เสริมศรัทธาก่อปัญญาแดนพุทธภูมิ

คณะสงฆ์-ฆราวาสประกอบศาสนกิจ 4 สังเวชนียสถานต่อยอดพัฒนาพุทธศาสนา

หนึ่งในโครงการสำคัญภายใต้ กองทุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา โดยคัดเลือกพระภิกษุที่ดำเนินกิจกรรมขับเคลื่อนการเผยแผ่พระพุทธศาสนารวมถึงพุทธศาสนิกชนเครือข่ายที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ร่วมโครงการเพื่อเรียนรู้ดินแดนต้นกำเนิดพระพุทธศาสนา



วัตถุประสงค์โครงการ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาท สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราช บรมนาถบพิตร และเป็นการน้อมฯรับสนองพระราชปณิธานที่ทรงมีเมตตาในการสถาปนาจัดตั้งกองทุนเผยแผ่พระธรรมในพระพุทธศาสนา รวมทั้งพระภิกษุจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ ณ สถานที่จริงเพื่อสามารถนำไปถ่ายทอดแก่เด็กเยาวชนและประชาชน ขณะที่พุทธศาสนิกชนก็มีขวัญกำลังใจที่จะประกอบคุณงามความดีมากขึ้น


สำหรับปี 2563 กำหนดจัด 3 รุ่นรวม 230 รูป/คน รุ่นแรกเดินทางวันที่ 26 ม.ค.-3 ก.พ.ที่ผ่านมา มีพระสงฆ์ 42 รูป ฆราวาส 18 คน รวม 60 รูป/คน ร่วมเดินทาง ซึ่ง ทีมข่าวศาสนา ได้มีโอกาสร่วมคณะไปเรียนรู้ยัง 4 สังเวชนียสถาน ประกอบด้วย สถานที่ประสูติ ณ สวนลุมพินี เมืองกบิลพัสดุสหพันธ์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล, สถานที่ตรัสรู้ ณ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ปัจจุบันเรียกว่า พุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย, สถานที่แสดงปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ปัจจุบันเรียกว่า สารนาถ เมืองพาราณสี สาธารณรัฐอินเดีย และสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ปัจจุบันเรียกว่า กุสินาคาร์ เมืองกาเซีย สาธารณรัฐอินเดีย


สำรวย

นายสำรวย นักการเรียน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม กรมการศาสนา วธ. เปิดเผยว่า “โครงการนี้ถือเป็นขวัญกำลังใจให้กับพระสงฆ์และฆราวาสที่ทำงานเผยแผ่พุทธศาสนา ที่สำคัญการได้มาศึกษาเรียนรู้จากสถานที่จริงทำให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อการนำไปถ่ายทอดในวงกว้างโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน อย่างไรก็ตาม กลุ่มเด็กและเยาวชนที่ทำงานด้านพุทธศาสนาเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายที่กรมการศาสนาอยากจะให้มาเรียนรู้สถานที่จริงเช่นกัน แต่ยังมีข้อจำกัดทั้งเรื่องช่วงเวลาที่ใกล้เคียงการเรียนการสอบปลายภาค และการดูแลด้านต่างๆ แต่มีแนวโน้มที่จะดำเนินการ ทั้งนี้การได้มาเห็นสภาพจริงในดินแดนพุทธภูมิ ทำให้ประจักษ์แจ้งว่าพุทธศาสนาไม่ใช่สิ่งเลื่อนลอยแต่มีจริง เป็นการเพิ่มความศรัทธาที่ก่อเกิดพลังนำไปสู่ปัญญาให้เกิดขึ้น”


พระปลัดวรัญญู

“ในสังเวชนียสถานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในวันปรินิพพาน เมื่อพระอานนท์ถามถึงสถานที่อันกุลบุตรกุลธิดาพึงจะไปยังสถานที่นั้นเพื่อฟังธรรมจากพระมหาเถระทั้งหลายหลังการปรินิพพานไปแล้วของพระศาสดา พระองค์ทรงตรัสว่า สถานที่ใดอันเราตถาคตได้ประสูติกาลจากครรภ์พระมารดาแล้ว สถานที่ใดอันเราตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
สถานที่ใดอันเราตถาคตได้แสดงธรรมจักรให้เป็นไป สถานที่ใดอันเราตถาคตได้ทอดร่างวางเบญจขันธ์ทิ้งลมหายใจสุดท้ายของเรา ใน 4 สถานที่นี้หากแม้กุลบุตรกุลธิดาคนใดมีความศรัทธาเลื่อมใสด้วยใจอันตั้งมั่นปีติยินดีด้วยไซร้ การเดินทางไปสักการบูชาแค่เพียงทอดทัศนาก็สามารถจะตายเพราะกายแตกได้ไปสู่สุคติบนโลกสวรรค์ ด้วยพุทธดำรัสนี้ทำให้เราถือว่าทั้ง 4 แห่งนี้เป็นสังเวชนียสถานสำคัญอันกุลบุตรกุลธิดาพึงจะไป แม้เพียงแค่ทัศนาหรือไปเห็น นี่เป็นอนุตตระที่พระองค์ทรงให้เราระลึกถึงในสิ่งหนึ่งที่เป็นองค์แทนในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นเหตุให้คนทั้งหลายมุ่งหน้ามาสักการบูชาสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะเวลาที่เรามาสักการ-บูชาก็อาจจะได้พบความปีติยินดี นี่คือความ ศรัทธา ต่อพระศาสนา และเมื่อเราศรัทธาต่อพระศาสนาแล้ว ความสั่นคลอนของจิตใจที่จะได้รับข่าวสารเรื่องราวที่มากระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะรู้สึกว่าเราไม่ได้สนใจในสิ่งเหล่านั้น เราสนใจแต่พระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์ดีๆ ก็ยังมีในโลกนี้ เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในกาลก่อนว่า หากแม้ตราบใดที่มีอริยสัจ 4 และอริยมรรคมีองค์ 8 แล้วไซร้ จะยังมีอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และอรหัตตผล อยู่ได้ ฉะนั้นเมื่อเรามาที่นี่ก็ให้เราปลูกศรัทธาความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลายไว้ อย่าได้คลอนแคลนเท่านั้นเอง” พระปลัดวรัญญู อคฺควชิโร ดร. พระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล วัดไทยพุทธคยา ย้ำถึงความสำคัญของ 4 สังเวชนียสถาน


พระครูวรธรรมสาร

ด้าน พระครูวรธรรมสาร (สมพร สุจิตฺโต) เจ้าคณะอำเภอสอง เจ้าอาวาสวัดทุ่งน้าว อ.สอง จ.แพร่ หนึ่งในคณะสงฆ์ที่ร่วมคณะไปเรียนรู้ กล่าวว่า “โครงการนี้เหมาะสมที่สุดที่เปิดโอกาสให้พระได้ศึกษาดูงาน นำข้อมูลกลับไปถ่ายทอดให้เยาวชนได้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น สมควรจะทำต่อเนื่อง เพื่อให้พระภิกษุที่ยังไม่มีโอกาสได้มาสัมผัส และนำกลับไปต่อยอดพัฒนาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เพราะไม่ใช่การพัฒนาความเจริญแค่วัตถุ แต่การพัฒนาจิตใจเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำต่อเนื่องและต่อยอดให้เจริญยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การได้มาเรียนรู้ยังสถานที่จริง ทำให้ได้เห็นว่าที่ต่างๆ สมัยพุทธกาลมีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแต่ละที่ไกลแสนไกลและยากลำบาก แต่พระองค์ก็วิริยะอุตสาหะ เพื่อที่จะให้มนุษย์ทั้งหลายได้รู้แจ้งเห็นจริง”


“การทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส”

คำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์ครั้งแรกในวันมาฆบูชาหลักธรรมพื้นฐาน ที่ ทีมข่าวศาสนา เชื่อมั่นว่าเราพุทธศาสนิกชนทั้งหลายต่างพร้อมที่จะน้อมนำยึดถือปฏิบัติ

เพราะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวสำคัญในการสร้างสันติสุขให้กับมวลมนุษย์โลก.

ขอขอบคุณที่มา
https://www.thairath.co.th/news/society/1769893