ประสบการณ์นี้ผมอาจคิดไปเองก็ได้ครับ นี่ผมคิดได้เลยว่า คนที่พูดว่าของอะไรที่ไม่เคยเจอกับตัวจะไม่รู้จริงๆๆด้วย
เรื่องราวหลวงพ่อพิเชฐ วัดโคกหม้อ
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย สวนพลู, 18 สิงหาคม 2010.
หน้า 27 ของ 505
-
หมายเหตุ ผมก็ใช้เวฟ 110 เช่นกันครับ อิอิอิ -
ผมอยากได้เบี้ยแก้ครับ ที่วัดให้เช่าราคาเท่ารครับ
-
เป็นคาถานะโมตาบอด ที่หลวงพ่อกวยจดไว้ให้ก่อนมรณภาพ
ที่จริงเเล้ว คาถา นะโมตาบอดที่หลวงพ่อกวยใช้ลงหลังเหรียญรุ่นสองนั้น เป็นคนละบทกัน ท่านลงด้วย
นะโมตันติสะโก นะโมตันตันติสะโก นะโมตันตันติ
คาถาบทหลังนี้ หลวงพ่อกวยจดไว้ในบันทึกเเละใช้จารรูปถ่ายด้วยเป็นบางครั้ง เเละเเน่นอน ท่านต้องใช้บทนี้เสกเหรียญรุ่นสองของท่านด้วย
ครั้งหนึ่ง คุณไสว พราหม์มณี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เเละเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อคูณ ได้จัดสร้างเหรียญหลวงพ่อคูณเเจกเเก่ผู้ที่มาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพคุณเเม่ของท่าน เมื่อหลวงพ่อคูณทำพิธี ท่านเสกให้ร่วมๆ ๕ นาทีเท่านั้น มีคนได้รับเหรียญที่เเจก เอาไปลองยิง ปรากฎว่ายิงไม่ออก จึงพากันประหลาดใจ เสกเเค่ ๕ นาที ทำไมขลังนัก จึงพากันไปถามหลวงพ่อว่าเสกด้วยอะไร หลวงพ่อคูณท่านบอกว่าท่านเสกด้วย นะโมติดตันตา( หรือ นะโมตันตาติด) เป็นอีกบทของนะโมตาบอดครับ
คาถาหลังเหรียญรุ่น 2 หลวงพ่อกวย อ่านว่า
นะโมตันติ สะโก นะโม ตันติตันติ สะโก นะโม ตันตันติ
หลวงพ่อท่านเชี่ยวชาญคาถามาก คาถาบทเดียวกัน บางครั้งท่านจะลงต่างกัน คือ ลงเต็มบ้าง ไม่เต็มวรรคบ้าง หรือลงสลับตัว สลับวรรคคาถาบ้าง สะกดต่างกันเเต่อ่านออกเสียงเดียวกันบ้าง
ในบันทึกของท่าน หลวงพ่อท่านชอบไล่คาถา คือ ลงเเบบเต็มเเละย่นไปเรื่อยๆ หรือ ลงเเบบสลับไปมา ยากที่จะเข้าใจ หลวงพ่อมีกลยุทธ์ในการลงที่เเยบยลมากครับ
ที่มา ผมสรุปและรวบรวมมาจาก เว็บวัดโฆสิตาราม ครับ -
-ลอกหนังสือทำนายคนเกิดวันที่ 31 มาให้อ่านเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้า
ครับ
-คนเกิดวันที่ 31 ต้องการกำลังใจ คนเกิดวันนี้ได้รับพรจากพระเจ้าเรื่องสติ
ปัญญา จึงเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดแบบที่เรียกกันว่า "มีไหวพริบดี" ดัง
นั้นเมื่อจะจับทำงานใด ก็มักจะประสบความสำเร็จระดับสูงเสมอ
-โดยลักษณะนิสัยคนที่เกิดวันนี้เป็นคนสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน และไม่ชอบโอ้
อวดหรือแม้แต่แสดงตนเกี่ยวกับความสำเร็จหรือความก้าวหน้าต่าง ๆ คนทั่วไป
แม้จะรู้ว่าเขาหรือเธอเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่มีใครรู้จริง แม้แต่
เพื่อนสนิท ว่าที่จริงแล้วความสำเร็จที่คนอื่นเห็นเป็นเพียง"เศษส่วนเท่าใดของ
ความสำเร็จที่เขาได้รับ"
-คนเกิดวันที่ 31 เป็นคนรักเพื่อนฝูง ความสุขที่แท้จริงของคนเกิดวันนี้ก็คือได้
อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง "เขาหรือเธอเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนที่รักเป็นอย่าง
ดี"
-ความมีมนุษยสัมพันธ์หรือจะเรียกว่า "มีเสน่ห์ก็คงจะได้" เป็นคุณลักษณะที่
สำคัญอีกอย่างหนึ่งของคนเกิดวันที่ 31
-เขาหรือเธอที่เกิดวันนี้มีบุคลิกภาพอันสง่างาม "เด่นที่ต้องตาต้องใจ" และผู้
คนมักอยากปราศรัยทักทายด้วย ประกอบกับความมีมนุษยสัมพันธ์ สามารถ
เข้ากับคนทุกระดับชั้นได้ดี คนเกิดวันที่ 31 จึงเป็นผู้ที่มีคนรู้จักมาก
-จุดอ่อนของคนเกิดวันที่ 31 อยู่ที่ว่าแม้ดูภายนอกจะเข้มแข็งเด็ดขาด แต่ใน
เบื้องลึกคนเกิดวันนี้มักจะขาดความเชื่อมั่นในตนเอง มักไม่ทำสิ่งใดโดย
ปราศจากคำยืนยันจากคนที่ไว้ใจได้เสียก่อนว่า "สิ่งที่เขาทำนั้นถูกแล้วดีแล้ว"
ดังนั้น ถ้าท่านเป็นคู่รักคู่ครองหรือเพื่อนของคนเกิดวันนี้จะต้องรับบทบาทนี้ให้
ได้ และข้อสำคัญที่ท่านลืมไม่ได้ก็คือ อย่าแสดงตัวว่าเขาขาดท่านไม่ได้ แต่
จงแสดงให้เห็นว่าท่านขาดเขาไม่ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยสร้างความมั่น
ใจให้เขาหรือเธอผู้เกิดวันที่ 31
-ในด้านความสัมพันธ์ทางเพศ คนเกิดวันนี้จะต้องเยี่ยมกว่าคนอื่นเสมอ เป็น
คนตั้งกฎเกณฑ์หรือหลักการไว้สูง ถ้าท่านปรับตัวตามเขาหรือเธอไม่ได้ ทำ
ตัวอย่างที่คนเกิดวันนี้ต้องการไม่ได้ เขาหรือเธอที่เกิดวันนี้ก็จะไม่ลังเลที่จะ
เมินคุณไปได้อย่างปราศจากเยื่อใย ที่สำคัญที่สุด "ท่านอย่าทรยศหรือหัก
หลังคนที่เกิดวันนี้เป็นอันขาด" แม้แต่ตุกติกมีเล่ห์เหลี่ยมท่านก็ไม่ควรทำ
เพราะจะโต้ตอบท่านอย่างเต็มที่และรุนแรงทันทีและ"ท่านไม่มีทางที่จะเอาชนะ
เขาหรือเธอได้เลย"
-โชคดีจากวันนี้จนถึงวันคล้ายวันเกิดครับ แล้วก็โชคดีต่อไปอีก 1 ปีครับ. -
สุขสันต์วันเกิด
เนื่องในวาระวันคล้ายวันเกิดอีกครั้งนี้ ข้าพเจ้าขออาราธนา คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูอุปปัชฌาม์อาจารย์ คุณพระไตรสิกขา ขอให้ท่านเจ้าของกระทู้มีความสุขมากๆ คิดอะไรขอให้สมปรารถนา อย่าเจ็บ อย่าจน ขอให้ รวย รวย รวย(สีเขียวนี้คุ้นหูมั๊ย)ขอให้เจริญในธรรมนะครับ
พุทธังอธิษฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ
ผมตามดูท่านเจ้าของกระทู้อยู่นาน เฝ้ามองดูท่านเผยแผ่เกียรติคุณหลวงพ่อ แต่ก็ไม่เคยเข้ามาทักทาย -
-
-
-
-
สมัยเรียนมหาลัย ไปฝึก รด.ที่เขาชนไก่ กาญจนบุรี นอนในเต๊นท์ ตี 5 ต้องตื่นไปวิ่ง วันนึงผมตื่นมากำลังจะใส่รองเท้าทหารแบบเป็นผ้าใบ ผมกลัวว่าในรองเท้าจะมีก้อนกรวด เวลาวิ่งจะเจ็บ แทนที่จะยกรองเท้าเทกรวดออก ผมกลับเอามือล้วงลงไปในรองเท้า(กำลังงัวเงีย) คลำไปพบอะไรบางอย่างคล้ายกิ่งไม้ย่อมๆ จึงหยิบขึ้นมาแล้วเปิดไฟฉายส่อง ก็ตกใจมาก เพราะ
มันเป็นแมงป่อง หางของมันยังขยับไปมาได้อยู่เลย แต่แปลกที่ไม่ต่อยผม ทั้งๆที่เอามือเข้าไปควานเจอตัวมัน จนจับมันขึ้นมา ก็ไม่ต่อยครับ ผมได้สติขว้างมันทิ้งไปทันทีครับ จำได้ว่า
แขวนพระไป 3 องค์ คือ วัดระฆังหลังฆ้อน อีก 2 องค์ลืมแล้ว
ชวดล ริ้วเจริญ
กกมส.-ห. อหส.
กฟผ. บางกรวย
นนทบุรี 11130
ปล.ผมเคยฝากเค้าเช่า ตะกรุดหนุนดวง(ราคา 200 บาท) แต่แบบราคา 200 หมด ได้มาราคา 100 บาท แต่ทางวัดก็บอกว่าเป็นหนุนดวง เหมือนกันแต่ดอกสั้นกว่า รบกวนคุณสวน พูลช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ อยากรู้ว่าใช้แทนกันได้แค่ไหน อย่างไร ขอบคุณ -
เรื่องนี้ขอแถมให้ไปเลยครับ มันก็ไม่เชิงเป็นเรื่องพระหรอกครับ เรียกว่าเป็นเรื่องของวัตถุมงคลจะดีกว่า
***เรื่องนีเกิดขึ้นประมาณ 1 ปีที่แล้ว ช่วงนี้แหละครับ หนาวนิดๆๆอากาศดีเลย หลังเรื่องก่อนครับ***
เรื่องเริ่มขึ้นจาก พี่คนรู้จักอยู่เชียงใหม่นี่แหละ แล้วแกกลับบ้าน แต่เพื่อนแกมาจากกรุงเทพแล้วเพื่อนแกก็หาที่นอน ผมก็เลยยกหอผมให้เพื่อนพี่นอนคืนหนึ่ง แล้วผมก็ไปนอนร้านถ่ายเอกสาร (เป็นทาว์นเฮาล์ชั้นเดียวติดถนน) พอดีที่ร้านมีมุ้งกางแบบของเด็กนอน ในร้านนะครับ จะมีโต๊ะเก็บตังกับเก้าอี้อยู่ทางซ้ายมือของผม ทางเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร ทางหัวผมหันไปหลังร้าน ทางเท้าหันออกหน้าร้าน บนหัวนอนจะมีศาลแบบจีน(แป๊ะกง ประมาณนี้) แล้วมีกุมาร ก่อนนอนผมก็สวดมนต์ก่อนเพราะนอนแปลกที่ เพื่อนพี่เค้ามานอนหอคืนเดียวครับ ผมเลยต้องไปส่งที่สนามบินด้วย(เจ้าบ้านที่ดี) เพื่อนพี่เค้านัดไว้ตี 5 (ปรกติผมตื่นไม่ทันหรอกตี 5 ยกเว้นไม่ได้นอน) สวดมนต์เสร็จก็เลยไปคุยกับกุมารหน่อยบอกว่า ให้ปลุกด้วยตี 5 แล้วก็นอนไปจนถึงตี 4 ผมชอบนอนดิ้นครับ ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง อยู่ดีๆ ผมก็เสือกลืมตาขึ้น เหมือนโดนผีหลอก มี 2 ตน แต่เค้าเป็นกุมารที่น่ารักจริงๆๆ มีเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงน่ารักมาเลย ขาวผ่องแต่งตัวเหมือนสมัยร.5-ร.6ประมาณนี้ ส่วนเด็กผู้ชายก็นุ่งโจงกระเบนผิวออกดำๆๆ เด็กผู้หญิงนั่งเก้าอี้ห้อยขอครับ เด็กผู้ชายเดินไปเดินมาข้างมุ้งเลยเหมือนยามเดินตรวจเดินไปเดินกลับ ปลุกก่อนเวลาตั้งชั่วโมง ผมตั้งใจว่าจะสื่อสารกันแต่เหมือนพูดไม่ออก แล้วเหมือนผมเห็นเค้าแต่เค้าไม่เห็นผม ตอนนี้จากคะแคงซ้ายกลับมาตะแคงขวากลับมาคิด(คิดจะตั้งหลัก 555+) แน่นอนคิดว่าเราฝันไป(วิธีที่ฉลาด)เราต้องลืมตา +55+ ผมก็ลืมตาตื่น(จริงๆๆนะ) หลังจากนั้นนอนไม่หลับเลย(จะหลับลงได้ไง ไม่ได้กลัวกุมารนะ แต่กลัวผิดนัดครับ)ก็เลยสวดมนต์ต่อเกือบตี 5 ก็กลับหอแล้วก็ไปส่งเพื่อนพี่ไปสนามบินเชียงใหม่กลับเลย กุมาร 2 ตนนี้คือ กัญหา ชาลี ของหลวปู่ทรงวัดศาลาดิน(มอญ) มีลักษณะเป็นทองเหลืองหรือทองแดง หล่อครับ
หมายเหตุ 1.รถที่ไปส่งเพื่อนพี่ที่สนามบินก็ เวฟ 125 คันเดิม -
เรื่องนี้ขอแถมหน่อยแล้วกันนะครับ โปรโมชั่นส่งท้ายปีเก่าสวัสดีปีใหม่กับวันเกิดพี่สวนพลูครับ
-
แล้วจะรับพระอะไรครับ ขอทราบด้วยครับ -
-
ติดค้างพี่อุตตโมไว้ เรื่องคาถาชูชก ทำไมถึงต้องท่อง 5 รอบ หรือคาถาอื่นก็แล้วแต่ 9 จบบ้าง 108 จบบ้าง มีนัยยะสำคัญดังนี้
หลวงพ่อบอกมาว่า คนแต่ละคนสมาธิ ความตั้งมั่น เชื่อมั่น มีไม่เท่ากัน ทุกคาถานั้นศักดิ์สิทธ์ ขึ้นอยู่กับตัวคนท่อง และแรงครู ที่ต้องให้ท่องหลายรอบนั้น มันจะต้องมีสัก 1 ครั้ง ที่จิตเราตั้งมั่น มีสมาธิ ซึ่งสามารถจะสื่อไปถึงเจ้าของคาถา หรือแรงครูนั่นเอง ถ้าสื่อถึงได้สัก 1 ครั้ง ท่านก็จะรับรู้ เหมือนคาถาชูชก ต้องมีสัก 1 ครั้งที่พ่อปู่ชูชกท่านรับรู้ได้นั่นเอง ใจความของการท่องคาถาหลายรอบ ก็มีแค่นี้ จะรับรู้ความรู้สึกเมื่อคาถาที่เราท่องสวดนั้นจะขลังได้เมื่อเราท่องแล้วเกิดปิติ เช่น ขนลุก ตัวเย็น จิตตั้งมั่น เชื่อมั่น แต่ต้องท่องไปอย่าสนคำแปล เมื่อท่านรู้แล้ว จะยากและทีนี้ถ้าจะท่องให้ขลัง เพราะคุณจะติดตรงที่เคยตัว เช่น ถ้าท่องแล้วขนลุกได้ 1 ครั้ง ครั้งต่อไปจะยากขึ้น เพราะคุณอยากให้ขนลุกนั่นเอง ขออภัยท่านที่อ่านด้วย จริงๆแล้วไม่อยากเผยไป เพราะจะทำให้ครั้งต่อไปท่านทองยาก กว่าจะขลัง ถ้าใครอ่านก็รีบปลงให้ตกน่ะครับ อย่าต่อว่าผมน่ะ อิอิอิ -
ยินดีด้วยครับ ที่ผ่านเรื่องร้ายๆมาได้
-
ของผมเองจะมีประสบการณ์กับวัตถุมงคลบ่อยที่สุดกับพระสมเด็จวัดท่าทองที่หลวงพ่อกวยท่านไปเสกครั้งนึงที่ทำงานพนักงานกลิ้งลูกแบบที่ใช้ในโรงพิมพ์กระดาษสูงประมาณ 70cm โดนหัวเข่าทั้ง2ข้างแต่ไม่เป็นไร อีกครั้งชั้นวางงานที่เป็นเหล็กน.น.ประมาณ 70กิโลร่วงลงมา ผมหลบไม่ทัน แต่รางเหล็กหล่นมาอยู่ระหว่างเท้าทั้ง 2ข้างพอดี ส่วนแนวบู๊ยังไม่เคยเจอครับ
-
ต่ออีก 1 เรื่อง คือเรื่องหลวงพ่อท่านโดนปลัดขิกตัวเองเล่นงาน (ใช้ใจอ่านด้วยความเป็นกลางน่ะครับ)
อยู่มาวันหนึ่ง ได้มีคนอีสานซึ่งเป็นคนหาบของขาย เป็นพ่อค้า ขายอะไรอย่างหนึ่ง อันนี้ไม่แน่ใจ เข้าไปหาหลวงพ่อที่กุฏิ แล้วก็ไปนำเสนอของที่จะขายให้หลวงพ่อ ซึ่งของที่ขายไม่มีความจำเป็นกับหลวงพ่อเลย พ่อค้าคนนี้ก็นั่งตื้อ นั่งคุย อยู่นานพยายามให้หลวงพ่อท่านซื้อให้ได้ ท่านก็บอกว่าจะเอาไปทำไมล่ะ ไม่จำเป็นต้องใช้นี่น่า แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า เอ้า! ... งั้นเอานี่ไป ปลัดขิก กันภัย ให้ลาภ เอาไปช่วยด้านค้าขายน่ะ ท่องคาถาให้มั่นเชียว แล้วก็ขอกับปลัดขิก หรือจิ้มไปในของที่จะขาย พ่อค้าชาวอีสานก็รับไว้โดยดี แล้วก็ท่องคาถา ยกมือท่วมหัว ต่อหน้าหลวงพ่อเลยครับ แล้วก็นั่งคุยกันต่อ อีกนิดหน่อย หลวงพ่อก็เลยบอกว่า เอ้า!! เราขายอะไรล่ะนี่ อ๋อ....ขาย....ครับ หลวงพ่อก็บอกว่า ไอ้เราก็รำคาญมัน เลยซื้อของที่มันขาย เพื่อตัดความรำคาญ หลวงพ่อก็บอกต่อว่า เอามา 1 ชิ้นละกัน ปรากฏว่า พ่อค้าชาวอีสานคนนั้น มันขำใหญ่เลย หัวเราะง่วน หลวงพ่อก็บอก แกหัวเราะอะไรกัน พ่อค้าชาวอีสานคนนั้นก็บอกว่า ได้จริงๆ หลวงพ่อบอกว่า แกขออะไรกับปลัดขิกที่หลวงพ่อให้ไป หนุ่มอีสานก็บอกว่า ข่อยขอให้หลวงพ่อซื้อของของข่อย ไม่งั้นข่อย บ่ กลับง่ายๆแน่ หลวงพ่อก็เลยยิ้ม ......... แล้วหลวงพ่อก็เล่าให้ผมฟังต่ออีกว่า เป็นงัยล่ะนี่ เสกเอง ยังโดนเองเลย ไม่รู้เราใจอ่อนไปซื้อของของมันได้ยังไง แปลกดีเหมือนกัน มันเก่งน่ะ กล้าขอกับปลัดขิกที่เราเสก ต่อหน้าเรา แล้วยังขอให้เราซื้อของมันอีกแน่ะ ผมก็หัวเราะกับหลวงพ่อ..... ผมฟังแล้วก็แปลกดีจัง
หวังว่าคงจะสนุกกันน่ะครับ ขำ ขำ
-
หน้า 27 ของ 505