เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ กรกฏาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑ กรกฏาคม ๒๕๖๗
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 กรกฎาคม 2024.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ท่านทั้งหลายที่อยู่ในพิธีเปิดการอบรมค่ายพุทธบุตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนทองผาภูมิวิทยาเมื่อเช้านี้ จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพด่านักเรียนกระจายไปเลย..!
เรื่องนี้อยากให้ท่านทั้งหลายทำความเข้าใจด้วยว่า ก่อนที่จะด่าใคร เราทำใจให้เป็นอุเบกขาได้หรือเปล่า ? โดยเฉพาะการด่านั้นประกอบไปด้วยความหวังดีปรารถนาดีหรือเปล่า ? หรือว่าด่าเพราะโกรธเพราะเกลียดเขาทั้งหลายเหล่านั้น เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ ที่เราจะทำกัน เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง จะกินใจเราจริง ๆ จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง
ท่านที่อยู่ในงานจะเห็นว่าจากที่ครูโรส (นางสาวสมรส สวรรค์งาม) ด่าว่าอยู่เป็นนาน ไม่เห็นเด็กจะยอมเงียบกันสักคน พูดง่าย ๆ ว่าปากเปียกปากแฉะกันอยู่ทุกวันก็เป็นแบบนั้น แต่พอหลวงพ่อเล็กด่าเข้าหน่อย เงียบกริบทั้งศาลา ก็เพราะว่ากำลังใจที่ใช้นั้นต่างกัน
ถ้าหากว่ากำลังสมาธิของเราสูง กำลังใจของเราจะสูงตามไปด้วย ถ้ายิ่งกำลังใจของเราอยู่ในระดับอุเบกขาในอุเบกขา จะไม่มีอะไรที่มากระทบกระเทือนใจของเราได้ พลังงานทั้งหมดที่ปล่อยออกไปก็คือ "เต็ม ๆ" ไม่มีการรั่วไหลไปไหนเลย แล้วเด็กที่ไหนจะรับไหว ?
ก็เหมือนกับโดนกดทับให้นิ่งไปเองโดยปริยาย ซึ่งกำลังในลักษณะนี้ ถ้าหากเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป สามารถเปลี่ยนได้แม้แต่กำลังใจชั่ว ๆ ของเรา ก็คือถ้าหากว่าอยู่ต่อหน้าท่านทั้งหลายเหล่านั้น ความคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วของเรา อาจโดนลบล้างหายไปชั่วคราวเลย
นักปฏิบัติที่แท้จริง ถ้าหากว่าได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ระดับนั้น ก็ถือว่าเป็นความง่ายในการปฏิบัติของเรา ก็คืออาศัยเกาะกำลังใจของท่านไป ท่านทั้งหลายที่สวดในมงคลสูตรจะเห็นว่า สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การได้พบเห็นสมณะคือนักบวช ถือว่าเป็นมงคลสูงสุดประการหนึ่ง
คำอธิบายอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าหากพบท่านทั้งหลายที่ทรงคุณงามความดีระดับพระอริยเจ้าจริง ๆ เราจะอาศัยความเย็นของท่านในการดับร้อนของเราลงไปได้ด้วย เห็นท่านก็เป็นอนุสติ ระลึกถึงก็เป็นอนุสติ ได้อยู่ใกล้ชิด ได้รับกำลังที่ท่านแผ่ออกมา ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เราก็จะพลอยสงบระงับไปด้วย จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่ามีโอกาสก็ควรที่จะหาครูบาอาจารย์ในลักษณะอย่างนี้ มีโอกาสแล้วใกล้ชิดเพื่อที่จะช่วยกำลังใจของเราให้ดีขึ้น -
กระผม/อาตมภาพถวายการรับใช้ใกล้ชิดพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ตั้งแต่ประมาณเดือนกรกฎาคม ปี ๒๕๒๖ จนกระทั่งถึงเดือนเมษายน ปี ๒๕๒๙ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้จะระมัดระวังกำลังใจตนเองอยู่เสมอ
เมื่อตั้งใจพินิจพิจารณาถึงได้เห็นว่า เวลาที่อยู่ใกล้ท่านใจของเราจะสงบเร็วมาก แล้วยิ่งถ้าหากว่าพระท่านส่งกำลังลงมาช่วย เราที่อยู่ใกล้ก็พลอยได้รับกำลังนั้นไปด้วย จึงได้เคยชินกับการรับกำลังของพระท่านเอามาใช้งาน เท่ากับว่าได้รับการฝึกฝนอยู่อย่างน้อยก็ประมาณ ๓ ปี แล้วเป็นการฝึกชนิดที่หัวไม่วางหางไม่เว้น เช้ายันค่ำ เพราะว่าเห็นประโยชน์ จึงเพียรพยายามที่จะทำให้ได้อย่างนั้น
แต่ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า เด็ก ๆ นั้นยังไม่เห็นประโยชน์ว่า เรื่องของกำลังใจ เรื่องของสมาธินั้น สามารถช่วยตัวเองได้แค่ไหน จนกว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันจริง ๆ ก็จะเป็นตัวคัดกรองที่ชัดเจนว่ากำลังใจของเราอยู่ในระดับไหน ?
ถ้าท่านทั้งหลายประสบพบกับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยระดับถึงตาย หรือว่าอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ หนัก ๆ ขึ้นมาแบบกะทันหัน ท่านทั้งหลายจะรู้ทันทีว่าต้นทุนของเราพอใช้งานหรือไม่ ? หลายท่านจะเห็นว่าเวลาเกิดอุบัติเหตุ กระผม/อาตมภาพลงจากรถไป สิ่งแรกที่ถามคู่กรณีก็คือ "มีใครบาดเจ็บหรือไม่ ?" ก็คือจะไม่เอาตนเองเป็นหลัก รถของเราจะพังจะเสียหาย คนของเราจะมีเจ็บมีอะไรหรือไม่ ? ไม่ได้สนใจ แต่ไปดูคู่กรณีเสียก่อน
หรือถ้าหากว่าเหตุร้ายนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา สติสมาธิที่มารวมตัวกันเพราะความฉุกเฉินนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะเหมือนกับช้าลงโดยอัตโนมัติ โดยปฏิกิริยาของมนุษย์ทั่ว ๆ ไปไม่สามารถที่จะทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นได้ แต่ในสภาวะนั้น ถ้าหากว่าเป็นพวกวีดีโอเกม เขาจะบอกว่า "ระเบิดพลัง" ออกมา ซึ่งความจริงก็คือ พลังซ่อนเร้นหรืออะดรีนาลีน ทำให้สมรรถนะต่าง ๆ ของเรามีมากกว่าปกติหลายเท่า เห็นเหตุการณ์ที่เกิดเร็วกลายเป็นช้าไปหมด มองเห็นช่องทางว่าจะแก้ไขอย่างไรให้ออกมาให้ดีที่สุด ทั้ง ๆ ที่มีเวลาแค่ ๒ - ๓ วินาที แต่ในความรู้สึกของเรานานเหมือนอย่างกับเป็น ๑๐ นาที..!
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า สภาพจิตของเราที่ค่อย ๆ ฝึกฝน ค่อย ๆ ขัดเกลามาได้สั่งสมพลังเอาไว้ แต่เราไม่รู้ตัว เพราะว่าไม่ได้อยู่ในสภาพที่โดนกดดันอย่างหนัก กำลังเหล่านั้นจึงไม่ได้แสดงออกมา เมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ต้นทุนทั้งหมดที่เรามีจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนที่สุด เราจะรู้ทันทีเลยว่า สิ่งที่เราปฏิบัติมานั้นเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่ ? คนที่ป่วยปางตายจะรู้เลยว่า ต้นทุนของตนเองตอนนี้พอที่จะไปพระนิพพานหรือไม่ ?
-
ดังนั้น..การที่พระของเราออกธุดงค์ส่วนหนึ่ง ก็เพื่อที่จะอาศัยความน่ากลัวของป่าดง อาศัยสัตว์ร้ายที่เข้ามา อาศัยผีหรือว่าเทวดา ที่ไม่ต้องการให้เราอยู่ในสถานที่นั้นแสดงตนขึ้นมา เพื่อให้กำลังใจของตนกลับเข้าไปสู่จุดที่สะสมกำลังเอาไว้สูงสุด ถ้าหากว่าเราซักซ้อมบ่อย ๆ ก็จะเคยชิน และสามารถดึงเอาพลังงานนั้นมาใช้งานได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะมีเวลาใช้ได้แค่ไม่กี่วินาที..!
แล้วเมื่อถึงเวลาเหตุการณ์ผ่านไป บางท่านหมดสภาพ นอนไปเป็นวัน ๆ เหมือนกับสะสมเงินมาทั้งชีวิต แล้วเบิกใช้หมดในครั้งเดียว ร่างกายรับไม่ไหว หมดสภาพ แต่สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นมาทดแทนคือความปีติ เพราะรู้ว่ากำลังใจของเราจริง ๆ แล้วอยู่ในระดับนี้ ก็คือไม่เสียทีที่สั่งสมความดีทีละเล็กทีละน้อยมาตลอด เพียงแต่ว่าเราตรวจสอบต้นทุนของตัวเองไม่เป็น จึงต้องอาศัยสถานการณ์ภายนอกมาทดสอบแทน
เพียงแต่ว่าสิ่งที่กระผม/อาตมภาพทำไปนั้น ท่านทั้งหลายถ้าจะเลียนแบบและทำตาม ต้องดูกาลเทศะให้มากไว้ ผู้อื่นโดนกระผม/อาตมภาพด่า เขาถือว่าเป็นพรอันประเสริฐ หลวงพ่อยังให้ความสนใจเขา แต่ถ้าพวกท่านไปด่าแทน อาจจะโดนสวนร่วงอยู่ตรงนั้นเอง..!
ดังนั้น..สำคัญที่สุดก็คือกำลังใจตอนที่ท่านด่าชาวบ้านเขา อย่าให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้าไปปนได้ ทำไปด้วยความหวังดีปรารถนาดีต่อผู้อื่นประการหนึ่ง ทำไปในลักษณะของอุเบกขา ก็คือไม่เจือด้วย รัก โลภ โกรธ หลง อย่างหนึ่ง ถ้าเราสามารถทำในลักษณะอย่างนี้ได้ ท่านก็สามารถเป็นครูบาอาจารย์ ไปจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนคนอื่น หรือว่าด่าเขาเล่นก็ได้ แต่อย่าเล่นบ่อย เพราะว่าเราอาจจะเผลอให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจของเราขึ้นมาจริง ๆ
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)