เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว พระคาถาพระยาไก่เถื่อน องค์คุณแห่งมหาเมตตา ปลดปล่อยสัตว์และดวงจิตตัวเอง

คำถวายนมัสการ​

ข้าบังคมพระบาทบรมนาถผู้ทรงญาณ
พระธรรมอันพิศดารทั้งพระสงฆ์อันบวร
ข้าเชิญพระญาณสังวรเจ้ามาปกเกล้าฯปกเกษี
ชัยชนะแก่โลกีย์ทั้งภัยพาลอันตราย
ขอให้พบพระพุทธศาสนาด้วยศรัทธาอันพากเพียร
รู้แจ้งคัมภีร์เรียนสมถะ-วิปัสสนาทุกชาติไป
ขอเชิญคุณครูบามารักษาให้มีชัย
ดลจิตบันดาลใจสำเร็จทุกประการ
สิทธิกิจจังสิทธิกัมมังสิทธิการิยะตะถาคะโต<O</O
สิทธิเตโชชโยนิจจังสิทธิลาโภนิรันตะรัง
สัพพกัมมังประสิทธิเมสัพพสิทธิภะวันตุเม
<O</O​

พระครูสังฆรักษ์วีระฐานวีโร
๕ธันวาคม๒๕๔๖<O</O​

 

คาถาเต็มคือ

เวทาสากุ กุสาทาเว
ทายะสาตะ ตะสายะทา
สาสาทิกุ กุทิสาสา
กุตะกุภู ภูกุตะกุ

เป็นคาถาเมตตาแม้แต่ไก่ป่ายังเชื่อง

 

พระคาถาพระยาไก่เถื่อน สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ท่านได้รับประสิทธ์แต่พระเถรวุฒาจารย์ กล่าวว่าเป็นพระคาถานำ พระคาถาทั้งปวง ใช้ในทางสำเร็จประโยชน์ ผู้ใช้พระคาถานี้ ต้องมีสมาธิจิตเป็นเอกัคตาจิตขั้นสูง ถึงเมตตาเจโตวิมุตติ จึงจะใช้พระคาถานี้ได้ เพราะเป็นพระคาถามหาเมตตา ปลดปล่อยสัตว์ และปลดปล่อยจิต ตัวเอง พระคาถาว่าดังนี้<O</O
<O

เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว<O</O
ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา<O</O
สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา<O</O
กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

​

พระธรรมพระคาถาพระยาไก่เถื่อน เกี่ยวเนื่องกับไก่ป่า ไก่ป่าเป็นไก่ปราดเปรียว คอยหนีคน หนีภัยอย่างเดียว เหมือนกับ จิต ของคน ไก่ป่าเชื่องคนยาก เหมือนจิตของคนเรา ก็เชื่องต่ออารมณ์ยากมาก เหมือนกัน ไก่ป่าแม้เสกข้าวด้วยเมตตาให้กิน แรกๆมันก็จะไม่กล้า เข้ามาหาคน นานๆเข้า จึงจะกล้าเข้าหาคนเหมือนจิตคนเรา ก็ชอบท่องเที่ยว ไปไกลตามธรรมารมณ์ต่างๆ ฝึกตั้งจิตเป็นสมาธิแรกๆนั้น จิตมักจะอยู่ พักเดียว ก็เตลิดไป ต่อนานๆไป เมื่อจิตชินต่ออารมณ์ดีแล้ว จึงจะเชื่อง และตั้งมั่นเป็นสมาธิ<O</O
<O

พระคาถาไก่เถื่อน ๔ วรรค แต่ละวรรค หากภาวนากลับไป กลับมา เป็นอนุโลม ปฏิโลม หมายถึงอะไร <O</O
แต่ละวรรค หมายถึงโลกธรรมแปด <O</O
วรรค ๑ หมายถึง มีลาภ เสื่อมลาภ <O</O
วรรค ๒ หมายถึงมียศ เสื่อมยศ <O</O
วรรค ๓ หมายถึง มีสรรเสริญ ก็มีนินทา <O</O
วรรค ๔ หมายถึง มีสุข ก็มีทุกข์ ทุกอย่างย่อมแปรปรวน มีดี และมีชั่ว ไม่แน่นอน ไม่ควรยึดติด มีหยาบ มีละเอียด<O></O>
<O</O

ผู้ที่จะได้บรรลุมรรค ผล นิพพานต้องประกอบด้วยคุณสมบัติอันเปรียบเทียบได้กับ องค์คุณแห่ง ไก่ หรือไก่ป่า มี ๕ ประการ ดังนี้คือ<O</O
๑.เมื่อเวลายังมืดอยู่ ก็ไม่บินลง หากิน<O</O
๒. พอสว่าง ก็บินลง หากิน<O</O
๓.จะกินอาหาร ก็ใช้เท้าเขี่ยเสียก่อน แล้วจึงจิกกิน<O</O
๔.กลางวันมีตาใสสว่างเห็นอะไรได้ถนัดแต่เวลากลางคืนตาฟางคล้ายคนตาบอด<O</O
๕. เมื่อถูกเขาขว้างปา หรือถูกตะเพิดไม่ให้เข้ารัง ก็ไม่ทิ้งรังของตน <O</O
<O</O

นี้เป็นองค์คุณ ๕ ประการของไก่ผู้มุ่งมรรค ผล ต้องประกอบให้ได้ กับคุณสมบัติ อันเปรียบเทียบได้กับองค์คุณเหล่านี้คือ<O</O
๑. เวลาเช้าปัดกวาดที่อยู่ และจัดตั้งเครื่องใช้สอย ไว้ให้เรียบร้อย อาบน้ำชำระกายให้สะอาด บูชากราบไหว้ ปูชณียวัตถุ และวัฒบุคคล<O</O
๒.ครั้นสว่างแล้ว จึงกระทำการหาเลี้ยงชีพ ตามหน้าที่แห่งเพศของตน<O</O
๓. พิจารณาก่อนแล้ว จึงบริโภคอาหาร ดังพุทธภาษิตว่า ผู้บริโภคอาหารพึงพิจารณา เห็นเหมือนคนบริโภคเนื้อบุตร ของตนในทางกันดาร แล้วไม่มัวเมา มุ่งแต่จะทรงชีวิตไว้ เพื่อทำประโยชน์สุข แก่ตน และผู้อื่น<O</O
๔. ตาไม่บอด ก็พึงทำเหมือนคนตาบอด คือไม่ยินดี ยินร้าย ดุจภาษิต ที่พระมหากัจจายนะ กล่าวไว้ว่า มีตาดี ก็พึง ทำเป็นเหมือนคนตาบอด มีหูได้ยิน ก็พึงเป็นเหมือนหูหนวก มีลิ้นเจรจาได้ ก็พึงเป็นเหมือนคนใบ้ มีกำลังก็พึง เป็นเหมือนคนอ่อนเพลีย เรื่องร้ายเกิดขึ้น ก็พึงนอนนิ่งเสีย เหมือนคนนอนเฉยอยู่ฉะนั้น<O</O
๕. จะทำ จะพูด ไม่พึงละสติ สัมปชัญญะ ประหนึ่งไก่ป่า ไม่ทิ้งรังฉะนั้น ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้จะบรรลุ มรรด ผล นิพพาน<O</O

 

อนุโมทนา สาธุการ ค่ะ ​

 

ตามตำนาน เมืองเหนือ กล่าวถึงอุปเท่ห์ พระคาถาพระยาไก่เถื่อน ไว้ว่า ผู้ใดภาวนาได้ ๓ เดือน ทุกๆวันอย่าให้ขาด ผู้นั้นจะมีปัญญา ด้วยอำนาจแห่งพระคาถาพระยาไก่เถื่อน ให้สวด ๓ จบ จะไปเทศ ไปสวด ไปร้อง หรือเจรจา สิ่งใดๆดีนัก มีตะบะเคชะนัก ถ้าแม้สวดได้ ๗ เดือน อาจสามารถรู้ใจคน เหมือนไก่ป่า รู้กลิ่นตัวคนฉะนั้น ถ้าสวดครบ ๑ ปี มีตะบะเดชะยิ่งกว่าคนทั้งหลาย แม้จะเดินทางไกล ให้สวด ๘ จบ เหมือนไก่ขันยาม เป็นสวัสดีกว่าคนทั้งหลายให้เสกหิน เสกแร่ ไว้สี่มุมเรือน โจรผู้ร้ายไม่เข้าปล้น เหมือนไก่ป่าไม่ทิ้งรัง แม้ผีร้ายเข้ามาในเขตบ้าน ก็คร้ามกลัวยิ่งนัก เสกข้าวสารปรายหนทางก็ดี ประตูก็ดี ผีกลัวยิ่งนักคนเดินไปถูกเข้าก็ล้มแล แพ้แก่อำนาจเรา

พระคาถานี้แต่ก่อน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กะฐานธรรม แต่ภายหลัง ถึงยุคพระอาจารย์สุก พระคาถานี้จึงเรียกขานใหม่ว่า พระคาถาไก่เถื่อนบ้าง พระคาถาพระยาไก่เถื่อนบ้าง พระคาถาบทนี้ทางภาคเหนือเรียกว่า พระคาถาไก่แก้ว

​

​

<O</Oสืบจากตำนานเดิม สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เกื่อน ทรงแปลง พระคาถาพระยาไก่เถื่อน เป็นรูปยันต์ เรียกว่า “พระยันต์มหาปราสาท ไก่เถื่อน” ตามนิมิตสมาธิเวลาลงพระคาถาพระยา ไก่เถื่อน ลงเป็นยันต์มหาประสาท ให้ลงด้วยเงินก็ดีทองก็ดี ผ้าก็ดี กระดาษก็ดี ลงแล้วเสกด้วย พระคาถาพระยาไก่เถื่อน ๓ จบ ไปเทศนาดีนัก เป็นเมตตาแก่คนทั้งหลาย เกิดความศรัทธาในตัวเรา (ไก่ร้อง เสียงฟังได้ไกล)<O</O
<O</O

เอายันต์นี้ ไปกับตัวค้าขายดีนัก เกิดลาภสักการะ มากกว่าคนทั้งหลาย เหมือนไก่ป่า ขยันหากินให้เขียนยันต์ปราสาทไก่เถื่อน ไว้กับเรือน เวลาเขียน ให้แต่งเครื่องบูชาครู สิ่งละ ๑๖ คือ ข้าวตอก ๑๖ ถ้วยตะไล ดอกไม้ ๑๖ ถ้วยตะไล เทียน ๑๖ แท่ง ธูป ๑๖ ดอกข้าวเปลือก ๑๖ ถ้วยตะไล สิ่งของเหล่านี้วางบนผ้าขาว ให้เสกด้วยพระคาถาพระยาไก่เถื่อน ๑๐๘ จบ ๑๐๘ คาบ ให้อธิษฐานเอาตามแต่ปรารถนา กันโจรภัยอันตรายทั้งหลายมีชัยแก่ศัตรู ลงเป็นธงปักในนา กันแมลง มาเบียดเบียน เสกน้ำมันงาใส่แผล แลกระดูกหัก เสกข้าวปลูกงอกงามดี เสกน้ำมนต์พรมของกัมนัลพระยารักเราแล เสกเมตตาก็ได้ ถ้าต้องคุณโพยภัยใดๆ ให้เสกส้มป่อยสระหัวหายแล ใช้สารพัดตามแต่จะอธิษฐานเถิดฯ

​

​

<O</Oพระคาถา และยันต์ไก่เถื่อน นี้มีผู้คนเคารพเชื่อถือมาก และจะว่านำพระคาถาอื่นๆก่อนเสมอ โด่งดังมาจนถึงปัจจุบันนี้ พระคาถานี้ ได้เมื่อ พระกกุสันโธ เป็นไก่ป่า เป็นอาการสามสิบสอง ของพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ ประองค์ คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคตโม พระศรีอริยเมตไตยพระคาถาพระยาไก่เถื่อนนี้ ได้ในสมัยพระพุทธเจ้า พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคตโม พระศรีอริยเมตไตย ยังเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็น พญาไก่เถื่อน แม้สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน พระองค์ท่าน ก็เคยเกิดเป็น ไก่เถื่อน บำเพ็ญบารมีมา แต่การสร้างบารมีนั้น ต่างๆกัน และพระคาถาพระยาไก่เถื่อนนั้น ยังเป็นอาการ ๓๒ ของพระอาจารย์สุกด้วย และเป็นตะปะเดชะ ของสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน ในเมตตาบารมีนี้ด้วยพระคาถาบทนี้

<O</Oถ้าจำเริญภาวนา จะมีอานุภาพมาก ผู้ใดภาวนาเป็นนิจสิน จะเกิดลาภ ยศ มิรู้ขาด ทำมาค้าขึ้น ทำนา ทำสวน ทำไร่ เจริญงอกงามดี ทั้งทำให้บังเกิดสติปัญญาด้วย ถ้าเดินทางไป ทางบก หรือเข้าป่า สวดภาวนาคลาดแคล้ว จากภัยอันตรายดีนักแล บั้นปลายก็จะ บรรลุพระนิพพาน ด้วยเมตตาบารมีนี้<O</O

 

เกร็ดเรื่องการออกรุกขมูลของสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน เกี่ยวกับไก่ป่านั้นมีผู้เล่าไว้ว่า เมื่อสมเด็จปู่ฯ สุกท่านถอนกลดเดินทางในป่านั้นเดินไปเรื่อยๆจนใกล้ค่ำจึงปักกลดตกกลางคืนก็เข้าที่ภาวนาพอเช้าฉันบิณฑบาตแล้วตอนสายแก่ๆท่านก็ภาวนาพระคาถาไก่เถื่อนอีกคราวนี้มีไก่ป่ามามากมายหลายสายพันธุ์มารุมล้อมท่านบางตัวก็ขึ้นไปยืนบนเข้าท่านทั้งสองข้างท่านจึงทราบว่าเป็นคาถาที่ทำให้ไก่ป่าเชื่องได้ปละเป็นคาถาที่ใช้สร้างสมในทางเมตตาบารมีต่อมาเมื่อท่านไปปักกลดที่ไหนเพียงนึกถึงไก่ป่าเท่านั้นยังมิได้ภาวนาพระคาถาไก่เถื่อนก็มีไก่ป่ามารุมล้อมตัวท่านแล้วนับได้ว่าท่านได้สำเร็จเมตตาบารมีไปอีกขั้นหนึ่งแล้วไก่ป่านี้เป็นสัตว์ที่เชื่องคนยากมากเมื่อเห็นคนหรือได้กลิ่นมนุษย์ก็จะบินหนีหลบซ่อนทันทีโดยที่คนไม่ทันได้เห็นตัวมันดังจะยกตัวอย่างเกี่ยวกับไก่ป่าในนิราศธารทองแดงในพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษกล่าวถึงไก่ป่าไว้ว่า

ไก่ป่าเจ้าเสียงเตี้ย
เห็นคนก่นวิ่งบิน
ไก่ป่าขันเจี่อยแจ้ว
ลูกเมียเขี่ยหากิน
เห็นคนก่นวิ่งบิน
ซอกซอนซ่อนตัวเร้น
พาลูกเมียเขี่ยหากิน
เข็นเร็นรอกซอกซอนหาย
กลางดิน
กกเหล้น
ถาบตื่น
พุ่มไม้สูญหาย​

ด้วยเหตุที่สมเด็จปู่ฯ สุกพระองค์ท่านอบรมบารมีมาในเมตตาและเมื่อพระองค์ท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะแล้วพระคาถานี้จึงเรียกว่าพระคาถาพระยาไก่เถื่อนตั้งแต่นั้นมาดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นคาถาไก่เถื่อนนี้เป็นคาถาที่สร้างสมในทางเมตตาบารมีแต่มีที่มาที่กล่าวไว้ในหนังสือพระประวัติและพระนิพนธ์สมเด็จพระอริยวงศาญาณฯสังฆราชสุกไก่เถื่อนญาณสังวรของนายสุเชาวน์พลอยชุมได้เขียนไว้ดังกล่าวข้างต้นว่า จากที่มาคือ "หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบได้ คือจารึกที่ฐานพระพุทธรูป "พระเจ้าล้านทอง" ที่เมืองพร้าวจังหวัดเชียงใหม่จารึกโดยพระติกขปัญญาเถระปละพระพลปัญญาเถระเมื่อพ.ศ. ๒๐๖๙

<O</O
<O</O
ขอได้รับคำอนุโมทนา สาธุการเพื่อ<O</O
สาระความจาก<O</O
หนังสือ พระประวัติสมเด็จพระสังฆราช (สุกไก่เถื่อน) ISBN ๙๗๘๘- ๙๗๔– ๘๘๑๗๗– ๗– ๔โดยได้รับพระกรุณาอนุญาตนำมาเผยแพร่จากผู้เรียบเรียงพระครูสังฆรักษ์วีระฐานวีโรคณะ๕ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) โทร๐๘๔๖๕๑๗๐๒๓<O</O
http://somdechsuk.com/download/bio_somdechsuk_full.pdf<O</O
<O</O

ภาพประกอบไก่ป่าจาก

 

เนื่องจากคณะศิษยานุศิษย์สายวิชากรรมฐานมัขฌิมาเห็นพ้องกันเพื่อฟื้นฟูสืบสานตำนานสายวิชชาฯและเร่งปรับปรุงพิพิธภัณฑ์กรรมฐานอันเป็นสถานที่เก็บสิ่งของมีค่าและศักดิ์สิทธิ์ (ซึ่งที่ผ่านมาทรุดโทรมตามกาลเวลา) ควรค่าแก่การรักษาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้รับทราบและเข้ามาศึกษาร่ำเรียน วิชชา ค่ะ

พร้อมเชิญแวะเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์และบริจาคบริจาคต้นไม้ ปลุกป่าในเมือง(วัดป่าแก้ว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
ได้ที่คณะ๕ วัดราชสิทธาราม ถนนอิสรภาพ ซอย ๒๓ บางกอกน้อย กทม. ๑๐๖๐๐

 

อีกไม่นานปลายปีนี้จะถวายสมเด็จอรหังพระอาจารย์วีระเพื่อเเจกกับผู้ขึ้นกรรมฐานเเละผู้มาทำบุญที่วัด

 

****อีกไม่นานปลายปีนี้จะถวายสมเด็จอรหังพระอาจารย์วีระเพื่อเเจกกับผู้ขึ้นกรรมฐานเเละผู้มาทำบุญที่วัด********
.................................................................................................

อนุโมทนาสาธุ....ด้วยค่ะ

 

เวทาสากุ กุสาทาเว ทาสากุ กุสาทา กุสา สากุ กุ กุ อีกอัน ครับ

 

สาธุ อนุโมทนา "ท่านคนวังหน้า" ค่ะ
ประมาณเดือนธันวาคม รวมกองพลคณะลูกศิษย์พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กันนะคะ ทราบมาว่า วันดีดี วันนั้น บรรดาคณะลูกศิษย์จากที่ต่างๆ จะได้นำสิ่งดีดี มาโมทนาบุญให้กันด้วย นี่นา เนาะ

พร้อมนี้ เรียนเชิญฝึกฝนคำสวด พระคาถาเวทาสากุ ๙ รอบ กันไปพลางก่อนดีกว่า ค่ะ

[MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.715051/[/MUSIC]​

เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว<O</O
ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา<O</O
สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา<O</O
กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

​

นำมาจากเวบแสงธรรมประทีป เจโตวิมุต นี้ค่ะ
ขออนุโมทนา ท่านเจ้าของต้นเสียงค่ะ สาธุ

http://www.mettajetovimuti.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=16

 

คณะศิษย์พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ คณะสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา จัดชุมนุมคณะศิษย์ฯ ร่วมแสดงมุฑิตาจิต และนัดชุมนุมธรรมสังสรรค์กัน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๗.๐๐ น .ณ พระอุโบสถวัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร (วัดพลับ) เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

จึงขอเรียนเชิญท่านญาติธรรม กัลยาณมิตรผู้มีเกียรติทุกท่าน ร่วมชุมนุมธรรมสังสรรค์ ค่ะ

http://palungjit.org/threads/ชุมนุมคณะศิษย์พระกรรมฐานมัชฌิมา-แบบลำดับ-แสดงมุฑิตาจิตครูบาอาจารย์.215886/

 

ขออภัยนะครับ เท่าที่ฟังไฟล์เสียงตอนแรกรู้สึกว่าแปลกๆ ไปนิด พอฟังจริงแล้วปรากฏว่า

ท่อน "ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา"

ผู้ท่องท่องว่า "ทา สา ยะ ตะ ตะ สา ยะ ทา"

ซึ่งจริง ๆ แล้ว ต้องท่องว่า "ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา" เป็นอนุโลม ปฏิโลม

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ