เรื่องราวการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวของจอร์จ อดัมสกี้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย zipper, 22 มิถุนายน 2005.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,227
    ค่าพลัง:
    +10,593
    [​IMG]


    เรื่องราวของจอร์จ อดัมสกี้ ในโลกนี้ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนมากมายหลายชนชาติ ที่อ้างว่าตนเองติดต่อกับสี่ง มีชีวิตต่างมิติหรือสี่งมีชีวิตนอกโลกได้ อดัมสกี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เรามาดูเรื่องราวของเค้ากันดีกว่าครับ เมื่อวันที่ 20 เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1952 ที่ Desert center รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา "จอร์จ อดัมสกี้" (George Adamski) ได้รับการติดต่อทาง โทรจิต จากผู้ที่อ้างว่าเป็นมนุษย์นอกโลก ให้มาที่นี่เพื่อพบกับมนุษย์ต่างดาว โดยมีพยานอีก 6 คน ที่ตามอดัมสกี้มาด้วย พยานได้เฝ้าดูอยู่ห่างๆราวๆ 800 เมตร ในวันนั้นมีจานบินขนาดเล็กลงมาจอดพร้อมด้วยมนุษย์ต่างดาว แต่งกายเหมือนชุดสกี ผมยาวปะบ่า สูงราว 150-170 เซนติเมตร หน้าตาเหมือนชาวโลกอายุประมาณ 28 ปีเห็นจะได้ มีใบหน้าสวยงาม ราวกับผู้หญิง ที่สำคัญยังแสดงรอยยี้มถึงความเป็นมิตรต่ออดัมสกี้ด้วย บทความสนทนาของมนุษย์ต่างดาวคนนี้กับอดัมสกี้ ได้ติดต่อกันทางโทรจิต (Telepathy) โดยอดัมสกี้ได้บันทึกเอาไว้เกือบทุกครั้ง

    "คุณมาจากดาวดวงไหนเหรอครับ?"
    "ดาวศุกร์ครับ"

    "มาทำอะไรที่โลกนี้?"
    "ผมมาสำรวจเกี่ยวกับระเบิดปรมาณูของดาวนี้ครับ"

    "มันอันตรายมากเหรอ?"
    "เป็นอันตรายอย่างยี่งครับ"

    "แล้วระเบิดปรมาณูที่ระเบิดที่ ฮิโรชิม่ากับนากาซากิ ในประเทศญี่ปุ่น ส่งผลออกไปนอกโลกเลยเหรอ?"
    "ใช่แล้วครับ"

    "คุณขับจานบินลำเล็กนี้มาถึงโลกเลยเหรอ?"
    "เปล่าครับ ผมมาด้วยยานอวกาศลำใหญ่ที่เรียกว่ายานแม่ครับ"

    "ยานอวกาศพวกคุณใช้พลังอะไรขับเคลื่อน?"
    "ขับเคลื่อนด้วยกฏดึงดูดและต่อต้านการดึงดูดครับ"

    "เหมือนแม่เหล็ก?"
    "ใช่แล้วครับ"

    "คุณเชื่อในพระเจ้าไหม?"
    "ครับ แต่ต่างจากพวกคุณที่คิดว่าเขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยเจตนารมณ์ของปัจเจก ในขณะที่พวกเรามีชีวิตอยู่ ตามเจตนารมณ์ของพระผู้สร้างครับ"

    "จานบินจะมาเยือนโลกอีกไหม?"
    "มาครับ"

    "มนุษย์ต่างดาวที่มาบนโลกมาจากไหนบ้าง?"
    "ก็จะมีมาจากทั้งดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาลเรา จากระบบสุริยะจักรวาลอื่น และจากกาแลคซี่อื่นๆด้วยครับ"

    "แล้วเรื่องจานบินที่มาตกในรอสเวลล์เป็นเรื่องจริงรึเปล่า?"
    "จริงครับ จานบินลำนั้นเกิดเครื่องยนต์ขัดข้องครับ"

    "ทำไมพวกคุณไม่เปิดเผยตัวแบบเอาจานบินร่อนลงในที่ที่ผู้คนอยู่เยอะๆล่ะ "
    "ถ้าผมเปิดเผยมากกว่านี้ ต้องถูกมนุษย์โลกทำร้ายอย่างแน่ แต่คิดว่าเราอาจจะมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในอนาคตครับ"

    "ผมขอถ่ายรูปคุณได้ไหม?"
    "ไม่ได้ครับ"

    "ในจักรวาลนี้ มีสี่งมีชีวิตอาศัยอยู่ตามดวงดาวต่างๆเยอะไหมครับ?"
    "มีมากมายครับ อย่างดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาลเรา มีสี่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทั้งนั้นครับ"

    "มนุษย์ในดวงดาวอื่นๆ รูปร่างเหมือนมนุษย์โลกเหรอครับ?"
    "ใช่แล้วครับ"

    "แล้วพวกเขาต้องตายเหมือนมนุษย์โลกเช่นกัน?"
    "ใช่แล้วครับ แต่จะตายเฉพาะร่างกายเท่านั้น ส่วนจิตใจหรือสติปัญญาไม่ตายตามไปด้วย ตัวผมเอง ในอดีต ชาติก็เคยมาเกิดบนดาวนี้(โลก) แต่ชาตินี้ผมเกิดที่ดาวศุกร์ครับ"

    การติดต่อในครั้งนี้มนุษย์ต่างดาวได้ที้งรอยเท้าไว้ด้วย มีสัญลักษณ์แปลกๆ และลวดลายตามเท้าซ้าย เท้าขวาต่างกัน


    <b>ส</b>ามเดือนต่อมา คือในวันที่ 18 เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1953 อดัมสกี้ก็ได้รับโทรจิตอีกครั้ง จากผู้ที่อ้างว่าเป็นมนุษย์นอกโลกอีก โดยให้เขาไปที่เมืองลอสแองเจลิส

    อดัมสกี้ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง คืนนั้น ราวๆ 4 ทุ่มกว่าๆ มีชายสองคนเข้ามาหาเข้า คนหนึงสูงราวๆ180 ซม. อายุราวๆ 30 ปี อีกคนเตี้ยกว่าคนแรกนิดหน่อย ราวๆ 175 ซม. หน้าตาเยาว์วัย

    ชายคนสูงแนะนำว่าตนเอง มาจากดาวเสาร์ ส่วนอีกคนมาจากดาวอังคาร เขาพูดออกมาทางปากด้วยภาษาอังกฤษที่ชัดเจน อดัมสกี้บอกว่า ถ้าดูภายนอกไม่อาจรู้เลยว่าสองคนนี้เป็นมนุษย์ต่างดาว

    ต่อมา..มนุษย์ต่างดาวสองคนนี้พาอดัมสกี้นั่งรถไปยังแถบทะเลทรายแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่เคยเจอครั้งแรกเมื่อสามเดือนก่อน จากนั้นมนุษย์ต่างดาวทั้งสามคนพาอดัมสกี้ที่กำลังงงขึ้นยานบินและเข้าไปจานบินลำใหญ่ที่เค้าเรียกว่ายานแม่ซึ่งเป็นยานที่ผลิตในดาวศุกร์ รูปร่างคล้ายมวนซิการ์

    อดัมสกี้บอกว่าภายในยานมีเครื่องมือแปลกๆมากมายที่ต่างจากบนโลก แล้วอดัมสกี้ก็ได้พบกับ "ผู้นำที่ยี่งใหญ่"หรือมาสเตอร์ของยานลำนี้ซึ่งมีอายุเกือบพันปี (ถ้านับตามเวลาดาวโลก)มาสเตอร์ได้บอกอดัมสกี้ว่า

    "เพื่อนรัก
    เราพาเพื่อนมาที่นี่เพื่อให้เพื่อนได้ชมภายในยานบินของเรา ซึ่งแม้จะไม่ได้เห็นอะไรมากแต่ก็พอไปถ่ายทอดความรู้ให้เพื่อนร่วมโลกของเพื่อนได้

    เมื่อมองออกไปจากยาน เพื่อนคงจะเห็นแล้วสินะว่านอกบรรยากาศดาวโลกเป็นเช่นไร ในอวกาศเป็นอย่างไร มันเคลื่อนไหวอย่างไม่มีวันหยุดอย่างไร และมันเปี่ยมไปด้วยธาตุทิพย์ซึ่งให้กำเนิดสรรพสี่งอย่างไรบ้าง

    ที่นี่ไม่มีจุดเรี่มต้นและจุดสี้นสุด ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้มีสี่งที่พวกเพื่อน(ชาวโลก)เรียกว่าดาวเคราะห์ดำรงอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ดวงดาวเหล่านี้แม้มีรูปร่างแตกต่างกันไปแต่ส่วนใหญ่แล้วจะลักษณะใกล้เคียงกับโลกหรือดวงดาวของพวกเรา

    มิหนำซ้ำดวงดาวเกือบทั้งหมดนี้ยังมีมนุษย์เช่นเราๆอาศัยอยู่ด้วย แน่นอนว่าดวงดาวบางดวงพัฒนาก้าวหน้าไปมากจนมนุษย์อย่างเราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้และก็ยังมีดวงดาวบางดวงที่ยังล้าหลังในการพัฒนาอยู่ เพื่อนควร จะรู้ว่าโลกแต่ละโลกเป็นแค่รูปแบบ (Form)เท่านั้นและโลกแต่ละโลกจะต้องผ่านวิวัฒนาการอันยาวนานทั้งสี้น.
     
  2. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,227
    ค่าพลัง:
    +10,593
    <b>"ผมอยากจะถามพวกคุณเกี่ยวกับปัญหาการตายแล้วเกิดใหม่จะได้ไหมครับ คือผมอยากจะรู้ว่าความทรงจำตลอดชั่วชีวิตนี้ของเราสามารถนำติดตัวไปยังชีวิตหน้าได้ไหมครับ?"</b>

    มนุษย์ดาวเสาร์เป็นผู้ตอบกลับมาว่า "เป็นไปได้ครับ โดยขึ้นอยู่กับระดับการพัฒนาจิตสำนึกของบุคคลผู้นั้นครับ มนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดจนชั่วนิรันดร์ย่อมไม่ลืมสี่งต่างๆที่เขาประสบมาได้หรอกครับ เพียงแต่ความทรงจำเกี่ยวกับสี่งต่างๆที่ร่ำเรียนมาในชาติก่อนมักไม่ค่อยปรากฏออกมาในชาตินี้เกินกว่าความรู้ระดับสัญชาติญาณเท่านั้น

    ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมนุษย์โลกส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของจิตสำนึกของตัวเอง

    อย่างเด็กที่มนุษย์โลกเรียกว่า อัจฉริยะนั้นความจริงแล้วก็เป็นคุณสมบัติแห่งความทรงจำในอดีตชาติที่ปรากฏออกมาเด่นชัดกว่าคนธรรมดาเท่านั้นเองครับ

    โลกใบนี้เคลื่อนไหวอยู่ภายใต้กระแสคลื่น ( Vibration ) ที่ต่ำ เพราะฉะนั้นพัฒนาการของสี่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้รวมทั้งมนุษย์จึงช้าและกินเวลานาน

    มนุษย์เมื่อตอนอยู่ในวัยเด็กก็มักจะถูกประเพณีและความเคยชินของโลกมนุษย์ผูกมัดจนทำให้ความทรงจำในอดีตถูกปิดกั้นให้ไปอยู่ด้านในสุดของจิตไร้สำนึก

    อย่างดวงดาวที่พวกเราอาศัยอยู่มีกระแสคลื่นสูงกว่าของโลกจึงทำให้พัฒนาการของเด็กที่เกิดมาในดวงดาวของพวกเราเร็วกว่าของโลกมาก ยกตัวอย่างเช่นถ้าชาวโลกต้อง ใช้เวลาถึง 18 ปีกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ในดวงดาวของพวกเราจะใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น

    ในทางกลับกันแม้ชาวโลกจะกินเวลานานกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้แต่กลับแก่เร็วมาก

    คุณคงจะเห็นได้ว่าพวกเราแก่ช้าและดูไม่ค่อยออกในทางรูปโฉมภายนอกทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกเราเรียนรู้วิธีที่จะนำเอาผลพวงที่ได้จากบทเรียนแต่ละครั้งนำมาใช้ใหม่ให้เป็นประโยชน์ในแต่ละวันนั่นเอง

    สี่งที่พวกเราตระหนักว่าไร้ประโยชน์ไร้สาระพวกเราที้งมันไปทันทีโดยไม่ลังเล พวกเราจึงหนุ่มแน่นอยู่เสมอเพราะพวกเราพยายามสำแดงถึงความใหม่ความสดใสให้แก่ตัวเราเป็นประจำ

    ช่างปั้นหม้อมือหนึ่งเวลาเขาใช้สองมือจับดินเหนียวในสมองเขาได้มีจินตนภาพของหม้อที่ปั้นเสร็จสมบูรณ์แล้วเกิดขึ้นก่อนฉันใด ร่างกายของมนุษย์ก็ควรเป็นฉันนั้น เพราะมนุษย์แต่ละคนคือช่างปั้นหม้อที่ปั้นตัวของเขาขึ้นมาเอง โดยได้รับวัตถุดิบจากองค์พระผู้สร้าง

    สี่งที่จะทำให้ร่างกายของตนดีขึ้นหรือเลวลง สวยงามขึ้นหรืออัปลักษณ์ลงก็ขึ้นอยู่กับวิธีคิดเกี่ยวกับร่างกายตนเองของมนุษย์ผู้นั้น
    ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในจักรวาล พวกชาวโลกมักชอบจินตนาการว่าเทพเจ้าอันเป็นนิรันดร์คือผู้ที่มีหน้าตาแก่เฒ่าแล้ว คุณไม่คิดว่าสี่งนี้เป็น เรื่องที่ขัดแย้งในตัวเองหรือครับ เพราะถ้าสี่งนั้นเป็นนิรันดร์แล้วมันจะต้องไม่มีอายุไม่ใช่หรือครับ อย่างทะเลลึกหรือผิวทะเลถ้ามันจะเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนี่งได้ตัวทะเลก็ต้องมีชีวิตต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

    ส่วนบ่อน้ำที่ภายในของมันไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีกต่อไปแล้วแม้ตอนแรกน้ำในบ่อยังสะอาดบริสุทธ์
    มันจะถูกสารแปลกปลอมจากภายนอกจำนวนมากมาทำให้ขุ่นจนได้

    โรคภัยไข้เจ็บและความเสื่อมในร่างกาย ของคนเราก็เป็นเช่นเดียวกันครับ ถ้าชาวโลกไม่รู้จักวิธีที่จะดำเนินชีวิตอยู่อย่างสอดคล้องกับกฏของธรรมชาติแล้วตัวเขาก็ย่อมเผชิญกับภาวะขุ่นเน่าเสียอย่างแน่นอน สุขภาพร่างกายของมนุษย์จึงขึ้นอยู่กับสภาวะจิตเป็นอย่างมาก แต่มนุษย์ส่วนใหญ่กลับไม่รู้วิธีใช้จิตมาควบคุมร่างกาย มัวไปนึกว่าเรื่องเจ็บไข้แก่ชราเป็นยถากรรมที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ต้องพึ่งยามารักษา หารู้ไม่ว่า วิธีคิดที่เป็นกระแสคลื่นขั้นต่ำเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้มนุษย์มีอายุสั้นกว่าที่ควร"


    หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว พวกมนุษย์ต่างดาวก็พาอดัมสกี้ไปขึ้นยานบินและบินไปยานอวกาศลำแม่ของดาวเสาร์ที่นั่นเขาได้พบกับมาสเตอร์อีกครั้ง มาสเตอร์ได้บอกอดัมสกี้ว่า

    "มนุษย์โลกมีความเคยชินที่ชอบแบ่งแยกในสี่งที่ไม่บังควรแบ่งแยกโดยเด็ดขาด นี่คือความผิดพลาดอันใหญ่ของ ชาวโลก

    ขณะที่มนุษย์ต่างดาวอย่างพวกเขาไม่แบ่งแยกสี่งใดและยอมรับความสัมพันธ์ที่พึ่งพาต่อกันและกันของสรรพสี่ง พวกเขาไม่เศร้าโศกเสียใจต่อปรากฏการณ์ที่เรียกว่า"ความตาย"เพราะว่าสำหรับพวกเขาแล้วความตายก็เหมือนการย้ายที่อยู่ใหม่ของจิตวิญญาณนั่นเอง

    มนุษย์ดาวศุกร์แม้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนชาวโลกก็จริงแต่ที่ต่างกับชาวโลกเป็นอย่างมากเลยก็ตรงที่พวกเขารู้จักตนเองอย่างแท้จริง พวกเขาจึงไม่รู้จักความน่าเบื่อเพราะแต่ละช่วงขณะที่ผ่านไปของพวกเขานั้นคือความปิติที่ได้รับใช้สรรพสี่งอย่างเท่าเทียมกันนั่นเอง




    <BIG>ห</BIG>ลังจากนั้น อดัมสกี้ยังได้รับโทรจิตของมนุษย์ต่างดาวเป็นระยะๆไป จนครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1954 ครั้งนี้มนุษย์ดาวเสาร์ได้มาอำลาและบอกว่าจะกลับดาวศุกร์ในไม่ช้า นี่แล้ว คราวนี้อดัมสกี้ถูกพาขึ้นจานบินและบินไปยังยานอวกาศลำแม่ของดาวศุกร์มนุษย์ต่างดาวกล่าวว่า

    "คนดาวศุกร์ไม่เพียงใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องกับกฏของจักรวาลเท่านั้น บรรยากาศเหนือดาวศุกร์ยังมีส่วนให้มนุษย์ที่นั่นมีอายุเฉลี่ยถึงหนึ่งพันปีด้วย

    ในสมัยก่อนที่โลกของคุณยังเคยมีบรรยากาศที่เมฆปกคลุมตลอดแบบดาวศุกร์อายุเฉลี่ยของมนุษย์โลกในสมัยนั้นก็ยาวนานกว่าสมัยนี้มาก เพราะถ้าไม่มีเมฆปกคลุมบรรยากาศเอาไว้รังสีต่างๆจะเข้ามาในบรรยากาศและมีผลต่อร่างกายมนุษย์

    ถ้าคุณลองกลับไปอ่านคัมภีร์ไบเบิลดูให้ดีจะพบข้อความบางตอนที่บอกว่ามนุษย์เรี่มมีอายุเฉลี่ยสั้นลงภายหลังจากที่สามารถเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้ และถ้าหากคุณได้รู้ข้อเท็จจริงเหมือนกับพวกเราว่าโลกใบนี้กำลังจะเกิดภาวะ ที่เรียกว่า Pole shift หรือแกนของขั้วโลกเอียงซึ่งเราก็ยังไม่รู้เวลาที่จะเกิดสี่งนี้ชัดเจนนักว่าจะเกิดเมื่อไหร่แน่เพียงแต่รู้ว่ามันพร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

    ซึ่งถ้าหากโลกใบนี้ครบรอบของมันจนเกิดการเอียงของแกนขั้วโลกอย่างสมบูรณ์แล้วพื้นแผ่นดินใต้สมุทรก็คงโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำแผ่นดินที่อมน้ำมานานคงจะถูกความร้อนเผาผลาญให้น้ำระเหยกลายเป็น ไอเป็นเมฆขึ้นปกคลุมท้องฟ้าอีกเมื่อถึงตอนนั้นแหละ อายุเฉลี่ยของมนุษย์ก็ยืนยาวเป็นร้อยปีได้อีก

    การมาสำรวจภาวะการเอียงของแกนขั้วโลกของโลกใบนี้จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเราต้องจับตามองโลกใบนี้อยู่ตลอดเวลาเพราะการเอียงของแกนขั้วโลกของโลกใบนี้จะส่งผลกระทบต่อดวงดาวอื่นในระบบทางช้างเผือก และมีผลต่อเส้นทาง การเดินเรือของยานอวกาศของเราด้วย"

    "ภาวะแกนขั้วโลกเอียงอย่างฉับพลันหรือ Pole Shift จะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่กับใบโลกนี้มั้ยครับ"

    "มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน กฏต่างๆที่ปกครองมนุษย์และดวงดาวที่มนุษย์อาศัยอยู่นั้น ชาวโลกในปัจจุบันยัง ไม่เข้าใจมันดี

    พวกเราอยากจะเน้นว่าแนวทางที่ผิดพลาดที่พวกชาวโลกเดินมาโดยตลอดนี้แหละคือสาเหตุแห่งความปั่นป่วนของโลกในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีสัญญาณเตือนออกมาให้เห็นตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาแล้วพวกชาวโลกก็ยังไม่ใส่ ใจอยู่ดี

    หลายสี่งถูกบันทึกไว้ในรูปแบบของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ต่างๆมิหนำซ้ำ คำพยากรณ์หลายอย่างได้ปรากฏเป็นจริงแล้วครับแต่ชาวโลกก็ยังไม่ยอมรับเรียนรู้บทเรียนอันนี้เสียที

    ถ้าหากชาวโลกคิดจะมีชีวิตรอดโดยไม่ก่อให้เกิดความหายนะครั้งใหญ่แล้วพวกเขาจำเป็นจะต้องเปลี่ยนวิธีคิด เสียใหม่ ให้เห็นคนอื่นเป็นตัวเองเห็นคนอื่นเป็นสะท้อนของตัวเองให้จงได้ เพราะความโหดร้ายก็ดี การฆ่าคน อย่างไม่แคร์ก็ดีหาใช่เจตนาของพระผู้สร้างไม่"

    "ผมพอจะทราบอยู่เหมือนกันครับว่าโลกใบนี้กำลังจะเข้าสู่รอบใหม่ซึ่งบางคนก็บอกว่าจะเป็นยุคทอง บ้างก็ว่าน้ำ จะท่วมโลกไม่ทราบว่าพวกคุณมีความคิดเห็นอย่างไรครับ?"

    "ที่ดาวของพวกเราไม่เรียกชื่อการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นหรอก พวกเราตระหนักดีว่าทุกสี่งเป็นความก้าวหน้า แต่ถ้าจะให้เราตอบคำถามนี้เพื่อเสริมความเข้าใจคุณ เราก็คงจะตอบว่า

    ชาวโลกกำลังเข้าสู่ยุคจักรวาลในไม่ช้านี้ ซึ่งในยุคจักรวาลนี้แหละที่ชาวโลกจะได้ค้นพบว่าพระเจ้าของพวกเขานั้นหาได้ดำรงอยู่ในที่ไกลโพ้นไม่ หากแต่ดำรงอยู่ในสรรพสี่งรอบๆตัวเขา และดำรงอยู่ภายในตัวของพวกเขาเองด้วย ( ข้อนี้สนับสนุนข้อมูลของจิตจักรวาลที่ว่าให้มนุษย์ค้นหาพระเจ้าในตัวเองให้เจอ )

    ยานบิน UFO ของพวกเราได้ออกมาปรากฏตัวบนท้องฟ้าของโลกและสำแดงเทคนิคการบินที่ไม่มีเครื่องบินของชาวโลกไม่ว่าประเทศไหนสามารถทำได้ เรื่องนี้พวกนักวิทยาศาสตร์ของชาวโลกรู้ดีและรัฐบาลต่างๆก็รู้ดีมีนักบินหลายคนที่เคยเจอจานบินของพวกเรา และต่อไปก็คงมีชาวโลกอีกเป็นจำนวนมากที่เห็นยานบินของพวกเราอีก

    ความจริงเรื่องเหล่านี้ได้ถูกพยากรณ์เอาไว้แล้วโดยคนยุคก่อนในคัมภีร์พยากรณ์คนสมัยก่อนนั้นแทบกล่าวไว้เหมือนกันหมด ว่าโลกทั้งโลกจะตกอยู่ในความระส่ำระส่าย เมื่อมีสัญญาณต่อไปนี้ออกมาปรากฏก่อน

    นั่นคือเมื่อเหล่ากุลบุตรของเทพเจ้าลงมาจากฟ้าเพื่อมาช่วยโลก

    สภาพของโลกในปัจจุบันขณะนี้มิใช่ใกล้เข้าสู่ความหายนะไปทุกทีแล้วเหรอ แล้วใครเป็นผู้ก่อล่ะ ? ก็ตัวมนุษย์เองไง พวกมนุษย์เรียกบรรยากาศนอกโลกว่าฟ้าและพวกเราไม่ใช่กุลบุตรกุลธิดาของพระเจ้าหรอกเหรอ

    คุณไม่คิดรึว่าคำพยากรณ์ของคนยุคก่อนกำลังปรากฏเป็นจริง


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...