เรื่องเล่าก่อนนอนคืนนี้ เรื่องผี ที่อินเดีย...
เมื่อปี 50 ได้ไปสังเวชนียสถานที่อินเดีย หวังไว้ว่าจะกอบกู้จิตใจเดิมๆ กลับคืนมาได้บ้าง ไปมาหลายที่ ไม่โดนผีหลอก หรืออำเลย มาเจอดีที่วัดจีนไตรรัตนาคม ใกล้ๆ กับแม่น้ำคงคา ที่นี่มีท่าเผาศพที่ฮ็อตที่สุดคือ ท่าดัสวเมธ ที่นี่มีท่าเผาศพเยอะแยะ เช่น ท่ามณิกรรณิการ์ฆาต ท่าหริจัณทาล จะเผาตามวรรณะ ท่าเผาศพที่ไม่เคยดับเลย ก็คือ ท่ามณิกรรณิการ์
ฉันล่องเรือในแม่น้ำคงคา ขอพรจากพระศิวะและ แม่อุมาเทวี ขอขมาแด่แม่น้ำคงคา ขณะนั้น ก็มีกลิ่นซากศพมาแต่ไกล ก็พยายามลุ้นว่ามันคืออะไร มันคือซากหมา กำลังลอยมา และ ลุ้นอีกว่ามันจะลอยมาติดเรือเราไหม แจ็คพ็อต!!! ลอยมาจ๊ะเอ๋กะเราจนได้นะ มาล่องคงคาก็ต้องเจอแบบนี้ ใครไม่เจอก็แสดงว่ายังไม่ได้ล่องคงคา ทริปก่อนเพื่อนเรามา บอกว่า เจอศพคน ลอยมาติดเรือเลย อยากเจอหว่ะ 555
เหตุการณ์ผีแกล้งคน เกิดขึ้นที่วัดจีนไตรรัตนาคม หลังจากทุกคนเหน็ดเหนื่อยก็รีบเข้านอน แม้จะมีเสียงสวดมนต์ทั้งคืนก็ตามก็หลับได้ ห้องพักเรานอนกัน สี่คน ฉันนอนก่อนคนแรกเลย อีกคนชื่อพี่แมว นั่งเป่าผมอยู่ ส่วนอีกสองคน ออกไปข้างนอก พี่แมวคนนี้แหละ เจอก่อนใครเลย ขณะเป่าผมอยู่ก็รู้สึกมีคนมาเขย่าเตียงแก แกก็ว่า เพี้ยนหรือเปล่า แก็เป่าผมต่อ และก็โดนเขย่าอีก น่านๆๆๆ ไม่ใช่แล้ว เอาซะแล้ว โดนผีหลอกแน่ๆ แต่ก็ไม่กล้าปลุกเรา เพราะเรากำลังหลับปุ๋ยเลย
จากนั้น เมื่อเวลา ตี 2 ฉันลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ ก็รู้สึกมีไรแปลกๆ แต่ไม่ได้สนใจ ใจนึงก็กลัวแหละนะ ก็รีบนอน สักพัก ก็มีคนมาเหยียบอก และ ขย่ม กระดูกซี่โคงแทบจะหักเลย รีบลืมตาเลย
เช้ามา แต่ละคนก็มองๆ หน้ากัน ยังไม่กล้าเล่า และแล้ว พี่แมวก็เล่าก่อนคนแรก เอาละเว้ย โดนดีกันไปตามๆ ป้าอีกคนก็โดนดี หลับๆ อยู่มีเด็กมาล้อมรอบแก พยายามดึงแกลงจากเตียง เพื่อนอีกคนก็ ป่วย อ้วกแตก ได้หมอมาฉีดยาให้ ปลื้มความเมตตาหมอ พบรักกะหมอเลย มันโชคดีคนเดียวเว้ย 55
เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์
ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย The Third Eyes, 12 พฤศจิกายน 2008.
หน้า 110 ของ 299
-
-
เคยอ่านกระทู้นี้มานาน แต่ยังไม่เคยโพส
อยากถาม The Third Eyes ว่าเตียงที่ว่านี้เป็นเตียงแบบไหนคะ
พอดีว่าพ่อเราก็ซื้อเตียงที่วัดสวนแก้วอ่ะค่ะ ตอนปลายเดือนเมษา -
ขอบคุณค่ะ เรื่องราวคุณploy manee น่ากลัวจริงๆ ทำให้ทราบว่าพวกผีเขาสามารถ
ทำให้เราเจ็บได้เหมือนกัน หรือเพราะว่าอยากลองฤทธิ์กับเทพที่ติดตามไปด้วย
ง่ะ แบบนี้กลับไปกลัวผีอีกแล้วสิ แต่คนธรรมดาเขาคงไม่มาแกล้งหนักแบบนี้มั้งคะ
(เข้าข้างตัวเองหน่อย) ขนาดเจอแบบน่าสงสาร ยังขนหัวลุกเลย แต่เขาทำแบบนี้
ยิ่งขัดขวางการไปเกิดใหม่ บุญเลยหมดไปเรื่อยๆ หรือว่าเป็นพวกมาร มีหน้าที่
หลอกล่อ กลั่นแกล้ง
เคยได้ยินว่าคนมีบารมี ปฏิบัติดีมาก่อน พวกเทพจะมาแย่งชิงกัน เพื่อให้เป็นตัวแทน
ในการทำบุญ สร้างบารมีเพิ่มขึ้น อีกอย่าง2500หลัง จำต้องเป็นหน้าที่พวกเทวดา
ชาวทิพย์ เพื่อสืบเนื่องในพุทธศาสนาให้ครบ5พันปี แต่พวกที่หลอกลวงว่าเป็นโน่น
เป็นนี่ก็มี ขนาดมารยังปลอมเป็นพระพุทธเจ้าไ้ด้เลย คุณploymaneeไม่ถือโกรธ
ก็ดีแล้วค่ะ เอามาเล่าอีกนะคะ
อาจารย์สามตาจุดประกายความกลัวของมือสองอีกแล้ว หุๆ คุณkim potter อาจจะ
ไม่ได้เจอแจ๊คพ็อตแบบอาจารย์เล่านะคะ แต่คุณพ่อคุณใจกล้าจังเลยยยยยยย -
เรื่องเล่าต่อไป (ไม่รู้เรื่องที่เท่าไหร่แล้วนะ จะกลับไปนับก็ตาลาย)
สมัยเด็กๆ เรียนอะไรก็ต้องแข่งกันเรียน วิชาพระพุทธศาสนาก็เป็นวิชาที่ง่ายมาก แค่จำๆ แล้วไปสอบ อ่ะนะ มีเรื่องนึงที่ทำให้เกิดเหตุน่ากลัว คือ พุทธประวัติ ซึ่งเราก็อ่านๆๆ แล้วก็สงสัยในปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า(ตอนนั้นเด็กประมาณ ม. 1- ม.2 นี่แหละ) เราก็คิดว่าไม่มีจริงหรอก เป็นเรื่องแต่ง นอนอ่านหนังสือเลยนะ แบบไม่เคารพอะไรเลย แค่นั้นหล่ะ ก็อ่านไปหลับไปเลย หน้าฟุบกะหนังสือวิชาพระพุทธศาสนา(อย่าเพิ่งด่านะพี่น้อง ให้อ่านไปก่อน) ทันใดนั้นเองก็ฝันเห็นปีศาจ เข้ามาหาเราในบ้าน ถามเราว่า
"ศรัทธาในศาสนาพุทธไม๊"
เราก็ไม่ตอบ ย้อนไปถามมันว่า เข้ามาที่บ้านได้อย่างไร มันก็พูดคำเดิม
"ศรัทธาในศาสนาพุทธไม๊"
เราก็คิดว่าไอ้นี่กวน เราก็ไม่ตอบอีก เราหลุกหลิกตาไปมองข้างหลังแป๊บเดียว จากระยะประมาณสิบก้าว มันมาปรากฎอยู่ตรงหน้าเราแล้วอ่ะ น่ากลัวมากเลย แววตาเจ้าเล่ห์มากๆ เราก็เลยถอยๆๆ และกลัวว่าจะถอยไปชนอย่างอื่นก็เลยใช้หางตาแล แป๊บเดียว มันมาอยู่ข้างหน้าเราอีกแล้ว จับแขนเราด้วย
"ศรัทธาในศาสนาพุทธไม๊" มันถามอีกแล้ว ไม่ตอบเว้ย ... สะดุ้งตื่นทันที น่ากลัวมากเลย ก็รีบสวดมนต์ทันที แบบว่า กลัวมาก ปัจจุบันยังจำแววตามันได้ รู้แล้วว่า น่าจะเป็นใครสักตัวที่จำแลงมาหลอกเรา เพราะหน้าตาที่เห็นนั้น หน้าเหมือนคนที่รู้จักกัน จำแลงหน้าคนอื่นมาหลอก (โดนลงโทษแล้ว)เพื่อให้เรากลัว และ หันมาศรัทธาอย่างจริงใจ
แต่ก่อนชอบนอนอ่านหนังสือ แล้วก็หลับไป อยู่ดีๆ ก็มีเงาคนดำๆ มานั่งคร่อมหลังดิ้นไม่ได้เลย น่ากลัวมาก จะโดนอำบ่อย ตัวเดิมเลยนะ เมื่อเวลาหลับ จะโดนอำทีไรต้องรีบลืมตา มีครั้งนึง ประมาณ ม.5 วันนั้นมีเรียนพละ กลับบ้านก็ทำการบ้าน กินข้าว ไม่ได้อาบน้ำเลย อากาศก็หนาวมากตอนนั้น ก็กะว่าไม่อาบซะเลย เอาน้ำสาดข้างฝาห้องน้ำเพื่อให้ดูเหมือนอาบก็พอ แม่จะได้ไม่ดุ 555 (แย่มากอย่าเอาเยี่ยงอย่าง)
จากนั้นเราก็นอน เอาอีกแล้ว จะโดนอำอีกแล้ว เจ้าเก่า เงาดำๆ คนเดิม รีบลืมตาทันที ลิ้นจุกเลยอ่ะ เห็นเงาดำนั้นยืนข้างๆ ลักษณะเห็นชัดเจน เป็นหุ่นปั้น นึกในใจ เอาซะแล้ว รู้เลยว่าใครทำเรา ก็ องค์ไทยนะแหละ ที่ทำ ชอบแกล้ง มีไรไม่เคยบอก ไม่เคยสอน แล้วจะให้เราเคารพยังไงหล่ะ มาทำร้ายกันแบบนี้ ก็ เลยเกลียดซะเลย เค้าบอกว่าแค่สั่งสอน(นี่คืออีกเหตุผลว่าพี่น้องไม่ต้องด่า เราโดนลงโทษแล้ว) เราไม่ชอบ เค้าก็ไม่ทำอีก แต่เปลี่ยนวิธีแทน โดยใช้ฉาบ ตีดังๆ ...... ซะงั้น -
มีคนถามเรื่องเตียง ที่มีผีนอนเฝ้า นอนเอกเขนก กระดิกเท้า
ที่ ร้าน วัดสวนแก้ว..มันแยะ จำได้คร่าวๆๆว่า
เป็น เตียงกึ่งโลหะ พื้นไม้แผ่นเดียว
เตี้ยๆๆ เหมาะสำหรับ คนป่วย..
ต้องให้คุณ วิษณุมายืนยัน..ว่าใช่ใหม..
เพราะน่าจะจำติดตาได้ ดีกว่า คนอื่นๆๆ
....................................................
(เพราะกลัวผีมากกว่าคนอื่น)
................................................... -
เรื่องเล่าก่อนนอนคืนนี้ ตอนทัวร์ วัดสวนแก้ว
.......................................................
ออกจากห้อง ที่ ขายเตียง..ก็มาห้องที่ติดกัน
เขารวบรวมขายของกระจุกกระจิก ประเภท ของที่ระลึกแขวนข้างฝา
เครื่อง ถ้วย โอ ชาม เครื่องแก้ว ธรรมดา แก้วเจีระไน
เครื่องครัว ชาม กาละมัง โถหมาก ...........
...................................................................
ด้านหน้าสุดเป็นตู้....ใส่ของแพง.ใส่เครื่องชุดทำด้วยเงิน
มีชุดแจกัน ชุดเครื่องใส่เครื่องเทศ เกลือ พริกไทย
ที่น่าชม คือ ป้านน้ำชาเล็กๆๆสวยงาม น่าใช้ ประเภท ชงได้ทีละแก้ว
สมาชิก คนตาทิพย์ มือใหม่..จ้องมอง ก็ผงะ
.......................................................................
โอ้ โฮ ของเล็กๆๆอย่างนี้ ยัง หวง อีกหรือ
วิญญาณที่เฝ้า แรงมาก..คันพวกเราออกมาได้
กำลังคิดว่า น่า จะซื้อไปออกงาน มินิมหกรรมพลังจิต ปลายปีนี้
ให้สมาชิกได้ จับ ได้ สัมผัสกัน...แต่ก็มีปัญหาคือ
ของเล็กเกินไป...เสร็จงานแล้ว จะเอาไปไว้ที่ไหน
ฝากไว้บ้านใคร...ใครเขาจะกล้ารับ
...........................................................
ที่สำมะคัญ..ฤทธิ์มาก..ใครจะคุมอยู่
ในที่สุด...อย่าดีกว่า..ถอยออกมาซะดีดี
...........................................................
ปล่อยให้คนที่ ชอบของเก่าๆๆที่ เป็น ชุดทำด้วยเงิน มาซื้อเอาไป
ป้านน้ำชา ที่ ว่า...ชงๆๆไป คนรอกิน อาจจะปากเจ่อ เอาก็ได้
เพราะ วิญญาณ อาจจะหวงแล้ว ตบปากเอา
..................................................................
วิษณุเห็นด้วยตามนี้ไหม...หรือ จะใจกล้า กลับไปเอาก็ได้
เขายังรออยู่...ในตู้ที่ว่า..ที่วัดสวนแก้ว
................................................................. -
เดินตรงไปยัง ตึก ห้าชั้น ที่เรียกว่า คอนโดศูนย์การค้า คนจน
โผล่เข้าไปที่ ชั้นล่าง..อ้อ ชุดเครื่องไฟฟ้า เรียงเป็น แถว
พวกคอม อินเตอร์เนต เปิด จอแสดง ภาพสดใส
มองๆๆดู มีประมาณ30-40 ชุด..น่าจะเป็น พวกตกรุ่น
หรือ ไม่ค่อยดี..ก็เลยบริจาคมาให้ วัด ฟรี
............................................................
ที่วัดก็มีกลุ่มคนมาฝึกงาน
ก็ เอาคอม รุ่นเดียวกัน สามเครื่อง มาถอด มายุบใช้ อะไหล่
เปลี่ยนถ่ายจนใช้ได้ ดี หนึ่งเครื่อง หรือ สองเครื่อง
เห็นติดราคา ไว้ ตั้งแต่ 1000 บาท ถึง 3000 บาท
ขณะที่ของใหม่ ราคา เกิน 15000 บาท
จึงเหมาะสำหรับ ครอบครัว ที่ไม่มีเงินมาก
มาซื้อ ไปเล่นเอง หรือ ให้ลูกเล่น
.....................................................
ใช้จิตสะแกนกรรม พบว่า ในมากกว่า 30 เครื่อง
จะมีเจ้าของ ตามมา หวง ประมาณ 5ชุด
หรือ 1 ใน 6 อัตราเสี่ยง..ที่ จะเจอผีหวงของ
........................................................
มีเพื่อนสนิทเล่าให้ ฟัง ว่า..เคยมาซื้อไป ให้ลูกเล่น (ซ้อมเล่น)
ของใหม่แพงเกินไป ที่จะเสี่ยงต่อการเสีย โดยมือ ใหม่
เขาบอกว่า อยู่ที่ ร้านก็ไม่มีอะไร..กดเล่นได้
...............................................................
พอยกเอาเครื่อง ก็ได้ ยินเสียงลูก โวยวาย ลั่น
ก็ถลันเข้ามาดู
กลายเป็นภาพผีอ้าปาก..ตาถลน ตาโปน เต็ม หน้า จอ
น่ากลัว แบบ ผี หลอก..ตัวพ่อ ก็พยายามสงบสติ
ค่อยๆๆหาวิธีปิดเครื่อง ตามสะเต็บ
ก็ปิด ไม่ลง..สุดท้ายก็ต้อง ใช้วิธีสุดท้าย
ดึงปลั๊กไป ออก..เครื่องก็ดับ
...................................................
ถ้าไม่ดับ...
5-5-5..เรื่องใหญ่จริงๆๆ เป็นข่าวดัง นสพ แน่ๆๆ
ยิ่งกว่า ข่าว งูหน้าคน มีมือที่เลื้อยได้ ในขณะนี้
..............................................................
(มีต่อ) -
วันนี้ได้ไปที่ วัดเขาอิติสุคโต หัวหินไปกราบหลวงพ่อปรีชา และท่านก็ได้เมตาให้บางอย่าง
กับผมมาในจิต เป็นสิ่งที่ตัวผมเองยังไม่รู้ว่าคืออะไรเพราะแรงมากวิ้งเป็นวันๆเลย ขณะที่
เขียนก็ยังวิ้งๆอยู่ถ้าตอนเช้าอาจารเข้ามาช่วย ตอบด้วยนะครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม -
วันนี้ได้ไปที่ วัดเขาอิติสุคโต หัวหินไปกราบหลวงพ่อปรีชา และท่านก็ได้เมตาให้บางอย่าง
กับผมมาในจิต เป็นสิ่งที่ตัวผมเองยังไม่รู้ว่าคืออะไรเพราะแรงมากวิ้งเป็นวันๆเลย ขณะที่
เขียนก็ยังวิ้งๆอยู่ถ้าตอนเช้าอาจารเข้ามาช่วย ตอบด้วยนะครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม -
พอคุณvisnuเล่าอย่างนี้ ขอเล่าให้อาจารย์ฟังอีกคนค่ะ วันนี้ตัวกลมเดี้ยงอย่างหนัก
หลังจากอ่านกระทู้สุดท้ายของคุณploymanee แล้วออกนอกบ้าน 2มือเหมือนคน
เป็นเหน็บชา ถ้าเป็นมือเดียวจะไม่ว่าเลย อีกอย่างไม่เคยสักทีที่จะเป็นเหน็บที่มือ
ยาของอาจารย์สุวิก็ยังกินอยู่ เหมือนคนบีบรัดมือ ปลายนิ้วแทบเป็นสีม่วง ขนแขน
ที่ข้อมือลุก มีช่วงหนึ่งเหมือนจะลามมาที่แขน โชคดีไปตั้งตัวร้านหนังสือนายอินทร์
แล้วก็หาหนังสือสวดมนต์ หาไปนวดมือไป หวีเสนียด ก็ลืมติดกระเป๋าอีกใบ
คิดถึงใครได้ก็เอาแหละ อันดับแรกพระรัตนตรัยอันสูงสุด เทพที่รักษา รวมทั้งพระศิวะ
พระนารายณ์ และส่งถึงอาจารย์ ประมาณว่าช่วยด้วยแหละค่ะ เปิดหน้าหนังสือ
อ่านชินบัญชร(ปกติไม่สวดนะคะ ไม่กล้ารบกวนพระอรหันต์มาสถิตโน่นนี่นั่น)
คิดอ่านในใจหมด (กลัวไม่แรงไง เหอๆ) กว่า1ชั่วโมงถึงหาย หายแบบลืมๆ
กลับบ้านนี่แหละสบายสุด แปลกสำหรับตัวเองแหละค่ะ
วันนี้เลยพยายามให้บุญผีบ้านผีเรือน เทพทั้งหลายเสียหน่อย ได้นอนเปิดไฟ
ล่ะมั้งคะคืนนี้ เย๋ยยยยยย อย่ามากวนกันเลย ป๋มมันคนไม่เก่งหรอก -
อ.สามตา คุณวิษณุ ได้ย้ายมาทำงานอยู่ที่ เกาะสมุย ได้เกือบสามเดือนแล้วค่ะ เลยไม่ได้ไปหาที่บู๊ทเลย และ มีอยู่ช่วงนึง ก้อไม่ได้เข้าเว็ป ไว้คงมีโอกาสได้ไปที่บู๊ทนะคะ
-
เมื่อคืนเขาหยิบยกข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิล เรื่องการสร้างหอบาบิโลน ตามพระคัมภีร์ มีใจความว่า นานมาแล้ว มนุษย์มีเชื้อชาติเดียว ภาษาเดียว อยู่รวมกันป็นอาณาจักรเดียว คือ อาณาจักรบาบิโลน มนุษย์อยากแสดงพลัง ต้องการสร้างหอให้สูงถึงสวรรค์ เรียกว่าหอบาเบล(Babel เป็นภาษาฮิบรู แปลว่า Gate to God หรือประตูสู่พระเจ้า)
พระเจ้าทรงไม่ต้องการให้มนุษย์ผยอง (แสดงถึงอีโก้ที่ต้องการจะมีพลังอำนาจของวัตถุนิยมสูงกว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน) ทรงสั่งให้มนุษย์เลิกสร้าง แต่มนุษย์ไม่ยอม พระเจ้าจึงทรงบันดาลสายฟ้าฟาดหอบาเบล และทรงกำหนดให้มนุษย์ที่กำลังหนีอย่างเสียงขวัญแยกเป็นหลายเชื้อชาติ พูดภาษาต่างกัน กระจายไปอยู่คนละทิศทั่วโลก
*****************
อยู่อย่างต่ำ กระทำเยี่ยงสูง
-พระพุทธทาส-
จะแปลได้ว่าอะไร อย่างไร ดูได้จากชีวิตประจำวันของพระพุทธทาส ขณะมีชีวิตอยู่
******************
คนในสมัย ศ.ค. ที่ 21 อยากรู้ว่าเรื่องนี้จริงไหม? เลยสร้างก้อนอิฐ 1 ก้อน ให้มีการผลิตและเผาให้ร้อนแบบเดียวกับเมื่อสมัยก่อนคริสตกาล คือใช้มือทำ ใช้เศษใบไม้ เศษอะไรต่างๆ มาผสมกับดินเหนียว (จำไม่ได้แล้วว่ามีแกลบ ฯลฯ) แล้วเอาไปเผาไฟจนแห้ง
นักวิทยาศาสต์คุรุภัณฑ์ (ถ้าจำไม่ผิด เพราะชื่อเขาแปลกดี มีคนเรียนวิชาที่ว่านี้ด้วย) เขาก็เอามาวัดค่าแรงกด ด้วยเครื่องแรงกดสมัยใหม่ วัดได้ค่าแรงกดเท่าไร เขาก็จดเอาไว้ แล้วก็เอามาหาค่าเฉลี่ยว่า ถ้าเอาอิฐก้อนนี้มาเรียงกัน จะได้สูงถึงสรรค์จริงไหม
ปรากฏว่าค่าที่ได้สูงมากพอที่จะไปถึงสวรรค์ได้จริงๆ
กราบขอโทษด้วยที่จำตัวเลขไม่ได้ แต่แค่ตอนเขาสาธิต เอาก้อนอิฐที่ยังไม่ได้ไปเผา (ทดลองครั้งที่1) แค่เอาไปตากแดดเฉยๆ ยังวัดค่าได้ ว่าสามารถสร้างหอได้สูงเท่าเทพีเสรีภาพเลย
เอา...เข้าเรื่อง...
ดิฉันจะบอกว่า ดิฉันก็เคยสงสัยอย่างคุณ poly (ขอย่อชื่อหน่อยนะเจ้าคะ ยาวจัง คงไม่ว่ากัน)
ว่าพระพุทธเจ้าทรงทำปฏิหารต่างๆ ได้จริงอย่างนั้นหรือ?
-ทรงเจอพระนางพิมพา ชาติแรกที่เจอกัน ขณะอดีตชาติเป็นฤาษี และเหาะอยู่บนฟ้า
-ทรงสมาธิปราบมารที่เข้ามาทำร้ายพระองค์
-งูใหญ่ทรงเป็นร่มให้พระองค์พ้นจากฝนที่ตกกระหน่ำ ฯลฯ
แต่หลังจากรู้จักเว็บไซต์จิต และเคยได้อ่านข้อความต่างๆ ของหลายท่าน ก็ค่อยๆ เรียนรู้ และทราบว่า
อย่าว่าแต่พระพุทะเจ้าเลย หลายท่านที่เป็นสมาชิกเว็บนี้ ก็สามารถทำได้
มีสมาชิกบางคนเหาะได้ตั้งแต่ยังเล็ก
หรืออย่างคุณ poly คุณวิษณุ คุณดาวฯ คุณ the third eyes ก็มีบางอย่างเฉพาะตน
และพอตัวดิฉันเองได้ฝึกสมาธิจิต แม้เพียงแค่ขั้นเด็กอนุบาล ก็ยังเข้าใจ เข้าถึงสภาวะบางอย่าง
ทุกสิ่งอย่างล้วนเกิดด้วยสมาธิจิต (ของเก่า ของใหม่ ของใครก็แล้วแต่)
ส่วนการที่ใครจะเข้ามาช่วยเหลือ ก็คงเพราะอยากได้อนิสงฆ์เผื่อแผ่จากเรา เช่น งูใหญ่ช่วยบังฝนให้พระพุทธองค์เป็นต้น ท่านสละความสุขส่วนตน เปียกฝนแทนพระพุทธองค์ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้
ดังนั้นถ้าตอนเด็กที่คุณ Poly อ่าหนังสือพุทธศาสนาแล้วหลับไป มีใครมาถามคุณ Poly แบบนั้น
คิดว่าถ้าเป็นตอนนี้คุณ poly จะตอบคำถามกลับไปแบบไม่ลังเลเลยใช่ไหมคะ??
ดิฉันก็เช่นเดียวกับคุณ poly ค่ะ อย่างที่บอกว่าตอนเด็กก็งมโข่งอยู่ตั้งนาน เหอะๆ
แต่ก็คงยังมีบุญอยู่บ้างที่ได้รู้จักกับพลังสูงสุด ในการฝึกสมาธิลืมตา โอม ชาน ติ
และที่สุดยังได้ฟังคำสอนพระพุทธศาสนา สาธุพระบารมีในพระองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ -
อย่างที่เคยเล่าไว้ เรื่องรูปปั้นพระแม่มารีในห้องเรียนส่งยิ้มให้
ปีนั้นเป็นปีที่ดิฉันหาเรื่องใส่ตัว ทะเลาะกับแม่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ทำให้แม่ฮ่อเลือดที่มือจนเป็นสีม่วงบวมเป่ง
ส่วนตัวเองก็เจ๊บตัวหลายสัปดาห์กว่าจะหาย (หาเรื่องแท้ๆ)
แม่เลยไม่มาเยี่ยมไปหลายสัปดาห์
ระหว่างนั้นดิฉันก็เศร้ามาก คิดอยู่ว่าตัวเองผิดมากไหม?
และเพราะความเศร้าใจ จึงได้ใช้จิตถามเอากับรูปปั้นรูปเดิม คำตอบที่ได้คือแววตาที่สุดยอดมาก
คุณคิดดูนะคะ ดิฉันเคยเห็นท่านยิ้ม เวลาใครยิ้ม ดวงตาของคนผู้นั้นจะเป็นเยี่ยงใด
แน่นอนว่า ดวงตาแห่งผู้ยิ้มย่อมอ่อนโยน สดใส ตรงกันข้าม นั่นแหละ คือแววตาที่ได้เห็นเมื่ออธิษฐานถามออกไป
ดิฉันก็ตกใจ เรามันเป็นคนบาปอย่างนั้นหรือ?
วันนั้นเลยเดินลึกเข้าไปปีกขวาของโรงเรียน ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ ไม่ค่อนมี นร.เข้ามาใช้บริการหรอก นอกจากตอนเช้านร.คาทอลิกจะมาซ้อมร้องเพลง
ส่วนเวลาอื่นจะมีแม่ชี มาสวดมนต์ ผลัดๆ กันมา เวลาละท่าน 2 ท่าน แล้วแต่สะดวก
ดิฉันก็เดินขึ้นไปบนโบสถ์ด้วยใจหดหู่ มองเข้าไปมีแม่ชีกำลังสวดมนต์อยู่เงียบๆ
ดิฉันกะจะเข้าไปสารภาพผิดกับรูปปั้นในโบสถ์รูปใดรูปหนึ่ง และขอวิธีหาทางออก ซึ่งดิฉันก็รู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง แต่งเพราะใจมันค้าน
เนื่องจากในตอนนั้น ใจลึกๆ มีอคติต่อท่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คิดว่าไม่ข้อโทษก็ไม่เห็นเป็นไร
อารมณ์เหมือนเห็นแม่มีค่าแค่เพื่อน ถ้าเราไม่ขอโทษเพื่อน ก็ไปคบกับเพื่อนคนอื่นก็ได้ ไม่เห็นต้องขอโทษเลย
อารมณ์แบบเด็กจริงๆ ใช่ไหมล่ะ คิดอะไรเหมือนเด็กอมมือ ทั้งที่ตอนนั้นก็เรียนมัธยมต้นแล้ว โตเป็นสาวแล้ว
ด้านหน้าของแท่นพิธีจะเป็นพระคริสตเจ้า ด้านขวาเป้ฯพระแม่มารี
เราก็คิดว่า เราคุยกับพระแม่มารีมาแล้ว ได้ตอบตอบแบบนี้ เราลองขอจากรูปปั้นอื่นดีกว่า เลือกที่มีฤทธิ์ตามความเชื่อน้อยที่สุด ลองถามจากท่านอื่นบ้างดีกว่า
ก็เลยเลือกรุปปั้นที่ไกลที่สุดจากแท่นพิธี คือรูปปั้นที่อยู่ระหว่างกลางปีกซ้ายของโบสถ์
จำไม่ได้แล้วว่ารูปปั้นใคร ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นเทวฑูต ท่านใดท่าหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นนักบุญยอแซฟ กะว่าเลือกเอาที่ใจดีที่สุด รูปปั้นนี้มีเด็กเลี้ยงแกะ (ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะในนิทานนะคะ) เป็นรูปปั้นเดินตามติด เกาะติดท่านอยู่ ท่าทางคงจะเมตตาเราบ้าง
ดิฉันก็คุกเข่า นอบน้อม ใช้จิตถามไปว่า ดิฉันผิดหรือ? (ยังไม่เชื่อว่าตัวเองทำผิดเท่าไหร่?)
เท่านั้นแหละ (จริงๆ วันนั้นดิฉันรู้สึกว่าวันนี้โบสถ์มันมืดกว่าทุกวัน เหมือนว่าแสงสว่างวันนี้ในโบสถ์มันทึมๆ ทะแม่งๆ)
ที่รูปปั้นที่ดิฉันคุกเข่าอยู่ มันเหมือนมีเงาวิ่งมาครอบคลุมตรงที่ดิฉันภวนาอยู่อย่างรวดเร็ว จนเหมือนจะเข้ามาทำร้าย ทำให้รูปปั้นที่ตอนแรกพอมีแสงสว่างจากแสงอาทิตย์ภายนอกส่องเข้ามา กลับมืดไปในทันที ทั้งๆ ที่ดิฉันรู้ว่า ในโบสถ์ขณะนั้นมีแม่ชีสวดมนต์อยู่
แต่ก็ยังกลัว และกลัวมากที่อยู่ดีๆ ก็มีเงาวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วแบบนั้น
ดิฉันตกใจ เหงื่อออก รีบลุกออกไปจากโบสถ์อย่างรวดเร็ว และเกิดความเชื่อว่า ดิฉันคงเป็นคนผิดจริงๆ (ดิฉันแย่ไหมคะ ถ้าไม่มาเตือนสติแรงๆ ก็คงยังลังเลต่อไป คิดว่าตัวเองถูกเสมออยู่นั่นแหละ)
ตอนนี้ดิฉันมาคิดทบทวนว่า หรือเงานั้นเป็นแม่ชีท่านอื่นเข้ามาสวดมนต์ แล้วพอดีเงามาตกที่รูปปั้นนั้น
แต่มันก็แปลกมากที่เงานั้นมาเร็วมาก ถ้าเป็นเงาแม่ชี แม่ชีก็คงต้องวิ่ง ซึ่งดิฉันคงได้ยินเสียงฝีเท้า แต่แม่ชีที่ไหนจะวิ่ง มีแต่แม่ชีต้องสำรวม ไม่ต่างกับพระสงฆ์ ที่ต้องสำรวม
และเงานั้นก็วิ่งมาจากทางหน้าต่างที่ตั้งอยู่ข้างๆ รูปปั้น วิ่งเป็นแนวเฉียงเข้ามา ไม่ใช่เป็นเส้นตรงขนานไปกับทางเดินข้างหลังดิฉัน (ถ้าเป็นแบบนั้นอาจเป็นแม่ชีท่านใดเดินจริงๆ)
ดังนั้นพอแม่มาในคราวต่อไป ดิฉันจึงรีบขอโทษท่านทันที เพราะไม่กล้าสู้สายตาแม่พระในห้องเรียนมาหลายอาทิตย์แล้ว และก็ไม่ก็เดินเฉียดไปทางโบสถ์ด้วย อยู่โรงเรียนไม่มีความสุขเลย
พอแม่มาเยี่ยม เลยรีบเข้าไปขอโทษแม่ เป็นไงเป็นกัน ดิฉันคิดว่าท่านจะว่ายังไง แต่ไม่น่าเชื่อที่ท่านเพียงรับอย่างง่ายๆ ไม่โกรธหรือต่อว่าอะไรดิฉันเลย ทำเอา งง
แต่มาตอนนี้เข้าใจค่ะ เพราะท่านรักเรานั่นเอง และท่านก็คงรู้ว่าดิฉันเองก็คงเจ็บตัวไปต่างไปจากท่าน แต่ตรงที่ท่านเจ็บมันเป็นอวัยวะที่เห็นได้ชัด ว่ามันบวมเป่ง เป็นสีม่วงยังไง
ไม่น่าเลยเรา หาเรื่องแท้ๆ โตแต่ตัว ปัญญาหามีไม่ สติไม่มา ปัญญาไม่มี
แต่ละคนกว่าจะหายก็เป็นอาทิตย์ แย่..
แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทะเลาะกับแม่รุนแรง และไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย โชคดีนะที่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่อย่างนั้นคงอัตตัญญูมากกว่านี้
เรื่องนี้ยังไม่เคยพูดอโหสิกรรมเป็นทางการกับแม่เลย ขณะที่เรื่องอื่นๆ ขออโหสิกรรมไปเรียบร้อยแล้ว เพราะนั่งเขียนกระทู้แท้ๆ เลยทำให้จำได้ เดี๋ยวต้องทำให้เรียบร้อยซะ -
คุณอธิฐาน ...... คิดได้ ดี ................
ทำผิด คิดได้ ขอโทษ
เป็น การรู้ รับผิด..................... ดี แล้ว ครับ สาธุ -
ขอขอบพระคุณอาจารย์ตาที่สามครับ สงสัยผมจะรีบร้อนไปหน่อยครับ ฟังอาจารย์บอกให้เป็นถ้ำก้อเลยเอาวะถ้ำก้อถ้ำ มันก้อเลยไม่เป็นถ้ำแบบที่ต้องการ ต่อไปนี้ขอลองใหม่ครับ เอาแบบที่อาจารย์ว่าเริ่มที่เราเล็ก รูจมูกใหญ่ก่อน ผมยังสงสัยอยู่ว่าทำไมผมนึกภาพถ้ำไม่ได้เลยครับ เวลาผมไม่ได้นั่งสมาธิ ผมนึกออกง่ายมาก แต่ทำไมเวลาผมนั่งสมาธิผมกลับนึกไม่ได้เลย มีอาจารย์ใจดีกับผมแบบนี้ สู้ตายเลยครับอาจารย์ ขอบคุณมากครับ อาจารย์
-
เออ คุณอธิษฐานจ๊ะ เราใช้ชื่อว่า Ploy มะช่าย Poly เน้อตะเอง
เปลี่ยนเทวดารักษาตัวเป็น BumbleBee ในหนัง Transformer ก็คงดีนะ
เท่ห์ดีจัง .......
(เน็ตบ้านไม่ค่อยดีเลยค่ะ กว่าจะโหลดเว็บ และ โพสข้อความ ภาพ นานมาก นอนหลับได้แล้วหล่ะ 555 หากทำไม่สำเร็จคงนอนไม่หลับแน่ หุหุ) -
ขอบคุณค่ะ ทุกท่าน แป๊บเดียวมีเรื่องให้อ่านแยะเลย
อิอิ เข้ามาขำน้องpoly ploy maneeพิมพ์ผิดนิดเีดียวเนอะคุณอธิษฐาน อนุโมทนาเรื่อง
คุณแม่นะคะ ส่วนที่บ้าน ทุกปีเราก็จะมีประเพณีล้างมือล้างเท้าพ่อแม่ เพื่อขอขมาท่าน และใ้ห้ท่าน
อโหสิกรรมให้พวกเราที่พลั้งเผลอล่วงเกินท่าน ไม่ว่าด้วยกาย วาจา หรือใจค่ะ แล้วท่านก็จะให้พร
ไม่รู้เป็นไง ตาซึมทุกที
เรื่องเหน็บกินที่มือ คุยกับอาจารย์แล้วว่า เปิดรับพลังมากไปค่ะ(ไม่ได้เปิดเองดอก
เปิดไม่เป็น) บอกวิธีปิดให้เรียบโร้ยยยยย ก็กระทู้คุณploy maneeมีแต่
ชาวทิพย์ทั้งนั้น คนไม่มีตาที่สามก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มาเล่าอีกนะคะ สนุกดี
(แต่ไม่ต้องพากันมาเยี่ยมทางนี้เลย เหอๆ ไม่อยากนวดมือนานๆ)
*ท่านunclenonเอาจริงแฮะ ง่ะ เล่นๆไม่ได้เสียด้วย เพราะอ.ทำเครื่องหมายแล้ว
*พี่ดาวทะเลทราย เราต้องมีเวป499(ไม่ได้บ้าห้าร้อย)แล้วมั้ง 555555
วันนี้แวะไปเยี่ยมอาจารย์สามตา หุๆ เจอลูกค้าเดนมาร์ค เมืองโคเปนเฮเก้น มา กทม.หลายครั้ง
เพื่อมาเรียนเรื่องอัญมณี งานนี้ถาม ตอบ ภาษาฝาหรั่งหมดค่ะ เอาง่ายๆอาจารย์ก็สอนเขา
เหมือนพวกเราวัดพลัง เขาก็ดูเข้าใจดี ตอบเอง cannot, o.k. แล้วเรื่องงาน อาจารย์เขียน
ปีพ.ศ. เธอก็สนใจถามว่า last yearเหรอ แล้วเขียนปี ค.ศ.กำกับเอง ก่อนกลับยังถามว่า
ตัวเองอายุเท่าไหร่จะตาย น่านแน่ะ เธอก็ยิ้มสวยเหมือนคนไทย ก่อนไปเลยขอถ่ายรูปไว้ก่อน
แต่ แหม คุยกันเรื่องแฟนเขา อาจารย์ยังมาถามตัวกลมว่า น้อยใจ ภาษาฝาหรั่งว่าไง หึยยยย
ไม่ยู้ แต่ไม่ใช่small heartแหละอาจารย์ อิอิ อาจารย์ยังให้หวีเสนียดไว้ขายของ และ
รักษาสุขภาพ เธอรีบปาดหัวเลย อ.เลยบอก no no,like this แล้วก็พาดๆผ่านหัว ไล่ตาม
แขนลงไปที่ปลายนิ้ว ตอนกลับเขาน่ารักนะคะ ยกมือไหว้กันอีก ดีจังเลย (เคยเห็นนิสิตอายุ
น้อย แต่มือหนัก) ขออนุญาตโชว์รูปค่ะ(หมายเหตุ อ.ในรูปหนุ่มก่าตัวเป็นๆ) -
-
ขอเล่าต่อ
จะเรียกว่าไกลก็ไกล จะเรียกว่าใกล้ก็ใกล้
เรื่องนั่งสมาธิเป็นเรื่องที่ดิฉันสนใจมานานแล้ว แต่ว่าไม่ได้ปฏิบัติเป็นจริงเป็นจัง
เคยเข้าไปในห้องสมุด หาตำราสมาธิมาอ่าน ฝึกเดินลมปราณ แบบเรียกว่า เห็นเขาว่า...นั่งสมาธิแล้วได้นั่นได้นี่
สุขภาพดี ชีวีมีสุข ชอบเรื่องประสบการณ์ทางวิญญาณ ไม่ใช่ผีนะคะ แต่พวกตายแล้วฟื้นอะไรทำนองนี้หนะค่ะ
คิดว่าคงจะเหมือนคนอื่นทั่วๆ ไป ใช่ไหมคะ ใช่แล่วค่ะ มันก็เหมือนคนทั่วไป นั่นแหละ
และใครจะมาคิดว่า แล้ววันหนึ่งจะมีเหตุให้เราพัฒนาตัวเองไปสู่การมองเห็นอะไรในมิติอื่นได้
ไม่เคยคิดเลย รุ้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวมากๆ ขอไม้ยามกเยอะหน่อย มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แต่วันหนึ่งก็มีคนเดินเข้ามา ในประสบการณ์ชีวิต เขาไม่ได้มาชวนเราไปปฏิบัติธรรมตั้งแต่แรกหรอกค่ะ
(อันนี้ขอเล่า เพราะว่า ย้อนกลับไปอ่าน ประวัติ the thid eyes พบว่า ท่านก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่แค่ไปเป็นเพื่อน แล้วก็ไปฟังเขาพูด แล้วท่านก็ได้ของท่านเอง)
ดิฉันก็เลยอยากเล่าบ้าง ไม่ใช้ไว้โชว์อีโก้ แต่เอาไว้ให้คนที่เข้ามาอ่าน แล้วไม่มีประสบการณ์มิติอื่น ได้มองเห็นว่า อะไร ทำไม เพราะอะไร ใครจะมองเห็นมิติอื่นได้
มันมี 3 แบบ คือ
-แบบที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก อย่างเช่น มีของเก่าอยู่แล้ว ดิฉํนขออนุญาต จัดคุณ ploy ไว้ในกลุ่มนี้จะได้ไหมคะ
-แบบที่พยายามแล้วก็ได้ อย่างเช่น the third eyes ดิฉันขออนุญาตจัดไว้ในกลุ่มนี้ได้ไหมคะท่านอาจารย์
-แบบที่ต้องอาศัยความพยายามต่อๆ ไป
เขียนถึงตรงนี้ ดิฉันยังไม่ทราบเลยว่าตัวเองควรจัดไปอยู่กลุ่มไหน เพราะยังต้องฝึกทุกวัน เหอะๆ เข้าเรื่องต่อดีกว่า
ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ประมาณปี2 ตัวเองก็มีกลุ่มเพื่อนรวมเราเป้น 3 คน
แล้วเวลากินข้าวกลางวัน ก้จะมีอีก 1 คนมากินข้าวด้วย เขามาจากวิชาเอกวิชาหนึ่ง ซึ่งเพื่อนในกลุ่มไปเรียนเป็นวิชาโท ก็เลยรุ้จักกัน แล้วก็เลยชวนเขามากินข้าวด้วย
ซึ่งเพื่อนคนนี้จะแบกข้าวกล่องมากินเอง เพราะเขาจะกินมังสะวิรัต พอเขาเห็นพวกเราไม่เคยว่า หรือดูถูกเขา ที่เอาข้าวกล่องมากินเอง แถมยังชอบขอดูว่าวันนี้เพื่อนเอาอะไรมากิน
เขาก็เลยมานั่งร่วมกลุ่มกับเราเป็นประจำ เพื่อนคนนี้ยังมีความแปลงอีกอย่างคือ เขาจะมีเข็มหมุดติดที่ปกเสื้อ เป็นรูปวงรีเล็กๆ คล้ายเลือดหยด ดิฉันเคยถามเขาว่า ไปบริจาคเลือดมาหรือถึงได้มา แล้วทำไมต้องติดปกเสื้อทุกวันด้วย
ดิฉันก็ไม่เคยได้รับคำตอบใดๆ ที่เป็นเรื่องเป็นราวเลย เขามีวิธีบ่ายเบี่ยง หรือนิ่งไม่ตอบได้อย่างนุ่มนวล
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็ชวนพวกเราไปบ้าน จริงๆ เขาเป็นคนเหนือ หน้าตาใสมาก ขาว แต่พอมาเรียน ก็อาศัยอยู่กับญาติ
เราก็มาที่บ้านเพื่อนคนนี้ แล้วก็ได้เจอญาติเขาคนหนึ่งเป้นผู้หญิง ดูแลบ้านนี้อยุ่ (บ้านจริงๆ เป็ฯของแม่ผู้หญิงคนนี้) เราทั้งหมดเรียกเขาว่าพี่
พี่เขาก็ถามว่า พวกเราเคยนั่งสมาธิกันหรือเปล่า พวกเรา 3 สาว ก็บอกเคย
ถ้าอย่างนั้นลองนั่งสมาธิกันหน่อยไหม พี่เขาก็ชวน แต่บอกว่าเป็นสมาธิลืมตานะ ดิฉันได้ฟังก็งงมากเลย อะไร จะให้ทำสมาธิลืมตา แค่สมาธิหลับตา ก้ยังควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ จะให้ทำสมาะลืมตาหรือ? เออ มาแปลก
แต่เพื่อนๆ ไม่มีใครว่าอะไร ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเคยทำสมาธิมาบ้าง รู้สึกไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพื่อนก็นั่งลง เราก็นั่งตาม (ในชั้นลอยของบ้าน ที่คิดว่าคงเป็นห้องสมาธิประจำของพี่เขา แต่ไม่มีพระพุทธรุปใดๆ เลย )
(มีต่อ) -
พี่เขาก็สอนว่า ให้มองไปข้างหน้า จ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ ตลอด เพื่อนคนหนึ่งก็จ้องรุปภาพชายคนหนึ่งที่แขวนไว้ในห้อง (ที่จำได้)
ดิฉันจ้องหมุดลิ้นชัก ซึ่งเป็นทรงกลม เอาไว้ดึงเปิดปิดลิ้นชัก
****************
ครั้งนั้นก็ผ่านไป หลายวันต่อมา เพื่อนคนที่เคยชวนพวกเราไปบ้าน ก็มาชวนอีก เราก็ได้นั่งสมาธิแบบเดิม เหมือนเดิม
คือมองจุดที่เคยมอง ก่อนกลับบ้าน
*********
แล้วครั้งที่สาม พี่เขาก็ค่อยๆ แง้ม ว่า เรามีจุดให้มองที่เหมือนกันในวันนี้คือที่เพดานห้อง
กลางเพดานห้องนี้มุมหนึ่งจะมีอะไรบางอย่างติดอยู่ คล้ายหยดเลือดที่เพื่อนติดปกเสื้อ แต่ขนาดใหญ่กว่า
และพี่เขาก็ให้มองสิ่งนั้น แต่พี่เขาจะเปิดไฟในหยดเลือดตรงกลาง ก็จะมีแสงลอดออกมา
เรานั่งกันไปหลายครั้งหลายวัน จนวันหนึ่ง พี่เขาก็เริ่มบอกว่า มันมีบทเรียนด้วยนะ แล้วก้ให้เราเรียนรู้บทเรียนต่างๆ 7 ครั้ง
***********
การที่เราไปนั่งสมาธิลืมตา พี่เขาก็ให้เรานึกถึงสิ่งที่เห็นให้ติดตา ตลอดเวลา และมีการไปทำกิจกรรมต่างๆ
ในสถานที่ต่างๆ เช่น ห้องประชุมโรงพยาบาลยะลา โดยเอาสิ่งที่เราเรียนมาเป็นตัวกำหนดสมาธิในการทำกิจกรรม
ดิฉันจำได้ว่า บทเรียนหนึ่งมีหัวข้อหลัก ซึ่งมีข้อย่อยข้อ 7 เป็นข้อสุดท้ายที่หมายถึงความสงบหรืออะไรเนี่ย
ซึ่งเป็นข้อที่ยากที่สุด เพราะดิฉันนิ่งได้น้อยที่สุดในจำนวนเพื่อน พี่เขาก็ให้เรารับเอาข้อนี้ไปแสดง บอกว่าเราเหมาะสมที่สุดแล้ว
*************
ดิฉันไม่เคยทำอไะรอย่างนี้มาก่อน จำพวกขึ้นเวที หรือไปแสดงอะไรให้สาธารณะชนดู
เคยแต่ขึ้นไปบนเวทีเพื่อนวีนพี่ปี 2 ตอนอยู่ปี1 ครั้งที่รูสึกว่าพี่ปี 2 รับน้องแรง แล้วดิฉํนก็แอนตี้
ขึ้นเวทีไปแสดงความคิดเห็นต่อหน้าประชาชีนับกว่า 500 คน ทำไปได้ Mad ไหมหละคะ วิญญาณตุลาการเข้าสิง
******************
วิธีการแสดงก็ไม่ต้องทำอะไร แค่เดินนิ่งๆ เหมือนเดินบนแคทวอร์ค
แต่ให้โปรยยิ้ม อย่างคนมีสมาธิบนความสงบ (เขียนเอง ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศนั้น)
คือมันจะต้องเห็นพลังที่เรามองติดตาอยู่ ดึงพลังจากเขามาที่เรา เพื่อแผ่พลังความสงบจากเขา ไปให้ทุกคนในห้อง
เวลาเดินเราจะรู้สึกตัวเราเอง ว่าเรากำลังขอพรจากสิ่งที่มองติดตานั้น ดึงพลังเขามาให้ทุกคนในห้องขณะเดิน
จนดิฉํนรู้สึกได้เลยว่า สมองส่วนบนเหนือลูกตาของดิฉันกลายเป็นสีขาวสว่างจ้า เพราะดิฉันตั้งใจมาก
ไม่อยากให้พี่และเพื่อนผิดหวังในตัวเรา ที่มอบข้อสุดท้าย ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญ และยิ่งใหญ่มาให้คน mad อย่างเราทำหน้าที่
************
และขณะเดินให้มองตาทุกคนในห้อง พร้อมส่งยิ้มด้วยใจที่สงบ ในมือถือตะกร้าดอกไม้จำนวนหนึ่ง
ให้ส่งให้ใครก็ได้ในห้องประชุม แตค่เดินไมพอนะ
ใจดิฉันก็คิด เหอะๆ
ในชีวิตที่ผ่านมา แทบไม่เคยยิ้มให้คนแปลกหน้าที่ไหนเลย แล้วนี่ยังต้องส่งดอกไม้ให้เขาอีก
แค่จะหยิบดอกไม้จากตะกร้า ยังไม่มีแรงเลย ตื่นเต้นไปหมด แต่นี่ฉันจะกล้าไหมเนี่ย
*****************
ดิฉันขอพลังจากสิ่งนั่นเพื่อให้ดิฉันมีแรงหยิบดอกไม้ส่งให้ใครสักคนสองคน
ด้วยแววตาที่มียิ่มละไม (ทำไมจะต้องให้ส่งดอกไม้ด้วยแววตาอย่างนั้นก็ไม่รู้ ขัดกับตัวตนของดิฉันในตอนนั้นมากๆๆๆ
*****************************
พอเลิกงาน ก้มีการกินข้าวร่วมกัน นักวิชาการหลายคน เข้ามาชมดิฉันใหญ่ว่า ยิ้มสวยมาก น่าประทับใจจริงๆ
เราก็ งง อะไรวะ แค่เดินส่งยิ้มเนี่ยนะ พวกเขาที่นั่งอยู่ในห้องซึมซับพลังความสงบจากเราได้มากขนาดนั้นจริงๆ หรือ???
***************
วันเวลาผ่านไป เพื่อนที่ชวนพวกเรามา จะคอยเป็นคนเตือนให้พวกเราอยุ่กับสิ่งที่พวกเรามองจนติดตา
เวลาใจว๊อกแว๊ก เริ่มเฟ้อเจ้อ ซุกซน หรือตอนฟังบทเรียน
(เป็นบทเรียนอีกแบบหนึ่งที่คอยเตือนให้เราไม่ลืมทำใจให้สงบ เป็นสมาธิอยู่เรื่อยๆ
สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่พี่และเพื่อนที่พาเรามา เขาทำทุกวันตอนตีห้า และตอนเย็นพร้อมพวกเราในวันที่นัดแนะ)
โดยเฉพาะดิฉํน ผุ้ที่พี่จะให้พลังความรัก ความสงบเป้นพิเศษ เพราะเป็นดวงจิตที่หลุกหลิกเป็นพิเศษนั่นเอง 5555+
******************
ถ้าเราอยุ่กันแค่กลุ่มเพื่อน เพื่อนที่แนะนำเรา ก็จะเอาปากกามาเขียนที่มือดิฉัน
เป็นรูปวงรี มีรัศมี แล้วก็พูดว่า อยู่กับ....นะจ๊ะ ดิฉันยังจำรูปร่างง่ายๆ และน้ำเสียงของเธอติดอยู่ที่หู
จนทุกวันนั้น เสียงนั้นช่างอ่อนโยน แม้จะเป็นคำสั่งไปหน่อยก็เถอะ แบบบางทีก็รำคาญเจ้าหล่อนที่มาสั่ง
แต่ก็มีเพียงเจ้าหล่อนที่ช่วยเตือน มันคงหลายครั้งจนจำเสียงเจ้าหล่อนได้
*****************
เอาเป็นว่า ปีกว่าๆ นั้นที่ดิฉํนได้ฝึก เรารู้ว่าจะต้องทำสมาธิลืมตา
ระหว่างส่วนอวัยวะที่ตัวเราเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราเห้นติดตานั้น ให้เป็นความเคยชินทั้งในยามหลับและตื่น
ห้ามลืมสิ่งนี้เด็ดขาด ถ้าลืมเราก็จะต้องรีบกลับมามีใจจดจ่อกับการทำสมาธิอีกครั้ง
ส่วนเวลาหลับ ก็จะทำใจให้นิ่ง แค่มองเห้นแต่สิ่งที่ติดตานั้นเพียงอย่างเดียว กำลังส่องแสง กระจายรัศมีจนเราหลับไป
****************
มีบางวิธีก็คือทุกๆ 1 ชั่วโมง เช่น 10.00 น. เราก้จะกำนดจิตเราให้เห็นสิ่งที่ติดตา 11.00 น. 12.00 น. เป็นต้น
คำถามคือ ถ้าอย่างนี้มีเพื่อนคนอื่นเข้ามา แล้วเขาจะปฏิบัติได้เหมือนพวกเราและดิฉันไหม
คำตอบคือ ได้ แต่ ระหว่างนั้นก็มีเพื่อนคนอื่นๆ เข้ามาเริ่มทำสมาธิเหมือนเรา ปฏิบัติเหมือนเรา แต่เขาอยู่ไม่นาน เพียงไม่กี่ครั้งเขาก้ไม่มาอีก มันก็ไม่ต่อเนื่อง และขาดหายไปในที่สุด
*************************
ส่วนดิฉํนแรกๆ ก็มาดี หลังๆ มาบ้าง ไม่มาบ้าง แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น
ก็ได้สัมผัสประสบการณ์แปลกๆ ในชีวิต ในช่วงนี้หลายอย่าง เหมือนที่เราเคยอ่านหนังสือเรื่องแปลกๆ ของคนอื่น
แต่เราก็ได้พบด้วยตนเอง
***********************
ที่พูดแบบนี้ เพราะตอนมาฝึกอะไรที่ว่า พี่เขาไม่เคยบอกอะไรเราเลย ว่าผลของการฝึกจะเป้นยังไง
เพราะใครๆ ก็รู้ว่าการฝึกจิตทำให้ใจเราสงบ ของง่ายๆ พื้นๆ รู้คำตอบกันดีอยู่แล้ว แต่พี่เขาไม่ได้บอกว่า พิเศษกว่านั้นมันมีหรือเปล่า
(มีต่อ)
หน้า 110 ของ 299