะแนะนำบ้าง และอยากจะได้พรจากยายเพื่อเป็นสิริมงคลไว้กับตัว

    แม่ชีเฒ่าจึงว่าเมื่อหนูมาบอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จฉะนี้แล้วก็ไม่จำเป็นที่ยายจะแนะนำอะไรอีก แต่ยายจะบอกคาถาเมตตามหานิยมของสมเด็จให้สักบทหนึ่งซึ่งจะเป็นประโยชน์

    แม่ชีเฒ่าเล่าว่าพระคาถาบทนี้เมื่อครั้งที่เจ้าประคุณสมเด็จยังมีชีวิตอยู่นั้น เวลาออกบิณฑบาตรเห็นโยมหน้าตาเป็นสิวเป็นฝ้า สีหน้าหม่นหมอง หรือมีกิจต้องไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้าประคุณก็จะสอนคาถาบทนี้ให้ เป็นบทพระคาถาที่มีความศักดิ์สิทธิ์และสืบทอดต่อ ๆ มาจนกระทั่งมาถึงรุ่นยายได้เล่าเรียน

    ผมได้ฟังดังนั้นก็ยกมือไหว้ขอบคุณ และบอกว่าเป็นโอกาสและเป็นโชคดีอย่างยิ่งของผมที่จะมีโอกาสได้เรียนมนต์บทนี้ ขอแม่ชีได้เมตตาบอกมนต์ด้วยเถิด

    แม่ชีเฒ่าได้ฟังดังนั้นก็มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสพูดว่าดีมาก เมื่อหนูตั้งใจศรัทธาจะเรียนมนต์ก็คงสัมฤทธิผลอันศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่นอน ว่าแล้วแม่ชีเฒ่าก็ปรับท่านั่งในท่าสมาธิ ยกมือขึ้นพนมไปทางเจ้าประคุณสมเด็จ กล่าวนะโมและสวดบทไตรสรณคมน์ ครู่หนึ่งแล้วจึงบอกให้ผมยกมือไหว้บอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จก่อนว่าจะขอเรียนมนต์บทนี้ ผมก็ทำตามแต่โดยดี

    ผมไหว้บอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จขออาราธนาเรียนมนต์เมตตามหานิยมแล้วจึงยกมือพนมขึ้นไหว้แม่ชี เพราะ ณ บัดนี้ได้รู้แล้วว่าแม่ชีเฒ่าผู้นี้หาใช่แค่อุบาสิกาธรรมดาไม่ หากรู้เรื่องราวแต่หนหลังมากมาย และจริยาวัตรทั้งหลายก็ได้ประจักษ์ว่ามีภูมิธรรมและจิตตานุภาพในระดับที่ไม่ใช่ธรรมดาเลย

    แม่ชีบอกให้ผมตั้งใจให้นิ่ง แล้วบอกมนต์เมตตามหานิยมของเจ้าประคุณสมเด็จว่า “โอม ศรีศรี พรหมรังสี นามะเต” แม่ชีเฒ่าบอกมนต์สามคำรบแล้วถามผมว่าจำมนต์บทนี้ได้หรือไม่ ผมมีจิตอันสงบพอประมาณ ทั้งเป็นมนต์บทสั้น ดังนั้นจึงจำได้แม่นยำ แล้วบอกแม่ชีเฒ่าว่าผมจำได้แม่นยำแล้ว

    แม่ชีบอกให้ผมลองท่องมนต์ให้ฟังดู ผมก็ท่องมนต์บทนี้ได้โดยไม่ติดขัดตลอดทั้งสามคาบ แม่ชีเห็นดังนั้นก็มีความยินดีและบอกว่าเจ้าหนูความจำดีมาก

    แม่ชีบอกให้ผมหันเข้าไปไหว้เจ้าประคุณสมเด็จอีกครั้งหนึ่ง บอกว่าให้อาราธนามนต์ให้เจ้าประคุณสมเด็จได้ประสิทธิ์ประสาธน์ซ้ำ ผมก็ทำตามคำบอกด้วยน้ำใจศรัทธา

    แล้วแม่ชีเฒ่าจึงว่าพระคาถาบทนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เพราะเป็นคาถาที่อ้างอิงเอาอิทธิบารมีของเจ้าประคุณสมเด็จเป็นที่ตั้งแห่งความเมตตาและความยำเกรง คำว่าโอมนั้นไม่ได้หมายถึงถ้อยคำในศาสนาฮินดูอันหมายถึงมหาเทพตรีมูรติคือพระพรหม พระนารายณ์ และพระศิวะ แต่เป็นความหมายถึงพระรัตนตรัย ให้บังเกิดเป็นศรีและสิริมงคลเช่นฉายาแห่งเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี นั้น.


     
  3. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">ตอนที่ 22 - โรงเรียนในฝัน </TD></TR></TBODY></TABLE>
    แม่ชียังบอกด้วยว่ามนต์บทนี้สามารถใช้เสกน้ำล้างหน้ารักษาสิวฝ้าและขับไล่สรรพอุบาทว์และอมนุษย์ทั้งหลายที่เข้าครอบงำหรือมาใกล้กรายให้วิบัติมลายสูญไปได้ เป็นที่ตั้งแห่งศรีและสิริมงคล เพราะเมื่อรำลึกถึงฉายาแห่งเจ้าประคุณสมเด็จแล้วก็จะมีความอิ่มเอิบเบิกบานด้วยปิติที่รำลึกถึงเจ้าประคุณ ไม่กล้าทำความชั่ว รำลึกถึงแต่พระรัตนตรัยและการทำคุณงามความดี

    แม่ชีอธิบายลึกลงไปอีกว่าพรหมรังสีหรือรังสีแห่งพรหมนั้นคือรัศมีหรือพลังของพรหมวิหารธรรมสี่ประการ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งมีอานุภาพใหญ่หลวงกว้างขวางหาประมาณมิได้ การเจริญภาวนาพระคาถาบทนี้ในลักษณะสาธยายมนต์จะเป็นการกระทำวิชชา แต่ในลักษณะของจิตจะก่อเกิดเป็นพลังแห่งเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาอันกว้างไกลไปยังสัตว์ พืช มนุษย์ อมนุษย์ ปวงเทพเทวดาอารักษ์ทั้งหลายด้วย

    ถ้าหากการสวดภาวนามนต์บทนี้ให้ตกเป็นผลึกจนก่อเกิดเป็นพลังจิต เป็นพลังแห่งพรหมวิหารแล้วก็จะได้รับความเมตตาจากเทวดาและมนุษย์ ตลอดจนอมนุษย์ทั้งหลาย ไม่เป็นที่ปองร้ายของศัตรู อาวุธร้าย เพลิง ยาพิษ และความฝันร้ายใด ๆ จะไม่ใกล้กราย จะไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง จะชนะในที่ทั้งปวง

    แม่ชีบอกว่าหนูจะเรียนมนต์บทนี้อย่างผิวเผินหรือลึกซึ้งแค่ไหน ก่อเกิดเป็นอานุภาพมากน้อยเพียงใดก็สุดแท้แต่วาสนาและความพยายามของหนูเอง ยายขออวยพรให้หนูหมั่นภาวนามนต์บทนี้และประสพความสำเร็จในขั้นที่สูง ๆ ขึ้นไป ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นในวันหน้า

    เมื่อเรียนมนต์ประจำตัวเจ้าประคุณสมเด็จจากแม่ชีเฒ่าแล้ว ผมก็ลุกขึ้นตั้งท่าจะลากลับกุฏิ

    แม่ชีเห็นท่าทางก็รู้ทีจึงพยักหน้าเป็นทีว่าเห็นด้วย แต่ก็ยังเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงเบา ๆ เป็นเชิงย้ำเตือนว่าเวลาพรุ่งนี้เมื่อไปถึงโรงเรียนแล้วให้รำลึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จ ร่ายมนต์แล้วเอามือทั้งสองลูบเข้าหากันประหนึ่งจะผัดแป้ง เสร็จแล้วจึงเอามือทั้งสองนั้นลูบใบหน้า น้อมใจในฉายาของเจ้าประคุณสมเด็จ เห็นจะได้รับความสำเร็จสมดังปรารถนา

    ผมกล่าวขอบคุณแม่ชีเฒ่าที่ยังห่วงใยและพร่ำเตือน แล้วยกมือขึ้นไหว้แม่ชี บอกลาแม่ชีแล้วกลับมาที่กุฏิ

    ผมมาถึงกุฏิแล้วได้ปฏิบัติภารกิจปกติประจำวันตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จนเวลาใกล้ค่ำจึงได้สอบถามลูกผู้น้องซึ่งกลับมาจากโรงเรียนแล้วว่าหนทางและรถเมล์ที่จะไปยังโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์นั้นไปทางไหน โดยรถเมล์สายใด และครูใหญ่ชื่ออะไร แต่ผมมิได้บอกวัตถุประสงค์เพราะเกรงว่าลูกผู้น้องจะกังวลหรือทัดทานด้วยประการใด ๆ

    ลูกผู้น้องซึ่งคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดีแล้วจึงได้บอกเส้นทางและสายทางรถเมล์ที่จะไปยังโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ พร้อมทั้งบอกว่าครูใหญ่โรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ชื่อนายบุญยัง ทรวดทรง

    ลูกผู้น้องบอกว่าที่โรงเรียนนี้เขาไม่เรียกว่าครูใหญ่ แต่เขาเรียกว่าอาจารย์ใหญ่ ผิดกับโรงเรียนที่บ้านนอก แล้วบอกอีกว่าอาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์นั้นท่าทางเป็นคนดุดัน มีเสียงดัง เป็นคนเจ้าระเบียบ เป็นที่ยำเกรงของทั้งบรรดาครูและนักเรียนทุกคน แต่เป็นเรื่องแปลกที่อาจารย์ใหญ่ไม่นิยมเรียกตัวเองว่าครูใหญ่หรืออาจารย์ใหญ่ กลับเรียกตัวเองว่าครูทุกครั้งไป

    ลูกผู้น้องบอกว่าอาจารย์บุญยังเป็นนักพูด ทุกเช้าจะอบรมสั่งสอนนักเรียนที่หน้าเสาธงเกือบครึ่งชั่วโมง อบรมถึงศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม สอนศิษย์ให้ทำดี ให้ละชั่ว ให้มีวินัย มีความกตัญญู มีความขยันหมั่นเพียร ให้รู้จักรักศักดิ์ศรีของตนเอง ทุกวันจะเน้นให้ศิษย์คิดถึงคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เพื่อความเป็นคนดีและมีความก้าวหน้าในอนาคต ทั้งพร่ำสอนอยู่เสมอว่ารู้วิชาดีกว่ามีอย่างอื่น

    ผมได้ฟังข้อมูลเกี่ยวกับอาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ดังนั้นก็นึกมโนภาพว่าอาจารย์บุญยังรูปร่างหน้าตาเป็นประการใด แม้จะไม่เคยรู้จักหน้าค่าตามาก่อน แต่ก็คะเนว่าคนระดับอาจารย์ใหญ่แต่ไม่นิยมเรียกตัวเองว่าเป็นอาจารย์ กลับเรียกตนเองว่าครูฉะนี้เห็นจะมีจิตสำนึกเป็นครูแท้

    คือเป็นผู้ที่ตระหนักในภาระหน้าที่ของความเป็นครู ได้แก่หน้าที่ในการยกระดับสติปัญญาของคนให้เป็นผู้ประเสริฐ ไม่ใช่อาจารย์ใบ้หวย อาจารย์หมอดู หรืออาจารย์ประเภทเดรัจฉานวิชา หรืออาจารย์ประเภทที่คิดค้าหากำไรจากลูกศิษย์ดังที่มีปรากฏอยู่ดาษดื่น

    คิดได้ดังนั้นแล้วแม้ใจหนึ่งจะยำเกรงแต่อีกใจหนึ่งก็เชื่อว่าคนที่มีคุณธรรมเช่นนี้เห็นจะมีน้ำใจเมตตากรุณาต่อผู้ยาก หากได้พบหน้ากันจริง ๆ กับคนลักษณะเช่นนี้ก็ควรต้องพูดจาว่ากล่าวกันด้วยความจริงใจ เห็นจะได้รับความเมตตาเป็นแน่แท้

    ทำให้รำลึกถึงคำสอนของพระบรมศาสดาที่ตรัสสอนไว้ในมงคล 38 ว่าปูชาจะปูชนียานัง เอตัมมัง คะละมุตตะมัง ซึ่งแปลว่าการบูชาคนที่ควรบูชาเป็นมงคลสูงสุด และมีความหมายว่าต่อหน้าคนที่ควรบูชานั้นจะต้องบูชาด้วยความจริง ด้วยความดี ด้วยความสัตย์ เป็นปฏิบัติบูชา อย่าใช้เล่ห์กลอุบายหรืออามิสใดไปว่ากล่าวเป็นอันขาด ก็จะประสพแต่สิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลดังปรารถนา

    ใคร่ครวญแล้วผมจึงตั้งใจว่าเวลาที่เหมาะสมที่จะไปโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์เพื่อขอพบอาจารย์ใหญ่แล้วขอเรียนหนังสือที่โรงเรียนนี้ควรจะเป็นช่วงสาย เพราะเมื่อได้คำนวณยามตามตำราของหมอปานแล้วเห็นว่าปลอดโปร่ง จะบังเกิดความสำเร็จ

    ผมกำหนดหมายในใจว่าเมื่อพบกับอาจารย์บุญยังก็จะพูดกราบเรียนท่านอย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริงทุกสิ่งอย่าง การจะเป็นประการใดก็สุดแท้แต่เจ้าประคุณสมเด็จท่านจะบันดาลให้เป็นไป กำหนดไว้ในใจเช่นนี้แล้วก็มีความรู้สึกมั่นอกมั่นใจว่าพระธรรมหรือคุณความดีจะคุ้มครองและดลบันดาลให้ไม่ผิดหวังเหมือนดังเคยอีก

    ในคืนวันนั้นผมรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อหวังจะให้มีหน้าตาที่ผ่องใสตามประสาของคนนอนมาก ก่อนนอนได้สวดมนต์ไหว้พระและภาวนาพระคาถาชินบัญชร แล้วรำลึกถึงพระคุณของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ น้อมใจรำลึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จว่าวันรุ่งพรุ่งนี้แล้วจะเป็นเวลาสำคัญว่าจะได้มีโอกาสได้เข้าเรียนหรือไม่ ขอบารมีเจ้าประคุณได้เกื้อหนุนให้สมความปรารถนานั้นเถิด

    ยามใกล้จะสางก็บังเกิดนิมิตขึ้นในความฝันคล้ายกับวันก่อนว่าผมแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนไปโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาคารเรียนเหมือนกับโรงเรียนที่เคยฝันเห็นเมื่อคืนก่อนทุกประการ

    อันความฝันของคนเรานั้นโบราณว่ามีมาแต่เหตุสี่ประการ คือ บุพนิมิต จิตนิวรณ์ เทพยดาสังหรณ์ และธาตุโขภะ โดยมีลักษณะและอาการแห่งความฝันแตกต่างกันไป

    บุพนิมิตเป็นความฝันอันเกิดแต่เรื่องราวในหนหลังหรือบุพกรรมที่ได้ทำมาแต่ก่อน ย้อนมาปรากฏนิมิตขึ้นในความฝันเพื่อเตือนสติและแนวทาง มักจะฝันในช่วงเวลาหลังสองยาม

    จิตนิวรณ์เป็นความฝันอันเกิดแต่เรื่องราวหรือบุคคลที่เคยพบประสบกันมาก่อน แล้วมีนิวรณ์ผูกพันให้ประหวัดถึงจึงบังเกิดนิมิตขึ้นในความฝัน ความฝันชนิดนี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากเข้านอนแล้วไม่นานนัก

    เทพยดาสังหรณ์เป็นความฝันอันเกิดแต่อำนาจภายนอกของรุกขเทวดา ภูมิเทวดา เทวดา เทพารักษ์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำแดงฤทธิ์บ่งบอกนิมิตให้ปรากฏในความฝัน ดังเช่นที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงนิมิตในความฝันแบบเทพยดาสังหรณ์ก่อนทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา เป็นต้น เป็นความฝันที่เกิดในยามใกล้สาง

    ธาตุโขภะเป็นความฝันอันเกิดจากการดื่มกินมากน้อยเกินปกติ หรือกินอาหารผิดสำแดงแล้วธาตุในกายเกิดวิปริตแปรปรวน ส่งผลให้เกิดนิมิตภายใต้จิตสำนึกอย่างสับสนอลหม่าน เอาเป็นแก่นสารอันใดมิได้ มักจะเกิดขึ้นหลังจากเข้านอนไม่เกิน 4 ชั่วโมง

    ในบรรดาความฝันทั้งสี่ชนิดนี้โบราณว่าความฝันอันเป็นเทพยดาสังหรณ์เป็นความฝันที่เชื่อถือได้ เพราะเป็นอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผู้มีฤทธิ์บันดาลให้เป็นไปเพื่อบอกเหตุการณ์อนาคตให้ได้ทราบล่วงหน้า ซึ่งความฝันชนิดนี้มีมาปรากฏในประวัติศาสตร์ของชาติต่าง ๆ มากมาย ยิ่งในวรรณคดีไทยเรื่องรามเกียรติ์หรือ วรรณคดีแปลเรื่องสามก๊กแล้วก็จะได้พบเห็นเกี่ยวด้วยเรื่องราวความฝันชนิดนี้ในหลายที่หลายแห่ง

    พอรู้สึกตัวตื่นผมก็รู้ว่านิมิตอันปรากฏในความฝันยามใกล้รุ่งเหมือนกับความฝันเมื่อวันก่อนเกิดแต่เทพยดาสังหรณ์ ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งเจ้าประคุณสมเด็จดลบันดาลให้เป็นไป และเชื่อมั่นว่าครั้งนี้เห็นจะได้ที่เรียนเป็นแม่นมั่น และโรงเรียนในความฝันนั้นเห็นจะไม่ใช่โรงเรียนอื่นอีกแล้ว คงเป็นโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์เป็นแน่นอน

    ผมลุกตื่นขึ้นแล้วรีบหันหน้าไปทางวิหารสมเด็จ ยกมือขึ้นไหว้รำลึกถึงเจ้าประคุณ หลังจากปฏิบัติภารกิจส่วนตัวแล้วจึงตามพระออกไปบิณฑบาตรอันเป็นกิจวัตรประจำวัน หลังกลับจากบิณฑบาตรแล้วผมก็ยังคงจัดที่ทางในห้องฉันตามปกติ

    ในระหว่างที่พระฉันจังหันอยู่นั้นเห็นลูกผู้น้องแต่งตัวในชุดนักเรียน ถือกระเป๋าหนังสือมาไหว้ลาพระและเดินออกจากกุฏิไป ผมก็มองตามหลังไปจนลูกผู้น้องเดินเลี้ยวลับใต้ถุนกุฏิใหญ่

    เมื่อพระฉันข้าวเช้าเสร็จผมก็นั่งกินข้าวต่อจากพระพร้อมกับหมอปานและเด็กวัดรุ่นพี่

    หมอปานซึ่งรู้ภารกิจของผมเป็นอย่างดีเพราะได้คุยกันมาตั้งแต่ตอนกลางคืนแล้วได้กล่าวว่าเวลาวันนี้หลังจากเจ็ดโมงครึ่งเป็นยามดี แต่อย่าให้ทันข้ามเก้าโมงเช้าสิบแปดนาทียามจะเปลี่ยน ให้รีบออกจากวัดในช่วงเวลานี้การก็จะสำเร็จดังปรารถนา พร้อมทั้งอวยชัยให้พรขอให้ผมประสพความสำเร็จ ผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณตามธรรมเนียม

    ยามที่หมอปานพูดถึงนี้คือยามอัฏฐะกาล ซึ่งแบ่งเป็นยามกลางวันแปดยาม ยามกลางคืนแปดยาม เริ่มตั้งแต่เวลาหกนาฬิกาหรือย่ำรุ่ง แต่ละยามกินช่วงเวลาชั่วโมงครึ่ง ถือเอายามตามวันเป็นต้นยามและปลายยาม

    ยามหลังเจ็ดโมงครึ่งถึงเก้าโมงเช้าเป็นยามที่สองของวันนั้น แต่ที่หมอปานบอกว่าอย่าให้เกินเก้าโมงเช้าสิบแปดนาทีก็เพราะถือเวลาอาทิตย์อุทัยตามที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบัญญัติไว้

    เนื่องจากทรงพบว่าประเทศไทยของเรานี้เวลาอาทิตย์อุทัยแรกสุดคือที่อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนในกรุงเทพฯ จะเห็นดวงอาทิตย์ช้ากว่าที่อำเภอพิบูลมังสาหารสิบแปดนาที ดังนั้นเวลาของยามจึงล่าไปเป็นเวลาสิบแปดนาทีด้วย

    หมอปานบอกว่าวันนี้แกมีธุระสำคัญ เราจะรับเป็นธุระเก็บกวาดล้างบาตรล้างปิ่นโตและจานชามเอง เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วหมอปานเร่งให้ผมรีบแต่งตัวไปโรงเรียนให้ทันตามเวลายามที่กำหนด ผมขอบคุณหมอปานแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนของโรงเรียนเก่าเตรียมจะไปโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์

    ผมแต่งตัวเสร็จแล้วเข้าไปไหว้พระมหาทรงธรรม์ บอกว่าจะไปโรงเรียนวัด มกุฎกษัตริย์เพื่อขอเรียนหนังสือ ท่านก็ให้พรตามธรรมเนียม ครั้นเวลาก่อนเก้าโมงเล็กน้อยผมได้เดินออกจากกุฏิเพื่อจะไปขึ้นรถเมล์สาย 19 ทางด้านถนนอรุณ อัมรินทร์เพราะยังพอมีเวลาที่จะไปถึงโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ได้ตามเวลาที่คาดหมาย

    ในระหว่างที่เดินผ่านวิหารสมเด็จผมก็ยกมือไหว้เหมือนที่เคยกระทำทุกครั้ง อธิษฐานถึงเจ้าประคุณสมเด็จว่าโรงเรียนเปิดมาก็นานแล้ว ในวันนี้ขอบารมีเจ้าประคุณช่วยดลใจให้ครูใหญ่ได้เมตตารับเข้าเรียนด้วยเถิด

    ผมนั่งรถเมล์ไปตามเส้นทางที่ลูกผู้น้องได้บอก สามโมงเช้าเศษใกล้สี่โมงก็ถึงโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ เป็นโรงเรียนติดถนน ข้างถนนเป็นคลองผดุงกรุงเกษม

    ผมลงจากรถเมล์เดินไปถึงหน้าโรงเรียนแล้วสำรวจภูมิประเทศทั่วไปก็ตกตะลึงเพราะเห็นอาคารโรงเรียนเหมือนที่ปรากฏในความฝันทุกประการ ผมเห็นดังนั้นก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่ปรากฏในความฝันนั้นคือเทพยดาสังหรณ์แน่แล้ว

    ผมเดินเข้าไปในอาคารเรียน เห็นครูผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่จึงเข้าไปยกมือไหว้แล้วถามว่าท่านอาจารย์ใหญ่อยู่ที่ไหน ครูผู้นั้นคงเข้าใจว่าผมรู้จักกับอาจารย์ใหญ่และนัดหมายกันไว้ก่อนจึงบอกว่าอาจารย์ใหญ่อยู่ที่ห้องชั้นบน พลางเอามือชี้ขึ้นไปที่ชั้นสอง แล้วบอกว่าขึ้นบันไดไปข้างหน้า ห้องขวามือนั่นคือห้องอาจารย์ใหญ่

    ผมขอบคุณครูชายท่านนั้นแล้วกุมสติมั่นยกมือทั้งสองขึ้นมาลูบหากัน พลางร่ายมนต์เมตตามหานิยมของเจ้าประคุณสมเด็จซึ่งแม่ชีเฒ่าได้สอนไว้ พร้อมกับรำลึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จ เสร็จครบสามคาบแล้วจึงเอามือขึ้นลูบหน้า อธิษฐานเป็นเมตตามหานิยมและจังงัง หวังให้การที่มาขอเรียนหนังสือได้สำเร็จดังปรารถนา.
     
  4. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 23 - ปาฏิหาริย์สมเด็จโต

    ผมเดินขึ้นบันไดไปด้วยจิตใจที่ยึดมั่นในบารมีแห่งเจ้าประคุณสมเด็จอย่างเต็มเปี่ยมจนถึงหน้าห้องของอาจารย์ใหญ่ มีป้ายเขียนไว้ข้างหน้าว่าห้องอาจารย์ใหญ่ นายบุญยัง ทรวดทรง ผมจึงเดินผ่านประตูเข้าไป เห็นชายวัยห้าสิบเศษ รูปร่างเล็ก ใส่แว่น ท่าทางเคร่งขรึม แต่งตัวในชุดลูกเสือ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ซึ่งข้างหน้าโต๊ะทำงานนั้นก็มีโต๊ะรับแขกวางอยู่อีกชุดหนึ่ง

    ผมเข้าไปแล้วยืนอยู่ใกล้กับประตู พลางยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวว่ากระผมมาขอพบท่านอาจารย์ใหญ่ครับ ขณะที่ใจก็ตั้งความปรารถนาให้ครูใหญ่ได้เมตตาสงสารผู้ยากด้วย

    อาจารย์บุญยังเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน มองมาที่ผมแล้วพยักหน้าเป็นทีให้เข้าไปหา ผมก็เดินเข้าไปที่หน้าโต๊ะทำงานของอาจารย์ใหญ่แล้วกระทำคำนับแบบเด็กนักเรียน
    อาจารย์บุญยังมีท่าทีงุนงงสงสัย เพราะเมื่อเข้าไปใกล้ท่านก็รู้ว่าผมไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ จึงเอ่ยถามขึ้นว่ามาหาใคร

    ผมกุมสติไว้มั่นอยู่ก่อนแล้วจึงตอบไปในทันทีว่ากระผมมากราบขอพบท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านถามกลับมาว่ามีธุระอะไร ผมจึงตอบไปว่ากระผมเป็นคนบ้านนอก มาจากต่างจังหวัดเพื่อจะมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ แต่จนถึงเวลานี้ยังไม่มีที่จะเล่าเรียนเลย ไม่เห็นใครเป็นที่พึ่ง จึงมากราบขอความกรุณาเพื่อขอเรียนหนังสือที่โรงเรียนนี้

    ครูบุญยังได้ฟังก็แปลกใจ เพราะคนที่เข้ามาหาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนและเรื่องราวที่ได้ยินก็คงไม่เคยได้พบมาก่อน แต่ด้วยวิสัยของคนเป็นครูที่มีคุณธรรมสูงล้ำ ท่านมิได้แสดงท่าทีที่รังเกียจเดียดฉันท์หรือแสดงอาการไม่พอใจหรือไม่ต้อนรับแต่ประการใด กลับบอกให้ผมนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานนั้น

    ในขณะนั้นพลันนึกถึงคำสอนของแม่ที่เคยพร่ำสอนมาแต่น้อยและย้ำเตือนหลายครั้งหลายหนว่าความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่นั้นจะเป็นมงคลแก่ตัว

    แม่ยังเคยบอกด้วยว่าคำให้พรของพระหลังจากพระสวดพระปริตรเสร็จหรือหลังจากพิธีกรรมใด ๆ ในทางพระพุทธศาสนาที่พระให้พรว่าอายุ วรรณะ สุขะ พละ นั้น ไม่ใช่พระให้พรเฉย ๆ

    คำให้พรของพระในตอนนี้ยังมีเงื่อนไขกำกับไว้อยู่เสมอ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจหรือสังเกตว่าเป็นการให้พรโดยมีเงื่อนไข เพราะเมื่อพระให้พรด้วยพระคาถาว่าให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ แล้วยังมีบทคาถาต่อไปอีกว่า อายุ วรรณะ สุขะ พละนั้นย่อมบังเกิดมีแก่ผู้ที่มีความนอบน้อมเป็นนิตย์

    ผมนึกขึ้นมาได้เช่นนั้นจึงได้กระทำคำนับท่านอาจารย์ใหญ่ด้วยความเคารพอีกครั้งหนึ่งแล้วเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ตามคำของอาจารย์ใหญ่ ท่านมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ปรากฏชัดเจนว่ามีความประหลาดใจ แต่ปรากฏในแววตานั้นว่ามีความเมตตาอาทรอยู่อย่างลึกซึ้ง

    ท่านอาจารย์ใหญ่มองผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงดังกังวานชัดถ้อยชัดคำว่าเธอไปอยู่ที่ไหนมา โรงเรียนเปิดเทอมมาเกือบจะเดือนแล้ว เหตุใดจึงมาขอเรียนเอาเวลานี้

    ผมจึงเล่าความแต่หนหลังให้อาจารย์ใหญ่ฟังทุกประการ ในขณะที่เล่าความนั้นในใจก็รำลึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จ ขอบารมีเจ้าประคุณเกื้อหนุนดลใจให้ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ใหญ่ด้วย

    ท่านอาจารย์ใหญ่นั่งฟังด้วยความตั้งใจและแปลกใจ บางครั้งท่านก็พยักหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะมีความหมายประการใด พอผมเล่าความจบท่านก็พูดว่าเธอมาขอเรียนกลางเทอมกลางคันอย่างนี้ออกจะยุ่งยาก หากมาขอเรียนชั้น มศ.1 หรือชั้น มศ.4 ก็จะง่ายและสะดวกกว่าที่จะมาขอเรียนเอาในชั้น มศ.3 เช่นนี้ เพราะวิชาที่เรียนมาอาจจะไม่เสมอกันกับนักเรียนของโรงเรียนนี้ที่ได้เรียนมาอย่างต่อเนื่อง

    ท่านอาจารย์บุญยัง ทรวดทรง กล่าวดังนั้นแล้วก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ผมมองไปที่ใบหน้าท่านอาจารย์ใหญ่ก็เห็นมีอาการครุ่นคิด จึงทำเอาผมประหวั่นพรั่นใจว่าเห็นท่าจะผิดหวังอีกครั้งหนึ่งแล้วกระมัง

    แต่แล้วก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ใหญ่ถามขึ้นอย่างหนักแน่นว่าเธอเรียนเก่งไหม ผลการเรียนจากโรงเรียนเก่าเป็นอย่างไรบ้าง ผมได้ฟังดังนั้นใจก็ชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

    ผมตอบด้วยความมั่นใจด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นแต่เปี่ยมไปด้วยความเคารพต่อท่านอาจารย์ใหญ่ว่าผมเป็นนักเรียนบ้านนอก แต่เป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง

    ท่านอาจารย์ใหญ่ได้ซักไซร้ไต่ถามถึงผลการเรียนวิชาเลขคณิต พีชคณิต เลขาคณิต ภาษาไทย สังคม และอื่น ๆ ผมก็ตอบไปตามความเข้าใจของผมว่าผมเรียนเก่งทุกวิชา แต่ภาษาอังกฤษนั้นเห็นจะยังอ่อนเพราะเป็นนักเรียนจากบ้านนอกคอกนา

    ครูบุญยังถามย้ำอีกว่าเธอเก่งเลขจริงหรือ ผมก็ตอบอย่างหนักแน่นเหมือนเดิมในทันทีว่าผมเก่งเลขมากครับครู

    เหตุที่ตอบดังนั้นก็เพราะว่าเมื่อน้อยนั้นผมอยู่กับก๋ง ก๋งพร่ำสอนคำนวณมาตั้งแต่เด็กจนผมมีความรู้ทางคำนวณดีกว่าเพื่อนนักเรียนทั้งปวง

    เมื่อครั้งเริ่มเรียนชั้นมัธยมผมเคยไปเรียนกวดวิชา ครูสอนกวดวิชาซึ่งเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ได้บอกย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นนักเรียนต้องเก่งเลข ถึงขนาดสั่งให้ผมและเพื่อน ๆ นักเรียนเขียนไว้ที่หน้าปกสมุดว่า “ศิษย์เก่งเลขครูรักเป็นนักหนา” ทั้งยังสอนไว้ด้วยว่าวิชาเลขคณิตนั้นเป็นวิชาที่ต้องใช้ไปตลอดชีวิต และยังเป็นพื้นฐานวิชาอื่น ๆ อีกมาก ให้ใส่ใจวิชาเลขคณิตไว้ให้ดี วิชาเลขคณิตดีแล้ววิชาอื่นก็จะพลอยดีตาม

    ครูบุญยังได้ยินผมตอบอย่างหนักแน่นเช่นนั้นก็พยักหน้าและมีทีท่าพอใจ แล้วได้ถามกลับมาในทันใดว่า 12 คูณ 12 เป็นเท่าใด ผมก็ตอบได้ในทันทีว่า 144

    ครูบุญยังได้ยินคำตอบแล้วก็พยักหน้า และบอกว่าถ้าเธอเป็นนักเรียนเรียนเก่งครูก็จะให้เรียน ครูรักเด็กนักเรียนเก่งเลขคณิต จากนั้นครูบุญยังได้ถามต่อไปว่าอริยสัจ 4 มีอะไรบ้าง ผมก็ตอบได้โดยสะดวกว่ามีทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

    ท่านอาจารย์ใหญ่เห็นผมตอบได้อย่างแคล่วคล่องก็พยักหน้าอีก และบอกว่าความรู้ภาษาอังกฤษนั้นครูไม่ติดใจเพราะไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่ และเป็นธรรมดาของนักเรียนต่างจังหวัดที่มักอ่อนภาษาอังกฤษ แต่เมื่อมาเรียนในกรุงเทพฯ แล้วก็คงจะดีขึ้นเอง

    ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวต่อไปว่าครูจะให้ครูสองคนมาสอบวิชาของเธอ ถ้าหากครูทั้งสองคนนี้สอบวิชาเธอแล้วเห็นว่าผ่านครูก็จะให้เรียนในชั้นที่เหมาะสมแก่ความรู้ของเธอ

    ครูบุญยังกล่าวดังนั้นแล้วก็เดินออกไปนอกห้อง ตรงไปที่ห้องตรงกันข้ามซึ่งผมทราบภายหลังว่าเป็นห้องพักครู ครู่หนึ่งท่านอาจารย์ใหญ่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับครูผู้หญิงอีกสองคน แล้วบอกว่าเด็กคนนี้แปลกมาก หากเก่งวิชาจริงครูก็จะฝืนระเบียบรับเข้าเรียน ว่าแล้วท่านอาจารย์ใหญ่ก็สั่งให้ครูทั้งสองท่านทดสอบความรู้ของผม โดยท่านกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานเหมือนดังเดิม

    ครูทั้งสองเข้ามานั่งที่โต๊ะรับแขกแล้วเรียกผมเข้าไปนั่งที่โต๊ะรับแขกอีกตัวหนึ่ง หลังจากนั้นก็ลงมือสัมภาษณ์ผม แต่เนื้อหาก็คือการสอบไล่ปากเปล่าในวิชาต่าง ๆ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผมก็ตอบได้อย่างแคล่วคล่อง ไม่ติดขัดทุกข้อทุกประการ จนครูทั้งสองท่านพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

    ครูทั้งสองท่านได้ตั้งโจทย์เลขในใจให้ผมตอบหลายข้อ ผมตอบถูกเกือบทั้งหมด หลังจากนั้นจึงถามผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมตอบได้แต่บางข้อ แต่บางข้อก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เข้าใจคำศัพท์

    หลังจากนั้นเห็นครูทั้งสองคนลุกเดินไปที่โต๊ะทำงานของท่านอาจารย์ใหญ่ แล้วกล่าวรายงานว่าเด็กคนนี้มีพื้นความรู้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แน่นหนา สามารถเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ในห้อง ก. แต่ภาษาอังกฤษค่อนข้างจะอ่อน

    ครูบุญยังลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาของเรา จะไปใส่ใจอะไรกันมากมาย หากเด็กมีความสนใจวันหน้าก็ศึกษาเล่าเรียนให้เก่งขึ้นได้ตามความต้องการ แล้วกล่าวว่าเอาตามนี้นะ ครูทั้งสองคนก็ตอบรับคำอาจารย์ใหญ่

    ผมได้ยินเสียงอาจารย์ใหญ่กล่าวดังนั้นก็มีความปิติยินดีเป็นล้นพ้น ในใจนั้นก็เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าการทั้งนี้บังเกิดขึ้นเหนือความคาดคิด คงเกิดจากปาฏิหาริย์ของเจ้าประคุณสมเด็จช่วยดลจิตบันดาลใจให้ความเมตตาบังเกิดแก่ท่านอาจารย์ใหญ่และครูทั้งสองท่าน ทั้งบันดาลให้ผมตอบการสอบไล่ปากเปล่าได้โดยไม่ติดขัด

    ท่านอาจารย์ใหญ่เดินมาที่ผม จูงมือผมเดินออกไปนอกห้องเลี้ยวไปทางขวามือ ผ่านห้องโถงบันไดไปถึงห้องซ้ายมือห้องแรก เห็นหน้าห้องติดป้ายว่าห้อง ก.

    ครูใหญ่พาผมเดินเข้าไปในห้อง ซึ่งขณะนั้นครูประจำชั้นกำลังสอนนักเรียนอยู่ มีนักเรียนเรียนอยู่ในห้องนั้นประมาณ 45 คน ตั้งโต๊ะเรียนเป็นหกแถว ชิดฝาผนังซ้ายขวาข้างละแถว และตรงกลางอีกสี่แถว

    ครูใหญ่กล่าวกับครูประจำชั้นที่กำลังสอนหนังสือด้วยเสียงดังกังวานชัดถ้อยชัดคำเหมือนเดิมว่าครูสุมนาหยุดสักประเดี๋ยวหนึ่ง

    ซึ่งหมายความว่าครูประจำชั้นที่กำลังสอนหนังสืออยู่นั้นคือครูสุมนา และท่านอาจารย์ใหญ่ขอให้ครูสุมนาหยุดการสอนนักเรียนสักครู่หนึ่ง

    คำพูดดังกล่าวของท่านอาจารย์ใหญ่ทำให้ครูสุมนาซึ่งกำลังสอนอยู่และนักเรียนทุกคนในห้องนั้นพากันตกตะลึงว่าเกิดอะไรขึ้น

    เสียงของครูใหญ่ทำให้ครูสุมนาต้องหยุดสอน และภายในห้องเรียนก็เงียบสงบลง ครูบุญยังจูงมือผมไปที่ตรงกลางหน้าชั้นเรียน และพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าครูขอนำเพื่อนนักเรียนคนใหม่ของห้องนี้มาแนะนำกับเธอทุกคน

    ท่านอาจารย์ใหญ่ได้กล่าวต่อไปว่านักเรียนคนนี้ครูเพิ่งรับเข้าเรียนเมื่อสักครู่นี้ เพราะเป็นทั้งคนเก่งและทั้งกล้าหาญ ที่ว่าเก่งก็เพราะครูได้ทดสอบความรู้ด้วยตัวเองและให้ครูอีกสองท่านสอบความรู้ปากเปล่าแล้วมีความรู้และวิชาดีเหมาะสมที่จะเรียนห้อง ก. ของโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ร่วมชั้นกับพวกเธอได้

    ท่านอาจารย์ใหญ่ได้กล่าวด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นว่าพวกเธอย่อมรู้ดีว่าครูเข้มงวดในวิชาอย่างไร คงไม่สงสัยในการทดสอบของครู

    ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวต่อไปว่าที่บอกว่าเป็นคนกล้านั้นก็เพราะนักเรียนคนนี้เป็นคนบ้านนอก เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ไม่มีที่จะเรียน โรงเรียนเปิดเทอมแล้วจึงบากหน้ามาพบครูทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแล้วขอเรียนหนังสือที่โรงเรียนนี้ ซึ่งผิดกับวิสัยเด็ก ๆ ที่มีความกลัว ความเกรง แต่นักเรียนคนนี้มีความกล้าหาญ กล้ามาพบกับครูและพูดจาอย่างองอาจ ยอมให้ทดสอบความรู้ ครูเห็นเป็นคนบ้านนอกไม่มีที่พึ่ง แต่เมื่อเป็นคนเก่งวิชาก็อยากจะให้โอกาส เมื่อได้ทดสอบวิชาแล้วเห็นสมควรให้เรียนในห้องเรียนนี้ จึงต้องพามาแนะนำกับพวกเธอด้วยตนเอง

    ครูบุญยังกล่าวว่าที่พามาแนะนำด้วยตนเองก็เพราะป้องกันมิให้เกิดความสงสัยว่ามีนักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลฝากฝังจึงสามารถเข้าเรียนได้ทั้ง ๆ ที่โรงเรียนได้เปิดเรียนแล้ว หรือไม่ก็จะสงสัยว่ามีเส้นสายจ่ายเงินทองใต้โต๊ะจึงได้เข้าเรียน ครูจึงนำมาแนะนำเสียด้วยตนเองก็จะหมดข้อสงสัยทั้งปวง และพวกเธอจะได้คบหากันเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนได้โดยสนิทใจ

    ครูบุญยังกล่าวแล้วก็ถามนักเรียนทั้งห้องนั้นว่ามีใครสงสัยจะสอบถามอะไรบ้างหรือไม่ ปรากฏว่าทั้งห้องเงียบกริบ ท่านอาจารย์ใหญ่จึงหันไปพูดกับครูประจำชั้นว่าครูสุมนาผมมอบนักเรียนคนนี้ให้เรียนห้องนี้ ให้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของครู และให้นำไปทำใบสมัคร ซื้อสมุดหนังสือให้เสร็จในวันนี้


    ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวจบแล้วก็เดินกลับออกไป ทิ้งผมไว้ในห้อง พอลับหลังครูใหญ่ ครูสุมนาก็ใช้มือหยิกผมที่ท้องแล้วกล่าวว่าเธอนี่เก่งไม่เบา ทำให้ครูใหญ่เอาอกเอาใจได้ถึงเพียงนี้

    ผมรู้ว่าเป็นการหยิกด้วยความเมตตาเพราะสายตาของครูสุมนานั้นเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอาทรอย่างยิ่ง ผมรู้สึกในขณะนั้นว่าครูสุมนานี้สมเป็นครูแท้ มือนั้นหยิกแต่สายตานั้นปลอบประโลมอย่างอบอุ่นใจยิ่งนัก ความรู้สึกในวันนั้นประทับซึ้งตรึงใจและทำให้ผมรู้สึกสำนึกในพระคุณครูสุมนาตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้

    ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังห้องว่า เฮ้ย! เอ็งเก่งนี่หว่า ผมมองไปที่ต้นเสียงด้านหลังห้องเรียน เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี สีหน้าขาวราวกับหยกเนื้อดี แต่งตัวชุดนักเรียนแต่เสื้อกลับถลกแขนก็รู้ว่าเพื่อนนักเรียนคนนี้แก่นไม่เบา

    ผมมาทราบชื่อเพื่อนคนนี้ในภายหลังว่าชื่อพิสุทธิ์ เป็นนักเรียนแก่นจริงๆ และเป็นนักเรียนที่กล้าหาญไม่กลัวใคร พิสุทธิ์เป็นคนรักพวกพ้อง หากเพื่อนนักเรียนจะไปตีกับนักเรียนโรงเรียนอื่น ขอให้พิสุทธิ์ได้รู้ ไม่ต้องไหว้วานพิสุทธิ์ก็จะตามไปตีกับเขาด้วย

    ทราบภายหลังอีกต่อไปว่าพิสุทธิ์นี้เป็นญาติห่างๆ ของครูสุมนา มีที่พักอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับครูสุมนา และทราบด้วยว่าชั้นเรียนห้อง ก.นี้จะเป็นห้องเรียนของเด็กนักเรียนที่เรียนดี คือเป็นนักเรียนดีแบบโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ นั่นคือเรียนดีด้วยและเฮี้ยวด้วย

    ที่ว่าเฮี้ยวนั้นไม่ได้เกินเลยความเป็นจริง เพราะนอกจากนักเรียนห้อง ก.ค่อนข้างจะเฮี้ยวแล้ว เพื่อนนักเรียนในห้องอื่น ๆ และชั้นอื่น ๆ ก็เฮี้ยวพอ ๆ กัน แต่มีความรักสมัครสมานกลมเกลียวประดุจดังพี่น้องร่วมอุทร

    บางครั้งที่มีข่าวว่าจะมีการยกพวกไปตีกัน ครูใหญ่ได้สั่งให้ค้นอาวุธนักเรียนขณะยืนอยู่ที่หน้าเสาธง ก็เคยได้มีดไม้และเครื่องไม้เครื่องมือที่จะทุบตีกันเป็นเข่ง เป็นแต่ว่าการทุบตีกันในยุคนั้นเขาไม่ทำกันถึงตาย เอากันแค่หอมปากหอมคอพอแค่เจ็บตัว พอเป็นที่อ้างอวดกับเด็กนักเรียนหญิงโรงเรียนอื่นได้เท่านั้น

    พิสุทธิ์เห็นผมมองไปก็ยิ้มให้และโบกมือด้วยความเป็นมิตร เพื่อน ๆ นักเรียนเห็นพิสุทธิ์เฮี้ยวขึ้นมาเช่นนั้น บ้างก็โบกไม้โบกมือ บ้างก็ลุกขึ้นยืน บ้างก็หัวเราะ แต่ก็เป็นไปในลักษณะที่เป็นมิตร และมีท่าทีต้อนรับมิตรใหม่เหมือนกันทุกคน

    แต่ทันใดนั้นครูสุมนาก็เอาชอล์กขว้างไปที่พิสุทธิ์เป็นทีปราม เพื่อนนักเรียนก็โห่ร้องดังลั่นทั้งชั้น ผมจึงได้เข้าใจว่าการปกครองเด็กนักเรียนของครูสุมนานั้น แม้จะมุ่งมั่นสอนให้นักเรียนเรียนเก่งแต่ก็มีการปกครองแบบพี่บวกแม่ปกครองน้องและลูก คือเป็นกันเองและให้ความอบอุ่น ถึงวันนี้วันเวลาผ่านไปกว่าสามสิบปีแล้วผมก็ยังรำลึกถึงความอบอุ่นและพระคุณของครูสุมนาอยู่เสมอ.
     
  5. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 24 - เพื่อนใหม่ในเมืองกรุง

    พอนักเรียนเงียบเสียงลง ครูสุมนาจึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่านี่พวกเธอการเป็นนักเรียนนั้นไม่ใช่สักแต่เรียนหนังสืออย่างเดียว ต้องเรียนให้เก่งด้วย ต้องกล้าหาญด้วย พ่อคนนี้ครูใหญ่ซึ่งพวกเธอทุกคนก็รู้ดีว่าเข้มงวดอย่างไร ยังยอมรับยกย่องว่าเป็นคนเก่งคนกล้า แต่เมื่อมาเรียนร่วมกับพวกเราแล้วครูจะให้เขาเล่าความเป็นมาจะได้รู้จักกันไว้ กล่าวแล้วครูสุมนาก็หันหน้ามาสั่งผมว่าให้เล่าประวัติแต่ย่อ ๆ ให้เพื่อนร่วมชั้นได้ฟังสักหน่อยหนึ่ง

    ครูสุมนานี้ให้ความรัก ให้ความใกล้ชิดกับศิษย์ทุกคน และรักที่จะใช้คำโบราณเรียกนักเรียนทุกคนว่าพ่อ เช่น พ่อพิสุทธิ์ พ่อสุพจน์ พ่อบุญเลี่ยม เป็นต้น สำหรับผมในขณะนั้นครูสุมนายังไม่รู้จักชื่อจึงเรียกว่าพ่อคนนี้

    ในสมัยโบราณนั้นหากจะเรียกผู้ชายที่ใกล้ชิดสนิทสนมก็นิยมเรียกว่าพ่อนั่น พ่อนี่ หรือหากจะเรียกผู้หญิงที่ใกล้ชิดสนิทสนมก็จะเรียกว่าแม่นั่น แม่นี่ดังนี้ ซึ่งได้ยินได้ฟังแล้วก็จะรู้สึกว่าอบอุ่น ใกล้ชิด สนิทแน่นประดุจญาติฉะนั้น

    ผมได้ยินคำสั่งของครูสุมนาก็รู้สึกประหวั่นใจ แต่ไม่ใช่เพราะกลัวหรือเกรงอะไร ที่ประหวั่นใจเช่นนั้นก็เพราะว่าแม้ผมจะเข้ามากรุงเทพฯร่วมสี่เดือนแล้วแต่ถ้อยร้อยภาษายังเป็นภาษาทองแดงคือเป็นสำเนียงของคนภาคใต้ที่พูดภาษากลางแบบคนกรุงเทพฯ ผมจึงเกรงว่าเมื่อพูดด้วยสำเนียงทองแดงก็จะเป็นที่ครื้นเครงหัวเราะของเพื่อนนักเรียน

    แต่ครั้นนึกเสียว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ได้ที่เรียนแล้ว และได้เรียนห้อง ก. เสียด้วย จะพูดสำเนียงทองแดงไปก็เป็นไรมี เป็นไรก็เป็นกัน ผมนึกเช่นนั้นแล้วก็กวาดสายตาไปทั่วทั้งห้อง เห็นเพื่อนนักเรียน 5-6 คน โบกไม้โบกมือเป็นทีให้กำลังใจ

    ในจำนวนนั้นมีสามคนที่ต่อมาภายหลังได้คบหากันสนิท ได้กรีดเลือดดื่มน้ำสาบานเป็นเพื่อนร่วมสาบานกันที่หน้าพระปรางค์วัดระฆังคือมนูญผล,ศิริศักดิ์ และอีกคนหนึ่งคือไสยวิชย์ แม้ไม่ได้กระทำพิธีดื่มน้ำร่วมสาบานแต่ก็รักใคร่กันเหมือนพี่เหมือนน้อง ส่วนอีกสองคนเพิ่งเข้าเรียนในปีเดียวกันเป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรีทั้งคู่คือวิฑูรย์และกมลศักดิ์

    สามคนแรกโบกมือให้กำลังใจก็เห็นจะเพราะบุรพกรรมที่เคยเป็นสหายสนิทกันมาแต่ปางก่อน ดังนั้นพอพบปะหน้ากันในครั้งแรกก็รู้สึกผูกพันรักใคร่ราวกับว่ารู้จักกันมานานปี ส่วนสองคนหลังโบกมือให้กำลังใจก็เห็นจะเป็นเพราะเป็นเด็กบ้านนอกคอกนามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ มีหัวอกเหมือนกัน

    ผมข่มใจได้มั่นคงแล้วก็เล่าประวัติโดยย่อให้เพื่อนร่วมชั้นได้ฟังด้วยสำเนียงทองแดงแท้ พูดสิ้นประโยคหนึ่งก็มีเสียงหัวเราะของเพื่อนนักเรียนฮาลั่นดังขึ้นมาครั้งหนึ่ง ผมก็นึกเสียว่าเพื่อนฝูงมันเยาะจึงมิได้ถือเป็นเรื่องละอายใจแต่ประการใด กลับคิดเป็นเรื่องสนุกสนาน เล่านิทานประวัติส่วนตัวโดยสังเขปไปจนจบ ก็ได้ยินเสียงปรบมือดังสนั่นทั้งห้อง

    พอเสียงปรบมือเงียบลง ครูสุมนาก็มาหยิกที่แขนแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนว่าเธอนี่ช่างหน้าด้านไม่รู้จักอาย เพื่อนฝูงหัวเราะเยาะกลับทำเป็นเรื่องสนุกไปได้ ผมไม่ฟังเนื้อหาที่ครูพูด แต่ฟังน้ำเสียงและแววตาของครูก็รู้ว่าครูผสมเยาะซ้ำ แต่เป็นไปด้วยความเมตตาโดยแท้ ผมก็กระทำคำนับแล้วกล่าวว่าขอบคุณครับครู

    ครูสุมนาไล่ผมไปนั่งโต๊ะเรียนด้านหลังสุดของห้องซึ่งเป็นเก้าอี้นักเรียนที่นั่งได้สองคนแต่มีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง ได้ยินเสียงครูสุมนากล่าวขึ้นว่าโบ๊ะลักให้เขานั่งเรียนกับเธอนั่นแหละ

    ผมจึงได้รู้ว่าเพื่อนนักเรียนร่วมโต๊ะของผมชื่อโบ๊ะลักและใช้แซ่ ต่อมาจึงได้รู้ว่าเพื่อนร่วมชั้นของผมส่วนใหญ่เป็นลูกคนจีน หลายคนยังใช้ชื่อจีน เช่น เกี้ยงซินหรือโบ๊ะลักคนนี้เป็นต้น
    บางคนแม้จะใช้ชื่อเป็นไทยแล้วแต่ยังคงใช้แซ่ บางคนแม้จะเปลี่ยนแซ่มาใช้นามสกุลแล้วแต่ดูนามสกุลก็รู้ได้ว่าเพิ่งเปลี่ยนมาจากการใช้แซ่ รวมความว่าเพื่อนร่วมชั้นของผมส่วนใหญ่เป็นลูกคนจีน

    หลังจากจัดให้ผมได้โต๊ะนั่งเรียนหนังสือแล้วครูสุมนาก็เริ่มสอนต่อไป ในขณะที่ครูสุมนากำลังสอนเพื่อนนักเรียนก็หันมาตะโกนทักทายกับผมแทบทุกครั้งที่ครูสุมนาหันหน้าเข้าหากระดานดำที่ฝาผนังห้อง บ้างก็เขียนใส่เศษกระดาษขว้างมาที่ผม มีเนื้อหาแตกต่างกันไป แต่โดยเนื้อความรวมแล้วก็คือยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่โว้ย ผมก็ยิ้มให้แต่ละคนไป

    ครั้นเวลาใกล้เที่ยงครูสุมนาก็พาผมไปทำใบสมัครเข้าเรียน แต่ค่าเล่าเรียนผมไม่ได้เตรียมตัวมา แม้ว่าไม่กี่ร้อยบาทแต่เมื่อเงินไม่พอก็เท่ากับไม่มีเหมือนกัน ครูสุมนาจึงต้องออกเงินทดรองค่าเล่าเรียนให้ผมไปก่อน และบอกว่าวันหลังเอามาใช้ให้ครูก็แล้วกัน

    ผมลงทะเบียนเข้าเรียนเสร็จแล้วครูสุมนาก็พาไปซื้อสมุดของโรงเรียนและซื้อหนังสือเรียนชั้น มศ. 3 รวมทั้งเสื้อและกางเกงนักเรียนด้วย

    เมื่อซื้อหาเครื่องเขียนแบบเรียนเสร็จแล้วผมก็หอบของพะรุงพะรังเอาไปไว้ในห้องเรียน มนูญผล ศิริศักดิ์ และไสยวิชย์มาชวนลงไปกินข้าวเที่ยงซึ่งขายที่บริเวณหน้าโรงเรียน ในมื้อนั้นมนูญผลเป็นเจ้าภาพเลี้ยง อาหารนักเรียนเป็นข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวและน้ำดื่มราคาไม่แพง แต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงน้ำใจไมตรีของเพื่อนชุดแรกและเป็นทางให้คบหากันมาโดยตลอด

    ผมเข้าเรียนรอบบ่ายอีกรอบหนึ่ง ครั้นโรงเรียนเลิกเรียนผมนั่งรถเมล์สาย 23 กลับวัด ไปลงรถที่ท่าช้างวังหลวง แล้วเดินย้อนลัดสนามหลวงไปหาหมอปาน เห็นหมอปานนั่งดูหมอวุ่นวายอยู่ แต่พอเห็นหน้าผมหมอปานก็ทักว่าวันนี้เห็นทีจะประสพความสำเร็จกระมัง ผมก็พยักหน้า หมอปานก็ยิ้มให้แล้วทำหน้าที่ดูหมอต่อไป ส่วนผมก็นั่งรอจนเกือบห้าโมงเย็นหมอปานเสร็จธุระแล้วจึงชวนกันกลับวัดด้วยกัน

    หมอปานบอกว่าวันนี้เป็นเวลาเย็นแล้วเราข้ามเรือไปที่ท่าพรานนก หาข้าวหาปลากินกันก่อนเพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จก็แล้วกัน ผมก็รับคำแต่โดยดี

    พวกเรานั่งเรือจากท่าช้างวังหลวงข้ามไปท่าพรานนก และวันนี้คงเป็นวันแห่งความสำเร็จของพวกเรา เพราะผมก็ได้ที่เรียน ส่วนหมอปานก็ดูหมอได้เงินหลายบาทอยู่ หมอปานจึงว่าวันนี้เรากินข้าวหน้าเป็ดให้อิ่มเอมสักมื้อหนึ่ง เพราะในขณะนั้นต้องถือว่าข้าวหน้าเป็ดเป็นอาหารชั้นยอดของเด็กวัดแล้ว การเลี้ยงฉลองความสำเร็จด้วยข้าวหน้าเป็ดจึงเป็นการฉลองความสำเร็จครั้งแรกนับแต่เดินทางมากรุงเทพฯ

    ที่ท่าพรานนกนั้นมีร้านอาหารมากมายและในจำนวนนี้ก็มีร้านขายข้าวหน้าเป็ดที่มีชื่อเสียงมากอยู่ร้านหนึ่ง เจ้าของเป็นคนกวางตุ้ง ขายทั้งข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูแดงและบะหมี่ ตลอดทั้งวันจะมีลูกค้ามาอุดหนุนเนืองแน่น

    ผมกับหมอปานเข้าไปนั่งสั่งข้าวหน้าเป็ดมากินด้วยกัน วันนี้ดูทีท่าว่าหมอปานจะอารมณ์ดีเพราะดูหมอได้หลายรายจึงสั่งเบียร์มาดื่ม แต่ผมไม่ได้ดื่มด้วย หมอปานถามความที่เป็นไปที่ได้เข้าเรียน ผมก็เล่าความให้ฟังตามความเป็นจริง หมอปานจึงว่านี่เห็นไหมการเรียนรู้ฤกษ์ผานาทีและยามนั้นย่อมมีประโยชน์ คนที่ไม่รู้ประโยชน์ก็ไม่สนใจ วันหน้าคงจะได้ใช้ประโยชน์ต่อไปอีก อย่าละทิ้งวิชานี้เสีย แต่ให้หมั่นศึกษาอบรมเพิ่มเติมและหมั่นฝึกฝนให้มีความชำนาญไว้

    ผมก็รับคำเพราะถือเสียว่าวิชาทั้งหลายนั้นเรียนไว้รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม อย่างน้อยก็ถือว่ามีหมอปานเป็นเพื่อนคุยในยามกลางคืน เพราะในกุฏิธรรมนิวาสนั้นออกจะเงียบสงบ ดังนั้นการได้คุยกับหมอปานทุก ๆ คืนในเรื่องวิชาพยากรณ์หลากหลายแขนงจึงดีกว่าการนอนเปล่าให้เศร้าใจ ทั้งการกระทำเช่นนั้นก็ได้ทำให้ความรู้ของผมในวิชาซึ่งไม่มีใครสนใจได้ก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

    เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วหมอปานจึงว่าช่วงนี้พอมีเงินบ้างแต่กางเกงชักจะเก่าไปแล้ว ขอให้ผมเดินเป็นเพื่อนไปที่ร้านตัดเสื้อผ้าแล้วค่อยกลับวัดด้วยกัน ผมมากับหมอปานถึงเพียงนี้แล้วก็เออออตามหมอปานไป แล้วขอแวะซื้อพวงมาลัยดอกมะลิสามพวงเพื่อจะเอาไปถวายและบอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จ

    หมอปานเลือกร้านตัดเสื้อได้ถูกใจแล้วก็เลือกผ้าตัดกางเกงอยู่เป็นนาน ทั้งนี้คงมีเหตุมาแต่การบวชนาน ไม่รู้ที่จะเลือกอย่างไรจึงจะถูกใจ ดังนั้นกว่าหมอปานจะสั่งตัดกางเกงเสร็จก็เป็นเวลาค่ำ

    เมื่อกลับมาถึงหน้าคณะหนึ่งผมจึงขอแยกตัวไปวิหารสมเด็จโดยฝากเครื่องเขียนแบบเรียนและเสื้อผ้าที่ซื้อมาจากโรงเรียนไปกับหมอปาน เมื่อผมเข้าไปถึงที่หน้าวิหารสมเด็จประตูชั้นในปิดสนิทแล้วเพราะเป็นเวลามืดค่ำ ผมจึงได้แต่วางพวงมาลัยดอกไม้ไว้ที่ธรณีประตูหน้าของวิหาร แล้วคุกเข่ากราบเจ้าประคุณสมเด็จด้วยเบญจางคประดิษฐ์ บอกกล่าวความซึ่งประสพความสำเร็จที่ได้รับอนุญาตให้ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์แล้วกลับไปที่กุฏิ

    พระมหาทรงธรรม์ทราบข่าวจากหมอปานก่อนแล้ว พอเห็นผมยกมือไหว้ท่านก็ชมว่าแกนี่มันเก่ง ลูกผู้น้องผมนั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็แสดงท่าทียินดี ผมไหว้พระเสร็จแล้วจึงเอาข้าวของที่ฝากหมอปานไว้ไปที่ห้องนอน และรีบตรวจดูตารางสอนในวันรุ่งขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะเรียนให้ทันเพื่อนนักเรียน ในคืนวันนั้นจึงต้องเอาหนังสือซึ่งอยู่ในตารางเรียนวันรุ่งขึ้นมาอ่านดูอย่างรีบเร่ง

    หลังผมอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วพระมหาทรงธรรม์ได้เรียกเข้าไปพบอีกครั้งหนึ่ง และบอกว่าพรุ่งนี้เมื่อบิณฑบาตรเสร็จแล้วฉันจะจัดข้าวให้แกกินก่อน และไม่ต้องรอล้างถ้วยชามเหมือนวันก่อน จะได้ไปโรงเรียนได้ทันเวลา ซึ่งเป็นการให้อภิสิทธิ์ผมอีกคนหนึ่งเหมือนกับลูกผู้น้องว่าไม่ต้องล้างถ้วยล้างชาม และได้กินข้าวก่อนพระเพื่อจะไปโรงเรียนได้ทัน

    ผมยกมือไหว้ขอบพระคุณพระมหาทรงธรรม์ที่ได้ให้ความกรุณา ท่านก็สั่งสอนว่าเข้าเรียนช้ากว่าคนอื่นเขา ดังนั้นต้องเร่งความเพียรให้มากขึ้นเป็นสองเท่าจะได้เรียนไล่ทันเพื่อน เพราะหากไล่เขาไม่ทันแล้วก็จะเกิดความเบื่อหน่ายและจะพาลทำให้การเรียนเสียไป ผมก็ยกมือไหว้น้อมรับคำแนะนำของท่านแต่โดยดี

    ช่วงก่อนดึกวันนั้นผมยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ สินได้มาชวนผมออกไปข้างนอกบอกว่าไปหาอะไรกินกันดีกว่า ผมก็บอกว่าวันนี้ขอไว้ก่อนเพราะพระมหาทรงธรรม์เพิ่งเตือนมาหยก ๆ สินเห็นผมปฏิเสธก็ชวนสมปราชญ์ออกไปด้วยกันสองคน

    ค่ำวันนั้นผมอ่านหนังสือจนกระทั่งดึก จึงกังวลว่าเมื่อนอนดึกก็อาจจะตื่นสาย และเมื่อเกิดความกังวลแล้วก็จะยิ่งพาลนอนไม่หลับไปเลย

    ดังนั้นเพื่อป้องกันการนอนไม่หลับและเพื่อให้ตื่นได้ทันเวลา ผมจึงต้องทำตามวิชาที่พระอาจารย์ได้สั่งสอนมาจากบ้านนอก กราบลงกับหมอน สวดมนต์แล้วนั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง พอจิตสงบพอประมาณแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ตื่นในเวลาตีห้าสามสิบนาที ซึ่งวิธีเช่นนี้ผมเคยปฏิบัติมาเป็นเนืองนิตย์เพราะสามารถตื่นได้ตามกำหนดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องตั้งนาฬิกาปลุกเลย

    การแก้โรคนอนไม่หลับและการกำหนดเวลาตื่นเป็นผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ของการทำจิตใจให้เป็นสมาธิซึ่งใคร ๆ ก็ทำได้ ขอเพียงได้ลองฝึกฝนตามสมควรเท่านั้น

    ผมตื่นแต่เช้าตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ในขณะทำสมาธิ แล้วปฏิบัติภารกิจประจำในยามเช้าคือจัดข้าวของสำหรับตามพระออกไปบิณฑบาตร ครั้นตามพระไปบิณฑบาตร กลับมาแล้วก็จัดเรียงอาหารเป็นสำรับไว้ให้พร้อมเพื่อรอพระสรงน้ำแล้วจะได้มาฉันจังหันตามปกติ

    หลังจากนั้นผมจึงอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปโรงเรียน เสร็จแล้วก็มาจัดการถวายอาหารพระ พระมหาทรงธรรม์ก็ตักข้าวและกับข้าวใส่จานให้ผมกับลูกผู้น้องคนละจานขนาดพออิ่ม แยกให้รับประทานกันก่อน ไม่ต้องคอยพระฉันเสร็จ จะได้ไปโรงเรียนทันเวลา

    ผมจึงได้สิทธิ์กินข้าวก่อนพระ กินข้าวเสร็จแล้วก็ได้อภิสิทธิ์ไม่ต้องล้างถ้วยชามเก็บกวาดเหมือนที่เคย เพราะพระมอบเป็นธุระให้กับศิษย์วัดคนอื่น ผมกินข้าวแล้วก็นั่งรถไปโรงเรียนกับลูกผู้น้อง

    อภิสิทธิ์นี้ผมได้รับก็เฉพาะวันที่ต้องไปเรียนหนังสือ แต่ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์หรือเป็นวันหยุดก็ใช้อภิสิทธิ์นี้ไม่ได้ และยังต้องรับงานอื่นเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยหน้าที่ในวันธรรมดาที่ศิษย์วัดคนอื่นต้องรับไปทำแทน

    แต่ทว่าในทางความเป็นจริงนั้นบรรดาพวกเราที่เป็นเด็กวัดด้วยกันต่างก็สามัคคีกัน ถึงแม้งานใดไม่ใช่หน้าที่แต่ถ้ามีเวลาและโอกาสก็จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ดังนั้นความสัมพันธ์ฉันท์เด็กวัดจึงเป็นความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์ร่วมสำนักที่สนิทแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเพื่อน เพราะมีอะไรก็กินด้วยกัน งานการสิ่งใดก็ช่วยกันทำ พระจะสอนจะสั่งก็นั่งฟังคำสอนด้วยกัน พระจะดุจะว่าจะติหรือแนะนำให้ทำสิ่งใดก็ฟังคำสั่งสอนด้วยกัน

    ผมได้เข้าเรียนในห้อง ก. ซึ่งถือว่าเป็นห้องเรียนสำหรับนักเรียนเรียนดีของโรงเรียน ส่วนลูกผู้น้องเรียนอยู่ที่ห้อง ค. ซึ่งถือว่าอยู่ในลำดับถัดออกไป

    ผมรู้ตัวดีว่าได้เข้าเรียนล่าช้ากว่าคนอื่น ดังนั้นทุกค่ำคืนจึงขะมักเขม้นเอาหนังสือตำรับตำรามาอ่าน ไม่นานผมก็ไล่ตามทัน และเพราะอัธยาศัยรักการอ่าน ผมจึงรักที่จะอ่านหนังสือหรือตำราล่วงหน้าไปจนจบเล่ม อะไรเข้าใจก็เข้าใจไป อะไรที่ไม่เข้าใจก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น

    แต่การที่ได้อ่านหนังสือจนจบเล่มไปก่อนมีอานิสงส์มาก อย่างน้อยก็สามารถทำให้ได้รู้ว่าโครงสร้างของหนังสือนั้นเป็นอย่างไร มีเรื่องราวอะไรบ้าง สิ่งที่เข้าใจแล้วก็ได้ประโยชน์จากการเรียนรู้ก่อนคนอื่น อะไรที่ติดใจ ไม่เข้าใจ ครั้นพอเรียนในชั้นเรียนก็ตั้งความสนใจไว้แต่ต้น จึงสามารถเข้าใจได้เร็ว

    พอโรงเรียนเลิกหากมีเพื่อนนักเรียนคนไหนชวนไปเที่ยวที่บ้านผมก็รักที่จะตามเพื่อนไป แต่มักจะกลับในยามใกล้ค่ำเพื่อจะได้ทำหน้าที่ปรนนิบัติพระ ถ้าหากวันไหนไม่มีใครชวนไปเที่ยวบ้านหรือไปดูนิทรรศการอื่น ๆ ผมก็รักที่จะกลับวัดเพื่อทำภารกิจของเด็กวัดให้พร้อมสรรพเสียก่อน.
     
  6. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 25 - พระสมเด็จหลวงปู่นาค

    เส้นทางกลับวัดระฆังมีอยู่สองเส้นทาง คือนั่งรถเมล์เขียวสาย 19 ไปลงที่ถนนอรุณอัมรินทร์ที่หน้าวัดโดยตรง หรือไม่ก็นั่งรถเมล์แดงสาย 23 ไปลงแถวท่าช้างอีกเส้นทางหนึ่ง

    ถ้าวันไหนกลับวัดด้วยรถเมล์เขียวสาย 19 หากรถไม่ติดผมก็รักที่จะแวะร้านกาแฟริมถนนซึ่งมีการเล่นหมากฮอสกันทุกวัน แวะแล้วก็จะสั่งกาแฟหรือโอเลี้ยงมานั่งกินแล้วดูเขาเล่นหมากฮอสกัน

    เพราะเหตุนี้ผมจึงได้รู้จักมักคุ้นกับพวกวงการหมากฮอสของร้านกาแฟนั้นทั้งหมด และพาลรู้ต่อไปด้วยว่าคนประหลาดสามคนที่มีชื่อเณร เป๋ และกำธรนั้นหาใช่นักหมากฮอสธรรมดาไม่ แต่นับได้ว่าเป็นเซียนหมากฮอสตัวฉกาจที่นอกจากมีอาชีพทำราชการเป็นปกติอยู่แล้วก็ยังเล่นการพนันหากินกับหมากฮอสเป็นอาชีพเสริมอีกทางหนึ่ง

    ทั้งสามคนนี้เณรและเป๋ทำงานอยู่ที่กรมอู่ทหารเรือด้วยกัน ในขณะที่กำธรทำงานอยู่คนละที่เพราะทำงานอยู่ที่เทศบาลกรุงเทพ แต่ความที่เป็นนักหมากฮอสด้วยกัน เป็นยอดฝีมือระดับเซียนด้วยกัน และมีถิ่นฐานอยู่ในย่านนี้ด้วยกัน จึงได้คบหาเป็นสหายสนิทกันมาช้านาน มีความสนิทสนมแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเป็นญาติพี่น้องกันเสียอีก

    แม้ว่าต่างคนต่างก็เป็นเซียนหมากฮอสแต่อัธยาศัยต่างกันเป็นคนละแบบ เป๋มีลักษณะเป็นนักต้มตุ๋น มีฝีมือสูง แต่แกล้งทำเป็นหมูให้คู่แข่งต่อแต้ม ครั้นชนะการพนันจนเขาหมดตัวแล้วก็ค่อยเล่นแต้มเท่าไปจนกระทั่งต่อแต้มให้กับคู่แข่งไปเลย

    เณรนั้นเป็นคนนักเลง โผงผาง ตรงไปตรงมา แต่เป็นคนอารมณ์ดี จะเล่นพนันกับใครก็เล่นกันตรงไปตรงมาและรักที่จะต่อแต้มให้คนอื่น ในขณะที่กำธรนั้นมีฝีมือเหนือกว่าทั้งสองคน เป็นคนสุขุมลุ่มลึก และเยือกเย็นจนน่าพิศวง มีความมั่นคงในจิตใจสูงมาก เพราะถึงหากจะถูกรบกวนในขณะเล่นหมากฮอสด้วยวิธีใด ๆ กำธรก็จะยังคงดำรงสติมั่นเป็นปกติ ราวกับว่าได้ผ่านการฝึกฝนอบรมจิตจนมีภูมิธรรมถึงขั้นสูงแล้วก็มิปาน

    ปกติกำธรจะไม่ค่อยเล่นหมากฮอสกับคนอื่นเพราะฝีมือห่างไกลกันมาก ยากที่จะหาคนที่มีฝีมือใกล้เคียงกันมาเล่นกันให้สนุก ดังนั้นกำธรจึงรักที่จะเล่นหมากฮอสกับเพื่อนสองคนนั้นเท่านั้น หรือไม่ก็เล่นกับเซียนหมากฮอสด้วยกันเองซึ่งหาโอกาสได้ยากเพราะมีอยู่ไม่กี่คน จึงนับได้ว่ากำธรเป็นคนที่น่านับถือในคุณธรรมได้คนหนึ่ง

    ผมได้รับรู้ข้อมูลของทั้งสามคนจากวงการหมากฮอสก่อนที่จะได้มักคุ้นกับทั้งสามคนนี้ซึ่งเป็นผลมาจากความเฉลียวและมักระแวง คือเมื่อมีความรู้สึกระแวงสงสัยเกิดขึ้นแล้วก็รักที่จะสืบสาวราวเรื่องเพื่อให้ได้ความจริง และเพราะได้ความจริงเช่นนี้ผมจึงไม่ถูกเป๋ต้มตุ๋น มีแต่ผมทำตนเป็นหมูกินเซียน เล่นหมากฮอส กินกาแฟและกินเงินเป๋มาหลายบาท

    ความเฉลียวกับความฉลาดเป็นของคู่กัน หากขาดไปเสียอย่างใดอย่างหนึ่งก็พึ่งตนเองลำบาก เพราะหากมีความเฉลียวอย่างเดียวก็จะระแวงสงสัยจนเป็นความกังวลหม่นหมอง หรือหากฉลาดอย่างเดียวก็รู้ตัวไม่ทันการ ตัวอย่างก็มีให้เห็น ๆ กันอยู่ ดังนั้นการฝึกฝนให้มีพร้อมทั้งความฉลาดและความเฉลียวจึงเป็นเรื่องจำเป็นของคนเราอีกเรื่องหนึ่ง

    ถ้าวันไหนผมกลับวัดด้วยรถเมล์แดงสาย 23 เมื่อลงจากรถเมล์ที่ท่าช้างวังหลวงแล้ว หากยังพอมีเวลาเหลือจึงมักที่จะเดินทางไปดูหนังสือที่ซุ้มหนังสือใต้ต้นมะขามข้างสนามหลวง ซึ่งเป็นแหล่งหนังสือมากมายหลายชนิด ทั้งหนังสือวิชาการ บันเทิง วรรณคดี สารคดีครบครัน และในราคาที่ไม่แพง

    ผมลงทุนให้กับสมองของตัวเองมาตั้งแต่น้อย และไม่เห็นว่าการลงทุนใดจะดียิ่งไปกว่าการลงทุนด้วยการซื้อหาหนังสือตำรับตำรามาอ่าน เหตุทั้งนี้เนื่องจากผมมีอัธยาศัยรักการอ่านมาตั้งแต่น้อย เมื่อครั้งที่เรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเก่าที่บ้านนอก ยามใดมีเวลาว่างผมก็มักจะเข้าไปหาหนังสืออ่านที่ห้องสมุด จนมีความคุ้นเคยสนิทสนมกับบรรณารักษ์และเจ้าหน้าที่ประจำห้องสมุดเป็นอย่างดี

    ผมอ่านหนังสือจนหมดห้องสมุด ได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมายจนเกินวัย และแน่นอนว่าเมื่อขลุกอยู่กับห้องสมุดเช่นนี้ก็ย่อมมีโอกาสเรียนรู้ได้มากกว่าคนที่ไม่รักการอ่าน

    เฉพาะหนังสือสามก๊กนั้นผมได้ยินก๋งเล่าเรื่องสามก๊กให้ฟังตั้งแต่ยังพอจำความได้ ตอนเล็ก ๆ รู้จักเรื่องสามก๊กจากการขับร้องแบบงิ้วซึ่งภาษาฮกเกี้ยนเรียกว่าโผยเต หงี่ พอรู้ความมากขึ้นก๋งก็เล่าเรื่องสามก๊กให้ฟังเป็นประจำ ทำให้มีความสนใจเรื่องสามก๊กมาตั้งแต่เด็ก พอรู้จักเข้าห้องสมุดก็อ่านสามก๊กจนจบไปหลายรอบ

    ตั้งแต่น้อยผมก็ได้ยินคนเขาแซวว่าเป็นเด็กเพียงเท่านี้ริจะอ่านหนังสือสามก๊ก เห็นท่าต่อไปจะคบไม่ได้เพราะใครอ่านสามก๊กจบสามรอบโบราณเขาว่าห้ามคบ ผมก็ได้แต่หัวเราะเพราะคิดและเชื่อว่าใครจะเป็นคนคบได้หรือคบไม่ได้ย่อมไม่ใช่เพราะอ่านหนังสือเป็นแน่ ย่อมสุดแท้แต่จิตใจชั่วร้ายเลวทรามหรือดีงามสูงส่งต่างหาก

    ในวัยเด็กผมไม่รู้จักการลงทุนเพื่อการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยทางทรัพย์สินเงินทอง แต่ผมก็รู้จักและได้เรียนรู้ถึงการลงทุนทางสมองและปัญญาด้วยการขวนขวายซื้อหาหนังสือและตำรับตำรามาอ่าน จึงทำให้ผมมีหนังสือสะสมเป็นจำนวนมาก

    พอเติบโตขึ้นผมก็ได้พบคำสอนของท่านเจ้าคุณพุทธทาสในเรื่องนี้ว่าอายุคนเราไม่ยาวนานเท่าใดนัก แต่คนจำนวนมากกลับปล่อยปละให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ สู้หัวเผือกหัวมันก็ยังไม่ได้ เพราะหัวเผือกหัวมันนั้นแต่ละเดือนแต่ละปีก็ใหญ่โตเรื่อยไป

    แล้วท่านเจ้าคุณพุทธทาสก็สอนว่าเกิดมาเป็นคนก็อย่าให้เสียชาติเกิด ต้องพยายามเรียน พยายามรู้ด้วยการศึกษาปฏิบัติให้ถึงพร้อม คือถึงพร้อมทั้งปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ ก็จะมีผลต่อการทำให้สติปัญญาพัฒนาไปในทางที่ประเสริฐสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หากทำเช่นนี้แล้วก็จะไม่อายหัวเผือกหัวมัน

    แต่เวรกรรมผมคล้ายกับคนเร่ร่อนจรจัด อยู่ที่ไหนได้พักหนึ่งก็ต้องโยกย้ายที่อยู่ เมื่อย้ายที่อยู่ทีหนึ่งก็ต้องขนย้ายหนังสือเป็นกองพะเรอเกวียน ในขณะที่ทรัพย์สมบัติอย่างอื่นหาได้มีสิ่งใดมีค่าไม่ คงมีก็แต่เสื้อผ้า 2-3 ชุดกับรูปภาพพระอาจารย์และผู้ที่เคารพนับถือเท่านั้น

    ที่ว่าเป็นเวรกรรมก็เพราะที่อยู่แต่ละแห่งนั้นมักจะมีปลวกมากมายสุดจะคาดคิด หนังสือวางอยู่ดี ๆ เห็นเป็นเล่มเรียงแถวอยู่ดี ๆ พอหยิบขึ้นมาดูอีกทีหนึ่ง ที่ไหนได้ข้างในปลวกกินไปจนหมดแล้ว เป็นอย่างนี้หลายครั้งหลายหน จนถึงวันนี้ผมก็ไม่มีห้องสมุดของตัวเองที่เป็นตัวเป็นตนเป็นเรื่องเป็นราวเลย

    เพราะเหตุที่หนังสือหนังหาตำรับตำราสูญหายไปเพราะเหตุประการต่าง ๆ จึงทำให้ผมไม่ค่อยวางใจในความรู้อันมีอยู่ในตำรา ดังนั้นในพลันที่ได้รับหรือหาหนังสือหนังหาตำรับตำรามาได้แล้ว ผมจึงต้องก้มหน้าก้มตาอ่านจนหมด อ่านหมดแล้วหากยังไม่เข้าใจหรือไม่ซึมซับประทับไว้กับใจก็จะเอามาอ่านใหม่ในยามว่าง

    ทำให้ความรู้มาอยู่กับตัวคู่กับความรู้ที่อยู่ในตำรา ซึ่งเป็นไปตามคติโบราณที่ว่า “จำขึ้นใจในวิชาดีกว่าจด จำไม่หมดจดไว้เป็นครูสอน จดและจำทำวิชาให้ถาวร เป็นอาภรณ์เทิดตนพ้นลำเค็ญ” ดังนั้นแม้วันเวลาผันแปรผ่านไป ความรู้และวิชาทั้งหลายส่วนที่อยู่ในหนังสือและตำราถึงจะถูกปลวกกัดกินหรือสูญหาย แต่ความรู้และวิชาในส่วนที่อยู่ในตัวนั้นมดปลวกไม่มีวันทำลายหรือมีเหตุที่ทำให้สูญหายไปได้เลย

    ในกรณีที่ผมแวะเวียนไปซื้อหาหนังสือที่สนามหลวงแล้ว ผมก็มักที่จะแวะไปหาหมอปานซึ่งนั่งดูหมอเป็นประจำอยู่ที่นั่น บางวันหมอปานก็ให้ดูหมอแทนบ้างพอเป็นเครื่องอดิเรก จากนั้นจึงไปหาข้าวหาปลากินกัน แล้วพากันกลับไปวัด

    ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ผมได้จัดเวลาให้กับตัวเองเป็นว่าในวันเสาร์นั้นสำหรับซักเสื้อผ้า ปัดกวาดกุฏิเป็นการใหญ่ เสร็จแล้วก็จะไปเล่นหมากรุกกับลุงต๋อมที่ใต้ถุนกุฏิหลวงปู่นาค ถ้าวันไหนลงเล่นหมากรุกแล้วก็เป็นอันว่าเล่นกันจนค่ำมืด นานวันเข้าผมก็ชักชำนาญในการหมากรุก

    แต่ถ้าหากไม่เล่นหมากรุกผมก็ไปเล่นหมากฮอสซึ่งมีที่เล่นอยู่ 2-3 แหล่ง คือที่ร้านกาแฟหน้าคณะหนึ่ง หรือร้านกาแฟริมถนนอรุณอัมรินทร์ หรือไม่ก็ไปเล่นที่ตลาดบ้านขมิ้น และถ้าลงไปเล่นหมากฮอสก็เช่นเดียวกับหมากรุกคือเล่นจนค่ำมืด

    ทำให้ผมได้พรรคพวกเพื่อนฝูงในวงการหมากฮอส ทั้งพวกที่เล่นหมากฮอสเองและพวกที่เชียร์หมากฮอสเป็นจำนวนมาก จนแทบจะกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ไม่ไร้ซึ่งเพื่อนฝูง และเพื่อนวงการนี้ส่วนใหญ่ก็มีน้ำใจ ใครกินอะไรอยู่เห็นเพื่อนพวกมาก็จะชวนร่วมกินร่วมดื่ม ทำให้ได้ความอบอุ่นใจและคลายความว้าเหว่เหงาหงอยได้เป็นอย่างดี

    สำหรับวันอาทิตย์เป็นวันนัดเพื่อนฝูงซึ่งแทบทั้งหมดก็เป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ไปเที่ยวเตร่เฮฮาเสียครึ่งค่อนวัน บางครั้งก็ไปบ้านของเพื่อนคนนั้น บางครั้งก็ไปบ้านของเพื่อนคนนี้ บางทีก็ไปเที่ยวในที่ต่างถิ่นหรือเที่ยวในการงานเทศกาลตามควรแก่การเรื่อยไป

    ช่วงบ่ายถึงค่ำก็ทบทวนตำรับตำรา หรือไม่ก็นั่งฟังพระสนทนาธรรมกับญาติโยม ซึ่งมีญาติโยมมาเยี่ยม มาถวายข้าวของ และมาสนทนาธรรมกับพระมหาทรงธรรม์เป็นประจำ แท้จริงแล้วผมไม่ได้มีเจตนานั่งฟังการสนทนาธรรมแต่ประการใด เพราะส่วนใหญ่เป็นเรื่องของพระอภิธรรมซึ่งผมไม่ค่อยชอบ ดังที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว แต่ที่เรียกว่านั่งฟังก็เพราะต้องนั่งในที่ใกล้เพื่อคอยรับใช้พระและญาติโยมตามหน้าที่นั่นเอง

    บางวันถ้ากุฏิท่านเจ้าคุณใหญ่เขาทำพระสมเด็จผมก็เข้าไปช่วยเขาทำด้วย ทำให้ได้รู้จักมักคุ้นกับเด็กวัดในคณะหนึ่งเป็นอย่างดีทั่วทุกคน

    หลวงปู่นาคท่านเป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ อยู่ในวัยแปดสิบเศษ รูปร่างอ้วนท้วน หน้าตาเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา และมีศีลจริยาวัตรงดงาม ประพฤติธรรมอยู่เป็นเนืองนิจ มีอิทธิจิตในระดับที่สูง ดังนั้นจึงเป็นที่เชื่อถือกันอย่างกว้างขวางว่าหลวงปู่นาคทรงความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพระสมเด็จที่ปลุกเสกโดยหลวงปู่นาคจึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
    ท่านเจ้าคุณใหญ่หรือหลวงปู่นาคท่านทำพระสมเด็จอยู่เสมอตามความจำเป็นและความต้องการของญาติโยม แต่เป็นการทำไปเรื่อย ๆ ตามแต่สะดวกและความพร้อมของผู้ทำคือบรรดาเด็กวัดและพระเณรในคณะหนึ่ง ไม่ได้จัดตั้งเป็นการพิธีใหญ่และทำพระเป็นจำนวนมาก ๆ เพื่อจำหน่ายเป็นพุทธพาณิชย์ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

    วันไหนมีการทำพระสมเด็จ ท่านเจ้าคุณใหญ่หรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ประจำกุฏิใหญ่ก็จะผสมผงมาแล้วเสร็จ ใส่ในกาละมังบ้าง ในถังบ้าง และให้บรรดาพระเณรรวมทั้งเด็กวัดช่วยกันพิมพ์พระที่บริเวณชั้นล่างด้านหน้าของกุฏิใหญ่

    การทำพระสมเด็จของหลวงปู่นาคจะใช้ผงปูนปลาสเตอร์เป็นพื้น ผสมกับผงพระเก่าที่เหลือจากการทำรุ่นก่อน ๆ สืบทอดกันมา เหมือนกับน้ำมนต์ในวิหารสมเด็จที่ใช้น้ำใหม่เติมน้ำมนต์ในโอ่งที่ทำมาตั้งแต่ครั้งเจ้าประคุณสมเด็จ

    นอกจากนี้ยังใช้ผงธูปจากกระถางธูปในโบสถ์ ผงตะไคร่น้ำจากพระปรางค์และพระเจดีย์ในวัดระฆัง แม้กระทั่งดอกไม้สำหรับบูชาพระประธานในโบสถ์มาตากแห้งแล้วบดเป็นผง และใช้ข้าวก้นบาตรรวมทั้งกล้วยซึ่งบดทั้งเปลือกเป็นส่วนผสมด้วย

    เมื่อผสมผงได้ที่ตามตำรับเก่าแก่ของวัดระฆังแล้ว ก็จะพิมพ์ลงในแบบพิมพ์พระซึ่งแกะสลักในแผ่นไม้ บางแผ่นก็มีพิมพ์พระหนึ่งองค์ บางแผ่นก็สอง หรือสาม หรือห้าองค์ ตามแบบต่าง ๆ ที่วัดระฆังเคยทำมา และทรงอันเป็นที่นิยมมากก็คือแบบพิมพ์ทรงพระประธานทรงใหญ่

    ในบรรดาเด็กวัดที่ช่วยกันทำพระสมเด็จนั้นก็มีโอฬารหัวหน้าเด็กวัดคณะหนึ่งเป็นเจ้ากี้เจ้าการควบคุมเด็กวัด แต่ก็ยังมีพระผู้ใหญ่คอยควบคุมดูแลอยู่อีกชั้นหนึ่ง

    พระที่พิมพ์ก็จะเป็นพระสมเด็จซึ่งเรียกกันว่าพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหลวงปู่นาค มีทั้งทรงพิมพ์ใหญ่ ทรงเจดีย์ ทรงปรกโพธิ์ และอีกหลายแบบสุดแท้แต่แม่พิมพ์ที่พระผู้ควบคุมการจัดทำจะจัดมาให้ทำ

    วันไหนพิมพ์พระได้เท่าใดก็จะมีการนับจำนวนทวนสอบจนตรงกัน แล้วพระเถระผู้ควบคุมการทำพระก็จะยกเอาถาดใส่พระซึ่งพิมพ์เสร็จแล้วขึ้นไปข้างบน เพราะหลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนการปลุกเสกตามแบบฉบับและกรรมวิธีของวัดระฆังที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

    พระสมเด็จเหล่านั้นจะถูกนำไปบรรจุกล่องและวางไว้ในห้องพระของท่านเจ้าคุณใหญ่ซึ่งเป็นห้องโถงอยู่ชั้นบนของกุฏิใหญ่นั้น จากนั้นก็จะมีการวนสายสิญจน์จากพระประธานของห้องพระ วนลงมาเวียนรัดรอบกล่องพระนั้นจนครบถ้วนทุกกล่อง

    ทุกวันหลังจากหลวงปู่นาคท่านสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ท่านก็จะเข้าสมาธิภาวนาพระคาถาชินบัญชร แล้วเพ่งพลังจิตและอธิษฐานจิตตามกรรมวิธีปลุกเสกพระสมเด็จวัดระฆัง และจะเพิ่มเวลาทำสมาธิภาวนาแผ่พลังจิตมากขึ้นสำหรับวันพระและถ้าเป็นห้วงเวลาในเทศกาลเข้าพรรษาก็ยิ่งเพิ่มเวลามากขึ้นไปอีก

    บางครั้งหลวงปู่นาคก็จะให้นิมนต์พระสงฆ์ในคณะหนึ่งมาสวดพระปริตรและสวดพระคาถาชินบัญชรปลุกเสกพระด้วย และบางทีในวันพระใหญ่คือวันขึ้น 15 ค่ำและวันมหาปาวารนา หลวงปู่นาคก็จะให้พระขนกล่องพระสมเด็จเข้าไปในโบสถ์ วนสายสิญจน์มาจากพระประธานมายังกล่องพระ

    ในบางทีเมื่อมีงานบวชหลวงปู่นาคก็จะให้ขนกล่องพระเข้าไปในโบสถ์ด้วย นัยว่าการสวดญัตติจตุตถกรรมนั้นในอุปสมบทพิธีนั้นมีผลมากต่อการปลุกเสกพระเครื่องให้เป็นพระ.
     
  7. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 26. พระสมเด็จโอฬาร

    เพราะได้ทำหน้าที่ช่วยทางวัดพิมพ์พระเช่นนี้ ผมจึงได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าคุณใหญ่ ตลอดจนพระเถระชั้นรองของกุฏิใหญ่ และได้รับพระสมเด็จจากท่านเป็นกำนัลเป็นจำนวนมาก

    ตัวผมเองไม่มีอัธยาศัยเป็นนักสะสมหรือหวงกันสิ่งใดไว้กับตัว ดังนั้นเมื่อได้รับพระสมเด็จมาคราวใดก็มักจะเอาไปแจกให้กับบรรดาเพื่อนฝูงที่โรงเรียน หรือถ้าหากวันไหนไปเยี่ยมพ่อแม่ของเพื่อนที่บ้านก็จะนำพระสมเด็จไปมอบให้เป็นของขวัญ

    จึงทำให้ผมถูกเพื่อนนักเรียนล้อว่าเป็นหมอผี จนกระทั่งถึงวันนี้บางครั้งเมื่อปะหน้าเพื่อนนักเรียนในครั้งนั้น แม้ว่าแก่เฒ่าไปด้วยกันแล้วก็ยังเรียกล้อกันว่าไอ้หมอผีอยู่นั่นเอง

    การล้อเลียนนี้เห็นทีจะเป็นวัฒนธรรมเฉพาะของคนไทยเพียงชาติเดียวเท่านั้น เพราะยังไม่เคยได้ยินหรือปรากฏว่าคนชาติอื่นๆ จะนิยมชมชอบการล้อเลียนแบบที่คนไทยกระทำกันเลย

    การล้อเลียนที่กระทำกันนั้นก็มักจะเอาของดีมาล้อเลียนให้เป็นของเสียอย่างหนึ่ง หรือไม่ก็เอาจุดอ่อนปมด้อยของคนมาล้อเลียนกันเพื่อทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกโปกฮา ซึ่งดูไปแล้วก็ไม่ค่อยเข้าท่าและไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ เลยอีกอย่างหนึ่ง

    ดังเช่นคำว่าอรหันต์ซึ่งเป็นภาวะหรือสถานะสูงสุดในพระพุทธศาสนา กลับนำมาใช้ล้อเลียนกับความเลวร้ายต่าง ๆ ดังเช่นการล้อเลียนคณะกรรมการการเลือกตั้งที่โกงเลือกตั้งว่าเป็นห้าอรหันต์ หรือล้อเลียนกรรมการตัดสินการประมูลซึ่งโกงการประมูลว่าแปดอรหันต์ หรือการนำเอาลักษณะทางกายภาพที่หัวล้านหรือฟันหลอมาเป็นเครื่องล้อเลียน เป็นต้น

    เป็นการทำของดีให้กลายเป็นของเสียหรือไม่ก็เป็นการหาความสนุกขำขันจากความอับอายขายหน้าของคนอื่น ซึ่งน่าจะได้ทบทวนวัฒนธรรมแบบนี้เสียทีหนึ่ง

    พระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหลวงปู่นาคทรงความศักดิ์สิทธิ์และมีอิทธิปาฏิหาริย์เลื่องชื่อลือกระฉ่อนมาตั้งแต่ครั้งที่หลวงปู่นาคยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อท่านเจ้าคุณสิ้นบุญไปแล้วพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหลวงปู่นาคก็ยิ่งมากค่าและหาได้ยากขึ้นทุกที แม้กระทั่งผมเองซึ่งเป็นศิษย์สำนักวัดระฆังก็ไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่องค์เดียวเพราะมีเท่าไรก็ให้คนอื่นไปจนหมด

    นี่แหละที่เขาว่าใกล้เกลือกินด่าง ความจริงไม่ได้กินด่าง แต่เป็นเพราะอัธยาศัยประจำตนที่เห็นสิ่งใดดีแล้วก็อยากจะให้ผู้อื่นได้สิ่งดีนั้นด้วย

    การไปช่วยทำพระสมเด็จทำให้ผมได้รู้จักกับคนบ้านเดียวกันซึ่งมาเป็นเด็กวัดอยู่คณะหนึ่งอีกหลายคน รุ่นพี่ ๆ ก็มี 2-3 คน คือพี่วัลลภ พี่วินัย นอกนั้นเป็นรุ่นน้อง ๆ สำหรับพี่วินัยนั้นอยู่กับพระซึ่งเป็นอาคือพระมหาวิสุทธิ์ และเรียนกฎหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    ครั้นได้รู้จักมักคุ้นกันแล้ว พี่วินัยก็แนะนำว่าในวันข้างหน้าถ้ามีโอกาสก็ควรที่จะเข้าเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนวิชาความรู้ในการช่วยเหลือผู้คน จะได้นำความรู้ไปช่วยเหลือพี่น้องทางบ้านซึ่งถูกข้าราชการกดขี่ข่มเหงได้

    คนภาคใต้จะมีความรู้สึกเป็นอย่างเดียวกันว่าข้าราชการที่ส่งไปจากส่วนกลางให้ไปทำหน้าที่ในพื้นที่ภาคใต้นั้นไม่มีความเป็นมิตร เพราะวางตนเป็นเจ้านายเหนือประชาชน จนคนภาคใต้มักเรียกข้าราชการว่านาย และเป็นนายที่ข่มเหงรังแกอาณาประชาราษฎรจนสะท้อนเป็นความรู้สึกที่ตกผลึกอยู่ในหัวใจคนปักษ์ใต้ตลอดมา

    การเป็นเช่นนั้นเกิดขึ้นเพราะคตินิยมของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่มักลงโทษข้าราชการที่ไม่ดีหรือกระทำความผิดโดยการย้ายลงไปทำงานในภาคใต้ เพียงแค่คิดหวังจะลงโทษข้าราชการนั้นให้เข็ดหลาบ แต่ผลแท้จริงคนที่ถูกลงโทษก็คือประชาชนภาคใต้ เพราะคนเลวหรือคนชั่วนั้นไปอยู่ที่ไหนก็ย่อมทำชั่ววันยังค่ำ ยิ่งไปอยู่ห่างไกลสายตาของผู้มีอำนาจก็ยิ่งแสดงอำนาจบาทใหญ่ข่มเหงรังแกประชาชนมากขึ้นไปอีก

    ข้าราชการนั้นจึงไม่ได้ถูกลงโทษแต่กลายเป็นกรณีปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยจระเข้ลงน้ำ โดยประชาชนภาคใต้เป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษแทน จึงเป็นผลให้คนภาคใต้มีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีต่อข้าราชการ และตกทอดต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

    ผิดกันไกลกับหลักคิดและวิธีการปกครองของจีนในสมัยโบราณ ซึ่งจะถือหลักการว่าการจะแต่งตั้งขุนนางคนใดไปทำหน้าที่ในแดนไกลจะต้องคำนึงถึงหลักการสามประการ คือ ภายในระยะเวลาอย่างน้อย 15 ปี จะไม่คดโกงหักหลังผู้ใหญ่ในเมืองหลวงอย่างหนึ่ง ผู้นั้นต้องเป็นผู้มีสติปัญญาความรู้เหมาะสมกับท้องที่ที่จะให้ไปทำหน้าที่อย่างหนึ่ง และเป็นผู้มีน้ำใจเมตตาอาทรต่ออาณาประชาราษฎรอีกอย่างหนึ่ง ครบสามอย่างนี้แล้วจึงจะแต่งตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่แดนไกลได้

    ศิษย์วัดคณะหนึ่งเป็นศิษย์วัดสหประชาชาติเพราะมาจากหลายภาคหลายจังหวัด ดังนั้นเมื่อมาสำนักอยู่ในคณะเดียวกัน ได้รู้จักมักคุ้นกันจึงทำให้ต่างคนต่างได้เรียนรู้ถึงการคบหาเพื่อนต่างถิ่น และได้รู้จักวิธีที่จะเรียนรู้อุปนิสัยใจคอของคนแต่ละถิ่นไปพร้อม ๆ กัน นี่นับว่าเป็นอานิสงส์ของการอยู่ร่วมกันกับคนต่างหมู่ต่างเหล่าอย่างหนึ่ง

    การไปช่วยเขาทำพระสมเด็จทำให้ผมได้มีโอกาสรู้จักกับเด็กวัดรุ่นพี่คนสำคัญที่สำนักอยู่ที่กุฏิใหญ่ของหลวงปู่นาคที่ชื่อว่าโอฬารซึ่งเป็นคนภาคอีสาน และมีฐานะเป็นลูกหลานห่าง ๆ ของหลวงปู่

    ผมได้รู้กิตติศัพท์ของโอฬารมาจากลุงต๋อมก่อนแล้วว่าโอฬารนี้เป็นคนสำคัญเพราะได้สร้างพระสมเด็จโอฬารขึ้นมาจำนวนมาก

    พระสมเด็จโอฬารก็คือพระสมเด็จที่เด็กวัดคณะหนึ่งซึ่งมีโอฬารเป็นลูกพี่ใหญ่จัดทำขึ้น โดยอาศัยช่องว่างของการบริหารจัดการในการทำพระสมเด็จเป็นโอกาสในการจัดทำ
    คือเมื่อมีการพิมพ์พระสมเด็จของทางวัด ศิษย์วัดกลุ่มนี้ก็จะเอาปูนปลาสเตอร์ผสมผงอะไรต่อมิอะไรให้คล้าย ๆ กับผงพระสมเด็จที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ ครั้นพอพิมพ์พระสมเด็จของวัดเสร็จแล้วก็ถือโอกาสนั้นนำผงปูนปลาสเตอร์ที่ผสมขึ้นเองพิมพ์พระสมเด็จเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง เป็นแต่ว่าไม่ได้เข้าพิธี ไม่ได้ผ่านการปลุกเสกของหลวงปู่นาคและไม่ได้ผ่านกรรมวิธีใด ๆ ในการปลุกเสกพระตามแบบฉบับของวัดระฆังเลย

    แต่ถ้าดูพุทธลักษณะก็จะเหมือนกับพระสมเด็จวัดระฆังของแท้ทุกประการเพราะพิมพ์มาจากเบ้าเดียวกัน โดยคนพิมพ์คณะเดียวกัน เป็นแต่ไม่ได้ปลุกเสกเท่านั้น และความที่ไม่ได้ปลุกเสกนั้นไม่สามารถมองเห็นด้วยสายตาเปล่าได้

    คณะศิษย์วัดกลุ่มนี้ได้แอบจำหน่ายพระสมเด็จดังกล่าวแก่ผู้มีจิตศรัทธาทั้งที่มาขอเช่าที่วัด คือหากบังเอิญขณะนั้นไม่มีพระผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ในเรื่องนี้ก็จะนำพระชุดนี้ออกจำหน่าย หรือไม่ก็นำออกไปจำหน่ายภายนอก

    นับเป็นวิธีทำมาหากินที่ลงทุนน้อย กำไรมาก และอาจเป็นต้นแบบของการพุทธพาณิชย์ในยุคปัจจุบันนี้ก็ได้ แต่คงจะต่างกับการพุทธพาณิชย์ในทุกวันนี้เพราะพระสมเด็จโอฬารนั้นทำตามโอกาสสะดวก และจำนวนไม่มาก ไม่เหมือนกับยุคปัจจุบันที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสันถึงขนาดลงโฆษณาจำหน่ายกันทางสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง

    เคยวิตกกังวลอยู่เหมือนกันว่าบรรดาผู้มีความศรัทธาในพระสมเด็จพระวัดระฆังหากพลั้งพลาดได้พระสมเด็จโอฬารไปแล้วจะเป็นประการใด เพราะห่วงใยว่าท่านเหล่านั้นจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามที่มีความศรัทธา

    แต่ในที่สุดก็เชื่อว่าอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ของพระสมเด็จวัดระฆังนั้นมีมาแต่เหตุสามสถาน คือ บารมีของเจ้าประคุณสมเด็จอย่างหนึ่ง พลังจิตที่เกิดจากการปลุกเสกอย่างหนึ่ง และจิตใจที่ประกอบด้วยศรัทธาและกุศลของผู้มีจิตศรัทธาอีกอย่างหนึ่ง

    พระสมเด็จวัดระฆังของแท้ย่อมประกอบด้วยคุณลักษณะทั้งสามประการ แต่พระสมเด็จโอฬารคงขาดในประการที่สองคือพลังจิตจากการปลุกเสก แต่เมื่อผู้ครองพระสมเด็จนั้นหมั่นท่องหมั่นสวดพระคาถาชินบัญชรก็จะเพิ่มพูนพลังจิตขึ้นได้เอง และความศรัทธานั้นจะน้อมนำเอาบารมีเจ้าประคุณสมเด็จสื่อมายังองค์พระ และทำให้พระนั้นทรงความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้เหมือนกัน

    มีตัวอย่างให้เห็นเป็นจำนวนมากว่าพระสมเด็จโอฬารหรือพระสมเด็จที่แม้เป็นของปลอมแต่ก็ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ปรากฏให้เห็นหลายหลากกรณีนักนับแต่อดีตเป็นต้นมาถึงปัจจุบันนี้

    โอฬารนี้มีลักษณะเป็นหัวโจกคนจริง ๆ เหตุที่เรียกว่าหัวโจกโดยไม่เรียกว่าหัวหน้าก็เพราะว่าหัวหน้ากับหัวโจกนั้นต่างกัน คนเป็นหัวหน้าคนต้องรู้จักออกความคิด รู้จักใช้คนให้เหมาะสมสอดคล้องกับบุคลิกลักษณะความสามารถ รู้จักถนอมน้ำใจคน รู้จักรักษาหน้าตาผู้อื่น และมีคุณธรรมประจำตัว

    แต่คนที่เป็นหัวโจกนั้นมักไม่ค่อยมีคุณธรรมของความเป็นหัวหน้าคน แต่จะอาศัยอำนาจบางอย่างไม่ว่าอำนาจตามกฎหมาย หรืออำนาจนอกกฎหมาย หรืออำนาจที่อาศัยความเป็นวงศาคณาญาติกับผู้มีอำนาจแล้วทำตัวอยู่เหนือคนอื่น และคนอื่นซึ่งจำนนต่ออำนาจที่ว่านั้นก็ยอมตัวให้ใช้สอย ทั้งๆ ที่อาจไม่มีความนับถือศรัทธาต่อคนที่เป็นหัวโจกเลยแม้แต่นิดเดียว

    การที่ศิษย์วัดกลุ่มนี้ทำพระปลอมขึ้นจำหน่ายย่อมได้ทุนรอนเป็นจำนวนมาก เกินฐานะของเด็กวัด ดังนั้นจึงทำให้เด็กวัดกลุ่มนี้มีฐานะและความเป็นอยู่ดีกว่าเด็กวัดกลุ่มอื่นหรือเด็กวัดคณะอื่น บางคนสามารถเก็บเงินได้จำนวนมาก เป็นทุนรอนนำไปศึกษาต่อถึงต่างประเทศก็ยังมี

    พระสมเด็จแท้ที่หลวงปู่นาคทำนั้นเป็นการทำเพื่อหาเงินมาบูรณะพัฒนาวัดระฆังซึ่งเสื่อมทรุดต่อเนื่องมาแต่อดีต ศาสนสถานทั้งหลายภายในวัดทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด จะมัวรอเงินจากผ้าป่ากฐินศาสนสถานก็คงพังพินาศหมดสิ้น เพราะเหตุนี้หลวงปู่นาคท่านจึงคิดอ่านทำพระสมเด็จขึ้นเป็นอภินันทนาการแก่ผู้ที่มาทำบุญกับวัด
    พระที่หลวงปู่นาคปลุกเสกเสร็จแล้วได้มอบไว้แก่พระลูกศิษย์ซึ่งจะทำบัญชีจำหน่ายสำหรับผู้ใจบุญที่มาทำบุญกับวัด โดยหลวงปู่นาคมิได้จับต้องถือเงินหรือเก็บเงินไว้ด้วยองค์ท่านเองเลย

    ผงที่เหลือจากการทำพระแต่ละคราวก็จะเก็บใส่กะละมังไว้ แล้วขนขึ้นไปไว้บนกุฏิหลวงปู่นาค ซึ่งท่านมักจะวางไว้ข้างๆ โต๊ะหมู่บูชา

    พระที่ผ่านการทำและผ่านการปลุกเสกดังกล่าวนี้หากถึงคราววันมหาปวารณาช่วงเข้าพรรษาหลวงปู่ก็มักจะให้พระลูกศิษย์นำไปไว้ในโบสถ์ วางไว้หน้าพระประธาน โดยมีการนับจำนวนอย่างเข้มงวด ครั้นพ้นวันมหาปวารณาแล้วหลวงปู่นาคก็ให้นำพระเหล่านั้นกลับไปเก็บไว้ที่กุฏิของท่านดังเก่า ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะหลวงปู่นาคท่านรู้กรรมวิธีว่าวันเวลาและการใดที่จะอาศัยพลังแห่งความบริสุทธิ์และพลังอำนาจจิตของคณะสงฆ์เข้าเสริมพลังจิตที่ท่านเจ้าคุณได้ปลุกเสกไว้แต่เดิม

    พระสมเด็จวัดระฆังที่ผ่านกระบวนการจัดทำและกระบวนการปลุกเสกตามตำรับที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งยุคสมัยเจ้าประคุณสมเด็จนั้นจึงเป็นที่หวังและเป็นที่วางใจกันโดยทั่วไปว่าทรงไว้ซึ่งพุทธคุณ มีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถปกป้องคุ้มครองภยันตรายทั้งปวงได้ และเป็นเครื่องส่งเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้มีความศรัทธาตลอดมา

    อาจกล่าวได้ว่าการทำพระสมเด็จโอฬารคือการปลอมพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นแรก ๆ และยังมีการทำปลอมกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ เป็นแต่กรรมวิธีทำให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่นไปทำพระสมเด็จมาจากไหนก็ไม่รู้แล้วลงโฆษณาอ้างว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆัง ปลุกเสกที่วัดระฆัง

    ความจริงการปลุกเสกที่ว่าปลุกเสกที่วัดระฆังนั้นไม่ได้ผ่านกระบวนการปลุกเสกตามแบบวัดระฆังเลย เพราะเพียงแต่ขนพระใส่รถหกล้อหรือรถกระบะมาจอดไว้ที่นอกพระอุโบสถวัดระฆัง แล้วนิมนต์พระจากที่ไหนไม่รู้มานั่งสวดกันบนรถอย่างหนึ่ง หรือนิมนต์พระวัดระฆังนั่นแหละโดยไม่ได้บอกกล่าวว่าเป็นการปลุกเสกพระ แต่ทำทีเป็นทำบุญเลี้ยงพระ เมื่อเลี้ยงเสร็จแล้วพระก็ยะถา สัพพี ให้พรตามธรรมเนียม ในช่วงนั้นเองก็จะมีการต่อสายสิญจน์มาที่รถแล้วถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน คนที่เขาไม่รู้ก็พากันหลงเชื่อว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆัง ปลุกเสกที่วัดระฆัง

    การทำพระสมเด็จวัดระฆังปลอมขึ้นในลักษณะที่ว่านี้มีมากมายหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้ปัจจุบันนี้ทางวัดต้องห้ามการมากระทำการแบบนี้ เพราะถือเป็นการหลอกลวงมหาชนอย่างหนึ่งและทำให้วัดระฆังเสียหายต่อชื่อเสียงอีกอย่างหนึ่ง

    แต่เป็นเรื่องแปลกที่พระสมเด็จปลอมนั้นหากจะดูให้ดีแล้วก็จะดูได้ง่ายว่าไม่เหมือนกับพระสมเด็จวัดระฆังที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นพระสมเด็จวัดระฆังที่ทำขึ้นในครั้งไหน ๆ
    สาเหตุอาจมาจากแบบพิมพ์พระ ซึ่งของวัดระฆังนั้นจะใช้ช่างมีฝีมือจากช่างบ้านช่างหล่อ ซึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์ถือว่าเป็นหมู่หนึ่งในช่างสิบหมู่ที่มีชื่อเสียง และถ่ายทอดสืบต่อกันมา แบบพิมพ์พระสมเด็จที่แกะโดยช่างมีฝีมือจากช่างบ้านช่างหล่อตลอดมานั้นจะมีลักษณะที่องอาจสง่างามเด่นชัด ผิดแผกจากแบบพิมพ์ที่แกะจากที่อื่น ๆ

    เคยมีการสอบถามช่างแกะแบบพิมพ์พระบ้านช่างหล่อว่าเคยมีนักปลอมพระที่อื่นมาจ้างให้แกะแบบพิมพ์บ้างหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่ามีเหมือนกัน และช่างเองก็รู้สึกแปลกประหลาดใจว่าถึงจะแกะแบบพิมพ์อย่างไรก็ไม่เหมือน ไม่มีลักษณะเด่นเหมือนกับแบบพิมพ์พระที่ทางวัดมาว่าจ้างให้แกะเลย นี่จะว่าเป็นอภินิหารของเจ้าประคุณสมเด็จอีกอย่างหนึ่งก็ว่าได้

    ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแกะแบบพิมพ์จากแหล่งอื่นซึ่งไม่มีวันที่จะแกะให้เหมือนกับแบบพิมพ์พระสมเด็จที่ใช้สำหรับทำพระสมเด็จวัดระฆังของแท้ได้เลย.
     
  8. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 27. พระคาถามหาสูญ

    พระสมเด็จวัดระฆังรุ่นแรก ๆ ที่ทำขึ้นตั้งแต่สมัยเจ้าประคุณสมเด็จยังมีชีวิตอยู่กับพระสมเด็จวัดระฆังที่ทำในชั้นหลัง ๆ นั้น ถึงแม้ว่าวันเวลาจะห่างกันนับร้อยปีแต่ก็ยังคงมีพุทธลักษณะที่สง่างดงามน่านับถือศรัทธาและเป็นแบบอย่างเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน ดูด้วยตาก็สามารถเห็นถึงความแตกต่างกับพระสมเด็จของวัดอื่น ๆ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากเลย

    เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี นั้นเป็นพระมหาเถระที่ทรงพรหมวิหารธรรมระดับสูงสุด ทรงอิทธิปาฏิหาริย์เป็นที่ประจักษ์ และยึดมั่นในพระรัตนตรัย ไม่เคยที่จะยกฐานะของเจ้าประคุณขึ้นเสมอกับพระรัตนตรัยเลย

    แม่ชีเฒ่าเคยเล่าให้ฟังว่าเจ้าประคุณสมเด็จทำพระสมเด็จโดยถือพระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังเป็นต้นแบบ ตลอดยุคสมัยของเจ้าประคุณไม่เคยมีปรากฏว่าได้ทำพระสมเด็จโดยใช้รูปลักษณะของเจ้าประคุณสมเด็จเป็นต้นแบบเลย ดังนั้นพระสมเด็จวัดระฆังที่ทำเป็นรูปของเจ้าประคุณสมเด็จจึงเป็นพระเครื่องที่ทำขึ้นในชั้นหลังจากที่เจ้าประคุณสมเด็จดับขันธ์แล้ว

    คนที่เคยอยู่วัดระฆังไม่ว่ารุ่นไหน ๆ ล้วนรู้และเชื่อกันเช่นนี้ทั้งนั้น แต่ก็ยังมีการอวดอ้างว่าพระสมเด็จที่เป็นรูปเจ้าประคุณสมเด็จเป็นของเก่าแก่แท้จริงให้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งผมก็มิได้ขัดข้องอะไร เพราะอย่างไรเสียการแขวนรูปเจ้าประคุณสมเด็จก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นเครื่องเตือนสติให้ละกรรมชั่ว ทำแต่กรรมดีเหมือนกัน

    แนวความคิดในการทำพระสมเด็จที่อาศัยรูปแบบของพระพุทธรูปเป็นต้นแบบ เป็นความนิยมที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล เพิ่งมาเพี้ยนเอาเมื่อไม่เกินห้าสิบปีมานี้ ที่พระสงฆ์บางรูปโดยเฉพาะลูกศิษย์ที่คิดอ่านยกย่องอาจารย์ตนให้เสมอกับพระพุทธเจ้าหรือใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้า ทำรูปพระสงฆ์ขึ้นเป็นพระเครื่องในรูปแบบต่าง ๆ กัน ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างรูปบูชาให้มีการยึดมั่นถือมั่นในครูบาอาจารย์เสมอด้วยพระรัตนตรัย

    เจ้าประคุณสมเด็จท่านเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า ดังนั้นในทัศนะของเจ้าประคุณจึงไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ทรงความศักดิ์สิทธิ์ทรงอานุภาพเสมอด้วยพระพุทธเจ้า เหตุนี้ท่านจึงใช้รูปแบบของพระพุทธรูปคือพระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังเป็นรูปแบบของพระสมเด็จ และพระประธานในโบสถ์วัดระฆังนั้นก็เป็นพระพุทธรูปที่มีประวัติเก่าแก่ยาวนานจนขณะนี้ก็ยังสืบสาวไปไม่ถึงต้นตอว่ามีมาแต่ครั้งไหน มีพุทธลักษณะงดงามสง่าน่าศรัทธา และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์ สำแดงนิมิตต่าง ๆ ให้เห็นเป็นนิตย์

    สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็มีความศรัทธาในพระประธานวัดระฆัง แต่ยังหาหลักฐานที่พระองค์ทรงพบเห็นนิมิตอันเกิดแต่พระประธานวัดระฆังไม่พบ พบก็แต่กรณีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งพระองค์ท่านมีความศรัทธาในพระประธานวัดระฆังเป็นอันมาก ทรงเสด็จไปวัดระฆังเสมอ ๆ โดยเฉพาะในเทศกาลทอดผ้าพระกฐิน

    และปรากฏความจากพระโอษฐ์ของพระองค์เองว่าทรงพบเห็นนิมิตอันเกิดแต่พระประธานวัดระฆัง ดังที่ทรงตรัสว่าทุกครั้งที่เสด็จเข้าไปในพระอุโบสถ พระประธานในโบสถ์ยิ้มให้กับพระองค์ ดังนั้นเมื่อทรงอยู่ในวัยพระชราภาพจึงมีกระแสพระราชดำรัสตรัสสั่งว่าพระนพปฎลเศวตฉัตรที่กั้นพระเมรุมาศเมื่อสิ้นการพระราชพิธีพระบรมศพแล้วให้นำไปถวายพระประธานวัดระฆัง

    จึงเป็นเหตุให้ฉัตรที่กั้นพระประธานวัดระฆังเป็นฉัตรเก้าชั้นซึ่งเป็นเครื่อง อิสริยยศของพระมหากษัตริย์ แตกต่างจากฉัตรที่กั้นพระประธานในโบสถ์วัดอื่น ๆ ซึ่งมีห้าชั้นหรือเจ็ดชั้นเป็นพื้น ยกเว้นก็แต่เฉพาะวัดหลวงสำคัญที่ทรงมีพระราชศรัทธาเป็นการเฉพาะ จึงพระราชทานฉัตรเก้าชั้นกางกั้นพระประธาน

    ครั้นถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชศรัทธาในพระประธานวัดระฆังเป็นอันมาก จนปรากฏว่าครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาพระราชทานผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆัง ได้ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าใกล้ชิดว่า “ไปวัดไหน ไม่เหมือนมาวัดระฆัง พอเข้าประตูโบสถ์พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที” ด้วยเหตุนี้จึงทรงถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตน์ราชวราภรณ์และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกแด่พระประธานองค์นี้เป็นพิเศษ

    เจ้าประคุณสมเด็จทรงภูมิธรรมในพระพุทธศาสนาที่สูงมาก ดังนั้นจึงอยู่ในวิสัยที่จะได้พบเห็นสัมผัสนิมิตมากหลายที่เกิดแต่ความศักดิ์สิทธิ์ของพระประธานวัดระฆัง ดังนั้นเมื่อกระทำพระสมเด็จจึงได้ถือเอาต้นแบบจากพระประธานวัดระฆัง เป็นรูปแบบองค์พระนั่งท่าสมาธิอยู่บนชุกชีสามชั้น มีลักษณะมั่นคงแน่นหนา และหากวัดความกว้างของช่วงเข่าเทียบกับความสูงจากพระหัตถ์ถึงพระโอษฐ์ก็จะปรากฏชัดเจนว่าช่วงระยะเกินพระโอษฐ์ไปถึงพระนาสิกซึ่งเป็นพุทธลักษณะที่เชื่อกันว่าผู้บูชาจะมีทรัพย์สินเงินทองเหลือกินเหลือใช้

    กรอบที่ครอบองค์พระนั้นคือรูปจำลองของระฆังเพื่อให้มีความหมายว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังนั่นเอง ทำให้ได้เห็นถึงจินตนาการที่ลึกซึ้งจริง ๆ

    ผมสำนักอยู่ในวัดระฆังนานวันเข้าวัตรปฏิบัติแบบเด็กวัดก็คุ้นเคยกับตัวมากขึ้นทุกที นอกจากสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนแล้ว ผมก็พยายามฝึกฝนทำสมาธิจากที่มีพื้นฐานมาแต่เดิม

    ยามเมื่อน้อยนั้นผมอยู่กับก๋งและยาย ซึ่งยายเป็นคนแก่วัด คุ้นอยู่กับวัดตั้งแต่วัยสาวจนกระทั่งเข้าสู่วัยชรา เมื่อสาวนั้นจะถือศีลห้าเป็นนิตย์ และถือศีลแปดทุกวันพระ วันโกน แต่พอแก่ตัวเข้าก็ถือศีลแปดเป็นนิจศีล และได้ฝึกฝนสมาธิกับพระเถระต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในภาคใต้หลายสำนัก หนักเข้าก็พาแม่ผมไปฝึกสมาธิด้วย ดังนั้นเวลายายจะไหว้พระสวดมนต์ประจำวันจึงมักจะเรียกผมเข้าไปไหว้พระสวดมนต์ แล้วสอนให้ทำสมาธิ ผมจึงมีพื้นฐานนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ

    แต่ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้รู้เป้าหมายบั้นปลายว่าทำไปเพื่ออะไร เนื้อแท้ที่เป็นจริงก็คือทำตามที่ยายสั่งยายสอนนั่นเอง พอเป็นวัยรุ่นเข้าไปสำนักอยู่กับพระอาจารย์ซึ่งชำนาญการปฏิบัติทางจิตในพระพุทธศาสนา เป็นพระมหาเถระที่ทรงภูมิธรรมสูง เป็นที่เลื่องลือนับถือทั่วไป จึงได้ฝึกฝนการทำสมาธิเพิ่มขึ้น

    แรก ๆ ผมนับถือพระอาจารย์ก็เพราะนับถือตามชาวบ้าน พอรู้ความมากขึ้นก็นับถือมากขึ้นเพราะเห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์อันประจักษ์แก่ตาเป็นประจำ คนบ้านนอกยามถูกงูกัด หากมาถึงวัดยังไม่ทันสิ้นลมก็เป็นอันมั่นใจได้ว่ารอดตายแน่ เพราะพระอาจารย์มีวิธีการรักษาพิษงูร้ายตั้งแต่งูเห่า งูบองหลา งูจงอาง ได้ชะงัดนัก

    ทุกครั้งที่มีผู้พาคนถูกงูกัดมาถึงวัดพระอาจารย์ก็จะเอาว่านชนิดหนึ่งวางทาบลงบนปากแผล ในขณะเดียวกันก็จะเอาปูนแดงขีดวงเหนือแผลขึ้นไปประมาณสักหนึ่งคืบ แล้วพร่ำภาวนาอะไรก็ไม่รู้ สักพักหนึ่งก็จะเห็นเลือดสีดำไหลออกมาจากปากแผล เลือดสีดำไหลออกมาจนเป็นสีแดงเมื่อใดก็เป็นอันว่าพิษงูหมดสิ้นลง ณ บัดนั้น ดังนั้นใครที่ถูกงูกัดจึงต้องพยายามมาถึงวัดให้ได้ก่อนสิ้นลม หากชะตายังไม่สิ้นก็จะมาถึงตามกำหนดหมาย แต่ครั้นความตายมาถึงก็จะสิ้นลมก่อนที่จะมาถึงท่าเรือหน้าวัด

    คนที่เป็นฝีธรรมดาตามเนื้อตัว พระอาจารย์ก็จะใช้แต่เพียงปูนแดงซึ่งเป็นปูนกินกับหมากวงวนไว้รอบฝี แล้วเสกเป่า 2-3 ที หากฝีไม่ทันเข้าหนองก็เป็นอันยุบไปเลย แต่ถ้าฝีเป็นหนองแล้วหนองนั้นก็จะแห้งไปเอง เป็นวิธีรักษาที่ไม่ต้องเจ็บปวดอะไรเลย

    ต่อมาภายหลังผมจึงได้เล่าเรียนมนต์บทนี้จากพระอาจารย์ ซึ่งก็คือมนต์มหาสูญ ใช้สำหรับในการสูญฝี บทพระคาถามีว่า “นะสูญ โมสูญ พุธสูญ ทาสูญ ยะสูญ สัพพะฝีทั้งมูลสูญด้วยนะโมพุทธายะ

    พระอาจารย์สอนว่าการสูญฝีใช้พระคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ ซึ่งหมายถึงพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ที่อุบัติขึ้นแล้วในโลกและที่จะอุบัติเป็นพระศรีอาริยเมตตรัยในพุทธันดรต่อไป พระคาถานี้นอกจากจะใช้สูญฝีแล้วยังจะใช้รักษาโรคร้ายได้หลายอย่างที่เกิดแต่การอักเสบในตัวเองไม่ว่าจะบังเกิดขึ้นในส่วนใดของร่างกาย ถ้าเป็นฝีภายนอกท่านว่าให้ใช้ปูนแดงวงรอบฝีไว้ ในขณะที่เอาปูนแดงวงรอบฝีนั้นก็ให้ภาวนาพระคาถาบทนี้ แต่ถ้าเป็นฝีภายในก็ต้องใช้กำลังอำนาจจิตและสมาธิที่เข้มข้นมากขึ้น

    เมื่อผมมาสำนักอยู่วัดระฆังแล้ว วันหนึ่งเข้าไปไหว้เจ้าประคุณสมเด็จในวิหาร บังเอิญเห็นแม่ชีเฒ่ากำลังสูญฝีให้กับชาวบ้านที่มาไหว้พระด้วยวิธีการเอาปูนแดงวงรอบฝี ซึ่งเป็นอย่างเดียวกันกับที่พระอาจารย์เคยทำ ผมจึงได้รู้ว่าแม่ชีเฒ่านี้มีภูมิธรรมและกำลังอำนาจจิตที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่าพระภิกษุหลายรูปเลย ถ้าเป็นหนังสือกำลังภายในก็คล้าย ๆ กับหลวงจีนหรือแม่ชีที่เฝ้าหอคัมภีร์ที่ดูรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนตาแก่แม่เฒ่าธรรมดา ๆ แต่เบื้องลึกจริง ๆ กลับมีกำลังภายในและวิชชายุทธ์ที่สูงล้ำฉะนั้น

    ผมเห็นแม่ชีรักษาฝีด้วยวิธีการเช่นนั้นก็สงสัย จึงไต่ถามแม่ชีว่าสูญฝีด้วยมนต์ใด แม่ชีได้ยินผมถามโดยใช้คำว่าสูญฝีก็พูดสวนมาในทันทีว่า ไอ้หนูนี่รู้เรื่องไม่เบาเลย ยายสูญฝีด้วยพระคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ แล้วถามว่าผมรู้บทพระคาถานี้หรือไม่ ผมจึงบอกเล่าให้ฟังว่าเคยร่ำเรียนมาแต่สำนักพระอาจารย์ แม่ชีเฒ่าก็บอกว่าเป็นพระคาถาบทเดียวกัน

    แม่ชีหลับตาพริ้มลงครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวกับผมด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลยิ่งนักว่า เจ้าหนูนี่เป็นคนโชคดีมีวาสนา เป็นศิษย์มีครู ท่านเป็นผู้เรืองวิทยาคมแก่กล้ายิ่งกว่ายายหลายเท่าตัว บรรลุถึงภูมิธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็ควรจะหมั่นเพียรเรียนวิชาจากท่านให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จะได้นำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ในวันหนึ่งข้างหน้า

    แม่ชีเฒ่ากล่าวความสืบไปสอดคล้องต้องเป็นอย่างเดียวกันกับที่พระอาจารย์เคยบอกว่าพระคาถาบทนี้สามารถรักษาฝีในตัวได้ด้วยแต่ต้องใช้สมาธิจิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะฝีในท้อง ฝีในทรวงอก ฝีตามลำคอ หรือบริเวณท้องน้อย แม่ชีเฒ่าว่าการสูญฝีในกายต้องใช้เท้าเหยียบหรือไม่ก็ต้องใช้ฝ่ามือทาบ อาการฝีลักษณะนี้ปัจจุบันถือกันว่าเป็นโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งทรวงอก มะเร็งในท้อง หรือมะเร็งภายในลำคอ

    ครั้นผมได้ยินว่าพระคาถามหาสูญสามารถใช้สูญฝีภายในกายโดยวิธีอันแม่ชีได้กล่าวดังนั้น จึงถามว่ายายเคยรักษาฝีแบบนี้หายมาบ้างหรือไม่ แม่ชีเฒ่าก็ว่าอันฝีในกายนั้นมีอยู่สองลักษณะ ลักษณะหนึ่งเป็นผลจากการใช้กรรมเวร หากเจอผู้มีความรู้รักษาก็หาย ไม่เจอผู้มีความรู้รักษาก็ตาย

    อีกลักษณะหนึ่งเป็นฝีในกายเพราะเกิดจากเงื้อมมือของพญามัจจุราชที่มาคร่าเอาชีวิตตามอายุขัยของคน ถึงใครจะรักษาก็ต้องตาย ดังนั้นใครเป็นโรคแบบนี้มาให้ยายรักษา ยายก็จะต้องดูก่อนว่ารักษาแล้วหายหรือไม่ ถ้ารู้ว่าไม่หายก็จะไม่รักษาให้ แต่ถ้ารู้ว่าหายก็จะรักษาให้

    ผมจึงถามว่าแล้วยายรู้ได้อย่างไรว่าจะหายหรือไม่หาย แม่ชีเฒ่าก็ตอบว่ายายมีวิธีที่จะรู้ของยาย การตอบของแม่ชีเฒ่าลักษณะนี้ผมจึงคาดหมายได้ว่าภูมิธรรมและสมาธิจิตของแม่ชีเฒ่าน่าจะได้ฌานสี่คือถึงซึ่งจตุตถฌานจึงสามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ และสามารถที่จะหยั่งรู้เหตุการณ์ในอดีตหรืออนาคตได้ ผมจึงมีความเคารพเลื่อมใสแม่ชีเฒ่าเป็นอย่างยิ่งด้วยประการฉะนี้

    จากคำพูดของแม่ชีเฒ่าเมื่อนึกย้อนไปถึงพระอาจารย์ที่เคยเห็นท่านเหยียบคนที่หน้าท้องบ้าง ที่คอบ้าง ที่ลำตัวบ้าง เว้นแต่ในกรณีเป็นสตรีก็จะเอาหยวกกล้วยพาดไปยังจุดที่เจ็บปวด แล้วท่านก็เหยียบท่อนกล้วยที่ไกลออกมาจากตัวของผู้เจ็บ จึงเข้าใจได้ว่านั่นเป็นลักษณาการรักษาฝีภายในกายหรือที่ปัจจุบันนี้เรียกว่าโรคมะเร็งนั่นเอง เหตุนี้ผมจึงคาดหมายว่าภูมิธรรมของพระอาจารย์ที่บ้านนอกก็สูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง

    แต่ในยามเมื่อน้อยผมหาได้สนใจในวิธีการรักษาความเจ็บป่วยของผู้คนเท่าใดไม่ เพราะมัวแต่สนใจในปรากฏการณ์บางอย่างที่ประหลาดมหัศจรรย์ ทั้งที่ผมเห็นเองบ้าง ทั้งที่พระเณรหรือศิษย์วัดรุ่นพี่เล่าให้ฟังบ้าง

    เฉพาะที่เห็นเองก็คือการเดินทางกลับจากหมู่บ้านไปยังวัด เดินตามกันอยู่ดี ๆ แต่พอลับพุ่มไม้พระอาจารย์ก็หายไปแล้ว พอเดินมาถึงวัดก็ปรากฏว่าพระอาจารย์มาถึงวัดก่อนหน้าตั้งนานแล้ว เหตุการณ์แบบนี้ทั้งผม ทั้งพระเณรและศิษย์วัดอื่น ๆ รู้เห็นเป็นปกติทั่วไป

    แต่ที่ได้ฟังจากคำเล่าจากพระและเณรก็คือหลายครั้งหลายหนที่พระอาจารย์กลับจากบิณฑบาตรหรือกลับจากรับกิจนิมนต์โดยทางเรือ ซึ่งปกติพระอาจารย์จะนั่งอยู่กลางลำเรือเพรียวลำเล็ก ส่วนเด็กวัดหรือพระเณรจะนั่งท้ายเรือ บางครั้งก็มีพระเณรนั่งอยู่ที่หัวเรืออีกรูปหนึ่งช่วยกันพายเรือกลับวัด เวลาขากลับพอลับตาชุมชนพระอาจารย์ก็มักที่จะบอกให้พระเณรและเด็กวัดซึ่งพายเรือให้หลับตาลง เพียงครู่หนึ่งลืมตาขึ้นเรือก็มาถึงท่าหน้าวัดแล้ว

    ระยะทางจากชุมชนที่ไปบิณฑบาตรหรือรับกิจนิมนต์ค่อนข้างห่างไกลจากวัด ยิ่งเวลากลางคืนจะมืดสนิทและในลำคลองนั้นยังมีจระเข้ชุกชุมอีกด้วย.
     
  9. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 28. อานาปานสติวิหาร

    บางครั้งพระอาจารย์รับกิจนิมนต์ไปสวดศพตามหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งคลองหนึ่งเป็นที่ไกล ตอนขาไปก็อาศัยเรือชาวบ้านข้ามฟาก แต่พอขากลับเป็นเวลาดึกแล้ว เรือแจวเรือพายย่านนั้นก็ไม่มี หลายครั้งที่พระอาจารย์บอกแก่พระเณรเมื่อมาถึงชายคลองว่าวันนี้น้ำลงตื้นแล้วให้จูงชายจีวรเดินตามท่านไป กล่าวแล้วท่านก็จะถลกจีวรขึ้นเหนือเข่าเดินลุยน้ำข้ามคลอง พระเณรซึ่งตามไปงานก็ปฏิบัติตามท่านแล้วจูงชายจีวรเดินตามพระอาจารย์ข้ามคลองมายังอีกฝั่งหนึ่งได้เป็นที่อัศจรรย์

    ความจริงคลองหน้าวัดนั้นไม่ว่าเวลาน้ำขึ้น น้ำลง หรือเวลาไหน ๆ ก็ไม่เคยตื้นเพียงแค่หัวเข่าเลย แต่มีความลึกถึงขนาดเอาไม้ถ่อหยั่งก็ไม่ถึง เพิ่งมาตื้นเหลือสองวาเศษก็ไม่กี่ปีมานี้ พระเณรท่านก็รู้โดยทั่วกันว่าเกิดแต่พระอาจารย์แสดงฤทธิ์ให้ปรากฏ

    ผมได้ยินกิตติศัพท์จากพระเณรและศิษย์วัดเกี่ยวกับเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของพระอาจารย์ก็เกิดความศรัทธามากขึ้น ครั้นเข้ามาอยู่วัดได้ปรนนิบัติพระอาจารย์ใกล้ชิดขึ้น พระอาจารย์ก็ให้ความเมตตาให้การอบรมศึกษาในทุกทาง
    ท่านสอนว่าบรรดาวิชาอยู่ยงคงกระพันนั้นเป็นวิชานักเลง ถึงจะหนังเหนียวฟันไม่เข้ายิงไม่ออกแต่ก็ต้องเจ็บ หากเขาจับได้ก็มีวิธีทำให้ถึงตายได้ ท่านไม่ชอบวิธีการของนักเลง จึงสอนว่าให้เรียนวิชาแคล้วคลาดไว้จะดีกว่า เมื่อบวกด้วยวิชาเมตตามหานิยมแล้วก็จะเอาตัวรอดปลอดภัย และสามารถสร้างความสำเร็จในภายภาคหน้าได้

    ในขณะนั้นใจจริงผมอยากเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพันเพราะเป็นที่นิยมยกย่องกันของคนพื้นนั้นในยุคนั้น แต่พระอาจารย์ก็ชี้ให้ดูตัวอย่างของศิษย์วัดอีกสำนักหนึ่งซึ่งอยู่ที่ตำบลหัววัง สมภารวัดนั้นเรืองวิทยาคมแก่กล้านัก สอนสั่งจนลูกศิษย์อยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้า ยิงไม่เข้ากันทั้งนั้น แล้วก็กำเริบทำตัวเป็นโจรเที่ยวปล้นชิงราษฎร ในที่สุดตำรวจก็จับได้

    ตำรวจบ้านผมสมัยนั้นผิดกันกับตำรวจสมัยนี้ เพราะเขาทำตัวเป็นศาลเตี้ยเสียเอง เมื่อจับได้ไล่ทันว่าเป็นโจรระดับไอ้เสือเอาละวาแล้วก็มักจะประหารโดยไม่ต้องส่งตัวขึ้นอำเภอหรือไปศาล

    ศิษย์วัดตัวอย่างที่พระอาจารย์เล่าให้ฟังนั้นถูกตำรวจจับตัวได้แล้วฟันไม่เข้า ยิงไม่เข้า ตำรวจจึงเอาตัวไปถ่วงน้ำก็ยังไม่ตายเพราะรู้วิชาระเบิดน้ำเสียอีก แต่ในที่สุดตำรวจก็เอาไม้ไผ่สวนทวารจนทะลุมาถึงลำคอก็ถึงแก่ความตาย

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าถึงแม้จะเรืองวิชาอาคมแก่กล้าปานไหน แต่คนเราก็มีประตูอยู่ถึงเก้าทวารที่อาวุธหรือแม้ไม้ไผ่ก็สามารถทะลุทะลวงเข้าไปให้ถึงตายได้

    บางคนก็ถูกตำรวจมีวิชาสังหารเสียโดยวิชา ดังเช่นกรณีที่ศิษย์สมภารดังกล่าวคนหนึ่งซึ่งเป็นโจรระดับไอ้เสือเอาละวา มีชื่อเสียงในทางปล้นฆ่ากระฉ่อนทั้งภาคใต้ ในที่สุดก็ถูกขุนพันธรักษ์ราชเดชนายตำรวจมือปราบ ศิษย์เอกสำนักวัดเขาอ้อปราบเสียจนสิ้นชื่อ

    พระอาจารย์ยังเล่าให้ฟังอีกว่าศิษย์ร่วมสำนักของขุนพันธรักษ์ราชเดชเองบางคนที่ประพฤติตนเป็นโจรและมีวิชาอาคมแก่กล้าถึงขนาดล่องหนกำบังตนได้ แม้ไม่มีตำรวจคนไหนปราบปรามได้สำเร็จ แต่ในที่สุดทางราชการก็ได้สั่งให้ขุนพันธรักษ์ราชเดชศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันไปปราบปรามจนราบคาบ

    ผมได้เห็นตัวอย่างที่พระอาจารย์เล่าให้ฟังและเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ๆ ก็เห็นด้วยว่าไม่สมควรเรียนวิชาเช่นนั้นเลย เพราะวิชาเหล่านั้นเมื่อร่ำเรียนแล้วก็จะต้องปลุกเสกตัวเองตามวันเวลาที่กำหนดและต้องถือพรตหลายอย่าง แต่มักจะมีน้ำใจกำเริบไม่ยำเกรงกฎหมาย ที่สำคัญคือตั้งอยู่ในความประมาท ฝืนคำครู ลืมความดี กล้าทำชั่ว ในที่สุดตัวก็ต้องตาย

    ผมจึงเพียรร่ำเรียนวิชาแคล้วคลาดและวิชาเมตตามหานิยม โดยเฉพาะวิชาแคล้วคลาดนั้นเป็นวิชาที่ว่าด้วยมนต์บทหนึ่ง ซึ่งใช้ภาวนาในเวลาก่อนจะออกเดินทาง หรือจะลงว่ายน้ำ เพราะลำน้ำบ้านผมนั้นชุกชุมไปด้วยจระเข้ และผู้คนบ้านผมก็นิยมอาบน้ำ ว่ายน้ำ หรือลงเล่นน้ำในลำคลอง และเสี่ยงภัยที่จะถูกจระเข้งาบเอาไป จึงเป็นวิชาที่จำเป็นสำหรับคุ้มครองตัวเอง วิชาที่ว่านี้หากได้ภาวนาก่อนจะหลับนอนก็เป็นอันมั่นใจได้ว่าแม้คนคิดร้ายมาอยู่ใกล้ถึงตัวแล้วก็จะมองไม่เห็น หรือเห็นเป็นอย่างอื่นไป

    ผมนับถือศรัทธาพระอาจารย์ดังนั้นจึงได้ร่ำเรียนวิทยาคมที่สูงขึ้นไปโดยลำดับ พระอาจารย์ก็สอนว่าวิชาอาคมทั้งปวงนั้นหาได้ใช้มีผลเสมอกันทุกคนไม่ ขึ้นอยู่กับกำลังอำนาจของจิตว่าอยู่ในระดับไหน จึงทำให้ผมสนใจเรื่องการฝึกฝนอบรมจิตนับแต่นั้นมา ด้วยวาดหวังว่าเมื่อมีกำลังอำนาจของจิตเข้มแข็งแก่กล้าแล้วก็จะทำให้วิทยาคุณที่ร่ำเรียนมาทรงอานุภาพยิ่งขึ้น

    ความจริงในขณะนั้นผมยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก แต่เนื่องจากยุคนั้นหนังสือกำลังภายในเรื่องมังกรหยกเพิ่งแพร่หลายเข้ามายังเมืองไทย คนไทยอ่านหนังสือมังกรหยกติดกันงอมแงม ผมก็พลอยติดหนังสือมังกรหยกกับเขาด้วย ถึงเวลาหนังสือออกก็ไปคอยที่ท่าเรือตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อจะได้รับหนังสือมาอ่านก่อน และเพราะได้อ่านเรื่องมังกรหยกจึงสามารถเข้าใจได้ว่าวิชากระบวนท่าร่างกับพื้นฐานกำลังภายในนั้นไม่เหมือนกัน และต้องอาศัยเป็นปัจจัยเกื้อหนุนกัน

    ตัวอย่างเช่นก๊วยเจ๋งฝึกวิชากับผู้กล้าหาญทั้งเจ็ดแห่งแคว้นกังหนำมาช้านานก็ไม่มีความก้าวหน้าเพราะไม่มีรากฐานทางกำลังภายใน ต่อเมื่อได้พบกับเบ๊เง็กจินหยินหนึ่งในเจ็ดศิษย์รุ่นแรกของเฮ้งต้งเอี้ยงแห่งสำนักฉวนจินแล้ว ได้เรียนรู้วิชาหายใจและการฝึกปรือกำลังภายในแล้วจึงทำให้กระบวนท่าวิชาท่าร่างต่าง ๆ พัฒนารุดหน้าเข้มแข็งขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

    เพราะได้รู้ความแตกต่างและความสัมพันธ์ของวิชาท่าร่างกับพื้นฐานกำลังภายในจากหนังสือมังกรหยก จึงทำให้ผมเข้าใจได้โดยง่ายว่ามนต์และคาถาทั้งหลายก็เหมือนกับวิชาท่าร่างหรือเพลงกระบี่ ส่วนสมาธิจิตนั้นก็เหมือนกับพื้นฐานกำลังภายในที่ต้องจุนเจือเกื้อหนุนกันจึงจะสามารถเปล่งอานุภาพได้เต็มที่

    ผมได้ฝึกวิชาหายใจซึ่งในภายหลังจึงได้รู้ว่าเป็นหลักปฏิบัติอานาปานสติซึ่งเป็นพระสูตรบทสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสรรเสริญมาก เป็นหลักปฏิบัติที่เป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่เริ่มต้นฝึกใหม่ ๆ ไปจนถึงการบรรลุมรรคผลนิพพาน

    พระผู้มีพระภาคเจ้ามีปกติอบรมจิตหรือมีจิตตั้งอยู่ในวิหารธรรมที่เรียกว่าอานาปานสติวิหารนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังทรงเป็นพระกุมาร ครั้งหนึ่งตามเสด็จพระบิดาไปทอดพระเนตรเขาแรกนาแล้วเกิดเหตุมหัศจรรย์เป็นร่มเงาบังพระองค์ไว้ในขณะที่พระอาทิตย์ร้อนจ้าก็เพราะอำนาจแห่งอานาปาณสตินั้น

    ห้วงเวลาแห่งการตรัสรู้ก็ทรงดำเนินการตามขั้นตอนแห่งอานาปานสติ หลังตรัสรู้แล้วก็ทรงมีปกติอยู่ในวิหารธรรมที่ชื่อว่าอานาปานสติวิหารนั้น แม้ยามจะปรินิพพานก็ทรงเสด็จอยู่ในอานาปานสติวิหาร จนจิตเข้าสู่ปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌานแล้วย้อนปฏิโลมกลับมาอีกจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน

    ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าตลอดพระชนม์ชีพของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำรงอยู่ใน อานาปานสติวิหาร ซึ่งมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

    พระอาจารย์สอนผมให้ปฏิบัติอานาปาณสติภาวนาโดยที่ขณะนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอานาปานสติวิธี เพราะพระอาจารย์ไม่ได้บอกเรื่องราวทางทฤษฎี คงสอนแต่วิธีการหายใจ ให้มีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาว่าลมหายใจเป็นประการใด ซึ่งผมก็ได้สัมผัสกับความสงบในสมาธิมาตั้งแต่น้อยดังนี้ เป็นแต่ว่าการฝึกทำสมาธิของผมในขณะนั้นหาได้มุ่งหวังมรรคผลนิพพานแต่ประการใดไม่ หากมุ่งแต่หวังจะให้มนต์และคาถาที่ได้ร่ำเรียนมาทรงอานุภาพเท่านั้น

    แต่ถึงกระนั้นผลและอานิสงส์ของการได้ปฏิบัติอานาปานสติมาตั้งแต่น้อยก็ได้กลายเป็นอุปนิสัยติดตัวมา ครั้นมาสำนักที่วัดระฆังแล้วยามค่ำคืนไม่มีอะไรทำก็ฝึกทำอานาปานสติต่อไป ดีกว่าหายใจทิ้งเสียเปล่า ๆ ทำให้ได้ความสงบ ความร่มเย็น ตามประสาคนพลัดบ้านมาอยู่แดนไกล

    เพราะเหตุได้ฝึกฝนอบรมจิตและมีความเลื่อมใสศรัทธาในเจ้าประคุณสมเด็จเป็นที่สุดฉะนี้ ผมจึงมีความคิดว่าความปรารถนาที่จะใคร่ได้พระสมเด็จวัดระฆังรุ่นที่เจ้าประคุณสมเด็จได้ทำไว้ก็อาจจะใกล้ความเป็นจริงขึ้นมา และวิธีการที่จะได้มาคงไม่อาจซื้อหาได้ เพราะในขณะนั้นผมก็รู้แล้วว่าราคาค่าเช่าหาพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นแรก ๆ ก็แพงลิบลิ่วถึงขนาดแลกรถเบนซ์ได้เป็นคันหนึ่งแล้ว จึงเหลือแต่เพียงวิธีขอเอาจากเจ้าประคุณสมเด็จ ซึ่งต้องกระทำผ่านทางสมาธิ

    ผมคิดดังนั้นแล้วในวันหนึ่งจึงเข้าไปถามความจากแม่ชีเฒ่าว่าในวัดระฆังนี้น่าจะมีที่แห่งใดที่พอมีพระสมเด็จเก็บหรือฝังกรุอยู่บ้าง เป็นการถามซ้ำจากที่เคยถามแม่ชีมาครั้งหนึ่งแล้ว

    แม่ชีก็บอกดังเดิมดังที่เคยบอกว่ายายก็ไม่รู้ แต่ถ้าจะลองค้นคว้าแสวงหาดูก็น่าจะลองที่พระปรางค์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจุดหนึ่ง หรือบริเวณด้านหลังพระอุโบสถจุดหนึ่ง หรือที่เก้าอี้หินใต้ต้นโพธิ์ข้างศาลาแดงซึ่งเป็นศาลาธรรมที่รื้อย้ายมาจากพระราชวังเดิมเนื่องจากเป็นวิหารที่สมเด็จพระเจ้าตากสินเคยใช้ปฏิบัติธรรมมาก่อน แล้วมาประกอบขึ้นใหม่ที่วัดระฆังในบริเวณคณะสอง ตรงข้ามกับคณะหนึ่งอีกจุดหนึ่ง

    แม่ชีบอกด้วยว่าอีกที่หนึ่งก็คือบริเวณเจดีย์ซึ่งอยู่ติดกับรั้วโบสถ์ด้านทิศเหนือเรียงรายกันอยู่สามองค์

    ที่แม่ชีบอกความเช่นนั้นผมเข้าใจว่าแม่ชีคงจะรู้ได้ว่าที่ผมถามหาสถานที่ที่อาจมีพระสมเด็จรุ่นแรก ๆ บรรจุกรุหรือฝังอยู่เกิดจากสาเหตุอันใดและผมจะใช้วิธีใด คิดไปแล้วก็น่าเลื่อมใสแม่ชีเฒ่าที่อาจล่วงรู้ความคิดในใจผมในขณะนั้นได้

    ผมทราบความจากแม่ชีก็ดีใจ คิดใคร่จะลองหาหนทางที่จะได้พระสมเด็จรุ่นแรกโดยไม่ต้องเช่าหา ดังนั้นพอตกเวลากลางคืนผมจึงปลีกตัวออกไปนั่งสมาธิตามสถานที่ที่แม่ชีได้บอกไว้แห่งละหลาย ๆ หน

    แต่ละครั้งก่อนจะนั่งสมาธิผมก็ตั้งจิตอธิษฐานว่าแต่น้อยมามีความเลื่อมใสศรัทธาในพระสมเด็จวัดระฆังเป็นนักหนา ที่เคยได้มาถึงจะเป็นพระคะแนนรุ่นใหม่ ๆ ก็สูญหายไปแล้ว ดังนั้นจึงหวังปรารถนาจะได้พระสมเด็จวัดระฆังรุ่นแรก ๆ ที่เจ้าประคุณสมเด็จได้สร้างขึ้นไว้เป็นพระประจำตัวสักองค์หนึ่ง

    แต่เนื่องจากเป็นเด็กวัดจากแดนไกล ไม่มีฐานะเงินทองที่จะเช่าหาพระสมเด็จได้ดังปรารถนา จึงขอให้เจ้าประคุณสมเด็จเมตตามอบพระสมเด็จรุ่นเก่า ๆ ให้เป็นพระประจำตัวสักองค์หนึ่ง ขอบารมีเจ้าประคุณสมเด็จสำแดงฤทธิ์บอกกรุหรือที่เก็บที่ฝังพระสมเด็จให้ปรากฏในนิมิตด้วยเถิด

    ผมตั้งจิตอธิษฐานเช่นนี้ทุกครั้งก่อนที่จะเข้าสมาธิตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งแม่ชีได้บอกกล่าวไว้ เมื่อไม่ได้ผลจากที่หนึ่งผมก็ย้ายไปนั่งสมาธิเช่นเดียวกันตรงอีกที่หนึ่ง ผมกระทำเช่นนี้จนครบทุกแห่งทุกที่ตามที่แม่ชีบอก

    แต่ปรากฏว่าไม่ปรากฏร่องรอยหรือนิมิตใด ๆ ให้ได้รู้ได้เห็นเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความสงบ สงัด วิเวก แต่ก็มีความสุขจนบอกไม่ถูก มีความอิ่มเอิบ เบิกบาน ผ่องแผ้วเป็นปีติบังเกิดขึ้นในใจ และเป็นรสสัมผัสใหม่ในจิตใจที่ไม่เคยประสบพบมาแต่ก่อนเลย

    ในครั้งหลัง ๆ ผมรู้สึกว่าเมื่อเข้าสมาธิแล้วจิตมีความตั้งมั่นมากขึ้น ถึงแม้ไม่ปรากฏนิมิตใด ๆ ให้เห็น แต่ความตั้งมั่นนั้นหนักแน่นลึกซึ้งโปร่งโล่งว่างเบาและซาบซ่านอิ่มเอิบสุดประมาณ จนแมลง ยุง มดหรือความเปลี่ยวแห่งสถานที่ไม่มีอยู่ในความรู้สึกของผมอีกเลย

    นานวันเข้าผมก็รู้ว่าเป็นความพยายามที่เหลวเปล่า เนื่องจากทุกที่ทุกแห่งนั้นไม่ปรากฏร่องรอยและนิมิตว่ามีพระสมเด็จรุ่นเก่าบรรจุกรุหรือเก็บฝังอยู่สักแห่งเดียว ซึ่งคงเป็นดังที่แม่ชีได้บอกไว้ก่อนแล้วว่าไม่เคยรู้ว่ามีพระสมเด็จเก็บกรุหรือฝังไว้ในสถานที่เหล่านั้นเลย

    ใจหนึ่งนึกอยากจะโกรธแม่ชีที่บอกสถานที่เหล่านี้และทำให้เสียเวลา แต่พอนึกขึ้นมาได้ก็เข้าใจเจตนาที่แท้จริงที่แม่ชีบอกสถานที่หลายที่หลายแห่งในวัดระฆัง ซึ่งแต่ละแห่งนั้นล้วนแต่เป็นที่สงบ สงัด เปลี่ยวและวิเวก ซึ่งถือได้ว่าเป็นสถานที่อันเป็นสัปปายะหรือสถานที่ที่เกื้อกูลในการทำสมาธิ จึงรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของแม่ชียิ่งนัก.
     
  10. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">ตอนที่ 29. ปาฏิหาริย์อันลึกลับ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    การที่ใจหนึ่งนึกอยากจะโกรธแล้วสามารถรั้งความโกรธไว้ได้ทันท่วงทีในขณะนั้นหาใช่เหตุอื่นใดไม่ หากเกิดจากผลโดยตรงจากการฝึกสมาธิที่ทำให้สติอยู่กับเนื้อตัวและทันต่อความคิด จึงสามารถรั้งความโกรธเอาไว้ได้ทันท่วงที

    และใจหนึ่งที่รำลึกถึงคุณของแม่ชีก็เพราะได้คิดว่าแม่ชีก็รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีพระสมเด็จฝังกรุอยู่ในวัดระฆังเลย แต่ยังสู้อุตส่าห์บอกที่ทางให้หลายที่ซึ่งแต่ละที่ก็เป็นที่สงบวิเวกทั้งสิ้น จึงเท่ากับเป็นการแนะสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนอานาปานสตินั่นเอง

    ก็เพราะว่าการฝึกปฏิบัติอานาปาณสติภาวนานั้นจะให้ได้ผลดีก็ต้องมีสมรภูมิหรือชัยภูมิอันเลิศ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำไว้ว่าให้ไปที่เรือนว่างหรือป่าช้าหรือป่าหรือที่เปลี่ยวหรือถ้ำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นที่สงบสงัดวิเวก เกื้อกูลต่อการที่จิตจะรวมตัวตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว

    เมื่อสติตั้งมั่นแล้วจิตก็จะมีความบริสุทธิ์ผ่องแผ้วเพิ่มมากขึ้น จิตที่บริสุทธิ์ในขณะที่ครองสติไม่ขาดตอน ไม่เผลอเรอนั้น จิตนั้นย่อมอ่อนควรแก่การทำหน้าที่การงานของจิตในระดับที่เป็นไปตามภูมิธรรมหรือการฝึกฝนอบรมมา ลักษณาการฝึกฝนอบรมจิตดังนี้พระท่านเรียกว่าฝึกอบรมจิตให้ประกอบด้วยองค์สาม คือเป็นสมาหิโตหนึ่ง เป็นปาริสุทโธหนึ่ง และเป็นกัมมนิโยอีกหนึ่ง

    จิตอันประกอบด้วยองค์สามนี้แล้วเป็นจิตที่มีความผ่องแผ้วโดยลำดับ และเป็นลักษณะของจิตที่อยู่ในคำสอนแห่งโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งทรงตรัสสอนไว้เป็นสามลำดับ คือละบาปหนึ่ง ทำดีหนึ่ง และทำจิตให้ผ่องแผ้วหนึ่ง จิตที่ผ้องแผ้วในโอวาทปาฏิโมกข์นี้ก็คือจิตที่ประกอบด้วยองค์สามดังกล่าวนั่นเอง แต่จะผ่องแผ้วระดับไหนขั้นไหนนั้นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่กับการฝึกฝนอบรมจิตของแต่ละคน และจะได้รับผลหรืออานิสงส์ตามลำดับขั้นที่พึงได้สำหรับการฝึกฝนหรืออบรมจิตในขั้นนั้น ๆ

    การที่แม่ชีเฒ่าบอกกล่าวสถานที่หลายแห่งที่เสมือนหนึ่งว่าให้เป็นสถานที่ตั้งจิตอธิษฐานอาราธนาขอพระสมเด็จ แต่แท้จริงแล้วก็คือการแนะนำสถานที่ในการฝึกฝนอบรมจิตให้ยกระดับสูงขึ้นนั่นเอง ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้พระสมเด็จดังประสงค์ แต่ก็ได้รับโอกาสในการฝึกฝนอบรมจิตที่คาดคิดไม่ถึงมาทดแทนและคุ้มค่ามาก

    หลังจากตั้งความเพียรพยายามที่จะได้พระสมเด็จรุ่นแรก ๆ สูญสลายไปในครั้งนั้นแล้วผมก็หมดความคิดความใฝ่ฝันและเลิกแสวงหาพระสมเด็จรุ่นแรก ๆ ตั้งแต่บัดนั้นจนมาถึงบัดนี้

    แต่บางทีก็เป็นเรื่องแปลกเพราะในยามที่สิ้นแล้วซึ่งความปรารถนาที่จะได้พระสมเด็จรุ่นแรก ๆ เพราะได้เพียรพยายามมานักต่อนักก็ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่เหตุการณ์ประหลาดมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น

    คืนวันหนึ่งเป็นคืนแห่งฤดูฝน ฝนตกหนักมาก ผมกลับมาจากดูหนังรอบค่ำที่โรงหนังบ้านขมิ้นเป็นเวลาสามทุ่มเศษแล้ว ในขณะที่เดินผ่านประตูคณะหนึ่งมาใกล้จะถึงชานบันไดข้างกุฏิหลวงปู่นาค ขณะนั้นมืดสนิทแล้ว ก็เห็นเหตุการณ์ประหลาดที่มิได้คาดคิดมาก่อน

    ปรากฏเป็นแสงไฟสว่างจ้าขึ้นที่ตู้พระไตรปิฎกเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใต้ถุนกุฏินั้น เป็นแสงสว่างในลักษณะสีแดงปนเหลือง แผ่เป็นวงกว้าง รัศมีเกือบสองวา แม้จะปรากฏเป็นแสงสวยสดงดงามเจิดจ้า แต่ทำเอาผมตกใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะก้าวขาก็ไม่ออกจึงหยุดยืนชะงักอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง

    ใจหนึ่งก็คิดว่าหรือเกิดจากไฟฟ้าช็อตในบริเวณนั้น อีกใจหนึ่งก็ระแวงว่าถูกผีหลอก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดล้วนเป็นเรื่องไม่ปลอดภัยแก่ตัวทั้งสิ้น แต่ผมเป็นคนมีสติมั่นคงในยามเช่นนั้น แม้ไม่กล้าจะเดินฝ่าผ่านไปแต่ก็กุมสติหันหลังกลับ เลี้ยวอ้อมกุฏิหลวงปู่นาคไปทางด้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีพงหญ้ารกไปจนถึงริมรั้วต้นชบาของกุฏิธรรมนิวาสแล้วมุดรั้วลวดหนามเข้ากุฏิไป

    ผมกลับเข้ากุฏิแล้วแต่ในใจก็ยังหวาดหวั่นด้วยความรู้สึกประหลาดใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องราวใดกันหนอ คิดตรองเท่าใดก็ไม่ได้ความชัด จึงคิดผลัดเป็นว่าไว้วันรุ่งพรุ่งนี้จะค่อยหาสาเหตุให้จงได้

    ผมข่มใจนอนให้หลับก็ไม่หลับเพราะในใจนึกถึงแต่เหตุการณ์ที่มีแสงไฟประหลาดบังเกิดขึ้นที่ตู้พระไตรปิฎกเก่าแก่นั้น

    หมอปานเห็นผมนอนพลิกไปพลิกมานานช้าแล้วก็ยังไม่หลับ ประกอบกับวันนั้นหมอปานไอลุกขึ้นมาหายาแก้ไอกิน จึงถามผมว่าวันนี้เป็นอะไรดูกระสับกระส่ายชอบกล

    ผมเกรงว่าหมอปานจะกังวลตามไปด้วย จึงแสร้งบอกว่าไปดูหนังมาเป็นหนังผี รู้สึกน่ากลัว เรื่องราวในหนังยังติดตามมาถึงกุฏิจึงนอนไม่ค่อยหลับ

    หมอปานจึงว่าอยู่วัดจะไปกลัวผีทำไม เดินผ่านข้างโบสถ์มีโกดังเก็บศพล้วนเป็นผีทั้งนั้น ไม่เห็นผีทำอะไรคนได้เลย ผีที่นอนอยู่ในโกดังทำอะไรคนไม่ได้ แล้วผีที่ไหนจะมาหลอกหลอนคน หมอปานกล่าวต่อไปว่าเกิดมาเป็นคนอย่าไปคิดกลัวผี หากจะกลัวก็กลัวคนด้วยกันจะดีกว่า เพราะผีหลอกไม่ร้ายเท่าคนหลอก ดูอย่างเรานี่เป็นไรถูกผู้หญิงหลอกจนหมดตัว ต้องมาพึ่งพาอาศัยวัดจนบัดนี้

    ผมก็รับคำหมอปานแล้วชวนกันนอน พอล้มหัวลงถึงหมอนผมก็ทำใจให้อยู่ในสมาธิไปจนกระทั่งรุ่งสาง

    วันรุ่งขึ้นผมตามพระไปบิณฑบาตรตามปกติ ในขณะที่เดินผ่านตู้พระไตรปิฎกเก่าแก่ทั้งสองใบนั้นก็ชำเลืองมอง เผื่อว่าจะได้เห็นร่องรอยอะไรให้ปรากฏว่าแสงไฟเมื่อคืนเกิดจากสาเหตุใด แต่ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ คงเห็นแต่ตู้พระไตรปิฎกทั้งสองใบนั้นเป็นปกติเหมือนที่เคยเห็นทุกวัน เป็นแต่วันนี้ตู้พระไตรปิฎกคร่ำคร่าทั้งสองใบนั้นเปียกโชกด้วยน้ำฝนซึ่งไหลมาตามพื้นชานข้างกุฏิหลวงปู่นาค

    เมื่อกลับจากบิณฑบาตร จัดแจงอาหารการกินเสร็จสรรพแล้ว ผมจึงเดินออกจากประตูกุฏิไปที่ตู้พระไตรปิฎกทั้งสองใบนั้นอีกครั้งหนึ่ง ยืนพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดก็เห็นเป็นตู้พระไตรปิฎกเหมือนที่เคยเห็นอยู่ทุกวัน แต่เพราะการพิจารณาโดยละเอียดจึงได้รู้ว่าทุกครั้งที่มีฝนตกน้ำฝนก็จะไหลตามพื้นชานข้างกุฏิลงมาที่ตู้พระไตรปิฎกทั้งสองใบนี้จนทำให้ดูเก่าคร่ำคร่าและชำรุดไปตามกาลเวลา โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าตู้พระไตรปิฎกทั้งสองใบนี้ตั้งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใด

    ครั้นไม่พบสิ่งใดผิดปกติผมจึงเปิดตู้พระไตรปิฎกใบที่ประตูตู้เปิดอ้าอยู่แล้วตรวจดูสิ่งของภายในตู้ ก็ยังคงเห็นเป็นคัมภีร์ใบลานเก่าแก่เหมือนที่เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน ผมจึงเปิดตู้พระไตรปิฎกอีกใบหนึ่งก็เห็นลักษณะเป็นอย่างเดียวกันกับตู้ใบก่อน คือน้ำฝนไหลซึมเข้าไปภายในตู้จนคัมภีร์ใบลานเก่าคร่ำคร่า บ้างก็ผุไปตามกาลเวลา

    แต่สะดุดใจที่เห็นขอบกระดาษแข็งแผ่นหนึ่งซึ่งไม่เปียกน้ำเหมือนกับคัมภีร์ใบลานโผล่ออกมาจากใต้คัมภีร์ใบลานประมาณสักนิ้วเศษ ผมดึงขอบกระดาษแข็งนั้นออกมาดู ปรากฏว่าเป็นกระดาษกรอบรูปเก่าแก่คร่ำคร่าที่มีรูปพระภิกษุชราองค์หนึ่งในท่านั่งสมาธิปิดอยู่ที่กรอบรูปนั้น

    ดูลักษณะท่านั่งก็ทราบได้จากลักษณะเฉพาะในทันทีว่าเป็นภาพของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี มีข้อความพิมพ์ไว้ข้างใต้ภาพว่า “เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี พระผู้ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ สำเร็จทรงพรหมวิหารชั้นสูง เป็นเอกพระมหาเถราจารย์ ทรงพระอิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ มีพระอัจฉริยานุภาพเป็นที่น่าเลื่อมใส น่าถวายความเคารพบูชาอันแท้จริง

    ผมมีอาการขนลุกซู่ชูชันขึ้นในทันทีราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านจากภาพถ่ายนั้นจนสะดุ้งขึ้นทั้งตัว พอตั้งสติได้ผมก็พนมมือยกรูปนั้นเทิดไว้เหนือศีรษะ ในใจก็ภาวนาคาถาอาราธนาพระว่า “พุทธัง อาราธนานัง ธัมมัง อาราธนานัง สังฆัง อาราธนานัง” จนครบสามจบ

    การยกมือขึ้นพนมพร้อมกับรูปถ่ายและการภาวนาเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะสตินึกรู้ว่าความปรารถนาที่จะแสวงหาพระสมเด็จรุ่นแรก ๆ แม้ไม่ได้เป็นพระเครื่องแต่ก็ได้เป็นภาพถ่ายอันอยู่ในมือบัดนี้แล้ว และนี่เกิดแต่เจ้าประคุณสมเด็จบันดาลให้เป็นไปตั้งแต่เมื่อเห็นแสงไฟในตอนกลางคืน และสะดุดใจมาเปิดค้นหาในตู้พระไตรปิฎก จึงได้พบภาพดังกล่าว เพราะหาไม่แล้วไหนเลยจะค้นหาภาพดังกล่าวได้พบ

    ผมอาราธนาพระจบสามรอบก็เอาภาพถ่ายเจ้าประคุณสมเด็จนั้นเข้าไปไว้ที่โต๊ะหนังสือของผมแล้วลงมาปรนนิบัติพระ ในขณะที่จิตใจก็อิ่มเอิบเบิกบานด้วยปิติว่าความปรารถนาที่จะได้พระสมเด็จแต่ไม่สมความปรารถนา ครั้นวางความปรารถนาลงแล้วสิกลับได้ภาพถ่ายของเจ้าประคุณซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นภาพเก่าแก่และได้มาโดยไม่ต้องหาซื้อแต่ประการใด

    ความอันพิมพ์ไว้ใต้ภาพของเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเนื้อความอันไพเราะงดงามและเคร่งขลัง บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงศีลาจริยาวัตรและภูมิธรรมในพระพุทธศาสนาของเจ้าประคุณสมเด็จอย่างถูกตรงที่สุดเท่าที่จะหาคำบรรยายภาพเจ้าประคุณสมเด็จได้

    ความที่ว่าเจ้าพระคุณเป็นพระผู้ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์นั้น ควรสังเกตว่าได้ใช้คำว่า “ทรง” ซึ่งเป็นความหมายทางราชาศัพท์ที่มีฐานันดรศักดิ์ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป บ่งบอกถึงความเป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่คำที่จะพึงใช้กับพระที่มีสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ยกเว้นก็แต่สมเด็จพระสังฆราชซึ่งเทียบชั้นฐานันดรศักดิ์เท่ากับหม่อมเจ้า

    เจ้าประคุณสมเด็จถึงจะทรงสมณศักดิ์เป็นที่สมเด็จพระราชาคณะแต่ก็ยังไม่ถึงชั้นสมเด็จพระสังฆราช โดยปกติจึงไม่อาจใช้คำว่าทรงได้ การใช้คำว่าทรงในที่นี้มีมาแต่เหตุที่เชื่อถือกันว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย ตั้งแต่ครั้งที่ยังทรงปฏิบัติราชการอยู่ที่กรุงเก่า เกิดแต่มารดาชื่อเกตุ (ธิดานายชัย) มีสูติกาลเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จ.ศ.1150 ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นที่หม่อมเจ้า แต่ก็เล่าขานกันสืบต่อมาว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นหม่อมเจ้า คือเกิดแต่พระราชบิดาในขณะที่ทรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้ากับมารดาซึ่งเป็นคนสามัญ

    ดังนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้วก็ทรงโปรดปรานเจ้าประคุณสมเด็จซึ่งขณะนั้นยังเป็นแค่สามเณรเป็นพิเศษ ถึงกับทรงถวายเรือบัลลังก์กัญญาหลังคากระแชงเป็นพาหนะให้ท่านใช้สอยตามอัธยาศัย มีพลพายตามฐานันดรศักดิ์ชั้นหม่อมเจ้าเป็นกรณีพิเศษด้วย

    บางตำนานระบุว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์แล้ว ทรงถือว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นหม่อมเจ้า โดยทรงยกย่องเป็นการส่วนพระองค์เสมือนหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จเป็นหม่อมเจ้า และทรงไว้วางพระราชหฤทัยเสมือนหนึ่งว่าเป็นพระราชวงศ์

    ดังนั้นหลายครั้งหลายหนที่เจ้าประคุณสมเด็จยามเดินทางโดยทางเรือจึงใช้เรือบัลลังก์กัญญา มีพลทหารพายตามอิสริยยศของหม่อมเจ้า บางครั้งเวลาออกบิณฑบาตรเจ้าประคุณคิดสนุกขึ้นมาก็ออกบิณฑบาตรด้วยเรือบัลลังก์กัญญานี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับพระราชทานสิทธิ์พิเศษจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัวสามารถเข้านอกออกในพระบรมมหาราชวังได้โดยไม่ต้องขอรับพระบรมราชานุญาต

    เหตุนี้จึงเป็นที่มาของกรณีที่เจ้าประคุณสมเด็จจุดไต้เข้าไปในพระบรมมหาราชวังสมัยเมื่อครั้งที่มีคำเล่าขานในทางร้ายว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้มีบาทบริจาริกา พระสนมและนางกำนัลเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นทำนองถวายพระพรเตือน และหลังจากครั้งนั้นแล้วก็ปรากฏว่าพระเจ้าอยู่หัวมิได้รับสตรีใดเป็นบาทบริจาริกาอีกเลย

    สมัยหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จได้รับอาราธนาเข้าไปบิณฑบาตรข้างในพระตำหนักของฝ่ายในซึ่งจัดให้มีการรับบิณฑบาตรโดยทางเรือในสระภายในบริเวณพระตำหนัก เจ้าประคุณสมเด็จรับบิณฑบาตรแล้วก็ไม่ยอมขึ้นจากเรือ คงสั่งให้พายเรือวนเวียนอยู่ในสระเป็นหลายรอบแต่มิได้ถวายพระพรประการใด ในชั้นหลังมีผู้สันนิษฐานว่าการกระทำของเจ้าประคุณในครั้งนั้นคือการเตือนด้วยปริศนาธรรมว่าจะบังเกิดเหตุเรือล่มและจะสูญเสียพระมเหสีและพระธิดา แต่ไม่สามารถถวายพระพรโดยตรงได้เนื่องจากเป็นการขัดกับวิบากกรรม ต่อมาเจ้านายของพระตำหนักนั้นได้รับสถาปนาเป็นที่พระมเหสีในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง และเกิดเหตุการณ์เรือล่มอันลือลั่นอยู่ในประวัติศาสตร์

    เจ้าประคุณสมเด็จอุปสมบทมาตั้งแต่น้อย มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีด่าง ไม่มีพร้อย หลังจากอุปสมบทแล้วก็มุ่งมั่นศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ถือเพศพรหมจรรย์ตามคำตรัสสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างครบถ้วน เหตุนี้จึงเป็นผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ สอดคล้องกับพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายในการออกไปประกาศพระศาสนาว่าเธอทั้งหลายจงจาริกไปประกาศพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ทั้งอรรถะและพยัญชนะ ให้งดงามทั้งเบื้องต้น ทั้งในท่ามกลางและในที่สุด

    ความที่ว่าเจ้าประคุณสมเด็จสำเร็จพรหมวิหารชั้นสูงนั้น คำว่า “พรหมวิหาร” ในที่นี้หมายความรวมถึงพรหมวิหารธรรมคือธรรมที่ทำให้เป็นพรหม ซึ่งประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาอย่างหนึ่ง และหมายถึงที่อยู่ที่อาศัยของจิตที่มีชื่อว่าพรหมวิหารในความหมายที่เนื่องกับที่อยู่ที่อาศัยของจิตที่ชื่อว่าทิพย์วิหาร พรหมวิหาร และอริยะวิหาร ที่อยู่ของจิตซึ่งเรียกว่าวิหารนี้หมายถึงที่อยู่ของจิตของผู้บรรลุภูมิธรรมในระดับต่าง ๆ กัน ผู้บรรลุภูมิธรรมขั้นสูงก่อนจะถึงขั้นเป็นพระอรหันต์จะมีจิตที่เสวยอยู่ในวิหารที่เรียกว่าทิพย์วิหารหรือพรหมวิหาร

    คำบรรยายดังกล่าวนี้จึงมีความหมายที่บ่งบอกว่าเจ้าประคุณสมเด็จบรรลุภูมิธรรมขั้นสูง ใกล้จะถึงหรืออาจเข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคลแล้ว จิตของเจ้าประคุณจึงเสวยอยู่ในวิหารระดับที่เรียกว่าพรหมวิหารขั้นสูงดังนี้

    ความที่ว่าเจ้าประคุณเป็นเอกพระมหาเถราจารย์ ทรงพระอิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ ย่อมหมายความว่าในบรรดาพระมหาเถระในยุคนั้นสมัยนั้นยกย่องและถือกันว่าเจ้าประคุณสมเด็จเป็นเอกพระมหาเถราจารย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีความสามารถทางอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์อันเป็นที่ประจักษ์ แม้ดับขันธ์แล้วถึงกว่าร้อยปี ณ บัดนี้อิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าประคุณสมเด็จก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้นับถือศรัทธาจำนวนมากยังสามารถสัมผัสและรับรู้ได้อยู่อย่างชัดเจน

    การที่จะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้นั้น ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าจะต้องบรรลุภูมิธรรมขั้นสูงถึงจตุตถฌาน หรือฌานที่สี่ของรูปฌานเป็นอย่างต่ำ เป็นภาวะธรรมที่ทำให้นามกายแปรเปลี่ยนเป็นทิพย์กาย และเมื่อเข้าอุปจารสมาธิแล้วก็สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ได้

    ความที่ว่าเจ้าประคุณมีพระอัจฉริยานุภาพเป็นที่น่าเลื่อมใส น่าถวายความเคารพ ย่อมหมายความว่าไม่เพียงแต่มีความบริสุทธิ์บริบูรณ์ บรรลุธรรมขั้นสูง ทรงอิทธิปาฏิหาริย์เท่านั้น ยังมีความเป็นอัจฉริยะที่น่าเลื่อมใสของคนทั้งปวงอีกด้วย และอัจฉริยภาพนั้นก็ได้รับการยอมรับยกย่องโดยทั่วไปแม้แต่พระเจ้าอยู่หัว.
     
  11. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 30. สามตัวประหลาดแห่งวงการหมากฮอส

    พระอัจฉริยภาพของเจ้าประคุณสมเด็จมีปรากฏให้เห็นมากมายหลายครั้งหลายหน ซึ่งสามัญชนในยุคนั้นก็สัมผัสได้เป็นเนืองนิจ และหลายครั้งที่เจ้าประคุณแสดงความเป็นอัจฉริยภาพดับทุกข์แก้ร้อนของอาณาประชาราษฎรได้อย่างอัศจรรย์

    สมัยหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จรับกิจนิมนต์เข้าไปแสดงพระธรรมเทศนาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันนั้นเจ้าประคุณสังเกตเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวมีพระอาการกระสับกระส่ายไม่เป็นปกติ ราวกับว่ามีราชกิจที่ทรงเป็นกังวลอยู่ในพระทัย

    เจ้าประคุณสมเด็จได้แสดงพระธรรมเทศนาอย่างยืดยาว โดยไม่สนใจว่าพระเจ้าอยู่หัวจะร้อนพระทัยสักเท่าใด พระเจ้าอยู่หัวก็เกรงใจเจ้าประคุณสมเด็จ จึงสู้ทนฟังพระธรรมเทศนาจนจบ

    ถัดมาอีกไม่กี่วันเจ้าประคุณสมเด็จก็มีเวรเข้าไปแสดงพระธรรมเทศนาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้สังเกตเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวมีสีพระพักตร์ผ่องใส เยือกเย็น เจ้าประคุณสมเด็จจึงแสดงพระธรรมเทศนาอย่างสั้นที่สุด

    เจ้าประคุณสมเด็จเริ่มต้นบทเทศนาว่ามหาบพิธทรงเจนจบพระธรรมคำสอนในพระศาสนา จะแสดงธรรมประการใดก็ทรงกระจ่างในพระทัยสิ้นแล้ว จึงขอจบเทศนาเพียงเท่านี้ เอวังก็มี ซึ่งว่ากันว่าเป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัยเป็นอย่างยิ่ง และเป็นที่เลื่อมใสว่าเจ้าประคุณสมเด็จล่วงรู้น้ำพระทัยของพระองค์และพระราชทานกัณฑ์เทศน์ถึงขนาดในวันนั้น

    ในโอกาสถัดมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งยังติดอยู่ในพระทัยว่าทำไมเจ้าประคุณสมเด็จจึงแสดงพระธรรมเทศนาเช่นนั้น จึงมีรับสั่งถามถึงเหตุผลต้นปลาย

    เจ้าประคุณสมเด็จถวายพระพรตอบว่าในวันก่อนที่แสดงพระธรรมเทศนาถวายอย่างยืดยาวนั้นก็เพราะเห็นพระเจ้าอยู่หัวมีความทุกข์ร้อนอยู่ในพระทัย จึงหมายเอาพระธรรมเข้าบำรุงรักษาเป็นธรรมโอสถถวาย เหตุนี้จึงได้แสดงพระธรรมเทศนาถวายอย่างยืดยาว ครั้นต่อมาวันหลังสังเกตเห็นพระเจ้าอยู่หัวไม่มีทุกข์ในพระทัย ทรงอิ่มเอิบผ่องใสเป็นปกติดีแล้ว ไม่จำเป็นที่ต้องพึ่งพาธรรมโอสถ จึงได้ถวายพระธรรมเทศนาแต่โดยย่อ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยในคำถวายพระพรนี้เป็นที่ยิ่ง และทรงสรรเสริญว่าเจ้าประคุณสมเด็จทรงไว้ซึ่งเจโตปริยญาณ สามารถหยั่งรู้วาระจิตของผู้อื่น จึงสามารถแสดงธรรมได้ตรงกับภาวะจิตที่เป็นอยู่นั้นได้

    การแสดงพระธรรมเทศนาแบบสั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมาได้กลายเป็นเรื่องฮือฮาเล่าขานในวงการพระสงฆ์ในยุคนั้น

    พระสงฆ์รูปอื่นริเอาอย่างเจ้าประคุณสมเด็จบ้าง แต่เมื่อแสดงพระธรรมเทศนาถวายแบบสั้นที่สุดนั้นแล้ว แทนที่พระเจ้าอยู่หัวจะพอพระทัย กลับถูกพระเจ้าอยู่หัวตรัสตำหนิว่ามีภูมิธรรมเช่นเดียวกับเจ้าขรัวโตหรือ จึงริอ่านเอาอย่างเหมือนกับขรัวโต และเป็นเหตุให้พระราชาคณะรูปนี้ต้องทำฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็โปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษให้ตามขอ

    ภาพถ่ายเจ้าประคุณสมเด็จที่ผมได้มาในวันนั้นแตกต่างจากภาพของเจ้าประคุณสมเด็จซึ่งแพร่หลายกันเกร่ออยู่ในทุกวันนี้ ทั้งรูปร่างลักษณะและใบหน้าแตกต่างกันอย่างลิบลับ จะดูเหมือนกันบ้างก็เฉพาะท่านั่งและมือซึ่งกำซ้อนกันเหนือหน้าอกเท่านั้น

    แม้ภาพของเจ้าประคุณสมเด็จในหนังสือประวัติชีวิต การงานและหลักธรรมของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ธรรมสภาก็หาใช่ภาพถ่ายแท้ของเจ้าประคุณสมเด็จไม่

    ก็จะต้องบอกกล่าวกันโดยไม่เกรงใจใครว่าภาพของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่เผยแพร่กันเกร่อเกลื่อนนั้นความจริงไม่ใช่ภาพถ่ายจากตัวจริงของเจ้าประคุณ หากเป็นภาพถ่ายจากรูปปั้นเจ้าประคุณสมเด็จของวัดอิน ทรวิหารบางขุนพรหม

    ภาพถ่ายจากรูปปั้นดังกล่าวนั้นครั้นผ่านการตบแต่งและเสริมสีด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่แล้วจึงให้ดูเหมือนว่าเป็นภาพถ่ายของคนจริง ๆ และเป็นธรรมดาอยู่เองที่การปั้นยากจะเหมือนตัวจริง แต่เมื่อตกแต่งและเผยแพร่มากเข้า ผู้คนก็เข้าใจว่าภาพนั้นเป็นภาพจริงของเจ้าประคุณ

    ยกเว้นก็แต่ภาพถ่ายในท่าห้อยเท้าซึ่งได้ถ่ายไว้เมื่อครั้งที่เจ้าประคุณชราภาพมากแล้ว และโรคาพาธเบียดเบียนอย่างหนักก่อนที่จะดับขันธ์ไม่นาน นั่นแล้วคือภาพถ่ายแท้ของเจ้าประคุณในอริยาบทอีกอย่างหนึ่ง

    ใครที่ดูหนังเรื่องนางนาคก็ให้ตระหนักเถิดว่าผู้แสดงซึ่งแสดงเป็นเจ้าประคุณสมเด็จในหนังเรื่องนั้นสุดจะละม้ายคล้ายคลึงกับภาพถ่ายรูปจริงของเจ้าประคุณ และเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดอย่างยิ่งที่ผู้แสดงคนเดียวกันนี้เมื่อแสดงหนังเรื่องอื่น รับบทเป็นพระสงฆ์อื่นกลับผิดแผกแตกต่างกับรูปและภาพลักษณ์ที่ปรากฏในหนังเรื่องนางนาคอย่างเห็นได้ชัด ใครไม่สังเกตก็ลองย้อนกลับไปดูเปรียบเทียบแล้วจะเห็นถึงความแตกต่างที่มหัศจรรย์นี้

    ภาพถ่ายของเจ้าประคุณสมเด็จในหลายครั้งเหมือนกับมีชีวิตชีวาแสดงความรู้สึกให้ปรากฏ ผมสังเกตหลายครั้งหลายหนในหลายสิบปีมานี้ก็ได้พบความพิสดารมหัศจรรย์จากสีหน้าเจ้าประคุณสมเด็จในภาพถ่ายนั้น

    นั่นคือถ้าหากยามจะไปไหนทำการใดแล้วเห็นภาพถ่ายเจ้าประคุณมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ยามนั้นและการนั้นย่อมมีแต่ความสำเร็จเสมอไปทุกครั้ง ยามใดที่สีหน้าเจ้าประคุณมีลักษณะดุดัน ยามนั้นถ้าระมัดระวังตั้งอยู่ในความไม่ประมาทก็ประสพความสำเร็จ แต่ถ้าพลั้งเผลอลุแก่อารมณ์หรือขาดความยั้งคิดแล้วก็มักมีความผิดพลาดเกิดขึ้น

    ยามใดที่เห็นสีหน้าเจ้าประคุณทุกข์ร้อน ไม่ช้านานก็จะพบปะกับทุกข์เคราะห์ ดังนั้นยามใดที่ผมมีความสงสัยในเหตุการณ์เบื้องหน้า จึงมักจะเข้าไปสวดมนต์และเพ่งมองสีหน้าเจ้าประคุณ ก็พอจะคาดการณ์อะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย

    ภาพโมนาลิซ่าของอิตาลีที่วาดโดยลีโอนาโด ดาวินชี่ จิตรกรเอกของโลก ที่ว่าใบหน้าแสดงถึงอารมณ์ต่างๆ กัน แท้จริงขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของผู้มอง ที่มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรแล้วก็จะรู้สึกว่าภาพโมนาลิซ่าแสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างนั้นด้วย

    แตกต่างกันกับภาพถ่ายของเจ้าประคุณที่สีหน้าในภาพนั้นบ่งบอกความหมายกาลเบื้องหน้าอันถือได้ว่าเป็นนิมิตชนิดหนึ่งอันเป็นปาฏิหาริย์ โพ้นไปจากความรู้ทางฟิสิกส์ของยุคปัจจุบัน

    ภาพเจ้าประคุณสมเด็จที่ติดอยู่กับแผ่นกระดาษกรอบรูปนั้นไม่ได้ใส่กรอบ แต่ไม่ได้เปียกน้ำและไม่ได้ผุเปื่อยไปตามกาลเวลา ดูประหนึ่งเหมือนใหม่และสดอยู่ แต่ก็พอสังเกตเห็นได้ชัดเจนถึงความเก่าแก่คร่ำคร่าเพราะผ่านกาลเวลาช้านานแล้ว

    ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้ภาพนั้นเสื่อมสลายมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ในวันถัดมาผมจึงรีบกลับจากโรงเรียนแล้วนำภาพเจ้าประคุณสมเด็จไปใส่กรอบที่สี่แยกศิริราช

    เจ้าของร้านเห็นภาพก็ตื่นเต้น แล้วกล่าวว่าเป็นภาพที่แปลกมาก เพราะทำอาชีพเข้ากรอบรูปมานานแล้วแต่ไม่เคยเห็นภาพในลักษณะเช่นนี้เลย อย่างดีก็เคยเห็นแต่ภาพเจ้าประคุณสมเด็จในลักษณะเดียวกัน แต่ไม่มีกรอบกระดาษและคำบรรยายภาพเหมือนกับภาพนี้เลย และถามว่าผมได้ภาพนี้มาจากที่ไหน ผมได้ตอบไปว่ามีผู้ให้ภาพนี้มาแล้วก็หัวเราะ เพราะไม่อยากพูดความยาวสาวความยืดอีกต่อไป

    ผมยืนเฝ้าคอยกระทั่งเขาเข้ากรอบรูปแล้วเสร็จจึงรับภาพถ่ายนั้นกลับมาวัด แต่พอมาถึงร้านกาแฟหน้าวัดก็เห็นนายเณรนั่งเล่นหมากฮอสอยู่ที่ร้านกาแฟแต่เพียงคนเดียว พอเห็นผมเดินมานายเณรก็กวักมือเรียก

    ผมเห็นนายเณรทอดไมตรีเชื้อเชิญดังนั้นก็เดินเข้าไปหาแล้วนั่งที่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ผมสั่งโอเลี้ยงมาดื่มและถามนายเณรว่ามีธุระสิ่งใดหรือ นายเณรบอกว่ามาเล่นหมากฮอสกันดีกว่า เพราะวันก่อนเห็นเล่นอยู่กับนายเป๋ พอจะมีฝีมืออยู่บ้างนี่

    ผมรู้ความเกี่ยวกับสามคนประหลาดนี้อยู่ก่อนแล้วจึงตอบว่าผมมีฝีมือน้อย ไม่กล้าประมือกับนักหมากฮอสระดับเซียน ถึงจะเล่นก็คงไม่สนุกดอก นายเณรได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วถามว่ารู้จักพวกเราแล้วหรือ ผมก็ตอบว่าเซียนหมากฮอสประหลาดสามคนย่านพรานนก หากใครไม่รู้จักก็คงเป็นคนหูหนวกตาบอดเป็นแน่

    นายเณรได้ยินดังนั้นก็หัวเราะอีกครั้งหนึ่ง แล้วว่าเรานี่ฉลาดนะ วันก่อนเห็นหลอกกินไอ้เป๋ก็เลยพลอยนึกสนุกไปด้วย เอาอย่างนี้ก็แล้วกันมาเล่นกันพอสนุกแต่ต้องมีแถมพกค่าโอเลี้ยงเล็ก ๆ น้อย ๆ พอได้รู้วิชากัน

    ผมได้ฟังน้ำเสียงนายเณรเปี่ยมไปด้วยไมตรีและเห็นมีท่าทีนักเลง ไม่มีลักษณะเป็นนักต้มตุ๋นหรือเป็นคนเอาเปรียบคน ก็ยินดีรับเป็นไมตรีจึงรับคำ

    นายเณรพูดว่าเห็นหน้าผมครั้งแรกก็ถูกใจ เหมือนกับเคยรู้จักกันมาเนิ่นนานแล้ว วันนี้มาพนันกันด้วยเดิมพันสองอย่าง คือถ้าใครแพ้คนนั้นต้องนับถืออีกฝ่ายหนึ่งเป็นอาจารย์อย่างหนึ่ง และต้องจ่ายค่าโอเลี้ยงอีกอย่างหนึ่งด้วย

    ผมคุ้นเคยหนังสือเรื่องมังกรหยกที่โด่งดังสนั่นสะท้านบรรณพิภพในยุคนั้น ได้รู้ได้เห็นเรื่องราวจากหนังสือมังกรหยกว่าคนเราจะเก่งได้ก็ต้องอาศัยครู ต้องเป็นศิษย์มีครู และถ้าได้ครูดีมีวิชาจริงแล้ว ถึงจะโง่เขลาเบาปัญญาอย่างไรก็จะมีความก้าวหน้าเป็นแน่นอน ดังตัวอย่างของก๊วยเจ๋งซึ่งเป็นพระเอกของเรื่องนั้น

    ผมคิดในขณะนั้นว่านายเณรผู้นี้นับเป็นเซียนหมากฮอสคนสำคัญคนหนึ่ง ซึ่งผมจะชนะนายเณรนั้นไม่เห็นทาง มีแต่จะแพ้เป็นบั้นปลายอย่างแน่นอน แต่หากผมจะแพ้ แก่นายเณรแล้วก็หาได้ขาดทุนรอนอะไรไม่ เพราะเสียแต่ค่าโอเลี้ยงสองแก้วเท่านั้น แต่กลับจะได้อาจารย์หมากฮอสที่เชี่ยวชาญมาสั่งสอนฝึกปรือ ดีร้ายก็จะได้นายเป๋และนายกำธรมาเป็นอาจารย์สมทบอีกเล่า

    ผมคำนึงดังนั้นแล้วจึงถามว่าจะพนันกันอย่างไร นายเณรก็ว่าเราไม่เอาเปรียบใคร มาพนันกัน 2 ชุด ชุดแรก 5 กระดาน นายเณรจะต่อให้ผม โดยจะเล่นเพียง 7 ตัว แต่ให้ผมเล่นแปดตัว ใครแพ้มากกว่าถือว่าเป็นฝ่ายแพ้ชุดที่หนึ่ง ส่วนชุดที่ 2 เล่นจำนวน 8 ตัวเท่ากันอีก 5 กระดาน แต่นายเณรต่อเสมอเป็นแพ้คือถ้าผมเล่นเสมอได้กระดานใดก็ถือว่านายเณรแพ้กระดานนั้น ใครชนะทั้งสองชุดจึงถือว่าเป็นผู้ชนะ

    ผมได้ยินดังนั้นก็คิดว่าที่นายเณรตั้งหลักเกณฑ์การเดิมพันโดยเล่นกันถึง 10 กระดานเป็นจำนวนมากมายเกินกว่าค่าโอเลี้ยงเช่นนี้คงเพราะมีน้ำใจที่อยากจะทดสอบฝีมือที่แท้จริงของผมว่าอยู่ระดับไหนกันแน่อย่างหนึ่ง ทั้งเงื่อนไขการเดิมพันนั้นก็ยุติธรรมยิ่งนัก เพราะนายเณรคงคำนึงถึงฝีมือผมและฝีมือตัวเองแล้วว่าห่างกันตามระดับที่ต่อนั้น

    ในขณะนั้นผมก็มีความคิดด้วยว่านายเณรคนนี้คงจะติดหนังสือกำลังภายในเหมือนกัน และคงอยากเป็นเหมือนกับยอดฝีมือในหนังสือกำลังภายในบางคนที่กระหายใคร่ได้ลูกศิษย์ ถึงกับบังคับให้คนอื่นเป็นลูกศิษย์หรือตั้งกฎเกณฑ์กติกาแปลก ๆ เพื่อจะหาลูกศิษย์ ซึ่งคิดไปแล้วก็รู้สึกสนุกดี ราวกับว่ามีชีวิตอยู่กับหนังสือกำลังภายในฉะนั้น

    เมื่อผมเห็นหลักเกณฑ์การเดิมพันเต็มไปด้วยน้ำใจไมตรีและเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรม ไม่เห็นทางเสีย มีแต่ทางได้ประโยชน์ คือหากจะเสียก็เสียแต่เพียงค่าโอเลี้ยงสองแก้ว ซึ่งควรแก่ธรรมเนียมของการคบมิตรไมตรีจึงรับคำ แล้วยืนยันข้อตกลงการพนันว่าถ้าใครแพ้ก็ต้องนับถืออีกฝ่ายหนึ่งเป็นอาจารย์และต้องจ่ายค่าโอเลี้ยงสองแก้ว

    ไม่ได้พูดกันถึงเงื่อนไขว่าถ้าเสมอกันทั้งสองชุดแล้วจะว่าอย่างไร เพราะต่างคนต่างก็รู้ดีว่าจะไม่มีทางที่เสมอกันได้เลย คนที่มานั่งกินกาแฟในร้านนั้นพอได้ยินว่ามีการพนันก็พากันมามุงดูตามประสาไทยมุง ซึ่งไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน และที่ไหนก็เหมือนกันทั้งสิ้น

    นายเณรและผมเล่นหมากฮอสชุดแรก 5 กระดานผ่านพ้นไปในเวลาอันไม่นานนัก ในชุดแรกนี้ปรากฏว่าเสมอกัน 3 กระดาน ผมแพ้ 2 กระดาน จึงถือว่าในชุดแรกนี้ผมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

    พอจะเริ่มชุดที่สองนายเณรก็สั่งโอเลี้ยงมาเพิ่ม แล้วกล่าวว่าแก้วนี้ไม่เกี่ยวกับการพนัน ไม่ว่าใครแพ้ชนะนายเณรก็จะเป็นผู้จ่ายค่าโอเลี้ยงแก้วนี้เอง นายเณรกล่าวไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงดังด้านหลังผมว่า ไอ้เณรจะกินหมูหรือ เล่าฮูดูไม่ได้

    ผมได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเป็นเสียงของนายกำธร เหลียวหลังกลับไปดูก็เห็นเป็นนายกำธรจริง ๆ กำลังเดินเข้ามาที่ร้านกาแฟด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พอเห็นหน้าผมก็ยิ้มให้ด้วยไมตรี แล้วถามว่าเล่นพนันกันหรืออย่างไร ผมก็ว่าครับ

    นายกำธรจึงว่ารู้จักไอ้เณรดีแล้วหรือจึงไปเล่นพนันกับเขา ผมจึงเล่าเงื่อนไขในการพนันให้ฟัง นายกำธรได้ฟังก็หัวเราะแล้วกล่าวว่าเมื่อเป็นเช่นนี้เล่าฮูก็จะขอพนันด้วยคน ใครจะขัดข้องบ้าง

    ผมสังเกตคำพูดของนายกำธรเรียกตนเองว่าเล่าฮูก็นึกขำอยู่ในใจ เพราะรู้ว่านายกำธรก็น่าจะติดหนังสือมังกรหยกและหนังสือกำลังภายในอย่างงอมแงมเหมือนกัน เพราะในหนังสือกำลังภายในนั้นบรรดาผู้มีฝีมือผู้เฒ่าทั้งหลายมักรักจะเรียกตนเองว่าเล่าฮูซึ่งแปลว่าผู้เฒ่า

    การเรียกตนเองว่าเล่าฮูมีความหมายอยู่สองนัย อย่างแรกเป็นคำกล่าวที่อ่อนน้อมถ่อมตนว่าตัวเองเฒ่าชะแลแก่ชราแล้ว ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับผู้ใด อย่างที่สองเป็นคำกล่าวในเชิงโอ้อวดว่าคนอื่นเป็นพวกเด็กน้อย หรือเป็นพวกลูกเต่าอะไรทำนองนั้น.
     
  12. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">ตอนที่ 31. คำนับสามยอดคนเป็นอาจารย์หมากฮอส </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นายเณรได้ยินเสียงนายกำธรก็ดีใจ และรีบออกปากชวนให้นายกำธรนั่งลงก่อน แล้วกล่าวว่าที่นายกำธรจะขอเล่นพนันด้วยคนนั้นจะพนันกันอย่างไร นายกำธรซึ่งยืนอยู่ด้านข้างผมได้ฟังดังนั้นก็ไม่ยอมนั่ง กลับกล่าวว่าธรรมดาจะดูหมูกัดกัน ต้องยืนดูในที่สูง จะเห็นได้ชัดกว่า

    ผมฟังดูแล้วสองคนนี้ช่างเป็นนักพนันจริง ๆ พอได้ยินคำว่าพนันต่างคนก็ต่างตาลุกวาวด้วยกันทั้งคู่

    นายกำธรว่าตกลงพนันกันไว้อย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้น แต่นายกำธรจะถือข้างใดข้างหนึ่ง นายเณรจะให้ถือข้างไหน คือจะให้นายกำธรถือเดิมพันอยู่ข้างเดียวกับผม หรือว่าถือเดิมพันอยู่ข้างเดียวกับนายเณร ข้างไหนแพ้ชนะนายกำธรก็จะร่วมแพ้ชนะด้วยกัน

    ผมได้ยินดังนั้นก็คิดว่านายกำธรและนายเณรเป็นเพื่อนพวกเดียวกัน หากนายกำธรมาถือข้างผมและบังเอิญผมแพ้นายกำธรจะไม่ต้องเรียกขานนายเณรว่าเป็นอาจารย์ดอกหรือ ในใจจึงคิดว่าอยากจะให้นายกำธรไปถือข้างนายเณรเพราะถ้าหากผมแพ้ก็จะได้อาจารย์หมากฮอสทีเดียวถึงสองคน นับว่าได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

    ไม่ทันที่ผมจะพูดออกความเห็นประการใด ก็ได้ยินนายเณรพูดขึ้นว่าไปถือข้างเด็กก็บ้าละสิ เดี๋ยวเด็กแพ้ขึ้นมาแกจะไม่ต้องกลายมาเป็นลูกศิษย์ของเราหรือ นายกำธรก็หัวเราะอย่างเยาะหยัน แล้วว่าคนอย่างเล่าฮูยืนข้างไหน ถือเดิมพันข้างไหน ข้างนั้นจะมีพ่ายแพ้ด้วยหรือ

    ดูเหมือนนายเณรจะรู้ความหมายของนายกำธรที่ยังคงยืนอยู่ด้านข้างผม และยังไม่ยอมนั่งลงว่าถ้าหากนายกำธรถือข้างผมแล้วนายกำธรก็ต้องหาวิธีที่จะส่งสัญญาณบางอย่างในการเดินหมากฮอสให้ผมสามารถตีเสมอหรือเอาชนะนายเณรได้ และได้ยินนายเณรกล่าวต่อไปว่าพวกเรามาด้วยกันก็ต้องอยู่ข้างเดียวกันสิ

    นายกำธรจึงว่าถ้าไม่มีใครขัดข้องก็เอาตามนี้ และถามผมอีกว่าจะตกลงไหม ไม่ทันที่ผมจะตอบก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังอีกว่าจะตกลงอะไรกัน อั๊วเอาด้วยคน
    ผมหันหลังกลับไปก็เห็นเป็นนายเป๋กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น ไม่ทันที่ใครจะกล่าวประการใด นายเป๋ก็ถามว่าเดิมพันกันเท่าไหร่ หมดกระดานนี้แล้วขอแก้มือสักหน่อย


    ในขณะนั้นนายกำธรได้ก้มลงกระซิบที่ข้างหูผมและบอกว่าให้ตอบไปว่า “รู้จักเซียนเป๋ดีอยู่แล้ว” ผมได้ยินดังนั้นก็ไม่คิดอะไรมาก รีบกล่าวกับนายเป๋ตามที่นายกำธรบอกทุกประการ

    นายเป๋ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าโกรธแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงไม่พอใจว่าอะไรกันวะ พวกเดียวกันมาขายกันเองหรือ

    นายเณรได้ฟังก็หัวเราะ และกล่าวว่าพวกเดียวกันทั้งนั้นแหละซึ่งหมายความว่าได้รวมเอาผมเป็นพวกเดียวกันด้วยแล้ว

    แล้วนายเณรได้กล่าวกับผมว่าไอ้เป๋นี้มันเสียอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าใครรู้และบอกว่ามันเป็นเซียนมันก็จะโกรธอย่างนี้แหละ

    นายเป๋ได้ยินนายเณรว่าผมเป็นพวกเดียวกันก็มีท่าทีที่อ่อนลง พอดีนายเณรพยักหน้าให้นายเป๋เป็นทีบอกให้นั่งลง นายเป๋ก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ผม นายกำธรตบไหล่นายเป๋เบา ๆ แล้วกล่าวว่าเป็นเซียนก็ถูกหมูกินได้ แต่พอจะกินหมูกลับบ้าง หมูก็รู้ตัวเสียแล้ว น่าละอายจริง ๆ โว้ย กล่าวดังนั้นแล้วนายกำธรก็หัวเราะ

    นายเป๋หันไปทางนายกำธรแล้วว่าแล้วไปเถิด เป็นพวกเดียวกันแล้วเอาไงก็เอากัน ที่ผ่านมาแล้วก็ให้แล้วไป อย่าไปพูดถึงให้เคืองใจเลย ทำให้เห็นว่านายเป๋นี้แม้จะเป็นนักต้มตุ๋นทางหมากฮอส แต่กับพวกพ้องแล้วดูเหมือนว่าจะไม่มีเล่ห์กลอะไร แล้วพูดง่าย ว่าง่ายราวกับแมวเชื่อง ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น

    นายเป๋ได้ถามนายเณรว่าพนันกันอย่างไร นายเณรก็เล่าให้ฟังแล้วถามนายเป๋ว่าจะถือข้างไหน เพราะนายกำธรถือข้างนายเณรแล้ว

    นายเป๋ก็ว่าใจจริงนั้นอยากจะถือข้างนายเณร แต่หมอนี่มันกินเรามาแล้ว เราไม่อยากเป็นอาจารย์มัน ขอตั้งตัวเป็นกรรมกินจะดีกว่า ซึ่งหมายความว่าผมเคยชนะพนันนายเป๋มาก่อนเพราะนายเป๋แกล้งหย่อนฝีมือให้ จึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวในการเดิมพันแต่ขอเป็นกรรมกินแทน นั่นคือไม่ว่าฝ่ายไหนแพ้นายเป๋ก็จะไม่แพ้ด้วย แต่จะเป็นฝ่ายชนะอย่างเดียว เพราะเมื่อนายเป๋มีฐานะเป็นกรรมการก็มีสิทธิ์ในการกินโอเลี้ยงฟรี จึงพูดว่าเป็นกรรมกิน

    ผมและนายเณรได้ฟังดังนั้นก็ตกลง จึงได้เริ่มต้นเล่นหมากฮอสชุดที่ 2 ข้างละ 8ตัวเท่ากัน การเล่นหมากฮอสในชุดนี้ถ้าเสมอกันต้องถือว่านายเณรเป็นฝ่ายแพ้ พักเดียวเท่านั้นก็เล่นกันครบ 5 กระดานในชุดที่ 2 ผลปรากฏว่านายเณรชนะ 4 กระดาน และเสมอ 1 กระดาน จึงเป็นอันว่าผมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทั้ง 2 ชุด

    ผมรีบควักเงินจ่ายค่ากาแฟให้กับทุกคนและคำนับนายเณรแล้วเรียกว่าอาจารย์ และหันมาคำนับนายกำธร แต่พอจะเรียกนายกำธรว่าอาจารย์บ้าง นายกำธรก็ว่าอย่าเพิ่ง อย่าเพิ่ง แล้วกล่าวสืบไปว่าอย่าเรียกเล่าฮูว่าเป็นอาจารย์ เพราะได้ยินคำว่าอาจารย์แล้วรู้สึกบัดซบสิ้นดี กลิ่นอายเหม็นสาบเหมือนกับว่าเป็นอาจารย์มวย อาจารย์หมอผี หรืออาจารย์หมอดู เล่าฮูจึงไม่ชอบให้ใครมาเรียกว่าอาจารย์

    นายกำธรกล่าวสืบต่อไปว่าตัวเรามีฝีมือเหนือกว่านายเณร และนายเณรก็มีฝีมือเหนือกว่านายเป๋ ดังนั้นให้เรียกนายเณรเป็นซือแป๋จะดีกว่า แล้วเรียกตัวเราเป็นซือเจ๊กโจ๊ว ส่วนนายเป๋ไม่ยอมเป็นอาจารย์ก็ให้เรียกว่าซือเจ็ก

    ที่นายกำธรกล่าวนั้นเป็นถ้อยคำในหนังสือกำลังภายในซึ่งกำลังเป็นที่นิยมกันอยู่ในขณะนั้น คำว่าซือแป๋มีความหมายว่าเป็นครูบาอาจารย์ คำว่าซือเจ๊กโจ๊วหมายถึงอาจารย์ของอาจารย์อีกทีหนึ่ง ส่วนซือเจ็กในที่นี้ก็หมายถึงอาจารย์ผู้น้องของอาจารย์ หรืออาจารย์อานั่นเอง

    ทั้งนายเณรและนายเป๋ได้ยินนายกำธรว่าดังนั้นก็กล่าวพร้อมกันว่าแปลกดีเหมือนกันว่ะเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสองคนนี้อ่านหนังสือกำลังภายในน้อยไป แต่ชอบเรื่องแปลกประหลาดเหมือนกับความเป็นตัวประหลาดในแต่ละคนนั่นเอง

    ส่วนผมนั้นชอบหนังสือกำลังภายในและชอบถ้อยคำจำพวกนี้อยู่แล้ว พอได้ยินดังนั้นผมก็รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจตามไปด้วย จึงลุกขึ้นยืนคำนับให้นายเณรแล้วกล่าวว่าศิษย์คำนับซือแป๋ นายเณรก็หัวเราะดังลั่น ผมหันไปทางนายกำธรแล้วคำนับพลางกล่าวว่า ศิษย์คำนับซือเจ๊กโจ๊ว

    นายกำธรก็ว่า ซือเจ๊กโจ๊วจะประสิทธิ์ประสาธน์วิทยายุทธ์ให้เจ้าจนหมดไส้หมดพุง ต่อไปข้างหน้าอย่าทำให้เสียชื่อสำนัก แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นสำนักอะไร ผมก็บอกว่าครับ แล้วหันไปทางนายเป๋ คำนับและกล่าวว่าศิษย์คำนับซือเจ็ก

    นายเป๋เอามือมาตบไหล่แล้วกล่าวว่าเรื่องที่แล้วมาก็แล้วไป แต่ต่อไปวันหน้าต้องทำงานให้ซือเจ็กสักเรื่องหนึ่ง ผมถามว่าเรื่องอะไร นายเป๋ก็บอกว่าไว้วันหน้าจะบอกให้ได้รู้

    พวกเราหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง แล้วเล่นหมากฮอสกันอีก 3-4 กระดาน นายเณรจึงบอกว่าวันนี้ได้สั่งเมียให้ซื้อหอยแคลงและทำลาบเนื้อเตรียมไว้ที่บ้าน จึงเชิญชวนทุกคนไปร่ำสุราเพื่อเป็นการเลี้ยงฉลองต้อนรับศิษย์ของสำนักเรา ทั้งนายเป๋และนายกำธรได้ยินนายเณรว่าดังนั้นก็บอกว่าดีเหมือนกัน

    ผมเห็นทุกคนเออออห่อหมกไปกับนายเณร ครั้นจะขัดขืนก็จะฝืนน้ำใจกันมากไป ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ชอบกินเหล้า แต่ก็จำใจรับคำ

    เมื่อตกลงปลงใจพร้อมกันแล้ว จึงพากันออกจากร้านกาแฟไปที่ซอยวังหลัง ซึ่งเป็นบ้านพักของนายเณร มีสภาพแวดล้อมเป็นสลัม บ้านนายเณรนั้นเป็นบ้านไม้สองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องโถงโล่ง มีบันไดขึ้นชั้นบนซึ่งเป็นที่พักนอน นายเณรเช่าเขาอยู่เดือนละ 500 บาท เมื่อไปถึงก็เห็นมีการตั้งวงไว้ก่อนแล้ว มีหอยแคลงลวกพร้อมน้ำจิ้ม ลาบเนื้อ ผักจิ้ม และกากหมูตั้งอยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ เตี้ย ๆ กลางห้องโถง

    นายกำธรและนายเป๋ดูเหมือนว่าจะคุ้นกับบ้านของนายเณรเพราะคงเคยไปมาหาสู่กันมาเนิ่นนานแล้ว ผมคนเดียวที่เป็นคนแปลกหน้า แต่มิได้รู้สึกอึดอัดประการใดเพราะผมไม่เคยรังเกียจความยากจน และสภาพบ้านแบบเดียวกับบ้านของนายเณรผมก็เคยสัมผัสจากการอาศัยพักนอนที่วัดอัมรินทร์มาก่อนแล้ว

    พอทุกคนนั่งลงกับพื้นรอบ ๆ โต๊ะเล็ก ๆ นั้นแล้ว นายเณรได้กล่าวขึ้นว่าคนเรามีบ้านเล็ก ๆ แคบ ๆ ไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ต้องมีน้ำใจกว้างขวางโอบอ้อมอารี

    แล้วว่าคนส่วนใหญ่แสวงหาแต่ส่วนเกิน ทำงานทั้งชีวิตคิดอดออมสั่งสมเงินจนบางครั้งก็ลำบากยากเข็ญ ได้เงินมาอย่างมากก็แค่ปลูกบ้านได้หลังเดียว เสียเวลาเปล่า สู้เช่าเขาอยู่ไม่ได้ ดูอย่างนกสิไม่เคยคิดที่จะสร้างบ้านเรือนที่ถาวรอะไร ทำรังน้อย ๆ พอเป็นเครื่องคุ้มหัว คุ้มตัว ตั้งครอบครัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น ถ้าคนเราเอาอย่างนกชีวิตก็จะมีความสุข และไม่เบียดเบียนคนอื่น

    ผมได้ยินปรัชญาเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของนายเณรแล้วก็รู้สึกว่านายเณรนี้เป็นคนช่างคิด เพราะฐานะของนายเณรนั้นหากคิดอ่านซื้อหาบ้านก็คงไม่ต้องกินไม่ต้องใช้อะไรกันอีก เมื่อทำใจและทำความคิดได้อย่างนี้แล้วก็จะไม่มีความทุกข์ร้อนในเรื่องที่อยู่อาศัยอีกต่อไป แต่ไม่รู้ว่าลูกเมียของนายเณรจะคิดอย่างเดียวกับนายเณรหรือไม่

    สำหรับตัวนายเณรเองนั้นเห็นจะมีความรู้สึกตรงกับที่พูด เพราะไม่มีวี่แวววิตกทุกข์ร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยให้ปรากฏเลย ซึ่งเป็นไปตามที่พระท่านสอนว่าคนเราจะร่ำรวยหรือยากจนไม่ได้อยู่ที่เงินทองว่ามากน้อยเพียงใด แต่อยู่ที่ใจว่ามีความพอแล้วหรือไม่

    เมื่อใดที่ใจรู้สึกว่าอิ่มหรือพอแล้ว เมื่อนั้นก็ถือได้ว่าร่ำรวย คือเต็มแล้ว พอแล้ว ไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวายจากการแสวงหาอีกต่อไป แต่ถ้าเมื่อใดที่ยังรู้สึกว่าไม่พอ ยังหิวโหย แม้จะมีทรัพย์สินเงินทองสักเท่าใด เมื่อนั้นก็ถือได้ว่ายังยากจนอยู่ เพราะมีความรุ่มร้อน วุ่นวาย ดิ้นรนและแสวงหาเพื่อตอบสนองความปรารถนา ความกระหาย ใคร่อยากต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด จึงไม่ต่างกับเปรตที่มีความหิวตลอดเวลา ไม่รู้จักความอิ่ม ไม่รู้จักความพอ ชีวิตเช่นนั้นจึงคล้ายกับตกอยู่ในนรกทั้งเป็น

    โบราณจึงว่าถ้าไม่จนความพอก็ไม่จนความมี แต่ถ้าจนความพอก็ต้องจนความมี ซึ่งหมายความว่าถ้ารู้จักพอก็ไม่มีวันจน แต่ถ้าไม่รู้จักพอก็ต้องจนอยู่เรื่อยไป โดยนัยยะอย่างนี้ต้องถือว่านายเณรประสพความสำเร็จ มีความร่ำรวย และสมปรารถนาในชีวิตแล้ว

    แต่คนเรานั้นใช่ว่าจะอยู่ในโลกแต่ลำพังคนเดียวได้ ต้องมีครอบครัวลูกเมียมิตรสหายที่ต้องดูแลรับผิดชอบ หากคิดเอาอย่างนายเณรล้วน ๆ แล้ว ตัวเราคนเดียวอาจจะทนได้ รับได้ ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย แต่ลูกเมียครอบครัวมิตรสหายเพื่อนฝูงซึ่งอาจทำใจไม่ได้ก็ต้องเดือดร้อนวุ่นวายไป

    นายเณรเอากระดานหมากฮอสมาตั้งไว้สามกระดาน ตอนแรกผมก็รู้สึกแปลกใจว่าคนเพียงสี่คนทำไมจึงนำกระดานหมากฮอสออกมาวางถึงสามกระดาน และถ้าจะเล่นพร้อมกันทีเดียวสามกระดานจะเล่นได้อย่างไร แต่ครู่หนึ่งก็หายแปลกใจ

    นายกำธร นายเณร และนายเป๋นั่งกันเป็นมุมสามเหลี่ยมรอบ ๆ บริเวณโต๊ะที่ตั้งกับแกล้ม ตั้งกระดานหมากฮอสข้างโต๊ะระหว่างนายกำธรกับนายเณรกระดานหนึ่ง ระหว่างนายเณรกับนายเป๋กระดานหนึ่ง และระหว่างนายเป๋กับนายกำธรอีกกระดานหนึ่ง

    กลายเป็นว่าในเวลาเดียวกันทั้งสามคนเล่นหมากฮอสด้วยกันเป็นสามกระดาน และเล่นพร้อมกันทุกคน นายกำธรใช้มือขวาเดินหมากฮอสกับนายเณร ใช้มือซ้ายเดินหมากฮอสกับนายเป๋ ส่วนนายเณรใช้มือซ้ายเดินหมากฮอสกับนายกำธร และใช้มือขวาเดินหมากฮอสกับนายเป๋ ในขณะที่นายเป๋ใช้มือขวาเดินหมากฮอสกับนายกำธร และใช้มือซ้ายเดินหมากฮอสกับนายเณร ดูเป็นการเล่นหมากฮอสที่ชุลมุนวุ่นวายและพิสดารกว่าที่เคยเห็นมาในชีวิต

    นายกำธรบอกผมว่ามาใหม่ ๆ นั่งดูพวกเราเล่นกันก่อน ไว้วันหลังค่อยมาร่วมวง ผมก็บอกว่าครับ เพราะยังงงอยู่กับการเล่นหมากฮอสแบบนี้ แต่ก็เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกดีและชวนเวียนหัวชอบกล

    แต่ละคนเดินหมากฮอสทั้งมือซ้าย มือขวา มือข้างไหนว่างก็ตักกับแกล้มมากิน ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม ในขณะที่ปากก็พูดกันไปเรื่อย ๆ

    นายเณรและนายเป๋ต่างร้องเพลงแหล่กันคนละเพลง ส่วนนายกำธรผิวปากเป็นทำนองเพลงสากลไปอีกทางหนึ่ง ผมรู้สึกว่าทั้งสามคนนี้ช่างเป็นตัวประหลาดโดยแท้ แต่มีสมองและจิตใจที่สามารถแยกภาระหน้าที่กันทำหน้าที่หลาย ๆ อย่างในขณะเดียวกันได้ คือทั้งเดินหมากฮอส ทั้งกินเหล้าและกับแกล้ม และทั้งร้องเพลง ดูช่างชุลมุนดีแท้

    มาถึงวันนี้จึงได้เข้าใจว่าสามคนนี้เป็นสุดยอดฝีมือทางหมากฮอสได้ นอกจากจะมีฝีไม้ลายมือในเชิงหมากฮอสชั้นครูแล้ว ยังมีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคงเป็นสมาธิ ไม่วอกแวกหวั่นไหว และมีจิตใจที่ร่าเริงแจ่มใส่จนน่าประหลาดใจอีกด้วย คนแบบนี้จึงนับว่าเป็นยอดคนจำพวกหนึ่ง.
     
  13. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 32. จิตใจต่างกันทำให้คนต่างกัน

    ที่ไหน ๆ เขาก็เล่นหมากฮอสกันทีละกระดาน หรือถ้าเล่นหลายกระดานก็เป็นกรณีที่คนเดียวเล่นกับหลาย ๆ คนโดยเดินเวียนไปตามโต๊ะต่าง ๆ พอมีเวลาได้คิดได้อ่านและมักจะเป็นการตั้งหน้าตั้งตาเล่นหมากฮอสอย่างเดียว มีแต่สามตัวประหลาดนี้เท่านั้นที่เล่นหมากฮอสแบบประหลาดและทำการหลาย ๆ อย่างในขณะเดียวกัน

    ผมนึกเลื่อมใสอยู่ในใจว่าทั้งสามคนนี้ได้ฝึกฝนจิตใจจนมีความมั่นคง สามารถทำการงานหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน และการมีจิตใจที่มั่นคงนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเราสามารถทำการงานทุกสิ่งอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ถ้าหากมีจิตใจที่ไม่มั่นคง หวั่นไหว ก็ยากที่จะทำการงานใดให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างมีประสิทธิผล เพราะเป็นธรรมดาของการทั้งปวงที่ต้องฝ่าคลื่นฝ่าลม ต้องเผชิญกับอุปสรรคขวากหนาม ทั้งต้องพัฒนาการนั้นๆ ให้ยกระดับก้าวหน้าขึ้นไปโดยลำดับด้วย

    จึงขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถดำรงความเป็นปกติและมีความมั่นคงได้ในทุกสถานการณ์ และนี่คือสิ่งที่ทำให้คนเรามีความแตกต่างกัน ทั้ง ๆ ที่อาจมีอายุ เพศ วัย ความรู้ ความสามารถที่เท่ากัน แต่ถ้าความมั่นคงของจิตใจต่างกันแล้ว ผลที่ได้มาย่อมแตกต่างกันไปเสมอ

    ยิ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน หรือเรื่องที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคและความยากลำบากมากหลายด้วยแล้ว ความแตกต่างก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว บางคนประสบความล้มเหลว แต่บางคนก็ประสพความสำเร็จจนเป็นวีรชนหรือรัฐบุรุษไปเลย

    บิดาของนายภราดร ศรีชาพันธุ์ นักเทนนิสชื่อดังของประเทศไทยได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่าในการแข่งขันครั้งที่ภราดร ศรีชาพันธุ์ ต้องพ่ายแพ้แก่นักเทนนิสลำดับหนึ่งของโลกชาวต่างชาตินั้น ความจริงแล้วฝีมือไม่ได้แตกต่างกัน แต่ที่นายภราดร ศรีชาพันธุ์ พ่ายแพ้เนื่องจากเหตุสองประการ คือนายภราดร ศรีชาพันธุ์ กระดูกยังไม่แข็งพอ ซึ่งหมายความว่ายังมีประสบการณ์น้อยกว่าอย่างหนึ่ง และยังมีจิตใจที่ยังไม่มั่นคงพออีกอย่างหนึ่ง

    คำกล่าวนี้ถูกต้องถ่องแท้ สมแล้วกับความเป็นพรหมโค้ช คือโค้ชที่เป็นผู้พ่อของนายภราดร ศรีชาพันธุ์เอง และเป็นโค้ชที่เข้าใจปัจจัยแพ้ชนะได้อย่างกระจ่างแจ้ง ต่างกันอย่างลิบลับกับโค้ชกระจอกงอกง่อยบางคนที่ไม่รู้ถึงสาเหตุแพ้ชนะ กลับแนะนำให้นายภราดร ศรีชาพันธุ์ ไปว่าจ้างโค้ชต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อจะได้มีชัยชนะในการแข่งขัน

    การเที่ยวออกความเห็นโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้เหตุแพ้ชนะ มีแต่จะนำความหายนะมาสู่ยอดนักเทนนิสชาวไทย เพราะฝรั่งที่ไหนในโลกจะมีความรู้วิธีทำให้จิตใจมั่นคงได้เสมอด้วยคนตะวันออก และยิ่งไม่มีทางเสมอด้วยโค้ชที่เป็นพ่อของนายภราดร ศรีชาพันธุ์เอง

    ผมนั่งดูสามตัวประหลาดแห่งวงการหมากฮอสเล่นหมากฮอสกันไป กินกับแกล้มและกินเหล้ากันไป หัวเราะต่อกระซิก ร้องเพลงสลับกันไปอย่างสนุกสนาน ในขณะเดียวกันก็สังเกตกระบวนท่าการเดินหมากฮอสที่เดินกันเป็นสามมุม สามกระดาน ก็ได้รู้ว่าความรู้เรื่องหมากฮอสของผมนั้นยังห่างไกลจากตัวประหลาดทั้งสามคนนี้มากมายนัก

    เพราะรูปการเปิดหมากที่แต่ละคนใช้ในการเดินก็เป็นรูปลักษณะที่แปลกประหลาดกว่าที่ผมเคยรู้เคยเห็นมา ทั้งจังหวะก้าวการเดินและลีลาการกิน การลวง ก็ช่างลึกล้ำ ผมพยายามดูตาม คิดตาม และพยายามจดจำลีลารูปหมากของแต่ละคนอย่างใจจดใจจ่อ ถึงกระนั้นก็จดจำได้ไม่มากนัก แต่ที่เกิดความรู้สึกขึ้นในใจผมก็คือแนวความคิดในการคิด ในการกิน ในการกัน ในการแก้ และในการวางกลอุบายในการเดินหมากแต่ละตัวที่ลึกซึ้งและสนุกสนาน

    ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือในขณะที่นายกำธรกำลังเดินหมาก ด้านหนึ่งเดินกับนายเป๋ ด้านหนึ่งเดินกับนายเณรนั้น นายกำธรยังคงสามารถวิจารณ์การเดินหมากของนายเป๋และนายเณรที่เล่นกันเองอีกด้วย

    ได้เห็นถึงความเหนือกว่าอย่างชัดเจนของนายกำธร ทั้งในความมีจิตใจที่มั่นคงอย่างหนึ่ง และความลึกซึ้งแหลมคมในความรู้เรื่องการเดินหมากฮอสอีกอย่างหนึ่ง สมแล้วที่อยากเรียกตัวเองแบบหนังสือกำลังภายในว่าซือเจ๊กโจ๊ว

    ผมนั่งดูสามตัวประหลาดแห่งวงการหมากฮอสเล่นหมากฮอสกันจนกระทั่งเกือบใกล้สามทุ่มก็ร้อนใจอยากจะกลับวัด เพราะที่กุฏิธรรมนิวาสนั้นมีระเบียบแบบแผนว่าทุกคนต้องกลับเข้ากุฏิก่อนเวลาสามทุ่ม หลังจากนั้นแล้วก็จะปิดประตู ลั่นกุญแจ เว้นแต่จะขออนุญาตพระมหาทรงธรรม์ให้เป็นเรื่องเป็นราวตามความจำเป็นก่อน

    นายกำธรแม้จะสาละวนอยู่กับการเล่นหมากฮอส แต่ยังสัมผัสรู้ถึงความผิดปกติรอบ ๆ ตัวได้เป็นอย่างดี ต้องนับว่าเป็นคนที่มีความสามารถเป็นพิเศษเยี่ยมยอดจริงๆดังนั้นพอผมมีอาการกระวนกระวายให้ปรากฏเท่านั้น นายกำธรก็จับความสังเกตและหยั่งคาดถึงความรู้สึกของผมได้อย่างถูกต้อง นายกำธรจึงได้ถามผมว่าได้เวลากลับวัดแล้วใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ เพราะที่กุฏิจะปิดประตูล็อคกุญแจเวลาสามทุ่ม วันนี้ไม่ได้ขออนุญาตพระเอาไว้ก่อน จึงต้องกลับให้ทันเวลา

    นายเณรได้ยินดังนั้นก็ว่าเกิดเป็นคนอย่าให้เรื่องราวต่างๆ มาผูกมัดตนเองมากเกินไป คนเราตอนเป็นเด็กก็ถูกพ่อแม่ผูกมัดบังคับให้ประพฤติปฏิบัติและเรียนหนังสือ โตขึ้นหน่อยก็ถูกครูบังคับให้ปฏิบัติตามระเบียบวินัยและให้มีความขยันหมั่นเพียร พอบวชเรียนก็ถูกอุปัชฌาย์บังคับให้อยู่ในศีลในวินัย พอแต่งงานก็ถูกเมียบังคับอีก ครั้นทำงานเข้าแล้วก็ถูกเจ้านายผู้บังคับบัญชาบังคับขับไส พอแก่เฒ่าตามวัยก็ต้องถูกลูกบังคับให้รักษาสุขภาพอีก ครั้นถึงเวลาตายก็ถูกสัปเหร่อมัดตราสังข์เพราะกลัวว่าเป็นผีแล้วจะออกไปหลอกรังแกชาวบ้าน

    นายเณรกล่าวดังนั้นแล้วก็พร่ำในลำคอให้ได้ยินทั่วกันว่าเออ! อนาถหนอชีวิตคนเรานี้ไม่มีแก่นสารอันใด เกิดมาเพียงเพื่อถูกเขาบังคับแท้ ๆ

    นายเณรมีทัศนคติที่แม้จะแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อตรองดูแล้วก็ดูเหมือนว่าสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความเป็นไปในชีวิตของเกือบทุกผู้คน

    นายเณรพูดลอย ๆ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก คือไม่ได้ทักท้วง ห้ามปราม หรือเร่งรัดให้ผมรีบกลับวัดแต่ประการใด ราวกับว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน

    ส่วนนายเป๋นั้นกลับบอกว่าจะไปกลัวระบบระเบียบอะไรกัน คนที่ทำตามระเบียบเป็นได้ก็แค่คนธรรมดาที่เหมือนกันทุกคน แต่การจะเป็นยอดคนก็ต้องรู้จักหลีกเลี่ยงระเบียบ กล่าวแล้วนายเป๋ก็หัวเราะ และไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรอีก

    ผมเห็นดังนั้นจึงกล่าวกับทั้งสามคนว่าวันนี้เห็นทีจะต้องกลับไปก่อน ใจจริงอยากจะเล่นหมากฮอสสัก 2-3 กระดาน พอให้ซือเจ๊กโจ๊ว ซือแป๋ และซือเจ็กได้รู้ว่ามีฝีมือขนาดไหน จะได้ถ่ายทอดวิชาให้ตรงกับระดับฝีมือที่เป็นอยู่ เพื่อไม่ต้องเสียเวลา

    นายเณรได้ยินดังนั้นก็ว่าต้องเริ่มใหม่หมดละวะ วิชาหมากฮอสบ้านนอกมันก็เท่านั้นแหละ เอาเถิดวันนี้กลับไปก่อน วันหลังให้มาหาเวลาสี่ทุ่ม จะสอนวิชาให้ ส่วนจะมาได้ประการใดหรือไม่ เป็นลูกผู้ชายไปคิดอ่านหาวิธีเอาเอง แต่อย่ามาวันศุกร์และวันเสาร์เพราะตัวเราจะต้องไปทำมาหากิน ซึ่งหมายความว่าจะไปเล่นการพนันกันที่ต่างจังหวัด

    ผมเห็นสมควรแก่เวลาและทั้งสามคนก็ไม่มีท่าทีเหนี่ยวรั้ง จึงยกมือไหว้ลาแล้วรีบกลับกุฏิ ไปถึงกุฏิเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่นาทีก็จะเป็นเวลาสามทุ่ม พอเข้าไปถึงกุฏิก็เห็นหมอปานกำลังนั่งผูกดวงและคิดคำนวณตัวเลขต่าง ๆ ผมเห็นเป็นเรื่องแปลกกว่าวันก่อนจึงถามว่าวันนี้ลุงหมอมาแปลก ทำไมสามทุ่มแล้วยังมานั่งผูกดวงคำนวณอะไรอยู่อีก

    หมอปานก็ว่าดูดวงดาวในวันข้างหน้าไม่ไกลจากนี้เห็นจะมีการปฏิวัติหรือไม่ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งสำคัญละวะ

    ตัวผมเองในขณะนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องการบ้านการเมืองอะไร ได้ยินดังนั้นก็ไม่ค่อยสนใจ จึงถามหมอปานว่าใครคิดปฏิวัติ แล้วให้คำนวณฤกษ์ผานาทีหรืออย่างไร และจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไร

    หมอปานจึงว่าบ้าละสิ ตัวเราพอมีความรู้บ้างก็จริงแต่จะไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับพวกนักปฏิวัติเด็ดขาด บทเรียนจากพวกโหรหลายคนที่ไปเที่ยวคำนวณฤกษ์ผานาทีให้เขายึดอำนาจ พอพลาดพลั้งลงก็ติดคุกหรือไม่ก็ถูกทำร้ายถึงหัวร้างข้างแตกมาแล้ว บางคนไปให้ฤกษ์ปฏิวัติ พอเขาจะเอาจริงเขาก็ให้คนมาจับตัวไปขังไว้เพราะเกรงว่าจะไปเที่ยวพูดจาให้ความลับแพร่งพรายให้เสียการไป มีแต่เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง ใครจะเป็นหมอดูก็ต้องรู้บทเรียนนี้ เราคำนวณเพื่อรู้เอง ไม่ได้บอกใครและก็ไม่ได้รับจ้างใครมาคำนวณด้วย

    ผมจึงได้คติและแง่คิดในเรื่องนี้จากหมอปานอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ไม่น้อย และได้เห็นเหตุการณ์ในชั้นหลัง ๆ ว่าเป็นดังที่หมอปานได้กล่าวไว้ทุกประการ

    หลังจากนั้นไม่นาน วันหนึ่งในเดือนธันวาคมปีนั้น ในขณะที่ผมกำลังนั่งซักผ้าอยู่ด้านหลังกุฏิก็ได้ยินวิทยุประกาศข่าวว่าจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีซึ่งป่วยหนักได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว และต่อมาก็มีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จึงนับว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นจริงตามที่หมอปานได้คำนวณไว้

    หลังกลับจากบ้านนายเณรวันนั้นแล้ว ความคิดใคร่ที่จะเรียนวิชาหมากฮอสจากสามตัวประหลาดก็กรุ่นอยู่ในอก เพราะผมเป็นคนบ้านนอก ไม่มีอะไรดีเด่นติดตัวเลย ในขณะนั้นจึงคิดว่าขอให้เก่งหมากฮอสสักอย่างคงจะดีเป็นแน่ และบัดนี้ก็พบคนมีความรู้ดีแล้ว จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้เล่าเรียนวิชา

    แต่เป็นปัญหาว่าการจะไปศึกษาเรื่องการเดินหมากฮอสนั้นจะต้องไปพบกับนายเณรในเวลาสี่ทุ่มเป็นต้นไป ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผมเพราะประตูกุฏิธรรมนิวาสจะปิดในเวลาสามทุ่ม ไม่อาจไปศึกษาได้เว้นแต่จะขออนุญาตจากพระเสียก่อน แต่จะไปขออนุญาตพระเพื่อไปเล่นหมากฮอสยามดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ย่อมไม่สมควรเป็นแน่

    ผมเฝ้าครุ่นคิดวิธีที่จะไปเรียนหมากฮอสอยู่ไม่นานก็เห็นว่าการที่จะได้เรียนวิชาหมากฮอสด้วยและไม่ทำให้พระหนักอกหนักใจหรือขัดขวางด้วยนั้น ไม่เห็นทางออกอื่นนอกจากจะต้องหนีออกจากกุฏิในเวลาใกล้สี่ทุ่ม ซึ่งจะต้องทำให้แนบเนียนไม่ให้มีอาการผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น นั่นคือจะต้องทำทีเป็นเข้านอนในราวสามทุ่ม ครั้นทุกคนเข้านอนแล้วจึงค่อยหลบออกไป

    แต่เนื่องจากประตูกุฏิธรรมนิวาสนั้นสูงและยังมีลวดหนามขึงกั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง ยากจะออกไปได้ เว้นแต่จะทำกุญแจผีซึ่งผมไม่มีความรู้ จึงมีแต่จะต้องออกไปทางรั้วด้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วเดินอ้อมคณะหนึ่งไปเท่านั้นจึงจะเป็นไปได้มากกว่าทางอื่น

    ดังนั้นพอโอกาสอำนวยผมจึงไปสำรวจรั้วกุฏิด้านที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นรั้วต้นชบา แต่มีรั้วลวดหนามขึงกั้นเป็นสี่ชั้น ผมคะเนพอเหมาะแล้วจึงตัดลวดหนามเสียเส้นหนึ่ง แล้วเอาลวดผูกต่อมัดไว้กับเสาดังเดิม เผื่อเวลาจะออกไปก็จะได้แก้ลวดเปิดลวดหนามเส้นนั้นออก ก็จะไม่เป็นที่ระแคะระคายให้เป็นที่ผิดสังเกต

    ครั้นจัดแจงแต่งทางหนีทีกลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คืนวันหนึ่งเวลาใกล้สี่ทุ่มคะเนเห็นพระเข้านอนแล้ว ผมจึงบอกหมอปานว่าจะไปเรียนวิชาหมากฮอส หมอปานอย่าอึกทึกเอะอะให้ใครล่วงรู้ หมอปานก็ว่าระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน อย่าไปมีเรื่องมีราวกับใครให้เดือดร้อนมาถึงวัด ผมก็รับคำแต่โดยดี

    ผมหลบออกมาจากกุฏิทางด้านหลังแล้วปิดประตูไว้ดังเดิม จากนั้นก็เดินมาที่รั้วชบาริมแม่น้ำเจ้าพระยา แกะลวดที่ผูกลวดหนามออกตามที่ได้เตรียมการไว้ แล้วเดินอ้อมคณะหนึ่ง เดินไปทางซอยวังหลัง

    ผมไปถึงบ้านนายเณรก็พบนายเณรนั่งเล่นหมากฮอสอยู่คนเดียว เห็นทีว่านายเณรนี้จะตั้งตารอท่าผมอยู่วันสองวันแล้ว พอเห็นหน้าผมนายเณรก็เอ่ยปากว่านึกแล้วว่าจะต้องมาภายในไม่เกินสามวัน ผมก็ตอบว่าเพิ่งจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมเสร็จจึงรีบมาในวันนี้

    นายเณรบอกให้ผมเดินหมากฮอสคนเดียวก่อนโดยเดินทั้งสองข้าง ส่วนนายเณรเป็นผู้นั่งดู แล้วบอกว่าผมเปิดรูปหมากในแบบที่เรียกว่าอีปุ้มออกศึกซึ่งเป็นแบบที่คนบ้านนอกเขานิยมใช้กัน แต่เป็นแบบที่มีทั้งจุดแข็ง จุดอ่อนอยู่ในตัว คนทั่วไปรู้แต่จุดแข็ง แต่ไม่รู้จุดอ่อนของรูปหมากนี้ ดังนั้นพอเล่นกับคนที่มีความรู้จึงพ่ายแพ้ได้โดยง่าย

    นายเณรบอกว่ามาเริ่มต้นใหม่กันเลยจะดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาไปพิจารณาว่ามีพื้นความรู้ขนาดไหน ผมเห็นดีเห็นงามไปกับนายเณรด้วย ดังนั้นการสอนวิชาหมากฮอสจึงได้เริ่มต้นขึ้น.
     
  14. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 33. ศาสตร์แห่งชีวิต

    นายเณรเริ่มต้นการสอนหมากฮอสโดยปูพื้นฐานทางความคิดเพื่อเป็นวิธีคิดในการเล่นหมากฮอส ซึ่งดูไปแล้วก็คล้ายกับการปูพื้นฐานกำลังภายในของคนที่ต้องการฝึกวิทยายุทธ์ในหนังสือกำลังภายใน แต่แท้จริงแล้วคำสอนของนายเณรในเรื่องนี้ก็คือศาสตร์แห่งชีวิตอย่างหนึ่งซึ่งผมมีความประทับใจและจดจำไว้ไม่เคยลืมเลือนเลย

    นายเณรบอกว่าคนเรามีปกติชอบได้ไม่ชอบเสีย ความจริงในโลกนี้ไม่มีอะไรได้อย่างเดียวหรือเสียอย่างเดียว ยามเสียหาได้มีผลเสียแต่ทางเดียวไม่ แต่จะมีผลได้แฝงฝังอยู่ ยามได้ก็หาได้มีผลได้แต่ทางเดียวไม่ แต่จะมีผลเสียแฝงฝังอยู่เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองเห็นความจริงดังกล่าวนี้หรือไม่

    นายเณรเตือนว่าคนเราทั่วไปนั้นยามได้มักไม่คิดถึงผลเสียที่จะติดตามมา ครั้นพอเสียเข้าจริงก็รู้สึกผิดหวัง อีกพวกหนึ่งยามเสียก็ไม่เข้าใจว่ามีทางได้แฝงอยู่ด้วยจึงเสียอกเสียใจเป็นทุกข์เป็นร้อน และสูญเสียโอกาสที่จะแสวงหาสิ่งที่จะพึงได้จากการเสียนั้น ซึ่งไม่เข้าท่าทั้งสองทาง

    นายเณรสอนว่าไม่ว่าเวลาได้หรือเวลาเสียก็ต้องคิดถึงอีกด้านอีกมุมหนึ่งว่ามีเสียมีได้อะไรแฝงตัวอยู่หรือที่จะติดตามมาบ้าง หากเข้าใจความจริงนี้แล้วยามเสียก็จะไม่ทุกข์ร้อนแต่จะกุมโอกาสและแสวงหาโอกาสที่จะยึดกุมช่วงชิงส่วนที่จะพึงได้ให้ได้มาจริง ๆ หรือในยามได้ก็จะไม่หลงตนเหลิงระเริงลมแล้วเกิดความเสียหายโดยที่ไม่ได้คิดอ่านป้องกัน

    นายเณรย้ำว่าความคิดในการเล่นหมากฮอสก็เหมือนกัน จะกินเขาก็ใช่ว่าจะกินได้ข้างเดียว ย่อมต้องมีโอกาสถูกเขากิน หรือถ้าเป็นจุดสำคัญก็อาจจะแพ้ทั้งกระดาน หรือในยามถูกเขากินก็ใช่ว่าจะสิ้นเนื้อประดาตัวถึงพ่ายแพ้ หากพึงต้องคิดแก้ไขใคร่ครวญส่วนที่จะได้ว่าอยู่ตรงไหน

    แล้วว่าเมื่อได้ใคร่ครวญพินิจพิจารณาทั้งทางได้ทางเสียอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็จะทำให้การตัดสินใจมีความมั่นคงเด็ดขาดและถูกต้องมากขึ้น

    นายเณรอธิบายต่อไปอีกว่าจะทำการสิ่งใดใช่ว่าจะต้องทำให้ถึงที่สุด ยามเล่นหมากฮอสได้ก็อย่าคิดเอาได้จนถึงที่สุด ต้องคิดเผื่อเหลือเผื่อขาดให้คู่ต่อสู้ได้มีเงินเหลือพอกลับบ้านได้ จะได้ไม่เดือดร้อนขัดสนอับจนจนสร้างเรื่องร้ายตามมา หรือยามเล่นหมากฮอสเสียก็อย่าให้เสียจนหมดตัว ให้พึงรู้ประมาณ

    นายเณรพูดกว้าง ๆ อีกว่าปรากฏการณ์ที่เห็นในการเล่นหมากฮอสกับความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แล้วยกตัวอย่างนายเป๋ว่านายเป๋นั้นมีฝีไม้ลายมือเหนือกว่าผมมากมายนัก แต่นายเป๋แกล้งเล่นหมากฮอสแพ้และยอมจ่ายค่าพนันหลายครั้งหลายหน หากไม่มีความเฉลียวยั้งคิดก็จะเหลิงระเริงว่ามีฝีมือเหนือกว่าเขา ในที่สุดก็จะหมดเนื้อประดาตัว

    นายเณรบอกว่าอย่าประมาทให้กับใครเป็นอันขาด จะเล่นหมากฮอสกับใครที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่ว่าจะเห็นฝีมือเป็นประการใดอย่าประมาทคิดว่าเป็นหมูโดยเด็ดขาด ให้คิดเสียว่าเขาอาจะเป็นเซียนซ่อนตัวแบบนายเป๋ก็ได้ หากคิดได้อย่างนี้ก็จะเป็นเกราะคุ้มตัวไม่ให้เสียหายในภายหน้า

    นายเณรบอกอีกว่าการไปอ่อนข้อในเชิงต้มตุ๋นผู้คนนั้นนายเณรไม่เห็นด้วยเลย กับที่นายเป๋ได้กระทำมาแต่ก็มิรู้ที่จะว่ากล่าวตักเตือนประการใด เพราะเห็นใจนายเป๋ซึ่งมีฐานะลำบากยากจน มีลูกในอุปการะหลายคน ในขณะที่เงินเดือนก็น้อยนิด จึงต้องหารายได้พิเศษจากการเล่นพนันหมากฮอส

    นายเณรกล่าวว่าการเล่นพนันเอาเงินนั้นใครๆก็เล่นได้ จัดเป็นเรื่องคนทั่วไปเขาทำกัน แต่สำหรับซือแป๋ไม่เห็นเรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่เห็นความมีมิตรไมตรีที่จะผูกมิตรไมตรีกับใครต่อใครนั้นสำคัญกว่า

    นายเณรกล่าวในเชิงรำพึงอย่างภาคภูมิใจว่าชั่วชีวิตของซือแป๋รักนับถือคุณธรรมน้ำมิตรยิ่งกว่าสิ่งใด เล่นหมากฮอสก็เพื่อความสนุกสนาน หากมีพนันบ้างก็ถือเป็นงานอดิเรก แต่จะมุ่งการผูกมิตรไมตรีเป็นสำคัญกว่า

    นายเณรกล่าวด้วยเสียงอันหนักแน่นอีกว่า นกกาไม่เคยสั่งสมทรัพย์สิน โบยบินไปในอากาศก็แสวงหาอาหารได้ก็เพราะรู้ว่าไปทิศไหนมีผลหมากลูกไม้อะไรที่กินได้ แต่คนเรากลับไม่สนใจ

    ทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่ของสำคัญ ความสำคัญอยู่ตรงที่ใครมีอำนาจใช้มันต่างหาก แท้จริงแล้วการมีทรัพย์สินเงินทองมากเป็นภาระในการดูแลรักษา ไหนจะต้องป้องกันโจรผู้ร้ายจะขโมยปล้นชิงเอา ไหนจะต้องป้องกันไม่ให้ลูกหลานล้างผลาญทะเลาะกัน

    นายเณรพูดกลั้วเสียงหัวเราะว่าซือแป๋ไม่สนใจเรื่องเงิน แต่สนใจมิตรสหายมากกว่า ขอเพียงรู้จักรักคบมิตรสหายให้ถูกก็เหมือนมีทรัพย์สมบัตินับค่าหาประมาณมิได้เลย
    นายเณรโอ่ว่าชั่วชีวิตของซือแป๋มีมิตรสหายมากมาย ไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลไหน ถึงแม้จะไม่มีเงินติดกระเป๋าไปแม้แต่สักบาทเดียว แต่รับรองว่าไม่อดอยากขัดสนเป็นอันขาดเพราะทั่วทุกสารทิศซือแป๋มีมิตรสหายที่รู้ใจ ที่พร้อมจะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันมิให้อนาทรใด ๆ

    นายเณรบอกว่าการมีมิตรสหายแบบนี้เหมือนกับคำโบราณที่ว่ามีสหายมีคุณค่าเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน ซึ่งความจริงคงจะเป็นการแปลงสารหรือไม่ก็เป็นการจำคลาดเคลื่อน เพราะคำพังเพยไทยในเรื่องนี้มีว่า “มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน”

    ผมฟังดูก็เข้าใจในปรัชญาหมากฮอสของนายเณร และคิดเห็นว่าปรัชญาแบบนี้ใช่ว่าจะนำไปใช้ได้กับการเล่นหมากฮอสอย่างเดียวเท่านั้น หากยังสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงของคนเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย คิดดังนี้แล้วก็เข้าใจความในหนังสือกำลังภายในบางตอนที่ว่า “สูงสุดสู่สามัญ” คือเมื่อบรรลุถึงความสุดยอดแห่งวิชาใด ๆ แล้วก็จะพบกับความเป็นสามัญธรรมชาติธรรมดาที่ตรงกันในแทบทุกสาขาวิชา

    ผมประทับใจในหลักการคบมิตรของนายเณรตั้งแต่ในขณะนั้น ครั้นโตขึ้นได้เรียนรู้มากขึ้นโดยเฉพาะการได้มีโอกาสเรียนรู้สัมผัสกับพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาแล้ว ก็เห็นว่าคำสอนของนายเณรหลายอย่างนั้นเป็นคำสอนที่ถูกต้อง

    โดยเฉพาะคือคำสอนในการคบมิตร ซึ่งคำสอนในมงคลสูตรที่พระตถาคตเจ้าพร่ำสอนแก่ชาวพุทธก็ปรากฏว่าข้อแรก ๆ เป็นคำสอนเกี่ยวกับการคบมิตร เพราะเริ่มด้วยมงคลสูตรข้อแรกว่าอย่าคบคนพาล และข้อที่สองว่าพึงคบบัณฑิต

    พระบรมศาสดาทรงเตือนว่าการคบคนพาลจะนำความทุกข์ร้อนมาให้ เพราะคนพาลเหมือนกับถ่านไฟ ยามลุกไหม้โชติแดงอยู่ขืนจับต้องเข้าก็จะร้อนจนมือไหม้พอง ยามดับมอดลงไปแล้วขืนจับต้องเข้าก็สกปรกเปรอะเปื้อน แม้ไม่จับต้องแต่หากอยู่ใกล้ลมโชยมาฝุ่นขี้เถ้าก็จะปลิวเข้าหูเข้าตาให้แสบร้อนหรือเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเป็นอย่างน้อย

    การคบบัณฑิตจะนำประโยชน์สุขมาให้ เพราะบัณฑิตจะแนะนำสั่งสอนให้เว้นในสิ่งที่ควรเว้น ให้ทำในสิ่งที่ควรทำ รวมทั้งอาจสอนให้รู้ด้วยว่าความจริงแท้นั้นเป็นประการใด สิ่งที่เห็นสัมผัสอาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ ที่สำคัญคือบัณฑิตอาจสอนให้เห็นถึงภาวะอันเป็นจริงของสรรพสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน มีความไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่และดับไป เป็นภาวะที่เป็นทุกข์ และไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

    คนเรานั้นหากได้ปฏิบัติมงคลสองข้อนี้ให้ดีแล้วก็จะไม่มีทางตกต่ำเลย จะไม่มีทางพ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง มีแต่จะชนะในที่ทั้งปวง จะถึงซึ่งความเกษมเป็นแน่แท้ตามที่พระตถาคตเจ้าทรงรับรองผลไว้ในตอนท้ายของมงคลสูตรนั้น

    นายเณรบอกว่าเบื้องต้นต้องฝึกฝนทางจิตใจให้กล้าเสียเสียก่อน เพราะเมื่อกล้าเสียจนหมดตัวแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกต่อไป เหมือนกับคนเราหากใครไม่กลัวตายเสียอย่างหนึ่งก็จะสามารถทำการทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่ทุกข์ร้อนหรือวิตกกังวล


    นายเณรบอกว่าวันนี้ซือแป๋แนะนำระบบความคิดและวิธีคิดให้เป็นพื้นฐานก่อน มีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ให้ไต่ถามได้ แล้วถามว่าผมสงสัยอะไรหรือไม่

    ผมค่อนข้างจะมีสติมั่นคง ในขณะที่นายเณรพูดจาพร่ำสอนก็ตั้งใจสดับตรับฟังเป็นอย่างดี จึงสามารถจดจำได้แม่นยำและสามารถคิดตามใคร่ครวญตามก็มีความเข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินคำถามอย่างนั้นจึงตอบไปด้วยความเคารพว่าผมเข้าใจแล้ว แต่ถ้าสงสัยอะไรในภายหลังก็จะขอสอบถามต่อไป

    นายเณรตอบว่าเช่นนี้ก็ดีแล้ว จากนี้ไปเรามาฝึกวิธีกล้าเสียกันก่อน

    ว่าแล้วนายเณรได้ตั้งตัวหมากฮอสบนกระดาน โดยตั้งตัวหมากฮอสฝ่ายนายเณรแปดตัวตามปกติ ส่วนทางด้านผมนายเณรตั้งไว้เพียงตัวเดียว แล้วบอกว่าของเจ้าตัวเดียว ของซือแป๋แปดตัว มาดูกันว่าใครจะถูกกินหมดก่อน ฝ่ายนั้นจะเป็นฝ่ายชนะ

    นายเณรบอกว่านี่คือการฝึกหัดกล้าเสียและให้รู้จักเสีย แต่ก็เป็นวิธีการเล่นหมากฮอสอีกชนิดหนึ่งด้วยคือใครถูกกินหมดก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ

    นับเป็นเรื่องที่แปลกเรื่องหนึ่งที่พบเห็นเป็นครั้งแรกในครั้งนั้น เพราะปกติแม้ตั้งตัวหมากฮอสกันฝ่ายละตัวก็น่าจะก้ำกึ่งกันว่าใครจะถูกกินหมดก่อน แต่นี่นายเณรตั้งตัวหมากออสฝ่ายตัวเองถึงแปดตัว ตั้งให้ผมแค่ตัวเดียว หากปกติทั่วไปฝ่ายที่มีตัวเดียวก็น่าที่จะถูกกินหมดก่อน

    ผมเห็นกติกาที่นายเณรว่าก็รู้สึกแปลกใจ เพราะฝ่ายตัวเดียวย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะถูกกินหมดก่อน แต่ได้ยินนายเณรบอกว่ามากหรือน้อยยังไม่สำคัญเท่ากับความรู้ มีมากหากไม่รู้ก็เหมือนน้อย มีน้อยหากไม่รู้ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นเรื่องราวทุกสิ่งอย่างจึงต้องตั้งรากฐานที่ความรู้ก่อน

    ผลการเดินปรากฏว่านายเณรสามารถเดินหมากให้ผมกินได้จนหมด ตลอดทั้งกระดานผมรู้สึกว่าตกอยู่ในสภาพบังคับที่ต้องเดินตามที่กำหนดและต้องกินตามที่กำหนด ทำให้ได้สัมผัสว่าความรู้นี้ยังมีสิ่งที่พิสดารลึกซึ้งและมากมายก่ายกองที่เรายังจะต้องเรียนรู้ต่อไป

    นายเณรสอนผมเล่นหมากหนึ่งกับแปด แต่ใครถูกกินหมดก่อนเป็นฝ่ายชนะ ตั้งแต่เวลาสี่ทุ่มเศษไปจนเกือบตีสอง เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ผมก็ได้เข้าใจถึงเคล็ดลับและปมเงื่อนของการเดินหมากชนิดนี้

    นายเณรบอกว่าการจะยอมเสียนั้นใช่ว่ายอมเสียแล้วจะเสียได้ดังใจทุกครั้งไปก็หาไม่ จะต้องรู้กลวิธีและเสียให้เป็น มิฉะนั้นก็เสียเลย ไม่อาจมีผลได้ในภายหลัง ผมได้ฟังก็บอกว่าผมพอจะเข้าใจแล้ว

    นายเณรบอกว่าวันนี้เอาเท่านี้ก่อน และตั้งแต่วันนี้ไปนอกจากวันศุกร์และวันเสาร์แล้วให้ผมมาหาได้ทุกวันตั้งแต่เวลาสี่ทุ่ม จะจัดเวลาเบื้องต้นไว้ให้สามเดือน ผมรับคำแล้วลานายเณรกลับวัดตามช่องทางที่ได้เตรียมการไว้นั้น

    ทุกคืนยกเว้นคืนวันศุกร์และคืนวันเสาร์ผมได้หลบออกจากกุฏิลอบไปฝึกหมากฮอสกับนายเณรที่บ้าน ได้เรียนวิธีให้เขากินและเริ่มเรียนถึงการเดินหมากฮอสตั้งแต่เดินกันคนละตัวไปจนถึงการเดินคนละหกตัว รู้จักวิธีเดิน วิธีกิน และวิธีคิดหมากปลายกระดานจนครบถ้วนกระบวนความ

    หลังจากนั้นนายเณรสอนถึงวิธีเปิดรูปหมากที่หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเปิดรูปหมากที่เป็นฝ่ายเดินก่อนซึ่งนิยมเปิดรูปหมากที่เรียกว่ารูปสแตนดาร์ตหรือรูปมาตรฐาน อีปุ้มออกศึก อีห้อย เป็นต้น ส่วนรูปเปิดหมากทีหลังที่เรียกว่าหมากกองโจร หมากสามเหลี่ยม หมากอีห้อยหลัง หมากอภินิหารอาจารย์สืบ หมากดาวเหนือ ตลอดจนกระบวนการตัดหน้าตัดข้างทุกกระบวน

    ผมพอมีพื้นฐานและรักการเล่นหมากฮอสมาแต่เดิม ทั้งมีความจำค่อนข้างดี ดังนั้นไม่นานนักผมก็เรียนหมากฮอสกับนายเณรได้จนครบถ้วนกระบวนความ คงขาดก็แต่ความเป็นนักเล่นหมากฮอสซึ่งจัดว่าผมยังเป็นนักหมากฮอสหน้าใหม่กระดูกอ่อนที่ยังด้อยประสบการณ์ และจิตใจที่อาจไม่มั่นคงยามเผชิญหน้ากับการต่อสู้กันจริง ๆ เท่านั้น ซึ่งสองเรื่องนี้นายเณรบอกว่าต้องอาศัยการฝึกฝนและต้องอาศัยเวลา

    นับแต่ผมฝึกหมากฮอสกับนายเณรแล้ว พอเวลากลับจากโรงเรียนผมจึงมักที่จะกลับตามเส้นทางสายถนนอรุณอัมรินทร์และแวะเล่นหมากฮอสที่ร้านกาแฟริมถนนเป็นการซ้อมมือ ก็ได้ประจักษ์แก่ตนเองว่าฝีมือก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว คนที่ผมเคยเล่นด้วยและฝีมือก้ำกึ่งหรือเป็นรอง ผมก็สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย

    นานวันเข้านักหมากฮอสที่ร้านกาแฟริมถนนอรุณอัมรินทร์ก็ไม่มีใครสู้ผมได้ แม้ที่ร้านกาแฟหน้าคณะหนึ่งผมก็เอาชนะได้หมดทุกคน จากนั้นผมจึงเล่นไกลออกไปอีกหน่อยหนึ่งถึงตลาดบ้านขมิ้น เล่นกับพวกเซียนหมากฮอสอื่น ๆ แถบย่านนั้น รวมทั้งเล่นกับพวกขาจรจากถิ่นอื่นที่เวียนมาเล่นเป็นครั้งคราวด้วย นอกจากนักหมากฮอสที่เขาเรียกกันว่าเป็นเซียนตลาดบ้านขมิ้นซึ่งผมเล่นมีแต่ชนะกับเสมอแล้ว นอกนั้นผมชนะขาดลอยเกือบทั้งหมด.
     
  15. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 34. เกิดเป็นคนควรเป็นศิษย์มีครู
    วันหนึ่งนายเณรนัดผมให้ไปที่บ้านตั้งแต่เวลาห้าโมงเย็น บอกว่าได้นัดนายกำธรและนายเป๋มากินเหล้าที่บ้านจะได้ซ้อมหมากฮอสกัน ผมก็ไปตามนัด นายเณรจัดให้ผมเล่นกับนายเป๋ก่อน ในขณะที่นายเณรและนายกำธรนั่งดู

    ผมเล่นกับนายเป๋หลายสิบกระดาน มีทั้งชนะ เสมอ และแพ้ประสมประสานกันไป นายกำธรว่าลูกศิษย์คนนี้สติปัญญาความคิดอ่านดี นี่แค่ฝึกไม่นานไอ้เป๋ก็เหงื่อตกแล้ว อีกไม่นานไอ้เป๋คงสู้ไม่ได้ นี่แหละมัวจะอ่อนฝีมือเพื่อหลอกกินหมู ก็ต้องเป็นเช่นนี้

    นายเป๋ได้ยินดังนั้นก็พูดว่าเก่งหรือไม่เก่งยังไม่สำคัญเท่ากับการหาเงินได้ เป็นเซียนแต่หาเงินไม่ได้ก็ไร้ค่า ขอเพียงมีฝีมือบ้างแต่ให้รู้วิชาหาเงินก็จะมีความหมายมากกว่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่านายเป๋ไม่ได้เห็นคุณค่าของวิชา เห็นแต่ทางจะทำมาหารายได้ว่ามีความสำคัญมากกว่า

    ความสนิทสนมระหว่างผมกับนายกำธร นายเณร และนายเป๋แน่นแฟ้นขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป และบ่อยครั้งที่พวกเราไปกินข้าวด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไปกินที่ร้านข้าวต้มกุ๊ยริมถนนอรุณอัมรินทร์ซึ่งเป็นร้านห้องแถวขนาดสองห้อง แต่จัดได้ว่าเป็นร้านใหญ่ในย่านนั้น

    เหตุที่นิยมไปกินข้าวกันที่ร้านนี้ก็เพราะมีอาหารมากมายหลายอย่างและราคาก็ย่อมเยา วันไหนถ้ามีเงินเพียงคนละ 3 บาทก็สามารถกินได้เต็มอิ่มแล้ว ในขณะนั้นข้าวสวยถ้วยละ 50 สตางค์ ข้าวต้มและน้ำแข็งเปล่า 25 สตางค์ จับฉ่ายซึ่งเป็นอาหารหลักของพวกเราราคาชามละ 1 บาท แกงจืดราคาชามละ 2 บาท ถ้าเป็นต้มยำราคาก็สูงขึ้นหน่อยเป็นชามละ 3 บาท ซึ่งถ้าเทียบกับราคาสมัยนี้ก็ต่างกันลิบลับเพราะเฉพาะข้าวสวยบางแห่งราคาตกจานละ 5-10 บาทก็มี

    ครั้นสนิทสนมคุ้นเคยกันมากเข้านายกำธรก็ชวนไปเที่ยวที่บ้านและไปเล่นหมากฮอสกันที่บ้านของนายกำธรที่อยู่เลยวัดวิเศษไปอีกหน่อยหนึ่ง เป็นบ้านทรงปั้นหยาสองชั้น ใต้ถุนโล่ง พอได้เห็นฐานะของนายกำธรว่าเป็นข้าราชการที่มีฐานะปานกลางมาทางล่าง แต่ในด้านจิตใจแล้วออกจะร่ำรวยด้วยน้ำมิตรและไมตรีที่มีต่อผู้คน

    นายกำธรได้สอนผมในเชิงหมากฮอสต่อจากนายเณรอีกมากมายหลายกระบวน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความพลิกแพลง เป็นเรื่องของความลึกซึ้งและกลอุบายในการเดินแต้มคูต่าง ๆ เพราะเหตุนี้ความรู้ทางหมากฮอสของผมจึงได้ก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

    นายกำธรออกจะติดหนังสือกำลังภายในมาก เรียกตัวเองว่าเล่าฮูทุกคำ และออกจะเป็นคนทระนงในตัวเอง ถึงกระนั้นก็ยังติดขนบธรรมเนียมไทยอยู่มาก นายกำธรสอนผมว่าหมากฮอสชื่อเหมือนฝรั่งแต่ที่จริงเป็นของไทย เพี้ยนมาจากคำว่าฮอดซึ่งแปลว่ารอด คือรอดพ้นจากด่านขวากหนามต่าง ๆ ไปเข้าฮอส แบบนี้ของฝรั่งไม่มี ที่มีเล่นกันบ้างก็เป็นการเดินสามแถว แตกต่างจากของไทย

    ดังนั้นนายกำธรจึงว่าเมื่อเป็นของไทยก็ต้องรู้จักบูชาครู ว่าแล้วก็สอนคาถาบูชาครูหมากฮอสให้กับผมว่า การบูชาครูหมากฮอสนั้นต้องบูชาด้วยคาถาดังนี้ “นมัสสิตตะวา ขอให้ศิษย์เอกมีชัยชนะทั่วปฐพี โอม สะหมติ”

    ผมเองไม่ค่อยมั่นใจว่านายกำธรพูดเล่นหรือพูดจริง แต่คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกันเพราะเนื้อความคาถาที่ว่านี้ก็เป็นเพียงแค่ความตั้งใจที่จะเล่นหมากฮอสให้ชนะคนอื่นเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการเล่นหมากฮอสอยู่แล้ว เนื่องจากพอเข้านั่งประจำที่หน้ากระดานก็จะมีใจมุ่งมั่นที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้อยู่แล้วเป็นธรรมดา ดังนั้นในเวลาผมเล่นหมากฮอสผมจึงไม่เคยว่าคาถาบูชาครูดังกล่าวนี้เลย

    ยกเว้นก็แต่บางครั้งที่จะต่อสู้หรือแข่งขันกับนักหมากฮอสมีฝีมือเป็นเรื่องเป็นราว ใจก็มักจะน้อมรำลึกถึงนายเณร นายกำธร และนายเป๋อยู่เสมอ ซึ่งทำให้จิตใจมีความเชื่อมั่นและเยือกเย็นลงเป็นอันมาก นี่ต่างหากที่น่าจะเป็นเรื่องประโยชน์ของการระลึกถึงครูบาอาจารย์ก่อนการทำการสำคัญใด ๆ ซึ่งกลายเป็นประเพณีอย่างหนึ่งของคนไทยที่ตกทอดมาถึงทุกวันนี้

    นายกำธรนั้นเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน นอกจากการเล่นหมากฮอสแล้วยังแต่งเพลงพื้นบ้านและเขียนบทกลอนได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง นายกำธรได้แต่งโคลงสี่สุภาพเป็นโคลงกลกระทู้กิน กัน กล แก้ ซึ่งเป็นเคล็ดการเล่นหมากฮอสไว้อย่างไพเราะเพราะพริ้งว่า

    “กิน ระวังหลังก่อนรู้ ดูเชิง
    กัน ข้าศึกบุกระเริง รุกล้ำ
    กล ลวงล่อศึกเหลิง ห่อนรู้ เชิงนา
    แก้ หมากหากเพลี่ยงพล้ำ คิดแก้ กลับกลาย”

    โคลงสี่สุภาพดังกล่าวเป็นการอรรถาธิบายกระบวนกลในการเล่นหมากฮอสไว้เป็นสี่กระบวน คือการกิน การกันข้าศึกหรือการป้องกันข้าศึก การวางกลหรือวางอุบายให้ข้าศึกหลงทาง และการแก้ไขสถานการณ์ในยามเพลี่ยงพล้ำว่าต้องเพียรคิดแก้ไขอย่าได้ท้อถอย

    คติกระบวนกลในการเล่นหมากฮอสดังกล่าวมีเนื้อความที่ลึกซึ้ง สามารถนำไปใช้ได้กับการเล่นหมากรุกและในการครองชีวิตประจำวันของคนเราได้เป็นอย่างดี เพราะชีวิตของคนเรานั้นย่อมอยู่ในสังคมที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนเป็นจำนวนมาก มีเรื่องราวที่ต้องติดต่อตกลงหรือร่วมการงานกันเป็นจำนวนมาก

    เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมมีเรื่องได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ มีเรื่องที่ถูกเอาเปรียบ หรือได้เปรียบคนอื่น มีเรื่องที่ถูกทำให้เข้าใจผิดหรือหลงทาง หรือหลงเรื่องราวจนอาจเกิดความเสียหายใหญ่หลวงขึ้นมาได้ และก็เป็นธรรมดาของชีวิตที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาตามมากตามน้อยที่จำเป็นต้องเอาใจใส่ดูแลแก้ไขให้ลุล่วงไป

    ดังนั้นเพียงแต่คำนึงถึงทั้งสี่เรื่องตามโคลงสี่สุภาพบทนี้ให้จงดี ปฏิบัติให้ได้ ใช้ให้เป็น ก็มีแต่จะก่อเกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตได้มาก

    บ่อยครั้งที่พวกเราไปเล่นหมากฮอสกันที่บ้านนายกำธร ครั้นเล่นหมากฮอสเสร็จแล้วก็ออกมากินข้าวด้วยกัน ในระหว่างที่กำลังเดินไปที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตรนั้น หากมีแต้มคูติดค้างคากันมา พวกเราทั้งสี่คนก็ได้พูดวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเดินแต้มคูต่อไปอย่างสนุกสนานราวกับว่านั่งเล่นอยู่หน้ากระดานจริง

    แสดงให้เห็นว่าพวกเราทั้งสี่คนนั้นสันทัดในเชิงหมากฮอสจนเรียกว่าเข้ากระดูกดำก็ว่าได้ โดยเฉพาะตัวผมนั้นรู้สึกอย่างชัดเจนว่าความรู้ความสามารถในเชิงหมากฮอสได้ยกระดับชั้นก้าวหน้าไปจากเดิมจนเทียบกันไม่ติดหรือห่างไกลกันลิบลับราวฟ้ากับดิน และเริ่มรู้สึกว่าความรู้ความสามารถในเชิงหมากฮอส ณ บัดนั้นเข้าขั้นเป็นเซียนหมากฮอสแล้ว

    เพราะไม่เพียงแต่จะเล่นหมากฮอสกับคนอื่นได้เป็นอย่างดีเท่านั้น ยังสามารถเล่นหมากฮอสคนเดียวก็ได้ เล่นพร้อมกันทีละหลายคนก็ได้ หรือเดินเล่นหมากฮอสด้วยปากเปล่าราวกับมีกระดานจริง ๆ ก็ได้

    ความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็วเช่นนี้ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการนั่งนึกเอาเอง หรือเอาแต่รอโชคชะตา หากเกิดขึ้นได้เพราะการคบหาคนดีมีฝีมือและได้รับความเมตตาประสิทธิ์ประสาธน์วิทยาวิชาคุณให้

    เพราะเหตุนี้การที่จะมีโอกาสเหนือกว่าคนอื่นได้นั้น ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคือการได้ครูอาจารย์ที่ดีช่วยประสิทธิ์ประสาธน์ความรู้วิทยาวิชาคุณให้ การจะได้รับโอกาสเช่นนี้ก็เพราะความสุภาพนุ่มนวล ความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ และการรู้จักบูชาผู้ที่ควรบูชา ซึ่งพระบรมศาสดาทรงตรัสสอนไว้ในมงคล 38 ประการหนึ่งว่าให้รู้จักบูชาคนที่ควรบูชาก็จะเป็นมงคลสูงสุดแก่ชีวิต

    เพราะมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับสามตัวประหลาดมากขึ้นโดยลำดับ ดังนั้นบางวันผมก็หนีพระออกจากกุฏิไปเล่นหมากฮอสแทบทุกวัน โดยหลบออกไปตอนเวลาสี่ทุ่มแล้วกลับประมาณเที่ยงคืนหรือตีสอง หรือบางวันพอกลับจากโรงเรียนผมก็ตรงไปเล่นหมากฮอสเลย แล้วกลับวัดก่อนสามทุ่ม สุดแท้แต่จะพอใจประการใด

    วันหนึ่งผมเล่นหมากฮอสที่บ้านนายเณรจนเลยสองยามไปแล้วกำลังจะกลับวัด ในจิตใจพลันให้รำลึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จ จึงเดินเกร่ย้อนกลับไปแถวตลาดวัดวิเศษหรือที่เรียกว่าตลาดบ้านขมิ้น ซื้อพวงมาลัยมาสามพวงแล้วแวะไปที่วิหารสมเด็จ

    ผมไปถึงหน้าวิหารสมเด็จแล้วก็คุกเข่าลงที่บันไดหน้าวิหารซึ่งมีบันไดเพียงขั้นเดียว เพราะไม่อยากเข้าไปในวิหารเนื่องจากมืด และประตูห้องซึ่งเป็นที่สถิตของรูปปั้นเจ้าประคุณสมเด็จได้ปิดแล้ว

    ผมวางพวงมาลัยลงกับพื้นวิหารแล้วกราบลงกับพื้น ในพลันนั้นให้รู้สึกเย็นวาบทั้งตัวแต่เป็นอาการเย็นแบบฉ่ำชื้น ผมเงยหน้ามองไปที่เบื้องหน้า เห็นประตูวิหารซึ่งปิดอยู่นั้นเปิดกว้างออกทั้งสองช่อง มีแสงสว่างเจิดจ้าอยู่ข้างในห้องอันเป็นที่ตั้งรูปเจ้าประคุณสมเด็จ จนเห็นรูปปั้นของสมเด็จทั้งสามองค์อย่างชัดเจน

    เป็นแสงสว่างแบบเดียวกันกับเมื่อครั้งที่เคยเห็นที่ตู้พระไตรปิฎกเก่า ผมนั่งตกตะลึงขึงอยู่กับที่ ครู่หนึ่งสภาพการณ์ก็เข้าสู่ภาวะปกติดังเดิม ผมรู้สึกขนลุกซู่ชูชัน แต่มิได้รู้สึกหวาดกลัวแต่ประการใด

    เพราะในใจรู้ว่านี่เป็นปาฏิหาริย์ของเจ้าประคุณสมเด็จที่อาจจะรับรู้ในความกตัญญูที่ผมมีต่อเจ้าประคุณสมเด็จ เนื่องจากไม่ว่าจะไปไหนมาไหนผมจะมีความรำลึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จและมากราบไหว้เป็นประจำ จึงแสดงปาฏิหาริย์ให้ประจักษ์

    พอหายตกตะลึงผมจึงก้มลงกราบอีกครั้งหนึ่ง แล้วสวดพระคาถาชินบัญชรถวายเจ้าประคุณ จบแล้วจึงกราบลากลับไปกุฏิ

    วันรุ่งขึ้นเวลาเช้าผมยังซาบซ่านด้วยปิติในอภินิหารของเจ้าประคุณสมเด็จที่ได้ประจักษ์ในตอนกลางคืน มีความอิ่มอกอิ่มใจจนบอกไม่ถูก พอหมอปานตื่นขึ้นผมจึงเล่าความให้ฟังดังที่ได้ประสบมาทุกประการ
    หมอปานก็ว่าปาฏิหาริย์ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่ใครจะสัมผัสและประจักษ์แก่ตนได้หรือไม่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับคุณงามความดีและจิตใจของแต่ละคน แต่เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะพูดมากออกไป เพราะคนจำนวนหนึ่งซึ่งไม่เชื่อถือในเรื่องเหล่านี้จะตำหนิติเตียนเอาได้

    หมอปานบอกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ว่าจะทรงแสดงปาฏิหาริย์ได้เป็นเอนกประการ แต่ไม่ทรงสรรเสริญอภินิหารใด ๆ นอกจากอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือการแสดงธรรมเพื่อความรู้แจ้ง รู้จริง และเพื่อความถึงที่สุดแห่งทุกข์ และทรงตรัสห้ามมิให้ภิกษุอวดอ้างแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ถึงกับทรงประณามว่าเป็นอุตริมนุษยธรรม และทรงบัญญัติพระวินัยห้ามอวดอุตริมนุษยธรรม ทรงบัญญัติโทษสถานหนักถึงขั้นปาราชิก ถ้าหากฝ่าฝืนก็จะเป็นอาบัติ ขาดจากความเป็นภิกษุ

    หมอปานว่าพระสงฆ์ในรุ่นหลังปฏิบัติไม่ได้ตามที่ศึกษาเล่าเรียน แต่กลับอ้างพุทธดำรัสดังกล่าวว่าไม่ทรงสรรเสริญให้แสดงซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด การบำเพ็ญเพียรทางจิตเพื่อบรรลุถึงอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์นั้นเป็นสิ่งปกติที่จะต้องเป็นไปตามขั้นตอนแห่งการศึกษาอบรม เป็นผลของการปฏิบัติโดยตรง ซึ่งไม่ได้ทรงห้ามศึกษาหรือปฏิบัติแต่ประการใด

    พระตถาคตเจ้าทรงส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาอบรมและการปฏิบัติทางจิตเป็นอันมาก คำสอนส่วนใหญ่ของพระองค์คือคำสอนเกี่ยวกับการศึกษาอบรมทางจิตเพื่อถึงซึ่งความพ้นทุกข์และมีอานิสงส์ที่สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้

    ที่ทรงห้ามและถือเป็นการผิดพระวินัยก็เฉพาะแต่การอวดอ้างแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อันไม่มีในตน ซึ่งมีลักษณะเป็นการหลอกลวงฉ้อฉลอันถือว่าเป็นอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตน

    ความจริงการบำเพ็ญเพียรทางจิตที่มีอานิสงส์ทำให้สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้เป็นธรรมชาติและปฏิบัติที่จะต้องได้รับผลของการปฏิบัติเช่นนั้น และในบางยุคบางสมัยหรือบางกาล อิทธิปาฏิหาริย์ก็มีประโยชน์และอาจมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เพื่อส่งเสริมศรัทธาประสาทะ หรือเพื่อข่มผู้เป็นอริที่เป็นอุปสรรค ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    เหตุที่ไม่ทรงสรรเสริญเพราะไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ และหากมุ่งเน้นในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์เกินไปก็จะเกิดการติดยึดให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจเจริญก้าวหน้าในธรรมต่อไปได้ ทั้งอาจเบี่ยงเบนไปในทางลุ่มหลงเพราะเป็นทางหรือเป็นเหตุที่จะได้มาซึ่งลาภและสรรเสริญอันจะโน้มน้าวจิตใจให้ใหลลงไปในทางต่ำ

    แต่เมื่อได้บำเพ็ญเพียรจนจิตเป็นอธิจิตจนถอนความยึดมั่นถือมั่นได้สิ้นเชิงแล้ว ก็จะถึงซึ่งความหลุดพ้น เมื่อนั้นก็สามารถที่จะน้อมจิตนั้นไปสู่วิชชาและวิมุตได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก

    ดังนั้นใครที่ไม่สามารถทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ก็อย่าได้เที่ยวอ้างหรือกล่าวถึงเรื่องนี้ส่งเดชเป็นอันขาด จะต้องแยกให้ชัดเจนถึงความสามารถในตนที่สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้อย่างหนึ่งกับการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อีกอย่างหนึ่ง หากมีอยู่ในตนและกระทำได้จริง และเป็นการอันสมควร ก็ย่อมกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ ไม่เป็นอาบัติแต่ประการใด แต่ผู้ที่ทำไม่ได้และไม่มีภูมิธรรมอันสามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์อยู่ในตัวนั่นแหละ ถ้าหากไปอวดอ้างว่ามีอยู่ในตนก็ย่อมผิดพระวินัยและเป็นอาบัติอย่างร้ายแรง

    ชาวพุทธจึงควรฝึกฝนอบรมจิตตนให้ถึงซึ่งภูมิธรรมที่สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ เพราะอย่างน้อยเมื่อทำได้ถึงขั้นนี้ก็ย่อมแสดงว่าได้ถึงแล้วซึ่งทุติยฌานเป็นอย่างต่ำ หรืออาจถึงกระทั่งจตุตถฌานซึ่งเป็นฌานขั้นสูงอีกด้วย
     
  16. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 35. การไปมาหาสู่ทำให้กลายเป็นญาติ

    พวกเราคบหากันนานวันเข้า สามตัวประหลาดก็ยิ่งให้ความสนิทสนม ให้ความอบอุ่น ความรักและความไว้วางใจต่อผมราวกับว่าเป็นญาติสนิท และผมก็รู้สึกจริง ๆ เหมือนกับว่าทั้งสามคนนี้คือญาติสนิท ซึ่งเป็นไปดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “วิสาสาปรมาญาติ” ซึ่งแปลว่าการคบหาไปมาหาสู่กัน ทำให้เป็นเหมือนญาติสนิท

    นั่นคือแม้ไม่ใช่ญาติแต่ไปมาหาสู่คบหากันอย่างสนิทสนมก็กลายเป็นญาติ ในทางตรงกันข้าม แม้จะเป็นญาติ แต่ถ้าไม่ไปมาหาสู่สนิทสนมกันแล้ว ความเป็นญาตินั้นก็จะเสื่อมคลายหายไปในที่สุด

    พวกเราไปมาหาสู่ เล่นหมากฮอส เที่ยวเตร่ด้วยกัน จนชีวิตผมช่วงนั้นแทบจะเรียกได้ว่าหมกมุ่นอยู่กับหมากฮอส และเพราะเหตุนี้ฝีมือหมากฮอสของผมจึงรุดหน้าเข้าสู่ระดับที่เขาเรียกว่าเป็นเซียนหมากฮอส

    ตัวประหลาดทั้งสามคนนั้นแม้จะมีความรู้ในเชิงชั้นหมากฮอสสูงส่งแต่ไม่รักในการขีดเขียน ผมไต่ถามหาการบันทึกแต้มคูหมากฮอสเพื่อจะขอมาคัดลอกเป็นตำรับตำราก็ปรากฏว่าทั้งสามคนนั้นไม่มีใครทำบันทึกเอาไว้เลย

    แต่ตัวผมนั้นรักการขีดเขียน ได้เรียนรู้อะไรมาก็จะจดบันทึกไว้พอเป็นเครื่องเตือนใจ เพราะแม้จะจำภาษิตโบราณที่ว่า “จำขึ้นใจในวิชาดีกว่าจด” ได้ก็ตาม แต่เมื่อเรื่องราวมากหลายย่อมยากจะจำได้หมด หรือจำได้วันนี้ แต่ในวันหนึ่งข้างหน้าก็อาจจะลืมเลือนไปได้ ดังนั้นผมจึงบันทึกแต้มคูและหมากกลต่าง ๆ ไว้เป็นอย่างดี

    ซึ่งก็เป็นดังภาษิตโบราณบทดังกล่าวนั่นเอง คือ “จำขึ้นใจในวิชาดีกว่าจด จำไม่หมดจดไว้เป็นครูสอน จดและจำทำวิชาให้ถาวร เป็นอาภรณ์เทิดตนพ้นลำเค็ญ”

    ความหมกมุ่นในหมากฮอสได้ทำให้วันเสาร์อาทิตย์ในช่วงเวลาพักหนึ่งผมต้องห่างเหินจากเพื่อนนักเรียน เนื่องจากในวันเสาร์และวันอาทิตย์นั้นสามตัวประหลาดมักชักชวนผมไปต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ก็เป็นจังหวัดใกล้ ๆ ในภาคกลาง เช่น อยุธยา ปทุมธานี นครปฐม สุพรรณบุรี สิงห์บุรี เป็นต้น

    ที่ไปต่างจังหวัดนั้นไปเที่ยวเป็นรอง ของจริงคือการไปเล่นหมากฮอสพนัน แรก ๆ นายเป๋หรือนายเณรจะเป็นคนเล่น ส่วนผมและนายกำธรเป็นคนดู หนัก ๆ เข้าหรือพอคู่ต่อสู้เริ่มจับได้ว่านายเป๋และนายเณรเป็นเซียนหมากฮอสก็จะเบื่อหน่ายไม่อยากเล่นด้วย ตานั้นก็จะเป็นคราของผม เพราะนายเป๋จะขอให้ผมลงเล่น แต่ผมไม่ได้พนันอะไรกับเขาด้วย หากแต่ทำหน้าที่เล่นหมากฮอสอย่างเดียว การพนันเป็นเรื่องของนายเป๋

    คนต่างจังหวัดเห็นผมเป็นเด็กและหน้าตาก็เปิ่น ๆ แบบคนบ้านนอก ก็มักจะเข้าใจว่าผมเป็นมือหมากฮอสธรรมดา จึงกล้าเล่นพนันหนัก ๆ กับนายเป๋ ผมเองไม่มีอัธยาศัยที่อยากจะต้มตุ๋นใคร เล่นกระดานไหนก็เล่นไปตามฝีมือที่มี ไม่แกล้งอ่อนข้อ ไม่ปกปิดฝีมือที่แท้จริงเพื่อหลอกลวงเขา จึงมักจะได้เล่นไม่เกินสามหรือห้ากระดาน เพราะผมมักจะชนะรวดทุกกระดาน พอคู่ต่อสู้แพ้รวดสามหรือห้ากระดานก็รู้ฝีมือว่าสู้ไม่ได้แล้วเลิกรากันไป

    จะมีพวกหัวรั้นบ้างที่ไม่แน่แก่ใจว่าแพ้เด็กได้อย่างไรก็ยังคงยืนหยัดเล่นพนันต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ผมก็ช่วยไม่ได้ ก็ต้องเอาชนะไปตามระเบียบ แต่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเรื่องเงินได้เสียในการพนัน ซึ่งเป็นเรื่องของนายเป๋โดยเฉพาะ

    พฤติกรรมของผมในช่วงนั้นถ้าเป็นภาคใต้ก็ต้องเรียกว่าเป็นพฤติกรรมของวัวชน คือทำหน้าที่ชนอย่างเดียว ไม่รู้เรื่องอย่างอื่น ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรื่องการพนันกับเขาด้วย บางครั้งผมเคยคิดว่าที่สามตัวประหลาดฝึกสอนวิชาหมากฮอสให้กับผมก็เพื่อการนี้หรือกระมัง แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ใช่ เพราะลำพังนายเป๋และนายเณรก็สามารถทำมาหากินได้ดีอยู่แล้ว ผมเป็นเพียงตัวขัดจังหวะ หรือถ้าเป็นการสวดของพระก็คงเรียกได้ว่าเป็นการสวดขัดตำนานเท่านั้น

    นานวันเข้าสามตัวประหลาดและผมก็เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไปไหนก็ไปกัน บทจะให้ผมลงเล่นก็ไม่ต้องพูดจาว่ากล่าวอะไรกันมาก เพียงแต่พยักหน้าก็เป็นอันรู้ที ผมก็จะเข้าไปนั่งเล่นแทน นายเป๋ก็จะทำหน้าที่ต่อรองอยู่วงนอก

    พวกเราไปต่างจังหวัดทุกเที่ยวก็จะได้เงินทองติดตัวกลับมาทุกครั้งไป แต่ผมนั้นในใจไม่ค่อยสบายเพราะรู้สึกว่าเงินได้จากการพนันนั้นเป็นเงินที่ไม่สะอาด เป็นเงินร้อน และขืนหมกมุ่นมากไปก็จะบ่มเพาะอัชฌาสัยให้ฝักใฝ่ในการพนันในอนาคตต่อไปได้

    วันหนึ่งผมได้ปรารภเรื่องนี้กับนายเณรซึ่งถือว่าเป็นซือแป๋ นายเณรก็ว่าเรานี่มีจิตใจดีงาม แต่อย่าไปคิดอะไรมากเลย การพนันมีอยู่คู่กับโลกมาช้านานแล้ว และการพนันก็เกิดขึ้นพร้อม ๆ หรือหลังโสเภณีไม่นานเท่าใดนัก เพราะเมื่อมีมนุษย์ขึ้นมาแล้วก็ย่อมมีประเวณีเป็นของคู่กัน ในขณะเดียวกันก็มีการแข่งขันขันต่อกัน จึงทำให้เกิดการพนันขึ้น ดังนั้นจึงอาจพูดได้ว่าการพนันและการค้าประเวณีคือผลิตผลของมนุษย์ที่มีมาคู่กับมนุษย์แล้ว ไม่มีทางที่จะแก้ไขหรือยกเลิกได้หรอก

    นายเณรบอกว่าคนจำนวนหนึ่งเห็นว่าการเล่นพนันนั้นดีกว่าการไปกินไปเที่ยว เพราะการไปกินไปเที่ยวมีแต่เสียหรือจ่ายอย่างเดียว ส่วนการเล่นพนันมีทั้งได้ทั้งเสีย ซึ่งนับว่าเป็นเหตุผลที่เข้าท่า แต่ผมกลับไม่เห็นด้วยในเหตุผลนี้เลย เพราะกินเที่ยวนั้นประโยชน์ย่อมได้กับตนและผู้อื่นตามมากตามควร ถึงอย่างไรก็ไม่ทำให้ฉิบหายล่มจม ส่วนการพนันนั้นถึงมีได้มีเสียก็เถิด แต่ส่วนใหญ่มักฉิบหายล่มจม

    พระบรมศาสดาของชาวพุทธทรงเห็นความจริงนี้อย่างชัดเจน จึงทรงตรัสสอนชาวพุทธให้เว้นขาดจากการพนัน และทรงบัญญัติว่าเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง ที่นำความฉิบหายมาให้ผู้เล่นการพนันนั้น และความฉิบหายนั้นยังลุกลามส่งผลไปยังครอบครัวคนใกล้ตัวและสังคมต่อไปอีก

    โบราณจึงว่าการพนันร้ายกว่าถูกโจรปล้นบ้าน หรือร้ายกว่าไฟไหม้บ้าน เพราะโจรปล้นบ้านยังเหลือบ้านอยู่ ไฟไหม้บ้านก็ยังเหลือที่ดินอยู่ แต่การพนันนั้นทั้งบ้านทั้งที่ดินเป็นอันหมดสิ้นโดยง่าย ซ้ำร้ายยังจะเสียลูกเมียหรือเสียเมืองอีกด้วย ดังตัวอย่างที่มีมาในนิทานโบราณของไทยที่เจ้าเมืองในนิทานนั้นเล่นสกาจนเสียบ้านเสียเมือง เป็นต้น

    กระแสน้ำไม่คอยท่า วันเวลาไม่คอยใคร วันคืนได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนวันสอบกลางปีใกล้มาถึง ตัวผมเองสำนึกตัวเองว่าเสียเวล่ำเวลาไปกับการฝึกปรือหมากฮอสและการคบหาพรรคพวกเป็นอันมาก ดังนั้นแต่ละวันเวลาเมื่อสามารถจัดเวลาได้ก็จะเร่งรีบทำการบ้าน อ่านหนังสือ จนรุดหน้าแทบจะจบหมดทุกเล่ม

    กล่าวได้ว่าผมเรียนหนังสือล่วงหน้าจากที่ครูสอนในชั้นเรียน ส่วนใหญ่เข้าใจได้ดี ส่วนไหนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจก็ค่อย ๆ ทำความเข้าใจไปโดยลำดับ และส่วนไหนที่ไม่เข้าใจจริง ๆ ก็ทิ้งไว้ คอยท่าเมื่อถึงวันเวลาที่ครูสอนในชั้นเรียนก็พยายามตั้งใจฟัง ด้วยเหตุนี้ผมจึงจัดอยู่ในจำพวกนักเรียนเรียนดีของชั้นเรียน

    เพื่อนนักเรียนในชั้นเรียนส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน และก็เป็นธรรมดาของนักเรียนในชั้นหนึ่ง ๆ ซึ่งถึงแม้โดยรวมจะเป็นเพื่อนนักเรียนด้วยกัน แต่ความใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นพิเศษก็ย่อมแยกเป็นกลุ่ม ๆ

    เพื่อนนักเรียนบางกลุ่มถ้าหากเรียกเป็นภาษาปัจจุบันนี้ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มไฮโซ เพราะวางตัวอยู่ในชั้นสูงของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน แต่ไม่ใช่พวกไฮโซที่ฟุ้งเฟ้อเฟอะฟะเหมือนกับยุคสมัยปัจจุบัน แท้จริงแล้วเพื่อนนักเรียนกลุ่มนี้ชอบเล่นม้า เมื่อถึงนัดแข่งม้าก็จะพากันไปเล่นม้า เล่นม้าเสร็จแล้วพอถึงวันโรงเรียนเปิดก็มาพูดจาว่าขานกันอย่างสนุกสนาน

    ทำราวกับว่าคนที่ไม่เล่นม้าเป็นพวกไม่รู้เรื่อง เป็นสังคมคนละชั้น ซึ่งก็อาจจะถูกสำหรับความคิดของคนบางกลุ่ม ขึ้นอยู่กับความยึดถือของแต่ละคนแต่ละถิ่น อย่างฮ่องกงนั้นใครเล่นม้าก็ต้องถือว่าเป็นคนชั้นสูง และถือกันว่าเป็นกีฬาพระราชา ซึ่งคงจะเป็นความจริงเพราะการเลี้ยงม้าก็ดี การเล่นม้าก็ดี ล้วนต้องใช้เงินมาก ยิ่งเป็นเจ้าของคอกม้าก็ยิ่งต้องมีเงิน มีพรรคพวกบริวาร และมีค่าใช้จ่ายมาก

    แต่อย่างไรก็ตาม ชาวพุทธเราถือกันว่าการเล่นม้าเป็นอบายมุขที่ร้ายแรงมากชนิดหนึ่ง คือเป็นอบายมุขจำพวกพาชีที่น้อยคนนักจะประสพความสำเร็จมั่งคั่งร่ำรวยเพราะการเล่นม้าได้ บางครั้งอาจจะร่ำรวยจากการเล่นม้า แต่ในที่สุดก็จะหมดเนื้อหมดตัวและส่วนใหญ่ก็จะสิ้นเนื้อประดาตัวไปเพราะการเล่นม้า

    บ้างก็ครอบครัวแตกสาแหรกขาด ถึงขนาดไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกกินก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ถมถืดไป

    เพื่อนฝูงกลุ่มนี้รักเล่นม้าเป็นอาจิณ เพื่อน ๆ ก็ได้แต่เป็นห่วงเป็นใย แต่ไม่ได้ผลอะไร เพราะเขาถือว่าการเล่นม้าเป็นกีฬาของสูง และสามารถทำรายได้ดี มาถึงวันนี้ก็ได้เห็นผลในบั้นปลายแล้วว่า เพื่อนฝูงของผมกลุ่มนี้ล้วนมีชีวิตที่ตกระกำลำบาก สิ้นเนื้อประดาตัว ทรัพย์สินเงินทองที่พ่อแม่สร้างสมไว้ให้ก็สูญสลายไปจนหมด บางครั้งพบหน้ากันในวันสังสรรค์รุ่นในแต่ละปี เมื่อรู้สภาพความเป็นไปแล้วผมก็ต้องแอบให้ความช่วยเหลือไปตามกำลังทุกครั้งไป

    เพื่อนฝูงบางกลุ่มเป็นพวกเฮฮาสนุกสนาน แต่ละวันพูดจากันถึงเรื่องเที่ยวเตร่ ดูหนัง ฟังเพลง เพื่อนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเพกรุงเทพฯ เป็นลูกหลานข้าราชการเป็นส่วนใหญ่ ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่ละวันมาเรียนก็มีเงินมาจับจ่ายใช้สอยไม่ขัดสน ผิดกับผมซึ่งมีบ้างไม่มีบ้างสุดแท้แต่ห้วงเวลา คือถ้าเป็นต้นเดือนก็มีเงินใช้มากหน่อย แต่พอปลายเดือนก็ค่อนข้างจะขัดสน ถึงกระนั้นก็ต้องทนและต้องประหยัดตามกำลังเงินในกระเป๋าเพื่อจะได้ไม่ต้องก่อหนี้ยืมสิน เว้นแต่เพื่อนฝูงจะมีน้ำใจอาทรเลี้ยงข้าวเลี้ยงปลาอาหาร ซึ่งมีอยู่เป็นประจำ

    เกิดมาเป็นลูกข้าราชการหรือเป็นลูกพระยาเลี้ยงดังนี้ก็พอนับได้ว่าเป็นคนมีบุญ แต่กาลข้างหน้าจะรักษาผลบุญให้ยั่งยืนสืบไปได้หรือไม่นั้นย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะบุญก็เหมือนเงินในกระเป๋า เมื่อจับจ่ายใช้สอยโดยไม่แสวงหาเพิ่มเติมก็ย่อมมีวันหมดได้เหมือนกัน หมดบุญเมื่อใดแล้วความว่างเปล่าและวิบากกรรมที่ถ้าหากสร้างสมไว้ก็จะตามมาสนอง และเมื่อนั้นหากสำนึกก็อาจจะสายเกินไป

    เพื่อนฝูงบางคนอาจจะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่บังเอิญเรียนดี สังเกตเห็นได้จากการกินอยู่ประจำวัน มักจะเอาข้าวใส่กระป๋องสี่เหลี่ยมมากินตอนเที่ยง กินข้าวแล้วก็กินน้ำประปาของโรงเรียน เพื่อนฝูงแบบนี้ก็มีอยู่หลายคน และแทบทุกคนมักเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัว มีความสุภาพเรียบร้อย คบหากันด้วยความจริงใจ

    เพื่อนบางคนก็เอาแต่การเรียนอย่างเดียว ไม่สนใจพูดจาคบหาเพื่อนฝูงเอาเสียเลย ตอนเช้ามาโรงเรียนก็เข้านั่งที่โต๊ะ ตั้งหน้าตั้งตาอ่านแต่หนังสือ ถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติก็ไปเข้าแถวกับเขา พอกลับเข้าห้องก็อ่านหนังสืออีก ถึงเวลาเที่ยงลงไปกินข้าวเที่ยงแล้วกลับเข้ามานั่งอ่านหนังสือโดยไม่พูดไม่จากับใคร

    ผมและเพื่อน ๆ ไปพูดจาทักทายด้วยก็ได้รับการตอบสนองไปแกน ๆ ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีใครอยากไปกวนเพื่อนกลุ่มนี้ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มนี้วันนี้ก็ได้ดิบได้ดีขึ้นมาเป็นถึงรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นับว่าประสพความสำเร็จในชีวิตข้าราชการในระดับสูงมากคนหนึ่ง

    แม้จะมีเพื่อนร่วมห้องเรียนเกือบ 50 คน แต่ที่ผมคบหาสนิทสนมจริง ๆ มีเพียง 4 คน คือมนูญผล ศิริศักดิ์ ไสยวิชญ์ และสุรศักดิ์ แต่สุรศักดิ์นั้นอายุสั้นไปหน่อย เรียนจบไปไม่ทันไรก็ถูกลูกหลงเสียชีวิตโดยที่ไม่ได้ขัดแย้งหรือทะเลาะเบาะแว้งกับใครเลย

    นี่แหละที่โบราณเขาแต่งเป็นคำพังเพยไว้ว่า “ถ้าไม่ถึงคราวตายวายชีวาตม์ ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ แต่ถ้าถึงคราวตายวายชีวัน แม้ไม่ถูกฆ่าฟันให้มลายก็ตายเอง”

    ไสยวิชญ์เป็นคนแปลกเพราะมีสัมผัสที่หก สามารถล่วงรู้การข้างหน้าได้อย่างอัศจรรย์ บางวันก็ทำตัวเป็นคนทรง คือเข้าทรงหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ ทั้ง ๆ ที่เป็นเด็ก แต่พอเข้าทรงแล้วก็จะมีรูปร่างที่แก่หง่อมผิดปกติไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งคำพูดคำจาก็ผิดแปลกไป เพื่อนฝูงมีเรื่องข้องหมองใจจะไต่ถามประการใด เวลาเข้าทรงไสยวิชญ์ก็จะตอบได้อย่างถูกต้องเป็นที่อัศจรรย์ จนเป็นที่เล่าขานล้อกันในบรรดาหมู่เพื่อนว่าไสยวิชญ์นี้เป็นหมอผี

    แทบทุกวันพวกเราจะเล่นเข้าทรงกัน ทำกันเป็นเรื่องสนุกสนาน เพื่อนฝูงที่สนใจในเรื่องนี้ก็พากันมามุงซักไซร้ไต่ถามเป็นที่ครื้นเครง บางทีครูประจำชั้นเข้ามาตอนเริ่มชั้นเรียนเห็นเหตุการณ์เข้าก็ถูกดุและถูกลงโทษ บางครั้งตอนเริ่มต้นชั่วโมงเป็นครูที่สอนวิชาอื่นที่สนใจในเรื่องเข้าทรงก็พลอยเข้ามาร่วมวงด้วย

    ไสยวิชญ์จึงเป็นเพื่อนที่ทุกคนให้ความสนใจ และเห็นถึงความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตามประสาเด็ก ๆ

    ผมเองมีความสนใจในเรื่องนี้มาตั้งแต่น้อย ได้พยายามจับผิดว่าไสยวิชญ์ต้มเพื่อนหรือมิใช่ แต่ก็จับไม่ได้ ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ค่อยปักใจเชื่อเท่าใดนัก เพราะเด็กขนาดเดียวกับผมในขณะนั้นไหนเลยที่จะทรงเจ้าเข้าผีได้ แต่จะไม่เชื่อเสียเลยก็เห็นถึงความแปลกมหัศจรรย์อยู่เป็นนิตย์ ดังนั้นผมกับไสยวิชญ์จึงคบหากันเป็นเพื่อนสนิท

    มนูญผลเป็นคนกำพร้าพ่อ อยู่กับแม่และน้าและน้องชายอีกคนหนึ่ง เป็นคนมีน้ำใจและใฝ่ในคุณงามความดี มีจิตใจที่เยือกเย็น ชอบฟังเพลงสุนทราภรณ์ และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมกลายเป็นแฟนเพลงสุนทราภรณ์ ถึงขั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ จนกระทั่งทุกวันนี้ ดังนั้นจึงเป็นกลุ่มคบหากับผมได้อย่างกลมกลืน และมีความรักสมัครสมานผูกพันดุจพี่น้อง

    ศิริศักดิ์แม้เป็นคนภาคใต้ แต่มาเติบโตในกรุงเทพฯ จึงมีสภาพเป็นครอบครัวของคนกรุงเทพฯ แต่เนื่องจากพ่อแม่เป็นข้าราชการ รับราชการอยู่ต่างจังหวัด ศิริศักดิ์จึงมาเช่าบ้านอยู่ใกล้วัดระฆัง ดังนั้นนอกจากจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันแล้วยังเป็นเพื่อนร่วมถิ่น จึงมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นพิเศษอีกคนหนึ่ง

    ศิริศักดิ์มีญาติชื่อวัจจนนท์อยู่แถวพรานนก วัจจนนท์มีพ่อเป็นจ่าศาล และเรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ เป็นแต่ว่าเรียนคนละห้อง คือเรียนห้อง ค. วัจจนนท์เป็นคนสุภาพเรียบร้อย และเป็นคนรักเพื่อน ดังนั้นแม้ต่างห้องเรียนพวกเราก็สามารถคบหากันอย่างสนิทสนม.
     
  17. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 36. ค่าของคนอยู่ที่ความเชื่อถือได้

    พวกเราทั้งสี่คนไปมาหาสู่ กินข้าวกินปลา พักค้างแรมกันที่บ้านของเพื่อน ๆ เป็นประจำ ทำให้เกิดความสนิทสนมคุ้นเคยกับญาติพี่น้องของแต่ละคนเป็นอย่างดี ถึงกระนั้นก็ยังมีการจำแนกการคบหาอยู่ดี

    เพราะในขณะที่ผม ศิริศักดิ์ และมนูญผล ได้สาบานเป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกัน แต่กับไสยวิชญ์และวัจจนนท์ ถึงแม้จะมีความสนิทสนมไม่ต่างกัน แต่ก็หาได้เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกันไม่

    แม้ว่าต่างคนต่างมีบ้านที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง แตกต่างจากผมซึ่งอาศัยวัด แต่ปรากฏว่าเพื่อนทั้งสี่คนรักที่จะมาหาผมที่วัดมากกว่าที่จะไปยังบ้านเพื่อนคนอื่น ซึ่งคงจะเกิดจากความรู้สึกว่าการมารวมตัวกันที่วัดระฆังเป็นอิสระมากกว่าที่บ้าน เพราะไม่ต้องวุ่นวายหรือรบกวนญาติพี่น้องทางบ้าน และที่วัดนั้นก็สงบและมีผู้คนไม่มาก เนื่องจากในวันหยุด พระมหาทรงธรรม์ก็ดี และพระเณรที่กุฏิธรรมนิวาสก็ดีมักจะมีกิจนิมนต์ไปข้างนอก

    เมื่อพวกเรามาพบปะสังสรรค์กันที่วัดก็พูดคุยกันสารพัดเรื่อง นับเป็นเรื่องแปลกที่พวกเราแม้ยามนั้นต้องถือว่าเป็นห้วงเวลาของความเป็นวัยรุ่น น่าจะไปสรวลเสเฮฮาหรือสำมะเลเทเมาตามประสาสมัยนิยมของวัยรุ่น แต่พวกเรากลับไม่ค่อยคิดหรือสนใจที่จะไปเที่ยวเตร่เฮฮาตามประสาวัยรุ่นในขณะนั้นเลย

    นี่คงเป็นอานิสงส์ของพระธรรมวินัยที่แผ่ปกป้องคุ้มครองวัดวาอารามในยุคนั้น ทำให้อิทธิพลของอบายมุขแผ่ปกคลุมเข้ามาไม่ถึง พวกเราจึงพลอยได้รับอานิสงส์นี้ ทำให้ห่างไกลออกไปจากอบายมุข และความเลวร้ายต่าง ๆ ทำให้วัยรุ่นของพวกเราดูผ่องแผ้ว สมแล้วที่พ่อได้ตั้งความปรารถนาให้ผมมาอยู่วัด
    ผมค่อนข้างจะมีวิถีชีวิตความเป็นมาที่แตกต่างจากเพื่อน ดังนั้นเพื่อนที่สนิทจึงมักจะซักไซ้ไต่ถามความแต่หนหลัง ครั้นรู้ว่าผมมีความรู้เรื่องหมอดูก็พากันให้ผมดูหมอ ผมก็ดูให้ไปตามเรื่อง นานวันเข้าครูที่สอนหนังสือทั้งครูประจำชั้นและครูสอนวิชาอื่นก็ให้ผมไปดูหมอให้ เมื่อคำครูปากต่อปากเล่าลือกันไป ครูห้องอื่นชั้นอื่นก็ให้ผมไปดูหมอบ้าง เป็นเหตุให้ผมดูหมอให้กับครูแทบทุกคนของโรงเรียน ยกเว้นก็แต่ครูบุญยังซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่เท่านั้น

    เพราะเหตุนี้ทั้งเพื่อนและครูจึงเรียกผมเป็นหมอดู และเรียกขานว่า “ไอ้หมอ” แทนที่จะเรียกชื่อตามปกติ ซึ่งอย่างไรเสียก็ดีกว่าที่จะถูกเอาชื่อพ่อมาเรียกล้อเล่นกัน เพราะในชั้นในรุ่นของผมยุคนั้น แทนที่จะเรียกขานชื่อตัวกลับไปเอาชื่อพ่อมาเรียกขานกันเป็นพื้น

    ความที่เอาชื่อพ่อมาล้อเล่นเรียกกันเช่นนี้ บางทีก็ทำให้เกิดเหตุขัดเขินบ้าง เพราะพวกเราส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาของพ่อเพื่อน ครั้นเพื่อนนั่งรถมากับพ่อหรือพาพ่อมาโรงเรียนแล้วพวกเรายังคงเรียกชื่อพ่อของเพื่อนโดยมีคำว่า “ไอ้” นำหน้า พอรู้ว่าเป็นพ่อก็หน้าตาเลิกลั่กไปเหมือนกัน

    ผมเองก็เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาหนหนึ่ง คราวนั้นไปพบเพื่อนที่ชื่อพงษ์เทพโดยบังเอิญ ผมก็ตะโกนร้องเรียกว่า “เฮ้ย! ไอ้เท้ง” เพราะว่าพ่อของพงษ์เทพใช้ชื่อจีนว่า “เท้ง” เพื่อนผมสะดุ้งสุดตัว รีบร้องกลับมาว่า “เฮ้ย! กูมากับพ่อ” ผมก็ได้แต่หน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมไป

    สำหรับครูบุญยังท่านไม่สนใจในเรื่องการดูหมอ เพราะเป็นผู้ที่มีความรู้ในทางพระพุทธศาสนา และมีวิชาครูที่น่าเลื่อมใสศรัทธา

    ทุกวันเวลาเช้าเมื่อนักเรียนเข้าแถวเคารพธงชาติแล้วก็จะมีการสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยทุกเช้า วิฑูรย์เพื่อนใหม่ซึ่งมาจากสุพรรณบุรีทำหน้าที่เป็นผู้นำการสวดมนต์ จนเพื่อนฝูงพากันเรียกวิฑูรย์ว่ามัคนายกซึ่งค่อนข้างจะเหมาะสมกับบุคลิกและความเป็นอยู่ เนื่องจากวิฑูรย์มีบุคลิกลักษณะคล้ายกับมัคนายกจริง ๆ และก็พักอาศัยอยู่ที่วัดเหมือนกับผมคือวัดชนะสงคราม

    เมื่อเคารพธงชาติ สวดมนต์ ไหว้พระแล้ว ครูบุญยังก็จะอบรมสั่งสอนศิษย์เป็นประจำทุกวันด้วยน้ำเสียงที่องอาจกล้าหาญ เสียงดังฟังชัด เนื้อหาที่อบรมในแต่ละวันจะแตกต่างกันไป

    แต่ก็รวมความได้ว่าครูใหญ่สอนให้ศิษย์เป็นคนดี สอนไม่ให้คบคนพาล สอนให้มีความอ่อนน้อม เคารพเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ ให้ยึดมั่นในพระรัตนตรัย ไม่ให้เชื่อในเรื่องงมงายเหลวไหล สอนให้เชื่อในเรื่องกรรมว่าทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น และไม่มีวันที่จะหลีกลี้หนีกรรมไปได้

    ครูบุญยังย้ำเน้นการสอนเรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นคน ให้มีความภาคภูมิใจที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ให้เป็นที่เชื่อถือวางใจของคนอื่น

    ครูบุญยังมักย้ำว่าคนเราถ้าไม่มีเกียรติและขาดความเชื่อถือแล้ว คุณค่าความเป็นคนก็จะหมดสิ้นไป เพราะคนเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ ต้องอยู่กันเป็นหมู่คณะ ต้องคบหาร่วมการงานกับคนอื่น ซึ่งต้องอาศัยเกียรติและความเชื่อถือ ดังนั้นค่าของคนที่แท้จริงจึงอยู่ที่เกียรติศักดิ์และความเชื่อถือได้ คำสอนของครูบุญยังในเรื่องนี้ผมยังจำมั่นไม่เคยลืมเลือนเลย

    ครูบุญยังพูดถึงเทวดาฟ้าดินบ้างเป็นบางครั้ง แต่มักจะพูดอบรมสั่งสอนในลักษณะที่เป็นผลของความกตัญญู โดยครูบุญยังมักสอนว่าคนเราจะชั่วจะดีให้ดูที่ความกตัญญู ซึ่งตรงกับพุทธภาษิตบทหนึ่งที่ว่า ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี ใครมีความกตัญญูและกตเวทีต่อผู้มีพระคุณก็ย่อมเป็นที่รักและย่อมเป็นที่ทำนุบำรุงของคนทั้งปวง ถึงเทพยดาฟ้าดินก็จะทำนุบำรุงอุ้มชูคนที่มีความกตัญญูดังนี้

    ครูบุญยังเป็นครูที่เชิดชูคนดี และคอยสดับตรับฟังการประพฤติปฏิบัติของศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของโรงเรียนอยู่เสมอ ศิษย์คนไหนทำความดีไว้กับสังคมก็ดี กับโรงเรียนก็ดี หรือกับหน่วยงานรัฐบาลใด ๆ ก็ดี ครูบุญยังก็จะเชิญมาและให้ออกมายืนหน้าเสาธงข้างๆ กับครู แล้วเล่าความพรรณนาถึงความดีอย่างละเอียดถี่ถ้วน และให้ศิษย์ทุกคนถือเป็นแบบอย่างในการทำตัวเป็นคนดี

    ครูบุญยังรักความเป็นลูกเสือมาก แม้จะอยู่ในวัยปลายของชีวิตแต่ก็แต่งตัวในชุดลูกเสืออยู่เสมอ จนบางทีนักเรียนล้อเลียนอาจารย์ใหญ่ว่าเป็นคนคลั่งลูกเสือ เพราะฝักใฝ่ในกิจการของลูกเสือ ครูบุญยังจึงพร่ำสอนศิษย์อยู่เสมอให้ยึดมั่นในคติของลูกเสือคือเสียชีพอย่าเสียสัตย์

    ผมเป็นคนที่สนใจฟังคำสั่งสอนของผู้หลักผู้ใหญ่ ดังนั้นแม้ด้วยวัยเดียวกัน แต่เพื่อน ๆ มักจะไม่ค่อยสนใจสดับฟังคำสั่งสอนของครู เพราะรักที่จะพูดคุยกันเอง ในขณะที่ครูใหญ่อบรมสั่งสอน แต่ตัวผมนั้นมักตั้งใจสงบนิ่งฟังคำสั่งสอนของครูบุญยัง จนกลายเป็นถูกปลูกฝังความเป็นผู้สอนติดตัวมาถึงทุกวันนี้

    ในบรรดาคำสั่งสอนของครูบุญยังนั้น มาถึงวันนี้ผมสรุปได้ว่าการทำตัวให้เป็นที่เชื่อถือของคนอื่นเป็นคำสั่งสอนที่มีคุณค่าอย่างยิ่งของชีวิต และด้วยคำสอนนี้จึงทำให้ผมได้รับโอกาสมากหลายในชีวิตที่ผ่านมา เป็นผลให้ชีวิตได้โลดแล่นอย่างราบรื่นตลอดมาด้วย

    ครูบุญยังย้ำอยู่เสมอว่าคุณค่าของคนอยู่ที่การสร้างความเชื่อถือ และความเชื่อถือนี่แหละคือทรัพย์สมบัติที่แท้จริงของคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ฐานะสูงส่งหรือต่ำต้อยประการใด หากผู้นั้นเป็นผู้ที่ผู้คนเชื่อถือก็จะเป็นคนที่มีค่าและสามารถทำการใด ๆ ได้สำเร็จ แต่ถ้าหากสูญเสียความเชื่อถือหรือไม่เป็นที่เชื่อถือของใครแล้วก็ยากที่จะทำการใด ๆ ให้สำเร็จได้

    เพราะเหตุนี้ครูบุญยังจึงมักย้ำนักย้ำหนาว่าเกิดเป็นคนสูญเสียอะไรก็สูญเสียได้ แต่อย่าได้สูญเสียความเชื่อถือเป็นอันขาด เพราะถ้าหากผู้คนไม่เชื่อถือแล้วก็เหมือนกับสิ้นแล้วซึ่งความเป็นคน และหาคุณค่าใด ๆ ไม่ได้อีก

    บางวันครูบุญยังพร่ำสอนศิษย์อยู่ดี ๆ ก็สั่งให้ครูทั้งโรงเรียนมาเตรียมพร้อมอยู่ข้างหน้า แล้วให้ค้นนักเรียนทุกคน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก

    แต่ปรากฏเสมอว่าการค้นแทบทุกครั้งจะได้สิ่งของที่สามารถใช้เป็นอาวุธตามมากตามน้อย บางวันได้มากเป็นเข่งก็มี ผมทราบภายหลังว่าครูบุญยังเอาใจใส่เป็นธุระดูแลความเป็นไปของศิษย์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะในยุคนั้นเป็นยุคที่นักเรียนต่างโรงเรียนยกพวกตีกันบ่อย ๆ และหลายครั้งก็มีนักเรียนโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์เข้าผสมโรงตีกับเขาด้วย

    ดังนั้นในแต่ละวันอาจารย์ใหญ่จึงจัดครูเข้าเวรยืนสังเกตการณ์อยู่หน้าโรงเรียน 2-3 จุด ครั้นพบพิรุธว่านักเรียนพกพาสิ่งที่อาจเป็นอาวุธได้ก็จะรายงานให้อาจารย์ใหญ่ทราบ จึงเป็นเหตุให้มีการค้นนักเรียนเป็นระยะ ๆ และเห็นเป็นผลดีอยู่ไม่น้อย เพราะสามารถป้องกันหรือป้องปรามการตีกันได้เป็นอย่างดี

    ผมได้รับความเมตตาจากอาจารย์ใหญ่เป็นพิเศษตั้งแต่ครั้งมาขอเข้าเรียนตลอดมา ทุกเดือนครูบุญยังจะเรียกเข้าไปหาที่ห้องอาจารย์ใหญ่แล้วไต่ถามผลการเรียน ผมก็รายงานให้ทราบตามความเป็นจริง บางครั้งท่านก็ลองสอบถามแบบทำนองสอบปากเปล่า ผมก็ตอบได้อย่างแคล่วคล่อง ท่านก็มีความยินดี

    การทั้งนี้คงเป็นเพราะผมเข้ามาเรียนในลักษณะที่ผิดปกติกว่าคนอื่น เพราะมาเรียนในขณะที่โรงเรียนเปิดเรียนไปหลายวันแล้ว และครูบุญยังเป็นผู้รับผมเข้าเรียนด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงย่อมต้องรับผิดชอบในผลการเรียนและในการประพฤติปฏิบัติของผม หรือมิฉะนั้นก็เกิดแต่จิตใจของความเป็นครูที่มีความเมตตาต่อศิษย์บ้านนอกว่าจะเรียนทันคนอื่นหรือไม่

    ความน่าแปลกของครูบุญยังอยู่ตรงที่ท่านให้ความสนใจในภาษาไทยเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่เรียกผมเข้าไปพบก็จะถามเรื่องความรู้เกี่ยวกับภาษาไทยและวรรณคดีไทย แทนที่จะสอบถามผมในเรื่องภาษาอังกฤษซึ่งครูใหญ่รู้ดีตั้งแต่ต้นแล้วว่าผมอ่อนภาษาอังกฤษ

    ผมรักภาษาไทยและสนใจภาษาไทยมาแต่น้อย และมักอ่านหนังสือเรียนที่เกี่ยวกับภาษาไทยไว้ล่วงหน้าเสมอ จึงสามารถตอบครูใหญ่ได้โดยไม่ติดขัด เหตุนี้ผมจึงได้รับความเมตตาและได้รับความสนิทสนมจากครูใหญ่เป็นพิเศษ

    ในเรื่องเกี่ยวกับภาษาไทยนี้ ครูบุญยังสอนว่าเกิดเป็นคนไทยจะเรียนสรรพวิชาใดหรือภาษาใดก็ตามทีแต่อย่าได้ทิ้งภาษาไทย เพราะเป็นสิ่งซึ่งแสดงความเป็นไทยและความเป็นคนไทย นอกจากนั้นภาษาไทยยังมีอรรถรส มีความงดงามประณีต และบ่งบอกถึงอัชฌาสัย ใจคอ วัฒนธรรม และคติสอนใจชนิดที่คาดคิดไม่ถึง

    วันหนึ่งครูบุญยังได้ท่องโคลงบทหนึ่งให้ผมฟังว่า

    “น้ำเคี้ยวยูงว่าเงี้ยว ยูงตาม
    ทรายเหลือบหางยูงงาม ว่าหญ้า
    ตาทรายยิ่งนิลวาม พรายเพริด
    ลิงว่าว่า หวังหว้า ว่าดิ้นโดดโดย”

    พอท่องโคลงจบครูใหญ่ก็ถามว่าผมเข้าใจความหมายของโคลงบทนี้หรือไม่ และให้ผมลองแปลความหมายโคลงบทนี้ให้ฟัง

    ผมกราบเรียนตอบครูใหญ่ว่าคิดว่าพอเข้าใจ และได้แปลความหมายโคลงบทนี้ไปตามที่เข้าใจในขณะนั้น

    ครูบุญยังก็ว่าที่ผมแปลความหมายนั้นเป็นความหมายพื้น ๆ แท้จริงโคลงบทนี้มีความหมายที่ลึกซึ้ง อย่างตื้นที่สุดแปลตามตัวหนังสือหรือแปลตามพยัญชนะก็แปลได้ว่า แม่น้ำเคี้ยวคด นกยูงซึ่งบินอยู่สูงสำคัญผิดคิดว่าเป็นงูจึงบินตาม กวางทรายมองเห็นหางนกยูงที่เขียวสดงดงามสำคัญผิดคิดว่าหญ้า ตาทรายดำสนิทดุจดังนิล ลิงสำคัญว่าเป็นลูกหว้ากระโดดไขว่คว้าไล่ตาม

    ครูบุญยังบอกว่าความหมายที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในโคลงบทนี้เป็นคำสอนสำคัญ ที่ควรเป็นคติเตือนใจและนำไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์

    ครูบุญยังอธิบายว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาและเข้าใจตามที่เห็นนั้น กับความเป็นจริงของสิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่อย่างเดียวกัน สิ่งที่เห็นว่าเป็นอย่างหนึ่ง แต่ความจริงอาจเป็นอีกอย่างหนึ่งและอาจไม่ใช่อย่างที่เห็นก็ได้ ดังนั้นอย่าได้มั่นใจในสิ่งที่เห็นจนเกินไป ต้องใคร่ครวญไตร่ตรองพิจารณาโดยถ่องแท้ว่าความจริงของสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร

    ครูบุญยังยังขยายความต่อไปด้วยว่า คนเราเป็นสิ่งที่มองได้โดยยาก บางคนดูรูปลักษณะภายนอกและท่วงท่ากิริยาเจรจาพาทีอาจนึกว่าเป็นคนดี แต่แท้จริงอาจเป็นคนชั่วช้าเลวทรามก็ได้ บางคนดูรูปชั่วตัวดำแข็งกระด้างหยาบคาย แต่แท้จริงอาจจะเป็นคนที่มีความดีงามก็ได้ สรรพสิ่งในโลกนี้ คนเป็นสิ่งที่ดูยากและเข้าใจยากที่สุด

    คำสอนของครูบุญยังในเรื่องนี้ผมยังจดจำและฝังใจแน่นแฟ้นไม่เคยลืมเลือนเลย ยิ่งวันเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกซึ้งถึงพระคุณครูที่สู้อบรมพร่ำสอนศิษย์ โดยไม่คิดเห็นแก่ความเหนื่อยยาก

    ศิษย์ใดได้ครูอย่างครูบุญยังหรือครูท่านอื่นที่เคยสอนผมในขณะนั้นแล้วย่อมถือได้ว่าเป็นศิษย์ที่มีบุญ เพราะท่านเหล่านั้นล้วนเป็นครูแท้ คือเป็นผู้แบกภาระอันหนักในทางจิตวิญญาณที่ทำหน้าที่ยกระดับสติปัญญา ความรู้ และคุณธรรมของศิษย์ ทำคนให้เป็นคน พูดง่าย ๆ ก็คือหน้าที่ของครูนั้นคือการสร้างคนให้เป็นคน โดยมิได้หวังผลตอบแทนหยาดเหงื่อแรงงานใด ๆ เลย

    เพราะครูมีคุณธรรมล้ำเลิศฉะนี้ ศิษย์ของครูบุญยังส่วนใหญ่จึงเป็นคนดี และความเป็นคนดีนั้นก็สามารถดำรงอยู่ได้อย่างสุขสบาย แม้ว่าบางคนจะมีฐานะที่ลำบากยากจนในภายหลังก็ตาม
    ครูบุญยังล่วงลับดับสูญไปนานช้าแล้ว แต่ถึงวันนี้ศิษย์ทุกคนของครูบุญยังยังคงรักเคารพศรัทธาและรำลึกถึงพระคุณครู โดยได้ร่วมกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาต่อครูผู้มีพระคุณอยู่เสมอ ๆ

    ครูรุ่นนั้นต่างกับครูรุ่นปัจจุบันนี้จนแทบเทียบกันไม่ได้ หาไม่แล้วปัจจุบันนี้ที่ไหนเลยจึงมักปรากฏข่าวครูข่มขืนศิษย์ ครูทุบตีศิษย์ ครูหลอกลวงศิษย์ ครูขายยาบ้าให้ศิษย์อยู่เสมอ หากครูขาดคุณธรรมเสียเองแล้ว ไหนเลยจะสามารถสั่งสอนศิษย์ให้มีคุณธรรมได้ เพราะแบบพิมพ์ที่ชั่วช้าหาคุณธรรมไม่ได้ก็ย่อมเป็นเบ้าหล่อหลอมให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ชั่วช้าหาคุณธรรมไม่ได้อย่างเดียวกัน

    ดังนั้นเมื่อจะปฏิรูปหรือจะปฏิวัติการศึกษาก็ต้องปฏิวัติที่ตัวครูนั้นก่อน จะไปปฏิวัติปฏิรูปกันที่ระบบการเรียนการสอนหรืออุปกรณ์การศึกษาย่อมไม่มีวันสำเร็จได้

    แต่ก็น่าเห็นใจ เพราะความศิวิไลซ์ของบ้านเมืองได้ทำให้เกิดความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในวัตถุจนลืมความงดงามทางจิตใจไปหมดสิ้น ครูก็ถูกกระแสตะวันตกที่หลากไหลพัดพาไปในทางต่ำ ก่อเกิดเป็นเบ้าหลอมที่ให้ผลิตผลดังที่เห็น ๆ กันอยู่ เมื่อกล่าวกันให้ถึงที่สุดแล้วจึงมีแต่ต้องพร้อมหน้าพร้อมใจกันกลับไปสู่สังคมแบบอดีตที่ถือคุณงามความดีและจิตใจเป็นใหญ่กันเสียใหม่ เห็นจะดีกว่าที่จะปล่อยให้กระแสศิวิไลซ์ชักพาไปดังที่เป็นอยู่นี้.
     
  18. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 37. ความถูกต้องกับความถูกใจ

    ตัวผมเองแม้เป็นคนที่ไม่ค่อยถือสาหาความเอากับใคร ไม่ค่อยผูกเจ็บผูกร้อนอาฆาตพยาบาทผู้ใด แต่ในเรื่องที่ถูกเขาดูถูกหยามหยันนั้นกลับเป็นเรื่องที่ไม่หมดสิ้นไปจากหัวใจ ยังคงเป็นตะกอนนอนนิ่งและคุกรุ่นอยู่เป็นบางเวลา

    ผมยังเก็บความชอกช้ำใจที่ถูกเขาดูถูกว่าเป็นเด็กบ้านนอก เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา จนไม่กล้าที่จะฝากเข้าเรียนในโรงเรียนสวนกุหลาบตั้งแต่ตอนเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ได้ไม่ลืมเลือน

    วันหนึ่งจึงได้ปรารภกับมนูญผล ศิริศักดิ์ และไสยวิทย์ซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทสนมที่สุดว่าการศึกษาเล่าเรียนในชั้น ม.ศ. 4 และ ม.ศ. 5 ซึ่งเป็นหลักสูตรใหม่นั้นมีโรงเรียนไหนบ้างที่พอจะทัดเทียมกับโรงเรียนสวนกุหลาบได้

    เพื่อนสนิททั้งสามคนได้สอบถามต้นสายปลายเหตุว่าที่ถามเช่นนี้มีวัตถุประสงค์สิ่งใด ผมก็ได้แจ้งให้ทราบถึงความอดสูใจในครั้งนั้นให้ฟัง พอเพื่อนทั้งสามได้ทราบความก็พากันเป็นเดือดเป็นแค้นแทนผมไปด้วย

    ศิริศักดิ์เป็นคนเสนอว่าถ้าจะไม่ให้น้อยหน้ากันก็ต้องไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากและมีเกียรติภูมิไม่ได้ด้อยไปกว่าโรงเรียนสวนกุหลาบ

    เพื่อนคนอื่นก็พากันเห็นด้วย นับแต่วันนั้นมาผมก็ปักใจว่าเมื่อสอบไล่ชั้น ม.ศ. 3 เสร็จแล้วก็จะไปสมัครเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ซึ่งเพื่อนทั้งสามคนได้แนะนำว่าถ้าคิดจะสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ตามที่ตั้งใจไว้นั้น อย่าได้คิดว่าเป็นของง่ายเพราะโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนมีชื่อเสียง ใคร ๆ ก็อยากเข้าเรียนที่นี่กันทั้งนั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต่างก็ต้องการให้ลูกหลานได้เรียนที่โรงเรียนนี้ ดังนั้นจึงต้องแข่งขันกับนักเรียนที่เรียนเก่งและต้องแข่งขันกับลูกหลานผู้มีอำนาจวาสนาเป็นจำนวนมาก จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม มิฉะนั้นก็จะผิดหวังได้โดยง่าย

    ผมทราบดังนั้นแล้วก็ได้แต่ขอบคุณเพื่อน ๆ แต่ในใจนั้นมีความมุ่งมั่นเหลือประมาณนักว่าตัวเรานี้จักต้องทุ่มเทความเพียรสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ให้จงได้

    ผมได้บอกเพื่อนทั้งสามคนว่าบางทีความรู้สึกที่หดหู่อดสูใจอันเกิดจากการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามนั้นก็อาจกลายเป็นพลังที่สร้างสรรค์ได้ หากไม่จำนนท้อถอยปล่อยตัวไปตามยถากรรม ผมได้ยืนยันกับเพื่อนทั้งสามคนตั้งแต่ขณะนั้นว่าไม่ว่าจะเป็นประการใดก็จะมานะบากบั่นเพื่อสอบเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ให้จงได้ หาไม่แล้วความขุ่นแค้นในใจก็ไม่อาจลืมเลือนไปได้เลย

    ผมรู้จักแปรความคับแค้นเป็นพลังสร้างสรรค์โดยที่ไม่รู้สึกตัวมาตั้งแต่ครั้งนั้น เพื่อนสนิททั้งสามคนเห็นผมมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวก็พากันเอาใจช่วย ต่างคนต่างพยายามซื้อหาหนังสือที่เห็นว่าจำเป็นต่อการเตรียมตัวมาให้ผมอยู่เสมอ และได้เตือนว่าลำพังแค่การเรียนในโรงเรียนเห็นจะสู้เขาไม่ได้ เพราะใคร ๆ ที่คิดจะสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ล้วนต้องกวดวิชาและทุ่มเทกันสุดตัวทั้งนั้น จึงแนะนำให้ผมเรียนกวดวิชาในเวลาตอนเย็น ซึ่งผมก็เห็นด้วย

    มนูญผลเป็นคนที่เอาใจใส่ผมมากเป็นพิเศษ ไปหาโรงเรียนกวดวิชาที่เหมาะสมกับผมอยู่หลายแห่ง ในที่สุดมนูญผลก็มาบอกว่าการเรียนกวดวิชาควรถือเอาการกวดวิชาให้ปรีชาสามารถเป็นหลัก อย่าไปสนใจชื่อเสียงของโรงเรียนกวดวิชาจะดีกว่า เพราะโรงเรียนกวดวิชาที่มีชื่อเสียงนั้นจะมีผู้คนเข้าเรียนมาก โอกาสที่จะบ่มเพาะหรือกวดวิชาจริง ๆ คงจะได้ผลน้อย

    สู้โรงเรียนที่มีครูบาอาจารย์ดี ๆ และมีโอกาสกวดวิชาอย่างใกล้ชิด โดยค่ากวดวิชาไม่แพงจะดีกว่า เพราะจะได้ทั้งกวดทั้งขันความรู้ให้มั่นคงแน่นหนา สามารถที่จะต่อสู้กับเขาได้

    มนูญผลบอกว่าได้ไปพบโรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่งย่านสี่แยกบ้านแขก ฝั่งธนบุรี เปิดสอนในเวลาเย็น โดยเช่าโรงเรียนที่สอนปกติในเวลากลางวัน ครูผู้สอนกวดวิชามาจากโรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาโดยตรง แต่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าใดนัก สำหรับค่ากวดวิชาก็ไม่แพง และนักเรียนที่มาเรียนกวดวิชาก็น้อยคน มีโอกาสใกล้ชิดกับครูอาจารย์ผู้กวดวิชา เห็นจะได้การเป็นแน่

    ผมสอบถามค่าเรียนกวดวิชาแล้วก็บอกมนูญผลว่าเมื่อเพื่อนได้พยายามหาโรงเรียนให้อย่างนี้แล้ว ผมก็เชื่อมั่นว่าจะเรียนกวดวิชาได้ผลแน่ จึงตกลงที่จะเรียนกวดวิชาตามที่มนูญผลแนะนำ แล้วรีบมีจดหมายไปบอกแม่ว่าจำเป็นต้องเรียนกวดวิชาแล้ว เพื่อจะได้สอบแข่งขันเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ในปีการศึกษาหน้า

    มนูญผลถามว่าผมมีเงินค่าเรียนกวดวิชาหรือไม่ ผมก็บอกว่าเงินนั้นไม่มี แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา เพราะแม่ผมเป็นผู้ใฝ่การศึกษา การขอเงินเพื่อใช้จ่ายอย่างอื่นแม่อาจพิจารณามากหน่อย แต่ถ้าหากขอเงินมาเพื่อกวดวิชาแล้วเห็นจะได้โดยง่าย มนูญผลได้ออกปากว่าเมื่อมั่นใจอย่างนี้ก็จะยืมเงินแม่มาเป็นค่ากวดวิชาให้ก่อน เมื่อได้รับเงินจากทางบ้านแล้วค่อยคืนเงินให้ก็ได้

    เมื่อตกลงกันดังนั้น วันต่อมามนูญผลจึงพาผมไปสมัครเรียนกวดวิชา ปรากฏว่าเป็นโรงเรียนที่อยู่ในเส้นทางรถเมล์ที่ผมใช้เป็นเส้นทางจากวัดไปโรงเรียน และกลับอยู่แล้ว ทั้งอยู่ไม่ไกลจากป้ายรถเมล์สี่แยกบ้านแขกเท่าใดนัก เดินไปไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงโรงเรียนกวดวิชาแล้ว

    นับว่ามนูญผลเป็นคนช่างคิดและเป็นคนรอบคอบ เพราะการเลือกโรงเรียนที่เหมาะสมเช่นนั้นแล้วยังไม่เสียเวลาในการเดินทางออกไปนอกเส้นทาง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเดินทางเพิ่มขึ้น และไม่เสียเวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นแต่ประการใด

    หลังจากไปเรียนกวดวิชาได้ไม่กี่วัน แม่ก็ส่งเงินค่าเล่าเรียนมาให้ตามที่ต้องการ ผมเบิกเงินจากธนาณัติแล้วรีบนำไปคืนมนูญผล พร้อมกับฝากกราบขอบพระคุณแม่ที่ได้ให้ความเมตตาให้ยืมเงินมาใช้ล่วงหน้า ทำให้ไม่ต้องเสียเวลารอคอยเงินจากทางบ้าน

    เมื่อเข้าไปเรียนกวดวิชาแล้ว ก็เป็นจริงดังที่มนูญผลได้ให้ข้อมูลไว้แต่ต้น คือครูที่มาสอนกวดวิชามาจากหลายแหล่ง ทั้งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเอง และจากโรงเรียนเตรียมทหาร ตลอดจนครูที่สอนในโรงเรียนสำคัญ ๆ อีกหลายแห่ง และนักเรียนที่มาเรียนกวดวิชาก็ไม่มากเท่าใดนัก จึงทำให้มีความใกล้ชิดในการเรียนการสอนมากเป็นพิเศษ

    การเรียนกวดวิชาทำให้ผมได้รู้ว่าครูกรุงเทพฯ นี้ช่างเก่งจริง สอนอะไรก็เข้าใจได้โดยง่าย ดังนั้นวิทยาการที่เล่าเรียนจากโรงเรียนกวดวิชาจึงทำให้ผมมีความก้าวหน้าในการเรียน และมีความพร้อมที่จะเข้าสู่การแข่งขันในวันข้างหน้าโดยลำดับ

    เพราะเป็นโรงเรียนกวดวิชาเพื่อจะเข้าสอบแข่งขัน ดังนั้นในแทบทุกสัปดาห์ก็จะมีการนำข้อสอบแข่งขันเก่า ๆ มาให้นักเรียนทดลองทำ และเมื่อทำนานวันเข้าบรรดาข้อสอบเก่าๆ ที่เคยใช้สอบแข่งขันก็เป็นอันผ่านหูผ่านตาและทำให้พอรู้ทิศรู้ทางและแนวทางในการออกข้อสอบแข่งขัน

    ที่สำคัญที่สุดคือได้รู้แนวทางการตอบและวิธีการตอบข้อสอบที่มีการนำมาเฉลย ทำให้ผมได้รู้ว่าแนวทางการออกข้อสอบและการออกข้อสอบในการแข่งขันนั้นเป็นประการใด จะตอบสั้น ตอบยาว ตอบมาก ตอบน้อย และข้อสอบใดเป็นอัตนัยหรือปรนัยก็ได้เรียนรู้ไปโดยลำดับ

    ถ้าหากว่าไม่ได้เรียนกวดวิชาก็จะไม่มีทางได้รับรู้และเตรียมความคิดจิตใจหรือเตรียมตัวให้มีความพร้อมได้เลย อาจจะกล่าวได้ว่าถ้าจะเปรียบเป็นการรบทัพจับศึกแล้ว การเรียนกวดวิชาในครั้งนั้นทำให้ผมรู้สภาพภูมิประเทศในการรบ และวิธีการรบค่อนข้างกระจ่างแจ้ง นับเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวง

    วันสอบซ้อมกลางปีที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ได้มาถึงตามปกติที่ควรจะเป็นไป และทั้ง ๆ ที่มีกติกาว่าห้ามพูดคุยกันในขณะสอบ แต่ปรากฏว่าในขณะที่กำลังทำข้อสอบนั้นเพื่อนนักเรียนก็ยังคุยกัน มีเสียงดังเหมือนในชั้นเรียนปกติ

    วันนั้นท่านอาจารย์ใหญ่ ครูบุญยังเดินตรวจการสอบตามห้องเรียนต่างๆ ได้ยินเสียงพูดคุยของนักเรียนก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าให้เงียบเสียง ไม่หนวกหูรบกวนการสอบบ้างหรือไร

    ครูใหญ่พูดสิ้นเสียงลง เสียงพูดคุยก็เงียบลงครู่หนึ่ง แต่พอครูใหญ่เดินไปไม่ทันคล้อยหลังเสียงพูดจากันก็ดังขึ้นเหมือนเดิม

    ขณะนั้นครูบุญยังเดินมาถึงผมพอดีแล้วถามว่าหนวกหูหรือไม่ ผมมีความคุ้นเคยกับเสียงแบบนี้ในชั้นเรียนอยู่แล้วจึงไม่รู้สึกเดือดร้อนรำคาญ จึงตอบอาจารย์ใหญ่ว่าไม่หนวกหูครับครู

    ผมตอบท่านอาจารย์ใหญ่ด้วยความจริงใจและด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ ว่าเสียงซึ่งเพื่อนนักเรียนพูดคุยกันในขณะสอบไม่หนวกหู ไม่ได้คิดที่จะท้าทายท่านอาจารย์ใหญ่แต่ประการใดเลย แต่กลับเป็นคำตอบที่ผิดหูและขัดใจอย่างยิ่ง ถึงขนาดครูใหญ่โกรธหูแดงทีเดียว

    เหตุที่โกรธนั้นผมคิดเอาเองว่าท่านอาจารย์ใหญ่เห็นว่าการที่นักเรียนพูดคุยกันในขณะกำลังสอบไม่เพียงแต่เป็นเรื่องไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้องเท่านั้น ยังเป็นการรบกวนสมาธิการทำข้อสอบของคนอื่น ซึ่งท่านคงหวังว่าใครก็ตามเมื่อได้ยินคำถามของท่านแล้วคงจะต้องตอบเป็นทางเดียวกันว่าหนวกหูหรือรำคาญ

    ครั้นผมตอบเช่นนั้นท่านอาจารย์ใหญ่ก็หยุดกึกอยู่กับที่ และถามย้ำกับผมอีกครั้งหนึ่งว่าไม่หนวกหูแน่หรือ ผมยังคงตอบไปโดยซื่อว่าไม่หนวกหูครับครู

    เท่านั้นแหละก็เกิดเรื่อง! ครูบุญยังเดินกลับไปที่ห้องครูใหญ่ เรียกครูดนตรีเข้าไปพบ ครู่หนึ่งก็เห็นครูดนตรีเดินออกจากห้องครูใหญ่ไปเอากลองดรัมแล้วเข้าไปที่ห้องครูใหญ่อีกครั้งหนึ่ง และเห็นอาจารย์บุญยังสะพายกลองดรัมนั้นเดินมาที่ข้างโต๊ะผม แล้วตีกลองเป็นทำนองให้นักเรียนเดินพาเหรด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

    นักเรียนที่กำลังสอบอยู่ทุกคนต่างหันมาจ้องมองเป็นสายตาเดียวกันด้วยความแปลกใจว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น ครูสุมนาซึ่งเป็นครูประจำชั้นของผมซึ่งรู้ความคิดและอารมณ์ของครูใหญ่เป็นอย่างดี เห็นเหตุการณ์ผิดปกติจึงเดินมาที่โต๊ะผมอีกคนหนึ่ง แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น

    ผมก็เล่าให้ฟังอย่างสั้น ๆ พอทราบความครูสุมนาก็เอามือหยิกที่หน้าท้องของผม แล้วถามว่าหนวกหูหรือไม่ ผมยังคงพาซื่อตอบว่าไม่หนวกหูครับครู

    ครูสุมนาหยิกหน้าท้องผมอีกครั้งหนึ่งและดึงให้ลุกขึ้น แล้วจ้องมองหน้าผม พลางชายตาไปที่ครูใหญ่ผมจึงได้เฉลียวใจและเข้าใจความนัย จากนั้นครูสุมนาได้ถามผมอีกว่าหนวกหูหรือไม่

    ครานี้ผมรู้ทีนัยยะและความหมายเป็นอย่างดีแล้ว จึงคำนับครูใหญ่และตอบด้วยเสียงดังฟังชัดว่าหนวกหูครับครู

    ครูใหญ่ได้ยินดังนั้นก็หยุดตีกลอง แล้วถามผมว่ารู้จักหนวกหูด้วยหรือ ผมจึงตอบว่าหนวกหูครับครู

    ท่านอาจารย์ใหญ่ดูเหมือนจะหายโกรธและกล่าวให้ได้ยินทั่วกันว่า การสอบครั้งนี้แม้เป็นการสอบซ้อมก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะได้ทดสอบความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา จะมาทำเป็นเล่นแล้วคุยกันสนุกสนานนั้นไม่ถูกต้อง การพูดคุยในขณะสอบเป็นการไม่เคารพครูบาอาจารย์ที่กำลังทดสอบความรู้ และยังเป็นพฤติกรรมที่สร้างความรำคาญให้แก่เพื่อนนักเรียนคนอื่น

    ครูใหญ่ได้ถือโอกาสสั่งสอนอบรมนักเรียนที่กำลังสอบอยู่ไปในตัว ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าท่านมีความเป็นครูอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกยามทุกโอกาสที่สามารถสั่งสอนศิษย์ได้ก็ไม่เคยละเว้นที่จะไม่สั่งสอนศิษย์ ท่านไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหรือรำคาญกับการอบรมสั่งสอนศิษย์ที่ขี้เล่นโดยไม่รู้จักกาลและโอกาสของนักเรียนรุ่นผมเลย

    ถึงวันนี้เมื่อนึกถึงเรื่องนี้คราวใดก็รำลึกถึงพระคุณครูใหญ่อยู่เสมอ และหวนรำลึกว่าตัวเรานี้ดีแต่พาซื่อ ถือความรู้สึกนึกคิดของตนโดยขาดการเฉลียวและคำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นในขณะนั้น ๆ ว่าเป็นประการใด

    ทำให้ได้คิดว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นคติสอนใจกำกับตัวว่าความรู้สึกและความจริงที่เข้าใจในหลายเรื่องหลายราวนั้น จะยึดมั่นถือมั่นเป็นจริงเป็นจังไปเลยโดยที่ไม่ฟังและคำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นนั้นไม่ได้ ความถูกต้องกับความถูกใจจะต้องไปด้วยกัน จึงจะสามารถครองตนอยู่ในสังคมได้ด้วยดี

    การถือเอาแต่ความถูกต้องเป็นหลัก ถ้าหากไม่ถูกใจคน ถึงดึงดันยืนยันไปก็จะไม่มีวันสำเร็จ รังแต่จะก่อศัตรูหรือสร้างความไม่พอใจให้กับคนอื่นร่ำไป ในทางตรงกันข้าม การถือเอาแต่เรื่องถูกใจคนโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง แม้อาจผ่านพ้นเหตุการณ์ชั่วคราวไปได้ แต่ผลบั้นปลายย่อมมีร้ายมากกว่าดีเป็นแน่นอนเหมือนกัน

    แม้กระนั้น การจะทำการใด ๆ ให้บริบูรณ์พร้อมทั้งความถูกต้องและความถูกใจคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องศาสตร์และศิลป์ที่ควรต้องให้ความสำคัญและใส่ใจฝึกฝนปฏิบัติให้ถึงพร้อมจึงจะเป็นผลดี.
     
  19. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    ตอนที่ 38. ผงอิทธิเจ...เมตตามหานิยม

    หลังจากสอบเสร็จก็เป็นวาระของการปิดเทอม แต่เป็นการปิดเทอมช่วงสั้น ๆ เพียง 15 วัน ผมได้ถือโอกาสนี้คิดเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องและครูบาอาจารย์ที่บ้าน แต่ก่อนเดินทางนายตี๋ได้เล่าความให้ฟังว่า ลุงต๋อมไม่สบายมา 2-3 วันแล้ว นอนซมอยู่ในห้อง

    ผมได้ทราบก็ตกใจ และมานึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นลุงต๋อมมา 2-3 วันแล้ว แต่ลืมสังเกตและเฉลียวใจไปก็เพราะว่ามัววุ่นอยู่กับการสอบ ดังนั้นพอได้ทราบความจากนายตี๋ผมจึงไปเยี่ยมลุงต๋อมที่ห้องนอน เห็นนอนซมอยู่ จึงถามอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง

    ลุงต๋อมเห็นผมเข้าไปเยี่ยมก็ดีใจ พอได้ยินผมถามก็ตอบว่าคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่และต้องเจ็บ ลุงแก่แล้วก็ต้องเจ็บบ้างเป็นธรรมดา แต่คิดว่าอาการไม่มากนัก วันสองวันนี้รู้สึกเพลียจึงไม่ได้ออกไปข้างนอก ได้แต่นอนซมอยู่ที่ห้อง ซึ่งดีเหมือนกันเพราะได้มีเวลาพิจารณาวันเวลาที่ผ่านไปของชีวิตว่าช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริง ๆ มารู้ตัวอีกทีหนึ่งก็แก่และเจ็บป่วยไปแล้ว อีกหน่อยก็จะถึงแก่ความตายตามธรรมดาธรรมชาติ

    ผมจึงถามว่าใครจัดหาอาหารให้กินในระหว่างป่วยเจ็บ ลุงต๋อมบอกว่าได้อาศัยไอ้ตี๋นี่แหละ มันบ้า ๆ บอ ๆ ก็จริงแต่ยังมีความห่วงใยและเอาใจใส่ลุงเป็นอย่างดี

    ลุงต๋อมบอกว่าเวลาที่ผ่านมาไอ้ตี๋มันเอาใจใส่แต่หมา คิดว่ามันจะไม่สนใจเรื่องคน ลุงป่วยครั้งนี้จึงได้รู้ว่าไอ้ตี๋ก็มีน้ำใจ และมาเอาใจใส่ดูแลลุงเป็นอย่างดี แต่คิดอีกทีหนึ่งก็รู้สึกว่าคนเราเวลาป่วยเจ็บเช่นนี้ชีวิตก็คล้าย ๆ กับหมาที่วัดเหมือนกัน คือดูแลตัวเองได้น้อยมาก ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นช่วยดูแล กล่าวดังนี้แล้วลุงต๋อมก็หัวเราะราวกับว่าได้ลืมความป่วยเจ็บไปแล้ว

    ลุงต๋อมยามป่วยก็ยังมีอารมณ์พูดจาเรื่องขำขัน ผมเห็นดังนั้นก็เบาใจ แต่ยังอดห่วงใยไม่ได้ ขณะนั้นผมมีเงินเหลือติดตัวหลังจากที่ได้ซื้อตั๋วรถไฟแล้วอยู่ราว 160 กว่าบาท จึงมอบเงินให้กับนายตี๋ไว้ 100 บาท ผมจึงเหลือเงินติดตัวไว้แค่ 60 กว่าบาท ก็คิดว่าพอเพียงเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางกลับบ้าน

    ผมได้สั่งความไว้กับนายตี๋ว่าเงินนี้ให้นายตี๋ไว้ช่วยซื้อยาหรืออาหารให้กับลุงต๋อมตามแต่จะเห็นจำเป็นและสมควร หากเหลือบ่ากว่าแรงก็ให้นายตี๋ช่วยไปกราบบอกท่านเจ้าคุณใหญ่หรือพระมหาทรงธรรม์ให้ช่วยเหลืออีกแรงหนึ่งก็ได้ นายตี๋ก็รับคำแต่โดยดี

    ผมกลับไปบ้านเป็นครั้งแรกหลังจากมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ได้นั่งดูทิวทัศน์สองข้างทางรถไฟด้วยความสุขใจเป็นที่ยิ่ง ในใจก็คำนึงว่าเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็จะเดินทางถึงบ้านเกิด จะได้พบหน้าบุพการีญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงแล้ว คิดดังนั้นสายตาก็ทอดไกลออกไป ใจก็ลอยละล่องราวกับว่าได้โลดแล่นล่วงหน้าไปถึงบางบ้านเกิดฉะนั้น

    ผมเดินทางไปถึงบ้านก็เข้าไปกราบพ่อแม่ จากนั้นก็ไปกราบก๋งและยายที่ได้เลี้ยงดูมาแต่น้อย ได้เล่าความเป็นอยู่และการเรียนที่กรุงเทพฯ ให้ฟัง ทุกคนได้ทราบความก็มีความยินดีเป็นอันมาก

    เพื่อนนักเรียนโรงเรียนเก่าพอทราบข่าวก็พากันมาเยี่ยมเยียนซักไซร้ไต่ถามตามประสา เพราะคนบ้านผมนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ใฝ่ในการศึกษามาเนิ่นนานแล้ว จะยากดีมีจนประการใดก็รักที่จะแสวงหาความรู้และการศึกษาแทบจะเสมอหน้ากันทุกคน

    ลางคนลำบากยากจนก็ยังสู้ทนส่งเสียให้ลูกได้เล่าเรียน จนเป็นค่านิยมของคนบ้านผมในสมัยนั้นที่จะต้องส่งลูกให้เรียนหนังสือสูง ๆ ทั้งส่งไปเรียนในตัวจังหวัดและในเมืองหลวง ดังนั้นคนบ้านผมถึงแม้นห่างไกลจากเมืองหลวงมาก แต่กลับมากไปด้วยคนซึ่งรักการศึกษาและมีความก้าวหน้าในการศึกษาสูงกว่าคนในพื้นที่อื่น ๆ ในภาคเดียวกัน

    เพราะเหตุนี้คนบ้านเดียวกับผมเมื่อจบการศึกษาแล้วจึงมีฐานะการงานค่อนข้างดี และเข้ารับราชการในแทบทุกหน่วยงานของรัฐบาล

    ผมได้ถือโอกาสแนะนำเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเก่าซึ่งขณะนั้นกำลังศึกษากันอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อเป็นลู่ทางในการไปศึกษาต่อหลังจากจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว

    เพื่อนนักเรียนที่เคยร่วมห้องเรียนกันมาแต่ก่อนคงจะเกรงว่าผมจากบ้านเข้าไปอยู่เมืองอาจจะลืมเรื่องความหลัง จึงพากันไปจัดเลี้ยงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในทุ่งนาหลังห้องเรียนชั้น ม.ศ. 2 เก่า เห็นทิวทุ่งท้องนากว้างขวางสุดลูกหูลูกตาเหมือนดังเดิม สายลมทะเลโชยมาจากด้านตะวันตกเย็นกายชื่นใจเช่นเดียวกับบรรยากาศเหมือนเมื่อครั้งที่ยังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเก่าทุกประการ ทำให้ได้รำลึกถึงความหลังและการคบหาใกล้ชิดเป็นมิตรสหายกันมาแต่น้อยเป็นอย่างดี

    การเลี้ยงสังสรรค์เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามประสาเด็ก ๆ ในวันนั้นช่างเป็นความสุขกายสุขใจเหลือประมาณนัก พวกเราดื่มด่ำในความรักของความเป็นเพื่อนอย่างฝังจิตฝังใจ ซึ่งแม้วันเวลาจะผ่านไปช้านานเพียงใดแล้วหวนรำลึกถึงคราใดใจก็ยังเต็มไปด้วยความสุขและยังทรงจำภาพอันทรงคุณค่าแห่งชีวิตในครั้งนั้นได้ไม่ลืมเลือน

    ผมยังคงคุ้นเคยกับความเป็นอยู่ดังแต่ก่อน ดังนั้นเมื่อถือโอกาสไปกราบเยี่ยมพระอาจารย์จึงได้นอนค้างแรมอยู่ที่วัด ในเวลากลางคืนเป็นเวลาว่าง อยู่กันแต่ลำพังกับพระอาจารย์ จึงได้เล่าความทั้งปวงให้พระอาจารย์ทราบ

    โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับเจ้าประคุณสมเด็จเท่าที่ผมได้ประสบพบเห็นปาฏิหาริย์และปรากฏการณ์ต่าง ๆ นั้น ผมได้กราบเล่าให้พระอาจารย์ฟังโดยละเอียด

    พระอาจารย์นั่งฟังด้วยความสนใจในอาการที่สงบอย่างยิ่ง ครั้นผมเล่าความจบลงพระอาจารย์ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่าการซึ่งได้สัมผัสกับความลี้ลับฉะนี้นั้นใช่ว่าจะเกิดได้กับทุกคน การจะสัมผัสกับความมหัศจรรย์เช่นนี้จะต้องมีธรรมอยู่ในใจ ทั้งยังต้องมีวาสนาบารมีแต่ปางก่อนพอประมาณ

    พระอาจารย์บอกว่าคนเราศึกษาแต่เรื่องนอกกายมากมายนับไม่ถ้วน แต่เรื่องในกายของตัวเองกลับไม่สนใจศึกษา แค่ความรู้ที่ว่าทำไมคนเราจึงโกรธก็ไม่ยอมค้นคว้าศึกษา แม้ขนาดว่าการหายใจของตัวเองว่าเป็นอย่างไร มีผลอย่างไรก็ไม่สนใจศึกษากัน การศึกษาด้านนอกแต่ไม่ศึกษาด้านใน เป็นการศึกษาด้านเดียว ถึงเป็นคนก็เป็นคนไม่สมบูรณ์

    ผมได้ถือโอกาสที่นอนสำนักอยู่กับพระอาจารย์เล่าเรียนคาถาอาคมเพิ่มเติมแต่พระอาจารย์กลับเน้นสอนให้นั่งสมาธิ โดยในเวลากลางคืนนั้นพระอาจารย์จะสอนให้ฝึกหายใจและทดสอบความรู้สึกในแต่ละขณะ ส่วนเวลากลางวันหากว่างและปลอดญาติโยม พระอาจารย์ก็จะสอนคาถาอาคมและยันต์ต่าง ๆ เพิ่มเติมจากที่เคยเล่าเรียนมาแต่ก่อน

    ในขณะที่ผมเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ นั้น ห้วงเวลานั้นได้สังเกตเห็นว่าผู้คนพากันสนใจในเรื่องผงอิทธะเจซึ่งเป็นผงมหาเสน่ห์เมตตานิยม จึงถามความจากพระอาจารย์ว่าทราบเรื่องการทำผงอิทธิเจหรือไม่ พระอาจารย์ได้ตอบว่าตอนนี้ก็กำลังทำผงอิทธิเจยู่

    ผมได้ยินพระอาจารย์ตอบว่ากำลังทำผงอิทธิเจอยู่ก็มีความตื่นเต้นยินดี เพราะสิ่งที่สนใจและยังหาคำตอบไม่ได้กลับได้รับคำตอบอย่างง่ายดาย

    พระอาจารย์ได้ยินผมถามเรื่องผงอิทธิเจคงจะรู้สึกประหลาดใจ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยทราบและไม่เคยสนใจไต่ถามในเรื่องนี้มาก่อน จึงได้ถามผมว่าไปอยู่กรุงเทพฯ ไม่ถึงปี อยู่ดี ๆ ทำไมจึงมาพูดถึงเรื่องผงอิทธิเจเล่า

    ผมจึงกราบเรียนท่านว่าที่กรุงเทพฯ เขาเห่อเรื่องผงอิทธิเจกันอยู่ มีป้ายโฆษณาหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และตามสองข้างถนนในต่างจังหวัดโฆษณาว่าวัดนั้นวัดนี้กำลังทำผงอิทธะเจ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิปาฏิหาริย์ทางเมตตามหานิยม จึงเกิดความสงสัยว่าการจะทำผงอิทธิเจนั้นทำอย่างไร และที่ทำกันอยู่ถูกต้องจริงแท้ มีอานุภาพทางเมตตามหานิยมจริงดังคำโฆษณาหรือไม่

    ความจริงผมเคยได้ยินเรื่องผงอิทธิเจมาก่อนจากวรรณคดีเรื่องขุนช้าง ขุนแผน ซึ่งเป็นผงสำคัญทางไสยเวทย์ ลักษณะเดียวกันกับผงปัตถะมัง แต่แตกต่างกันตรงที่ผงอิทธิเจมีอานุภาพทางเมตตามหานิยม ส่วนผงปัตถะมังมีอานุภาพทางอยู่ยงคงกระพัน และมีการใช้ผงทั้งสองชนิดนี้ในการทำพระผงมาเนิ่นนานแล้ว เป็นแต่ว่าเงียบหายกันไป เพิ่งมาดังเอาในยุคนั้นสมัยนั้น โดยที่ยากจะหาคนรู้ถึงวิธีทำที่ถูกต้อง

    พระอาจารย์ได้ยินคำถามนั้นก็มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา พลางเอ่ยวาจาอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบาว่าการทำผงอิทธะเจมีกะเท่ห์วิธีตามคัมภีร์โบราณ ไม่ใช่นึกอ่านจะทำได้ตามใจชอบ และเท่าที่รู้เท่าที่เห็นในขณะนั้นได้ทราบว่า ที่เขาทำผงอิทธิเจกันก็คือการเอาผงดินสอพองมาทำเป็นแท่งดินสอ เขียนยันต์อิทธิเจแล้วปลุกเสกด้วยคาถาอิทธิเจ จากนั้นก็ลบผงยันต์ออกจากกระดานชนวนแล้วก็ถือว่าเป็นผงอิทธะเจตามกะเท่ห์วิธี

    พระอาจารย์บอกว่ากรรมวิธีที่ทำผงอิทธะเจเช่นนั้นย่นย่อผ่อนปรนลงจากกรรมวิธีแต่โบราณ จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม อันผงอิทธะเจนั้นจัดเป็นวัตถุมงคลชนิดหนึ่งซึ่งจะมีอานุภาพมากแลน้อยประการใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยสามประการ คือกรรมวิธีหรือวิชาที่ใช้ในการทำผงอิทธิเจนั้นอย่างหนึ่ง วัตถุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำผงต้องตำรับอาถรรพ์เพียงไหนอย่างหนึ่ง และกำลังอำนาจจิตของผู้ทำอีกอย่างหนึ่ง

    หากทั้งสามประการนี้ครบถ้วนสมบูรณ์แกร่งกล้าดีแล้ว ผงอิทธิเจนั้นก็จะมีอานุภาพเต็มที่ หากอ่อนด้อยลงด้วยประการใด ๆ อานุภาพก็จะอ่อนด้อยลงโดยลำดับเช่นเดียวกัน

    ผมได้ฟังดังนั้นก็แจ้งว่าพระอาจารย์บอกความดังกล่าวนี้เหมือนเป็นทีบอกเหตุให้ทราบได้ว่าพระอาจารย์ทรงไว้ซึ่งวิชา ภูมิธรรม ที่สามารถทำผงอิทธิเจได้เป็นแน่นอน หากขอความรู้หรือขอผงอิทธิเจก็คงจะได้การเป็นแน่

    ผมจึงถามพระอาจารย์ว่าที่ตาหลวงทำผงอิทธิเจนั้นทำอย่างไร พระอาจารย์ได้ไขให้ฟังสืบต่อไปว่า การทำผงอิทธิเจก็ดี ทำผงอื่น ๆ ก็ดี จะต้องใช้วัตถุอุปกรณ์ที่สำคัญซึ่งเป็นของอาถรรพ์คือดินสอพิเศษที่ทำจากหินข้าวเม่าชนิดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่าข้าวเม่าดินสอ

    พระอาจารย์บอกว่าหากทำด้วยหินปูน หรือแป้ง หรือชอล์ก หรือวัสดุอย่างอื่นก็จะไม่ใช่ของอาถรรพ์อันจะเปล่งอานุภาพที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ เว้นเสียแต่หาข้าวเม่าดินสอไม่ได้จริง ๆ และผู้กระทำเรืองเวทย์วิทยาคมขมังพอ ก็อาจเพิ่มแรงฤทธิ์ของอาคมชดเชยทดแทนตัวธาตุอาถรรพ์ที่มีอยู่ในข้าวเม่าดินสอได้

    พระอาจารย์บอกว่าบังเอิญโชคดีที่บ้านรัดปูนซึ่งห่างไปจากวัดประมาณ 10 กิโลเมตรมีของอาถรรพ์คือข้าวเม่าดินสอพร้อมอยู่แล้ว คือเมื่อสองเดือนก่อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งบนเขารัดปูนถล่มลงมา มีแสงสว่างขึ้นไปบนท้องฟ้า จึงให้พระไปดูแต่ไม่พบเห็นสิ่งใดผิดปกติ

    หลังจากนั้นไม่กี่วันมีกิจนิมนต์ไปแถบนั้นก็ได้แวะไปดูเพื่อให้สิ้นสงสัย เพราะการที่มีแสงสว่างปรากฏขึ้นไปบนท้องฟ้าย่อมแสดงว่าในพื้นที่บริเวณนั้นต้องมีของวิเศษประการใดประการหนึ่งอยู่เป็นแน่นอน

    เมื่อไปถึงที่ก้อนหินใหญ่ถล่มลงมาจึงได้พบว่าใต้หินใหญ่ก้อนนั้นเป็นเหมืองข้าวเม่าดินสอเหมืองเล็ก ๆ มีข้าวเม่าดินสออยู่เป็นจำนวนมาก จึงได้บอกกล่าวผู้เป็นเจ้าของ และขอมาทำของอาถรรพ์สำหรับช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จากนั้นจึงได้ให้พระช่วยกันขุดและขนข้าวเม่าดินสอกลับมาวัด 2-3 ปี๊บ

    พระอาจารย์ผมเล่าให้ฟังว่าข้าวเม่าดินสอนั้นเป็นหินสีดำออกเทา ๆ มีรูปลักษณะและขนาดเหมือนกับข้าวเม่าที่ทำจากข้าวและเอามาใช้ทำของหวาน แต่หินข้าวเม่านี้มิได้มีอยู่โดยทั่วไป เป็นของหาได้ยาก มีอยู่ในภูเขาที่ลี้ลับ หากไม่เรืองวิทยาคมจริงแล้วก็ยากที่จักรู้ว่ามีอยู่ที่ไหน แม้รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้วก็ยังยากที่จะขุดเอามาได้ เพราะเทพยดาอารักษ์ที่คุ้มครองรักษาเขาหวงแหนยิ่งนัก

    ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงผงอิทธิเจหรือผงอื่นใดก็ตาม ก็ต้องทำความรู้จักตัววัสดุหรือวัตถุธาตุที่ใช้ทำผงเสียก่อนว่าทำมาจากอะไร มิฉะนั้นก็อาจจะสับสนเข้าใจผิดได้โดยง่าย

    เมื่อได้ข้าวเม่าดินสอมาแล้ว ครั้นคิดอ่านจะทำผงอิทธะเจก็ต้องเอาข้าวเม่าดินสอมาปลุกเสกแล้วนำไปใส่กะทะคั่วบนไฟ ขณะคั่วไปก็ภาวนาพระคาถากำกับไปจนกระทั่งข้าวเม่าดินสอกรอบและมีสีเป็นเทาขาวมากขึ้น เมื่อได้ที่แล้วจึงเอาข้าวเม่าดินสอนั้นเทลงในอ่างน้ำมนต์ที่ผ่านการปลุกเสกในพระอุโบสถในเทศกาลเข้าพรรษา.
     
  20. เพชรฉลูกัน

    เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    18,445
    กระทู้เรื่องเด่น:
    24
    ค่าพลัง:
    +23,182
    พอเทข้าวเม่าดินสอซึ่งคั่วได้ที่แล้วลงไปในขันน้ำมนต์ ข้าวเม่าดินสอก็จะละลายกลายเป็นผง จากนั้นจึงนำไปกรองเอาน้ำทิ้ง เหลือแต่แป้งข้าวเม่าดินสอ แล้วนำมาปั้นเป็นแท่งดินสอ ผึ่งแดดไว้จนแห้ง

    เมื่อได้ดินสอตามกรรมวิธีดังกล่าวแล้วก็ต้องรอวันฤกษ์ดี แล้วจึงเอาดินสอนั้นเขียนยันต์อิทธะเจและอักขระประกอบยันต์ลงบนกระดานชนวน เขียนไปก็ภาวนาบทพระคาถาไป แล้วลบเอาผงนั้นเก็บไว้

    เมื่อได้ผงตามต้องการแล้วพระอาจารย์ก็จะปลุกเสกผงตามกรรมวิธี เสร็จแล้วจึงนำไปไว้ในพระอุโบสถในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาอีก พอออกพรรษาแล้วก็จะเอาผงนั้นมาปลุกเสกและเสกตรึงอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้แล้วจึงได้ชื่อว่าเป็นผงอิทธิเจที่ถูกต้องตามตำราแต่โบราณ

    พระอาจารย์ได้บอกว่าผงอิทธิเจนี้นอกจากมีอานุภาพทางเมตตามหานิยม ใช้สำหรับเสกทาใบหน้าเวลาไปเข้าหาผู้ใหญ่ หรือเวลาไปค้าขาย หรือเวลาไปทำการสำคัญแล้ว ยังสามารถแก้คุณไสยได้อีกด้วย

    สรรพคุณในการแก้คุณไสยนั้นใช้ได้สำหรับแก้คุณไสยจำพวกที่ถูกทำหรือถูกของให้ผัวเมียต้องเลิกร้างหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน โดยปลุกเสกผงด้วยพระคาถาอิทธิเจแล้วผสมผงลงในน้ำหรืออาหารให้ดื่มกิน ก็จะทำลายคุณไสยที่ถูกทำได้

    การใช้ผงอิทธิเจเพื่อแก้คุณไสยเป็นไปในทางสร้างคุณ และแม้การใช้เพื่อเมตตามหานิยมก็ยังถือว่าเป็นเรื่องการสร้างคุณ ให้ผู้คนมีไมตรีจิตต่อกัน เหตุนี้พระอาจารย์จึงทำผงอิทธะเจสำหรับแจกแก่ลูกศิษย์และรักษาคุณไสยให้กับญาติโยมดังนี้

    เรื่องราวของผงอิทธิเจถูกเล่าขานมีมานานแล้ว แต่มักหาตำรับกรรมวิธีในการทำผงไม่ค่อยได้ เพราะคนที่ได้มาก็รู้แต่ว่าเป็นผงอิทธิเจ แต่จะมีกรรมวิธีทำประการใดก็มักไม่ใคร่ได้รู้ จึงทำให้ความรู้เรื่องผงอิทธิเจขาดห้วงสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย

    เพราะมาถึงชั้นหลังทุกวันนี้ก็มักใช้วิธีแบบมักง่าย คือใช้แป้งมาทำเป็นดินสอเสียเป็นพื้น จนทำให้ไม่รู้จักเรื่องข้าวเม่าดินสอ และทำให้กรรมวิธีทำผงอิทธิเจเลือนหายไป จนแทบไม่มีใครรู้อีกเลย

    ระหว่างที่ผมสำนักอยู่กับพระอาจารย์ในช่วงปิดเทอมก็ได้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นเด็กวัดเหมือนดังเดิม ดังนั้นวันใดที่ผมไปค้างคืนที่วัด ในวันรุ่งขึ้นก็จะช่วยพายเรือแทนเณรหรือเด็กวัดอื่นให้พระอาจารย์ออกบิณฑบาตรไปตามลำคลองเหมือนกับที่เคยปฏิบัติมาแต่ก่อน

    วันหนึ่งขณะที่ไปลงเรือในคลองซอยใกล้กุฏิเพื่อออกไปบิณฑบาตร เป็นช่วงขาน้ำลง มีขยะและผักตบชวาลอยมาตามน้ำจะไปออกทะเลเป็นจำนวนมาก พระอาจารย์นึกอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ จึงสั่งให้เทียบเรือกับท่าที่หน้าวัดก่อน และชวนผมขึ้นไปยืนบนท่าเรือ

    พระอาจารย์ชี้ให้ดูผักตบชวาและขยะที่ลอยมาตามน้ำ และบอกว่าที่ปากน้ำนี้ถ้ามองให้ดีก็สามารถเห็นความเป็นไปหลายสิ่งหลายอย่างที่จะเป็นคติสอนใจไปในภายภาคหน้า

    สิ่งที่พระอาจารย์บอกกล่าวในวันนั้นมีหลายสิ่ง แต่เท่าที่จำได้ไม่เคยลืมเลือนมีประการดังต่อไปนี้

    ประการแรก พระอาจารย์บอกว่าทะเลซึ่งอยู่ห่างไปทางซ้ายมือนั้นไม่เคยไปแสวงหาน้ำจากที่ไหน แต่เพราะเหตุที่ทะเลตั้งตนอยู่ในที่ต่ำ ดังนั้นน้ำทั้งปวงจึงไหลไปรวมกันที่ทะเล คนเราควรศึกษาเอาอย่างทะเล เมื่อได้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน มีน้ำใจเมตตาอาทร ไม่รังเกียจรังงอนผู้อื่น ต้อนรับผู้อื่นแล้ว ผู้คนก็จะหลั่งไหลมาหาเป็นพรรคเป็นพวก คนที่มีพรรคพวกมากย่อมสามารถทำการใหญ่ให้สำเร็จได้

    ประการที่สอง ทะเลไม่เคยรังเกียจรังงอนสิ่งใดที่ไหลหลั่งไปสู่ทะเล ไม่ว่าขยะ สวะ หรือสิ่งปฏิกูลใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำคลอง น้ำโคลน น้ำตม หรือน้ำครำ ทะเลก็ต้อนรับเอาไว้ทั้งหมด เป็นแต่ว่าเมื่อไปถึงทะเลแล้วแม้แต่ละสิ่งจะมีที่มาหลากหลายแต่ก็จะกลายเป็นความเค็มเหมือนกันทั้งสิ้น พวกขยะ สวะ และสิ่งปฏิกูลก็จะจมลงไปในทะเล คนเราก็เป็นอย่างเดียวกัน ไม่ควรรังเกียจเดียดฉันท์เพื่อนมนุษย์ หากพึงมีความเมตตาอาทรและโอบอ้อมอารีต่อคนทั้งปวง แต่ต้องทำการศึกษาให้รู้จักให้เข้าใจว่าใครเป็นใคร มีความคิดจิตใจอย่างไร มีอัชฌาสัยอย่างไร จากนั้นจึงค่อยกล่อมเกลาหล่อหลอมให้เป็นแบบอย่างเดียวกัน คือเป็นคนดี คิดดี พูดดี แล้วทำดีก็มีแต่จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น

    ประการที่สาม ทะเลนั้นเหมือนดังผู้เป็นใหญ่ แม้ดูสงบเงียบเรียบร้อยเคร่งขรึมแต่อยู่ใกล้มากย่อมไม่ได้ อยู่ไกลมากย่อมไม่ดี และเป็นสิ่งที่ประมาทพลาดพลั้งไม่ได้ ในประการนี้โบราณได้จัดให้ทะเลเป็นหนึ่งในห้าสิ่งที่ประมาทไม่ได้ ใครประมาทก็อาจถึงตาย ดังคำกลอนที่ว่า

    “จะไว้ใจอะไรไว้ใจเถิด แต่อย่าเกิดไว้ใจในสิ่งห้า
    หนึ่งอย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา สองสัตว์เล็บเขี้ยวงาอย่าวางใจ
    สามผู้ถืออาวุธสุดจักร้าย สี่ผู้หญิงทั้งหลายอย่ากรายใกล้
    ห้าพระมหากษัตริย์ทรงฉัตรชัย ถ้าแม้นใครประมาทอาจตายเอย”

    ประการที่สี่ ทะเลเหมือนหนึ่งจิตใจคน ย่อมมีสิ่งรบเร้าเข้ามาสู่จิตใจไม่เคยว่างเว้น ทำให้จิตใจไม่มีวันสงบ ครั้นจิตใจไม่สงบ ไม่เพียงแต่จะไม่อาจฝึกฝนอบรมจิตให้เจริญก้าวหน้าไปได้เท่านั้น ยังทำให้กิเลสและความเศร้าหมองเข้าครองจิต ทะเลมีขยะ มีสวะ มีสิ่งปฏิกูล มีน้ำคลอง น้ำครำ รวมห้าประการหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย จิตใจคนก็มีสิ่งห้าประการนี้เข้าแทรกซ้อนครอบงำสิงสู่อยู่เป็นนิตย์ หรือที่พระท่านเรียกว่าอุปกิเลส หรือนิวรณ์ซึ่งมีห้าประการ เป็นต้น

    พระอาจารย์สอนว่าผู้ฝึกฝนอบรมจิตจะต้องเพียรพยายามฝึกฝนอบรมทำลายนิวรณ์ทั้งห้าให้สิ้นสูญไปโดยลำดับ จึงจะสามารถอบรมจิตให้เจริญก้าวหน้าและบรรลุภูมิธรรมที่สูงขึ้นไปโดยลำดับได้

    สามประการแรกผมพอเข้าใจถ้อยคำและความหมายของพระอาจารย์ได้ แต่ประการหลังผมก็ได้แต่ฟังไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องค่อนข้างจะลึกซึ้งเกี่ยวกับจิตใจซึ่งพื้นฐานผมยังอ่อนด้อยไม่พอเพียงต่อการเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งนี้ได้ ต่อภายหลังจึงได้รู้ว่าคำสอนในประการที่สี่เป็นหัวข้อธรรมสำคัญที่แสนยากลำบากสำหรับผู้ฝึกฝนอบรมจิตและในการปฏิบัติสมาธิภาวนา ซึ่งจะต้องอบรมจิตใจของตนเพื่อละนิวรณ์ทั้งห้าให้ได้ บางคนปฏิบัติจนตลอดชีวิตก็ยังละไม่พ้น แต่ถ้าหากละนิวรณ์ห้าได้ตราบใด อินทรีย์ย่อมแก่กล้า ภูมิธรรมย่อมก้าวหน้าไป และอยู่ในวิสัยที่จะบรรลุฌานขั้นสูง สามารถไปถึงที่หมายปลายทางของความมุ่งหมายในพระพุทธศาสนาได้

    พระอาจารย์กล่าวความแล้วก็ทอดสายตาไปเบื้องหน้าเห็นทิวท้องทุ่งสุดลูกหูลูกตาแล้วกวาดสายตาไปทางซ้ายมือซึ่งจะไปยังทะเล หลังจากนั้นจึงชวนผมลงเรือไปบิณฑบาตร

    ผมได้ใช้เวลาช่วงปิดเทอมไปเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหาย พระอาจารย์ และไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมเคารพบูชาอีกหลายแห่ง แห่งหนึ่งซึ่งผมค่อนข้างมีความฝังใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ คือโรงพระ หรือศาลเจ้าอันเป็นที่สถิตของพระจีน ซึ่งถือกันว่าเป็นพระประจำเมืองของคนบ้านผมมาแต่โบราณ

    ในตำบลบ้านผมนั้นชาวบ้านเชื่อถือกันมาแต่โบราณว่าเป็นแดนปลอดไฟ คือไฟไม่ไหม้ แม้จะหวุดหวิดจวนจะเกิดเหตุร้ายเพลิงไหม้หลายครั้ง แต่ในที่สุดก็ไม่ไหม้ ความเชื่อเช่นนี้มีที่มาจากเจ้าประจำโรงพระซึ่งเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะตั้งแต่มีการตั้งโรงพระก็มีการตั้งสัจจะอธิษฐานให้คุ้มครองป้องกันตำบลบ้านนี้อย่าได้มีเพลิงไหม้เป็นพิเศษ

    แต่ครั้งโบราณมาพวกคนจีนอพยพจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาประเทศไทย หลั่งไหลเข้ามาเป็นทาง ขึ้นบกที่ไหนก็ตั้งรกรากถิ่นฐานที่นั่น เหตุนี้จึงมีคนจีนเข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตำบลบ้านผมอยู่ชายทะเล จึงมีคนจีนอพยพเข้ามาอยู่มาก และเกือบทั้งหมดเป็นจีนฮกเกี้ยนที่อพยพมาจากมณฑลฮกเกี้ยนหรือมณฑลฟูโจวในปัจจุบัน

    คนจีนฮกเกี้ยนเมื่อจะไปไหนก็จะมีพระจีนติดไปด้วย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าของเรือก็จะมีพระจีนประจำเรือ พระจีนที่พวกคนจีนนำเข้ามาโดยทั่วไปได้แก่พระกวนกงหรือกวนอูองค์หนึ่ง พระปุนเถ้าก๋ง พระปุนเถ้าม้า และที่สำคัญคือพระมาโจ๊ว ซึ่งคนจีนฮกเกี้ยนนับถือโดยทั่วไป ผมเคยไปเมืองฮกเกี้ยนก็ได้กิตติศัพท์เป็นอย่างเดียวกัน

    ดังนั้นศาลเจ้าในเมืองไทยหรือโรงพระไหน ๆ จึงมักจะมีเจ้าเหล่านี้สถิตอยู่ เช่นเดียวกับโรงพระบ้านผมก็มีเจ้าทั้งสี่องค์ แต่องค์ที่ชาวบ้านนับถือมากก็คือพระมาโจ๊วซึ่งอาจจะมีรากฐานมาจากความเชื่อถือของคนจีนฮกเกี้ยนในสมัยก่อนก็เป็นได้

    เมื่อคนจีนเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานแล้วก็เอาพระจีนขึ้นบกด้วย แรกเริ่มเดิมทีคงจะเก็บรักษาไว้ที่บ้าน แต่นานวันเข้าก็คิดอ่านตั้งศูนย์กลางพบปะหารือและศูนย์ความร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนจีนถนัดจนเป็นอัชฌาสัยประจำตัวของคนจีนทั่วไป ดังจะเห็นได้จากทุกหนแห่งที่มีชุมชนคนจีนก็จะมีการตั้งศาลเจ้าเป็นศูนย์รวมจิตใจ มีการตั้งสมาคมต่าง ๆ เพื่อเป็นศูนย์กลางความร่วมมือในทางธุรกิจการค้า ดังนั้นใครอย่าได้แปลกใจเลยที่วรรณคดีและหนังจีนหรือวรรณคดีจีนจะต้องมีพวกพรรคต่าง ๆ หรือสมาคมต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งยาจกขอทานก็ยังมีพรรคของตนเองคือพรรคกระยาจก และมีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่ราชวงศ์ซ้องครองอำนาจในเมืองจีน

    คนจีนที่บ้านผมก็อย่างเดียวกัน ได้คิดอ่านตั้งศาลเจ้าหรือที่เรียกว่าโรงพระขึ้น มีชื่อว่าศาลเจ้าอันฮกเก็ง มีพิธีกรรมตามความเชื่อถือกันมาแต่โบราณ แต่นานวันเข้าคนรุ่นเก่าล้มหายตายจากไป พิธีกรรมก็หดหายไปโดยลำดับ คงเหลือแต่พิธีการเซ่นไหว้ในเทศกาลวันตรุษ วันสารท และวัน 15 ค่ำหลังวันตรุษจีน

    วัน 15 ค่ำหลังวันตรุษจีนนั้นเป็นวันเซ่นไหว้ใหญ่ เพราะถือว่าเป็นวันฉลองที่พระกลับจากสวรรค์ หลังจากที่ขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ก่อนวันตรุษจีนเพื่อรายงานกิจการกันบนสวรรค์

    ผู้คนก็จะไปร่วมงานกันอย่างคับคั่ง นอกจากการเซ่นไหว้แล้วยังมีการยืมเงินเจ้าไปเป็นสิริมงคลในการลงทุน ใครจะยืมเงินเท่าใด และจะได้ยืมหรือไม่ ก็ต้องไปทอดเบี้ยเสี่ยงทายว่าพระท่านจะให้ยืมหรือไม่ ถ้าพระให้ยืมก็ไปเบิกเงินจากกองกลาง และปีหน้าต้องชดใช้เงินต้นและค่าตอบแทนอีกเท่าตัว

    ยุคหลัง ๆ ถือว่าเงินที่ยืมจากเจ้านี้เป็นเงินสิริมงคล เพื่อความงอกงามไพบูลย์ของการค้าขายและการลงทุน แต่ในยุคก่อน ๆ น่าจะเป็นเรื่องการเอาเงินมาลงขันกันเป็นกองทุนศาลเจ้า ให้พวกคนจีนที่เดือดร้อนได้หยิบยืมไปลงทุนหรือใช้จ่ายก่อน และเพื่อป้องกันมิให้มีการเบี้ยวหนี้จึงต้องทำพิธียืมเงินเจ้า เพื่อให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อยืมเงินไปจากเจ้าแล้วต้องเอาเงินมาคืนตามกำหนด มิฉะนั้นเจ้าก็จะลงโทษให้ประสบอันตรายต่าง ๆ

    ต่อมาเมื่อการค้าขายพัฒนาไป และต้องอาศัยความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น การยืมเงินเจ้าปีละครั้งเห็นจะไม่ทันท่วงทีกับพัฒนาการทางธุรกิจ จึงมีคนออกหัวคิดเล่นแชร์เข้ามาเป็นกิจกรรมเสริมเพิ่มเติม และเป็นที่นิยมกันตลอดมาจนถึงทุกวันนี้

    เมื่อผมเด็ก ๆ ผมรักที่จะไปไหว้เจ้าที่โรงพระ ทั้งในช่วงเทศกาลตรุษสารทและวันฉลองพระ หรือถ้าไปไหนมาผ่านโรงพระก็จะแวะไหว้พระเป็นประจำ ดังนั้นเมื่อผมกลับบ้านตอนปิดเทอมผมจึงถือโอกาสไปไหว้พระจีนเหมือนอย่างเคย

    ผมจุดเทียนจุดธูปไหว้พระแล้วสายตาก็จ้องมองพระที่สถิตเป็นสง่าอยู่บนศาล พลางเล่าความในใจที่ได้ไปประสบในกรุงเทพฯให้พระทราบ เหมือนกับว่ารายงานความเป็นไปให้ผู้ใหญ่ของผมได้รับทราบนั่นเอง

    การกระทำเช่นนี้อาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนปัจจุบัน แต่คนรุ่นผมถือว่าเป็นเรื่องดีและเป็นเรื่องปกติ เพราะเมื่อคิดจะบอกกล่าวรายงานเรื่องราวของตัวเองกับพระแล้วก็จะกำกับใจไม่กล้าทำความชั่ว เท่ากับมีสิ่งคอยกำกับใจให้ยับยั้งชั่งใจ หากว่าใจหลงใหลไปกับกระแสแห่งความชั่ว จึงเท่ากับว่าได้อาศัยคุณพระคุ้มกายคุ้มใจในยามห่างไกลจากพ่อแม่นั่นเอง.
     

แชร์หน้านี้

Loading...